"ที่นี่..ของคุณเหรอ" สมุทรถามขึ้น ผมหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่าย
"เปล่า" ผมตอบ
"ของพ่อฉันน่ะ" ผมขยายความกวน ๆ
"แต่ตอนนี้เป็นของฉัน" ผมพูด สมุทรนิ่งไป ที่จริงแล้วพ่อเขียนพินัยกรรมไว้ว่าให้ผมดูแลไปก่อนจนกว่าพายุจะเรียนจบ ดังนั้น..มันคือของพายุ ไม่ใช่ของผมและผมเองก็บอกให้พายุทราบไว้ก่อนแล้วด้วย
"ดูหนังไหม" ผมถาม แม่ง..ความคิดยังไม่ทันคำพูดเลยคิดดู
"ถ้าที่นี่เป็นของคุณ งั้นตอนนี้เรากำลังทำงานอยู่ไม่ใช่เหรอครับ" สมุทรย้อนด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง อ่านอารมณ์ไม่ออก
"ชิ" ผมเบะปากเซ็ง ๆ หันหน้ามองไปทางอื่น หลังจากสำรวจชั้นที่หนึ่งเสร็จและไม่พบความผิดปกติอะไรนอกจากบันไดเลื่อนของชั้นหนึ่งที่ดูจะใช้งานมาหนักและควรจะได้รับการเปลี่ยนใหม่สักที ผมไปเริ่มที่ชั้นใต้ดินที่เป็นส่วนของโซนอาหารทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารแบรนด์ดังที่มาเช่าพื้นที่ตั้งร้านค้า หรือไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เปิดให้พ่อค้าแม่ค้ามาทำมาค้าขาย ผมสนิทกับพ่อค้าแม่ขายที่นี่ดีเพราะร่วมงานกันมานาน ดูสมุทรเองจะตื่นเต้นไม่น้อย นอกจากร้านอาหารดัง ๆ ที่มีในห้างทั่วไปได้นำมาเปิดที่นี่แล้ว โซนฟู้ดคอร์ทผมได้เลือกให้ร้านที่มาประมูลเปิดจะต้องมีอาหารที่ไม่ซ้ำกันและขายในราคาที่พนักงานของผมจะมาอุดหนุนกันได้ ส่วนร้านที่มาเปิดในส่วนของซุ้มอาหารและไม่จำเป็นต้องแลกคูปองนั้น สามารถเลือกซื้อและนำกลับบ้านได้ด้วย อาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารไทยบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง ฯลฯ
หลังจากเสร็จจากโซนอาหารและแผนกซูเปอร์มาร์เก็ต ผมก็ได้อาหารติดมือมาด้วยหลายอย่าง แน่นอนว่าทุกอย่างได้มาฟรี สมุทรนำไปช่วยถือก่อนขึ้นลิฟต์ตรงไปที่ชั้นห้า ซึ่งเป็นชั้นสำนักงานของพนักงาน สมุทรยังคงตามตูดผมแบบไม่คิดจะถามอะไรตามเคย ผมว่ามันก็ต้องมีเรื่องให้สงสัยกันบ้างละครับ แต่การที่ไม่ถามเลยนี่ไม่น่าจะใช่คนปกติน่ะนะ
"นี่เอกสารที่ต้องเซ็นทั้งหมดค่ะ" นฤมล..ผู้จัดการใหญ่ หรือที่ผมเรียกสั้น ๆ ว่า
"พี่มล" ทำงานอยู่กับครอบครัวผมมานานแล้ว พี่มลหันไปมองสมุทรที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โต๊ะทำงานของผม
