25th Night
…Secret...
ไม่ชิน...
รัตติกาลเหลือบมองโซฟากลางห้องที่กลายมาเป็นที่นั่งประจำของพี่เลี้ยงหนุ่มว่างงานผู้ซึ่งกำลังให้ความสนใจกับหนังสือแปลที่หยิบออกมาจากชั้นหนังสือใกล้ๆกัน ชายหนุ่มหันไปมองที่ประตูทันทีที่เสียงเคาะดังขึ้น ร่างบางภายใต้ชุดกระฉับกระเฉงของธิชาปรากฏขึ้นพร้อมกับกาแฟและของวางถาดใหญ่
“กาแฟค่ะ คุณกาล คุณรัณย์”
“มาครับผมช่วย”
ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วเป็นฝ่ายรับถาดหนักๆนั่นมาถือไว้เอง ธิชายิ้มรับอย่างยินดีก่อนจะส่งมันให้กับอารัณย์แล้วหมุนตัวออกไปจากห้องปล่อยให้บอดี้การ์ดจำเป็นเป็นคนบริการนายของเธอเหมือนเช่นทุกครั้ง มอคค่าร้อนๆถูกวางลงตรงหน้าพร้อมกับขนมอีกสองสามอย่าง อารัณย์ถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับรัตติกาลที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำจนแทบไม่ได้ลุกออกไปไหนถ้าไม่มีการเรียกประชุม เขายกส่วนของตัวเองขึ้นดื่ม แม้เครื่องดื่มร้อนๆและหนังสือในห้องจะทำให้เขาผ่อนคลายลงบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการหมกตัวอยู่แต่ในห้องมันน่าเบื่อไม่น้อย
“ไม่คิดจะออกไปไหนบ้างรึไง”
อารัณย์เอ่ยถามขึ้นหลังจากทนอุดอู้อยู่กับรัตติกาลแบบนี้มากว่าสามวัน มันเป็นเพียงแค่คำถามที่ไม่มีความกดดันใดๆอยู่ในนั้นแต่เจ้าของห้องผู้ซึ่งกำลังยกกาแฟขึ้นดื่มเช่นเดียวกันเบนสายตามองมาทางเขาด้วยท่าทางเอือมระอา
“ถ้าเบื่อก็กลับไปเถอะ มันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่คุณชาติว่า”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา กูแค่อยากให้มึงออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันบ้าง”
“ห้องนี้มีหน้าต่าง”
อารัณย์เบ้หน้า นี่คืออีกด้านของรัตติกาลที่เขาได้เรียนรู้มันหลังจากต้องมาทำหน้าที่ดูแลอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด เขาเคยคิดว่าชายตรงหน้าคือนักธุรกิจผู้เงียบขรึมปากร้ายและเจ้าอารมณ์นิดๆ แต่หลังจากนี้คงต้องเพิ่มว่ากวนประสาทเป็นที่หนึ่งเข้าไปด้วย รัตติกาลลอบยิ้มกริ่มรู้สึกเหมือนตนเองเพิ่งจะเอาชนะอารัณย์ได้หมาดๆ ปฏิกิริยายามอีกฝ่ายโดนเขากวนเป็นความบันเทิงเพียงหนึ่งเดียวที่หาได้จากห้องทำงานขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งนี้
“กูเคยเกลียดท่าทางหยิ่งๆของมึงนะ แต่ตอนนี้ชักจะคิดถึงมันหน่อยๆ”
“ผมก็คือผม คุณแค่ไม่รู้จักผมดีพอ”
รัตติกาลยักไหล่อย่างเป็นต่อ เขาหันมาให้ความสนใจกับเอกสารตรงหน้าอีกครั้งหลังจากสร้างความสำราญให้ตัวเองจนน่าพอใจ รายงานยอดตีพิมพ์ถูกส่งถึงมือธิชาทันทีที่หญิงสาวเดินทางมาถึง มันถูกตรวจสอบโดยเลขาสาวคนเก่งก่อนจะวางบนโต๊ะของรัตติกาลอย่างที่เคยทำ แม้จะอยากทุ่มกำลังทั้งหมดไปกับการจัดการคนร้ายแต่หน้าที่หลักในบริษัทก็ไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มจะละเลยไปได้ รัตติกาลอ่อนล้าแต่ก็ยังคงทำต่อไปภายใต้การสังเกตการณ์ของแขกประจำคนใหม่ที่เผลอมองด้วยความเป็นห่วง
อารัณย์ปล่อยให้รัตติกาลจมอยู่กับงานที่เขาไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้จากบ่ายจรดหัวค่ำ ร่างสูงดึงแฟ้มสีกรมท่าออกจากมือของอีกฝ่ายแล้วลากจูงร่างที่อ่อนล้านั้นให้เดินไปตามทางด้วยกันโดยไม่ฟังคำคัดค้านใด รถโฟล์คคันเก่ากลายมาเป็นพาหนะที่พาทั้งสองคนกลับมายังบ้าน ซึ่งกลายมาเป็นกิจวัตรที่อารัณย์ยัดเยียดให้กับรัตติกาลในช่วงสามวันมานี้แลกกับการไม่บังคับให้ร่างโปร่งต้องกลับมานอนที่บ้านเพื่อให้เขายังมีเวลาทำงานต่อได้จนดึก
“พ่อกาลมาแล้ว!”
