ชื่อตอนมันช่าง.................
~ ด้วยรักจากสวรรค์ 19 – พบพราก ~====================================
จินดนัยเดินหงอยๆ หิ้วถุงใส่กล่องข้าวมื้อเย็นกลับมาถึงหอพักหลังจบการดักซุ่มแม่ตัวเองไปอีกวัน เขาเริ่มคิดถึงการย้ายออกจากหอและไปหางานทำต่างจังหวัด ถ้าจะให้ดีก็น่าจะเป็นจังหวัดที่สวยๆ บรรยากาศดีๆ อากาศสดชื่น อย่างเช่นจังหวัดทางภาคเหนือน่าจะเหมาะกับการเป็นเรือนตายในช่วงสุดท้ายของชีวิตดีไม่หยอก หากจินดนัยต้องตกใจระคนดีใจยามเงยหน้าเห็นคนที่นั่งรออยู่บริเวณเก้าอี้หน้าหอ คนที่มักโทรมาถามทุกข์สุขของเขาเป็นประจำในช่วงไม่กี่คืนที่ผ่านมา “ลุงโต มาได้ไงเนี่ย คิดถึงผมล่ะสิ...”
“เอ็งหายไปไหนทั้งวันวะ! รู้ไหมว่าข้ามานั่งคอยตั้งแต่บ่าย บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวตอนมืดค่ำ มันอันตราย ตัวเอ็งก็เท่าลูกหมาโตไม่เต็มที่ ใหญ่กว่าไอ้ริชชี่ไม่กี่น้อย ผอมกะหร่องกล้องแกล้งเป็นไม้ซีกตะเกียบสองข้าง...” ลุงโตตั้งท่าเทศนายาวไปไกลกว่านั้นหากไม่โดนเขาเบรก “เดี๋ยวก่อน นี่ตกลงลุงจะ มาเทศน์ มาเยี่ยมหรือมาวัดตัวผมกันแน่”
“ฮึ ไม่ใช่ทั้งหมดนั่นล่ะ” ลุงโตคลายมือที่ยกกอดอกและรีบกรากเข้ามาดึงแขนเขา “ข้ามาตามเอ็งกลับต่างหาก”
“กลับ...กลับไปไหน” เขาขืนตัว ยิ้มกระตุกทั้งที่หัวใจหล่นวูบโดยไม่รู้สาเหตุ
“ก็กลับบ้านสิวะ กลับไปหาคุณเหนือกับคุณรตีไง” ลุงโตชะงักยามไอ้ตัวเล็กของแกดึงแขนหนีและถอยหลัง “เป็นอะไรของเอ็ง”
“ผมไม่กลับ” อย่าว่าแต่ลุงโตเลย แม้แต่ตัวเขาเองพูดไปแล้วก็ยังตกใจ “ผมจะไม่กลับไปอีก”
“...ไอ้หนู” มันดูน่าขันยามชายวัยกลางคนทำท่าพยายามเรียบเรียงคำพูดราวกับกลัวว่าจะพูดผิดกาลเทศะต่อหน้าเด็กที่อายุยังไม่ถึงครึ่งของตัวเองดี “เอ็งมีปัญหาอะไรล่ะถึงจะไม่กลับไป เรื่องค่าเช่า ค่ามัดจำห้องเหรอ ไม่ต้องห่วง คุณรตีคงจ่ายคืนให้เอ็งในส่วนนี้แน่ หรือถ้าท่านไม่ให้ ข้ายอมจ่ายเองเลย เอ้า”
“มันไม่ใช่เรื่องเงิน” ไม่ใช่เรื่องเงิน ใช่ แล้วมันเป็นเรื่องอะไรล่ะ จินดนัยยังสับสนหนักจนปวดหัวจี๊ด “ผมไม่อยากกลับไปบ้านนั้นอีก”
“ไอ้จินเอ๊ย ข้าก็พอเข้าใจความรู้สึกของเอ็งอยู่หรอก” เขาหูผึ่งทันควัน นึกอยากรู้เหตุผลและความรู้สึกที่ว่าจนตัวแทบสั่น “มันไม่แปลกหรอกที่เอ็งจะนึกน้อยใจคุณท่าน ใครจะตั้งตัวทันก็แปลกแล้วล่ะ อยู่ๆ ก็โดนไล่ออก ต่อมาไม่กี่วันกลับโดนเรียกกลับไปทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ข้าอยากให้เอ็งเห็นใจคุณท่านบ้าง เพราะที่ข้าต้องมาตามเอ็งกลับเนี่ย เป็นเพราะคุณเหนือกลับจากโรงพยาบาลแล้วตั้งแต่เมื่อวานซืน...”