"นี่สมุทรครับ นี่พี่มล..ผู้จัดการที่นี่" ผมแนะนำไม่ได้มองทั้งคู่เพราะกำลังมองเอกสารอยู่ ผมอ่านกวาดตาอย่างคร่าว ๆ ส่วนใหญ่เป็นเอกสารออกเงินเดือนบ้าง เซ็นยินยอมค่าใช้จ่ายในส่วนที่ต้องปรับปรุงห้างบ้าง และเอกสารการต่อสัญญาเช่าของบางร้านก็ด้วย
"สวัสดีครับ" สมุทรทัก
"สวัสดีค่ะ" พี่มลตอบเสียงหวาน
"พี่มลมีลูก มีสามีแล้วนะ" ผมพูดขึ้นพร้อมกับปิดแฟ้มเลื่อนไปตรงหน้าของพี่มลเมื่อเซ็นเอกสารส่วนหนึ่งเสร็จ ผมหยิบฉบับอื่นมาเปิดอ่านต่อ
"เหรอครับ..ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบ" สมุทรตอบกลับ คำพูดที่ฟังดูประชดประชันแต่กลับย้อนด้วยน้ำเสียงนุ่มน่าฟังนั่นมันน่าโมโหจนผมต้องเงยหน้าหันไปมองหน้าเขา
"หึหึหึ" พี่มลหัวเราะ ท่าจะชอบใจน่าดู สมุทรเหลือบสายตาจากผมไปมองพี่มลยิ้ม ๆ
"พี่มล..พี่ช่วยตามช่างไปดูบันไดเลื่อนที่ชั้นหนึ่งด้วยนะ" ผมสั่ง
"ทำไมเหรอคะ" พี่มลถาม
"ที่จริง ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ให้ช่างดูทุกชั้นไปเลยแล้วกัน..ถ้ามันควรเปลี่ยนหรือปรับปรุงยังไง จะได้ทำทีเดียว ผมว่ามันเก่าแล้ว" ผมบอก
"ได้ค่ะ" พี่มลพยักหน้าบอก
"แล้วก็ชั้นใต้ดิน ตรงที่ทิ้งขยะของพวกร้านอาหาร..วันนี้ผมไม่เห็นพนักงานทำความสะอาดอยู่เลยสักคน" ผมมองหน้าเธอ พี่มลหุบยิ้มลงทีละนิด
"พนักงานทำความสะอาดลาออกไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เองค่ะ ลาออกทีเดียวพร้อมกันเลย..ตอนนี้กำลังรอคนใหม่มาอยู่ค่ะ" เธอบอก
"มีปัญหาอะไร" ผมถาม มองหน้าเธอไม่วางตา
"เปล่าหรอกค่ะ..เห็นว่าไม่ค่อยสะดวกเรื่องการเดินทาง" พี่มลตอบ ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ
"เอาเป็นว่าผมฝากพี่ด้วยแล้วกัน ผมอยากให้โซนอาหารสะอาดที่สุด" ผมบอกเพราะคงติดนิสัยบ้า ๆ แบบนี้มาจากพายุ จะรวยจะจน..ผมคิดว่าทุกคนก็อยากนั่งกินอาหารในที่ ๆ สะอาด ๆ น่ามองทั้งนั้น ผมคิดว่าบรรยากาศไม่ดีมันก็พาให้อาหารอร่อย ๆ ไม่น่ากินได้ด้วยเหมือนกัน อีกอย่างศูนย์การค้าของผมเด่นเรื่องร้านอาหารที่ตอบโจทย์สำหรับลูกค้าระดับกลางเป็นอย่างมาก ได้รับรางวัลมาสองปีแล้ว และก็หวังว่าปีนี้ก็จะได้รับอีกปีด้วย
"เอ่อ มีเรื่องนึงค่ะคุณไฟ..โบเค้าจะขอคุณไฟลาคลอดน่ะค่ะ" พี่มลบอก โบคือเลขาของพี่มล
