ตอนที่๘ ออกค่าย3 คืนนี้ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่เจออาถรรพ์ใดๆให้ผมหลอน จะมีแต่ก็อาถรรพ์จากไอ้สองคนนี่นั่นแหละ ทั้งๆที่รู้ว่าผมกลัวมันจะยังมาแกล้งผมอีก ด้วยเหตุนี้ผมเลยอพยพไปนอนกับไอ้เคนแทน นอนตรงกลางระหว่างพวกมันนี่แหละ เพราะผมกลัวผี
“อะไรมึงเนี่ย ฟิก นอนเบียดกูจังวะ”ไอ้ชายบ่นเมื่อผมเบียดเข้าไปใกล้ๆ
“กูหนาว”หนาวแอร์ไม่มีอื่นใดเจือปนจริงๆ
“อย่าบอกนะเกิดอารมณ์กับกูขึ้นมาอ่ะ”
“โหย ไอ้ชายใช้ส้นตีนคิดเหรอวะ ถ้ากูอารมณ์ขึ้นกับมึง กูขึ้นกับไอ้เคนดีกว่าอีก”ว่าแล้วก็พลิกตัวไปกอดไอ้เคนแทน กับไอ้เคนเนี่ยมันไม่ค่อยจะโวยวายเวลาผมแกล้งซบแกล้งกอดมันหรอก เพราะมันรู้ไงว่าผมแกล้ง
“พูดงี้กูเสียวนะ”มันพึมพำกลับมาอ้าปากหาวหวอดๆ
“เสียวอะไรวะ”ผมกระซิบถามมันแกล้งเป่าลมใส่หูมันอีกต่อ มันก็เลยยกขาขึ้นถีบผม แต่ผมหลบทันเลยโดนน้องผมไปหน่อยนึง ดีนะไม่จุกมาก ผมเลยเอาคืนมันด้วยการเตะคืน
“พวกมึงจะดังกันทำไมวะ”ไอ้ภูแหวมา มันดันตัวขึ้นมามองผมกับไอ้เคนที่นอนเตะกันอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมัน
“ดังบนหัวพ่อมึงรึไง”ผมสวนกลับ และคิดผิดเพราะไอ้ภูทำหน้าทะมึงถึงใส่ผม
“เล่นพ่อกูเลยเหรอ ห๊ะ”มันใช้เท้าเตะๆเข้าที่หน้าท้องผม เหมือนจะหยอกแต่ทำไมผมจุกวะ
“โทษๆ กูแค่ล้อเล่นเฉยๆ กลับไปนอนที่มึงเลยไป”ผมยันตัวลุกขึ้นมานั่งแล้วตอนนี้ ไม่งั้นจะเสียเปรียบมัน ไอ้ตินเองก็นอนลืมตามองผมอยู่ ผมว่ามันสองคนนี่เข้าขั้นประสาทแล้วนะ
“แล้วพวกมึงเล่นบ้าอะไรกัน นอนกอดกันกลมนี่ถ้ากูไม่รู้จักไอ้เคนกูจะคิดว่ามึงสองคนเล่นชู้กันแล้วนะ”มันคิดอะไรของมันวะ ผมกับไอ้เคนเนี่ยนะ ผมและไอ้เคนหันมามองหน้ากันก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ หัวเราะดังไม่ได้เกรงใจคนอื่น เขานอนกันหมดแล้ว
“เฮ้ย พี่ก็บ้า คิดไปได้ไง”ไอ้เคนพูดเบาๆสีหน้าขบขัน
“ถ้ามันจะเล่นชู้กันนะ ไอ้เคนเสร็จไอ้ฟิกตั้งแต่ตอนม.สี่แล้วพี่”ไอ้ชายแทรกขึ้นมาหลังจากที่นอนขำอยู่นาน
“กูจะไปรู้เหรอ เซ็กซ์เฟรนด์ไง”มันยังไม่จบอีก
“มึงไปนอนที่เดิมไป เดี๋ยวกูได้กลายเป็นชู้มึง”ไอ้เคนไล่ผมให้กลับไปนอนที่เดิม ไอ้ภูยืนยิ้มอย่างผู้ชนะก่อนที่มันจะดึงหมอนของผมไปโยนแหมะอยู่ที่เดิม สุดท้ายก็ต้องไปนอนที่เดิมอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้
“กูถามจริงนะ มึงคิดมากจริงอ่ะ”คือมันค่อนข้างเหลือเชื่อไง กับไอ้เคน…พูดแล้วอยากร้องไห้
“เปล่า กูแค่จะลากมึงกลับมานอนที่เดิม กูไม่หน้ามืดคิดว่ามึงสองคนจะจิ้มกันหรอก”ไอ้ภูหัวเราะหึๆ ผมตีหน้าบึ้งก่อนจะตบหมอนให้เข้าที่แล้วพลิกตัวนอนหันหน้าไปทางไอ้ตินแทนเพราะหมั่นไส้ไอ้ภู
