- วันออกค่าย
ตอนนี้ผมกับไอ้เคนและเพื่อนๆกำลังรอรถทัวร์ที่ทางมหาลัยเหมาไว้ให้ กะจากสายตาแล้วมีประมาณสิบห้าชีวิต ถามว่าทำไมเยอะ ก็เพราะไอ้ที่จัดโชว์ผลงานคือหอประชุมใหญ่ แน่นอนว่าคนเยอะแน่นอน
“ทำไมรถมาช้าจังวะ”ไอ้ปลาบ่นกอดกระเป๋าเสื้อผ้าของมันแน่น ไปแค่สองวันขนอะไรมาเยอะแยะไม่รู้ ไม่เหมือนผมเลยแค่เป้ใบเดียวก็อยู่แล้ว
“ไปรับพวกศิลปกรรมก่อนอ่ะดิ”ไอ้เคนตอบ ผมนั่งรอเวลาไปพลาง จนเมื่อรถทัวร์ของมหาลัยมาจอดที่หน้าคณะ แอบตื่นเต้นเหมือนกันนานๆทีจะได้ขึ้น ไอ้ชายดันให้ผมขึ้นไปก่อน ผมขึ้นไปชั้นบนเพราะชั้นล่างเต็มแล้ว หลายๆที่นั่งถูกจับจองไว้แล้วจากพวกศิลปกรรมที่สวมเสื้อยืดสกรีนคำว่าคนถือศิลป์ แล้วก็พวกติสๆสะพายกล้อง ผมเดินไปเรื่อยๆ เจอเบาะว่างพอดี แต่เมื่อหันไปมองที่นั่งอีกสองเบาะข้างๆผมถึงกับทำกระเป๋าเป้ร่วงเลยเพราะมันคือไอ้ภูกับไอ้ติน
“เฮ้ย มึง…มาได้ไงเนี่ย”ผมตีหน้างงๆ ชี้มือชี้ไม้ไปที่พวกมันที่สวมเสื้อของภาคฟิล์ม
“ขาใหญ่ก็แบบนี้แหละ”ไอ้ภูยักคิ้วมาให้ ไอ้ชายสะกิดผมเพราะมีคนยืนรอออกันเป็นแถว ผมเลยต้องนั่งลงทั้งๆที่ยังงงๆอยู่ ไอ้เคนขอนั่งติดหน้าต่างผมเลยต้องมานั่งใกล้ๆกับไอ้ภูและไอ้ติน กว่าจะได้มีโอกาสคุยกับมันก็นานพอตัวเพราะคนที่เดินผ่านไปหาที่นั่ง
“มาได้ไงวะ มึงทำยังไง”ผมยังคงไม่หายสงสัย พวกมันนี่สุดยอดจริงๆ
“พอดีกูรู้จักรุ่นพี่กับอาจารย์ในภาคก็เลยขอมาด้วย”ไอ้ภูตอบ ผมยังมึนๆอยู่เลยว่ะ ไอ้ตินแชะภาพหน้ามึนๆของมไว้ดูก่อนจะหัวเราะขำ ผมซูฮกพวกมันเลย ไม่รู้จะบรรบายความรู้สึกออกมายังไงดีเลย
“ผัวมึงนี่เจ๋งเนาะ”ไอ้ปลากระซิบเบาๆพร้อมหัวเราะคิกคัก
“ถ้าคิดมาแล้วอยากฉายเดี่ยวนี่หมดหวังนะน้อง”ไอ้ตินพูดพร้อมรอยยิ้มร้ายกาจ ไอ้พวกชั่วว!