หัวใจเขากระตุก มันเต้นแรงถี่รัวราวกับเป็นบ้า และมันก็ทำให้เขาอึดอัด แน่นอกจนเจ็บเลยทีเดียว
“พอกลับมาถึงบ้าน คุณเหนือก็เรียกหาเอ็งก่อนเพื่อน ยิ่งพอคุณรตีทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง ชวนคุยโน่นนี่แทน คุณเหนือเลยยิ่งสงสัยหนัก คาดคั้นเอาจนรู้ว่าเอ็งโดนไล่ออกตั้งหลายวันแล้ว พอฟังจบเท่านั้นล่ะ” คนเล่าทำหน้าแบบ...ไม่น่าเชื่อแต่ในขณะเดียวกันก็กลัดกลุ้มไม่น้อย “คุณเหนือนิ่งไปเลย นิ่งสนิท ยืนคล้ายช็อคอยู่ตรงนั้น สักพัก ท่านก็เดินฉับๆ ขึ้นห้องเร็วจนข้ายังเดินตามแทบไม่ทัน เอ็งรู้ไหมว่าคุณเหนือกลับขึ้นไปบนห้องทำไม เป็นอย่างที่เอ็งคิดนั่นล่ะ ท่านพยายามไปควานหาที่นอนเอ็งตรงมุมห้อง คุณเหนือถึงกับเรียกหาเอ็งด้วยซ้ำ เรียกทั้งที่รู้ดีว่าจะไม่มีคนตอบ จนรู้ว่าเอ็งไม่อยู่แล้วจริงๆ ท่านก็ทรุดตัวลงนั่งเหมือนคนหมดแรง คุณนายเข้าไปถามอาการ คุณเหนือก็ไม่ตอบ ที่จริงต้องบอกว่าจนตอนที่ข้าโดนใช้ให้มาตามเอ็งกลับเนี่ย คุณเหนือยังไม่พูดกับใคร... พูดกับคนอื่นๆ สักคำด้วยซ้ำ”
ลุงโตดึงเขาหลบเข้าไปหาที่นั่งแล้วค่อยกล่าวต่อ “น่าแปลกไหม เพราะไม่ว่าคุณรตีหรือตัวข้ายังคิดว่าคุณเหนือคงอาละวาดบ้านแตกมากกว่านิ่งสนิทแบบนี้ คุณรตีคงเตรียมตัวใช้เหตุผลเต็มที่พอๆ กับที่ข้าเตรียมปัดกวาดเช็ดถูซากจากการอาละวาด ปรากฏว่าคุณเหนือดันนิ่งจนคนเตรียมตัวรับทำอะไรไม่ถูกแทน ทีแรกคุณรตีก็ยังใจแข็งอยู่หรอก แต่ท่าทางของคุณเหนือน่ะมัน... อย่าว่าแต่คนเป็นแม่เลยว่ะ แม้แต่ข้าเองยังรู้สึกว่าข้าทำร้าย...แล่เนื้อเถือกระดูกแล้วควักหัวใจท่านออกมาเลยด้วยซ้ำ ขนาดข้ายังแทบทนไม่ไหวแล้วเอ็งคิดว่าแม่ที่รักลูกอย่างคุณรตีจะทนได้เหรอ”
ฝ่ายคนนั่งฟังเงียบๆ มาตลอดไม่ได้ตอบอะไรออกมา นอกจากก้มหน้ามองพื้น จนผ่านไปเกือบนาที จินดนัยจึงค่อยพูดว่า “ผมยอมรับว่าผมน้อยใจอยู่บ้างที่ถูกทำเหมือนตัวอะไรสักอย่าง ที่พอนึกจะทิ้งก็ทิ้ง นึกอยากเก็บกลับก็เก็บกลับมาได้ง่ายๆ ถ้าผมเป็นหมาสักตัวก็คงดีใจอยู่หรอกตอนได้เห็นหน้าเจ้าของที่เอาตัวเองมาปล่อยทิ้งเอาไว้ข้างถนน แต่เพราะผมยังเป็นคนมีชีวิตจิตใจ มันเลยยังเจ็บ ยังจำอยู่ แต่บอกตามตรงนะลุงโตว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมไม่กลับไปหรอก ตอนที่คุณรตีคุยกับผม ผมเข้าใจสิ่งที่ท่านพูด รับรู้ถึงเหตุผลและความจำเป็นที่ผมไม่ควรอยู่ข้างๆ พี่เหนืออีก มันเป็นเหตุผลที่ถูกต้อง มันเป็นเรื่องจริงที่ขัดแย้งไม่ได้ซึ่งตัวผมก็เข้าใจและยอมรับมัน”
