อันดามัน...ซ่อนรัก
ตอนที่ 4
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ทั้งผมและเค้าก็ยังทำตัวตามปกติ เคยดูแลเค้ายังไงผมก็ทำอย่างนั้น ส่วนเค้าก็ดูเหมือนว่าจะทำตัวดีขึ้นนะ แต่บางครั้งก็กลับมาทำตัวร้ายๆเหมือนเดิม จะบอกว่าไงดี สรุปคือเค้าทำตัวดีขึ้นนั่นแหละครับ ส่วนวันนั้นที่ถูกเรียกเข้าไปก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ อย่าคิดว่าคนอย่างเค้าจะเอ่ยคำขอโทษออกมาเชียว ไปถึงก็เห็นหน้าทำหน้าตาปกติ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดอะขึ้น แล้วบอกว่าหิวข้าว ให้ไปเอาข้าวผัดแบบเมื่อกี้มาให้หน่อย ผมไม่เข้าใจเค้าเลยจริงๆว่าต้องการอะไรกันแน่ แต่ก็ยอมไปเอามาให้แหละนะ เพราะมันคือหน้าที่ ส่วนเรื่องขอโทษหรือไม่ขอโทษ ผมก็ไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจแล้วล่ะครับ เพราะถึงยังไงเค้าก็เป็นพี่ชายคีย์ แถมยังเป็นเจ้านายอีก แล้วผมจะมีสิทธิ์อะไรไปโกรธเค้าล่ะ ในเมื่อเค้าทำตัวเป็นปกติ ไม่ร้ายขึ้น ผมก็ว่าดีแล้วครับ
"ใครอยู่ข้างนอกบ้าง ชั้นจะเข้าห้องน้ำ มาช่วยพยุงหน่อย!!" เสียงทุ้มๆ ติดกระด้างตะโกนออกมาจากในห้อง
"คุณครามจะเข้าห้องน้ำเหรอครับ งั้นเดี๋ยวผมเรียกตาแช่มให้ช่วยก่อนนะครับ" ที่บอกไปแบบนั้นเพราะตัวเค้าใหญ่ขนาดนี้ แล้วคิดเหรอว่าผมจะแบกไหว กลัวพยุงไปพยุงมาแล้วพากันล้มจนบาดเจ็บขึ้นมาอีกน่ะสิ
"ไม่ต้องเรียก นายเป็นคนดูแลชั้น แค่นี้ก็ทำไม่ไหวรึไง?"
"ไหวครับ" ผมตอบแล้วพยายามพยุงเขาลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ดูเหมือนเค้าจะรู้ว่าตัวเค้าเองหนักเกินไปสำหรับผม เลยไม่ได้ทิ้งน้ำหนักมาหมด แล้วช่วยพยุงตัวเองอีกแรง
"คุณหมอบอกว่า ขาของคุณก็ดีขึ้นบ้างแล้ว เพราะแผลเข้าที่ได้เร็ว ดังนั้นคุณก็ควรหัดใช้กำลังขาบ้างนะครับ จะได้ไม่เป็นกล้ามเนื้อลีบ" ผมพูดกับเค้าขณะที่พวกเราลุกขึ้นจากเตียงได้แล้ว แล้วก็กำลังจะเดินไปห้องน้ำ
"รู้จักไอ้หมอมันแล้วสินะ?"
"ครับ"
" ก็ดี!! แต่จะทำอะไรก็รักษาหน้าชั้นกับคุณแม่ไว้บ้างนะ" ผมจ้องหน้าเค้าอยู่ครู่หนึ่ง อยากรู้จริงๆว่าเค้าคิดยังไงกันแน่ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย
"หมายความว่ายังไงครับ?"
"ไม่น่าเชื่อนะว่าจะต้องแปลไทยเป็นไทยให้ฟัง"
"พูดมาตรงๆเถอะครับ ผมเองคิดไม่ออกจริงๆว่าคุณต้องการสื่ออะไร?
"หน้าที่นายตอนนี้คือดูแลชั้น เรื่องอื่นเอาไว้เสร็จงานแล้วค่อยทำ เพราะชั้นไม่อยากให้มีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้นภายในบ้าน หวังว่านายคงเข้าใจ"
"ครับ ผมเข้าใจว่าหน้าที่ของผมคืออะไร ว่าแต่คุณเองเถอะครับรู้หน้าที่ของตัวเองรึเปล่าว่าต้องทำยังไงให้ตัวเองกลับมาเดินได้ตามปกติ ไม่ใช่เอาแต่กินเหล้าเมาแบบนี้"
"แล้วยังไง?" เค้ายักไหล่ไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของผม
"ไม่ยังไงหรอกครับ ผมแค่นึกถึงคนงานอีกไม่รู้กี่ร้อยชีวิตของคุณ ที่อีกไม่นานก็คงอดตาย ถ้าเกิดว่าคุณยังเป็นนายหัวขี้เมาอยู่แบบ" ผมไม่คิดเลยครับว่าตัวเองจะพูดอะไรยาวๆแบบนี้เป็นกับเค้าด้วย แถมแต่ละคำยังแสบทรวงจนเค้าจ้องผมแล้วจ้องผมอีก แต่ก็ช่างเถอะครับ ทีเค้ายังว่าผมเรื่องคุณหมอได้เลย ทั้งที่มันไม่เป็นความจริงเลยสักนิด
"ดูเหมือนนายจะมั่นใจเหลือเกินนะว่าทำให้ชั้นกลับมาเดินได้" เค้าถามแล้วแสยะยิ้มมุมปาก
"แน่นอนครับ เป็นหนักกว่าคุณผมก็ช่วยทำให้กลับมาเดินได้แล้ว แต่มันก็ขึ้นอยู่กับคุณนะครับว่าให้ความร่วมมือดีแค่ไหน?"