“วันนี้กลัวไหม”จู่ๆมันก็กระซิบถาม
“ไม่อ่ะ”ไม่ค่อยจะหลอนแล้วอาจเป็นเพราะว่าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่นอนด้วยล่ะมั้ง
“ดีแล้ว กูขี้เกียจกล่อมเด็ก”ไอ้ตินพูดยิ้มๆ
“ใครเด็ก”ผมพึมพำก่อนจะหลับตาลง แต่ก็ต้องลืมขึ้นมาอีกครั้งเพราะมือไอ้ภูกำลังซุกซนอยู่ในเสื้อของผม
“ไอ้ภู…”ผมทำเสียงเข้มข่มมัน ถึงตอนนี้จะเกือบๆตีหนึ่งแล้วก็เหอะ มันจะยังมาหื่นอีก
“หืม ว่าไง”มันยกตัวมามองหน้าผม
“สันดานแล้วนะมึงเนี่ย เอามือออกไปเลย”ผมดึงมือมันออกมาจากเสื้อ มันหัวเราะเบาๆก่อนจะหอมแก้มผม
“อ้าว ก็นึกว่าชอบ เห็นขนลุกซู่เลย”ไม่พูดเปล่ามันยังก้มเอาจมูกมาซุกซอกคอผมอีก จนผมเอื้อมมือไปตบหัวมันเต็มแรง
“เจ็บนะหมาฟิก กล้าตบหัวกูเหรอ ห๊ะ”มันทำตาดุใส่ผม ผมปัดมือมันออกให้พ้นตัวก่อนจะนอนเบียดไอ้ตินแทน จนไอ้ภูมันยอมสงบศึก ผมหลับจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกรอบ เพราะได้ยินเสียงแปลกๆ มันดังอยู่ข้างๆผมนี่เอง…เสียงหอบหายใจ ตอนแรกผมก็คิดว่าผีหลอก แต่เมื่อลืมตาและมองไปข้างๆผมก็รู้ว่าเป็นผีไอ้ภู!แม่งมาเล่นว่าวอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้ พอมันเห็นว่าผมตื่นมันก็ดึงผ้าห่มมาคลุมผมแล้วยื่นหน้ามาจูบผมแทน ผมเบี่ยงหน้าออกแต่มันก็เอามือล็อคหน้าผมไว้ ตื่นเต็มตาเลยว่ะ เพราะมือมันแฉะๆ สัดภูนี่มันจริงๆเลยว่ะ
“มาหื่นอะไรตอนนี้”ผมถามมันเบาๆ
“ไม่รู้ มึงถามน้องกูสิ”มันยิ้มชั่ว เรื่องหื่นไว้ใจภู ไม่มีใครเกินหน้ามันแน่นอน กับไอ้ตินนี่ยังไม่ขนาดนี้เลยนะ
“กูร้อน”ผมดึงผ้าห่มลงก่อนจะพลิกตัวหนีไปทางไอ้ตินอีกรอบ ดิ้นสู้กับมือไอ้ภูจนไอ้ตินมันย่นคิ้วไปมาเพราะถูกรบกวน
“เป็นเหี้ยอะไรกัน”มันพึมพำด่ามาทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา
“มึงดูไอ้ภูดิ แม่งมาหื่นอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้”
“อ้าว กูหื่นอยู่คนเดียวหนักหัวมึงตรงไหน”
“เสียงมึงมันรบกวนกู มือมึงด้วย”ว่าแล้วผมก็ขยับตัวไปทางไอ้ตินเพื่อพลิกไปนอนที่ว่างด้านหลังมัน ไอ้ตินทำตาโตเลยเมื่อเห็นผมกำลังเลื้อยอยู่บนตัวมัน
“มึงก็หื่นใช่ไหม ใจเย็น คนเยอะ”ผมนี่เอือมกับพวกมันจริงๆ คิดผิดคิดถูกวะที่มาตกหลุมชั่วๆของมันสองคนเนี่ย สุดท้ายผมก็พลิกมานอนที่ว่างข้างๆไอ้ตินได้สำเร็จ ได้ยินเสียงไอ้ภูบ่นแว่วๆมา
“เชี่ยพี่ภู”ไอ้ตินกระซิบด่า
“เดี๋ยวกูมานะ”ไอ้ภูยันตัวขึ้นมานั่งท่าทางแปลกๆ
“จะไปไหน”ผมถามเมื่อเห็นมันย่องผ่านผมไป
“ห้องน้ำ”ผมนี่ขนลุกวูบเลย
“ปวดขี้?”ผมเลิกคิ้วถามมัน แต่มันก็ไม่ตอบ ผมว่ามันไม่ได้ไปอึแน่ๆ ผมมองหน้าไอ้ตินอยู่ในความมืดเหมือนตกลงกันเงียบๆว่าจะเอายังไง
“ผีหลอกนะมึง”ผมกระซิบตามหลังไป ไอ้ภูชะงักกึกเลย
