รัก...ไม่ได้ออกแบบ by Zero - 31 -
“ไม่แดกก็กลับบ้านไปไป๊”ผมวางตะเกียบลงบนจานหลังจากได้ยินไอ้โอ๊คพูด มันทำหน้าเซ็งใส่ผมขั้นสุดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ วันนี้หลังเลิกเรียนที่เย็นกว่าปกติพวกมันก็ตกลงกันว่าจะมากินบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างที่เปิดใหม่ร้านหนึ่งที่ไอ้โอ๊คได้คูปองส่วนลดมา ผมก็ถูกลากมาด้วยทั้งที่ใจไม่ได้อยากมา
“มานั่งทำหน้าซังกะตายอยู่ได้ ปลาหมึกกับกุ้งกูเสียรสชาติหมด”มันว่าขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนเลยหันมาสนใจผมกันหมด สายตาดูเป็นห่วง
“เป็นไรมึงดูซึมๆหงอยๆเหมือนไม่ใช่มึง”ไอ้เต้เป็นคนถามขึ้น
“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย กูกลับก่อนแล้วกัน”ผมก็อยากกลับบ้านไปทำอะไรบ้าง ไม่มีอารมณ์จะกินหรือเฮฮากับใคร อันที่จริงกลับบ้านไปก็ไม่ได้ทำอะไร แค่อยากอยู่กับตัวเองเงียบๆ นอนมองเพดานนิ่งๆ เผื่อความรู้สึกข้างในมันจะสงบลงบ้าง
“แล้วมึงจะกลับยังไง ไม่ได้เอารถมานี่”
“เดี๋ยวเรียกแท็กซี่หน้าร้านเอา”เมื่อเช้าผมติดรถไอ้พายมา เพราะไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร แต่มันไม่คุยกับผมสักคำ ดูท่ายังเคืองกับสิ่งที่ผมทำลงไป ขนาดมันไม่ได้เป็นคนที่ได้รับผลกระทบยังรู้สึกแบบนี้แล้วคนที่ได้รับไปเต็มนั้นจะยิ่งรู้สึกมากขนาดไหน
“เออกลับดีๆ”ไม่มีใครรั้งผมไว้สักคน คงรู้ว่าผมอยู่ในอารมณ์ไม่ปกติ ก็แน่นอนเพราะผมเองก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่เหมือนเดิมและแสร้งทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ได้
บ้านเงียบเชียบเพราะไอ้พายยังไม่กลับ ผมเปิดไฟทิ้งไว้แค่ด้านหน้าแล้วเดินผ่านแสงสลัวมาทิ้งตัวนอนบนโซฟาอย่างอ่อนแรง
ผมหยุดคิดเรื่องพี่เดียวไม่ได้จริงๆ ตั้งแต่วันนั้นที่ออกมาจากห้อง ทั้งที่คิดว่าจบลงแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกค้างคา สรุปว่าเราเลิกกันหรือยังนะ ที่บอกว่าขอเวลานั้นหมายถึงอะไร หมายถึงให้ห่างกัน เลิกกันอย่างที่ผมพูด หรือว่าอะไร พี่เดียวไม่ได้โทรมาและผมก็ไม่กล้าโทรไป รู้แน่ชัดแล้วว่าตัวเองผิดมาก แต่ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรต่อไป ผมเหมือนเด็กหลงทางไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหนดี เส้นทางข้างหน้ามันมืดมนไปหมด
“มานอนตายอะไรตรงนี้วะ”
ไม่รู้ผมปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานแค่ไหน จนกระทั่งไอ้พายกลับมาเปิดไฟสว่างไปทั้งบ้านยังไม่รู้ตัว ผมลืมตาขึ้นมอง เห็นมันยืนค้ำหัวอยู่ หน้านิ่วคิ้วขมวด
“มึงโอเคมั้ยเนี่ย?”
ผมลุกขึ้นนั่ง รู้สึกเหมือนบ้านหมุนได้ทั้งที่นั่งอยู่เฉยๆ มันยอมพูดด้วยแล้วแสดงว่าคงหายเคืองไปบ้างแล้ว
“กูไม่โอเค พี่เดียวรู้เรื่องนั้นแล้ว”
“รู้ได้ไง?”
