อันดามัน...ซ่อนรัก
(Andaman In Love)
ตอนที่ 14
ผมลืมบอกไปว่าวันนี้แม่ของคุณครามกลับมาจากต่างประเทศแล้ว คงจะถึงแล้วมั้งไม่แน่ใจเพราะเห็นลุงแช่มเตรียมรถไปรับตั้งแต่ก่อนเที่ยงแล้ว ช่วงที่คุณครามยังพักรักษาตัวอยู่ ก็ได้คุณป้าเนี๊ยะแหละที่เป็นคนดูแลกิจการให้ทั้งหมด หลายเดือนมานี้เลยไม่ค่อยได้อยู่บ้านเลย แต่ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็โทรมาถามข่าวคราวลูกชายตลอด อันนี้ฟังพี่นุ้ยเค้าเล่ามาอีกที
"คุณแม่สวัสดีครับ" คุณครามยกมือไหว้แม่
"สวัสดีจ๊ะลูก......แม่ดีใจเหลือเกินที่ลูกของแม่กลับมาเป็นคนเดิมได้สักที" คุณป้ากอดคุณครามแน่นแล้วปาดน้ำตาออก แกคงจะดีใจเพราะไม่ได้เห็นหน้ากันมาตั้งหลายเดือน ไปครั้งก่อนคุณครามยังอาละวาดจนบ้านแทบพังอยู่เลย กลับมาตอนนี้ทุกอย่างดีขึ้น ไม่อาละวาด แถมยังลุกเดินได้เองแล้วด้วย จะไม่ให้ท่านร้องไห้ได้ยังไงล่ะ
"สวัสดีครับคุณป้า"
"สวัสดีจ้าหนูขิง มาให้ป้ากอดที่เร็วลูก"
"ขอบใจมากนะลูกที่ทำให้ลูกของป้ากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ถ้าไม่ได้หนู ป้าก็ไม่รู้ว่าครอบครัวของป้าจะเป็นยังไงบ้าง ขอบใจอีกครั้งนะลูก" ผมละอายใจจริงๆ เพราะไม่ได้ดูแลอะไรเค้ามากมายเลย อย่างเก่งก็ทำกายภาพให้ปกติเพราะเค้าเดินได้ก่อนที่ผมจะมาอยู่ที่นี่ซะอีก
"ยินดีครับคุณป้า" ผมตอบรับอ้อมแอ้มไม่เต็มปาก
"ยินดีต้อนรับกลับค่ะนายหญิง" ป้าน้อยกับพี่นุ้ยก็ยิ้มแก้มปริกับภาพสองแม่ลูกเค้ากอดกัน ขนาดผมเห็นยังรู้สึกอบอุ่นหัวใจไปด้วยเลย นี่แหละนะเค้าเรียกว่าครอบครัว
"เดินทางมาเหนื่อยๆ ขึ้นไปพักก่อนไหม๊ครับคุณแม่"
"ก็ดีเหมือนกันจ๊ะ ไว้ตอนเย็นค่อยมาทานข้าวด้วยกันนะลูก"
"ครับ" คุณป้าคงจะดีใจมากที่ลูกชายคนเดียวของท่านเกือบหายเป็นปกติแล้ว ก่อนเดินขึ้นห้องไปยังเดินกลับมากอดคุณครามอีกครั้ง แล้วก็ให้ลุงแช่มยกกระเป๋าขึ้นไปไว้บนห้องเลย
"วันนี้จะทำเมนูอะไรต้อนรับนายหญิงกันดีคะป้า?"
"ว่าจะทำปลานึ่งมะนาว ของโปรดนายหญิง อยู่ที่โน้นคงไม่ได้กินนานแล้ว" ที่โน้นคงหมายถึงต่างประเทศนั่นแหละเพราะคุณป้าไปติดต่อลูกค้าแทนคุณครามหมดเลยนี่หน่า
"แต่ปลาเราหมดแล้วนิจ๊ะ"
"เอ่อจริงของเอง"
"งั้นเดี๋ยวผมกับพี่นุ้ยเอารถมอไซค์ออกไปซื้อที่ตลาดให้ก็ได้ครับ" ผมรีบอาสาเพราะไม่ได้ขี่มอไซด์นานละ เห็นสกู๊ปปี้ไอสีฟ้าขาวจอดอยู่ในโรงจอดรถตั้งนานแล้วด้วย แต่ไม่มีคนเอาไปใช้
"จริงจ๊ะป้า ของใช้ส่วนตัวชั้นหมดพอดี จะได้ออกไปซื้อด้วยเลย" ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่อยากออกไปขี่รถเล่น พี่นุ้ยก็เหมือนกัน เห็นไหมผมมนวว
"อื่ม งั้นก็แล้วแต่พวกเอง รีบไปรีบกลับล่ะ"
"จ๊ะ/ครับ"
"งั้นผมขอไปหยิบกระเป๋าตังค์ก่อนนะครับพี่นุ้ย"
"ก๊อกๆๆ"
"เข้ามา"
"ผมมาขออนุญาติคุณไปตลาดกับพี่นุ้ยครับ?"
"ไปทำไม?"