“พูดทำไมวะ สาธุขอให้มึงเห็นคนเดียว”ไอ้หมาภู แต่มันไม่กลัวคำขู่ของผมเพราะมันเดินออกไปแล้ว
“ความหื่นชนะทุกอย่างนะว่าไหม”ไอ้ตินพึมพำขำๆ ผมหยิบโทรศัพท์มาดูเวลา ตีสามกว่าๆแล้ว มันคงไม่กลัวหรอกมั้ง ผมนอนเล่นเกมส์อยู่ใต้ผ่าห่ม สักพักก็รู้สึกว่าไอ้ภูกลับมาแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันเดินเหยียบผ้าห่มผมระหว่างที่มันเดินผ่าน ผมดึงผ้าห่มลง กระพริบตาปริบๆเมื่อไม่เห็นใคร จู่ๆผมก็ตัวเย็นเฉียบ ก่อนจะค่อยๆมองผ่านไอ้ตินที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวไปมองที่ไอ้ภู…ว่างเปล่า…มันยังไม่กลับมา หรือว่ามันโดนผีหลอกจนช็อคคาห้องน้ำไปแล้ว ผมสะกิดไอ้ตินอีกครั้ง
“ฮื่อ”มันปัดมือผมออกเหมือนรำคาญ
“กูว่า…ไปดูไอ้ภูกันไหม”ไอ้ตินลืมตามองช้าๆ
“พี่เขาว่าวอยู่ไปดูทำไม”มันตอบมาง่วงๆ
“กูว่ากู…”ผมทำปากพะงาบๆเป็นคำว่าผีใส่มัน
“พี่ภูไม่กลัวหรอก จิตแข็งจะตาย”มันงึมงำตอบกลับมา ไอ้ภูเนี่ยนะจิตแข็ง เมื่อวานมันยังทำท่ากลัวอยู่เลย ระหว่างที่กำลังเถียงกันมันก็กลับมาพอดี สีหน้าดูสดชื่นเล็กน้อย
“ข้างนอกอากาศโคตรดีเลยว่ะ กูไปนั่งสูบบุหรี่มา”ไม่บอกผมก็ได้กลิ่นบุหรี่หึ่งๆมาจากมัน ไอ้ภูมองหน้าผม
“เป็นไร หน้าซีดๆนะ”
“มันบอกว่ามันเจออีกแล้ว”ไอ้ตินพูดออกมาเหมือนไม่กลัว จนผมต้องเข้าไปตะครุบปากมัน
“หึๆ กูว่าเขาอาจจะหมั่นไส้มึงนะ กูทำเสียงดังในห้องน้ำไม่เห็นเจออะไรเลย ป่ะ อย่าคิดมาก นอนๆ”มันพูดง่ายๆนะ แต่ผมนี่นอนตาค้างอยู่ใต้ผ้าห่มไปทั้งคืน พื้นมันเย็นอ่ะ เพราะผมกลิ้งออกมานอนนอกผ้าห่มที่พวกมันปูไว้ ไม่เข้าใจจริงๆเลยว่ะ ว่าทำไมต้องเป็นผมคนเดียว
-ตอนเช้า
มีเหตุการณ์ให้พูดถึงอีกแล้ว เมื่อมีใครบางคนได้ยินเสียงแปลกๆระหว่างที่นอน
“จริงๆนะเว้ย กูได้ยินจริงๆ”เด็กศิลปกรรมคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“มึงได้ยินยังไงวะ”ผมอยากรู้เพราะเพื่อจะเจอดีเหมือนผม
“ก็เสียงเหมือนคนครางอ่ะ”ผมกลั้นหัวเราะเต็มที่ ก่อนจะเหลียวไปทางไอ้ภูที่นั่งตีหน้านิ่งอยู่เหมือนคนไม่รู้สึกอะไร
“มึงฝันรึเปล่า”ไอ้ตินพูดขึ้นมาบ้าง แต่ก็พยายามกลั้นยิ้มเต็มที่
“กูก็ได้ยินนะ”ไอ้สัดชายพูดขึ้นมา แต่มันคงรู้ที่มาของเสียงเพราะมันหันมามองหน้าผมด้วยรอยยิ้มส้นตีนๆที่ผมเดาออกว่ามันต้องหาเรื่องมาล้อผมอีกแน่ๆ
“เออ เห็นไหม กูไม่ได้ฝันนะเว้ย ตอนที่พวกเรามาเราก็ไว้ขอที่ศาลหน้าโรงเรียนแล้วนะ”ผมทำหน้ามึน เขาไปไหว้กันตอนไหนวะ ทำไมผมไม่รู้เรื่อง หัวข้อการสนทนาจบลงเมื่อพวกพี่สันทนาการเข้ามาพร้อมกับกลอง
“พี่อยากขอตัวแทนจากสาขาคนล่ะสองคนค่ะ มีใครอาสาไหม”พี่ขิมมองไปรอบๆ ก่อนจะพูดต่อ