“กูบอกเอง”
“หึ แล้วเป็นไง ได้เลิก กลับมาเป็นโสดสมใจมึงแล้วสิ ไม่ดีใจออกไปร่อนฉลองโสดหรือไง”ไอ้พายประชดประชันให้ผมเจ็บใจเล่น
“มึงนี่นะ ตอนเตือนไม่ฟัง ตอนนี้มานั่งซึมกระทือเหมือนคนจะตาย”
“สภาพกูเป็นถึงขนาดนั้น?”จะตายเลยเหรอ ไม่นะ แต่ก็แค่ไม่มีความสุข ไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างที่ควรจะเป็น มันหน่วงอยู่ในใจ
“หึ ก็คงไม่ขนาดนั้น แต่ก็ไม่มีความสุขใช่มั้ย หน้ามึงอมทุกข์มาก คิดอะไรอยู่”
“พี่เดียวบอกว่าขอเวลาหน่อย ขอเวลาอะไรวะ?”
“กูจะไปรู้มั้ย ถ้ามึงอยากรู้ก็ถามเขา ไปคุยกันตรงๆเลย เอาให้เคลียร์จะเลิก จะคบต่อก็เอาให้ชัดเจน แต่ถ้าให้กูเดาเขาก็คงอยากทบทวนเหมือนกันว่าจะคบกับมึงต่อไปดีมั้ย ทำกับเขาขนาดนั้น ถึงไม่ได้รักเขาแต่มึงก็ตกลงคบกับเขาป่ะวะ การไปนอนกับคนอื่นมันใช่เรื่องที่ควรทำมั้ย ถ้าพี่เขาทำมั่งมึงจะรู้สึกยังไง หรือว่ามึงด้านชาไร้ความรู้สึก แม้แต่ความผิดชอบชั่วดีก็แยกแยะไม่ได้”
“มึงขึ้นทำไมเนี่ย”มันร่ายยาวแต่ละคำปักลงกลางใจผมอย่างจัง ความรู้สึกผิดไหลท่วมท้นหัวใจ รู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว การกระทำแบบไม่ยั้งคิดมันร้ายแรง ทำร้ายความรู้สึกคนอื่นได้อย่างสาหัสากรรจ์ สีหน้าและแววตาผิดหวังของพี่เดียวในวันนั้นยังติดอยู่ในใจผม
“กูอยากด่ามึงมากกว่านี้อีก ให้สมกับเรื่องโง่ๆที่มึงทำ แต่เห็นแล้วกูสงสารเด็กน้อยไม่ประสากับความรัก”หน้ามันดูเหยียดหยามผมมาก
“กูควรทำไงดีวะ”
“ถามใจมึงสิ ไม่มั่นใจเหมือนตอนที่บอกว่าโสดแล้วหรือไง ถ้ามั่นใจว่าอยากกลับไปแบบเดิมก็ไปคุยให้เคลียร์เลิกกันให้จริงจังไป พี่เขาจะได้ไปเจอกับคนดีๆ”ไม่วายแดกดันผมให้ยิ่งคิดมากไปอีก ให้ผมถามใจตัวเองแล้วผมจะได้คำตอบมั้ย เพราะหลายวันผ่านมาผมก็ยังคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงต่อไปดี
“กูหิวไปหาอะไรกินดีกว่า มึงจะกินด้วยมั้ย?”
“ไม่อ่ะ กูไปอาบน้ำนอนแล้ว”
“ขอให้หลับสบาย”ผมมองมันตาขวางเพราะรู้ว่ามันประชดใส่ ผมตาค้างทั้งคืนทั้งที่ร่างกายอยากพักผ่อน เพราะนอนไม่หลับมาหลายคืนแต่ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ ในหัวมีแต่เรื่องพี่เดียววนไปวนมา พร้อมกับคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้
ใจผมคิดยังไงกันแน่นะ
X
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อเรียกขวัญกำลังใจก่อนจะกดลิฟต์เพื่อพาตัวเองไปยังชั้นจุดหมายปลายทาง ผมตัดสินใจมาหาพี่เดียวที่คอนโด ในเมื่อคิดจนหัวจะระเบิดแล้วก็ยังคิดไม่ออก แต่ผมก็ยังอยากเจอพี่เดียว อย่างน้อยผมก็ควรขอโทษเขาในสิ่งที่ทำลงไป แต่คำพูดอย่างเดียวมันอาจจะน้อยไป ผมเลยแวะซื้อของสดมาด้วยวันนี้ตั้งใจจะทำกับข้าวไว้รอพี่เดียวกลับมา แม้จะไม่รู้ว่าเขาจะกินอะไรมาหรือยัง มีนัดที่ไหนหรือเปล่า แต่ผมก็อยากจะทำให้ ทว่าความคิดผมก็สะดุดลงเมื่อผมไม่สามารถเปิดประตูห้องของพี่เดียวได้
รหัสผ่านถูกเปลี่ยน...
