Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...  (อ่าน 131736 ครั้ง)

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1


Nathee’s Night

…Bird...

 


ผมมองออกไปยังหน้าต่างที่เห็นแสงแดดอุ่นๆส่องมารำไรผิดกับอุณหภูมิรอบกายที่เย็นจัดจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้มันเคยร้อนเสียจนผมแทบทนอยู่เฉยๆไม่ไหว



“จะกินอะไรรึเปล่าครับ เดี๋ยวให้คนไปทำมาให้”



เสียงทุ้มๆดังมาจากทางด้านหลัง ผมไม่ได้หันกลับไปมองจึงทำเพียงแค่ส่ายหัวเบาๆแทนคำตอบไปเท่านั้น ริมฝีปากสีคล้ำปล่อยควันสีเทาให้ลอยไปทั่วห้องอย่างสำราญ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงความสุขชั่วคราวที่พร้อมจะหายไปแค่เพียงเสี้ยววินาที แต่มันก็สวยงามเสียจนผมหยุดที่จะทำมันไม่ได้



“เมียมึงจะกลับมาเมื่อไหร่”



ผมเอ่ยถามเจ้าของห้องที่เพิ่งกลับออกมาจากห้องอาบน้ำ พิภพที่ตัวสูงชะลูดพอๆกันเดินถือรายงานการซื้อขายที่ยังตรวจสอบไม่เสร็จดีมาแล้วทรุดนั่งลงตรงหน้า โดยไม่สนใจเลยว่าผมกำลังดื่มด่ำกับวิวของที่นี่อยู่



“อาทิตย์หน้ามั้งครับ เงินหมดเมื่อไหร่เดี๋ยวก็กลับมาเอง”



“งั้นก็ระงับวงเงินบัตรซะสิ ถ้าอยากให้เมียกลับมาเร็วๆ”



“งั้นเปลี่ยนเป็นไม่จำกัดวงเงินน่าจะดีกว่า”



พิภพพูดติดตลก แต่ทำไมผมจะไม่รู้ว่าหมอนี่มันคิดจะทำอย่างที่พูดจริงๆ



“หึ ถ้าเบื่อเขาขนาดนั้นทำไมไม่หย่าไปซะให้จบๆ”



“พูดมันง่ายนี่ครับ ไหนจะค่าเลี้ยงดู ไหนจะลูก พูดแล้วยิ่งโมโห นี่ก็ใกล้จะคลอดแล้วยังคิดจะออกไปตะลอนๆข้างนอกอยู่ได้ แต่ที่สำคัญที่สุด...”



“...”



“ต่อให้ผมหย่า ผมก็ยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการอยู่ดี”



ผมนั่งฟังมันบ่นไปเรื่อยตามประสาโดยไม่ออกความคิดเห็นใดๆ แม้ว่าหูจะรับฟังแต่ภายในใจกลับเกิดขบคิดถึงเรื่องประหลาด ที่ยิ่งเมื่อได้มองเห็นรอยแดงเป็นจ้ำตามผิวกายของพิภพ ผมยิ่งถามตัวเองบ่อยขึ้นทุกที









‘ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ผมคิดว่าการนอนกับผู้ชายเป็นเรื่องธรรมดา’







ใบหน้าของ ‘รัตติกาล’ ลอยขึ้นมาทุกครั้งที่ผมถามตัวเองแบบนั้น แม้ว่ากาลจะไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่ผมนอนด้วย แต่คงพูดได้ว่าเขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้ผมหวั่นไหว ไม่ใช่เพราะใบหน้าคมที่ติดหวานนิดๆ หรือการวางตัวที่ดูดีเสมอนั่นหรอกนะ ที่ทำให้ผมตัดสินใจคบกับกาลแม้ว่าก่อนหน้านั้นสำหรับผมการมีเซ็กซ์กับผู้ชายจะเป็นเพียงแค่ความท้าทายเล็กๆบนเตียงนอน



ความสัมพันธ์ของผมกับกาลเหมือนเรื่องตลก แรกเริ่มเราทั้งคู่มองกันราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู กาลเห็นผมเป็นตัวอันตราย ในขณะที่ผมมองอีกฝ่ายเหมือนนกที่ลอยสูงอยู่บนฟ้า ล่อตาล่อใจนายพรานอย่างผมจนอดไม่ได้ที่จะลั่นไกปืนออกไปหมายจะคว้ามาเชยชม แต่รัตติกาลทั้งฉลาดและรู้เท่าทันอยู่เสมอ ผมจึงทำได้เพียงมองนกตัวนั้นจากตรงพื้นดินด้วยความรู้สึกที่ไม่แย่เท่าไหร่



ผมสามารถเป็นตัวเองได้เสมอเวลาอยู่ต่อหน้าคนคนนี้



และผมสามารถแสดงความร้ายกาจออกมาได้



โดยไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะแตกสลาย



รัตติกาลแข็งแกร่งจนน่าประหลาดใจ



ผมคิดแบบนั้น จนกระทั่งวันที่ปีกของมัน...หักลง



ภาพแผ่นหลังของกาลที่คุดคู้จนไม่เหลือสภาพยังคงฝังแน่นอยู่ในหัวของผมจนถึงทุกวันนี้ คนที่ไม่เคยเสียน้ำตาให้กับเรื่องอะไรกลับต้องมาร้องไห้แทบขาดใจเพราะไม่อาจเหนี่ยวรั้งคนที่ตนรักไว้ได้ แม้จะรู้ดีว่าสักวันเราทุกคนต้องจากกัน แต่ความอ่อนแอของมนุษย์นั้นกลับมีอยู่ในตัวคนทุกคน ไม่เว้นแม้แต่รัตติกาล



ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็ไม่ได้เกลียดชังความอ่อนแอของกาลหรอกนะ นกถึงแม้จะร่วงหล่นจากฟ้าแต่มันก็ยังเป็นนกอยู่วันยันค่ำ แม้ว่าจะเสียปีกไปจนบินไม่ได้แต่ความสวยงามนั้นก็มีค่าพอที่ผมจะจับมันขังไว้ในกรงแทนที่จะปล่อยให้มันสิ้นลมไปซะเฉยๆ



ผมทำให้รัตติกาลมีชีวิตต่อไปทั้งที่ในใจสิ้นหวัง ผมเฝ้าดูแลนกตัวนั้นที่ถึงแม้จะไร้ปีกบินแต่ก็ยังคงมองตรงไปข้างหน้าตลอดเวลา... วันแล้ววันเล่าจนกระทั่งความเจ็บปวดจากการสูญเสียค่อยๆจางหาย แล้วสุดท้ายนกตัวนั้นก็เคยชินกับกรงทองที่ผมสร้างไว้ให้โดยไม่รู้ตัว



“นที ฟังอยู่รึเปล่า”



“หื้ม?”



