มาลงให้แล้วคร๊าบบบบบบบบบบ....แอบอ่านไปก่อนแล้วด้วย
ตอนนี้แบบว่า.....อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก
~ด้วยรักจากสวรรค์ 15 – ยิ่งกว่าชีวิต~ “เฮ้ย ตื่นได้แล้วพวกมึง ข้าวน่ะจะแ-กกันไหม” เสียงกรรโชกนั้นช่วยปลุกจินดนัยให้ขยับตัวอย่างเมื่อยขบเพราะต้องนอนขดบนพื้นแข็งๆ มาทั้งคืน ห่อข้าวสองห่อถูกโยนลงพื้นสกปรกพร้อมน้ำดื่มหนึ่งขวด พอเห็นแล้วเขาจึงเอ่ยเสียงแหบแห้งเนื่องจากไม่มีทั้งน้ำทั้งอาหารผ่านลงคอตั้งแต่เมื่อวาน
“ช้อนล่ะ ไม่มีช้อนแล้วจะกินยังไง” ไม่แปลกใจสักนิดยามชายอ้วนแสยะยิ้มตอบ “มือก็มีแล้วยังจะบ่นทำซากอะไร กูหามาให้แ-กก็ใจดีแค่ไหนแล้ว อย่ามาทำตัวสูงส่งแถวนี้เลยว่ะ กูอยากจะอ้วก”
ประตูถูกกระแทกปิดดังปังสนั่น เขาจึงค่อยเอะใจว่าทำไมเสียงดังขนาดนี้กลับปลุกแสงเหนือไม่ได้ ครั้นถลาคุกเข่าลงแนบหน้าดูร่างสูงนอนคุดคู้ใกล้ๆ แล้วเขาก็ต้องตกใจที่ใบหน้านั้นชื้นเหงื่อและแดงก่ำ รอยแผลแตกตรงหางคิ้วบวมเป่งและกลายเป็นสีคล้ำจนน่ากลัว
“พี่เหนือ พี่เหนือ ไม่สบายเหรอ เป็นอะไรมากหรือเปล่า” เขย่าตัวอีกฝ่ายอย่างร้อนรนจนแสงเหนือเริ่มกระพริบตา เรียกชื่อเขาเบาๆ “จิน... นี่มัน...”
“เราสองคนโดนไอ้ชัชจับตัวมาตั้งแต่เมื่อวานไงครับ พี่เหนือจำได้ไหม” คนฟังพยายามพยุงตัวขึ้นนั่งจนสำเร็จโดยได้เขาช่วยเหลือก่อนจะพยักหน้าเซื่อง “อืม พี่จำได้”
“แผลพี่เหนือน่ากลัวมากเลยนะ ทั้งบวม ทั้งแดง แล้วนี่มีไข้ด้วยใช่ไหม” เขาแตะหลังมือทาบลงกับหน้าผากชายหนุ่มและเริ่มกระวนกระวายกับความร้อนผ่าวที่แตะโดน “เดี๋ยวกินน้ำก่อนนะ ไอ้ชัชเพิ่งเอาข้าวกับน้ำมาให้เมื่อกี๊เอง”
เขาหมุนตัวไปหยิบขวดน้ำที่ตนยังไม่ได้ดื่มสักอึกมาเปิดและกุลีกุจอจ่อปากขวดเข้ากับปากแตกแห้ง “ค่อยๆ กินนะครับ ระวังสำลัก” รอจนแสงเหนือจิบน้ำลงไปพอสมควร จึงค่อยลดขวดน้ำลงแล้วแกะห่อข้าวต่อ “พี่เหนือคงหิวแล้วใช่ไหม มันไม่ยอมให้ช้อนมาด้วย เดี๋ยวผมใช้มือป้อนให้ก็แล้วกัน...”
