ตอนที่ ๒๗ เรื่องไอ้ภูทำผมเครียดขึ้นมานิดหน่อย ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรของมัน เมื่อตอนบ่ายมันโทรมาหาผม แต่เผอิญว่าติดเรียน ก็เลยไม่ได้รับสาย พอโทรกลับมันก็ดันไม่รับสายผมอีก ตอนแรกก็กะจะไม่ง้อมันหรอก แต่เพิ่งมารู้จากไอ้ตินว่าไอ้ภูมีอาการแปลกๆ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ ผมเองก็ไม่ได้คุยกับมันก็เลยเดาอะไรไม่ได้ เมื่อทนกับอาการร้อนรนไม่ไหว ผมจึงตัดสินใจโทรไปหาแม่ไอ้ภูเพื่อถามเรื่องของมัน (กับพ่อมันผมยังไม่กล้าโทรหา)
[ว่าไงหนูฟิก] อีกฝ่ายรับสายเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน
“เอ่อ คือว่าช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ค่อยกับภู ไม่ทราบว่าช่วงนี้มันป่วยหรือเปล่าครับ”ผมกัดเล็บอย่างว้าวุ่นใจ ไม่รู้จะใช้คำแบบไหนถามอีกฝ่ายด้วย
[อ้อ…] ท่านหัวเราะเบาๆ
[พักนี้ท่าทางลูกชายแม่จะป่วยใจ] ผมใบ้กินไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี
[เรื่องบางเรื่อง ถามกันเองดีกว่าเนอะลูก แม่ไม่ค่อยอยากพูดถึงเท่าไหร่] เรื่องที่ไม่อยากพูดถึงสำหรับบ้านไอ้ภูมีเรื่องไหนบ้างวะ
“ครับ ยังไงแม่ก็ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”อยากจะถอนหายใจออกมาดังๆ หลังจากที่วางสายมาจากคนแม่แล้ว ผมก็ต่อสู้กับตัวเองอย่างหนักว่าจะโทรหาตัวลูกต่อดีไหม
โทรก็โทรวะ!
ตอนแรกก็คิดว่ามันจะไม่รับสายผมเสียอีก ที่ไหนได้รับเร็วพอๆกัน
[สวัสดีครับ] สุภาพใส่ผมอีก
“มึงอยู่ไหน”ปลายสายเงียบไปเล็กน้อย
[บ้านไอ้ปา] ฟังจากเสียงของมันแล้ว มันคงมีเรื่องไม่สบายใจอยู่แน่ๆ
“เหรอ สบายดีรึเปล่า”ผมถามโง่ๆ เพราะไม่รู้จะเริ่มเข้าเรื่องยังไง
[…ก็ดี] ปลายสายกระแอมเบาๆ แต่ผมสัมผัสได้ว่ามันกำลังโกหก
“มีเรื่องอะไรอยากจะบอกกูไหม เล่าให้กูฟังได้นะ ถ้ามึงยังเห็นว่ากูสำคัญอยู่”ผมพูดเสริมเพื่อบีบให้มันบอกความจริงให้ผมรับรู้
[อืม มาหากูหน่อย] เสียงของมันอ่อนลง
“เรียกร้องความสนใจรึเปล่า”
[ก็แล้วแต่จะคิด] แปลกไปใหญ่ที่มันไม่ค่อยกวนประสาทผมเลย
“เออ เดี๋ยวกูไปละกัน”ผมชิงวางสายก่อน เพราะไม่อยากเจอกับบรรยากาศแปลกๆ ปกติไม่ค่อยได้เห็นไอ้ภูในโหมดนี้ ผมเลยไม่ค่อยชิน โชคดีที่ผมจำทางบ้านพี่ปาได้อยู่ พี่ปาเช่าอยู่กับแฟนสองคน เห็นว่าแฟนพี่แกจะเปิดร้านนมสดแถวๆม. พักนี้เลยออกไปไหนมาไหนกับไอ้ภูบ่อยๆ
เมื่อถึงที่หมาย ผมทำใจอยู่สักพักก่อนจะกดออดหน้าบ้านสองสามที รออยู่ไม่นานพี่ปาก็โผล่ออกมามอง ดูไม่แปลกใจเท่าไหร่เมื่อเห็นว่าผมยืนรออยู่นอกบ้าน
“พวกมึงนี่ขยันมีเรื่องกันจริงๆ”รุ่นพี่บ่นระหว่างที่เดินมาเลื่อนรั้วเปิดออก
“...ใครกันแน่ที่สร้างเรื่อง...เออ ว่าแต่เพื่อนพี่เป็นอะไร”ผมพยักเพยิดไปยังในบ้าน พี่ปาถอนหายใจเมื่อผมถามถึงไอ้ภู เดาจากสีหน้าหนักใจของพี่เขาแล้วไอ้ภูคงอาการไม่ค่อยดีจริงๆ
“มึงเข้าไปถามมันเองเถอะ”
“แย่ขนาดนั้นเลยเหรอพี่”
“ก็...เรื่องเก่าๆมันฝังใจ”ถึงตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับคู่อริที่ตายไปแล้วแแน่ๆ