"อ่าว จะคลอดแล้วเหรอ" ผมตกใจ ลูกนี่มันจะเข้าจะออกเร็วขนาดนี้เลยเหรอครับ เหมือนผมเพิ่งเห็นเธอตั้งท้องไม่นานมานี้นี่เอง
"ค่ะ" พี่มลยิ้ม ๆ ที่เห็นผมดูตกใจ
"นี่มันเพิ่งสามสี่เดือนเองไม่ใช่เหรอ" ผมขมวดคิ้วนึกบ่นอย่างไม่เข้าใจ
"จะเก้าเดือนแล้วค่ะคุณไฟ..นี่ลูกคนนะคะ ไม่ใช่ลูกหมา" พี่มลพูดติดตลกจนผมกับสมุทรหัวเราะ
"ได้สิได้..ระหว่างนี้พี่จะหาคนในแผนกมารับงานแทนโบได้ไหม หรือว่าพี่อยากได้คนใหม่" ผมถามความสมัครใจจากเธอ
"พี่ขอให้เนตรมาช่วยน่ะค่ะ เอาคนใหม่มันก็จะยุ่งยาก..โบเองก็เครียด กลัวตกงานน่ะค่ะ" พี่มลพูดติดตลกทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าตามกฎหมายมันไล่ออกไม่ได้อยู่แล้ว ผมเองก็ขำด้วย
"ถ้าพี่บอกว่าเนตรทำได้ก็เอาตามนั้น..ส่วนเงินเดือน เดี๋ยวผมเพิ่มให้พิเศษ ระหว่างนี้ก็ให้เธอทำแทนโบไปก่อน โบกลับมา ทุกอย่างก็เหมือนเดิม" ผมบอก
"โอเคค่ะ" พี่มลยิ้มรับ ผมก้มหน้าอ่านเอกสารอีกครั้งก่อนเซ็นทุกฉบับ ในห้องเงียบกริบเหมือนต้องการให้ผมมีสมาธิกับงานตรงหน้ามากที่สุด
"เรียบร้อยครับ มีอะไรอีกไหม" ผมปิดเอกสารลงพร้อมจัดเรียงให้เข้าที่
"ไม่มีแล้วค่ะ" พี่มลหยิบเอกสารเข้าไปกอด
"เดี๋ยวผมช่วยครับ" สมุทรรีบเข้าไปหยิบเอกสารส่วนที่เหลือที่พี่โบนำไปไม่หมดไปถือไว้
"ขอบคุณค่ะ" พี่มลผงกหัวยิ้ม ๆ
"เอาไหมล่ะ เลขาน่ะ" ผมลุกขึ้นยืนแล้วเหลือบตาไปมองสมุทร พี่มลที่ทำงานกับผมมานานคงรู้ดีว่าผมหยอกเรื่องอะไรอยู่
"ก็ดีนะคะ แต่คงเป็นแบบระยะยาวเลย..แล้วก็คงต้องไล่โบออกให้พี่ด้วยนะ" พี่มลย้อนเจ้าเล่ห์เช่นกัน ผมเบะปากพยักหน้ากวนในความหมายของเธอ
"ช่วงนี้พายุเก็บตัวแข่ง ถ้ามันเสร็จจากแข่งแล้ว..คงได้มาเข้า ๆ ออก ๆ ที่นี่เหมือนเดิม" ผมบอก พี่มลตั้งใจฟังอย่างดี คนที่ช่วยสอนงานต่าง ๆ ให้กับพายุก็คือพี่มลนี่ละครับ
"หยิบอาหารพวกนั้นไปด้วย" ผมพยักหน้าไปทางอาหารที่วางอยู่ตรงโต๊ะกลางโซฟา สมุทรเดินไปหยิบมาตามที่สั่ง ผมเดินนำออกมาก่อนโดยที่ไม่เปิดประตูรอให้ใครเพราะหมันไส้คนในห้อง สมุทรเดินมาเปิดประตูอ้ากว้างและยืนรออยู่อย่างนั้นเพื่อให้พี่มลได้เดินออกมาได้อย่างสบาย ๆ
"เอาอาหารวางไว้นี่" ผมชี้มือไปที่โต๊ะ ห้องฝั่งนี้เป็นออฟฟิศของพนักงานทั้งหมด ส่วนห้องทำงานที่แยกส่วนตัวมีเพียงห้องของผมกับห้องของพี่มลเท่านั้น
"กินได้เลยนะครับ พวกลุงป้าข้างล่างเค้าฝากมาให้" ผมบอกพี่มล