เขาเงยหน้ายิ้มให้หญิงสาวที่อยู่ชั้นเดียวกัน คนเดียวกันกับที่ลากหูผัวขี้เมากลับห้องในคืนแรกซึ่งเพิ่งกระเตงลูกเล็กๆ กลับมาจากตลาดนัดหน้าปากซอย เธอยิ้มตอบให้เขาและเหลือบมองดูลุงโตอย่างสนอกสนใจ “ดังนั้นที่ไม่กลับไม่ใช่ว่าอยากเล่นตัว แต่เป็นเพราะผมไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปทำงานที่นั่นอีกต่างหาก”
“เอ็งได้งานใหม่แล้วเหรอ” ลุงโตเอ่ยความเป็นไปได้มากที่สุดแต่กลับโดนอีกฝ่ายส่ายหน้า ตอบยิ้มๆ “ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก”
“อุบ๊ะ งั้นมันเพราะอะไรล่ะวะ เอ็งถึงไม่จำเป็นต้องกลับไปอีกแล้ว อย่าพูดอะไรให้มันยากหรือกำกวมนัก ข้าไม่เข้าใจ”
“อืม เอาแบบง่ายๆ เลยนะลุง ผมคิดว่า...ผมคงต้องไปต่อน่ะ” พูดแล้วเขาจึงก้มตัวลงกราบบนตักอีกฝ่ายซึ่งงงๆ อยู่ว่าเขาทำแบบนั้นเพื่ออะไร “ขอบคุณลุงมากนะ เพราะได้ลุงช่วยมาตลอด ผมถึงไม่ต้องอดตายอยู่ข้างถนน ผมรักและเคารพลุงเหมือนพ่อแท้ๆ และจะไม่มีวันลืมบุญคุณที่ลุงเคยช่วยไว้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม”
ลุงโตทำอย่างที่เคยทำบ่อยๆ คือถอนหายใจยาวก่อนจะตบหัวเขาปุๆ “เออ ข้าก็เอ็นดูเอ็งเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่งล่ะ แต่...เอ็งช่วยอย่าพูดเหมือนกำลังสั่งเสียลาตายแบบนี้ได้ไหมวะ ข้าฟังแล้วใจไม่ดีว่ะ เอาเป็นว่าข้าจะกลับไปเรียนคุณรตีให้อย่างที่เอ็งบอกก็แล้วกัน แต่ยังไงๆ ข้าก็ยังอยากให้เอ็งคิดทบทวนให้ดีอีกรอบ แล้วข้าจะมาใหม่วันหลัง”
กลับมานั่งกอดเข่าบนเตียงในห้องแล้วจินดนัยก็มองออกไปยังท้องฟ้ามืดมิดภายนอก จริงอยู่ว่าแม้เวลาจะเหลือน้อยแต่ก็ไม่ใช่ไม่เหลือ หากเขาอยากกลับไปก็คงพอทำได้ เพียงแต่เขาไม่อยากกลับไปเจอปัญหาเดิมๆ ไม่อยากลังเลอีกรอบหลังตัดใจเด็ดขาดไปแล้ว เขาไม่อยากกลับไปมองหน้าแสงเหนือแล้วนึกฟุ้งซ่านว่าจะฆ่าดีหรือเปล่า ไม่อยากกลับไปนับเวลาถอยหลังว่าจะอยู่กับคนคนนั้นได้อีกนานแค่ไหน หรืออยากให้โลกหยุดหมุนเพื่อจะได้อยู่กับแสงเหนือนานอีกนิดทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้
การแยกจากกันมันทรมาน แต่ถ้าต้องให้เลือกระหว่างการกลับไปหาอีกครั้งทั้งที่รู้ว่าเรื่องจะจบลงด้วยความเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมกับการเดินจากมาเสียตั้งแต่ตอนนี้ เขาขอเลือกอย่างหลังยังดีซะกว่า
ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าจะได้อยู่ที่นี่นานกว่านี้ ทั้งที่คิดว่าน่าจะพอมีเวลาไปแอบดูแม่อีกสักวันสองวัน แต่ดูเหมือนว่าเวลาจะหมดลงเสียแล้ว