“เหม่อเชียว ง่วงหรอ”



“เปล่า พอดีคิดอะไรอยู่นิดหน่อย”



“คิด? อย่าบอกนะว่าเรื่องของสองคนนั้น”



พิภพเผยรอยยิ้มร้ายๆออกมา ในขณะที่ผมทำแค่หัวเราะเบาๆ



“หึ คงอย่างนั้นมั้ง”



“แล้วตกลงคิดได้รึยังว่าจะเลือกใคร เมียเก่า...หรือว่าเมียใหม่”



“หมายถึงใครล่ะวะเมียเก่าเมียใหม่ที่ว่า”



“นั่นสินะ เมียเก่าที่เลิกไปแต่ดันยูเทิร์นกลับมาใหม่...กับเมียใหม่ที่กำลังจะกลายเป็นของเก่า ฮ่าๆ นิยามให้ไม่ถูกเลย”



พิภพว่าเยาะๆก่อนจะแย่งบุหรี่ไปสูบหน้าตาเฉย ผมไม่ได้แสดงท่าทางยินดียินร้ายออกไป เพียงแค่คว้าคออีกฝ่ายมากัดไปจนเต็มเขี้ยวเพราะนึกหมั่นไส้ท่าทางกวนประสาทของมันที่ทำให้ผมรู้สึกร้อนรุ่มได้เสมอ พิภพร้องซี๊ดออกมาอย่างถูกใจ อาจจะเป็นเพราะผมดันไปกระตุ้นสันดานเดิมของมันมากไปหน่อย พิภพจึงพยายามคว้าบ่าของผมไปกัดเล่นบ้าง



เพี้ยะ!



ฝ่ามือหนาฟาดเข้าที่แก้มตอบของพิภพเต็มแรงจนเลือดสีแดงสดไหลออกที่มุมปาก ผมลุกขึ้นยืนแล้วกระชับเสื้อคลุมอาบน้ำที่หลุดไปให้เข้าที่ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองไอ้โรคจิตนั่นแม้แต่นิดเดียว



ใช่...ไอ้หมอนี่มันบ้า ผมตบไปแรงขนาดนั้นแต่มันกลับหัวเราะตามมาเหมือนกับกำลังมีความสุข แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะในระหว่างที่พิภพกำลังถูกใจกับความเจ็บปวดเล็กๆที่ผมฝากไว้ให้ มันเลยไม่ทันสังเกตเห็นว่าเอกสารสำคัญอีกชุดที่วางอยู่โต๊ะได้หายไปแล้ว



‘ไปสืบข้อมูลของเสี่ยวิชิตมา แล้วส่งให้กูก่อนเที่ยงวันนี้’



ผมนั่งอยู่ในห้องน้ำ ถ่ายรูปเอกสารทุกแผ่นไว้จนหมดก่อนจะส่งข้อความบอกให้ลูกน้องที่คอยรับใช้ผมอยู่ในเงามืดไปสืบหาข้อมูลที่มีสามารถชี้จุดอ่อนของเป้าหมายได้โดยไม่เกี่ยงว่ามันจะต้องใช้เงินมากขนาดไหน แน่นอนว่าต่อให้เสียเป็นล้านก็คุ้มเกินกว่าจะคุ้มเมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมหมายตามานาน ไม้พะยูงล็อตใหม่มูลค่ามหาศาลที่กำลังจะถูกขนเข้ามาผ่านชายแดนเป็นสิ่งที่คนค้าไม้ปรารถนาจะได้มารวมถึงผมด้วย แม้ว่าความตั้งใจที่จะนำมันไปใช้จะกำลังเป็นปัญหาอยู่ก็ตาม



รัตติกาล...หรือพะแพง



เป็นอย่างที่พิภพมันว่า ชีวิตของผมที่กำลังดำเนินไปกับนกน้อยในกรงทองอย่างกาลถูกสั่นคลอนเพียงเพราะการกลับมาของพะแพง...ผู้หญิงซึ่งเป็นคนที่ผมเคยรักและแม้แต่ในตอนนี้ก็อาจจะยังรักอยู่



ผมเจอพะแพงอีกครั้งด้วยความบังเอิญที่เธอเรียกมันว่าพรหมลิขิต ผู้หญิงคนที่ครั้งหนึ่งเคยนอกใจผมอ้อนวอนขอความเห็นใจด้วยเหตุผลที่ว่าหลังจากเลิกรากันไปเธอไม่อาจทำใจรักใครใหม่ได้ ผิดกับผมที่เลือกคบกับรัตติกาลผู้ที่เป็นน้องรหัสของพะแพงโดยไม่สนว่าใครจะรู้สึกยังไง ผมทำเป็นลืมว่าที่พะแพงเลือกคบกับชายคนอื่นก็เพราะว่าผมนอกใจเธอก่อน แต่สิ่งที่ผมตั้งใจทำคือการตัดสินใจคบกับกาลจะรู้ดีว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันและพะแพงไว้ใจกาลมากแค่ไหน



ผมทำลายมิตรภาพระหว่างสองคนนั้นด้วยความตั้งใจ



เพียงเพื่อให้คนหนึ่งรู้สึกแบบที่ผมรู้สึก



และเพราะเพียงหวังคำปลอบโยนจากใครอีกคน



อย่างที่บอกว่าตอนนี้ผมก็อาจจะยังรักพะแพงอยู่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ผมตัดสินใจนอนกับเธอลับหลังคนรักอย่างรัตติกาลที่มีความเชื่อใจให้ผมเต็มเปี่ยม แม้ว่าผมจะทำให้เขาเห็นร่องรอยที่คนอื่นฝากเอาไว้ให้ด้วยความตั้งใจของตัวเอง แต่เขาก็ยังทำเฉยจนความรักของเรามันพังลงถึงจุดที่ผมเพิ่งตัดสินใจบอกเลิก...แต่รัตติกาลก็ยังคงยืนยันว่าจะไม่ไปจากกรงของผมอยู่ดี





‘ผมจะไม่มีวันเลิกกับพี่!!!’