"ก็ดี..งั้นเรามาทำสัญญากันไว้ก่อนไหมล่ะ ถ้านายทำให้ชั้นเดินได้ภายในเวลาหกเดือนนี้ ชั้นจะให้เงินเดือนนายเพิ่มเป็นสองเท่า พร้อมเงินสดอีกล้านนึงสำหรับความพยายามของนาย แต่ถ้าไม่ได้ก็เชิญออกไปจากที่นี่ได้เลย ตกลงไหม?" เค้าคงจะมั่นใจว่าผมไม่มีทางทำได้อย่างที่พูดถึงยอมเสียเงินมากมายขนาดนี้ แต่ก็นะถ้าผมไม่มั่นใจผมคงไม่พูดออกไปแบบนั้นหรอก เชื่อผมสิ
"โอเคครับ งั้นเรามาเริ่มกันเลยไหมครับ?" ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดแล้วครับ จะได้เริ่มกันสักที เพราะเราเสียเวลามาเยอะแล้ว
"ก็ดี ชั้นไม่ชอบคนที่ชอบคุยโว อวดอ้างสรรพคุณตัวเอง" ผมว่าทำงานกับคุณครามเหมือนได้ทำควิซทุกวันนะ เพราะแต่ละวันก็จะมีปัญหา มีการทดสอบหลายๆอย่างแตกต่างกันไป บางวันก็เป็นการทดสอบความอดทน ทดสอบความใจเย็น แต่ผมว่าอดทนและใจเย็นอย่างเดียวคงจะไม่พอหรอก คงต้องเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งขั้วโลกถึงจะพอ คนอะไรขยันหาเรื่องคนอื่นได้ทุกวัน
"เดี๋ยวผมให้คุณนั่งชักโครกนะครับ คุณจะได้จัดการธุระของคุณได้ตามสะดวก ถ้าเสร็จแล้วตะโกนเรียกผมนะครับ อื๊บ!!" หนัก!! บอกเลย
"โอ๊ะ!! ขอโทษครับ"
"ถ้าคิดจะอ่อยชั้น ขอบอกว่ามันไม่ได้ผล" แค่ล้มหน้ากระแทกอกเอง มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ได้ตั้งสักหน่อย ใครเค้าคิดจะอ่อยคุณกัน
"ผมก็ไม่คิดจะอ่อยคนแบบคุณหรอกครับ รับรองได้"
"คนแบบชั้นมันทำไม?" เสียงถามสะบัดไม่พอใจ
"อย่าสนใจเลยครับ เอาเป็นว่าผมขอโทษที่ว่าคุณไปเมื่อกี้แล้วกันนะครับ คุณจะได้ทำธุระส่วนตัวของคุณให้เสร็จ แล้วเราจะได้เริ่มกันสักที" ผมเหนื่อยแล้วครับ เถียงกันไปก็เท่านั้น
"ไม่!! นายต้องบอกมาก่อนว่าคนอย่างชั้นมันทำไม ไม่งั้นก็ไม่ต้องออกไป" จะบ้ารึไง ให้มาเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องในห้องน้ำแบบนี้เนี๊ยะนะ ผมไม่เอาด้วยหรอก ผมกับเค้ามองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายหลบสายตา แล้วเดินออกไปก่อน
"เดี๋ยว!! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน"
"คุณนี่มันชอบเอาแต่ใจตัวเองจริงๆนะครับ พอไม่ได้ดั่งใจก็เอ๊ะอะโวยวาย แบบนี้ไงครับคนแบบคุณ ได้คำตอบแล้วก็ทำธุระของคุณได้แล้วใช่ไหมครับ?" ผมเห็นเค้ากัดเขี้ยวกัดฟัน คงจะโกรธผมน่าดู แต่ใครจะสนกัน ก็อยากฟังเองนี่หน่า
"อื้ม นายออกไปได้ละ แล้วก็ปิดประตูให้ชั้นด้วย" เห็นไหม๊พอพูดตรงๆออกไปก็ทำท่าไม่พอใจอีก เอาใจยากนะว่าไหม๊?
"นี่นาย เข้ามาได้แล้วชั้นทำธุระเสร็จแล้ว"
"คราวหลังก็เรียกชื่อผมนะครับ ผมจะได้รีบมา"
"อื้ม แล้วชื่ออะไร?"