มือผมสั่นคล้ายจะหมดแรงเสียดื้อๆ ผมลองกดรหัสเดิมอีกครั้งแต่เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นเพราะเมื่อครู่อาจกดพลาดไปสักตัว แต่ผลก็ออกมาเหมือนเดิม เปลี่ยนเพราะไม่อยากให้ผมเข้าไปได้หรือเพราะมีเหตุผลอื่น แต่ผมก็คิดหาเหตุผลอื่นไม่ได้เลย มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ผมก็ยังไม่อยากกลับไปตอนนี้ เลยตัดสินใจนั่งรออยู่หน้าห้อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแต่ไม่กล้าโทรไปหา ตอนนี้สี่โมงเย็นยังไม่ถึงเวลาเลิกงานผมกลัวจะโทรไปรบกวนเลยพิมพ์ข้อความส่งผ่านไลน์ไปแทน แล้วนั่งจ้องมันอยู่อย่างนั้นผ่านไปสิบนาทีก็ยังไม่ได้ถูกเปิดอ่าน อาจจะทำงานยุ่งหรือประชุมอยู่ แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาทีใจผมก็เต้นแรงขึ้นมา เมื่อเห็นว่าข้อความถูกอ่านแล้ว ทว่าก็ไม่มีการตอบกลับมาจากนาทีกลายเป็นชั่วโมง ผมตัดสินใจโทรไปหลังเวลาเลิกงาน รอจนสายตัดไปถึงสามครั้งจึงเลิกโทร และนั่งรออยู่ที่เดิมจนเที่ยงคืนก็ไม่มีวี่แววว่าพี่เดียวจะกลับห้อง ผมคงต้องกลับไปตั้งหลักใหม่
“ไปไหนมาวะ?”
“ไปหาพี่เดียวมา”
“เคลียร์กันแล้ว?”
“ไม่เจอว่ะ พี่เดียวไม่กลับห้อง ไม่ตอบไลน์ โทรไปก็ไม่รับ”
“พี่เขาคงต้องการเวลาอย่างที่บอกไว้ เขาคงไม่พร้อมจะคุยกับมึงจริงๆนั่นแหละ”
“แล้วต้องการไปถึงเมื่อไหร่วะ”
“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แต่กูถามมึงอย่าง มึงเจอพี่เขามึงจะคุยอะไร ที่พยายามจะติดต่อพี่เขามึงตัดสินใจได้แล้วหรือไงว่าจะเอายังไงต่อไป คิดดีหรือยัง ถามใจตัวเองหรือยังว่ารู้สึกยังไง คิดดีๆ กูกลัวว่ามึงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
“กูอยากขอโทษเขา”
“แล้วยังไงต่อ”
“......”