คำคำนี้เป็นคำสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนจะขับรถออกมาระบายความโมโหลงกับคนที่เต็มใจจะรับมันไว้อย่างพิภพ ไม่ใช่ว่าผมอยากจะกลับไปหาพะแพงจนตัวสั่น แต่อาจจะเป็นความลำเอียงของสวรรค์ก็ได้มั้ง ที่ทำให้ผมต้องตัดใจเลือกที่จะปล่อยนกน้อยในกรงทองของตัวเองไปทั้งที่ยังอยากจะเชยชมมันอยู่



พะแพงกำลังตั้งท้องลูก



ลูกที่กาลมีให้ผมไม่ได้...



ผมไม่ปฏิเสธว่าตัวเองเลว เอาจริงๆผมออกจะชอบความชั่วช้าของตัวเองด้วยซ้ำ ผทชอบที่จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ดีกว่าจมอยู่ในกรอบที่คนใครก็ไม่รู้มาสร้างไว้แล้วทำให้ตัวเองไม่มีความสุข แต่ถึงอย่างนั้นคนเลวอย่างผมก็มีความฝันเหมือนกัน...ความฝันที่จะสร้างครอบครัวอันสมบูรณ์ขึ้นมา



ครอบครัวทางแม่ของผมพื้นเพเดิมเป็นคนจังหวัดลำปาง ความจริงผมคงยังมีญาติอยู่ที่นั่นบ้าง แต่เพราะถูกเลี้ยงดูมาโดยพ่อผู้ซึ่งเป็นคนกรุงเทพเพียงลำพังผมจึงไม่เคยได้รู้จักคนที่นั่นเลย แม่ของผมตายตั้งแต่ผมยังเล็ก ชีวิตวัยเด็กของผมจึงถูกบ่มเพาะโดยความทะเยอทะยานของพ่อ แต่ผมไม่ได้ขาดความอบอุ่นหรอก พ่อเลี้ยงดูผมมาดีมาก ถือว่าดีเกินไปด้วยซ้ำ



ชายที่สูญเสียภรรยาไปเพราะโรคร้ายคนนั้นพยายามสร้างฐานะให้ผมซึ่งเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก่อนจะตายไปด้วยโรคหัวใจเพราะฝืนทำงานหนัก ผมในวัยสิบแปดปีไม่ได้กล่าวโทษใครทั้งนั้น เพียงแค่รู้สึกว่าบ้านหลังใหญ่ที่มีเพียงเงาของผมคนเดียวมันดูเงียบเหงาเสียจนอยากร้องไห้ออกมา



ใช่...ผมก็เป็นเพียงมนุษย์ที่มีความอ่อนแอเหมือนกับคนอื่นๆ



ก่อนหน้าที่พะแพงจะกลับมา ผมบอกตัวเองให้ทำใจเรื่องลูกแล้วเริ่มคุยกับกาลไว้ว่าอยากจะสร้างที่ที่เป็นของเราขึ้นมา เราอยากมีบ้านที่ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์แต่ก็เป็นที่ของเราจริงๆ ผมกับคนรักสร้างความฝันนั้นขึ้นมาด้วยกัน เริ่มจากบ้านไม้หลังพะยูงหลังเล็กที่มือของเราทั้งสองคนค่อยๆประกอบมันขึ้นมาทีละชิ้นจนมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันจะเสร็จสมบูรณ์ ความเป็นมนุษย์ของผมก็กำลังเล่นตลกกับเราอีกครั้ง



วันที่ผมกอดพะแพง กาลบังเอิญทำบ้านไม้หลังเล็กนั่นตกลงพื้น



วันที่ผมคอยไปเฝ้าพะแพงที่ป่วยไว้ทั้งคืน กาลก็ต้องซ่อมมันเพียงลำพัง



และในวันที่พะแพงบอกกับผมว่าเธอกำลังอุ้มท้องลูกของเรา



กาลก็เข้ามาบอกกับผม...ว่าอยากให้เราอยู่ด้วยกันตลอดไป



การที่ฝันซึ่งผมทิ้งมันไปแล้วครั้งหนึ่งกลับมาเป็นจริงได้ ทำให้ผมไม่กล้าตอบรับคำพูดนั้น แม้แต่คำโกหกที่ผมมักใช้มันเสมอก็ไม่สามารถใช้กลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองได้อย่างเคย ผมเคยพอใจกับคำว่า ‘ครอบครัว’ ที่ไม่สมบูรณ์แต่ตอนนี้กลับหันหลังให้มันเพราะคำว่า ‘ลูก’ ซึ่งเป็นเหมือนแผ่นไม้ชิ้นสุดท้ายที่จะเข้ามาเติมเต็มความฝันของผมให้กลายเป็นจริง



ความฝัน...ที่ไม่มีกาลอยู่ในนั้น



ผมถอนหายใจแรงๆ บอกตามตรงว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าควรตัดสินใจยังไง ภาพของบ้านไม้หลังใหญ่ที่ควรจะมีเพียงผมและกาลถูกแทรกขึ้นโดยภาพของหญิงสาวที่กำลังลูบหน้าท้องซึ่งพองนูนออกมาด้วยความรักใคร่ บ้านที่ถูกสร้างขึ้นโดยความรักแต่ไม่อาจเสร็จสมบูรณ์เพราะขาดสิ่งสำคัญที่สุดไป ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรเดินไปทางไหนแต่สุดท้ายไม่ว่าผมจะตัดสินใจยกมันให้กับใคร ผมก็คงเสียใจกับการเลือกของตัวเองอยู่ดี



ผมตัดสินใจลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอีกชุดที่เตรียมมาจนเรียบร้อยก่อนจะเดินไปเพื่อเปิดประตูห้อง แต่สิ่งที่รอผมอยู่กลับเป็นใบหน้ายิ้มแย้มของพิภพที่กำลังส่งรอยยิ้มน่าขนลุกมาให้