"ขิงครับ" จำได้ว่าครั้งที่แล้วก็แนะนำตัวไป มัวแต่อาละวาดใส่คนอื่นน่ะสิเลยจำไม่ได้
"พยุงไปเกาะที่ราวข้างอ่างล้างหน้าหน่อย จะล้างหน้าแปรงฟัน"
"คุณ!! ช่วยอย่าทิ้งน้ำหนักลงมาทั้งหมดได้ไหมครับ ผมอยากให้คุณใช้กำลังขาคุณบ้าง ขาจะได้มีแรง ถ้าไม่ลองหัดเดิน หัดใช้กำลังขา แล้วเมื่อไหร่คุณจะเดินได้ครับ"
"อื้ม"
"จับราวให้แน่นๆนะครับ" ผมปล่อยให้เค้ายืนจับราวเอง โดยที่มีผมคอยพยุงไว้เล็กน้อย เค้าจะได้ลองรับน้ำหนักตัวเองดูว่าไหวไหม
"ใครโกนหนวดชั้น????" เค้าหันมาถามเสียงเย็น ดูก็รู้ว่าคงโกรธมากจริงๆ
"ผะ...ผมเองครับ" ผมตอบเสียงเบา เพราะรู้ว่าตัวเองคงหวังดีเกินไปเอง
"ยุ่ง!! ออกไปได้ละ ชั้นจะอาบน้ำ"
"แล้วคุณจะอาบยังไงครับ? หรือจะให้ลุงแช่มมาช่วยครับ?" ที่ถามก็เพราะลุงแช่มบอกว่าปกติถ้าเมาไม่มากก็จะแค่เช็ดตัว แต่ถ้าวันไหนทั้งเมาทั้งอ๊วกก็ต้องลากมาอาบกันอย่างทุลักทุเล
"ชั้นอาบได้ มันมีเก้าอี้อยู่ด้านนอก ไปหยิบมาสิ"
"แน่ใจนะครับ? หรือว่าจะให้ผมช่วย?"
"ไม่ต้อง ชั้นอาบเองได้"
"ครับ" ผมออกไปเอาเก้าอี้แบบพับที่อยู่ด้านนอกเข้ามา คิดไม่ออกจริงๆครับว่าเค้าจะอาบยังไงทั้งที่ขาก็ไม่ดีอย่างนี้ คนช่วยก็ไม่มี
"เอามาวางข้างอ่างอาบน้ำ ถ้าเสร็จแล้วจะเรียก" พอเข้าใจแล้วล่ะครับว่าเขาจะอาบยังไง เลยเข้าไปพยุงเค้ามานั่งที่เก้าอี้ เพราะอีกเดี๋ยวเค้าก็คงเปิดฝักบัวบังอาบเอง ส่วนครีมอาบน้ำก็วางอยู่ใกล้ๆอ่างเค้าคงหยิบเองได้
..................................
หลังจากโทรหาที่บ้านเสร็จ ผมก็คุยกับเจจนดึก แล้วก็แยกย้ายกันเข้านอน จนตอนนี้เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ผมก็ยังข่มตานอนไม่ลง เพราะมัวคิดถึงแต่เรื่องเมื่อตอนบ่าย เป็นเพราะความหวังดีของผมเองแท้ๆ ทำให้เค้าโกรธจนไม่พูดกับผมอีกเลยหลังจากอาบน้ำเสร็จ ทานข้าวเย็นก็ไม่พูด กลับเป็นผมซะอีกที่พูดกับเค้าอยู่คนเดียว โดยที่เค้าไม่ตอบผมเลยสักคำ จากที่คิดว่าจะขอโทษ ก็เลยกลายเป็นไม่กล้าไปเลย ไม่คิดว่าเค้าจะโกรธขนาดนี้ ปกติเจอแต่โหมดเจ้าอารมณ์ แต่พอเจอโหมดนี้ไป ผมก็ไปไม่ถูกเหมือนกันนะ
"ตื่นเช้าเลยนะคะคุณขิง?" ใครบอกว่าตื่นเช้าครับ ผมยังไม่ได้นอนเลยต่างหาก มัวแต่คิดเรื่องไม่เป็นเรื่องจนนอนไม่หลับ จนต้องหาหนังสือมาอ่านจนถึงเช้านี่แหละ
"แหะๆ มันชินแล้วครับพี่นุ้ย ปกติกว่าจะอาบน้ำ ขับรถไปทำงานอีก ต้องใช้เวลานานครับกับการจราจรกรุงเทพฯ"
"อิอิ จริงด้วยค่ะ"
"คุณขิงรับอะไรดีคะ เช้านี้มีโจ๊กหมู แล้วก็ไส้กรอกกับเบคอนค่ะ?"