"ไปซื้อปลามาทำกับข้าว ส่วนพี่นุ้ยก็จะไปซื้อของใช้ส่วนตัวครับ"
"ไปสิ เดี๋ยวชั้นไปด้วย รอแป๊บนึง"
"เอ่อ.....งั้นผมลงไปรอข้างล่างนะครับ" ฝันสลาย ไม่รู้ว่าคุณครามจะไปด้วยทำไมกัน แต่ก็นะคงอยากไปซื้อของอะไรสักอย่าง ไม่งั้นก็อยากออกไปนอกบ้านบ้าง เพราะอยู่แต่บ้านก็อุดอู้ ยิ่งเดินได้แล้วแบบนี้ด้วย ลืมบอกไปว่าครั้งก่อนที่หมอนัด คุณหมอบอกว่าอาการของคุณครามดีขึ้นมากแล้ว เรียกได้ว่าดีเกือบสมบูรณ์เลยก็ว่าได้ ที่เหลือก็แค่หมั่นทำกายภาพ หมั่นลุกเดินบ้างตามปกติ แล้วก็อย่าให้หกล้มหรืออะไรที่จะทำให้บาดเจ็บซ้ำที่เดิมอีก จากนั้นก็รอผ่าเอาเหล็กออกแค่นั้นเอง คุณหมอพ่อของหมอตั้นยังแซวอีกว่า เพราะเป็นคนหนุ่ม ร่างกายเลยหายเร็ว ถ้าเป็นคนแก่อย่างคุณลุงหมอ (ท่านให้เรียกแบบนี้) คงหายช้ากว่านี้อีกนานเลย แถมยังสำทับอีกว่า หายเร็วแบบนี้ก็ดี จะได้รีบๆ หาเมียมาดูแลสักที ยังหนุ่มยังแน่นแบบนี้ รีบๆมีเมียจะได้มีลูกได้ทันใช้ เกิดล่วงพ้นวัยไปแล้วจะได้ไม่เสียดายเวลาตอนหนุ่มๆ ไม่นึกเลยว่าพ่อของหมอตั้นจะเป็นคนอารมณ์ดีแบบนี้ ถึงว่าหมอตั้นอารมณ์ดีจนล้นเชียว
"อ้าว นายหัวก็จะไปเหรอคะ?"
"อื้ม"
"จะซื้ออะไรรึเปล่าคะ ฝากนุ้ยซื้อก็ได้นะคะ"
"ไม่ได้จะซื้ออะไร แค่จะออกไปด้วยเฉยๆ" พี่นุ้ยทำหน้าเหวอ คงจะแปลกใจพอๆกับผมตอนแรกๆนั่นแหละ
"อ๋อค่ะ" พี่นุ้ยรับคำงงๆ แล้วเดินตามออกมา
"ไปสะพานปลานะลุงแช่ม ตอนนี้น่าจะยังพอมีเรือหาปลาขึ้นฝั่งมาอยู่"
"ครับ" ในเมื่อมากันสี่คนแบบนี้ แน่ล่ะว่าผมก็ต้องนั่งข้างหลังกับคุณคราม ส่วนพี่นุ้ยก็นั่งข้างหน้ากับลุงแช่ม วันนี้คุณครามใส่เสื้อเชิ๊ตแขนสั้นสีน้ำเงิน กับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีครีมอ่อน รองเท้าแตะ ส่วนผมก็ใส่เสื้อโปโลสีเปลือกมังคุด กับกางเกงสามส่วนสีขาว รองเท้าแตะเหมือนกัน
"อยากไปเที่ยวไหนไหม๊? ตั้งแต่มาอยู่นี่นายยังไม่ได้ไปไหนเลยนิ"
"ครับ?" ผมถามกลับเพราะไม่ทันได้ฟัง มัวแต่มองวิวข้างนอก
"อยากไปเที่ยวไหนรึเปล่า? เผื่อวันหลังชั้นจะได้พาไป"
"ไม่เป็นไรครับ รอเสร็จงานค่อยเที่ยวทีเดียวเลยก็ได้ครับ เผื่อจะได้ซื้อของฝากกลับบ้านเลย"
"หมายความว่าไง?" แล้วทำเสียงเข้มทำไม? พูดแค่นี้เอง
"ก็...หมายความว่า พอคุณหายดีแล้ว ผมค่อยหาเวลาเที่ยวก่อนกลับก็ได้ไงครับ จะได้ไม่รบกวนเวลางานด้วย"
"แล้วนายคิดว่าชั้นหายดีแล้วงั้นเหรอ? ถึงได้เตรียมแผนเที่ยวไว้แล้ว" ถามแบบนี้หมายความว่าไงอีกล่ะเนี๊ยะ? เดาใจไม่ถูก
"ความจริงก็ยังไม่ได้เตรียมหรอกครับ แค่คิดๆ ไว้เฉยๆครับ ส่วนเรื่องอาการของคุณก็ดีขึ้นมากแล้วนิครับ แทบไม่ต้องให้ผมช่วยอะไรเลยด้วยซ้ำ คิดว่าอีกเดือนสองเดือนก็คงเดินได้ตามปกติแล้ว"
"ไปดูปลากันเถอะครับ" จะว่าผมหลบเลี่ยงการสนทนากับคุณครามตอนนี้ก็คงใช่แหละ ใครจะไปอยากคุยกับคนที่กำลังทำหน้าเป็นยักษ์ล่ะ