"ขอบคุณค่ะ" พี่มลพนักหน้ายิ้มรับ สมุทรนำเอกสารไปวางไว้บนโต๊ะตามที่พี่มลบอก พนักงานทุกคนหันมามองสมุทรอย่างสนอกสนใจคงเพราะแปลกหน้า สมุทรยกมือไหว้ลาพี่มล พี่มลยกมือไหว้ลาผม ผมเองก็ไหว้รับก่อนจะหันไปบอกลาพนักงานแล้วเดินนำกลับมาที่ลิฟต์
ผมเดินกลับไปที่ชั้นสองอีกครั้ง ที่นั่นส่วนใหญ่จะมีพวกสถาบันการศึกษา สถาบันเสริมความงาม ร้านเสื้อผ้าทั้งแบบติดแบรนด์และร้านเสื้อผ้าแฟชั่นทั่ว ๆ ไป ชั้นนี้มีร้านกาแฟแบรนด์ดังอยู่สี่ร้านเท่านั้น ผมเลือกที่จะไปนั่งที่ Crepes Cafe เพราะเป็นร้านประจำที่ผมเอาไว้นั่งฆ่าเวลา อีกอย่างตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องไปสนามแข่งรถ เหตุผลเพิ่มเติมคือ..ยังไม่ต้องการไปไหนก็ด้วย
ผมเลือกไปนั่งที่ ๆ นั่งติดกระจก สามารถมองออกไปที่ถนนใหญ่ด้านนอกได้ เป็นโต๊ะแบบรองรับสองที่นั่งหรือประมาณสามที่นั่งเท่านั้น แต่สำหรับผู้ชายรูปร่างเกินมาตรฐานชายไทยอย่างเราสองคน เพียงนั่งกันสองคนก็เต็มที่แล้ว
"ฉันเอาเอสเปรสโซ" ผมหยิบแบงก์พันออกมาวางไว้บนโต๊ะ
"เอ่อ..แล้วก็" ผมนึกก่อนหยิบเมนูที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมาเปิดดู
"ฮันนี่โทสต์ เพิ่มเนย..เยอะ ๆ" ผมบอก ถ้าสมุทรสั่งแบบนี้เดี๋ยวพนักงานก็รู้เองว่าเป็นผม สมุทรจ้องหน้าผม ไม่รู้จ้องทำไม
"ส่วนนายจะเอาอะไรก็ตามสบาย" ผมอนุญาต
"ครับ" สมุทรรับคำก่อนหยิบแบงก์พันแล้วลุกจากโต๊ะไปสั่งอาหารที่เคาน์เตอร์ ครู่หนึ่งเขาเดินกลับมาพร้อมกับบิลและเงินทอน ผมหยิบมาเก็บใส่กระเป๋า วางโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์ลงบนโต๊ะ สมุทรเองก็ทำเช่นกัน ผมแอบเหลือบมองโทรศัพท์มือถือของเขา ยี่ห้อดังรุ่นอะไรสักอย่าง เคสสีดำสนิทเหมือนต้องการปกปิดทุกอย่างในนั้นเอาไว้ เราสบตากันครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้าไปคนละทิศ ลูกค้าในร้านไม่เยอะเท่าไหร่นัก ไม่มีใครเสียงดังรบกวนใคร มีเพียงเสียงเพลงที่ร้านเปิด ผมมาที่นี่กี่ครั้งร้านจะค่อนข้างเงียบแบบนี้เสมอ
"ขอบคุณครับ" ผมบอกพนักงานเสิร์ฟที่นำกาแฟมาเสิร์ฟให้ทั้งของผมและสมุทรพร้อมกัน
"วันนี้มาออฟฟิศเหรอคะคุณไฟ" พนักงานยิ้มทัก ส่วนใหญ่พวกเธอจะรู้จักผมกันเป็นอย่างดี อย่างน้องคนนี้ก็ทำงานที่นี่ประจำมาประมาณเกือบสองปีแล้ว และผมก็ไม่เคยถามชื่อเธอหรอก