“เราจะเล่นเกมส์แซ่บๆของคณะเราให้น้องๆดูเพราะให้น้องทำกันเองมันไม่เหมาะ”ผมเริ่มนั่งก้มหน้าก้มตาเมื่อเห็นพี่จากคณะผมกำลังกวาดตาหาใครสักคน
“ฟิก มาเป็นตัวแทนถาปัตย์หน่อยเร็ว หาเพื่อนมาด้วยอีกคน เคนก็ได้”ผมนี่แทบร้องตะโกนในใจเลยว่าม่ายยยย!กูไม่อยากทำ เกมส์อะไรวะ ผมว่ามันต้องมีให้เต้นเพลงแมงมุมแน่ๆ เพลงนี้เมื่อก่อนผมชอบนะ เห็นคนอื่นทำมันตลกดี แต่ถ้าเป็นผมทำมันไม่เหมาะว่ะ เมื่อผมและไอ้เคนยังคงนั่งนิ่ง ก็เกิดเสียงเชียร์เพื่อกดดัน และไอ้สองคนนั่นก็เป็นตัวนำเลย ผมมองพวกมันด้วยสายตาเหวี่ยงๆ เดี๋ยวพวกมึงจะโดนบ้าง
“พี่ๆ ภาคฟิล์มขอสองคนนั่นได้ไหม ตอนบนรถทัวร์ไม่ได้เต้นนี่ ตอนนี้ก็ต้องมาเต้น”ผมยักคิ้วให้พวกมันสองคนที่ทำหน้าเหวอๆ
“ดีเหมือนกันค่ะ เชิญ”พี่ผู้หญิงผายมือไปทางมันสองคน จนในที่สุดพวกมันก็ต้องออกมา มีเด็กศิลป์อีกสองคนหัวฟูสวมแว่น อีกคนสกินเฮดเกรียนมาเลย คิดแล้วนึกถึงสมัยที่ผมไว้ทรงนี้ อยากกลับไปทำอีก แต่มันสองคนคงไม่ให้ทำแน่ๆ
“เราจะซ้อมกันก่อนนะ เพลงแรก แมงมุมมีใครเต้นไม่เป็นบ้าง พี่จะได้สอน”พี่ขิมพูดพร้อมหัวเราะร้ายกาจ ไอ้เคนหันมามองผมด้วยสายตามืดมน แต่เดี๋ยวนะ…เต้นแมงมุม ไอ้สองคนนั่นก็ต้องเต้นด้วยอ่ะดิ
“เต้นกับคู่เหรอ”ไอ้ตินถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อ๋อใช่ค่ะ เต้นกับคู่…เอ๊ะ หรือจะแยกคู่ดี พี่ว่าก็โอเคนะ จับคู่กันเอง”ไอ้ภูกับไอ้ตินมองหน้ากันก่อนจะหันมามองผม พวกมึงไม่ต้องมองกูด้วยสายตาแบบนั้น ผมรีบไปเกาะหนึบกับเด็กศิลป์หัวเกรียนทันที เมื่อสถานการณ์วุ่นวายผ่านไปผมก็เห็นไอ้ภูจับคู่กับไอ้เคน ไอ้ตินจับคู่กับหนุ่มแว่นหัวฟู ผมหัวเราะหึๆออกมา โอ๊ย ผมไม่อยากจะนึกสภาพพวกมันจริงๆ
“กล้าเต้นเปล่า”ผมเอนตัวไปกระซิบใกล้ๆไอ้ติน
“กูเต้นจนเบื่อแล้วเพลงเนี่ย”เดาว่าคณะมันคงเล่นบ่อย ผมเหลือบมองไอ้ภูที่ทำท่ากระสับกระส่าย ไม่รู้ว่าที่คณะมันเคยเต้นเพลงนี้ไหม
“ตกลงกันเองนะคะว่าใครจะโดนขยุ้ม”เกิดเสียงหัวเราะตามมา ผมหันไปสะกิดไอ้เกรียนแต่มันบอกว่ามันยังไงก็ได้
“ชื่อไรวะ”ว่าแล้วก็ถามชื่อแซ่ซะหน่อย
“บอย”
“กูชื่อฟิกนะ”
“เออ รู้อยู่แล้ว”มันพยักหน้ามาให้ จากนั้นมันก็มาซ้อมเพลงแมงมุมขยุ้มๆ ก็ไม่มีอะไรมากดูเหมือนจะเต้นกันเป็นหมดแล้ว ไอ้ภูก็มึนๆอึนๆไปตามสเต็ปแต่ไอ้เคนมันก็เกรียนไปตามประสา ไอ้บอยนี่ก็เหมือนกัน มาทำหน้าตาฟินใส่ผมอีก แล้วก็เกมส์เดิมที่ผมเกลียดคือกระแทกลูกโป่ง เล่นกันแค่นี้แต่ผมรู้สึกว่ามันเกรียนกว่าเต้นหลายเพลงอีก ไอ้บอยนี่ก็เฮฮาไปตามเรื่อง คือผมว่ามันเป็นคนที่ทะลึ่งๆคนหนึ่งเลยนะ เพราะตอนที่ผมทำลูกโป่งแตกมันดันทำเสียงเสื่อมๆมาอีก คนอื่นก็เฮฮาปาจิงโกะไป ยกเว้นผมที่รู้สึกเหมือนถูกใจมันยังไงก็ไม่รู้ แต่ผมก็รู้ตัวเอง ก็พยายามเลี่ยงๆอยู่ห่างๆมัน กลัวจะมีเรื่องอีกเพราะไอ้ภูกับไอ้ตินเหมือนมันจะจับสังเกตุได้ แต่ผมกับมันยังไม่ได้มีโอกาสคุยกับมันสองคนเลยเพราะต้องคุยเรื่องงานวันนี้