"ขอเป็นโจ๊กหมูดีกว่าครับเบาๆ ดี" ขืนทานอะไรหนักๆไป ยิ่งง่วงหนักไปอีกน่ะสิ
"เดี๋ยวพี่ไปตักมาให้ค่ะ รออยู่ที่โต๊ะเลย" ทั้งบ้านนี้ผมสนิทกับพี่นุ้ยที่สุดเพราะได้ช่วยงานแกบ่อย เลยได้คุยกับแกบ่อย ที่เหลือก็ไม่ค่อยได้เจออย่างเช่นลุงแช่มเพราะเห็นพี่นุ้ยบอกว่าออกไปสวนปาล์มบ่อยๆ แล้วก็มีป้าน้อย คนนี้ยังไม่เคยเจอ
"ขอบคุณครับพี่นุ้ย" ผมเอามือป้องปากแล้วหาวออกมาชุดใหญ่ แทบจะกินดาวกินเดือนได้เลย
"ทานให้เยอะๆนะคะ จะได้มีแรงดูแลนายหัว" ไม่รู้ว่าวันนี้จะเจอแจ็คพ็อตอะไรอีก ถ้าเจอชุดใหญ่ผมคงสู้ไม่ได้แน่ๆเพราะไม่มีแรงแม้แต่จะเดินเลยตอนนี้ คิดถึงเตียงกับผ้าห่มที่สุด
"ครับ"
"ทานเยอะๆนะคะ พี่ดีใจที่อย่างน้อยทำกับข้าวแล้วยังมีคนกิน"
"อ้าว แล้วปกติไม่มีคนกินเหรอครับ?" ผมถามพาซื่อ
"ก็มีอยู่ค่ะ มีแต่พวกพี่นี่แหละค่ะที่กินกัน นายหัวก็ง่ายๆ กาแฟถ้วยนึงแล้วก็ขนมปัง ส่วนนายหญิงก็อยู่อีกหลังหนึ่ง ถ้านายหญิงเมียนายหัวยังอยู่ก็คงทานนิดเดียว เพราะเธอกลัวอ้วน" เป็นบ้านผมถ้าแม่ทำกับข้าวแล้วไม่มีใครกิน คงมีน้อยใจ ดราม่ากันบ้างแหละเพราะคงคิดว่าทุกคนคงเบื่อกับข้าวฝีมือตัวเองแล้ว แต่ถ้าวันไหนทุกคนฟาดเรียบจนไม่เหลือ วันนั้นคุณนายก็จะยิ้มแก้มปริเลยล่ะ แม่จะจำได้หมดว่าลูกคนไหนชอบทานอะไร ไม่ชอบทานอะไร อย่างพี่ขุนกินได้หมดเพราะพ่อสอนให้กินหมดทุกอย่างที่ขวางหน้ามาตั้งแต่เด็กๆ เลยทำให้พี่ขุนเป็นเด็กอ้วนเหมือนโฆษณาซีอิ้วขาวตราเด็กสมบูรณ์ ดีนะที่โตมาแล้วยืด แล้วก็หุ่นดี ได้พ่อมาเกือบทั้งหมดเลย ส่วนพี่ขิมไม่ชอบกินกระเทียมเจียว บอกว่ากินแล้วเหม็นติดปาก ก็นะผู้หญิงนิเนอะ ส่วนผมจะไม่ชอบกินผักชีที่สุดเลย ถ้ามีคนหั่นผักชีแล้วผมเดินผ่าน เชื่อไหมว่าผมก็จะได้กลิ่นจนต้องวิ่งไปอ๊วกเลยทีเดียว แม่บอกว่าจมูกดีเหมือนจมูกหมา พ่อเลยชอบเรียกผมว่าไอ้ลูกหมา ฮ่าๆๆ
"อ้อครับ แล้วปกตินายหัวของพี่นุ้ยเค้าตื่นกี่โมงครับ?" ผมก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือแล้วถามพี่นุ้ย
"7 โมงก็ตื่นแล้วค่ะ ตื่นเสร็จก็จะอาบน้ำแต่งตัวครึ่งชั่วโมง แล้วก็ลงมาทานกาแฟขนมปังนิดหน่อย แล้วก็ออกไปทำงานในฟาร์มค่ะ" พี่นุ้ยถามแล้วทำท่าว่าจะตักข้าวต้มให้ผมอีก แต่ผมเบรคไว้ก่อน แกเลยยิ้มแล้วพยักหน้าให้
"แล้วถ้าไม่สบายแบบนี้ล่ะครับ?" ผมเคี้ยวข้าวต้มแล้วกลืนลงคอก่อนจะถามพี่นุ้ย
"ก็เวลาเดิมค่ะ สายสุดก็เจ็ดโมงครึ่ง" อีกสิบห้านาทีจะเจ็ดโมงต้องรีบกินแล้วรีบขึ้นไป ยังไงวันนี้ผมก็ต้องขอโทษเค้าให้ได้ เป็นแบบนี้ไม่ไหวมันอึดอัด ไม่สบายใจ
"งั้นผมขึ้นไปดูคุณครามก่อนนะครับ" เห็นไหมครับพออิ่มมันก็เลยง่วง นี่ขนาดไม่ได้จัดหนักนะ ปกติผมจะกินข้าวเช้าเยอะพอสมควรนะเพราะติดนิสัยตั้งแต่อยู่บ้านแล้ว แม่จะตื่นมานึ่งข้างเหนียวหรือหุงข้าวสวยให้แต่เช้ามืด แล้วทำกับข้าวง่ายๆให้ผมทานก่อนไปเรียนเสมอ เพราะแม่บอกว่าข้าวเช้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
"ค่ะ เอาทิ้งไว้บนโต๊ะก็ได้ค่ะเดี๋ยวพี่เก็บเอง คุณขิงรีบขึ้นไปหานายหัวเถอะค่ะ เดี๋ยวเธอจะอารมณ์เสียอีก"