ร่างบนเตียงค่อยคลานเซื่องๆ ไปเปิดตู้แล้วเริ่มเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าอีกรอบ
++++++++++
เช้าวันต่อมา ขณะที่เขาเตรียมตัวลากกระเป๋าลงไปชั้นล่าง กลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าห้อง ทำเอาจินดนัยแปลกใจไม่ได้ว่าจะมีใครที่ไหนมาหาเขา ไม่นับว่ามันยังเช้าตรู่ขนาดนี้ด้วยซ้ำ “ใครครับ”
“จินเหรอ นี่ฉันเอง ช่วยเปิดประตูหน่อยสิ” เจ้าของเสียงฉันเองคงมั่นใจว่าเขาต้องจำได้แน่ และยิ่งกว่าแน่...เขาจำได้ ซึ่งทำให้ต้องรีบปลดล็อคและเปิดประตูไปเผชิญหน้ากับคนที่รออยู่
“คุณรตีมาทำอะไรที่นี่ครับ” เขาทักตื่นๆ พลางขยับตัวอย่างไม่สบายใจเท่าใดนัก
“ขอฉันเข้าไปคุยกับเราข้างในได้ไหม” สีหน้าอ่อนระโหยของผู้พูดแสดงชัดถึงความอ่อนเพลีย แม้แต่แววตาที่มองเขายังดูแห้งผากและแดงก่ำ คุณรตีที่เคยสง่าภูมิฐานในความทรงจำดูจะเลือนหายไป หลงเหลือไว้แต่หญิงวัยกลางคนผอมบางอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเขาถอยตัวเบี่ยงหลบแทนคำพูดเชื้อเชิญ คุณรตีจึงหันไปสั่งลุงโตที่เขาไม่ทันสังเกตเห็นเพราะยืนหลบอยู่ด้านข้าง “โตรอฉันอยู่ข้างนอกนี่ล่ะ หรือจะลงไปรอข้างล่างก็ตามใจ ฉันคงจะคุยกับเจ้าจินพักใหญ่”
เนื่องจากภายในห้องมีเก้าอี้พลาสติกอยู่แค่ตัวเดียว เขาจึงรีบเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่ง ส่วนตัวเขาเองก็เตรียมตัวจะทรุดลงนั่งกับพื้นหากติดตรงเสียงเอ่ยค่อย “เธอนั่งบนเตียงเถอะ เราสองคนจะได้คุยกันสะดวกๆ หน่อย ที่สำคัญ เธอก็ไม่ใช่ลูกจ้างฉันอีกแล้วด้วย ไม่จำเป็นต้องเกรงใจฉันมากนักก็ได้”
ถึงจะได้ยินเช่นนั้น จินดนัยก็ยังคงลงนั่งแบบหมิ่นๆ ตรงขอบเตียง ความคิดในใจตีกันว้าวุ่นว่าเขาควรจะยกน้ำมาเสิร์ฟหรือไม่ แต่เขาไม่มีแก้วน้ำสักใบ จะมีก็แต่น้ำเปล่าที่เหลืออยู่ครึ่งขวดบนโต๊ะ แถมไม่เย็นอีกต่างหาก ก็มันไม่มีตู้เย็นนี่หว่า น้ำแข็งก็ไม่มี ถ้ายื่นส่งให้ทั้งขวดจะดูน่าเกลียดไหมนะ หลอดเหลิดก็ดันไม่รู้จักหาไว้สักอัน ให้มันได้แบบนี้สิว้า หรือเขาจะขอวิ่งลงไปซื้อมาก่อนดี
“เอ่อ คุณรตีรอผมแป๊บนึงได้ไหมครับ” เขาว่าเขาพูดขอตัวสุภาพแล้วนะ แต่ทำไมคุณรตีถึงต้องทำหน้ากระสับกระส่ายแบบนั้นด้วยก็ไม่รู้ “ผมจะไปซื้อน้ำมาให้น่ะครับ มีร้านโชห่วยอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ถึงมันจะเช้าอยู่แต่ก็น่าจะเปิดแล้ว หรือถ้ายังไม่เปิดจริงๆ ผมก็ว่าจะไปขอยืมแก้วจากป้าเจ้าของพักสักใบจะได้...”