"ครับ ขายดีไหม" ผมถามสารทุกข์สุขดิบ
"เรื่อย ๆ ค่ะ จะเยอะช่วงเย็น ๆ เชิญตามสบายเลยนะคะ" เธอผงกหัวยิ้มบอกแล้วเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ ผมมองไปที่แก้วกาแฟของสมุทร เขาสั่งลาเต้แน่ ๆ ผมจำกาแฟทุกแก้วของที่ร้านนี้ได้หมดนั่นแหละ
".........." เราต่างเงียบ นำมือเลื่อนหยิบแก้วกาแฟให้ไปวางเสมอตรงหน้า ผมยกกาแฟขึ้นจิบ สมุทรแตะนิ้วลงข้าง ๆ แก้วเบา ๆ ตาของเขาจ้องมองไปที่แก้วใบนั้นและนิ่งค้างไว้ไม่พูดอะไร ความเงียบระหว่างเรายังคงรักษาไว้จนฮันนี่โทสต์ของผมได้ถูกนำมาเสิร์ฟ สมุทรเหลือบตาขึ้นมองมาที่ฮันนี่โทสต์และหน้าผม มองแบบนี้สลับไปมาแต่ก็ไม่ได้ทำสุดโต่งจนเสียมารยาทนัก ซึ่งผมคิดว่าเขาคงกำลังไม่แน่ใจอะไรสักอย่าง
"อะไร" ผมถามเสียงห้วน มือที่กำลังจะราดน้ำผึ้งค้างเติ่งไว้ด้วยความสงสัย
"เปล่า" สมุทรตอบ ผมหันกลับมาสนใจฮันนี่โทสต์ของผมต่อ พร้อมกับเทราดน้ำผึ้งลงไปอย่างตั้งอกตั้งใจ น้ำผึ้งจะต้องราดลงไปบนส่วนที่ผมชอบที่สุดเท่านั้น ตรงที่ขนมปังกรอบที่สุด เนยเยอะที่สุด เมื่อราดน้ำผึ้งไปได้ส่วนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ผมจะทิ้งค้างไว้แบบนี้เพราะไม่ชอบราดไปจนขนมปังชุ่มด้วยน้ำผึ้งนัก ผมเลื่อนจานมาไว้กลางโต๊ะและเริ่มจับมีดกับส้อมเพื่อลงมือตักกิน
"ไม่กินเหรอ" ผมถามไม่มองหน้าอีกฝ่ายเพราะกำลังตั้งใจดูวิปปิ้งครีมที่เริ่มละลาย มันทำท่าจะเทลงบนจานเพราะคงรับน้ำหนักของน้ำผึ้งไว้ไม่ไหว
"อ้า..จิ!" ผมจิปากอย่างหงุดหงิด สุดท้ายวิปปิ้งครีมก็ล้มลงบนจานไม่เป็นท่า ผมกลอกตาขึ้นมองสมุทรอีกครั้ง เขายกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม สายตามองมาที่ผมเล็กน้อย พอสมุทรวางแก้วกาแฟลง อีกฝ่ายก็เลื่อนมือไปหยิบน้ำตาลทรายที่วางอยู่มาเทใส่แก้วตัวเองเพิ่ม ผมเบะปากขมวดคิ้วมอง
"นั่นหวานแล้วนะ" ผมเบะปากอย่างรับไม่ได้ ผมคิดว่าลาเต้ร้านนี้รสชาติมันโอเคแล้ว อีกอย่างผมไม่ชอบดื่มกาแฟหวาน ๆ เลี่ยนจะตายชัก
"น้ำผึ้งนั่นไม่หวานเหรอครับ" สมุทรย้อนหน้านิ่ง ผมว่าบางทีเขากวนตีนนะ ที่จริงผมคิดว่าเขาหน้าตายได้กวนตีนมากทีเดียว สงสัยเจ้าตัวคงไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองก็กวนตีนอะนะ