“เหรอครับ...”ผมก้าวเข้าไปด้านในบ้านที่เงียบผิดปกติ กวาดสายตาหาไอ้ภู มันไม่ได้อยู่ที่โซนห้องนั่งเล่น ผมเห็นประตูที่เปิดไปสู่หลังบ้านเปิดแง้มไว้ เดาว่ามันคงไปนั่งทำเอ็มวีอยู่ตรงนั้นแน่ๆ ผมรีๆรอๆคิดหาคำพูดดีๆเพราะไม่อยากให้เกิดบรรยากาศแปลกๆเหมือนคราวไอ้ตินอีก
ผมเคาะประตูเบาๆเพื่อบอกให้คนด้านนอกรู้ ก่อนจะโผล่หน้าไปมอง เจอไอ้ภูจริงๆด้วย มันนั่งอยู่ที่เก้าอี้ผ้าใบ ข้างตัวมีกระป๋องเบียร์วางอยู่ ในมือถือมวนบุหรี่ที่หมดไปแล้วเกือบครึ่ง สีหน้ามันดูหม่นๆเหมือนถูกราหูอม ที่น่าตกใจคือมีรอยฟกช้ำปรากฎอยู่หลายแห่ง มันหันมามองผมก่อนจะหันกลับไปตามเดิม ผมถอนหายใจกับสภาพของมัน เดินเข้าไปดึงบุหรี่ออกมาจากมืออีกคน
“เลิกสูบได้ไหม กูขอ”ไม่รู้ว่ามันจะฟังคำพูดผมรึเปล่า ไอ้ภูเงยมองผมอีกครั้ง
“กูเครียดเฉยๆ”ผมลากเก้าอี้มาตัวเล็กๆมานั่งข้างๆมัน
“ไปมีเรื่องกับใครมา”ผมขยี้ปลายบุหรี่กับพื้นหญ้า ก่อนหันไปมองใบหน้าของไอ้ภูใกล้ๆ
“วันนี้กูไปบ้านไอ้ยศมา”มันไม่ตอบคำถามของผมแต่แทรกเรื่องอื่นมาแทน
“มันคือโจทก์เก่าที่ตายไปแล้วของกู วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของมัน”ผมเข้าใจทันทีว่าทำไมมันถึงมีสภาพแบบนี้ ผมสงสารมันจับใจ เพราะผมรู้ว่ามันฝังใจกับเรื่องนี้ ถึงภายนอกจะไม่แสดงออกมาก็ตาม
“อดีตมันกลับไปแก้ไขไม่ได้ กูรู้ว่ามึงรู้สึกยังไงแต่จะมัวมานั่งหงอยแบบนี้ได้ไง พรุ่งนี้มึงแข่งดนตรีไม่ใช่เหรอ พร้อมหรือยัง”ผมบีบไหล่ของอีกฝ่ายไปด้วย เปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากให้มันคิดมากเกินไป
“คนที่บ้านมันไม่มีวันให้อภัยกู...แต่ก็สมควรแล้ว กูมันเลวเอง”มันพึมพำเรื่องเดิม
“ถ้ารู้ตัวมึงก็ปรับปรุงตัวซะสิ กูไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบนี้เลยว่ะ”นอกจากจะไม่ชินแล้ว ผมไม่อยากให้มันจมอยู่กับเรื่องแย่ๆในอดีต กลัวมันจะเป็นโรคซึมเศร้าไปซะก่อน
“พอดีกูคิดอะไรได้นิดหน่อย ตอนที่โดนปืนจ่อ--”
“อะไรนะ”ผมหันไปมองมันอย่างตกใจ วันนี้มันเจออะไรมาบ้างผมก็ไม่รู้หรอก เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องรู้และผมก็คิดว่ามันคงไม่บอก
“ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ แต่กูไม่เป็นอะไรหรอก บอกแล้วว่าคนอย่างกูมันตายยาก”ผมมองท่าทีของอีกฝ่ายก่อนจะคว้ามันเข้ามากอด ตอนนี้มันคงต้องการใครสักคน
“ถ้ามึงตายง่ายๆกูคงเสียใจแย่”ผมตบหลังมันเบาๆเหมือนกำลังปลอบเด็ก ไอ้ภูพ่นลมหายใจอุ่นๆออกมาก่อนจะซุกหน้าลงบนบ่าของผม
“กูคิดถึงมึง”ผมหลุดยิ้มออกมาทันที
“บอกแล้ว มึงขาดกูไม่ได้หรอก เสพแล้วเลิกยาก”
“เป็นแบบนี้ดีหรือไม่ดี”มันพึมพำเบาๆเหมือนคุยกับตัวเอง ผมปล่อยให้มันกอดอยู่นานสองนานจนมันเป็นฝ่ายผละออกมาเอง สีหน้าดูสบายใจขึ้น
“พรุ่งนี้กูจะไปดูมึงแข่ง”
“นึกว่าไม่อยากมาซะอีก”
“แค่อยากไปให้กำลังใจ หรือว่าไม่อยากได้”ผมเหลือบมอง เห็นว่ามันมีรอยยิ้มจางๆ
“ขอบใจที่ยังนึกถึง กูคิดว่ามึงจะโกรธที่กูทำแบบนี้...”