“ไม่ ไม่ต้องลำบากหรอก ฉันไม่หิวน้ำ” คุณรตีดูผ่อนคลายลงนิดหนึ่งและหัวเราะเบาๆ ยามเห็นสีหน้าแววตาแสดงความสงสัยของเขา “คือฉันเห็นแล้วล่ะว่าเธอเก็บกระเป๋าเรียบร้อยเหมือนกำลังเตรียมตัวจะไปไหน ถ้าฉันมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียวก็คงไม่เจอเธอแล้วสินะ เห็นแบบนี้แล้วฉันเลยอดกลัวไม่ได้ว่าเธออาจจะพยายามหนีไปโดยยอมทิ้งกระเป๋าเสื้อผ้าน่ะ”
เพราะแบบนี้เองนี่เอง ลุงโตคงกลับไปเล่าให้คุณรตีฟังว่าเขาเตรียมจะไปต่อ...ที่ไหนสักแห่ง จึงได้รีบวิ่งมาหาเขาแต่เช้าก่อนที่เขาจะไปที่ไหนสักแห่งที่ว่า “โตมาเล่าให้ฉันฟังแล้วว่าเธอกำลังจะกลับบ้าน ฉันเลยคิดว่าน่าจะมาพบเธอด้วยตัวเองดีกว่า ก่อนที่จะสายเกินไป...และมันก็เกือบจะสายเกินไปจริงๆ”
คุณรตีกลืนน้ำลาย กระแอมไอและเลือกที่จะสบตาเขา “ฉันยอมรับว่าตัดสินใจผิดเองที่ไล่เธอออก ถ้าเธอจะยอมยกโทษให้ฉัน ยอมยกโทษให้ยายแก่ไร้หัวคิดคนนี้สักครั้ง ก็ช่วยกลับไปหาตาเหนือทีเถอะ”
“...” ให้บรรยายว่าช็อคยังน้อยไป ถึงจะพอคาดออกว่าคุณรตีถ่อมาหาเขาถึงนี่ทำไม หากไม่คิดว่าฝ่ายที่อาวุโสกว่าในทุกๆ ด้านตรงหน้าจะกล้าเอ่ยปากรับความผิดตัวเองตรงๆ แบบนี้ “คือ... คือผมไม่ได้...”
“โตคงเล่าให้เธอฟังแล้วสินะว่าเหนือกลับบ้านมาตั้งแต่สามวันก่อน และก็เป็นสามวันที่ลูกไม่ยอมพูดกับฉันแม้แต่คำเดียว ซ้ำร้าย แกกลับทำหน้าเหมือนฉันเพิ่งทำร้ายแก ถึงปากจะไม่ได้พูด แต่สีหน้าท่าทางของตาเหนือก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันเพิ่งฆ่าแกทั้งเป็น ฆ่าทั้งเป็นด้วยการแยกเธอออกไปจากชีวิตแก ...ฉันเคยคิดว่าฉันคงทนเห็นแกเจ็บได้สักพัก ก่อนที่เวลาจะช่วยให้แกลืมไปเอง แต่สภาพที่ฉันเห็น มันกลับเลวร้ายกว่าที่คิด จนฉันกลัวว่าเหนือจะเป็นอะไรไปก่อนที่แกจะทันได้ลืม และฉันก็...เพิ่งแน่ใจว่าเหนือคงไม่ยอมลืมเธอ ไม่มีทางลืมเธอง่ายๆ แบบที่ฉันเคยคิด”
แม้แต่กระดาษทิชชู่ เขายังมีแต่แบบม้วนอยู่ในห้องน้ำ โชคดีที่คุณรตีเปิดกระเป๋าถือและหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับตรงหางตา “ใช่ ฉันเคยคิดมาตลอดว่าไม่มีใครจะรู้ดีเกินฉันไปได้ว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะกับลูก กะเกณฑ์จัดการให้ทุกอย่างไม่ว่าจะคนหรือสิ่งของ ไม่ว่าจะเป็นยัยวิกกี้หรือเด็กรับใช้อย่างเธอ ฉันก็คิดเอาเองว่าทำดี ทำถูกมาตลอดและจะยอมให้ผิดพลาดไม่ได้ แต่ดูเหมือนฉันกลับลืมคิดไปว่าลูกฉันเองก็มีหัวใจ แกมีสิทธิ์จะรัก จะเกลียดใครได้เองโดยไม่ต้องอาศัยการชี้นำของฉัน ...เหนือเป็นชีวิตของฉัน แต่หัวใจของเหนือคือเธอ”