"ขอบคุณครับพี่นุ้ย" ความจริงผมแอบจินตนาการการนะว่าคุณครามตอนออกไปทำงานข้างนอกคงจะเท่ห์ไม่เบา เพราะเห็นรูปถ่ายที่ใส่กรอบโต๊ะทำงาน ไม่รู้เหมือนกันว่าถ่ายได้กี่ปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้แตกต่างจากตอนนี้สักเท่าไหร่ ในรูปคุณครามใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินออกยีสต์แต่เนื้อผ้าน่าจะบางกว่า ปลดกระดุมเสื้อเม็ดนึง ใส่กางเกงยีสต์สีเข้มกับรองเท้าบูทแบบหนังสีน้ำตาล แล้วเอามือเกาะระเบียงหน้าบ้านไว้ข้างนึง ถึงไม่ยิ้มเลย แต่ก็ดูดีนะผมว่า น้อยกว่าพี่ขุนพี่ชายผมนิดนึง พี่ชายผมทั้งหล่อแล้วก็เท่ห์ที่สุดเลยล่ะ ถึงไม่ได้ดูคมเข้มแบบคุณคราม แต่ก็ดูคมเข้มแบบคนเหนือ ไม่อยากจะบอกว่าพี่ชายผมก็เนื้อหอมมากเหมือนกันนะ มีสาวๆมาส่องถึงบ้านบ่อยจนแม่แซวว่าเสน่ห์แรงจนหัวกระไดไม่แห้ง ส่วนพ่อก็ชมไม่ขาดปากว่าเลือดพ่อมันแรง เชื้อมันเลยไม่ทิ้งแถว ได้พ่อมาเต็มๆ ฮ่าๆๆ
"ตอนกลางวันอยากทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าคะ? พี่จะได้ทำไว้ให้ หรือจะลองทานอาหารใต้แบบพี่ดู" พี่นุ้ยถามขณะที่ตัวเองกำลังทำนั่นทำนี่อยู่ คิดว่าน่าจะเป็นแกงอะไรสักอย่างของทางใต้
"ลองทานอาหารใต้ดีกว่าครับ ไหนๆ ก็มาอยู่ใต้ทั้งที" ผมเป็นกินง่ายอยู่ง่ายเหมือนกันนะ อาหารข้างทางหรืออะไรก็ได้ แต่ขอแค่ไม่มีผักชีก็พอ
"โอเคค่ะ วันนี้พี่จะทำแกงไตปลา รับรองอร่อยเด็ดแน่ นายหัวเธอก็ชอบทาน" ดูๆแล้วคนที่นี่เค้าก็รักคุณครามมากเลยนะ ทั้งที่รายนั่นเจ้าอารมณ์ซะขนาดนั้น
"ครับผม"
"ไปไหนมา สายป่านนี้แล้วเพิ่งขึ้นมา?" เช้ามาก็โดนเหวี่ยงละ ขิงส่ายหัวปลงๆ แต่ก็ไม่คิดจะแก้ตัวอะไร เพราะตัวเองยังมีความผิดอยู่
"ขอโทษครับ คราวหลังผมจะมาเร็วกว่านี้"
"ทำไมถึงมาช้า ตื่นสายรึไง?"
"เปล่าครับ ผมขึ้นมาดูคุณก่อนหน้าที่จะลงไปทำธุระข้างล่างแล้ว แต่คุณยังไม่ตื่น ผมเลยให้คุณนอนต่ออีกนิด แล้วค่อยขึ้นมาปลุก"
"คราวหลังก็ปลุกได้เลย ชั้นไม่อยากนอนตื่นสาย เดี๋ยวจะเคยตัว"
"ครับ"
"ยืนมองอะไร? ช่วยผยุงไปห้องน้ำหน่อย ปวดฉี่จะตายอยู่ล่ะ?" ปวดฉี่ก็ไม่บอก มัวแต่ว่าคนอื่นอยู่นั่นแหละ ถ้าบอกแบบนี้ตั้งแต่แรกก็ได้ฉี่ละ
"ความจริงถ้าคุณปวดฉี่ ก็ฉี่ใส่โถ่สำหรับผู้ป่วยได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมเอาไปเทแล้วล้างเอง" ถามว่าทำงานแบบนี้เคยรังเกียจไหม บอกเลยว่าสมัยเรียน หรือสมัยฝึกงานแรกๆ ก็มีบ้างนิดหน่อย แต่พอคิดว่ามันคือกระบวนการทำงานหรือกลไกทางร่างกายของมนุษย์ ทุกคนก็เป็นเหมือนกันหมด เลยทำให้เฉยๆ ไปแล้วล่ะ
"ชั้นไม่ชอบฉี่ใส่โถแบบนั้น ไม่มีใครบอกนายเหรอ?" ครามมองหน้าขิงอย่างดุๆ ก็จริงแหละนะเป็นใครก็คงไม่ชอบฉี่ใส่โถฉี่แบบนี้ เพราะมันทำให้ดูเหมือนคนพิการหรือผู้เป็นทุพพลภาพ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คุณครามเองก็คงเหมือนกัน ผมน่าจะฉุกคิดถึงข้อนี้ได้ก่อนหน้านี้นะ เค้าจะได้ไม่รู้สึกแย่แบบนี้
"ไม่ครับ เอาเป็นว่าผมขอโทษนะครับ คราวหน้าผมจะมาสแตนด์บายรอคุณแต่เช้าแล้วกันนะครับ คุณจะได้ไม่เป็นท่อปัสสาวะอักเสบ ถ้าผมมาช้าก็ให้คนไปเรียกนะครับ เพราะมันไม่ดีถ้าเกิดอั้นฉี่ไว้" ผมว่าตั้งแต่วันนี้ไปผมต้องใจเย็นให้มากขึ้น ถ้าอะไรที่ทำให้โมโหหรือหงุดหงิดก็ให้ท่องไว้ ขันติ ขันติ เพราะเมื่อวานก็ว่าเค้าไปเยอะเหมือนกัน แถมยังทำเค้าโกรธเพราะแอบโกนหนวดเค้าอีก รู้สึกเหมือนทำดีชดเชยความผิดเลย
"อื๊บ!! คุณครามครับ ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้คุณทำยังไง? อย่าทิ้งน้ำหนักตัวลงมาใส่ผมหมดแบบนี้สิ เพราะคุณต้องหัดช่วยเหลือตัวเองบ้าง" ผมดุแบบอย่างไม่จริงจัง เพราะหวังดีกับเค้าจริงๆ
"อย่าบ่นหน่า ก็มันไม่ชิน"
"ก็ต้องทำให้ชินสิครับ งั้นผมวางคุณลงที่เดิมนะครับ ถ้าฉี่เสร็จก็เรียกผม ผมจะได้เอาเก้าอี้มาให้ คุณจะได้อาบน้ำด้วย"
"อื้ม!!"