“บอกแล้วไงว่ากูเข้าใจ ย้ำว่าเข้าใจ แต่ขอถามหน่อย...”ไอ้ภูหันมารอฟัง
“ทำแล้วมีความสุขไหม”ถามคำถามเดียวกันกับไอ้ติน ไม่หวังว่าจะได้คำตอบที่ตัวเองก็รู้ดีอยู่แล้ว
“กูแค่อยากจัดการกับความรู้สึกของตัวเองก่อน”ไอ้ภูกระแอมเบาๆก่อนจะคว้ามือผมไปกุม
“รอกูก่อนนะ”
“มึงนั่นล่ะที่ต้องรอ”มันทำหน่าไม่เก็ท ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมเสียหน่อยที่ต้องบอกมันว่าผมจะไปเที่ยวกับพี่มินในช่วงปิดมิดเทอมสั้นๆ คราวนี้มันสองคนจะได้รู้ซึ้งถึงคำว่าห่างอย่างแท้จริงซะที ถือว่าได้ไปพักผ่อนหาความสบายใจให้ตัวเองบ้าง
“หมายความว่าไง”
“เปล่า”ผมไหวไหล่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นๆ อย่างน้อยๆตอนนี้ผมอยากให้มันสบายใจจากปัญหาที่เจอ เดี๋ยวมันจะประสาทแดกหากรู้ว่าผมจะไปกับพี่มินพี่พิสคนที่มันเหม็นหน้าทั้งสองคน แต่จะว่าไป...ผมนึกอาการของพวกมันสองคนออกเลยล่ะ!
********************************************
วันแข่งดนตรีคณะวิศวะจัดขึ้นที่ลานกว้างในคณะ ทั้งทีมาตั้งแสงสีพร้อม จัดช่วงเย็นๆคนเลยค่อนข้างเยอะ ส่วนมากจะเป็นสาวๆ ผมลากไอ้ชายมาเป็นเพื่อนเพราะไอ้เคนไม่ว่างต้องเฝ้าไข้เมีย
“คนเยอะชิบ คณะมันนี่ลงทุนเวอร์ ต่างจากคณะเราลิบลับ งบไม่ค่อยถึง”ไอ้ชายพึมพำ งานนี้นอกจากจะแข่งวงดนตรีแล้วยังมีงานออกร้านของพวกวิศวะด้วย
“แล้วไอ้ตินไม่มาเหรอ ถึงได้ลากกูมาด้วย”มันหันมาถาม ก่อนจะกลับไปมองสาววิศวะที่ร้านขายขนมครกตามเดิม
“เออ ไม่มา ถามมากว่ะ”ผมหาทำเลเหมาะๆ สอดส่องสายตาหาที่นั่งดีๆ
“ทางนี้ๆ”ไอ้เนมโบกมือมาจากฝั่งซ้ายมือ ใกล้ๆกับลำโพง ดีที่หันไปอีกข้าง ไม่งั้นได้หูอื้อหูแตกแน่ๆ ผมลากไอ้ชายเข้าไปหาไอ้เนม ข้างๆมันมีพวกเด็กปีหนึ่งและปีสี่ปะปนกันอยู่ ไอ้ปั๊มส่งยิ้มทักทายมาให้
“พี่ปาอ่ะ”ผมถามเมื่อไม่เห็นขาประจำ
“ยังไม่มา”ไอ้เนมยิ้มเหมือนคิดอะไรอยู่
“ตอนแรกคิดว่ามึงจะไม่มาซะแล้ว”
“แค่มาเชียร์เฉยๆ”วงของไอ้ภูแสดงคิวที่หกนู่น แต่ผมก็มาก่อนอยู่ดี
“คิดถึงมันอ่ะดิ”มันแซว ผมส่ายหน้าหน่ายๆ ไม่อยากจะตอบ ยังไงเดี๋ยวมันก็หาเรื่องแซวได้อยู่ดี
“อ้ะอ้าว มาเชียร์ด้วยเหรอน้องฟิก”ไอ้พี่ฉัตรโผล่มากับไอ้พี่กร ทั้งคู่ใส่เสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มเหมือนกัน ตรงอกซ้ายสกรีนรูปเกียร์ มีชื่อสาขาห้อยอยู่ด้านใต้