นั่นสิแล้วยังไงต่อดี ผมรู้แค่ว่าผมไม่มีความสุขเลย หลายอย่างต่างไปจากที่เคยคิดว่า ถ้าให้ถามว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้กับก่อนหน้าที่มีพี่เดียวอยู่ ผมกลับชอบการมีพี่เดียวอยู่มากกว่า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมคุ้นชินกับการมีเขาอยู่ข้างๆ
“มึงนี่นะ ใช้นี่เยอะๆ”มันจิ้มจึ้กๆมาที่หน้าอกด้านซ้ายของผม ที่มีหัวใจอยู่ในนั้น หัวใจที่เหมือนมีหินก้อนใหญ่ถ่วงไว้
ผมยังไปเรียนตามปกติ พยายามเพ่งสมาธิกับการเรียนการสอน แต่พอถึงเวลาพักผมก็รีบมาที่คณะบริหารเพื่อเจอพี่เฟิร์ส ผมถามตารางเรียนมาจากไอ้พายอีกที รอไม่นานก็เห็นพี่เฟิร์สเดินมากับเพื่อนอีกสองคน
“พี่เฟิร์ส”พอผมเดินไปดักหน้า เพื่อนพี่เฟิร์สทั้งสองคนก็พากันจ้องเขม็งเหมือนผมจะเข้าไปทำมิดีมิร้ายอย่างนั้น
“น่านมีอะไร?”ใบหน้าน่ารักแสดงความแปลกใจ
“ผมขอคุยด้วยหน่อยครับ”
“ได้สิ เพชรกับยุ่งไปรอที่ห้องสมุดก่อนก็ได้เดี๋ยวเราตามไป”พี่เฟิร์สหันไปบอกเพื่อนสองคนที่ดูท่าทางไม่อยากไปจากตรงนี้เท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็จากไปพร้อมกับทิ้งสายตาไม่เป็นมิตรไว้ที่ผม
“ผมติดต่อพี่เดียวไม่ได้เลย เขาไปทำงานต่างประเทศหรือเปล่าครับ”
“หืม ไม่นะ แต่กลับไปนอนที่บ้านทุกวันเลย มีอะไรหรือเปล่า เอ๊ะ! ทะเลาะกันเหรอ?”พี่เฟิร์สทำตาโตท่าทางตกใจ เขาคงไม่ระแคะระคายเรื่องระหว่างผมกับพี่เดียว
“ก็ทำนองนั้นครับ ผมอยากคุยกับพี่เดียว พี่ช่วยผมหน่อยได้มั้ย?”
“ก็ได้ เย็นนี้ไปที่บ้านพี่สิ มีนัดทานข้าวเย็นพร้อมกันในครอบครัว พี่เดียวกลับบ้านไวแน่ๆ”
“ขอบคุณครับ”แม้จะใจคอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะผมทำตัวไม่ถูกแต่อย่างน้อยก็ดีใจที่จะได้เจอพี่เดียวอีกครั้งหลังจากเกิดเรื่อง
ตอนเย็นพอเลิกเรียนผมก็พุ่งตรงไปที่บ้านของพี่เฟิร์สตามโลเคชั่นที่พี่เขาแชร์ไว้ ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะมาถึง พอมีเวลาพูดคุยก่อนจะถึงเวลาอาหารของครอบครัวพี่เฟิร์ส ผมตั้งใจแค่จะมาคุยไม่ได้อยากร่วมโต๊ะด้วย พี่เฟิร์สรอรับอยู่หน้าบ้าน พอผมจอดรถเสร็จก็ตรงเข้ามาหาทันที
“มาไวดีเหมือนกันนะ พี่เดียวอยู่อีกบ้านเดี๋ยวพี่พาไป พี่ไม่รู้หรอกนะว่าทะเลาะอะไรกันแต่ก็คุยกันดีๆนะ พี่เดียวเป็นคนมีเหตุผล แต่เวลาโกรธจะปากจัดมากก็อย่าไปถือสานะ น่านต้องใจเย็น”พี่เฟิร์สเอ่ยด้วยความปรารถนาดี ถ้าผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยังให้ความช่วยเหลืออยู่หรือเปล่า