“อาบน้ำนานจังนะครับ”



“แล้วไง? หลบไป กูจะกลับแล้ว”



“คุณเอาเอกสารผมไปรึเปล่า”



ผมไม่คิดว่ามันจะถามออกมาตรงๆ แต่ยังดีที่ประสบการณ์ในวงการนี้ทำให้ผมไม่เป็นสองรองใครเรื่องตีสีหน้า



“ถ้าคิดว่ากูเอาไป ก็เชิญตรวจดูให้มั่นใจ”



ผมพูดออกไปด้วยเสียงอันมั่นคงแม้ว่าความจริงจะกำลังโกหกอยู่ก็ตาม โชคดีที่ผมขี้ระแวงมากพอที่จะชิงทำลายหลักฐานโดยการเผาเอกสารพวกนั้นด้วยไฟจากปลายมวนบุหรี่ก่อนจะทิ้งขี้เถ้าทั้งหมดลงชักโครกจนไม่เหลือร่องรอยใดๆ



“ฮ่าๆ ผมยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ความจริงผมอาจจะลืมมันไว้ที่อื่นก็ได้ แย่จังเลยนะ...ทั้งที่เป็นของสำคัญแท้ๆ”



ดวงตาของพิภพไม่ได้รู้สึกแย่อย่างคำพูด กลับกันมันยิ่งลุกโชนเหมือนกับนักล่าที่กำลังมองดูเหยื่อ แต่ถึงอย่างนั้นการแสดงออกแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดจากที่คาด



“ถ้าเป็นของสำคัญที่หลังก็เก็บไว้ให้ดีๆ อย่าพลาดอีก...เข้าใจไหม”



ผมว่าก่อนจะเดินผ่านมันไปยังประตูโดยทุกย่างก้าวนั้นรู้สึกได้ถึงสายตาของพิภพที่คอยจ้องอยู่ไม่ห่าง จนผมเองเผลอยิ้มออกมาเมื่อคิดขึ้นมาว่านอกจากกาลแล้วก็มีพิภพนี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกสนุกได้เสมอ



“นที เรามาเล่นเกมกันไหม”



ผมขมวดคิ้วน้อยๆก่อนจะหันไปมองมันที่ยังคงรักษารอยยิ้มของตัวเองอยู่ได้ ผิดกับผมที่ความรู้สึกบางอย่างกำลังเกิดขึ้นในใจ...ความรู้สึกที่บอกว่าผมควรจะต้องระวังมันให้มากกว่าที่เคย



“อยากพูดอะไรกันแน่”



“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากชวนคุณเล่นเกมเท่านั้น”



“คิดว่ากูจะเชื่อมึงรึไง หึ ไปชวนคนอื่นเถอะ”



“แล้วถ้าของรางวัลในเกมนี้คือ ‘สิ่งที่สำคัญที่สุด’ ของผู้แพ้ล่ะ”



ดวงตาที่ไม่มีวี่แววความขี้เล่นอย่างเคยทำให้ผมเริ่มตระหนกจนเผลอคุมสติตัวเองไม่ได้ ผมก้าวยาวๆเข้าไปกระชากคอเสื้อพิภพอย่างแรงทันทีก่อนจะจ้องมองนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของมันอย่างเกรี้ยวกราด



“แค่กูนอนกับมึงก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะยอมมึงทุกอย่าง...พิภพ”



“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย แล้วอีกอย่าง...ไม่ว่าจะบนเตียงหรือตอนนี้ผมก็ยอมให้นทีอยู่เหนือผมตลอดอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”



“ถึงจะแค่โกหกแต่ถ้ามึงยอมรับอย่างนั้นได้ก็ดี...อยู่ในที่ของตัวเอง แล้วเลิกยุ่งเรื่องของกูซะ”



มันยิ้มรับคำขู่น้อยๆก่อนจะโน้มหน้าลงมาขบกัดปากของผมเหมือนอย่างที่ชอบทำ ผมเองถึงแม้จะยังแคลงใจกับการกระทำของพิภพแต่ก็ยังส่งลิ้นกลับไปเกี่ยวรัดสู้ตามสัญชาติญาณ เสียหายใจหอบของเราทั้งสองคนดังขึ้นก่อนจะค่อยๆผละออกจากกันด้วยอุณหภูมิร่างกายที่ร้อนขึ้นกว่าเก่า



“น่าเสียดายที่คุณไม่สนใจ...แต่มาถึงขนาดนี้แล้วผมจะบอกคุณก็ได้ว่าสิ่งที่ผมตั้งใจวางเดิมพันกับคุณคืออะไร”



“...”



“สิ่งสำคัญที่สุดของผมที่ว่า...ก็คือคุณนั่นแหละนที”



ผมนึกว่าตัวเองหูฝาด หรือเพราะว่ามีเซ็กซ์กับมันมากไปจนหลอน แทนที่จะเขินอายผมกลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น มันตลกเสียจนผมแทบทรงตัวไว้ไม่ไหวเลยต้องพิงร่างกายสูงใหญ่ของมันไว้ทั้งอย่างนั้น ส่วนพิภพทำเพียงจุดยิ้มเล็กๆราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดหรืออะไรเลยแม้แต่น้อย



“ฮ่าๆๆๆ ตั้งแต่รู้จักกันมากูก็เพิ่งรู้เนี่ยแหละ ว่านอกจากโรคจิตแล้วมึงยังเป็นคนตลกด้วย สุดยอดเลยว่ะ มุกนี้กูขำมากจริงๆ งั้นเอาอย่างนี้...กูจะบอกบ้างแล้วกัน ถือว่าแลกกับการที่มึงทำกับกูหัวเราะได้”



ผมยิ้มให้พิภพมันก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบเบาๆตรงข้างหู มันยังคงนิ่งอย่างที่เคยเป็นแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้ว ผมโบกมือลามันน้อยๆก่อนจะเปิดประตูห้องแล้วก้าวเท้าออกไปจากคอนโดหรูใจกลางกรุงเทพที่ผมกับมันมักมาเจอกันที่นี่เสมอ ทั้งที่ความจริงผมเกลียดสีขาวของห้องๆนั้นแทบตายไม่ต่างกับที่นึกเกลียดเจ้าของแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หากไม่มีมันผมคงเบื่อน่าดู