“ไม่ได้มาเชียร์มึงแน่นอน”ไอ้เนมแทรก วงของไอ้ภูประกอบไปด้วยไอ้พี่กร พี่เปามือกี้ตาร์ พี่ฉัตรร้องนำอีกต่างหาก (ไม่น่าเชื่อจริงๆ) และเพื่อนของไอ้พี่กรที่ผมไม่รู้จักเล่นเบส ส่วนไอ้ภูมือกลอง
“พี่ภูอยู่หลังเวที”ไอ้พี่ฉัตรบอกไม่ทันขาดคำ เจ้าตัวก็โผล่มาพอดี มันเองก็ใส่เสื้อแบบเดียวกันกับสมาชิกในวง หน้าตามันแจ่มใสมากกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด แต่ผมกับมันก็ไม่ได้คุยอะไรมากอยู่ดี ไอ้เนมพึมพำอะไรสักอย่าง เบาๆ
“พวกมึงนี่เข้าใจยากจริงๆ”
“ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่มีอะไรง่ายหรอก”ไอ้เนมถึงกับเหลีนวมามองเมื่อได้ยินที่ผมพูด
“แหม ลึกล้ำจริงๆ กูก็หวังว่าพวกมึงจะคุยกันเร็วๆนะ กูเบื่อหน้าไอ้ภูแล้ว”เหตุเพราะไอ้ภูมักสลับไปค้างที่หอไอ้เนมด้วย ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าบ่อยแค่ไหน
“ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้น กูไม่ได้คิดพิศวาสอะไรมันหรอก”ผมเหลียวมองเจ้าของคำพูดข้างตัวทันที
“ตลกแล้ว กูไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย”ไอ้เนมนี่หูตาไวจริงๆ
“แค่เห็นสีหน้ามึงกูก็รู้แล้ว”มันหัวเราะเบาๆ ระหว่างนั้นไอ้ตินก็โทรเข้ามาได้จังหวะพอดี
“มีไร”
[ไปดูพี่ภูแข่งดนตรีเหรอ] ผมไม่ค่อยได้ยินเสียงของมันเท่าไหร่เพราะเสียงพูดคุยจากรอบตัวบวกกับเสียงเทสเครื่องดนตรีจากบนเวที
“อืม พอดีอยู่ว่างๆ ทำไมมึงไม่มาล่ะ หรือว่ามีนัดแล้ว”ผมแกล้งพูดไปแบบนั้นอยากรู้ว่ามันจะตอบยังไง
[จะมีกับใครล่ะ ก็รักแค่คนเดียว] แอบเบ้ปากให้กับคำตอบของคนปลายสาย
“แล้วโทรมามีอะไร”ผมเปลี่ยนเรื่อง
[โทรหาแฟน]
“อ้าว นี่กูยังเป็นแฟนกับมึงอยู่เหรอ”
[เป็น ตอนนี้แค่อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ] ได้ยินเสียงลมหายใจมันแว่วมา
[มึงเบื่อไหม]
“ก็นิดหน่อย”ผมตอบไปตามตรง แต่มันก็รู้สึกแปลกไปบ้างเพราะที่ผ่านมาหากมีเรื่องไม่พวกมันก็ผมจะเป็นฝ่ายวิ่งตามตลอด พอได้อยู่เฉยๆถอยห่างบ้าง มันก็ดีไปอีกแบบ บางทีความสัมพันธ์ยุ่งยากแบบนี้อาจต้องการที่ว่างให้กันบ้างก็ได้ล่ะมั้ง
[ยังไหวไหม] ไอ้ตินนี่ถามโง่ๆอีกแล้ว