พี่เดียวมีบ้านแยกออกมาเป็นส่วนตัวอีกหลัง เป็นบ้านปูนสองชั้นขนาดกลางเหมาะสำหรับการอยู่คนเดียวหรือการมีครอบครัวเล็กๆเป็นของตัวเอง มีสระว่ายน้ำส่วนตัวความยาว 15 เมตร บริเวณรอบบ้านดูร่มรื่นน่าอยู่กว่าคอนโดที่อาศัยอยู่ประจำเสียอีก พอพี่เฟิร์สเปิดประตูเข้าไปก็เห็นพี่เดียวที่ยังอยู่ในชุดทำงานเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมกับกางเกงสแล็คเอนตัวหลับตาอยู่บนโซฟา ขวดบรั่นดีที่ตั้งอยู่บนพื้นพร่องไปเกือบครึ่ง
“พี่เดียว ดูสิใครมาหา ท้าดา~”พี่เฟิร์สดูร่าเริงขัดกับบรรยากาศระหว่างผมกับพี่เดียว อีกฝ่ายเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นผม คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากัน ใบหน้าดูนิ่งขึงขึ้นกว่าเดิม
“คุยกันดีๆนะ เสร็จแล้วก็พาไปทานข้าวด้วยเฟิร์สบอกคุณแม่ไว้ว่ามีแขกพี่มาทานด้วย”พี่เฟิร์สถอยฉากออกไป คงรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติของลูกพี่ลูกน้องตัวเอง ผมยืนเคว้งอยู่ที่เดิม ตั้งแต่เกิดมาครั้งนี้ผมรู้สึกประหม่าที่สุดในชีวิต จนไม่กล้าสบตากับพี่เดียวตรงๆ
“มาทำไม”
“ก็พี่ไม่ตอบไลน์ ไม่รับโทรศัพท์ ผมอยากคุยกับพี่”
“โง่จนไม่เข้าใจคำว่าขอเวลาหรือไง”โดนย้อนจนผมสะอึก แต่ต้องข่มอารมณ์ไว้ ผมต้องใจเย็น
“แล้วพี่ขอเวลาไปถึงเมื่อไหร่ กี่วัน กี่อาทิตย์หรือเป็นเดือน ผมไม่รู้ว่าพี่ต้องการอะไร ตอนนี้เราอยู่ในสถานะไหน”
“คุณจะถามถึงสถานะทำไมวะ เพราะมันก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันไม่ใช่เหรอ?”พี่เดียวย่างเข้าหาท่าทางคุกคามแต่ผมก็ไม่ได้ถอยหนี
“จะคบหรือไม่คบมันดูไม่ต่างกันเลย เพราะคุณก็ยังคงทำตัวไม่แคร์ใครอยู่ดี ฉะนั้นตอนนี้อยากจะไปทำอะไรก็ตามใจเถอะ เพราะแค่ผมขอเวลาคุณยังให้ผมไม่ได้เลย ในเมื่อให้ไม่ได้ผมก็ไม่เอา!”
“ผมก็แค่ไม่เข้าใจเท่านั้น ที่มาวันนี้ผมก็แค่อยากจะมาขอโทษพี่ ผมขอโทษ”พี่เดียวแค่นหัวเราะออกมา
“รู้เหรอที่ทำไปมันผิด แต่คำขอโทษของคุณไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย คุณไม่รักผมก็พอเข้าใจได้ แต่ในเมื่อคุณตกลงคบกับผมแล้วคุณก็ควรซื่อสัตย์หรือเปล่าวะ หลักพื้นฐานง่ายๆเลย ถึงจะไม่เคยรักใครแต่คุณก็ต้องรู้”
“ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว”ผมยอมรับแต่โดยดี มันถูกอย่างที่พี่เดียวพูดมาทุกอย่าง
“ผมจะไม่ถามย้อนไปหรอกนะ ถ้าเกิดเป็นผมทำบ้างคุณจะรู้สึกยังไง เพราะผมรู้ว่าคุณคงไม่รู้สึกอะไร”สายตาของพี่เดียวตัดพ้อ เจ็บปวด
“วันนี้คุณมาก็ดีเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้ว่าจะยื้อเวลาต่อไปทำไม เราคงไปกันไม่รอดจริงๆ ต่อไปนี้คุณก็ไปใช้ชีวิตอย่างที่คุณชอบเถอะ ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณอีก”
ขอบตาผมร้อนผ่าวขึ้นมาทันที นี่คือการบอกเลิกสินะ
ผมไม่ใช่คนไร้ความรู้สึก แต่แค่รู้ตัวช้าเกินไป...X
ปึง ปึง ปึง!