“พี่กินเองได้” ริมฝีปากสีสดแตกแห้งยิ้มให้ด้วยความอ่อนระโหยจนคนมองน้ำตาคลอ “จินคงหิวแล้วเหมือนกันสิ ไม่ต้องห่วงพี่หรอก แค่กินข้าวด้วยมือ พี่กินเองได้จริงๆ”
สองคนนั่งกินข้าวแข็งๆ กับกับข้าวราดหน้าเละๆ จนหมด มันไม่อร่อยแต่อย่างน้อยก็ช่วยให้อิ่มท้อง หลังจากนั้นเขาจึงล้วงผ้าเช็ดหน้าของแสงเหนือมาราดน้ำแล้วเช็ดซับให้ตามใบหน้าและรอบรอยแผลบวมๆ มองร่างสูงนั่งโงนเงนได้สักพักจึงดึงให้ลงนอนหนุนตักเขาแทน แค่ชั่วระยะเวลาไม่กี่นาทีต่อมา แสงเหนือก็หายใจลึกอย่างคนหลับสนิท ทิ้งให้จินดนัยคอยลูบปอยผมที่หล่นระหน้าผากสลับกับใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตามใบหน้าซอกคอให้เป็นระยะ
“เฮ้ เฮ้ เฮ้... นี่มันอะไรกัน ฉันไม่ได้แวะมาดูเดี๋ยวเดียว พัฒนาไปถึงขั้นออกมาเดทกันสองต่อสองแล้วเหรอ” เสียงคุ้นหูดังก้องขึ้นในสมองจนแทบสะดุ้งโหยง ขณะที่เขายังเบิกตากว้างเพราะไม่แน่ใจว่าหูฝาดหรืออนุสติเริ่มฟั่นเฟือนไปเองหรือเปล่า เสียงออกแนวเจ้าเล่ห์ประโยคถัดมาก็ช่วยยืนยันว่าเขาไม่ได้หูฝาด “อะแน้~~~ มีการหนุนต่งหนุนตัก ว่าแต่ตำแหน่งนี้สะดวกมากเลยนะ ถ้าอยากได้คำแนะนำ ฉันคงต้องบอกให้ใช้ผ้าเปียกในมือนายนั่นล่ะโปะ...”
“คุณเทวดา ช่วยผมกับแสงเหนือที พวกเราโดนคนบ้าจับมา” เขากระซิบร้อนรน “ขอร้องล่ะ ผมรู้ว่าคุณทำได้แน่ แค่กระดิกนิ้วทีเดียวก็พังประตูระเบิดหน้าต่างได้หรือ...หรือชี้นิ้วปุ๊บ ไอ้ชัชก็ระเบิดเป็นชิ้นๆ ปั๊บน่ะ เรื่องจิ๊บจ๊อยแค่นี้ คุณแทบไม่ต้องเปลืองแรงสักนิด ช่วยพวกเราด้วยเถอะ ผมขอร้อง”
“ไม่” ถ้าไม่ติดว่ามีคนป่วยนอนตักอยู่ คำตอบเดียวสั้นๆ ดังกล่าวคงทำให้เขาซึ่งโกรธควันออกหูตะโกนด่าตอบไปแล้ว “เพราะฉันไม่มีนโยบายทำงานฟรี ไม่ว่างานนั้นจะยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าหรือเล็กน้อยเท่าเม็ดทรายก็ตาม”
“แล้วที่คุณให้โอกาสผมมาแก้แค้นนี่จะบอกว่าคุณได้ประโยชน์งั้นสิ” น่าแปลกที่ปลายสายบนฟ้ากลับเงียบอึ้ง เพียงแต่ว่าตอนนั้น เขากำลังโกรธจัดจนไม่ทันเอะใจความผิดปกตินี้ “วันหลังบอกแค่ว่าคุณไม่มีปัญญาช่วยก็พอ ไม่ต้องมาทำเนียน ตีหน้าผู้ยิ่งใหญ่พูดหลักการบ้าๆ บอๆ หุบปากไปเลยจะสวยกว่าไม่งั้น...”
“จินพูดกับใคร” เสียงงัวเงียหยุดคำพูดที่เหลือ เขารีบอังมือกับใบหน้าบนตักและดีใจที่ความร้อนดูเหมือนจะลดลงบ้าง
“พี่เหนือปวดหัวหรือเปล่า หิวน้ำไหม ถ้ายังง่วงจะนอนต่อก็ได้ นี่ไข้ก็เหมือนจะลดลงบ้างแล้วด้วย” หากคำพูดของคนป่วยกลับทำให้เขาชักสงสัยว่าแสงเหนืออาจไข้ขึ้นอีกรอบ
“อยู่กับพี่นะ อย่า...ทิ้งพี่ไปไหน” หากพอฟังคำตอบรับง่ายดายของเขาแล้วแสงเหนือกลับยังทำหน้าไม่พอใจ “พี่ไม่ได้หมายถึงแค่วันนี้ พี่พูดถึงวันพรุ่งนี้และหมายถึงวันต่อๆ ไปในอนาคต วันที่เหลือในชีวิตของเราสองคนน่ะ สัญญานะว่าจะอยู่ด้วยกัน...ตลอดไป”
ตลอดไป...มันนานแค่ไหนล่ะ สำหรับแสงเหนืออาจจะหมายถึงสี่ห้าสิบปีข้างหน้า แต่สำหรับเขา คำว่าตลอดไปหมายถึงเวลาอีกไม่เดือนที่เหลืออยู่เท่านั้น ในเมื่อเป็นแบบนี้ ตลอดไปของเขาจะเพียงพอหรือเปล่า “ไม่รู้สิ ผม...”