ร่างป้อมของรพีวิ่งมากอดขาของรัตติกาลอย่างรักใคร่ ชายหนุ่มย่อตัวลงจนอ้อมแขนเล็กๆนั้นสามารถเอื้อมถึงตัวของเขาได้พร้อมกับลูบหัวกลมๆของลูกชายด้วยท่าทางเหนื่อยล้า
“วันนี้ยายจันทร์ทำแกงส้มที่พ่อชอบด้วย พีช่วยยายแกะกุ้งด้วยนะฮะ”
เด็กชายรายงานบิดาด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดจากสภาพเดิมตอนที่รัตติกาลหายหน้าไปกว่าสองอาทิตย์ คนเป็นพ่ออิจฉาลูกชายที่มีเวลาเหลือเฝือผิดจากผู้ใหญ่ พาลให้นึกถึงช่วงเวลาก่อนๆสมัยที่เขายังเรียนอยู่ชั้นมัธยมหากช่วงเย็นไม่มีกิจกรรมใดต้องทำต่อ ชายหนุ่มก็จะตรงกับบ้านเพื่อเจียดเวลามาคอยลงครัวกับจันทร์เหมือนกับรพี
“พีพาคุณพ่อเข้าบ้านเถอะ จะได้กินข้าวกัน”
อารัณย์เอ่ยขึ้นราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้าน รัตติกาลตวัดสายตามองจอมจุ้นจ้านแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะขี้เกียจจะสาวความยืด รพียิ้มรับอย่างแข็งขัน ทั้งสามคนพากันเดินเข้าไปในห้องทานอาหารซึ่งมีจันทร์กำลังกำกับให้นิ่มและลูกศรคอยจัดจานตามที่เธอบอก
หญิงแก่มองรอยคล้ำรอบดวงตาของเจ้านายแล้วได้แต่ถอนหายใจแล้วตักข้าวเพิ่มให้อีกฝ่ายโดยไม่ต้องรอให้ร้องขอ รัตติกาลเป็นคนดื้อเงียบ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยอมกินข้าวเปล่าเพราะโดนนายหญิงบังคับให้กินตับที่ไม่ชอบหรือตอนนี้ที่ดึงดันจะแบกรับทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองก็ไม่ต่างกันเลย
“ลำบากคุณรัณย์หน่อยนะคะ”
จันทร์แอบหลบมาพูดคุยกับอารัณย์ในขณะที่รัตติกาลขึ้นไปอาบน้ำบนห้องของตัวเองโดยมีรพีกำลังนั่งอ่านหนังสือนอกเวลารออยู่ที่ห้องรับแขกของบ้าน
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้”
“แค่นี้ก็มากพอแล้วล่ะค่ะ ถ้าไม่มีคนคอยคุมคงได้โหมงานจนล้มป่วยอีกแน่ๆ”
“...เขาเป็นแบบนี้บ่อยหรอครับ”
“ก็ไม่บ่อยหรอกค่ะ แต่คุณกาลนิสัยเหมือนคุณพ่อเธอที่ไม่ชอบทำอะไรครึ่งๆกลางๆ เวลาเกิดปัญหาก็มักจะทุ่มให้งานจนลืมดูแลตัวเองทุกที”
จันทร์พูดพาลให้นึกถึงวันเก่าๆ ในวัยที่เธอยังสาวและสวยกว่านี้ก็มักจะได้รับหน้าที่คอยดูแลเรื่องปากท้องคนในบ้านรวมถึงสุขภาพที่ถูกบั่นทอนไปเพราะงานของผู้เป็นนาย โดยเฉพาะคุณกนกพ่อของรัตติกาล
“พ่อกับแม่ของรัตติกาล...ไม่อยู่แล้วหรอครับ”
“ค่ะ เสียไปตั้งแต่สมัยคุณกาลเรียนมหาวิทยาลัย...เพราะเรื่องนั้นเธอเลยต้องฝืนแบกรับทุกอย่างไว้ทั้งที่ใจไม่ชอบ”