".........." ผมเงียบปาก มองคนตรงหน้าอย่างหมันไส้ที่ถูกกวน เราต่างคนต่างกินอาหารของตัวเองไปอย่างไร้บทสนทนา ครู่หนึ่งผมนึกสนุก จึงตัดขนมปังให้พอดีคำแล้วตั้งแขนยื่นส้อมไปทางสมุทร อีกฝ่ายที่กำลังมองออกไปนอกกระจกหันมาเห็นพอดี เขามองผมนิ่งเหมือนไม่เข้าใจว่าที่ผมทำอยู่นั้นมันคืออะไร
ผมกระตุกส้อม พยักหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอกอีกฝ่ายว่าให้เขากินคำที่อยู่ในส้อมนี้เสีย สมุทรตั้งตัวตรงและเอื้อมมือมาจะรับส้อมไปจากผมอย่างไม่ปฏิเสธ ผมอมยิ้มในใจที่เขายอมง่ายดี เห็นอย่างนั้นจึงชักส้อมกลับมาทันที สมุทรเอียงคอเล็กน้อยและมองปรามที่ผมไปกวนเขาแบบนั้น ผมเลิกคิ้วและทำท่าเดียวกันกับเขาด้วยเลียนแบบกลับไปด้วย
พนักงานเริ่มหันมามองอย่างสนใจแต่ใครจะแคร์กันครับ ผมมองสมุทรไม่วางตาและตั้งใจยื่นส้อมไปใกล้เขาอีกครั้งหนึ่ง สมุทรนั่งนิ่ง เหลือบมองส้อมกับหน้าผมสลับไปมาเหมือนอีกฝ่ายกำลังพยายามตีความหมายของการกระทำของผมในตอนนี้อยู่ ผมค้างมือไว้อยู่อย่างนั้นจนสมุทรหันไปมองที่โต๊ะข้าง ๆ สายตาซื่อ ๆ ที่มองไปรอบ ๆ ของเขานั้น ไม่ใช่สายตาเขินอายหรือมองเพราะความประหม่าใด ๆ การกระทำเหมือนคนที่ไม่คิดจะขัดผมในตอนนี้ก็เท่านั้น ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ เพียงครู่หนึ่ง สมุทรก็ยื่นหน้ามาใกล้ ด้วยความเงียบจนทำให้ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น อีกฝ่ายอ้าปากกินขนมปังจากส้อมของผมเข้าไปง่าย ๆ ผมมองตามปากของเขา ค้างมือที่ถือส้อมไว้อย่างนั้นก่อนหลุดอมยิ้มออกมาทีละนิด
"หึ" ผมหัวเราะเบา ๆ อย่างเหลือเชื่อแล้ววางส้อมลงบนจาน สมุทรมีบางส่วนที่ซื่อบื้อเหมือนพายุจนน่าใจหาย ปฏิกิริยาทุกอย่างดูตรงกันข้ามกับบุคคลทั่วไปที่ควรจะเป็นไปซะหมด ผมหัวเราะเสียงดังขึ้นกว่าเดิมอย่างสะใจตัวเอง สมุทรจ้องผมและนั่งนิ่งไปแล้ว
"อะไร" ผมถาม
"หัวเราะอะไร" สมุทรถาม สีหน้าเรียบเฉยเหมือนกับสงสัยตามที่ปากถามจริง ๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ผมยักไหล่แทนคำตอบ
"คุณยิ้มก็เป็นนี่" สมุทรพูดขึ้น ผมชะงัก เราสบตากันก่อนที่ผมจะรู้สึกได้ว่าตัวเองหุบยิ้มลงทีละนิด รู้สึกว่าตัวเองหน้าตึงเพราะเมื่อกี้คงยิ้มกว้างมากตามที่เขาบอกจริง ๆ นั่นแหละ
"แล้วไง" ผมย้อนถาม
"..ก็คุณไม่ค่อยยิ้ม"
"ฉันยิ้มออกบ่อย" ผมบอกถึงความจริง
"หึ..เหรอ คุณมักจะยิ้มเฉพาะตอนที่มีเรื่องสะใจ งี่เง่าไม่เข้าท่าอะไรแบบนั้นมากกว่า" สมุทรว่า