บรรยากาศบนรถเป็นไปอย่างคึกคักเพราะมีการสันทนาการตลอด ผมนี่หูอื้อไปเพราะเสียงกลองและเสียงเพลง หลายๆเพลงที่พวกศิลป์มันร้องกัน ว่ากันตามตรงนี่มันศูนย์รวมคนบ้าชัดๆ ผมแอบเหล่มองไอ้ติน ผมไม่เคยเห็นมันเต้นแบบฮาๆกวนตีนๆเลย ไอ้ภูนี่เคยออกสเต็ปกับมันอยู่บ้างเวลาเมา ผมนี่รอคอยเลยเพราะมันจะต้องมีให้เต้นแน่ๆ ยิ่งมันสวมรอยมาเป็นเด็กภาคฟิล์ม คณะคนบ้าๆติสแตกมาเรียนมันก็ต้องทำได้สิ
“มาดูแถวกลางบ้างดีกว่า”พี่ผู้หญิงเดินมาตรงจุดที่พวกผมนั่งอยู่ มือกลองก็ลากกลองตามมาด้วย ไอ้ปลานี่ขยับตัวยุกยิกอยู่บนเบาะเหมือนอยากเต้นเต็มแก่ ผมส่งซิกให้พี่ที่กำลังเขย่าคาวเบลล์อยู่ ผมจำได้ว่าอยู่คณะผม พี่เขาทำหน้างงๆ ผมก็ชี้ๆไปที่ไอ้ตินแล้วทำปากพะงาบๆว่าเต้น พี่เขาก็ถึงบางอ้อ
“น้องสองคนนี้ลุกมาแจมกับพี่ได้ไหมคะ”พี่ผู้หญิงชี้ไปที่ไอ้ภูกับไอ้ติน เกิดเสียงปรบมือและรัวกลองดังขึ้น ผมหัวเราะหึๆทันที คิดจะมาแจมก็ต้องทำตัวให้กลมกลืนหน่อย ผมมองหน้าพวกมันสองคนที่ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา ไม่รู้ว่าเวลาปกติที่ไม่เมาไอ้ภูมันจะกล้าเต้นไหม
“เด็กฟิล์มหล่อขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมชั้นไม่เคยเห็นหน้า”พี่ขิมสาวสองหน้าสวยพูดขึ้น จะเห็นได้ไงล่ะ มันเพิ่งเป็นเด็กใหม่ก็วันนี้นี่เอง
“ผมต้องเต้นด้วยเหรอ”ไอ้ตินถามขึ้นมา
“แน่นอนว่าต้องเต้น มีใครอยากอาสาไหมเอ่ย”พี่คาวเบลล์ถาม พลางมองอย่างรู้ทันมาที่ผม
“ผมครับ”รีบเสนอตัวไปในทันที พวกมึงเจอกูแน่ ไอ้ภูกับไอ้ตินถลึงตาใส่ผมทำนองว่าให้ทำดีๆ ไอ้ปลากับเพื่อนๆของผมเริ่มส่งเสียงโห่ฮา พร้อมกับอัดคลิปเก็บความน่าอายไว้เรียบร้อย
“ไหนสัมภาษณ์ก่อน ชื่ออะไร อ้อ น้องฟิก ถาปัตย์ที่แสดงเป็นนักเลงเมื่อปีหนึ่งใช่ไหม พี่จำได้”พี่ขิมพูดเองเออเองก่อนจะอธิบายว่าต้องเต้นสองรอบ คือเต้นให้พวกด้านหน้ากับด้านหลังดู ถ้าเรื่องเกรียนในคณะผมไม่อายหรอก
“ผมขอแบบเพลงงานวัดได้ไหม แบบนั้นมันค่อยได้ฟิลหน่อย”ผมสะกิดพี่ขิมเพื่อถ่ายทอดเจตนา
“พวกมึงคอยดูสเต็ปกูนะ แล้วทำตาม”ผมสะกิดแขนมันสองคนที่ทำหน้าเหมือนโลกกำลังถล่ม
“ไอ้ฟิก พอเลย กูไม่เล่นด้วยนะเว้ย”ไอ้ตินกระซิบเบาๆสีหน้าดุๆ มึงจะหมดมาดก็วันนี้นี่แหละ
“มึงโดนดีแน่”ไอ้ภูขู่ ที่แท้มันก็ไม่กล้าเต้นต่อหน้าคนมากๆ อินโทรเพลงมาแล้ว ผมเริ่มขยับไหล่ยึกยัก ไอ้ภูกลอกตาไปมา ยกมือเหมือนยอมแพ้
“ผมไม่เต้น”มันทำหน้าเข้ม มีเสียงโห่ดังมา
“มึงไม่ใช่ว้ากคณะมึงนะ เขาไม่กลัวมึงหรอก”ผมพูดเบาๆพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ถ้าน้องสองคนไม่เต้น น้องต้องมาเล่นเกมส์กับพี่แทน”จู่ๆพี่ขิมก็เปลี่ยนใจขึ้นมาซะงั้น ผมได้แต่อ้าปากเหวอ
“เกมส์อะไรครับ”ไอ้ตินรีบถามเมื่อเห็นทางรอด ผมกลับมานั่งที่ตัวเองด้วยสีหน้าบูดบึ้งเมื่อพี่ขิมอธิบายเกมส์เรียบร้อยแล้ว ไอ้เกมส์ที่ว่าเนี่ย ผมเองก็ไม่สนับสนุนหรอก ตอนรับน้องผมก็เคยโดนเพราะเป็นด่านของพวกพี่ๆสาวสองหรือพวกเกย์ตุ๊ดกระเทยทั้งหลาย คือต้องทำลูกโป่งให้แตกโดยห้ามใช้มือ อธิบายให้เห็นภาพก็ต้องทำเหมือนกอดกันแล้วใช้แรงอัดลูกโป่งอ่ะ ผมนี่แอบเดือดปุดๆ พี่ขิมคงอยากเล่นเพราะได้กำไรล้วนๆ แต่พี่เขาก็ถามความสมัครใจก่อนว่าอยากทำไหม ถ้าไม่ก็ไปเต้น แน่นอนว่าพวกมันสองคนเลือกเล่นเกมส์กระแทกลูกโป่ง ผมเลยนั่งหน้าบูดเป็นตูดอยู่นี่ไง