สีหน้าของจันทร์หม่นลงจนอารัณย์สังเกตได้ แต่ยังไม่ทันที่ร่างสูงจะได้ถามต่อ รัตติกาลในชุดเสื้อยืดกางเกงผ้าสบายๆก็เดินลงมาจากบ้านพร้อมกับกระเป๋าซึ่งใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เอาไว้ด้วย
“ผมไปแล้วนะครับป้า ฝากดูแลบ้านด้วย”
“ค่ะ คุณกาลก็ดูแลตัวเองดีๆนะคะ”
“ครับ...พี มาหาพ่อหน่อยสิ”
รัตติกาลเรียกรพีที่กำลังยืนทำหน้าปั้นยากอยู่ข้างหลังร่างกายสูงใหญ่ของอารัณย์ เด็กชายค่อยๆก้าวออกมาแล้วเดินไปหาบิดาซึ่งน้อมตัวลงมาด้านล่างเพื่อพูดคุยกับคนตัวเล็กกว่าให้ถนัด รัตติกาลล้วงหยิบของบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วยืนมันไปตรงหน้าเด็กชายที่กำลังจดจ้องสิ่งนั้นด้วยความสงสัย
‘รูบิค’
ของเล่นทรงลูกบาศ์กอยู่ในมือของรพีที่เพิ่งจะเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก รัตติกาลระบายยิ้มที่ทั้งเศร้าและอ่อนโยนให้คนตรงหน้าพร้อมกับลูบกระหม่อมของรพีเบาๆโดยมีอารัณย์สังเกตเห็นความย้อนแย้งในดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง
“ถ้าวันไหนที่รพีทำให้แต่ละสีไปรวมกันอยู่ในด้านเดียวกันได้เมื่อไหร่ พ่อจะกลับบ้าน...”
“จริงหรอฮะ”
“อืม...พ่อสัญญา”
เด็กชายยิ้มไร้เดียงสายึดถือคำมั่นนั้นแม้ว่ามันจะยากขนาดที่รพีคิดไม่ถึง รัตติกาลมองทอดสายตาไปยังแสงไฟตามถนนขณะที่เพลงสากาเก่าๆจะดังทั่วห้องโดยสารที่มีเพียงเขาและอารัณย์อยู่เพียงตามลำพัง ชายหนุ่มคิดถึงรอยยิ้มของเด็กชาย คิดถึงรอยยิ้มของผู้ชายคนนั้น และคิดถึงของสำคัญที่เขาบังเอิญเจอขณะที่กำลังค้นหาเอกสารเก่าๆภายในห้องทำงานของตัวเอง
“รูบิคมันยากไปสำหรับเด็กวัยห้าขวบ”
อารัณย์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นขณะที่กำลังติดแหง่กอยู่กลางถนนที่ตัวเลขสีแดงนับถอยหลังไปเรื่อยๆ
“รพีจะหกขวบแล้ว แต่ก็ยังยากไปอย่างที่คุณว่า”
“แล้วทำไมถึงให้สัญญาแบบนั้น”
“ก็แค่ให้ไป...ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก”
“...”
“คุณว่ารพีจะทำได้หรือไม่ได้”
รัตติกาลเงียบไปก่อนจะถามขึ้น เขายังคงมองออกไปนอกหน้าต่างปล่อยให้แสงไฟตามข้างทางอาบใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ อารัณย์เองก็กำลังจดจ้องอยู่บนตัวเลขดิจิตอลที่น้อยลงเรื่อยๆขณะที่ในหัวก็ขบคิดไปด้วย
“รพีจะทำสำเร็จไหมไม่สำคัญเท่ามึงอยากให้ผลลัพธ์มันออกมาแบบไหน”
“...”