ผมค่อนข้างชอบวิถีชีวิตชาวเลนะ อาจเป็นเพราะมันดูแตกต่างจากที่บ้านผมที่มีแต่ดอย หรือที่กรุงเทพฯที่มีแต่ตึกกับอาคารมั้งครับ ผมชอบดูอะไรที่มันเป็นวิถีชีวิตแบบนี้ เพราะมันทำให้เรารู้ว่าแต่ละที่เค้าเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกันยังไง เหมือนอย่างสะพานปลาตรงนี้ก็ทำให้เราเห็นการออกเรือไปหาปลาของชาวเล แล้วกลับขึ้นมาพร้อมกุ้งหอยปูปลา ทำแบบนี้ทุกวันเพื่อเลี้ยงชีวิตเลี้ยงครอบครัว ผมเคยได้ยินนะครับว่าชาวเลเค้าดูดาวเป็นด้วย เพราะเค้าจะใช้ดาวแทนเข็มทิศในการเดินเรือ ดูคลื่นลมท้องฟ้าเป็นว่าวันนี้จะมีพายุรึเปล่า? เพราะถ้าเกิดมีพายุ พวกเค้าก็จะไม่ออกเรือหาปลากัน เพราะมันเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ยิ่งถ้าเป็นหน้ามรสุมก็จะยิ่งลำบาก
"คุณขิงอยากทานปลาอะไรเป็นพิเศษไหม๊คะ? พี่จะได้ซื้อไปเลย"
"ผมทานได้หมดครับ ถ้าเป็นเมนูปลา พี่นุ้ยเลือกเลยครับ" มาอยู่บ้านท่านจะมาเลือกกินเป็นเจ้าของบ้านคงจะไม่ได้ เดี๋ยวจะโดนว่าเหมือนครั้งก่อนอีก
"แล้วอยากทานปูไหมคะ?"
"ครับ เอาปูก็ได้ครับ กำลังอยากกินปูผัดผมกะหรี่อยู่พอดี" ถ้าไม่เลือกเอาสักอย่างพี่นุ้ยคงจะไม่หยุดถาม ผมเลยเลือกเอาปูนี่แหละ
"เดี๋ยวพี่ถามก่อนนะคะ"
"ลุงคะมีปูไหม๊คะ?"
"มีอิหนู เอากี่โล?"
"2 โลก็ได้จ๊ะ"
"นายหัวเป็นอะไรอีกเหรอคะ?" เสียงพี่นุ้ยกระซิบถาม
"เป็นอะไรเหรอครับ?" ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้
"ก็ดูสิคะ หน้าหงิกเชียว ตอนออกมายังดีอยู่เลย หงุดหงิดอะไรรึเปล่าก็ไม่รู้?" ผมเหลือบไปมองตามที่พี่นุ้ยบอกนิดนึงแล้วหันกลับ
"ปล่อยเค้าไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวก็คงหาย อาจหงุดหงิดเพราะอากาศร้อนก็ได้ครับ"
"ไม่มีทางหรอกค่ะที่นายหัวจะหงุดหวิดกับอากาศร้อน ออกจะชินเสียด้วยซ้ำ เพราะบางวันก็ต้องออกไปดูฟาร์ม นั่นก็ร้อนใช่เล่นเหมือนกันนะคะ"
"งั้นก็ไม่รู้แล้วล่ะ คงต้องรอถามนายหัวของพี่นุ้ยเองแล้วล่ะครับ" ผมแกล้งหยอกพี่นุ้ย
"ใครจะไปกล้าถามกันล่ะค่ะ คุณขิงล่ะก็ ...งั้นพี่จ่ายเงินแล้วเรากลับกันเถอะค่ะ"
"ก็ดีเหมือนกันครับ เผื่อคุณครามอยากพัก"
"เท่าไหร่จ๊ะลุง?"
"xxx บาท"
กลับมาถึงบ้านพี่นุ้ยก็แยกเอาของทะเลสดไปเก็บไว้ในครัว ส่วนผมกับคุณครามก็กลับห้องใครห้องมัน ออกไปข้างนอกแป๊บเดียวเอง ไม่ถึงชั่วโมง แต่เหงื่อนี่ออกเต็มเลย ยิ่งกว่าไปวิ่งออกกำลังกายมาซะอีก ผมเลยต้องอาบน้ำใหม่อีกครั้ง คุณครามก็คงเหมือนกัน รายนั้นเหงื่อออกเยอะยิ่งกว่าผมอีก ผมใช้เวลาอาบนำ้ประมาณ 10 นาที ก็แต่งตัวแล้วรีบเข้าไปหาคุณครามเค้าเผื่อมีอะไรให้ช่วย
"คุณจะทำงานใช่ไหมครับ งั้นผมลงไปช่วยพี่นุ้ยทำกับข้าวนะครับ" ผมถามคุณครามหลังจากเดินมาส่งเค้าที่ห้องเสร็จ ถ้าถามว่าหลังจากวันที่เจอเจครั้งแรก ผมกับคุณครามเป็นไงบ้าง? คงต้องบอกเลยว่า เหมือนเดิมครับ ผมยังดูแลเค้าตามปกติ แต่หลีกเลี่ยงอะไรที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์เหมือนครั้งก่อนอีกแค่นั้นเอง จะว่าไปก็ตลกดีนะครับ หลังเหตุการณ์ของผมกับเจ ผมก็ทำใจได้เร็วมาก ถึงจะบอกว่าเป็นเพราะความคิดของพี่ต้นหอม แต่ลึกๆ แล้วผมก็อาจจะมีใจให้คุณครามเหมือนอย่างที่เจว่าจริงๆ ก็ได้ครับ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเค้าไม่ได้คิดเหมือนกับเรา สักหน่อย เค้าเป็นผู้ชาย ไม่ใช่เกย์ ถึงเจจะบอกว่าผู้ชายเต็มร้อยแบบเจ ทำไมถึงยังมารักผมได้ล่ะ? อันนี้ผมก็ไม่รู้หรอก เจอาจเป็นไบเซ็กซวลแต่ไม่รู้ตัวเองก็ได้ ใครจะไปรู้
"ไปช่วยทำไม?"