"ขิง เสร็จแล้ว เอาเก้าอี้เข้ามาได้เลย" เพิ่งเคยได้ยินเค้าเรียกชื่อผมแบบนี้ บอกตรงตรงๆฟังดูแล้วมันจั๊กกะจี้ยังไงไม่รู้แหะ บอกไม่ถูก ผมรีบสะบัดความคิดแบบนี้อกจากหัวแล้วเดินไปเอาเก้าอี้ตัวเดิมที่ใช้เมื่อวานเข้าไป
"ระวังลื่นด้วยนะครับ ห้ามลุก ถ้าเสร็จแล้วก็เรียกผมนะครับ" ต้องย้ำไว้ก่อน ถ้าพลาดมามันจะได้ไม่คุ้มเสีย
"อื้ม"
ผมออกมาอยู่ข้างนอกรอเค้าอาบน้ำ จนอ่านหนังสือพิมพ์จบไปหนึ่งเล่มแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเค้าก็ยังไม่เรียกผมสักที หรือว่ายังอาบน้ำไม่เสร็จก็ไม่รู้ ผมยกมือขึ้นดูเวลา นี่ก็นานแล้ว ทำไมวันนี้อาบน้ำนานจัง ปกติแค่สิบถึงสิบห้านาทีก็เสร็จแล้ว มันผิดปกติ หรือว่าหกล้ม เป็นอะไรในห้องน้ำไปแล้วก็ไม่รู้
"คุณครามเสร็จรึยังครับ? ทำไมนานจัง ก๊อกๆๆ" เรียกก็ไม่ตอบหรือว่าเป็นอะไรในห้องน้ำไปแล้วจริงๆ ขิงเอาหูแนบกับประตูห้องน้ำฟัง
"ซี๊ดดดดด อ้าห์..... อ่าห์ อ้าห์!!"
"อาห์.......อย่าเพิ่งเข้ามา ใกล้เสร็จ..แล้วววว อื้มมมม!!!" คนบ้าไอ้เราก็นึกว่าเป็นลมหัวฟาดพื้นห้องน้ำไปแล้ว ที่ไหนได้.....
"ขิง!! เข้ามาได้" สูดหายใจเข้าลึกๆขิง มันเป็นเรื่องธรรมชาติของผู้ชาย
"เป็นอะไร หน้าแดง?"
"ปะ...เปล่าครับ"
"นึกว่าไม่สบาย มาทำงานได้ไม่กี่วันก็ป่วยซะแล้ว"
"ผมไม่ได้ป่วยง่ายขนาดนั้นครับ"
"ใครจะไปรู้ นึกว่าเป็นพวกผิวบาง กระหม่อมบาง" ครามยิ้มมุมปากแล้วมองขิงตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอย่างแกล้งๆ เพราะคิดว่าขิงคงได้ยินเขาทำอะไรเมื่อกี้แน่
"ผมลูกชาวสวน ไม่ใช่ลูกคุณหนู กระหม่อมคงไม่บางหรอกครับ"
แถวๆบ้านผมมีแต่ทุ่งนา สวนลำไย แล้วก็สวนส้มเยอะมาก ทั้งสวนของเราแล้วก็ของคนอื่นเค้า โดยเฉพาะทุ่งนา สมัยเป็นเด็กผมก็ใช่ว่าจะเรียบร้อย ออกจะดื้อบ้างซนบ้างตามประสา ตากแดดตากลมตามเด็กแถวบ้านที่เป็นรุ่นเดียวกันไปเที่ยวเล่นไปเรื่อยแหละ ทั้งปีนต้นไม้ ตกปลา งมหาปลาในน้ำที่มันตื้นแล้วบ้างก็มี พอแม่รู้เข้าก็โดนฟาดด้วยก้านมะยม ด้วยแป้นมือบ้าง พอถูกสั่งห้ามก็กลับมาทำตัวติดพี่ขุนเหมือนเดิม พี่ขุนเล่นอะไรก็อยากเล่นด้วย มาคิดมาคิดไปก็แอบสงสารพี่ขุนเหมือนกันนะ จะเล่นก็เล่นไม่สะดวก ต้องดูแลน้องไปด้วย แต่ส่วนมากพี่ขุนมักจะแอบออกไปเล่นกับเพื่อนคนเดียวมากกว่า พอไปฟ้องแม่ แม่ก็บอกว่าสงสารน้อง น้องเหงาให้พาน้องไปเล่นด้วย แต่ต้องดูแลน้องดีๆนะ ตั้งแต่นั้นมาพี่ขุนก็จะไม่ค่อยออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน แต่มาขลุกอยู่กับผมซะมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นทำหนังสติ๊กให้แล้วสอนยิงกับกระป๋องนมตรามะลิที่เป็นอลูมิเนียม ปั้นดินจากทุ่งนาให้เป็นลูกหนังสติ๊ก ซื้อดินน้ำมันมาปั้นเล่นกัน แล้วก็อื่นๆอีก แต่พอผมโตขึ้นมาหน่อยก็รู้ตัวว่าทำให้พี่ขุนเหงาไม่มีเพื่อน เลยหัดอยู่บ้านเล่นคนเดียวบ้าง ออกไปเที่ยวบ้างนิดหน่อยจนติดนิสัยชอบอยู่กับตัวเองเหมือนทุกวันนี้