ตอนสายๆน้องๆก็ทยอยเข้ามาด้วยท่าทางตื่นเต้น มีไม่เยอะหรอก เพราะผมสังเกตว่าโรงเรียนนี้เน้นด้านวิชาการมากกว่าด้านศิลป์ๆแบบนี้ พวกพี่ขิมให้พวกผมไปใส่กางเกงของพวกสันฯ พี่เขาก็เอนเตอเทนน้องๆไป แล้วก็ให้เขียนเหตุผลว่าอยากเข้าคณะอะไร สาขาไหน บลาๆ
“เฮ้ย ฟิก เอ็งมีแฟนยังวะ”ไอ้บอยถาม มันชอบใช้คำแปลกๆไม่รู้ว่าสมองเบลอหรือว่ายังไง
“ห๊ะ”ผมหันไปมองไอ้บอยด้วยอาการมึนๆ ไอ้ภูกำลังเล่นเกมส์กับไอ้เคนอยู่พอดี มีคนแซวมันด้วยว่าพี่ว้ากปะทะพี่ว้าก
“กูถามว่ามึงมีแฟนหรือยัง ตกใจอะไรวะ”มันย่นคิ้วน้อยๆ ก่อนจะวางมือบนบ่าของผม เฮ้ย มึงอย่ามองกูแบบนั้น ผมถอยห่างออกมาจากมันเล็กน้อยแบบเนียนๆ
“มีแล้ว”ผมตอบเบาๆก่อนจะร่วมปรบมือให้ไอ้ภูกับไอ้เคนเหมือนคนอื่นๆ
“เออ กูก็ถามไปงั้นแหละ เห็นท่าทางหน้าตามึงแล้วกูสงสารแฟนมึงเลยว่ะ”ผมขมวดคิ้วทันที ทำไมวะ ชักสงสัยล่ะ
“หน้าตาอย่างกูนี่ทำไมวะ”ผมเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา
“ก็…มึงดูร้ายๆอ่ะ เจ้าชู้ใช่เล่นเลยสิ กูมองออก”มันยักคิ้วให้ผมก่อนจะตบหน้าอกผมเบาๆ จนถึงคิวผมกับมันเล่นเกมส์ พี่คณะผมก็เป็นคนพล่าม เอ้ย คนพากษ์ว่าให้น้องๆเลือกว่าใครจะเป็นคนกระแทกลูกโป่ง ทุกเสียงชี้ไปที่ไอ้บอย ผมนี่ซีดเลย
“เฮ้ยพี่”ผมเริ่มส่งสัญญาณให้พี่ขิม แต่ไม่มีใครสนใจผมเลยว่ะ เมื่อมันลูกโป่งเสร็จแล้วผมก็ดึงๆให้ลูกโป่งขึ้นมาอยู่ตรงท้อง เพราะไอ้บอยมันทะลึ่งดึงมาอยู่ต่ำๆตลอด
“มึงอย่ากวนตีน”ผมถลึงตาใส่มัน ไอ้บอยหัวเราะฮ่าๆของมันไป ไม่รู้ว่ามันแกล้งรึเปล่าถึงได้ทำลูกโป่งแตกช้าชิบ ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนๆเพราะอาย เสียงเชียร์ เสียงหัวเราะมันดังไง
“มึงตั้งใจเล่นหน่อยดิวะ”ผมกระซิบบอกมัน พยายามไม่เงยหน้ามองใครแล้ว
“กูตั้งใจแล้ว แต่ลูกโป่งมันลื่นไง”มันหัวเราะกลับมา จนผมปั่นป่วนอยู่ลึกๆ โอ๊ย มึงเป็นอะไรของมึงวะไอ้ฟิก
“สัด”ผมเริ่มหงุดหงิดเพราะอยากให้จบเกมส์เร็วๆ
“มึงก็ช่วยกูหน่อยดิ ดันตัวเข้ามาเร็วๆ”มันกระซิบ ดึงมือผมให้วางบนเอวของมัน ผมนี่ร้อนวูบวาบเลยว่ะ เงยหน้าเห็นใบหน้าบึ้งๆของไอ้ภูกับไอ้ตินแล้วเสียววูบขึ้นมาเลย มันอาจจะดูออกก็ได้ว่าผมรู้สึกยังไง
“กูไม่เล่นแล้วนะเว้ย จริงจังหน่อย”ผมพึมพำเอามือออกจากเอวมัน เริ่มรู้สึกไม่สนุกแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าเล่นแค่เกรียนๆ ผมเหลือบมองรอบๆเห็นน้องๆบางคนนั่งขำ ไอ้ชายทำตาเหลือกๆใส่ผม
ปัง!