คนไข้ขึ้นจนหน้าแดงพยุงตัวเองยากเย็นโดยอาศัยการช่วยเหลือของเขา พอลุกขึ้นนั่งพิงผนังได้ แสงเหนือก็เอ่ยเสียงเศร้า “จินไม่อยากอยู่กับพี่เหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้น” ถอนหายใจแล้วเอื้อมมือไปสอดนิ้วเข้ากับมือใหญ่ ก่อนซบหัวลงกับบ่าคนข้างตัว “อนาคตมันไม่มีอะไรแน่นอน ดูอย่างตอนนี้สิ อย่าว่าแต่อยู่ด้วยกันตลอดไปเลย เรามีโอกาสตายด้วยกันเสียมากกว่า ดังนั้นในวันหนึ่งข้างหน้า ต่อให้ผมอยากอยู่ พี่เหนืออาจเป็นฝ่ายเบื่อผมเองก็ได้ หรือไม่อีกที พี่อาจรักษาตาจนหาย ได้กลับไปเรียนต่อจนจบแล้วก็ออกมาทำงาน พอทำไปได้สักพัก ก็ค่อยแต่งงานกับคุณวิกกี้ มีลูกมีหลาน มีครอบครัว มีความสุข... ถึงวันนั้นพี่คงไม่ต้องการหรืออาจถึงขั้นลืมผมไปแล้ว”
“พี่ไม่รู้หรอกนะว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่พี่จะไม่ลืมจิน ...ไม่มีวันลืม” เสียงทุ้มติดจะแหบแห้งเอ่ยคล้ายพึมพำ หากยังไม่ทันที่เขาจะตอบอันใด เสียงตะโกนดังลั่นจากภายนอกได้หยุดพวกเขาไว้ ผู้ร้ายลักพาตัวคล้ายกับกำลังโมโหขนาดหนักขณะกระแทกประตูเปิดเข้ามาดังปัง
“พวกมึงอยากได้ยินเสียงมันกันนักใช่ไหม เอ้า อยากฟังก็ฟังซะให้พอ!” จินดนัยเห็นตั้งแต่ตอนชัชง้างเท้ามาแต่ไกลและกระโจนออกไปขวางไว้โดยไม่ได้คิดทบทวนด้วยซ้ำ ปลายรองเท้าที่ตั้งใจหมายเตะอัดแสงเหนือจึงโดนเขาเข้าเต็มๆ ท้องจนจุกตัวงอ หากยังไม่ทันที่ชายอ้วนจะเงื้อเท้ากระทืบซ้ำทัน แสงเหนือกลับคว้าเขาแล้วพลิกเอาตัวเขาลงซุกไว้กับอก ปล่อยให้ชายอ้วนเตะอัดซ้ำๆ มั่วซั่วไปตามแขน ขาและแผ่นหลังเท่าที่ขาสั้นๆ หนาๆ จะเงื้อง่าไปถึง
ตลอดเวลา ชายหนุ่มไม่ได้ร้องสักคำ จะมีก็แต่เสียงของจินดนัยที่ร้องขอความเมตตา “หยุดนะ อย่าทำพี่เหนือนะ อย่า ผมขอร้อง ...อย่าทำเขา ได้โปรด”
“ขอโทษว่ะ ไอ้บอดสงสัยมันจะเป็นใบ้ไปแล้วถึงไม่ยอมร้องสักคำ แต่ฟังแค่เสียงไอ้หนูนี่ก็น่าจะพอแล้วนี่นะ ทีนี้จะยอมฟังกูได้บ้างหรือยัง” ชัชผละไปตะคอกใส่โทรศัพท์ในมือแทน ระหว่างที่เขารีบสำรวจหาบาดแผลให้แสงเหนือด้วยมือสั่นๆ
“พี่เหนือ พี่เหนือเจ็บตรงไหน มีแผลตรงไหนบ้าง” ฟันเขากระทบกึกกักยามไล่ดูตามเนื้อตัวอีกฝ่าย ทว่าคนเจ็บเองกลับยิ้มจางตอบเสียงแห้ง “ไม่เป็นไร พี่ไม่เจ็บ”