“ได้เวลาที่ทุกคนต้องก้าวออกไปข้างหน้าซะที”
เขาว่าดังนั้นก่อนตัวเลขสีเขียวจะปรากฏขึ้น อารัณย์เข้าเกียร์แล้วออกทะยานไปข้างหน้าโดยทิ้งคำพูดกำกวมเอาไว้ น่าเสียดายที่ท้องถนนในกรุงเทพไม่สามารถทำให้ผู้ขับขี่ละสายตาจากมันไปได้ ไม่อย่างนั้นอารัณย์คงได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากของรัตติกาลเป็นแน่
.
.
.
.
.
.
.
.
รัตติกาลเป็นโรคนอนไม่หลับ...
นั่นคืออีกหนึ่งเรื่องที่เขาเรียนรู้เกี่ยวกับชายตรงหน้า
เป็นเวลากว่าอาทิตย์ที่อารัณย์เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในห้องทำงานของรัตติกาลแทนที่จะเป็นอพาร์ทเม้นต์หลังย่อมของตนเอง ภาพของรัตติกาลที่หาวจนปากกว้างขณะที่หลับหูหลับตาติดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองมันคุ้นตาพอๆกับภาพที่อารัณย์ส่ายหน้าอย่างระอาแล้วจัดการวางอาหารเช้าง่ายๆให้อีกฝ่าย
เขาเหลือบมองขวดแก้วบรรจุยาที่ช่วยให้การนอนง่ายขึ้นในลิ้นชักโต๊ะทำงานของรัตติกาล ร่างสูงเพิ่งเห็นมันนอนนิ่งอยู่ในนั้นเมื่อสองวันที่แล้วขณะรับอาสานำเอกสารบางอย่างมาส่งแทนให้เลขาสาวแล้วบังเอิญว่าลิ้นชักไม้นั่นมันเปิดค้างไว้อยู่
ยาเม็ดสีขาวนวลตอบคำถามที่อารัณย์แอบสงสัยได้เป็นอย่างดี ในคืนแรกที่เขาทั้งสองต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อารัณย์ซึ่งกำลังนอนอยู่บนโซฟาสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงปิดประตูแม้ว่ามันจะแผ่วเบา เขาลืมตาขึ้นกระพริบตาสองสามครั้งให้มันคุ้นชินกับความมืดแล้วพยายามสอดส่องหาต้นตอของเสียง แล้วเขาก็เห็น...
แผ่นหลังเปลือยเปล่าของรัตติกาลปรากฏขึ้นภายในห้องที่เขากำลังแสร้งทำเป็นว่าหลับอยู่ รัตติกาลชันขาที่อยู่ภายใต้กางเกงผ้าขายาวขึ้นมากอดไว้แล้วเหม่อมองออกไปด้านนอก หากไม่ใช่เพราะอารัณย์ยื่นคำขาดแล้วเอาเอกสารที่เขาต้องอ่านไปเก็บไว้เอง รัตติกาลคงใช้เวลานี้ทำงานฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ เขาไม่มีแรงแม้แต่จะเถียง สุขภาพมันทดถอยจนรู้สึกได้แม้ว่าจะได้อีกคนคอยดูแลเรื่องปากท้อง ร่างกายของรัตติกาลต้องการพักผ่อน...แต่กะเพราะของเขาก็ไม่สามารถทนรับยาใดๆได้อีก
อาการนอนไม่หลับของรัตติกาลเหมือนจะดีขึ้นในช่วงหลังเพราะต้องกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านมาพักใหญ่ แต่ทันทีที่วงจรชีวิตกลับไปเป็นแบบเดิมโรคดังกล่าวก็กลับมารุมเร้าเขาอีกครั้ง ร่างโปร่งจุดแท่งนิโคตินขึ้นสูบแล้วหวังว่าอารัณย์จะไม่ตื่นขึ้นมากลางคัน เขาวางขาลงกับพื้นข้างหนึ่งในขณะที่อีกข้างเขายังคงกอดมันไว้เพื่อใช้เป็นหลักยึด ควันสีเทาลอยฟุ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนเครื่องปรับอากาศจะทำหน้าที่ของมันได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องจนคนที่กำลังแอบมองนึกสงสัยว่ารัตติกาลแอบทำแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่