"แค่อยากช่วยเฉยๆ ครับ ไม่มีอะไรทำ"
"งั้นก็ไปดูแลต้นชมนาดของนายสิ เดี๋ยวมันก็ตายหรอก" น้ำเสียงดีขึ้นกว่าตอนที่อยู่สะพานปลา
"ลุงแช่มเพิ่งรดน้ำไปตอนเช้านี้เองครับ ผมก็ไปดูมาแล้ว" จริงนะผมไปดูมาเมื่อตอนเช้านี้เอง ใบเก่าร่วงหมดแล้ว ส่วนใบเล็กๆกำลังแตกหน่ออกมา ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีว่ามันยังไม่ตาย
"งั้นผมไปช่วยในครัวนะครับ" ผมถามอีกครั้ง
"ถ้าอยากทำงานมากก็มาช่วยชั้นสิ"
"ไม่ดีหรอกครับ ครั้งก่อนผมเกือบทำบัญชีตกหล่น กว่าจะเสร็จก็ต้องตรวจทานไปตั้งหลายครั้ง ช่วยในครัวน่าจะดีกว่า"
"ไหนบอกว่าช่วยที่บ้านทำบ่อยๆ ส่วนครั้งที่แล้วก็ทำออกมาได้ดีนิ ไม่เห็นผิดตรงไหน"
"ก็......"
"ช่างมันเถอะ ไม่อยากทำชั้นก็ไม่ว่า งั้นมานั่งคุยกันหน่อย"
"คุยอะไรครับ?"
"เรื่องที่นายบอกจะกลับบ้านเมื่อชั้นหายไง" อ๋อเรื่องนี้เอง ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินไปนั่งเกาอี้ตรงข้าม
"เข้าเรื่องเลยล่ะกัน แล้วถ้าชั้นยังไม่หายล่ะ นายก็จะอยู่ต่อใช่ไหม๊?"
"จะเป็นไปได้ไง ในเมื่อคุณก็ใกล้หายแล้วนิครับ"
"กลับไปแล้วจะไปทำอะไรต่อ?" คุณครามถามต่อ
"คงช่วยงานที่บ้านมั้งครับ" ผมตอบไปอย่างนั้น ความจริงผมยังไม่ได้คิดจริงๆจังๆด้วยซ้ำว่าจะทำอะไรต่อ
"แล้วถ้าชั้นจ้างให้ทำงานกับชั้นต่อล่ะ?"
"ตำแหน่งอะไรครับ?"
"ไม่รู้สิ เลขามั้ง คิดว่าไง?"
"ขอบคุณครับ แต่ผมคิดไว้แล้วครับว่าจะกลับไปช่วยงานที่บ้านดีกว่าครับ" อันนี้โกหกเพิ่งคิดได้ปุ๊บปั๊บเมื่อกี้นี่แหละ ผมว่าอยู่ใกล้กันเกินไปคงไม่ดีต่อตัวผมหรอก ผมกลัวใจตัวเอง
"อื้ม" คุณครามตอบเสียงหนักแน่น แต่ฟังดูน่าสงสารยังไงไม่รู้ ผมหันมามองหน้าเค้าอีกครั้ง เรามองหน้ากันแต่ผมก็ไม่เข้าใจเค้าเลยสักนิดว่าต้องการอะไรจากคนอย่างผมกันแน่
"งั้นผมขอลงไปช่วยข้างล่างนะครับ ถ้าเสร็จแล้วจะขึ้นมาตามนะครับ"
"อื้ม"
.....................................................
"เฮลโหลลลล เพื่อนครามมมม!!" เสียงมาก่อนตัวอีก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร
"มาทำไมไอ้หมอ?" จากหน้ายิ้มๆ คุณครามเบรคหมอตั้นด้วยคำพูดแรงๆตลอด น่าสงสารเหมือนกันนะนั่น
"คำถามนี้อีกละ ไม่เบื่อบ้างรึไง?" หมอตั้นยักคิ้วใส่เพื่อนรักของเค้า
"ไม่เบื่อ"
"คนอะไรเพื่อนมาเยี่ยมทั้งที กลับชอบขับไล่ไสส่ง" หมอตั้นแกล้งตัดพ้อแล้วเบ้ปากใส่
"เอ่อ!! แล้วมาไม?"