‘สิ่งที่สำคัญที่สุดของกู...ไม่ใช่มึง พิภพ’








“น่าเสียดาย...น่าเสียดายจริงๆ”



คล้อยหลังของนทีไป ร่างของพิภพที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่นทีเคยนั่ง ภาพเมืองและความวุ่นวายเบื้องล่างไม่ได้ทำให้เขาสำราญใจเลยแม้แต่น้อย เพราะในหัวตอนนี้มีแต่คำพูดและการกระทำของชายคนนั้นวนเวียนอยู่ซ้ำไปซ้ำมา



“อุตส่าห์จะทำให้เกมนี้มันแฟร์แล้วแท้ๆ แต่ในเมื่อคุณเลือกอย่างนั้นเองผมก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะครับ”



พิภพต่อสายหาลูกน้องคนสนิทของตัวเองให้คอยสังเกตสิ่งที่นทีกำลังจะทำโดยไม่คลาดสายตา และไม่ลืมที่จะฝากคำเตือนเกี่ยวกับการทรยศหักหลังไปถึงเสี่ยที่เป็นหนึ่งในผู้เล่นเกมอีกคน



“ถึงจะไม่อยาก...แต่เกมมันได้เริ่มขึ้นตั้งแต่คุณคิดจะหักหลังเราแล้วนที”



ชายหนุ่มพูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะหลับตาลงแล้วคิดถึงคำพูดสุดท้ายที่นทีทิ้งไว้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในสายตาของคนคนนั้นไม่เคยมีเขาอยู่ตั้งแต่แรก และต่อให้ไม่บอก พิภพก็สามารถเดาคำตอบที่ชายผู้ซึ่งเป็นคนสำคัญของเขาพยายามปกปิดไว้ได้อย่างง่ายดายเหมือนการอ่านฝ่ามือของตัวเอง



“สองคนนั้นไม่มีทางเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของคุณได้หรอก เพราะถ้าเป็นแบบนั้น คุณคงเลือกใครคนใดคนหนึ่งไปนานแล้ว...และคงไม่มานอนกับผู้ชายแบบผมเพียงเพราะต้องการยืนยันความรู้สึกของตัวเองหรอก”



“...”



“เพราะฉะนั้นตัวเลือกสุดท้ายที่เป็นไปได้ก็มีแค่อย่างเดียวเท่านั้น”



พิภพหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดดูภาพจากการอัลตร้าซาวด์ที่เผยให้เห็นร่างของลูกสาวที่กำลังหลับใหลอยู่ในครรภ์ภรรยาของตน



“เห็นแก่ที่คุณทำให้ผมมีความสุขมาตลอดและเพราะลูกของเราคงเกิดมาคงอายุไล่เลี่ยกัน...ถ้าถึงตอนนั้นพวกเสี่ยยอมปล่อยลูกคุณไป ผมเองก็จะยอมปล่อยเขาไปก็ได้ แต่ถ้าไม่...ก็อย่าโกรธกันเลยนะ”



ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆก่อนจะดับบุหรี่ในมือของตนลงแล้วหลับตา ภาพของนทีที่กำลังจับมือของเขาไว้ปรากฏขึ้นเหมือนกับทุกๆครั้ง พวกเขากำลังเดินไปด้วยกันบนถนนที่ทอดไกลสุดสายตา ไม่ว่าไกลแค่ไหนก็เดินไป...แม้แต่แดดร้อนๆหรือพายุฝนที่หนาวเหน็บก็ไม่เคยหยุดพวกเขาได้







ยกเว้นแต่นกปีกหักตัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในกรงสีทองอร่าม





ที่สามารถพรากสายตาของนทีไปจากเขาได้เสมอ...





---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

เอามาลงให้เรียบร้อยแล้วนะคับตามสัญญากับตอนพิเศษของนทีที่ติดค้างกันไว้  คงจะตอบความสงสัยในเรื่องของสองคนนี้ได้พอสมควร แต่เช่ก็เหลือช่องว่างให้จิ้นกันต่อไปนะคับ (เป็นพวกชอบกั๊กจริงๆสินะ)

แล้วก็เรื่องสำคัญซึ่งเช่ประกาศไปสักพักหนึ่งแล้วแต่อยากจะพูดอีกรอบก็คือนิยายพี่กาลจะได้รีปริ้นอีกรอบผ่านสนพ. EverY นะคับ โดยกำหนดการณ์วางแผนจะอยู่ประมานวันที่24สิงหาคม ใครพลาดรอบเช่พิมพ์เองไปก็สามารถหาซื้อรอบใหม่ได้เลย เนื้อหาเหมือนกัน ไม่มีการเพิ่มตอนพิเศษจะได้ไม่เสียเปรียบกันนะคับ

ส่วนตอนพิเศษอีกตอนที่จะลงคือตอนของคู่รัณย์กาลตามที่ตกลงไว้ ขอลงให้อาทิตย์หน้านะคับ งานเยอะจริงๆเลย TwT


ออฟไลน์ zaturday

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
อนทีนี่แม่งเลวจริงๆ ขนาดตอนพิเศษมันยังอยู่กับคนอื่น สงสารรัตติกาลอ่า ทำเวรทำกรรมกับนทีมาเยอะจริงๆ ชาตินี้ถึงได้มาชดใช้

ออฟไลน์ ยอดมนุษย์ขนมปัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ยกเว้นแต่นกปีกหักตัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในกรงสีทองอร่าม





ที่สามารถพรากสายตาของนทีไปจากเขาได้เสมอ...



 o18 หมายความว่าพี่กาล คือคนสำคัญของนทีหรอ ใช่มั้ย เช่! งง (ขอให้ได้มโนเข้าข้างพี่กาล 55555)

รออ่านตอนพิเศษตอนต่อไป  :o8:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1


LanKarn’s Night

…Goodbye...