“พี่จะรู้ไหมว่าสิ่งที่เราสร้างมาด้วยกันมันเติบโตขึ้นจนผมเริ่มจะแบกไม่ไหว”
รัตติกาลรำพันกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เขาไม่ได้ร้องไห้ เขาเพียงแค่พูดลอยๆกับตัวเองหวังให้ความอัดอั้นมันบรรเทาลงไป อารัณย์นอนนิ่งจ้องมองแผ่นหลังนั้นไปเรื่อยๆจนพล่อยหลับไป
เช้าวันนั้นเขาตื่นเช้าขึ้นมาแล้วเป็นคนจัดการเรื่องอาหารของรัตติกาลอย่างที่รับปากกับป้าจันทร์ไว้ โจ๊กหมูใส่เครื่องในไม่ใส่ตับวางลงบนโต๊ะทำงานตัวเดิมเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้รัตติกาลที่ทำตัวเหมือนเช่นปกติชะงักไปคือไข่ลวกอีกสองฟองที่ถูกตอกใส่ลงในชามโจ๊กด้วย
“ไข่ช่วยบำรุงสมอง กินเข้าไปเถอะ”
อารัณย์บอกแค่นั้นโดยละประโยชน์เรื่องช่วยทำให้นอนหลับสบายออกไป หลังจากนั้นทุกมื้ออาหารรัตติกาลจะต้องได้กินไข่ไก่อย่างน้อยสองฟองเป็นอย่างต่ำ จนชายหนุ่มแอบกังวลว่าระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของเขาจะพุ่งสูงขึ้นเพราะมัน วันนี้ก็เช่นกัน ไข่ตุ๋นถ้วยใหญ่วางอยู่ข้างๆผัดขิงรสร้อนที่จันทร์ฝากให้เด็กในบ้านนำมาส่งให้ตั้งแต่เช้า รัตติกาลลงมือทานพร้อมกับอารัณย์ที่นั่งคอยอยู่ ซึ่งเป็นมารยาทไม่กี่อย่างที่ชายหนุ่มแสดงออกมาให้เจ้าของห้องได้เห็น
“ตอนมึงอาบน้ำไอ้ชาติโทรมาหา มันบอกว่าเพื่อนตำรวจมันให้ทีมสอบสวนพิเศษลงไปดูให้แล้ว”
“...”
“แต่...ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะไม่รู้เรื่องนี้ด้วย”
มือที่กำลังถือช้อนชะงัก ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นสบตาอีกคู่ที่มองอยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าจริงจัง
“หมายความว่ายังไง”
“ไม่มีการโอนเงินที่ผิดสังเกตออกจากบัญชีพวกผู้บริหารที่นั่น แม้แต่พนักงานระดับต่างๆก็ไม่มี จะว่าง่ายๆก็...ไม่มีหลักฐานเรื่องการซื้อขายข้อมูลที่ว่านั่นเลย”
“มันจะต้องเป็นข้อผิดพลาด...”
“กูก็อยากให้มันเป็นแบบนั้น”
ทั้งสองคนไม่พูดอะไรออกมา แต่กำลังคิดในสิ่งเดียวกัน มันเงียบเกินไป...ไม่มีทางที่การโจรกรรมข้อมูลระดับนั้นจะไม่หลงเหลือหลักฐานทิ้งไว้เลย ไม่ว่าจะความพยายามของรัตติกาลหรือของทางตำรวจกลับไม่เจอเบาะแสที่จะชี้เป้าไปที่ใครได้ยิ่งทำให้รัตติกาลร้อนใจมากขึ้นไปอีก
“กาล...มึงเคยไปขัดขาใครมาก่อนไหม”
จู่ๆอารัณย์ก็เอ่ยขึ้น รัตติกาลที่ฟังอยู่เงียบไป ร่างโปร่งพยายามนึกขณะนิ่งอยู่สักพักก่อนจะตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงที่ติดจะกังวล
“คิดว่าไม่”
“คิดว่า? มึงพูดเหมือนไม่มั่นใจ”
“...”
“มีอะไรที่มึงอยากเล่ารึเปล่า”
ร่างสูงรวบช้อน เขาตั้งใจฟังโดยที่พยายามไม่กดดันรัตติกาลจนเกินไป ใบหน้าหวานคมเสไปทางอื่นเหมือนกับพยายามจะรวบรวมคำพูด
“กูรู้ว่ามึงยังไม่เชื่อใจกู”
“...”