และแล้วลูกโป่งก็แตก….ด้วยฝีมือไอ้ติน ไอ้บอยทำหน้างงๆ พี่ๆก็ด้วย แต่ก็กลบเกลื่อนขำกันไป ไอ้ตินกลับไปยืนที่เดิม มองมาที่ผมเหมือนจะบอกว่ามีเรื่องต้องคุย
“เด็กฟิล์มแม่งแย่งซีนว่ะ”ไอ้บอยพูดอย่างหงุดหงิด
“ก็มึงชักช้า”ผมเริ่มกลัวๆแปลกๆ เด็กฟิล์มที่มึงว่าน่ะรุ่นพี่มึงนะเว้ย
“กูชักเร็วอยู่นะ”ผมสตั๊นไปหลายวิกับคำตอบมัน
“โอ๊ย ฮ่าๆ หน้ามึงแม่งจี้ว่ะ อะไรวะ แค่นี้มึงตกใจเหรอ ท่าทางไม่น่าหงิมนะ”มันหัวเราะพลางเอามือมาตบหน้าผมเบาๆ ผมก็ปัดมือมันออกอย่างหงุดหงิด
“กูแค่ไม่คิดว่ามึงจะเล่น”ผมขอตัวพวกพี่ๆไปเข้าห้องน้ำ ก็ตามคาดไอ้ภูกับไอ้ตินขอตัวมากับผมด้วย พอเข้ามาในห้องน้ำปุ๊บพวกมันก็รีบดึงตัวผมเข้าไปในห้องน้ำทันที
“มึงชอบมันเหรอ”เป็นคำถามที่ทำผมใบ้กิน
“ไม่ตอบแสดงว่าจริง”ไอ้ตินพูดเสียงเรียบ
“ไม่ได้ชอบมัน แค่…”ไอ้ภูกอดอกเลิกคิ้วมองผม
“แค่ถูกใจมันนิดหน่อยเฉยๆ”ผมตอบไปตามความจริง
“แต่พวกมึงก็เห็นว่ากูเองก็เลี่ยงๆไม่เข้าใกล้มัน”เพราะผมรู้ตัวเองไงว่าเริ่มถูกใจมัน ไม่อยากทำตัวเพิกเฉยเหมือนคราวไอ้เน็ต เดี๋ยวไหลตามไม่รู้ตัว
“เออ แต่ดูท่ามันจะไม่เลี่ยงว่ะ”ไอ้ภูพูดขึ้นมา
“มันแค่เล่นๆ”
“ทำมาอาย หน้าบางตั้งแต่เมื่อไหร่วะ มึงเนี่ย”ไอ้ตินแขวะผมเรื่องเกมส์ลูกโป่ง
“ก็คนมันเยอะ”ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม จนมันสองคนดูจะหงุดหงิดมากขึ้น
“มึงสองคนวางใจเหอะ กูไม่นอกใจมึงหรอก กูรู้ว่ากูมีพวกมึงอยู่ตั้งสองคน กูจะทำแบบนั้นได้ยังไง ไว้ใจกูหน่อยนะ กูไม่ใช่ไอ้ฟิกคนเมื่อก่อนแล้วนะเว้ย”ผมพูดเสียงอ่อนลง จับมือพวกมันสองคนให้คลายความกังวล
“เออ กูแค่…ไม่ชอบให้ใครมาใกล้มึง ไม่ชอบให้มึงไปเขินมัน”ไอ้ภูถอนหายใจแรงๆ
“กูอาย ไม่ได้เขิน”ผมว่ามันต่างกันนะ
“มึงรู้สึกยังไงกับมัน ตอนที่เล่นเกมส์อ่ะ ตอบมาตรงๆกูไม่ว่า”ไอ้ตินพูดขึ้นมา ผมก็ตอบไปตามความจริง
“ยังจะรู้สึกแบบนั้นกับคนอื่นทั้งๆที่พวกกูก็อยู่ด้วยเนี่ยนะ”ไอ้ตินทำหน้านิ่งจนผมเริ่มรู้สึกผิด กับไอ้ภูมันเคยเล่าๆให้ผมฟังเหมือนกันว่ามันเองก็เคยรู้สึกสนใจเด็กในคณะบางคน แต่มันไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะเวลาที่มันรู้สึกแบบนั้นมันจะโทรมาคุยกับผมเพื่อย้ำความรู้สึกของตัวเอง แล้วความรู้สึกพวกนั้นก็จะหายไปในทันที
“เออ กูขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ”มันเกิดขึ้นกะทันหันเหมือนเวลาสปาร์คใครสักคนอ่ะ ผมเข้าไปกอดพวกมันสองคนหลวมๆ
“เฮ้ย ไอ้ฟิก มึงอยู่ในนี้เปล่าวะ”เสียงไอ้บอยดังมาจากด้านนอก ไอ้ตินยกนิ้วแตะปากผม ก่อนจะก้มมาจูบ มือมันล้วงเข้ามาลูบๆคลำๆตรงตำแหน่งหัวใจที่เต้นตึกๆเพราะความตื่นเต้น อย่าบอกนะว่าพวกมันเกิดอารมณ์หื่นขึ้นมาตอนนี้ มีเสียงฝีเท้าดังอยู่ด้านนอก ผมพยายามกลั้นเสียงของตัวเองเมื่อถูกริมฝีปากอุ่นของพวกมันโจมตีตามร่างกาย เสียงฝีเท้าแว่วหายไปจากห้องน้ำ ตอนแรกก็คิดว่ามันสองคนจะหยุดแต่ที่ไหนได้มันดันสานต่อ ผมก็ปล่อยเลยตามเลย พวกมันอาจจะไม่สบายใจก็ได้เพราะมีไม่มากหรอกที่ผมจะถูกใจใครก่อน จนมันสองคนพอใจจึงปล่อยให้ผมหายใจหายคอ
“ป่ะ กลับกัน ออกมานานแล้ว”ไอ้ตินพูดพร้อมรอยยิ้ม ผมได้แต่อึกอัก มาทำผมอารมณ์ค้างแล้วชิ่งหนีซะงั้น
“เดี๋ยวดิ”ผมคว้าชายเสื้อของมันสองคน
“อะไร”ไอ้ภูถามพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก ไอ้พวกนี้จงใจชัดๆ
“คือกู…”
“ว่า”ต้องให้ผมพูดให้ได้ใช่ไหมวะ
“ช่วยกูก่อนดิ”ผมหน้าร้อนผ่าวๆขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ หมู่นี้ทำไมมุ้งมิ้งจังวะ ผมเนี่ย
“ก็ตอนแรกทำท่าเหมือนไม่ยอม”ไอ้ตินพูดพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นผมกับพวกมันก็ร่วมด้วยช่วยกันจนบรรลุโสดาบัน (ไม่ใช่ล่ะ) ผมจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะออกจากห้องน้ำ ดีที่ไม่มีใครโผล่มาจ๊ะเอ๋กับผม
กลับเข้าไปที่หอประชุม ไอ้บอยมันก็มองผมกับไอ้สองคนด้วยสายตาแปลกๆ แต่มันไม่ได้เข้ามาวุ่นวายยุ่มย่ามอะไร แต่ถึงไอ้ภูกับไอ้ตินไม่เข้ามาคุยกับผม ผมก็มั่นใจว่าผมหนักแน่นพอ ถึงจะเผลอไปบ้าง แต่ผมก็รู้น่า…ว่าผมมีคนสำคัญที่หาจากที่ไหนไม่ได้แล้วอยู่ตั้งสองคน
…………………………………………………………….