 

ทันทีที่เท้าแตะพื้นสนามบิน อารัณย์ที่ไม่ได้เจอคนรักมากว่าสองปีก็เพิ่งตระหนักได้ว่าช่วงเวลาที่ล่วงเลยไปนั้นหัวใจของเขาเหมือนกับจำศีลอยู่ในฤดูหนาว ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายที่ไม่ได้ใช้งานหนักมานานกลับเต้นรัวเพียงแค่เห็นประตูทางออกอยู่ไม่ไกล ชายหนุ่มที่ไม่มีสัมภาระอะไรมากมายนอกจากกระเป๋าสะพายใบเดียวตรงดิ่งไปยังเส้นทางนั้นอย่างไม่ลังเลแล้วกวาดสายตามองหาคนที่อีเมล์มาบอกว่าจะรอเขาอยู่ที่หน้าประตูไปด้วย



รัตติกาลไม่ได้บอกเขาว่าจะมาในชุดไหน



เสื้อสีอะไร...ตัดผมทรงไหน...อารัณย์ไม่รู้อะไรสักอย่าง



แต่เขามั่นใจว่าต่อให้เห็นแค่เพียงแผ่นหลัง



อารัณย์ก็สามารถจดจำคนรักของตนได้







“กาล...”



อารัณย์เอ่ยชื่อของคนที่วนเวียนอยู่ในความฝันของเขามาตลอดสองปีด้วยเสียงที่ไม่หนักแน่นเอาซะเลย มันเบาหวิวเหมือนกับจะหลุดหายไปง่ายๆเช่นเดียวกับข่าวคราวของคนที่หลบมารักษาตัวไกลถึงอิตาลี เส้นผมสีท้องฟ้ายามราตรียังคงเป็นสีเดิมเพียงแต่ความยาวที่เคยระเพียงต้นคอบัดนี้คลอเคลียมาถึงแผ่นหลัง ผิวกายที่ขาวเป็นทุนเดิมดูซีดไม่ต่างจากเจ้าของประเทศจนอารัณย์ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปสัมผัสเพราะกลัวว่ามันจะขึ้นรอยแดง





“อารัณย์”





ชายหนุ่มเกือบจะทำกระเป๋าในมือของตนหลุดมือทันทีที่ได้ยินชื่อของตัวเองเปล่งผ่านริมฝีปากที่เขาโหยหามันมานาน รัตติกาลที่เขาได้แต่ฝันถึงกำลังยืนส่งยิ้มมาให้โดยมีฉากหลังเป็นทุ่งหิมะสีขาวตัดกับสีท้องฟ้า อารัณย์มองรอยยิ้มของคนที่เป็นเหมือนดวงตะวันของใจด้วยร่างกายที่สั่นเทา ชายหนุ่มรู้สึกถึงน้ำตาที่ไหลคลอเต็มหน่วยตาแต่ก็พยายามสะกดกั้นมันไว้อย่างสุดความสามารถ จนกระทั่งรัตติกาลที่มองดูเขาอยู่เช่นกันยกแขนทั้งสองข้างขึ้นแล้วกางออก ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ อารัณย์ก็ยินยอมเดินเข้าไปหาอ้อมกอดนั้นแต่โดยดี





“คิดถึง...”





ชายหนุ่มมีเพียงคำคำนี้ที่ดังก้องอยู่ข้างใน ท่อนแขนที่เคยทั้งทำร้ายและปกป้องตะกรองกอดคนรักเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าถ้าหากเผลอรัตติกาลจะหายไปเหมือนภาพความฝันที่เขาต้องอยู่กับมันมานาน...นานจนเจ็บไปทั้งใจ





“คิดถึงเหมือนกัน”



“...”



“ร้องไห้หรอ?”



“เปล่า...แต่ถ้าออกมาจากเกตแล้วไม่เจอกาล...ก็ไม่แน่”



รัตติกาลหัวเราะเบาๆให้กับคนรักที่ดูเหมือนเด็กขี้อ้อนเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ผิดกับคำบอกเล่าของนิลที่บอกว่าอารัณย์เปลี่ยนไปมากแค่ไหน



นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่ไม่มีหัวใจ...



ไม่ใช่ไม่มีหรอก แค่หัวใจอยู่ห่างไกลไปหน่อยเท่านั้นเอง...





“หิวรึเปล่า? อยากนอนพักไหม?”



“หิว”



“หรอ อยากกินอะไรล่ะ”



“อยากกินกาล”



“...”



“ขอ...กินได้ไหม”



ผิวแก้มของคนถูกขอร้องขึ้นสีแดงอย่างห้ามไม่ได้ นอกจากนิสัยขี้อ้อนของอารัณย์จะเหมือนเดิมแล้ว ก็คงมีนิสัยขี้ตามใจของเขานี่แหละที่ไม่เปลี่ยนไปเช่นกัน



“Va bene (ตกลง)”




กลิ่นหอมของแอสเพรสโซ่อบอวนอยู่ในห้องเช่าเล็กๆแถวชานเมืองมิลานเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแต่วันนี้ห้องที่เคยมีคนอาศัยอยู่เพียงหนึ่งกลับแออัดลงไปเพราะผู้ชายร่างกายสูงใหญ่ที่กำลังนอนอ่านกระดาษมากมายที่ถูกขีดเขียนด้วยลายมือบอกเล่าเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่แสนวุ่นวายแห่งนี้ด้วยแง่มุมที่ต่างกันออกไป อารัณย์เห็นภาพความลำบากและสิ่งต่างที่รัตติกาลพบเจอมาตลอดสองปีผ่านตัวหนังสือที่คนรักตั้งใจสื่อออกมา มันทั้งน่าอิจฉาและมีความสุขเสียจนชายหนุ่มไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนรักที่เดินเข้ามาใกล้



“ไปใส่เสื้อสิรัณย์ ไม่หนาวรึไง”



รัตติกาลพูดว่าแต่ตัวเองกลับล้มตัวลงนอนทับแผ่นอกของร่างสูงที่กระเพื่อมเป็นจังหวะตามลมหายใจ เขาหยิบเอากระดาษที่มีผลงานเขียนของตัวเองออกจากมือของอารัณย์เพื่อให้คนที่กำลังจดจออยู่กับมันกลับมาสนใจตัวเขา



“หนาว แต่ตอนนี้อุ่นแล้ว”