เสียงเคาะประตูหนักๆ เหมือนจะพังเข้ามา ทำให้ผมลืมตาขึ้น ผมไม่ได้หลับเพียงแค่พักสายตา พักดวงตาที่บวมแดงจนแทบลืมไม่ขึ้นของตัวเอง ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไร กลางวันหรือกลางคืน ตั้งแต่กลับมาจากบ้านพี่เดียวผมก็เก็บตัวอยู่ในห้องตลอด ผ่านมากี่วันแล้วนะ
“ไอ้เชี่ยน่าน ถ้ายังไม่ตายก็มาเปิดประตูให้กู”เสียงไอ้พายดังแว่วเข้ามาฟังดูร้อนรน แต่ผมไม่ได้ขยับตัว ไม่อยากทำอะไร ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากคิดอะไรเลย เสียงคุยกันดังแว่วมาจากหน้าห้อง มีใครอีกคนหรืออาจจะหลายคนอยู่ตรงนั้น แต่ผมไม่อยากพบใครเลย
“ไอ้สัด ทำไมห้องมืดขนาดนี้”ผมหันไปมองเงาตะคุ่มๆที่เดินเข้ามาในห้อง ก่อนที่แสงสว่างจะสาดส่องเข้ามาเพราไอ้พายเดินไปเปิดม่านออก ไอ้ธันว์ ไอ้คิมก็มา มันยืนอยู่ปลายเตียง ผมลุกขึ้นนั่งลูบหน้าตาตัวเอง แล้วเอามือปิดหน้าตัวเองค้างไว้ ไม่อยากให้ใครเห็น
“พวกมึงมีไร”
“ห่า ไอ้เสือกูหมดสภาพเลย”ไอ้ธันว์
“มึงไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้วเนี่ย”ไอ้พาย มันนั่งลงข้างผม ดึงแขนเสื้อนักศึกษาที่ผมใส่อยู่ตั้งแต่วันที่ไปหาไอ้พี่เดียว
“ไม่ต้องมาปิดหน้าหนีพวกกู”ไอ้พายดึงมือผมออก ส่วนไอ้ธันว์ก็ยื่นมือมาจับหน้าผมเงยขึ้นอย่างไม่ปราณี หันหน้าหนีก็ไม่ได้เพราะแรงมันเยอะ
“โทรมสัด นี่มึงเพื่อนกูป่ะเนี่ย”
“มึงจะฆ่าตัวตายอยู่ในห้องปิดตายหรือไงวะ”ไอ้คิมมันว่า ดูโคนันมากไปหรือไงวะ ผมไม่ได้จะฆ่าตัวตายสักหน่อย
“พวกมึงมาทำไมหมดวะ”
พวกมันพร้อมใจกันถอนหายใจใส่ผม ก่อนที่ไอ้พายจะเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ไอ้เต้มันติดต่อผมไม่ได้เพราะแบตผมหมดแล้วก็ไม่ได้ชาร์จ มันเลยถามไอ้พายเพราะผมไม่ได้ไปเรียนสองวันแล้ว ตอนแรกไอ้พายก็คิดว่าผมเคลียร์กับพี่เดียวได้แล้วเลยไปนอนค้างที่คอนโดพี่เดียวเพราะไม่เห็นรถผม จนตอนเที่ยงวันนี้มันเจอกับพี่เฟิร์สแล้วบอกว่ารถผมยังอยู่ที่บ้านเขาจะเข้าไปเอากลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ มันเลยเอะใจชวนพวกไอ้สองคนนี้มาดูผมที่บ้าน วันนั้นหลังจากถูกพี่เดียวตัดขาดแบบไร้เยื่อใยผมก็โบกแท็กซี่กลับมาอย่างคนไร้สติ ลืมแม้กระทั่งรถตัวเองที่จอดทิ้งไว้
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นวะ”
“พี่เดียว...เลิกกับกูแล้ว”น้ำเสียงผมสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ขอบตาร้อนผ่าว ปวดกระบอกตาจนร้าวไปถึงท้ายทอย
“แล้วตอนนี้มึงรู้สึกยังไง”
“กู....”ผมอธิบายความรู้สึกตัวเองในตอนนี้ไม่ได้เลย ผมเคยอึดอัดกับสถานะแฟนที่ทำอะไรต้องคอยนึกถึง หงุดหงิดกับคำพูด คำสั่ง พฤติกรรมเกาะติดของพี่เดียว แต่พอมาถึงวันที่เขาคืนอิสรภาพให้ผม ผมกลับโหยหามัน แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆที่เป็นแฟนกัน แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันนาน สายใยบางๆที่มันถักท่อขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันผูกเราไว้ด้วยกัน มันคือความผูกพันที่เกิดขึ้นโดยที่ผมไม่รู้ตัว
“ตรงนี้ของมึงมันเหมือนถูกบีบคั้นจนปวดไปหมดใช่มั้ย”ไอ้พายมันจิ้มมาที่อกผม
“ในหัวของมึงคิดแต่เรื่องของเขาใช่มั้ย มองไปทางไหนก็ทำให้นึกถึงแต่เขา ไม่ว่าจะนอน เข้าห้องน้ำ กินข้าว ขับรถ ทุกที่ที่มึงไป ทุกอย่างที่มึงทำ มึงจะเห็นแต่ภาพของเขา จนมึงไม่อยากทำอะไร ไม่อยากไปไหน ไม่อยากเจอใครใช่มั้ย?”