"ได้ยินข่าวว่าคุณป้ากลับมาถึงแล้วเลยแวะมาเยี่ยม"
"อื้ม"
"แล้วท่านอยู่ไหนวะ?" หมอตั้นนั่งลงที่โซฟาข้างๆคุณคราม
"แม่กูไปสปากับเพื่อน เย็นๆคงกลับ"
"โอ๊ะ!! คุณขิง สวัสดีครับ" หมอตั้นหันมาทักทายผมที่นั่งอยู่ข้างๆ คุณครามแต่เป็นอีกฟากหนึ่ง
"สวัสดีครับคุณหมอ"
"ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในหน้าที่หมอ เรียกพี่ตั้นเฉยๆ ก็พอมั้งครับ อิอิ"
"ครับคุณตั้นเฉยๆ"
"ฮ่าๆๆๆๆ คุณขิงนี่ก็กวนใช่เล่นเหมือนกันนะครับ" หมอตั้นหัวเราะลั่น
"รับน้ำอะไรดีครับ เดี๋ยวผมไปเอามาให้" ผมลุกไปเอาน้ำมาให้เพราะจะได้ให้คุณครามคุยธุระกับหมอตั้นด้วย
"ไม่ต้อง เดี๋ยวมันก็กลับแล้ว" คุณครามตัดบทหน้าตาย
"ใครบอก กูจะอยู่กินข้าวเย็นด้วยต่างหาก"
"ไปกินบ้านมึงโน้น บ้านกูไม่ใช่โรงทาน" หยอกเพื่อนแรงตลอด ผมเป็นหมอตั้นคงกระอักเลือดบ้างแหละ ไม่รู้ว่าคบกันมาถึงขนาดนี้ได้ไง
"งั้นกูยืมคุณขิงออกไปทานข้าวด้วยได้ไหม๊ นะครับคุณขิง" หมอตั้นทำตาพริบๆ ออดอ้อน แต่ดูยังไงก็ไม่ได้น่าสงสารเลยนะ ดูน่าเตะมากกว่า ผมหันไปมองคุณครามว่าจะเอายังไงดี
"แล้วแต่เจ้าตัวเค้าสิ" ใจจริงผมก็ไม่อยากไปหรอกนะ แต่ในเมื่อเค้าสนับสนุนเพื่อนเค้าขนาดนี้ผมจะไปขัดเค้าทำไมล่ะ เจ็บลึกๆแหะ
"นะครับคุณขิง พลีส.....ผมไม่อยากทานข้าวคนเดียว มันเหงา นะครับ"
"ครับ" ผมตอบตกลงโดยที่ไม่หันไปมองเค้าอีก แต่ได้ยินเสียง "หึ!!" คำเดียวตามหลังมา
"ปั่ง!!!!"
"คนอะไรไร้มารยาท ปิดประตูใส่แขกเสียงดังเชียว" หมอตันบ่นกระปอดกระแปด หน้ายู้
"คุณหมอแคร์ด้วยเหรอครับ? ผมคิดว่าคุณหมอชินแล้วซะอีก"
"ก็ชินแล้วล่ะครับ หึๆๆๆ"
"งั้นผมขอตัวไปแต่งตัวสักครู่นะครับ"
"ตามสบายเลยครับ"
ใช้เวลา 15 นาทีไม่ขาดไม่เกิน ผมก็แต่งตัวเสร็จ ปกติเร็วกว่านี้อีกแต่มัวลังเลเพราะไม่รู้ว่าหมอตั้นจะพาไปกินข้าวร้านแบบไหน สุดท้ายเลยเอาแบบง่ายๆที่ผมเป็นนั่นแหละ ขืนมัวเลือกนานกว่านี้ก็เกรงใจหมอตั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้นั่งรอจนหลับไปแล้วรึยัง หรือหิวจนไส้กิ่วไปแล้วก็ไม่รู้
"รอนานไหม๊ครับ?"
"ไม่นานหรอกครับ นานกว่านี้ก็รอได้"
"งั้นเดี๋ยวผมไปบอกพี่นุ้ยก่อนนะครับว่าวันนี้ไม่ทานข้าวเย็นที่บ้าน" ตอนแรกนัดกับคุณป้าไว้ แต่ตอนนี้คุณป้ามีนัดแล้ว เพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี้ พวกเราเลยไม่ต้องอยู่รอทานข้าว
"ครับ"
"ไปกันเถอะครับ"
"เดี๋ยว!!"
"มีอะไรไอ้คราม?" ผมกับหมอตั้นหันไปหาต้นเสียง
"กูจะไปด้วย"
"ห๊ะ!!! / หึๆๆ" อันแรกน่ะเสียงผมเองครับ ส่วนหมอตั้นอันหลัง
"หัวเราะอะไรของมึง?"
"เปล๊า!!" หมอตั้นตอบเสียงกวนๆ
"แล้วนี่มองทำไม?" มองก็ไม่ได้ ก็คนมันแปลกใจ อยู่ๆ ก็จะไปด้วย ทั้งทีเมื่อกี้ไม่เห็นว่าอะไร
"ก็เปล่าครับ"
"นึกว่าอยากไปกับไอ้หมอสองคน?" อะไรกัน ก็คุณเองไม่ใช่รึไงที่สนับสนุนเพื่อนตัวเอง
"............."