เล็บเขาจิกลงในอุ้งมือจนเจ็บไปหมด แต่เขากลับไม่สามารถผ่อนแรงลงไม่ให้ทำร้ายตัวเองได้ ทำไม่ได้เช่นเดียวกับที่ห้ามหัวใจไม่ให้ไปรักใครต่อใคร แม้จะรู้เต็มอกว่ามันต้องจบลงในเร็ววันก็ตาม
“ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ เหนือก็เปลี่ยนไปมาก ลูกชายคนเก่าที่สดใสร่าเริงของฉันก็ดูเหมือนจะตายจากไปในอุบัติเหตุนั่นด้วย ฉันพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เหนือกลับมาเป็นเหมือนเก่า ถึงแม้ในแง่ร่างกายจะทำไม่ได้ แต่อย่างน้อยขอแค่ในแง่จิตใจก็ยังดี แต่ฉันไม่เคยทำสำเร็จ เหนือเกลียดโลก...ที่แกมองไม่เห็นอีกต่อไปจนฉันเริ่มจะยอมตัดใจ หวังแค่เผื่อสักวัน ถ้าตาแกหาย แกคงกลับมาเป็นคนเดิมได้เอง แต่หลังจากที่เจอกับเธอ เหนือกลับยิ้ม หัวเราะได้เหมือนสมัยก่อน... ไม่สิ แกดูจะมีความสุขกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ แกยังเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งฉันไล่เธอออก ตาเหนือเสียใจมาก แกเจ็บ...และคราวนี้ก็เป็นความเจ็บที่ฉันก่อขึ้นเอง” คำพูดที่เหลือมาพร้อมหยาดน้ำตาที่เจ้าตัวดูจะไม่สนใจที่จะเช็ดหรือปิดบังอีก “ฉันขอร้องเธอในฐานะแม่คนหนึ่ง ในฐานะของแม่ที่รักลูกสุดหัวใจ ขอร้องให้เธอกลับไปอยู่กับตาเหนือทีเถอะ ได้โปรดล่ะ เจ้าจิน ฉันขอร้อง”
“อย่าพูดแบบนั้นครับ คุณรตีไม่จำเป็นต้องขอโทษผม ไม่จำเป็นต้องขอร้อง คุณรตีไม่ผิด คนที่ผิดไม่ใช่คุณแต่เป็นผมเองต่างหาก” เขาทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น แทบเท้าอีกฝ่ายราวกับต้องการเป็นคนขอขมาเอง “ที่ผมต้องปฏิเสธ ไม่ใช่เพราะต้องการให้คุณมาขอให้ผมยกโทษให้ แต่...เพียงแต่...ผมต้องกลับบ้าน”
“เจ้าจินเอ๊ย” ในกระแสเสียงสั่นเทาของคุณรตีนั้นแฝงแววสงสารและเห็นใจ พร้อมกับที่ลูบศีรษะเขาด้วยความปราณี “ที่เธอบอกว่าจะกลับบ้าน ...ฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้ แต่ฉันคิดว่าถ้าเธอสามารถกลับไปได้จริงๆ เธอคงกลับไปนานแล้ว”
เขาช้อนดวงตาขึ้นมองวงหน้าอ่อนโยน พลันน้ำตาก็ทะลักเป็นท่อแตก คำพูดไม่กี่ประโยคของคุณรตีทำให้เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตนไม่เหลือบ้านให้กลับอีกต่อไป บ้านของเขาไม่ใช่คฤหาสน์หลังโตของแสงเหนือ หากบ้านหลังเดียวของเขาคือบ้านหลังเก่าที่เคยอยู่กับมารดา บ้านซึ่งไม่มีที่ให้คนตายไปแล้วอย่างเขา
ทว่ายังไม่ทันที่ใครจะเอ่ยคำใด เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังจากกระเป๋าถือบนตักคุณรตี เขาหยุดร้องและเงี่ยหูฟังอย่างแทบจะไม่ทันรู้ตัว “ฮัลโหล มีอะไร ...เดี๋ยว เดี๋ยวสิ ค่อยๆ พูด ใครหาย...”