“แต่กูปล่อยให้มึงแบกรับไว้คนเดียวไม่ได้”
‘พี่ทิ้งกาลไว้ไม่ได้’
‘หัดพึ่งพาคนอื่นซะบ้าง’
‘กาลไม่ได้อยู่คนเดียวนะ’
รัตติกาลหลับตาลง...เขาไม่อยากจะนึกถึงมัน ในห้องๆนี้ ช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ กาลครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับคำพูดที่ทักทอขึ้นจากความห่วงใยของชายคนนั้นเหมือนกับที่อารัณย์พยายามจะทำกับเขา
อารัณย์จะเหมือนนทีไหม...
ในหัวใจของรัตติกาลมีคำถามนี้เกิดขึ้นจนไม่รู้ตัวว่าเผลอทำหน้าตาแบบไหนออกไป อารัณย์เอื้อมมือมาแตะเบาๆลงบนหลังมือเย็นเฉียบ เขาทำเพียงเท่านั้น ไม่แม้แต่จะส่งสายตากดดันใดๆ เขาเพียงรอด้วยความอดทนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน รอจนคนที่ถูกรอเป็นฝ่ายพลิกฝ่ามือขึ้นเพื่อสัมผัสมือของเขากลับด้วยตนเอง ก่อนที่จะดึงมันกลับมาเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป
“เมื่อก่อน...ที่นี่ไม่ได้มีแค่ผม”
รัตติกาลเปรยขึ้นเบาๆพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาไม่อยากสบตาอารัณย์ตอนนี้เพราะเกรงว่าจะกลัวจนหยุดพูดไปเสียก่อน
“เมื่อก่อนที่นี่เป็นแค่บริษัทผลิตสื่อสิ่งพิมพ์เล็กๆที่ไม่มีลูกค้ามากนัก ผมรู้จักมันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่อักษร มันเป็นที่ที่ดีนะ...แต่เพราะการบริหารที่แย่ทำให้เขาแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินไม่ได้ บริษัทกำลังล้ม ผมจึงใช้เงินมรดกเทคโอเวอร์มาแล้วเริ่มพัฒนามันอีกครั้ง...พร้อมกับคนคนหนึ่ง”
“...”
“นที กวีวิมนตร์...นั่นคือชื่อของเขา”
นับเป็นครั้งแรกที่ชื่อนี้ถูกเอ่ยออกมาจากปากของรัตติกาลเอง น้ำเสียงที่สั่นพร่าสะท้อนความห่วงหาระคนเจ็บปวดไปพร้อมๆกัน อารัณย์เห็นไม่ชัดว่าดวงตาของรัตติกาลนั้นวูบไหวเพียงไหน แต่ก็ดีแล้วที่ไม่เห็น...อารัณย์รู้สึกอย่างนั้น
“ผมไม่ใช่นักธุรกิจที่เก่ง ถ้าเทียบกับพ่อแม่ผมคงเข้าขั้นห่วยแตกชนิดว่าถ้าพวกท่านยังไม่เสียคงไม่มีทางปล่อยให้ผมลงมาเดินบนเส้นทางนี้”
“แต่ดูเหมือนมึงก็ทำได้ดีนิ”
“ดูเหมือน...แค่เหมือนว่าจะทำได้ดี คนที่ทำได้ดีจริงๆน่ะ...คือนทีต่างหาก”
“...”
“ถ้าไม่มีเขาอยู่ด้วย...ที่นี่คงมาไม่ได้ไกลขนาดนี้”
รัตติกาลลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปที่ชั้นหนังสือซึ่งอารัณย์คิดว่ามันผ่านตาเขามาทั้งหมดแล้ว ร่างโปร่งไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่บนชั้น เขาเอื้อมมือไปสะกิดช่องว่างเล็กๆทางด้านหลังทำให้ซองกระดาษสีน้ำตาลอันหนึ่งหลุดออกมา
ชายหนุ่มวางมันลงบนโต๊ะ ภายในนั้นเป็นเอกสารอีกชุดหนึ่งนอกเหนือจากที่ทนายนเรศเก็บไว้ เป็นเอกสารที่เก็บหลักฐานการทำธุรกรรมต่างๆในนามบริษัทที่มีลายเซ็นของทั้งรัตติกาลและนทีกำกับไว้ในนามผู้ถือหุ้นที่มีเปอร์เซ็นต์เท่าๆกัน อารัณย์รับมันเปิดอ่านผ่านๆตา สิ่งหนึ่งที่เขาเห็นจากมันคือความเสี่ยงชนิดที่ว่าแม้แต่คนนอกอย่างเขาก็ยังดูออก
“เยอะใช่ไหมล่ะ เงินพวกนั้นน่ะ...คงมีไม่กี่คนที่กล้าเอาเงินเป็นสิบล้านไปลงทุนกับเรื่องพวกนี้”
“แล้วผลของมันล่ะ”
“...เราได้กำไรกลับมาเป็นสองเท่าในเวลาแค่สี่ปี”
“...”