"ไปกันเถอะครับคุณขิง ไม่ต้องไปสนใจเด็กโข่งเลยครับ"
"ครับ" ผมรับคำแล้วเดินไปนั่งข้างหลัง ปล่อยให้สองเพื่อนซี้เค้านั่งด้วยกันไป หวังว่าคงไม่ตีกันกลางทางหรอกนะ
"ผมบอกรึยังครับว่าวันนี้คุณขิง แต่งตัวน่ารัก" วันนี้ผมใส่เสื้อสีขาว สลับดำแบบทีมรักบี้ ส่วนกางเกงก็เข้าชุดกันเลย มีแอคเซสเซอรี่แค่หมวกสีเดียวกันกับชุดกับแว่นตากันแดดแค่นั้นเอง ส่วนรองเท้าก็คีบอีแตะเหมือนเดิมสะดวกดี
"หมายความว่า ปกติไม่น่ารักอย่างงั้นเหรอครับ?" เรื่องอะไรผมจะปล่อยให้ตัวเองเขินแล้วถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวกันล่ะ
"โถ่...ผมจะหมายความอย่างนั้นได้ไงกันล่ะครับ ผมหมายความว่าน่ารักเป็นพิเศษต่างหากล่ะครับ" ถ้าผมเป็นสาวๆคงเขินแล้วก็ตกหลุมรักหมอตั้นแล้วล่ะครับ แต่เผอิญผมมีภูมิต้านทานตอนอยู่มหา'ลัยเลยไม่รู้สึกอะไร กลับดูขำๆเสียมากกว่า
"คุณหมอพูดอย่างกับเห็นผมทุกวันงั้นแหละครับ"
"จริงด้วยสิ แต่ผมเดาเอาว่าต้องน่ารักเหมือนทุกวันนั่นแหละครับ อิอิ" ผมยิ้มไม่ตอบอะไรต่อ
"หึ!!" เสียงคุณครามดังขึ้นมา ผมที่นั่งอยู่ข้างหลังเลยเงยหน้าขึ้นมองกระจกหลัง เห็นเค้ากำลังมองมาพอดี แต่ผมก็ไม่ได้หลบนะเพราะไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
"อะไรไอ้คราม กูพูดความจริง"
พอถึงร้าน คุณหมอก็บอกชื่อไป แล้วพนักงานก็พาไปที่โต๊ะ ไม่น่าเชื่อนะครับว่าคุณหมอจะพามาทานร้านแบบนี้ ต้องบอกเลยว่าสวยมากเลยครับ เป็นร้านอาหารริมทะเล มีต้นมะพร้าวอยู่หน้าร้านสองต้น ประดับไปด้วยไฟกระพริบติดรอบๆ โคนต้น แล้วก็ธงชาติไทยเล็กๆ ร้อยจากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง ข้างๆ ร้านก็จะมีต้นอะไรสักอย่างกับเปลยวนที่ผูกติดอยู่ ตามทางขึ้นไปยังตัวร้านก็จะมีกังหันลมที่ทำจากกระป๋องเบียร์ แล้วก็กังหันลมที่ทำจากกะลามะพร้าวหมุนอยู่ ตัวร้านเป็นกึ่งไม้กึ่งปูนสีขาว แบ่งแยกส่วนบาร์เครื่องดื่มกับแคชเชียร์อยู่ติดตัวร้านเลย จากนั้นก็มีระเบียงเทอเรซตรงข้ามกับบาร์เครื่องดื่ม มีโคมไฟเล็กๆ สีนวลติดตามหัวเสารอบๆ ระเบียง ส่วนโต๊ะของพวกเราเป็นโต๊ะที่อยู่ตรงระเบียงสุดติดกับทะเลเลยครับ ทำให้ได้ยินเสียงคลื่นกับเสียงเพลงคลอเบาๆไปด้วย ส่วนเพลงก็มีทั้งเปิดแผ่นแล้วก็ร้องสดแล้วแต่วัน อันนี้เห็นเขียนติดอยู่ตรงหน้าร้าน
"ทานอะไรดีครับ" คุณหมอถามหลังจากพนักงานเอาเมนูให้
"คุณขิงชอบกินกุ้งไม่ใช่เหรอครับ? ผมจำได้อยู่"
"ครับ" ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมเคยคุยกับคุณหมอทางเฟซบุ๊ค เรื่องทะเลกับดอย เพราะผมเป็นเด็กดอยเลยชอบทะเล ชอบอาหารทะเล โดยเฉพาะกุ้ง
"งั้นลองกุ้งเผาราดน้ำจิ้มซีฟู๊ดไหมครับ? กุ้งเผาร้านนี้ตัวโตนะครับ แถมยังสดด้วย"
"งั้นเอาอันนี้ก็ได้ครับ" คุณหมอเห็นผมยิ้มตาวาว เลยทำหน้าแซวๆที่ได้กินของถูกใจ สำหรับผมเรื่องกินคือเรื่องใหญ่นะครับ ไม่เหมือนคีย์ รายนั้นต้องเสื้อผ้ากับแฟชั่นครับเท่านั้นที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
"เลือกอีกสิครับ นานๆ ทีผมจะได้ทานข้าวกับคุณขิงสักที"
"ให้คุณหมอเลือกบ้างดีกว่าครับ ทานด้วยกัน ต้องช่วยกันเลือกสิครับ" ขืนให้ผมเลือกเองหมดก็น่าเกลียดสิ มาด้วยกันตั้งหลายคน แต่ผมกับเลือกอยู่คนเดียวตามใจชอบ
"งั้นผมเอาผัดปูนิ่มแล้วกันครับ"
">\\<"
"ทำไมเหรอครับ หรือว่าคุณขิงไม่ชอบทานปูนิ่ม?"