และแล้วก็ได้เวลากลับ พวกพี่ๆก็ล่ำลากับน้องๆ เอาขนมมาแจกและสร้อยข้อมือที่ทำจากหนังแจกน้องๆ จู่ๆพวกมันสองคนก็คว้าข้อมือของผมไปคนละข้างก่อนจะสวมสร้อยข้อมือหนังนั่นให้ผม
“ไปแอบทำตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”ผมถามงงๆเมื่อเห็นว่ามีชื่อของพวกมันสลักอยู่บนนั้น
“ไม่บอก”ไอ้ตินเข้ามากระซิบใกล้ๆกับผม
“ตอนแรกกูกะว่าจะทำปลอกคอล่ะ คนอื่นจะได้รู้ว่ามึงมีเจ้าของ”ผมดันหน้าผากมันออก
“กูไม่ใช่หมานะเว้ย”
“อ้าว นึกว่าใช่ นี่กูคิดแบบนั้นมาตลอดเลยนะเนี่ย”ไอ้ภูหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้ของมันมาสะพายหลัง มันกลับมาใส่ชุดไปรเวทแล้ว หล่อดูดีมาก
“ตอนเย็นแวะไปกินข้าวเลยไหม กว่าจะถึงก็เกือบทุ่มพอดี”ไอ้ตินเสนอ
“กูอยากกินหมูกระทะ”ผมพูดแทรก
“เออ ชวนเพื่อนมึงมาด้วยดิ๊”ไอ้ภูกดโทรรศัพท์ไปพลาง
“นั่นแน่ เต้นแมงมุมไปเพลงเดียว ติดใจไอ้เคนเลยล่ะสิ กูว่ามันทำเสียงเพราะดีนะ”เพราะไอ้ตอนที่ขยุ้มๆมันทำเสียงเสื่อมๆไปด้วยไง ผมโดนตบหัวจนหัวทิ่ม ไม่ใช่ฝีมือไอ้ภูหรือไอ้ติน แต่เป็นไอ้เคนเนี่ยแหละ มันเดินตามหลังมา
“ทะลึ่งแล้วนะมึง”มันทำหน้าหงุดหงิด
“ล้อเล่นเอง มึงอยากเกรียนเอง”ผมก็ตกลงชวนพวกมันไปกินหมูกระทะต่อ มารอขึ้นรถทัวร์ที่หน้าโรงเรียน ไอ้ชายก็สะกิดผม
“มึงไหว้ลาศาลโรงเรียนยัง บอกเขาด้วยนะ เดี๋ยวตามไปถึงหอนะมึง”มันทำเสียงหลอนๆให้ผมกลัวเล่น ผมเลยไปไหว้ลาศาลโรงเรียนตามที่มันบอก ปิดท้ายด้วยกาบอกว่าอย่าตามผมมาเลยนะ
“ไอ้ฟิก”ไอ้บอยเรียกผม
“อะไรวะ”ผมก็คุยกับมันตามปกติ ผมเดาว่ามันคงรู้ว่าผมอยู่ในห้องน้ำกับพวกมันแน่ๆ เพราะมันทำสีหน้าแปลกๆ
“กูชอบมึงว่ะ”ผมเหวอไปเล็กน้อย ไม่คิดว่ามันจะพูดแบบนี้
“ห๊ะ มึงเนี่ยนะ มาชอบกู”ผมหัวเราะกลบเกลื่อน
“เฮ้ย อย่าเพ่งคิดลึก กูหมายถึงแบบเพื่อนอ่ะ เพราะมึงกับกูเหมือนจะมีอะไรคล้ายๆกันว่ะ แต่ยกเว้นเรื่องคบแฟนนะ กูไม่เจ๋งอย่างมึง”มันบุ้ยใบ้ไปยังด้านหลังผมที่ไอ้ภูกับไอ้ตินยืนมองอยู่
“เออ”ผมได้แต่ยิ้ม กำลังชั่งน้ำหนักตัวเองอยู่ว่าผมสามารถเป็นเพื่อนกับมันได้ไหม ไม่ใช่ว่าผมไม่หนักแน่น แต่ไอ้สองคนนั่นคงไม่สบายใจแน่ๆถ้าหากว่าผมคบกับไอ้บอย ผมเองก็เข้าใจพวกมันนะ เพราะเรื่องไอ้ภูกับไอ้นนท์ยังแจ่มชัดในความทรงจำอยู่เลย พวกมันเองอาจจะรู้สึกเหมือนที่ผมเรื่องไอ้นนท์ก็ได้ ถ้าการที่ผมคบเป็นเพื่อนกับไอ้บอยแล้วทำให้พวกมันไม่สบายใจ ผมก็ไม่อยากทำ เป็นไง ผมเป็นคนดีล่ะสิ