“มึงก็รู้ว่าคนอย่างกูไหวอยู่แล้ว”และผมก็รู้ว่ามันก็เหมือนกัน คนที่น่าเป็นห่วงคือคนอย่างไอ้ภูมากกว่า คนที่ไม่ค่อยมีที่พึ่งทางใจ อย่างตอนที่ได้อ่านไดอารี่ของพวกมันสองคน ความต่างอย่างเห็นได้ชัดคือไอ้ตินรับมือกับคำว่า ‘ไม่มีผม’ได้ดีกว่าไอ้ภูเยอะ เพราะไอ้ตินมันเป็นคนเข้มแข็งขนาดเจอเรื่องพี่อันมากิ๊กกั๊กกับผม มันยังทนได้ตั้งนาน คนที่ผมควรจะกลัวไม่ใช่ไอภูหรอก แต่เป็นคนอย่างไอ้ตินต่างหาก
ผมเหลือบมองไอ้ภูที่จับกลุ่มคุยกับพวกเด็กปีสองอยู่ สบตากับมันครู่หนึ่งก่อนจะเป็นฝ่ายเบนสายตาออกมาเอง
“กูไม่ค่อยได้ยินว่ะ แค่นี้ก่อนนะ”ไอ้ตินตอบอะไรมาสักอย่างที่ผมได้ยินไม่ถนัดนักแต่ไอ้ผมดันมือไวกดวางสายไปซะก่อน
“พี่ฟิกพอจะว่างไหมครับ”คนที่มาสะกิดผมไม่ใช่ใคร คือไอ้ปั๊มอดีตสายสืบของผมนี่เอง
“เออ ว่างๆ”ผมกำลังงงว่ามันมีเรื่องจะคุยอะไรกับผม ไอ้ปั๊มพยักหน้าให้ผมเดินตามมันไป
“เดี๋ยวกูมานะ”ผมสะกิดไอ้ชาย ไอ้นี่ไม่ได้สนใจผมเลย
ไอ้ปั๊มนำผมมารอบนอก บริเวณที่ห่างจากเวทีและร้านค้า โล่งหูอย่างบอกไม่ถูก สีหน้าของเด็กรุ่นน้องดูไม่ค่อยดีนักจนผมสังเกตได้
“มึงเป็นอะไรวะปั๊ม”ผมไม่ค่อยสบายใจนักอาจเป็นเพราะท่าทางของมันเหมือนกับเมื่อตอนที่มันมีเรื่องจะถามเมื่อนานมาแล้ว ไอ้ปั๊มเลียริมฝีปากอย่างคิดไม่ตก
“ผมอยากปรึกษาพี่ฟิกเพราะ...ผมไว้ใจพี่แล้วก็...ผมไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับใครคือว่าพี่จำเมื่อตอนนั้นได้ไหม ที่ร้านหมูกระทะ วันที่พี่ภูเมา”ผมจำได้ชัดอยู่แล้ว ก็วันนั้นไอ้ภูเมาเสียจนงอแงร้องไห้ขี้มูกโป่ง นึกแล้วก็ขำ
“เออ จำได้”ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันตั้งใจจะบอกอะไร
“วันนั้นผมได้รู้จักกับพี่เนมโดยบังเอิญเพราะพี่เขาไปส่งที่หอ ทีนี้ก็เลยรู้ว่าผมเดือดร้อนเรื่องเงิน อันที่จริงพี่เนมก็รู้ตั้งแต่วันที่เจอกันที่ผับตอนนั้นแล้ว”เมื่อครั้งที่ผมไปเจอมันโดยบังเอิญ ผมกำลังเรียบเรียงเรื่องราวตามที่มันเล่า ไอ้เนมน่ะเหรอ....เอ๊ะหรือว่ามันกับไอ้เนมมีซัมติงกัน
“อย่าบอกนะว่ามึงกับมัน...”ไอ้ปั๊มรีบโบกมือไปมาทันที
“ไม่ใช่ครับ คือพี่เนมแค่ช่วยผมเรื่องเงินเฉยๆ”ผมตาโตทันที
“แค่นั้นน่ะเหรอ”ไม่น่าเชื่อ
“แค่นั้นแหละ แปลกเนอะ”ขนาดเจ้าตัวยังแปลกใจ
“แล้วยังไง....มึงเสียดายเหรอที่ไม่ได้แอ้มมัน”ไอ้ปั๊มหัวเราะเบาๆ แล้วก็เงียบจนเสียงเพลงจากในงานแว่วแทรกแทนที่
“คือ...ความจริงพี่เนมเขาก็ไม่ได้อะไรกับผมหรอก แต่ผมกลับรู้สึกไปเอง”ผมถึงบางอ้อ นี่ผมกลายเป็นที่ปรึกษาด้านหัวใจไปแล้วเหรอ
“มึงชอบไอ้เนม?”