ไอ้พายเหมือนเข้ามานั่งอยู่ในใจผม ผมนึกถึงแต่เรื่องที่พี่เดียวเคยทำให้ จริงอยู่ที่เราเริ่มต้นไม่ดี แต่หลังจากนั้นพี่เดียวก็ดีกับผมมาตลอด อดทนกับความเอาแต่ใจของผม ผมรู้ว่าเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องลงให้ใคร ผู้ชายอย่างนั้นที่ถูกเอาใจมาจนเคยชินและมีแต่คนมาเสนอตัวให้กลับต้องมาอดทนกับเด็กผู้ชายอย่างผม งานหนักแค่ไหนก็ยังปลีกตัวมาหา ถ้ามาไม่ได้ก็จะโทรมาถามด้วยความห่วงใย แต่ผมกลับมองข้ามมันและรู้สึกอึดอัดรำคาญ เพียงเพราะไม่อยากยอมรับความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้น พยายามหนีด้วยความกลัว
จนกระทั่งสูญเสียมันไปแล้ว ถึงได้รู้ใจตัวเอง...
“กู...ต้องทำยังไงถึงจะเหมือนเดิม”ไม่เหมือนเดิมก็ได้ ขอแค่ให้มีโอกาสอีกสักครั้ง ให้คนโง่ๆอย่างผมได้แก้ตัว
“มึงรู้ใจตัวเองแล้วใช่มั้ย”
“คิดว่ารู้”ถึงจะไม่มั่นใจว่ามัน เพราะผมไม่รู้ว่ารักเป็นความรู้สึกแบบไหน การอยากเจอพี่เดียวทุกวัน อยากใช้เวลาอยู่ด้วยกัน พูดคุยกัน ดีกันบ้างตีกันบ้าง แต่ผมก็มีความสุข มันใช่ความรักหรือเปล่า ถ้าหากใช่ผมก็อยากได้วันเวลาเหล่านั้นกลับคืนมา
“ถ้ารู้ใจตัวเองก็ดีแล้ว แต่จะทำยังไงให้เหมือนเดิมคงเป็นงานยากว่ะ แต่ถ้ามึงจริงจังพวกกูจะช่วยเอง”
“เออ แต่ก่อนอื่น เช็ดน้ำตาก่อนเหอะ หน้ามึงตอนนี้โคตรอุบาวท์”ไอ้ธันว์ผลักหัวผมแทบหงาย ผมยกมือลูบหน้าตัวเองทันที น้ำตาผมไหลออกมาไม่รู้ตัว คิดว่ามันจะไม่มีให้ไหลแล้วเสียอีก ผมไม่เคยเสียศูนย์ขนาดนี้มาก่อน จะมีความรักครั้งแรกก็วุ่นวายวุ่นวายเหลือเกิน
“หมดกันเพื่อนกู น่าถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ไอ้ห่าน่านสภาพเหมือนหมาถูกเจ้าของทิ้ง”
“ห่า กูไม่ใช่หมา”ผมเอาเท้ายันไอ้คิมไปที จะพูดทั้งทียังปากหมา
“หึหึ เด็กชายน้ำน่านรู้จักความรักแล้วโว้ย”ไอ้พายมันยีหัวผมเป็นเด็กน้อย ผมเลยปัดออก ได้ทีก็เหยียบกูใหญ่เลยนะพวกมึง
“เลิกนอนรอเวลาตายแล้วลุกไปอาบน้ำไป มึงไม่ได้กินไม่ได้นอนมากี่วันแล้วเนี่ย ซูบไปเยอะ หน้าก็โทรม ถ้าจะง้อผัวด้วยสภาพนี้เป็นกูก็ไม่เอาอ่ะ”
“ไอ้สัดพาย”
“ฮ่าๆๆ”แล้วมันก็พากันหัวเราะผม เห็นเพื่อนเป็นทุกข์มึงมีความสุขกันนักใช่มั้ย กูจะพลาดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ!
--------------------------------
มาแล้วค่ะ เอาน้ำน่านมาให้ยำ ฮ่าาาา รู้ใจตัวเองสักทีเนอะ
ต่อจากนี้ก็เจองานหิน งานยักษ์ งานง้อชุดใหญ่ไฟกะพริบ