"เปล่าครับ ผมทานได้ครับ อร่อยดี แต่มันน่าสงสารนะครับ..."
"สงสารทำไมเหรอครับ?"
"ผมได้ยินว่า...กว่าเค้าจะเอามันขึ้นมาต้องเลือกตัวที่เพิ่งลอกคราบใหม่ๆ แต่ถ้าเป็นปูที่เค้าเลี้ยงในกระชังก็จะจับมันมาดึงกระดองออก เพื่อรอกระดองมันขึ้นมาใหม่ถึงจะเอามาทำเป็นปูนิ่มได้ใช่ไหมครับ?"
"โถ่คุณขิงครับ มันเป็นของเลี้ยงโลกนะครับ ขี้สงสารจริง งั้นผมเปลี่ยนก็ได้ครับ หึๆๆ"
"เปลี่ยนเป็นหมึกไข่ทอดกระเทียมแล้วกันนะครับ หวังว่าอันนี้ไม่สงสารมันอีกนะครับ" คุณหมอยิ้มมุมปากให้ ผมก็เลยก้มหัวแล้วยิ้มแหยๆให้เพื่อเป็นการขอบคุณที่ไม่สั่งมันมาทาน เพราะถ้ายิ่งมีคนสั่งกินเยอะ มันก็ยิ่งถูกจับมาเยอะใช่ไหมล่ะ? ถ้าเป็นปูปกติผมก็ยังโอเคอยู่ เพราะไม่ต้องมาดึงกระดองมันออก แล้วรอให้มันมีกระดองนิ่มๆ ขึ้นมา สงสารมันนะครับ คงจะเจ็บน่าดู ทีแรกผมก็ชอบกินมันมากเลยล่ะครับ แต่พออ่านเจอในเน็ตก็เลยหยุดกินเลย สงสารมัน
"แล้วมึงล่ะไอ้คราม?"
"............"
"ถามไม่ตอบ งั้นเราสั่งกันเถอะครับคุณขิง" ผมเหลือบมองคนที่นั่งตรงข้ามนิดหน่อยแล้วก้มดูเมนูต่อ
"เอาเอาปลานึ่งบ๊วยไหม๊ครับ อันนี้ก็เมนูเด็ดของร้านนะครับ" ผมพยักหน้าให้หมอตั้น เพราะกำลังอยากกินอยู่พอดี
"เครื่องดื่มล่ะครับ?"
"เอาสับปะรดปั่นก็ได้ครับ"
"ผมเอาไฮเนเก้นแล้วกันครับ แล้วมึงล่ะไอ้คราม?" หมอตั้นหันมาถามเพื่อนตัวเองที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ในรถแล้ว
"จินโทนิก"
"ไม่ได้นะครับ คุณยังกินเหล้าไม่ได้นะ" ผมตกใจเผลอพูดเสียดังไปเลย ก็ใครใช้ให้คนป่วยอย่างเค้าดื่มแอลกอฮอล์กันเล่า
"เกี่ยวอะไร"
"เกี่ยวสิครับ เพราะผมเป็นคนดูแลคุณอยู่ ขอห้ามไม่ให้คุณกิน" ไม่รู้ล่ะผมห้าม มันไม่ดีต่อสุขภาพคนป่วย
"เป็นห่วงรึไง?" คุณครามกระซิบข้างๆหู
"ห๊ะ??......" ไม่ใช่ว่าไม่ได้ยิน แต่ตกใจ ไม่คิดว่าเค้าจะถามแบบนี้ ใกล้ๆแบบนี้ แล้วก็ต่อหน้าหมอตั้นเลยด้วย
"หึ!!" ในที่สุดผมก็ได้เห็นเค้ายิ้มสักทีถึงจะเป็นยิ้มร้ายๆก็เหอะ
"น้องงั้นเอาเบียร์แบบพี่มาอีกขวดละกัน" เป็นหมอตั้นเองที่สั่งเบียร์มาให้อีกขวดแทนเหล้านั่น ส่วนเจ้าตัวก็มองหน้าผมไม่หยุดเลย ในหัวผมตอนนี้มีแต่คำว่า "เป็นห่วงรึไง?" รีเพลย์เป็นร้อยๆรอบเต็มไปหมด
"ครับ" น้องพนักงานเดินออกไปพร้อมกับรายการอาหาร ส่วนใครอีกคนก็กำลังหน้านิ่งอยู่เหมือนเดิม
"ชอบไหม๊ครับร้านนี้?" หมอตั้นถาม
"ชอบครับ สวยดี"
"คุณหมอรู้จักร้านนี้ได้ไงครับ?"
"แหนะ!! ยังจะเรียกคุณหมออยู่อีก เรียกตั้นสิครับ บอกตั้งหลายครั้งแล้ว" หมอตั้นทำตาหวานใส่
"เอ่อ...."