สีหน้าต่อมาของคนยกโทรศัพท์แนบหูคือตกใจสุดขีด คุณรตีแทบจะสั่นเทายามกรอกเสียงละล่ำละลักลงไป “ตาเหนือหาย! นี่แกพูดจริงเหรอ ลูกฉันทั้งคน...ผู้ชายตัวโตๆจะหายไปโดยไม่มีคนเห็นได้ยังไง! หาดูทั่วแล้วหรือยัง ...ไม่ แกไม่ได้โทรมาหาฉัน โทรเช็คกับทางโรงแรมหรือ... แล้วเขาว่าไง ตาอั้มล่ะว่าไง เห็นตาเหนือบ้าง...” จู่ๆ คุณรตีก็ทำท่าคล้ายจะลมใส่จนจินดนัยต้องรีบเข้าประคอง “ได้ๆ ฉันจะรีบกลับไป พวกแกเองก็หาต่อไปก่อน ค้นดูให้ทั่ว ถามคนแถวๆ บ้านดูด้วยว่ามีใครเห็นบ้างหรือเปล่า ถามให้หมดทุกคนตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย ถ้ายังไม่ได้เรื่องก็ถามให้หมดทั้งถนนนั่นล่ะ!”
แทบไม่ต้องบอกเล่าอธิบายให้ฟังต่อ ทั้งเขาทั้งคุณรตีผวาลุกพรวดพราดหน้าตาแตกตื่น วิ่งโร่ออกไปพร้อมกันแทบไม่ทัน วิ่งลงบันไดมาด้วยความเร็วสูง ครั้นเจอลุงโตนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออยู่ใต้หอก็ไม่รอช้า เขาตรงรี่เข้าไปแทบจะชนแกกระเด็น “พี่เหนือหายไปจากบ้าน!”
ลุงโตยังตั้งหลักไม่ถูก ทำหน้าตามไม่ทัน คุณรตีก็ยิงสัญญาณรายงานแทรก “ยัยดวงเพิ่งโทรมาบอกว่าหาตาเหนือไม่เจอ เราต้องรีบกลับบ้านด่วนที่สุด!”
“เอ่อ... เดี๋ยวนะครับ คุณนายว่าคุณเหนือหายไปจากบ้านเหรอครับ” ลุงโตพูดงงๆ ท่าทางสับสนแต่ไม่ยักมีทีท่าเดือดร้อนเต้นเป็นเจ้าเข้าแบบอีกสองคนที่เหลือ แกเฉยเสียจนจินดนัยแทบอยากจะขบหัวให้แกหายเฉย
“ก็ใช่น่ะสิลุง อายุยังไม่เท่าไหร่ อย่ามาแกล้งทำหูหนวกหน่อยเลย ผมจะพูดอีกครั้งเดียวนะว่าพี่เหนือ...” แท็กซี่สีชมพูบานเย็นคันหนึ่งจอดเทียบลงหน้าตึกที่เขากำลังเตรียมจะขบสมองผู้มีพระคุณ สีสันสดใสบาดตาของตัวรถไม่เรียกความสนใจของทุกคนในที่นั้นได้ดีไปกว่าชายหนุ่มที่เพิ่งขยับลงจากเบาะหลังรถไปได้
..........
..........
“พี่เหนือ!!”
“ตาเหนือ!!”
สองคนร้องเสียงหลงไปคนละทาง แทบจะไม่ทันสิ้นกังวานเสียงดี แสงเหนือก็เงยหน้ายิ้มร่า “จิน... แม่ครับ”
..........
..........
ลุงโตแกจะน้อยใจไหมนะที่ไม่มีใครเรียกชื่อแกสักคน
++++++++++++++++++++++++++
TBC