"ก็ดี"
"คุณหิวรึยังครับ ผมจะได้ไปเอาข้าวมาให้?" ผมถามขนาดที่คุณครามกำลังติดกระดุมเสื้อตัวเองอยู่
"ชั้นยังไม่หิว ไว้ค่อยกินสายๆ" นี่ก็สายแล้วนะ ผมเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนติดผนังห้อง แปดโมงกว่าแล้ว
"ไปเรียกตาแช่มให้หน่อย" เขาพูดขึ้นมาหลังจากเสื้อผ้าเสร็จแล้ว
"ตาแช่มออกไปสวนปาล์มแต่เช้าแล้วครับ คุณจะใช้อะไรตาแช่มเหรอครับ? เผื่อผมทำแทนได้"
"เปล่า!!" เขาตอบแล้วรีบหลบสายตาผม
"คุณจะให้ตาแช่มไปซื้อเหล้าให้ใช่ไหมครับ? เพราะเมื่อคืนคุณใช้ให้ตาแช่มไปซื้อมาให้อีก"
"......."
"งั้นก็ไปทานข้าวกันครับ คุณยังป่วยอยู่ควรจะทานอาหารให้ครบทุกมื้อ ทุกหมู่ เพราะมันจะช่วยให้ร่างกายคุณฟื้นตัวได้เร็วขึ้น" ในเมื่อไม่ตอบผมก็ไม่คาดคั้นหรอกครับ คิดว่าเจ้าตัวเค้าน่าจะรู้ดีที่สุด
"คุณครามครับ เป็นอะไรรึเปล่า?" ผมก็ตกใจสิ อยู่เค้าก็ตัวสั่น มือสั่นเหมือนคนจับไข้ แถมสีหน้าก็ไม่ดีด้วย
"อย่ามายุ่ง!!" ครามตะวาดใส่จนขิงตกใจ เหงื่อก็แตกพลักๆตามไรไรผมและใบหน้า
"คุณอยากกินเหล้าเหรอครับ?" ผมก็เดาไปงั้นแหละครับ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคงแย่แน่ เพราะกว่าจะเลิกได้มันไม่ใช่ง่ายๆ พอๆกับเลิกบุหรี่นั่นแหละ
"หาให้หน่อยได้ไหม?" เขาพูดเสียงแหบพร่า
"คุณเป็นแอลกอฮอล์ลิซึ่มใช่ไหมครับ?" ถามว่าตกใจไหมก็ตกใจนะ แต่ตอนนี้ผมต้องใช้สมองคิดว่าจะทำยังไงดีกับสถานการณ์แบบนี้
"ไม่รู้ แต่ช่วยไปหามาให้หน่อยได้ไหม?" เสียงหอบสั่นเพราะอาการเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
"ไม่ได้ครับ คุณต้องเลิกมันให้ได้ ไม่งั้นร่างกายคุณต้องแย่แน่ๆ" ผมพูดอย่างจริงจัง ถ้าไม่เลิกตอนนี้ต่อไปคงต้องแย่กว่านี้แน่ๆ ไหนจะไม่กินข้าวกินปลาอีก ผมต้องไปถามลุงแช่มว่าเค้ามีอาการแบบนี้นานแค่ไหนแล้วจะได้ช่วยถูก
"ก็คนมันติดไปแล้ว แล้วตอนนี้มันก็อยากโว้ย!! จะให้เลิกง่ายๆ ได้ไง" ครามโวยวายตอบ
"ได้สิครับ เดี๋ยวผมจะช่วยคุณเอง แล้วเรื่องนี้แม่คุณรู้รึเปล่าครับ?" ผมลองเรียบๆเคียงๆถาม แต่ถ้าให้เดาคงไม่มีใครรู้หรอก บางทีลุงแช่มก็อาจไม่รู้ด้วยก็ได้ เพราะเจ้าตัวเก็บอาการเก่ง แต่วันนี้อาการคงจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่ได้กินเลยเก็บอาการไม่อยู่ ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผมไม่เอะใจทั้งที่ผมเป็นที่ดูแลเค้า เพราะเจ้าตัวคงจะฉีดสเปรย์ดับกลิ่นแน่ๆ ผมเห็นตั้งบนหัวเตียง อีกอย่างเค้าก็คงกำลังพยายามเลิกมันอยู่เหมือนกัน
"ไม่ อย่าบอกท่าน"
"ถ้าคุณไม่อยากให้ผมบอกท่าน คุณก็ต้องให้ความร่วมมือกับผมด้วย เลิกมันได้ไหมครับ?"