ไม่พูดเปล่าคราวนี้อารัณย์เลือกที่จะโอบกอดเอวบางของรัตติกาลไว้แทนกระดาษเย็นชืดแล้วซุกไซร้จมูกไปตามไหปลาร้าขาวๆที่มีร่องรอยจากตัวเขาปรากฏอยู่ประปรายจนรัตติกาลอมยิ้มให้กับคนที่อ้อนไม่หยุดตั้งแต่ได้เจอกัน



“กอดอยู่นั่น ไหนล่ะของฝากที่บอกว่าจะเอามาให้”



“อยู่ในกระเป๋า มีหนังสือจากนิลกับไอ้ชาติ ชาสมุนไพรจากป้าจันทร์ แล้วก็จดหมายจากรพีด้วย”



อารัณย์ลอบสังเกตปฏิกิริยาของคนรักแต่มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดโดยเฉพาะเมื่อชื่อของคนที่รัตติกาลคิดถึงสุดใจถูกเอ่ยออกมา ร่างโปร่งทำแค่เพียงยิ้มน้อยๆแม้แววตาจะยังคงมีตะกอนแห่งความเศร้าหลงเหลืออยู่แต่มันก็นับว่าดีมากแล้วเมื่อเทียบกับรัตติกาลก่อนที่จะหนีจากมา



“อ่านให้ฟังหน่อยได้ไหม...จดหมายน่ะ”



“ไม่อ่านเอง?”



“อืม...ผมยังไม่เข้มแข็งขนาดนั้น”



ทั้งสองมองตากันอยู่พักหนึ่งก่อนที่อารัณย์จะลุกขึ้นไปหยิบของฝากทั้งหมดรวมถึงจดหมายจากรพีมาเปิดอ่านให้รัตติกาลฟัง เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตที่ไร้เงาของบิดาคอยเลี้ยงดู ทั้งเพื่อนที่โรงเรียน หมาตัวน้อยที่รบเร้าอยู่นานกว่าน้ารัณย์จะยอมให้เลี้ยงได้ การปรับตัวเข้ากับครอบครัวที่เพิ่มขึ้นมาอย่างพะแพง หมอกันต์ และพิมพ์ใจ รวมไปถึงชีวิตแสนเรียบง่ายที่เกิดขึ้นในทุกๆวันภายใต้ร่มเงาของบ้านพัฒนเดชาที่เงียบเหงาถูกบอกเล่าด้วยสำนวนที่เรียบง่ายแต่สื่อถึงความปรารถนาที่อยากจะพบเจอกันของผู้เขียนอย่างรพีได้เป็นอย่างดี



“พ่อดูแลตัวเองดีๆนะครับ อย่าลืมคิดถึงพีด้วย”



อารัณย์อ่านมันอย่างใจเย็นจนถึงประโยคสุดท้ายที่ไร้ซึ่งคำขอร้องให้คนเป็นพ่อกลับมาบ้าน เช่นเดียวกับใบหน้าที่ไร้ซึ่งคราบน้ำตาแต่พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าต่อให้ไม่แสดงออกแต่ความรู้สึกเหล่านั้นกลับยังตอกย้ำอยู่ในหัวใจของทุกคน



“ขอบคุณนะที่เอามาให้”



“ไม่เป็นไร แต่กว่าที่จะกล่อมไม่ให้รพีโดดเรียนตามมาด้วยก็แทบแย่”



“ฮ่าๆ เดี๋ยวนี้ดื้อขนาดนั้นเลยหรอ”



“ขนาดนั้นเลยแหละ ชักจะเหมือนกาลขึ้นทุกวัน”



คนถูกว่ากระทบแกล้งมองดุๆใส่คนรักที่กำลังเก็บจดหมายกลับเข้าไปในซองแล้วยกของฝากทั้งหมดไปวางตามที่ต่างๆให้ จนทำให้อารัณย์ไม่ทันได้เห็นสีหน้าที่แสดงความอ่อนแอและโหยหาออกมาอย่างไม่ปิดบังใดๆ แต่ความจริงอาจจะเป็นเพราะอยากให้รัตติกาลยอมรับความรู้สึกของตัวเองก่อนก็ได้ ชายหนุ่มจึงหลบฉากไปจัดข้าวของเงียบๆ



เวลาเดินผ่านไปพร้อมกับการดำเนินชีวิตอยู่ในห้องพักเล็กๆที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและพูดคุยที่ห่างหายมานาน อารัณย์เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ เมืองไทยเพื่อให้คนที่อยู่ไกลบ้านเกิดความรู้สึกอยากหวนกลับไปบ้างแต่กำแพงที่สูงชันของรัตติกาลนั้นก็ยังคงตั้งตรงและไกลเกินกว่าจะทำให้คนที่ถูกความกลัวเกาะกุมจิตใจเห็นความสวยงามของอีกฟากฝั่งซึ่งมีครอบครัวรออยู่ได้



“กาลอยากกลับไปหาลูกบ้างไหม”



“ยังกลับไปไม่ได้หรอก ถึงจะดีขึ้นมากแต่ผมก็ยังต้องได้รับการรักษาอยู่”



“ผมรู้ แต่แค่แปปเดียว ช่วงวันเกิดของรพีก็ได้”



อารัณย์รู้ว่าเขากำลังเอ่ยปากขอในสิ่งที่ไม่สมควรขอ แต่ความห่างเหินและห่วงหาก็ทำให้เขาไม่สามารถข่มกิเลสและความเห็นแก่ตัวในใจตนได้ รัตติกาลยิ้มน้อยๆแต่กลับไม่ได้ตอบอะไร ร่างโปร่งลุกขึ้นจากเตียงนอนนุ่มๆแล้วคว้าเอาเสื้อผ้าที่ตกอยู่ตรงพื้นขึ้นมาสวมใส่



“คุณอยากไปเที่ยวไหนไหม มาถึงมิลานทั้งที”



“ถ้าเอาจริงๆก็ไม่...แต่ก็ไปกันเถอะ ถ้ากาลต้องการ”



ร่างสูงไม่ได้แสดงท่าทางประชดอะไร เขาแค่อยากให้รัตติกาลได้คิดทบทวนคำร้องขอนั้นอย่างถี่ถ้วน ดังนั้นการไปเดินเล่นชมเมืองที่เจ้าตัวคุ้นเคยกว่าอาจจะผ่อนคลายความกังวลของคนรักลงได้