"ช่างสังเกตจังนะ" ผมแสยะยิ้ม
"ถ้านายอยู่กับฉันนานกว่านี่..ก็คงจะรู้ว่าที่จริงฉันเป็นคนจิตใจดี และยิ้มบ่อยมาก" ผมพูดไปพร้อมกับลงมือตัดขนมปังอีกครั้ง
"ยิ้มในใจน่ะนะ" ผมช้อนตาขึ้นมองสมุทรครู่หนึ่ง อีกฝ่ายจ้องมองผมตลอดเวลาที่ผมพูดอยู่
"คนที่ใช้ใจมองเท่านั้นแหละที่จะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ฉันยิ้ม" ผมกวนไปงั้น สมุทรเงียบไม่พูดอะไรเลย ผมตักขนมปังที่จิ้มวิปปิ้งครีมเข้าปากทีละอัน เคี้ยวไปยักคิ้วให้สมุทรไปด้วย เขาส่ายหัวเล็กน้อยคล้ายเหนื่อยใจ ผมอมยิ้มเจ้าเล่ห์มอง ขณะเดียวกันก็ตั้งใจกินฮันนี่โทสต์ไปด้วยจนหมด เสร็จแล้วจึงหยิบน้ำเปล่ามาดื่ม เช็ดปากและดื่มน้ำเปล่าตบท้ายไปอีกครั้งเหมือนเคย กาแฟยังคงเหลืออีกครึ่งแก้ว ส่วนสมุทรดื่มใกล้หมดเต็มทีแล้ว
"นายชอบกินอะไร" ผมถามเพราะเราเงียบมาร่วมสิบห้านาทีได้แล้วละมั้ง
"เรื่องแค่นี้คุณต้องถามผมด้วยเหรอครับ ให้คนสืบเอาก็น่าจะรู้แล้ว" สมุทรตอบแกมประชด สายตาที่มองออกไปที่นอกกระจกยังคงเรียบ ๆ อยู่อย่างนั้นและค่อนข้างดูว่างเปล่า
"หึ..หึหึหึ" ผมหัวเราะในลำคอ ชอบใจที่ได้ยินอีกฝ่ายประชด สมุทรถึงกับหันหน้ากลับมามอง
"ฮะ ๆ ๆ ..หึ วู้~" ผมทำท่าหัวเราะอย่างกวนตีนเพื่อแกล้งเขา สมุทรจ้องผมเขม็ง ผมยักไหล่เบะปากให้
"ถ้าให้ฉันเดาความคิดนายตอนนี้ นายคงกำลังคิดว่า..มีใครเคยบอกคุณไหมครับ ว่าคุณหัวเราะกวนส้นตีนมากเลยน่ะ" ผมหุบยิ้มพูด สมุทรอมยิ้มออกมาทีละนิดเหมือนยอมรับในคำพูดของผม
"ไง ..ชอบกินอะไร" ผมเลิกคิ้ว ยิงถามคำถามเดิมอีกครั้ง
"หมายถึงอะไรล่ะ ของหวาน..อาหาร" สมุทรย้อนอย่างไม่มีพิษภัย
"ทุกอย่าง" ผมตอบ หยิบแก้วกาแฟมาจิบอย่างไม่ต้องการให้มันหมดง่าย ๆ แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
"ข้าวผัดน้ำพริกปลาทู" สมุทรตอบ
"แล้วของหวานละ" ผมถามอีก
"ฝอยทองมั้งครับ" สมุทรตอบทันที เรามองหน้ากันด้วยบรรยากาศสบาย ๆ มากขึ้น
"ปกติ..ชอบเที่ยวรึเปล่า" ผมยิงคำถามไม่เลิก ไม่รู้ทำไมถึงได้สอดรู้สอดเห็นไปหมด
"ชอบมั้ง" สมุทรตอบส่ง ๆ เหมือนไม่ใช่คำถามที่อยากตอบเท่าไหร่
"อาบอบนวดน่ะเหรอ" ผมอดกวนไม่ได้ สมุทรนิ่งลงอีกครั้ง สายตามองปรามมาที่ผม
"โอเค..โทษที หึ..ตกลงชอบเที่ยวที่ไหน" ผมกลั้นหัวเราะ ยกมือขึ้นสองมืออย่างขอโทษ