“ก็...ไม่รู้ ผมไม่แน่ใจ”มันกระแอม กระไอเหมือนมีอะไรติดคอ ผมมองรุ่นน้องตรงหน้าอย่างเห็นใจ
“มึงอย่าไปยุ่งกับมันเลย”ไอ้ปั๊มเลิกคิ้วเหมือนสงสัยว่าทำไม
“คนอย่างมันไม่เปิดรับใครง่ายๆหรอก มันทำดีกับมึงก็จริง แต่มันก็แค่นั้นแหละ รู้ไหมตั้งแต่กูรู้จักมันมาจนถึงตอนนี้กูก็ยังไม่เห็นมันจะสนใจใครที่ไหน”บางทีอาจเป็นเพราะว่าไอ้เนมชินกับการอยู่คนเดียวมานานแล้วก็ได้ ยิ่งเจอเรื่องไอ้ภูมันก็ยิ่งสร้างกำแพงมากขึ้น ผมเองยังอดเห็นใจมันไม่ได้เลยที่เห็นมันต้องอยู่อย่างหงอยๆเหงาๆแบบนี้
“เรื่องนี้พี่ฟิกไม่คิดว่ามีความเป็นไปได้เลยเหรอ..”แต่มันก็ยังดูมั่นใจในตัวเองอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“อืม กูว่าไม่ ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ แต่คนอย่างมันไม่สนใจเด็กแบบมึงหรอก มึงชอบเหรอวะ กับไอ้การที่ต้องวิ่งตามคนอื่นน่ะ”ผมไม่ชอบเป็นฝ่ายไล่ตามเพื่อร้องขอความรัก เพราะผมคิดเสมอว่าตัวเองมีดีพอให้คนอื่นเข้าหา (มั่นใจมาก) หรืออาจเป็นเพราะผมไม่ชอบอะไรที่มันยุ่งยากมากก็ได้ ผมถอนหายใจ ก่อนมองหน้าไอ้ปั๊มอย่างเครียดๆ กับไอ้เนมผมว่าท่าจะยาก
“มึงสับสนอยู่รึเปล่า”เท่าที่ได้ยินมามันก็มีแม่ยกเหมือนกัน ร้ายใช่เล่น
“ผมเปล่า...”
“มึงปรึกษาผิดคนแล้วว่ะ”ผมถอนหายใจยาวก่อนจะกลับมามองมันอีกครั้ง
“ไม่ลองคุยกับไอ้ภูล่ะ สายรหัสมึงนี่”กับไอ้ภูจะให้คำปรึกษาแบบไหนผมก็นึกไม่ออกจริงๆ แต่คิดว่ามันคงสนับสนุนแน่ๆเพราะมันอยากเห็นไอ้เนมเป็นฝั่งเป็นฝาใจจะขาด
“ไม่เอาหรอก ใครจะกล้า”ไอ้ปั๊มหัวเราะ ทำท่าเก้ๆกังๆก่อนจะรีบเดินออกไปทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวซะงั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง หันไปมองก็พบสาเหตผิดปกติของไอ้ปั๊ม ไอ้เนมโผล่มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“มาซะกูตกใจหมด”
“มันมาคุยอะไรกับมึง”แต่สีหน้าของมันดูจะรู้อยู่แล้ว
“คิดจะเลี้ยงเด็กหรอมึง”ขอแซวมันบ้าง
“เด็กบ้าอะไรตัวใหญ่อย่างกับควาย มึงไม่ต้องมาแซวกูหรอก กูไม่ได้พิศวาสมัน แค่อยากช่วยเพราะไม่อยากเห็นมันเดินทางผิดๆ”ไอ้เนมถอนหายใจ หยิบลูกอมแกะเข้าปาก
“พระเอกชัดๆ”ไอเเนมหรี่ตามองอย่างหงุดหงิด
“กูพูดจริง...อย่างไอ้ปั๊มให้สาวๆเก็บไว้เป็นพ่อพันธ์เถอะว่ะ ก็เห็นว่ามันมีสาวมาติดเยอะเหมือนกัน ที่มันคิดแบบนี้
อาจเพราะตอนนั้นมันไม่มีที่พึ่ง กูคงเข้าไปถูกจังหวะล่ะมั้ง ช่วงที่เราอ่อนแอ ใจเรามันก็อ่อนตาม”มันเริ่มพร่ำเพ้อ
“กูแค่อยากช่วยมันในฐานะรุ่นพี่เฉยๆ”ผมลอบมองสีหน้าสงบของอีกฝ่าย รวบรวมความกล้าถามเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจมานาน
“ที่มึงไม่คบใคร ปิดกั้นตัวเองแบบนี้ เป็นเพราะไอ้ภูเหรอวะ”เกิดความเงียบทันที ไอ้เนมหันมามองผมด้วยรอยยิ้มจาง มันดูหนักใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“ก็อาจจะมีส่วน เรื่องไอ้ภูเหมือนเป็นระเบิดลูกใหญ่ในชีวิตกูเลยว่ะ จะเคลียร์ให้สิ้นซากก็ทำไม่ได้ สำหรับกูคงต้องใช้เวลามากกว่านี้ อาจจะสามสี่ปีหรือนานกว่านั้นก็ได้”
“ถ้าย้อนเวลาได้มึงจะทำแบบเดิมไหม”
“ทำ”มันตอบชัดถ้อยชัดคำก่อนจะยกยิ้ม
“ตอนนั้นกูเหม็นหน้ามึงจริงๆนะ ได้ต่อยสักหมัดก็คงดี มันก็ตลกดีนะเว้ยมึงเข้ามาในชีวิตมันแค่แป๊บเดียว มึงก็ได้ใจมันแล้ว”ไอ้เนมพึมพำเบาๆ
“เพื่อนมึงคงชอบของแปลกมั้ง”ที่แปลกกว่าคือผมกับไอ้เนมมาคุยกันเรื่องประเด็นเก่าๆนี่แหละ
“มันจริงจังกับมึงจริงๆนะไอ้ฟิก ถึงการกระทำจะดูเข้าใจยากไปหน่อย แต่กับมึงมันให้สุดๆแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่ทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้หรอก คงบอกเลิกมึงไปตั้งแต่ครั้งไอ้เน็ตแล้ว”
“เออ กูรู้”
“อย่าทำให้มันเสียใจนะ”
“มึงเก็บไว้บอกเพื่อนมึงเถอะ”
“กูหมายถึง...มึงก็คงรู้อ่ะนะว่าไอ้ภูมันอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก”
“มึงไม่ต้องมาบิ้วท์กูให้ยาก เรื่องตอนนี้ระหว่างกูกับมันปล่อยให้ช่องว่างเป็นตัวตัดสินดีกว่า”ผมชกไหล่มันให้เลิกพูดเรื่องไอ้ภูได้แล้ว ไอ้้นมก็รีบขึงตาห้ามเมื่อเห็นตั้งท่าจะพูดเรื่องมันบ้าง
“ปล่อยกูไว้แบบนี้เหอะว่ะ กูชอบอยู่คนเดียว”ฟังดูเปล่าเปลี่ยวชอบกล ไอ้เนมหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ไม่อยากให้ใครบางคนมีคู่แข่ง...แค่นี้มันก็เข้าหากูยากล่ะ”ไอ้เนมพูดจาชวนงง มันหมายถึงใครวะ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใครก็ตาม ผมสัมผัสได้ว่ามันผ่อนคลายและอารมณ์ดีกว่าเดิมเยอะเวลาที่พูดถึง ก็เอาใจช่วยมันล่ะกันถึงบางครั้งจะมีหมั่นไส้มันบ้าง แต่ผมไม่อยากให้มันปิดกั้นตัวเองเพราะแผลจากเรืองไอ้ภู เรื่องบางเรื่องมันก็ต้องใช้เวลา ...อาจจะรวมถึงพวกผมด้วยก็ได้!?
ผมกับไอ้เนมกลับมาที่หน้าเวทีอีกครั้งพี่ปาก็โผล่มาแล้ว พวกไอ้ภูหายไปเตรียมตัวอยู่หลังเวที เพราะใกล้จะถึงคิวแสดงแล้ว ผมซื้อดอกกุหลาบจากเด็กปีหนึ่งติดมือมาด้วย ไม่ได้จะเอามาให้ไอ้ภูหรอกครับแค่ซื้อมาเพราะเห็นว่าบริจาคให้กับมูลนิธิเด็กกำพร้า ผมมันคนใจบุญก็แบบนี้แหละ
“นั่นแน่...ซื้อมาให้เด็กแถวนี้เหรอ”พี่ปาทักทันที
“ซื้อให้พี่เปาต่างหาก”ดูท่าแล้วคงไม่มีสาวๆให้ดอกไม้แน่ ก็จริงตามคาด เมื่อวงไอ้ภูขึ้นโชว์คนที่ฮอตที่สุดคือไอ้พี่กร ได้ดอกกุหลาบไปช่อใหญ่ ส่วนไอ้ภูก็มีรุ่นน้องเอามาให้บ้าง ผมเดินไปหน้าเวทีก่อนจะส่งดอกไม้ให้พี่เปาด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