"ผมมีช้อยส์ให้คุณขิงสองข้อ ข้อหนึ่ง เรียกชื่อผมเฉยๆ เหมือนที่เรียกไอ้คราม ส่วนข้อสอง...เรียกผมว่าพี่ตั้น เลือกเอาครับ"
"แกร๊ง!!" ไม่รู้ว่าเสียงช้อนหรือส้อมตก ผมกับหมอตั้นรีบหันไปมองต้นเสียงทันที แต่เจ้าตัวกลับทำหน้านิ่งไม่สะทกสะท้าน มองพวกผมกลับอีก
"ยังไม่ทันเมาก็ทำของตกเลยนะไอ้คราม มีสติหน่อยสิครับ"
"เลือกข้อไหนดีเอ่ย?" หมอตั้นหันกลับมาพูดกับผมต่อ
"ข้อหนึ่งก็ได้ครับ แหะๆๆ" ใครจะไปกล้าเรียกพี่ตั้นกัน ฟังดูแปลกๆ
"ว้าาา เสียดายจัง นึกว่าคุณขิงจะเลือกข้อสองซะแล้ว ฟังดูน่ารักดีนะครับถ้าคุณขิงเรียกผมแบบนั้น ครึๆ"
"ขออนุญาติเสิร์ฟอาหาร มีทั้งหมดสามรายการนะครับ....."
"ทานเลยครับคุณขิง มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง"
"ในโอกาสอะไรครับ?"
"เนื่องในโอกาสอะไรดีนะ เอาเป็นว่า...แด่ความสัมพันธ์ของเราเป็นไงครับ?"
"อะแค๊กๆ" พูดประโยคเดียวสำลักได้ตั้งสองคนเลย ผมสำลักข้าว ส่วนคุณครามสำลักเบียร์
"ทิชชู่ครับ"
"มึงก็อีกคนสำลักทำไม?" หมอตั้นยักคิ้วถามเพื่อน
"เรื่องของกู"
"ทานต่อเลยครับคุณขิง ลองทานนี่ดู ปลานึ่งที่นี่เค้าเด็ดจริงๆนะครับ" หมอตั้นตักปลานึ่งมาใส่ในจานผมให้
"ขอบคุณครับ"
"ทานสิครับเพื่อนคราม อย่ามัวแต่ทำหน้าหงิกโว้ย"
อาหารมื้อนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว อร่อยแต่ก็กดดัน ฟังดูแปลกๆไหมครับ ตอนนี้ผมกับคุณครามมาถึงบ้านแล้ว โดยที่หมอตั้นเป็นคนขับรถมาส่ง
"ฝันดีเว้ยไอ้คราม แล้วก็กู๊ดไนท์ครับคุณขิง "
"กู๊ดไนท์เช่นกันครับ ขับรถกลับดีๆนะครับ"
"ครับ ถ้าถึงแล้วผมจะส่งไลน์มาหานะครับ หรือว่าเฟซดี?" หมอตั้นถาม
"อะไรก็ได้ครับ" วันนี้คุณหมอดื่มพอสมควร ดีที่ยังพอขับรถไหว ถึงไม่เมามากแต่ผมก็อยากรู้ว่าถึงบ้านอย่างปลอดภัย ไม่เอารถไปจนอะไรก็โอเคละ หมอตั้นโบกมือให้แล้วขับรถออกไป
"ดีนิ เลิกกับแฟนไม่ถึงอาทิตย์ก็มีคนมาปลอบใจแล้ว"
"คุณหมายถึงใครครับ?" ผมรู้ว่าเค้าหมายถึงผม แต่เรื่องอะไรผมจะยอมรับล่ะ
"อย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย"
"ถ้าคุณหมายถึงคุณหมอตั้น ผมก็ขอยืนยันคำเดิมที่เคยพูดไว้ครับ" พูดจบผมก็หันหลังเดินออกไป
"แล้วไปแลกเฟซ ส่งไลน์หากันตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ?" ผมมีไลน์คุณหมอตั้งนานแล้ว เพราะมันขึ้นมาอัตโนมัติตามเบอร์ในเครื่อง แล้วก็ไม่ค่อยได้คุยกันด้วย ส่วนเฟซคุณหมอเพิ่งขอไปเมื่อวันที่พาคุณครามไปตรวจที่กรุงเทพฯเอง จะแปลกอะไรถ้าเพื่อนจะมีเฟซกับไลน์เพื่อน คนมีอคติเท่านั้นแหละคิดแบบนั้น
"ผมไม่จำเป็นต้องตอบคนพาลครับ ขอตัว"
"โอ๊ย!!!" ผมถูกลาก มาที่สวนหน้าบ้าน คุณครามคงกลัวคนอื่นได้ยินเพราะมันค่อนข้างดึกแล้ว
"คุณคราม ถ้าคุณจะยังพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้ ผมจะโกรธคุณแล้วนะ"
"โกรธสิ โกรธเลย เค้าชวนออกไปทานข้าวนิดเดียวก็ทำหน้าบานเชียว แล้วไหนใครบอกว่าจะไม่ยุ่งกับมันล่ะ?"
"ผมเคยบอกไปแล้วว่า ผมจะไม่ปฏิเสธมิตรภาพที่ดี แต่ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมก็ไม่รู้จะพูดว่าไงครับ" ผมสะบัดแขนออกแล้วเดินออกมา
"เดี๋ยว!!"
"อย่ายุ่งกับมัน" คุณครามพูดนิ่งๆ จ้องหน้าผม
"ทำไมครับ ผมขอเหตุผลดีๆ สักข้อ ถ้าคุณมีเหตุผลพอ ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณหมออีก แต่ถ้าไม่มี คำตอบผมก็คือไม่เช่นกันครับ" ผมจ้องหน้าเค้าตอบ
"ไม่มี..............."
"งั้นคำตอบของผมก็ไม่ครับ" ผมแกะข้อมือของตัวเองออกจากการจับกุม