"ขึ้นดอย ไปวัดบนดอยช่วงหน้าหนาว" สมุทรเหสายตาต่ำลง เราเงียบไปหนึ่งอึดใจ
"คนเดียว" ผมถามอีก สมุทรเหลือบมอง
"จุดประสงค์ที่สำคัญในการเที่ยวของผม ก็คือการได้ไปคนเดียวนะครับ" สมุทรยิ้มตอบด้วยสีหน้าปนเศร้าอย่างไรบอกไม่ถูก
"แต่..ไม่ได้เที่ยว ตั้งแต่ที่..แม่ผมป่วยน่ะ" สมุทรพูด เขาฉีกยิ้มให้ผมเหมือนกำลังพยายามบอกผมว่า "สบายใจได้ ประโยคนี้ผมสบายใจและโอเคที่จะเล่า" อะไรทำนองนั้น ทั้ง ๆ ที่ผมยังไม่ได้แสดงอาการดูเป็นห่วงเขาเลยด้วยซ้ำ
"แล้ว..เอ่อ ชอบ ดูหนังไหม" ผมเปลี่ยนเรื่องถามพร้อมกับยักไหล่เล็กน้อยเพื่อให้เป็นธรรมชาติ
"ไม่รู้สิ เอ่อ..ไม่ชอบมั้ง"
"สีที่ชอบล่ะ" ผมซักไม่หยุด
"เขียว" เขาตอบอย่างไม่ลังเล
"ผู้หญิงคนเมื่อวันก่อนน่ะ แฟนเหรอ" ผมถามออกไปตรง ๆ สมุทรชะงักทันที อีกฝ่ายเงียบลงไปจนผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหายใจผิดจังหวะเล็กน้อย
"แฟนเก่าน่ะครับ" สมุทรตอบ
"งั้นเหรอ"
"แล้วคุณล่ะ.." สมุทรถามกลับ
"ฉันยังไม่มีแฟน" ผมตอบทันที
แม่งเอ๊ย..ทำไมกูพูดสวนไปเร็วขนาดนี้ละวะนี่ รอจังหวะหน่อยสิเฮ้ย! "เปล่า.. ผมหมายถึง สีที่ชอบน่ะ" สมุทรย้อนบอกยิ้ม ๆ ผมจ้องหน้าเขานิ่งอย่างเหลือเชื่อที่ดันมาเสียเชิงกับเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ อีกฝ่ายอมยิ้มกริ่ม ดูท่าจะชอบใจที่เล่นผมได้ ผมกลอกตา แสยะยิ้มพลางดันลิ้นเข้ากระพุ้งแก้มอย่างอดทำหน้าไม่ถูกไม่ได้
"..น้ำตาล" ผมตอบเสียงเรียบเพื่อรักษาทุกอย่างให้สงบไว้ในกำมือ แน่นอนว่าผมคงไม่มาเสียหลักเพราะคำพูดเหมือนต้อนหมูต้อนหมาง่าย ๆ อย่างนี้หรอก
"สีน้ำตาล" ผมพูดย้ำอีกครั้ง พลางถอนหายใจและจ้องมองสมุทรไม่วางตา
"จำไว้ด้วยล่ะ หนึ่ง..ฉันยังไม่มีคนรัก สอง.. ฉันชอบสีน้ำตาล" ผมย้ำบอกยิ้ม ๆ อย่างตรงไปตรงมา สมุทรนั่งเงียบไป เราต่างจ้องหน้ากันนิ่งคล้ายกับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครกำลังไปสะกิดต่อมใครกันแน่ ผมว่าผมคงไม่รักษาท่าทีเท่ากับเขาหรอกครับ ผมหยิบกาแฟขึ้นดื่มจนหมดแก้วด้วยความเสียดาย แก้วไม่ใช่บาทสองบาท สมุทรเองก็ทำเช่นกัน เราเดินออกมาจากร้านพร้อมกับสายตาและรอยยิ้มที่ผิดปกติจากพนักงานในร้าน ผมอมยิ้มน้อย ๆ ให้ทุกคนแทนคำบอกลา ส่วนสมุทรยังคงยิ้มกว้าง ผงกหัวด้วยทีท่าสุภาพกับทุกคนอย่างเคย..
..............ไฟ..............