“ให้ผิดคนรึเปล่า”อีกฝ่ายทำหน้างง เหลียวมองไอ้ภูด้วยท่าทางเกรงๆ มันเองก็มองมาที่ผมเหมือนกัน
“ให้พี่นั่นแหละ รับไปเถอะ คนมองแล้ว”ผมสั่นดอกไม้ในมือ เมื่อเจ้าตัวยังไม่รับไปเสียที
“แล้วเอามาให้กูทำไมว้า”ไอ้พี่เปาดูว้าวุ่นน่าดู
“เห็นว่าร้องเพลงเพราะดี ผิดด้วยเหรอ แค่นี้ต้องคิดมากด้วยเหรอไง”ผมไม่ได้ตั้งใจจะกวนตีนใครทั้งนั้นแหละ ก็แค่อยากให้ แค่นั้น ผมสบตากับไอ้ภู มันแค่มองมาก่อนจะไหวไหล่ ไม่รู้ว่าตื่นเวทีหรืออะไรตอนแสดงผมเห็นมันทำไม้กลองหลุดมือด้วย
“แย่งซีนตลอด”พี่ปาบ่นพึมพำ
“เดี๋ยวสามีมึงก็งอนน้อยใจแก้มป่องหรอก”ไอ้ชายพูดซะน่ากลัวเชียว ถ้าไอ้ภูทำแบบนั้นจริงๆผมคงตาค้างไปหลายวันแน่
“ถ้าเรื่องแค่นี้งอน ชาตินี้คงไม่ต้องคุยกันแล้วว่ะ ดูที่เจตนากูด้วย”ผมทำหน้าจริงจัง มองเวลาก็ค่ำแล้วผมคงอยู่จนถึงประกาศรางวัลไม่ไหวหรอก มีงานต้องเคลียร์อีก
“กูกลับก่อนนะ ฝากบอกมันด้วย”ตอนนี้มันกำลังโดนรุ่นน้องรุมถ่ายรูปอยู่ ไม่ใช่เพราะว่ามันฮอตอะไรหรอกแต่เพราะมันคือ พี่ภูวิศวะต่างหาก เด็กในคณะมันก็ต้องเคยได้ยินชื่อเสีย(ง)ของมันมาบ้างอยู่แล้ว
ผมกลับมาที่ห้อง เอาผ้ากองโตลงไปซักที่ห้องโถง บังเอิญเจอกับโจทก์เก่าอย่างไอ้เน็ตอีก ผมแค่ปรายตามองอย่างไม่สนใจนัก มันกำลังเลือกผ้าลงถังอยู่ข้างๆ
“อยู่คนเดียวเหรอ”มันพูดลอยๆเหมือนชวนคุย ผมไม่ได้ตอบอะไร รีบๆหยอดเหรียญ แต่ไอ้ตู้เฮงซวยกลับกินเหรียญผมไปซะงั้น ไม่ทันได้บ่นไอ้เน็ตก็เอื้อมมาหยอดเหรียญให้
“แค่คุยด้วยจะตายเหรอไง”มันเริ่มจะหงุดหงิด
“ไม่อยากคุยด้วย มีปัญหาอะไรไหม”ผมหันไปมองมันเต็มตาเป็นครั้งแรก ถ้ามีเนื่องกับไอ้เน็ตผมสู้ได้อยู่แล้ว คิดว่ามันคงผอมแห้งแรงน้อยแน่ๆ ครั้งนี้ไอ้ฟิกพร้อมสู้เว้ย แต่ถ้ามันมีสามีมาด้วยค่อยว่ากันอีกที
“ทำไม กลัวจะตกหลุมเราอีกรอบเหรอ”ผมหัวเราะในทันที
“ที่บ้านเปิดคาเฟ่เหรอ ทำไมพูดจาตลกแบบนี้ กูแค่ไม่อยากคุยกับมึง แค่นี้แหละ ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย”ไอ้เน็ตเหมือนจะฉุนหนักกว่าเดิม
“เหรอ...ระวังไว้ให้ดีก็แล้วกัน”
“มึงจะย่องหากูตอนดึกเหรอ”ไอ้นี่พูดจาน่ากลัวเข้าไปทุกที ไอ้เน็ตมองผมเหมือนคนเป็นโรคประสาท ผมรีบชิ่งเพราะไม่อยากเสวนากับมันนานๆ
“สองคนนั่นไปไหนซะแล้วล่ะ”มันเดินตามมา อยากจะด่ามันอยู่หรอกแต่นึกได้ว่ามันอยู่ชั้นเดียวกับผมนี่นา!
“เลิกกันแล้วเหรอ”มันพล่ามตามหลัง ผมรีบก้าวหนีทีละสองขั้น เมื่อถึงห้องแล้วก็รีบไขกุญแจ ล็อคห้องทันที
ฟู่วววว
มันก็แค่ไอ้เน็ต นี่ผมกลัวมันขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย ไม่ได้การแล้ว จากเรื่องครั้งนี้ ผมมั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นแล้วว่าจะไป เที่ยวบ้านเกิดพี่มิน!
(มีต่อ)