“ไม่ต้องมาโกหก จะไม่เจ็บได้ยังไงโดนมัน...” เขายังสาละวนลูบคลำเนื้อตัวของชายหนุ่มอย่างไม่ไว้ใจ เจ็บใจจนบอกไม่ถูก ความจริงเขาน่าจะมีอิทธิฤทธิ์แบบผีสักอย่างสองอย่างแท้ๆ ไหนๆ ก็อุตส่าห์ตายไปแล้วทั้งที ไม่ต้องถึงขั้นแหกอกถอดหัวทำหน้าขึ้นอืดได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะเดินทะลุกำแพงหรือแค่หายตัวได้ก็ยังดี แล้วดูสิว่าเขามีอะไร ไม่มีสักอย่าง นึกแล้วให้พาลไอ้เทวดาหน้าไหว้หลังหลอกนั่น ตั้งแต่ตอนถีบเขาตกจากสวรรค์ลงมาข้างถนนในสภาพไม่มีเงินติดตัวสักบาท นานๆ ทีค่อยโผล่มาหัวเราะเยาะเย้ยหยัน ยุแหย่ให้เขาลงมือฆ่าอยู่นั่นล่ะ แต่พอถึงเวลาเขาร้องขอความช่วยเหลือแค่นิดเดียวกลับสะบัดหน้าหนีหายไปซะเฉยๆ บาปไม่บาปไม่รู้ รู้แต่เจอกันครั้งหน้าจะด่าให้ลืมชื่อไปเลย
พวกเขาถูกขังอยู่ในห้องนั้นโดยไม่รู้เวลาจนกระทั่งชัชเดินกระหยิ่มยิ้มย่องกลับเข้ามาอีกครั้ง
“เป็นไงบ้างล่ะ ไอ้คุณชาย เคยผยองนักไม่ใช่หรือไง คงไม่เคยสินะว่าจะมีวันต้องลงคลานเป็นหมาจนตรอกแบบกู” ชัชหัวเราะเยาะพร้อมแกว่งปืนโบกไปมา “ได้เห็นมึงเป็นแบบนี้แล้วกูค่อยรู้สึกคุ้มค่ากับเรื่องทั้งหมดที่ลงแรงไปบ้าง เฮ้ย ไอ้หนู มึงต้องเป็นคนออกไปเอาเงินกับกู ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อล่ะวะว่าแม่มึงจะหาเงินสดมากขนาดนั้นได้ภายในคืนเดียว ทีนี้ก็เหลือแค่...”
“อาชัชจะพาจินไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” แสงเหนือพูดกัดฟัน “เอาผมไปแทนสิ ถ้าเอาผมไป คงไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแน่”
รับฟังข้อเสนอสักพัก เจ้าคนร้ายหมูตอนค่อยส่ายหน้าดิก “ไม่ล่ะว่ะ กูอยากได้คนตาดีไปหยิบเงินให้กูมากกว่า มึงอยู่เฝ้าบ้านให้กูเงียบๆ น่ะดีแล้ว” เขาตัวแข็งทื่อยามมือหยาบหนาเอื้อมมากระชากต้นแขน แต่แล้วกลับต้องแข็งทื่อหนักขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเสียงจากคนที่ดึงแขนอีกข้างของเขารั้งเอาไว้
“ผมยอมอามามากแล้วนะ” เสียงกร้าวซึ่งฟังยังไงก็ไม่เหมือนเสียงจากปากตัวประกันดังชัด “อาจะทำยังไงกับผมก็ได้ ขออย่างเดียวว่าอย่ายุ่งกับจิน”
อันที่จริง ตอนแรกเขาก็นึกกลัวอยู่เหมือนกัน แต่ยิ่งได้ยินแสงเหนือยืนกรานหนักแน่นขนาดนี้ ยิ่งตอกย้ำข้อสงสัยเข้าไปอีกว่าพวกเขาต้องโดนยิงทิ้งแน่ทันทีที่ไอ้ชัชได้เงิน จริงอยู่ แสงเหนือน่ะไม่แน่เพราะคาดว่าเจ้าวายร้ายนี่คงนึกกลัวการแก้แค้นของคนเป็นพ่อเป็นแม่ผู้ร่ำรวยล้นฟ้า แล้วกับเขาที่เป็นแค่เด็กรับใช้ล่ะ หลังจากไตร่ตรองคิดทบทวนแล้วคาดว่าผลตอบแทนจากการทำหน้าที่ตัวประกันชั้นดี รับรองว่าต้องได้รางวัลเป็นลูกตะกั่วเจาะกะโหลกยิงโป้งเดียวให้ตายแบบไม่ต้องทรมานแหงๆ