“แค่เกมส์มึงจะทำหน้าแบบนี้ทำไมวะ”ไอ้เคนหัวเราะ ตอนนี้ผมกำลังเพ่งมองไปที่พี่ขิมที่กำลังเอาเชือกปอผูกลูกโป่งเข้ากับตัวเอง ไอ้ตินประเดิมก่อนคนแรก สีหน้ามันไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่เสียงหัวเราะและเสียงเชียร์ก็ทำให้มันดูจะอายๆขึ้นมา ผมสบตากับมันเข้าพอดี มันเลยยิ้มให้ผมวางใจ
ไอ้ภูยืนกอดอกพิงเบาะรถอยู่สีหน้าเหมือนไม่ปลื้มกับเกมส์นี้ แล้วทำไมมึงไม่เต้นวะแม่ง รู้งี้เลือกท่าง่ายๆก็ได้ ถ้าต้องรู้ว่ามันสองคนต้องมาเล่นเกมส์กระแทกลูกโป่งแบบนี้ อ๊ากก ผมรับไม่ได้ว่ะ ผมหันหน้าไปซบบ่าไอ้เคนเพราะไม่อยากเห็นไอ้ตินพยายามทำให้ลูกโป่งแตก ได้ยินเสียงไอ้เคนและคนอื่นหัวเราะและสาวๆกรี๊ด เมื่อไอ้ตินกระแทกทีเดียวลูกโป่งแตกเลย
“แหม ทีเดียวแตก”ไอ้เคนหัวเราะ ผมเหลือกตามองมันทันที
“เสื่อมเชี่ยๆเลย เกมส์ไรวะ”ผมบ่นอุบ ก่อนจะขว้างสายตาหงุดหงิดไปที่ไอ้ตินที่เดินกลับมานั่งที่เบาะ
“แค่เกมส์เอง”มันเอื้อมมือมาหยิกแก้มผม ต่อไปก็ถึงคราวไอ้ภู พี่ขิมนี่หน้าบานไปแล้ว ผมหันไปซบบ่าไอ้เคนอีกครั้งเพราะทน
มองไม่ได้ ได้ยินเสียงหัวเราะกรี๊ดร้องดังมาตามเคย
“มันเสร็จยัง”
“ยังว่ะ”ไอ้เคนตอบเสียงสั่นๆจากการกลั้นหัวเราะ เสียงหัวเราะยังคงดังอยู่ต่อเนื่องทำให้ผมเดาว่ามันคงทำให้ลูกโป่งแตกไม่ได้สักที
“พี่ภูแม่งน่าสงสารชิบหาย”ถึงไอ้ปลาจะพูดแบบนั้นแต่มันก็หัวเราะก๊ากๆอยู่ดี จนในที่สุดผ่านไปนานมาก เสียงลูกโป่งแตกก็ดังขึ้นมาทันที ผมถอนหายใจโล่งอก ไอ้ภูเดินหน้านิ่งกลับมาที่เบาะก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เหี้ยเอ้ย กูคิดว่ากูจะตายแล้วนะ”มันบ่นเบาๆ
“ถ้าแค่เต้นก็จบไปนานแล้วมั้ง”ผมพูดใส่หน้ามันสองคน
“ใครเขาจะเต้นท่าบ้าๆบอๆแบบพวกมึงได้วะ”ไอ้ตินแย้งมา
“อ๋อแล้วที่ไปเล่มเกมส์นี่ไม่บ้าบอว่างั้น”ผมมองหน้ามันสองคนอย่างหงุดหงิดขัดใจผมจริงๆเลย แล้วการสนทนาระหว่างผมกับมันก็จบลงเมื่อพี่ขิมให้พวกไอ้ปลาเต้น มันก็ออกสเต็ปไปตามเรื่องตามราว เป็นผู้หญิงที่ไร้ความสาวแล้วยังโคตรกล้าอีกนะมันเนี่ย
“มึงอายไอ้ปลามันไหม”ผมยังคงหาเรื่องไอ้สองตัวนี่ต่อไปตลอดทาง เมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ความสงบบนรถก็เกิดความเงียบ
เพราะเริ่มจะเหนื่อยกัน ไอ้ชายสะกิดไหล่ผม
“กูอัดคลิปไว้ มึงอยากดูไหม”ผมขึงตามองมันก่อนจะดึงโทรศัพท์มาลบคลิปให้หมดแล้วส่งคืน ใครไม่อยู่ในสถานการณ์แบบผมไม่เข้าใจหรอก หวังว่าจะไม่มีอะไรแบบนี้อีกแล้วนะ ได้แต่คิดในใจ ถึงจะแค่เกมส์ผมก็หวงผู้ชายของผมนะโว้ย!!
TBC.
ตอนนี้คือตอนหื่น ฮาๆบ้าๆไปตามประสา

เจอกันตอนหน้าค่ะ
ตอบคำถาม คุณ puchi เราเพิ่มเนื้อหาไปบางส่วนนิดหน่อยค่ะ
ป.ล.เราไม่เคยมองว่าตินเป็นตัวประกอบ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าภาคนี้ เราเน้นไปที่เรื่องราวของตินโดยมาก
เพียงแค่ตอนที่แล้วเป็นเรื่องราวของภู เราเลยเน้นไปที่ภูมากหน่อยเท่านั้นเองค่ะ