“เขาทั้งฉลาดและมีโชค แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่มี...คือคุณธรรม”
เอกสารอีกชุดถูกยื่นให้อารัณย์ดู หมายเรียกจากศาลมากมายถูกส่งมาถึงนทีในฐานะผู้ต้องหาคดีแพ่งหลายคดี รวมคดีอาญาอย่างการหมิ่นประมาทด้วย
“ตอนนี้เขาอยู่ไหน อย่าบอกนะว่าติดคุกอยู่”
“...ตายไปแล้ว”
ร่างโปร่งเอ่ยออกมาพร้อมกับเค้นยิ้ม ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดมันทั้งดูตลกและน่าสมเพชเสียจนอดขำไม่ได้ อารัณย์มองสีหน้านั้นแล้วเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น
นทีที่เขารู้จักจากปากของคณิต ...
คืออดีตคนรักที่ดูท่าจะจบกับรัตติกาลได้ไม่สวย
นทีที่เขารู้จักจากปากรัตติกาล ...
คืออดีตหุ้นส่วนฝีมือดีแต่ชั่วช้า ที่รัตติกาลดูยินดีเมื่อพูดถึงการตายของเขา
แต่นทีคนที่เขารู้จักผ่านโปสการ์ดใบสุดท้าย...
คือชายที่รัตติกาลคะนึงถึงและรอคอยให้กลับมาหา
นทีกับรัตติกาล...ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นแบบไหนกันแน่
“แล้วปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน”
อารัณย์เอ่ยถามขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบไปสักพัก
“ก็อย่างที่เห็น ถึงเขาจะตายศัตรูที่เขาเคยไปสร้างเรื่องไว้ไม่ได้หายไปด้วย ถึงแม้ทางกฎหมายคุณนเรศจะจัดการให้หมดแล้ว แต่ถ้าเป็นนอกศาล...ผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะกลับมาทวงคืนอะไรอีกไหม”
สีหน้ารัตติกาลดูเครียดขึ้นเมื่อพูดถึงจุดนี้ เขาเก็บเอกสารทั้งหมดลงในซองตามเดิมแล้วใส่มันลงไปในลิ้นชักพร้อมกับลั่นกุญแจไว้อย่างเรียบร้อยเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครเข้ามาเห็น อารัณย์เหลือบมองที่ซ่อนเดิมของมันพลางนึกขำนิสัยด้านเด็กๆของรัตติกาลที่เก็บของสำคัญไว้ในที่แบบนั้น
“มึงควรจะบอกเรื่องนี้ให้ไอ้ชาติรู้”
“ผมจะติดต่อคุณนเรศแทน”
รัตติกาลพูดขัดออกมาทันควันแล้วหันไปจัดการอาหารเช้าต่อตามเดิม อารัณย์ขมวดคิ้ว ก่อนจะเอื้อมมือไปหยุดช้อนที่ร่างโปร่งกำลังจะยัดมันเข้าปากจนคนถูกขัดต้องขมวดคิ้วใส่ด้วยอีกคน
“เรื่องมันใหญ่ขนาดนี้มึงยังจะปิดอีกหรอวะ”
“ต่อให้ใหญ่กว่านี้ผมก็ไม่คิดจะบอกมันกับตำรวจ...คิดสิอารัณย์ว่าทำไมคนอย่างผมถึงยอมเป็นหุ้นส่วนกับคนเลวแบบนั้นได้”
ร่างโปร่งดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย เขาวางช้อนลงแล้วหันมาเผชิญหน้ากับอารัณย์อีกครั้งด้วยใบหน้าร้ายๆที่ร่างสูงเกือบจะลืมไปแล้วว่ารัตติกาลก็มีมันเช่นกัน
“คงไม่มีคนดีที่ไหนทำแบบผมหรอกอารัณย์”
.
.
(มีต่อเม้นต์ล่าง)