“มึงคิดว่ามึงเป็นใครวะถึงได้กล้ามาสั่งกูแบบนี้!” ท่าทางชายอ้วนจะโกรธใกล้คลั่งเต็มทีเมื่อดูจากอาการสะบัดปืนโบกพั่บๆ “กูไม่ใช่ขี้ข้ามึงแต่เป็นคนเดียวที่จะตัดสินได้ว่าพวกมึงจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงเมื่อไหร่ เข้าใจไหมว่ากูจะฆ่าพวกมึงตอนนี้เลยยังได้!”
เสียงขึ้นนกดังกริ๊กกลับไม่สามารถทำให้ตัวประกันตัวสั่นงันงกอย่างที่ชัชต้องการได้ ตรงกันข้าม ไอ้หลานเฮงซวยกลับยิ้มเหยียด ยิ้มราวดูถูกเช่นที่เคยทำ ราวกับขบขันเสียเต็มประดายามเห็นคนเป็นอาก้มหัวให้ปะหลกๆ “มึง...!!”
“อย่านะ! อย่ายิง ถะ...ถ้าคุณยิง คุณจะไม่ได้เงินแม้แต่บาทเดียว อย่ายิงพี่เหนือนะ ยิงไม่ได้...” คำพูดต่อจากนั้นอัดอยู่ในลำคอยามปากกระบอกปืนเบนมาหาเขาแทน
“กูยังฆ่ามันไม่ได้ก็จริงแต่...มึงไม่เกี่ยว” จินดนัยสัมผัสถึงความตายอันคุ้นเคย สูดกลิ่นอายที่สนิทสนมเหมือนเพื่อนเก่า ถึงจะกลัวจนหน้าซีดลิ้นแข็ง แต่ในซอกเล็กๆ ของหัวใจ...เขากลับนึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคิดว่าความกังวลทั้งหมดกำลังจะถูกทำให้จบลงด้วยลูกกระสุนเพียงนัดเดียว เรื่องจะจบลงได้โดยที่เขาไม่ได้ใจอ่อนหากก็ไม่ต้องกลายเป็นฆาตกร ความตายอีกครั้งของเขาจะเป็นเหตุสุดวิสัย เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น
จากภาพของยมทูตสีดำที่จ่อติดหน้าผาก เขาอดลอบชำเลืองมองไปทางชายหนุ่มที่นั่งหน้าซีดไม่แพ้กันอีกคนไม่ได้ ...ดูทำหน้าเข้า เมื่อกี๊ยังทำหน้าผยองเสียขนาดนั้น น่าเสียดายที่คงไม่มีโอกาสเอ่ยลากันเป็นครั้งสุดท้ายเสียแล้วกระมัง
นิ้วตรงไกปืนกระดิก จินดนัยหลับตาลง ภาวนาขอให้ความตายครั้งนี้รวดเร็วไม่แพ้ครั้งก่อน
ถึงจะไม่ได้เห็นท้องฟ้าสีฟ้ากว้างก่อนตาย แต่ทำไมยามหลับตา กลับมองเห็นหน้าขาวๆ กับรอยยิ้มกระจ่างสดใสยามเจ้าตัวแย้มยิ้มให้เขา... รอยยิ้มแบบที่จะมีให้เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นกลับยังกระจ่างชัดเจนได้ภายใต้ความมืดมิดและสิ้นหวัง สวยงามจนเขาพาลคิดไปได้ว่าความตายก็คงอบอุ่นไม่ผิดกัน
++++++++++