“แล้วเจอกันว่ะ ถ้าเจอกันก็ทักด้วยล่ะ”ผมตบบ่ามันเบาๆ ก่อนจะเดินกลับไปหาไอ้ภู ไอ้บอยเองก็ไปไหว้ศาลาโรงเรียนต่อจากผม
“คุยอะไรกันเหรอ”ไอ้ตินถามด้วยเสียงเรื่อยๆแต่ผมก็รู้ว่ามันอยากรู้
“เรื่องทั่วๆไปเนี่ยแหละ ไม่มีอะไรในกอไผ่ทั้งสิ้น”ผมยกมือให้มันสองคน ไอ้ภูยิ้มก่อนจะวางมือบนศีรษะของผมเบาๆ
“ดีมาก กูดีใจนะ”
“ดีใจอะไรของมึง”ผมขี้เกียจจะปัดมือมันออกแล้วก็เลยปล่อยให้มันวางมือไป
“ดีใจที่มึงเป็นเด็กดีไง”ผมเบ้หน้าทันที คำว่าเด็กดีดูจะมุ้งมิ้งไปสำหรับผม
“เอาเถอะ กูเปลี่ยนไปแล้ว พวกมึงวางใจได้ กูรักพวกมึงสองคนขนาดนี้ กูจะไปแบ่งให้คนอื่นได้ไง”พูดจบผมก็รีบขึ้นรถทัวร์ที่จอดรออยู่ทันที ไม่ได้มองหน้าพวกมันว่าทำสีหน้ากันแบบไหน แต่ตอนนี้ผมไม่อยากให้พวกมันเห็นหน้าผมจริงๆ ก็เลยรีบมานั่งกับไอ้เคนที่เดิมแล้วเอาเสื้อคลุมของมันคลุมหน้าทำเหมือนว่าหลับ
“เป็นบ้าอะไรของมึง”มันถามผมเมื่อผมแอบอิงไหล่มันเนียนๆ แต่ดูเหมือนมันสองคนจะรู้ว่าผมเขินมันเลยไม่ได้มาเซ้าซี้อะไร รู้แค่ว่าไอ้เคนหัวเราะหึๆอยู่
“สัด อย่างกับลูกหมาเลยนะมึงเนี่ย เพื่อนกูกลายพันธ์ซะล่ะ”
“กูไม่ใช่ลูกหมา”ผมสะบัดเสื้อคลุมมันออก แอบเห็นจากทางหางตาว่าไอ้ภูกับไอ้ตินนั่งอยู่ที่เดิม ผมพยายามทำเป็นไม่เห็นมันสองคน
“เฮ้ย ฟิก…”ไอ้เคนมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
“ทำไมวะ”ผมถามเสียงขุ่น เมื่อมันหัวเราะเบาๆ
“กูเพิ่งเคยเห็นมึงหน้าแดงว่ะ โอ๊ยตาย เพื่อนกูแตกเนื้อสาวซะแล้วว่ะ ยินดีด้วยนะ ไอ้ติน พี่ภู”มันหันไปตะโกนใส่ไอ้สองคนนั่น แค่ได้ยินเสียงพวกมันหัวเราะผมก็ไม่กล้ากระดิกตัวแล้ว ไม่รู้ว่าพวกพี่ๆเขานึกครึ้มอะไรถึงได้เล่นเพลงสัญญาจะไม่ไปไหนของโปเตโต้ คนบนรถทัวร์ก็แหกปากร้องเฮฮาไป รวมถึงไอ้สองคนข้างๆนี่ด้วย ผมเองก็มีของให้พวกมันเหมือนกันนะ เป็นของประจำเซคที่ผมออกแบบเอง สั่งทำเอง คือจี้กระบอกซูมเล็กๆที่ผมสลักชื่อของพวกมันลงไป มาเจอบรรยากาศแบบนี้ ผมว่าผมไว้ค่อยให้มันทีหลังดีกว่า
TBC.
เหมือนจะสั้น ช่วงนี้อาจไม่ได้อัพถี่ๆเนาะ
เพราติดงาน แต่ไม่หายแน่นอนค่ะ
ฟิกน่ารักเนอะ ตอนนี้

ชิลๆไปอีกหลายๆตอนก่อน เดี๋ยวค่อยไปเจาะอดีตตินกันน