"มันทำได้ง่ายๆที่ไหนล่ะ? จิ๊!!"
"ครับมันไม่ง่าย แต่ผมว่าถ้าคุณพยายามคุณทำได้นะครับ คนอย่างคุณไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆ ใช่ไหมครับ?" สรุปตอนนี้มีหน้าที่เพิ่มมาอีกหนึ่งแล้วคือช่วยคนป่วยเลิกเหล้า เป็นทั้งนักกายภาพ แล้วก็นักจิตวิทยาด้วยสินะ
"อะไร?" เค้าถามผมงงๆเมื่อผมยื่นลูกโอมมายมิ้นท์ให้
"อมอันนี้ไปก่อนนะครับ เผื่อมันช่วยได้" เค้าไม่รับมันไป ผมเลยแกะให้ แล้วยื่นไปให้อีกครั้ง
"คิดว่ามันช่วยได้รึไง ลูกอมแบบนี้?"
"ไม่รู้ครับ แต่อมดูเผื่อมันช่วยลดอาการอยากเหล้าได้"
.................
"พี่นุ้ยครับ ลุงแช่มอยู่ไหนเหรอครับ?" ผมปล่อยให้เค้าสงบสติตัวเองอยู่บนห้องก่อน แล้วลงมาถามหาลุงแช่มนี่แหละครับ
"อยู่หลังบ้านค่ะ เดี๋ยวพี่ไปเรียกมาให้" พี่นุ้ยวางมือจากการเช็ดกระจกตู้เครื่องเรือนแล้วเดินออกไปตามลุงแช่มมาให้
"ขอบคุณครับ"
"มีอะไรให้ลุงรับใช้เหรอครับคุณขิง?" ลุงแช่มเดินเข้าบ้านมาพร้อมกับสภาพที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ คิดว่าน่าจะซ่อมอะไรอยู่หลังบ้านสักอย่างเพราะเห็นคราบน้ำมันยังติดอยู่ที่หน้าลุงแกอยู่เลย
"ไม่มีหรอกครับ เพียงแต่ผมจะคุยกับลุงเรื่องคุณครามนิดหน่อยน่ะครับ" ผมเหลือบไปเห็นพี่นุ้ยอยู่ใกล้ๆ เลยพยักหน้าบอกให้แกตามออกมาที่มุมรับแขกดีกว่า
"มีอะไรเกี่ยวกับนายหัวเหรอครับคุณขิง?"
"ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับลุง ผมแค่อยากจะขอลุงอย่างจริงจังนะครับว่า คราวหลังอย่าเอาเหล้าไปให้คุณครามอีก ไม่ว่านายหัวของลุงจะสั่งหรือจะขู่ยังไงก็ช่าง ห้ามเอามาให้อีกนะครับถ้าลุงรักนายหัวของลุงแล้วอยากให้เค้ากลับมาเป็นนายหัวคนเดิมได้เร็วๆ เพราะตอนนี้เค้าติดเหล้ามากจนเรียกได้ว่าเป็นแอลกอฮอล์ลิซึ่มไปแล้วนะครับ"
"จริงเหรอครับ?" ผมเห็นลุงแกเบิกตาขึ้นอย่างตกใจที่ได้ยินแล้วก็เปลี่ยนมาเป็นสลด คงเป็นเพราะสำนึกผิดต่อคุณครามกับคุณป้าแน่ๆ
"จริงครับ"
"โถ่นายหัวของลุง....ลุงขอโทษครับคุณขิง ลุงผิดไปแล้ว"
"ผมไม่ได้ว่าลุงหรอกครับเพราะผมรู้ว่าลุงทำไปเพราะไม่อยากขัดใจนายหัวของลุง ครั้งนี้ผมจะไม่บอกคุณป้านะครับ แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีก ผมคงต้องบอก ลุงเข้าใจผมด้วยนะครับ" ความจริงผมแกล้งพูดไปงั้นแหละครับ ไม่ได้จะทำจริงๆหรอก ถ้าไม่บอกแบบนั้นเกรงว่าลุงแกจะใจอ่อนออกไปซื้อมาให้อีก
"ขอบคุณครับคุณขิง ลุงสัญญาว่าจะไม่ทำอีก" ลุงแช่มยกมือไหว้ จนผมต้องรีบยกมือไหว้แกตอบแทบไม่ทัน บอกไปตั้งแต่ครั้งที่แล้วว่าไม่ต้องยกมือไหว้ผม เพราะผมก็เป็นลูกจ้างเค้าเหมือนกัน แถมลุงแกก็อาวุธโสกว่าผมอีก
"ถ้าเค้าสั่งแล้วขัดไม่ได้ก็รับปากแล้วออกมานะครับ จะได้หลบเลี่ยงได้"
"ครับ"
"ไม่มีอะไรแล้วครับลุง ขอบคุณครับที่ให้ความร่วมมือกับผม" ผมยกมือไหว้ลุงแล้วเดินขึ้นไปดูคุณครามต่อ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างแล้วก็ไม่รู้