สองข้างทางของถนนในเมืองเล็กๆอย่างมิลานดูวุ่นวายสับสนแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสวยงามในแบบที่ไม่เหมือนกับเมืองไหนๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนซึ่งตอนแรกคิดแค่อยากจะพาคนรักมาเปลี่ยนบรรยากาศจะเริ่มหลงใหลกับเสน่ห์แบบที่ไม่เคยพบมาก่อนจนรัตติกาลต้องเอ่ยปาก



“กินเยอะไปแล้วรัณย์ จะแวะกินกาแฟมันทุกร้านเลยรึไง”



“เอาน่า ผมไม่ได้มีโอกาสแวะมากินได้ทุกครั้งเหมือนกาลนี่”



ปากพูดไปมือก็กำลังสาละวนอยู่กับขนมหวานในจานเล็กๆที่ราคาไม่เล็กตามไปด้วย เมื่อเห็นว่าห้ามไม่ได้รัตติกาลก็ไม่คิดจะพูดอะไรอีก แต่สุดท้ายคืนนี้เขาก็คงถูกกวนโดยคนที่กินกาแฟจนตาค้างทั้งคืนแน่ๆ



“Ciao Karn! (ไง กาล!)”



ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังตกลงเรื่องร้านอาหารที่จะไปกินกันตอนเย็นก็มีชายท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งเดินเข้ามาทักรัตติกาลด้วยสีหน้ายิ้มแย้มจนอารัณย์ต้องหยุดมือที่กำลังตักขนมเค้กเข้าปากแล้วจ้องมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาจับผิด



“ไง ลอเรนซ์ ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”



รัตติกาลตอบกลับไปด้วยภาษาอิตาเลี่ยนที่อารัณย์ฟังไม่รู้เรื่อง ร่างสูงได้แต่นั่งฟังคนรักและหนุ่มที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นชาวอิตาลีอย่างสนุกสนาน เขากนด่าตัวเองในใจที่ไม่สนใจเรียนภาษาอิตาเลี่ยนพื้นฐานจากนิลก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ ไม่อย่างนั้นเขาน่าจะพอฟังออกบ้างว่าชายคนนี้กำลังพูดอะไรทำไมถึงทำให้รัตติกาลยิ้มออกมาได้กว้างขนาดนี้...



“พอดีเลย อารัณย์ นี่ลอเรนซ์ จิตแพทย์ที่ดูแลผมอยู่”



ร่างโปร่งที่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำแพทย์ประจำตัวให้กับคนรักได้รู้จักก็หันไปพูดกับอารัณย์ด้วยภาษาอังกฤษเพื่อให้ทุกคนเข้าใจได้ตรงกัน ซึ่งพอรัตติกาลทำแบบนั้นคนที่นั่งหน้าบูดมาพักใหญ่ก็ได้ทีเหยียดหลังตั้งตรงแล้วหันไปพูดคุยกับลอเรนซ์ด้วยอังกฤษที่มีสำเนียงไม่ต่างจากเจ้าของภาษาเลยสักนิด



“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมอารัณย์เป็นคนรักของกาล”



“อ่อ คุณนั่นเอง ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะครับ”



นายแพทย์หนุ่มเจ้าของนัยต์ตาสีเขียวมะกอกตอบกลับมาเสียงดังแล้วเข้ามาเขย่ามือของอารัณย์แรงๆราวกับรู้จักมาเป็นชาติ เล่นเอาร่างสูงที่ตอนแรกตั้งแง่กับลอเรนซ์ไปแล้วต้องหันมามองรัตติกาลเพื่อขอคำอธิบาย



“ลอเรนซ์รักษาผม ผมเลยจำเป็นต้องเล่าปัญหาทุกอย่างให้เขาฟังน่ะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกเขาไว้ใจได้ และแต่งงานแล้วมีลูกสองคน”



รัตติกาลอธิบายพร้อมกับพูดดักทางอารัณย์ที่เขาเดาออกได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ คนขี้หึงพอได้ฟังอย่างนั้นก็ใจชื้นแต่สุดท้ายความขี้หวงของเขาก็กลายมาเป็นหัวข้อสนทนาหลักบนโต๊ะที่มีลอเรนซ์เพิ่มเข้ามาอีกคน



“ถึงว่าทำไมกาลถึงโทรมาขอเลื่อนนัดตรวจกับผมเป็นวันอังคาร ที่แท้ก็ต้องมาคอยต้อนรับแฟนจากเมืองไทยนี่เอง”



“อ้าว เลื่อนนัดทำไมล่ะกาล แบบนี้จะไม่เป็นไรหรอ”



“ไม่เป็นไรหรอก นัดตรวจที่ว่าก็แค่เข้าไปคุยเรื่องสัพเพเหระเท่านั้นแหละ”



“ใช่ๆ เรื่องสัพเพเหระที่ว่าก็เรื่องที่บ้านกับคุณนั่นแหละ”



อารัณย์ทำหน้าแปลกใจในขณะที่รัตติกาลหันมาแยกเขี้ยวใส่จิตแพทย์หนุ่มที่หัวเราะเสียงดังเมื่อได้แกล้งคนไข้ที่ควบสถานะเพื่อนต่างแดนให้เขินเล่น หลังจากนั้นลอเรนซ์ก็เผารัตติกาลให้อารัณย์ฟังจนหมดเปลือก ร่างโปร่งเบ้ปากใส่คู่หูคู่ใหม่ที่ตอนแรกจ้องกันแทบตายแต่ตอนนี้กลายมาเป็นกอดคอคุยกันสนุกปาก



“กาล ผมวานไปซื้อเจลาโต้จากร้านข้างๆให้หน่อยได้ไหม ขอรสเดิมนะ”



“เรื่องอะไร ก็ไปซื้อเองสิ”



“ก็สาวเสิร์ฟคนนั้นเธอจ้องคุณตาเป็นมันทุกครั้งเลยนี่ เอาเถอะน่า ซื้อมาเผื่ออารัณย์ด้วยก็ดีนะ”



ลอเรนซ์เท้าคางมองรัตติกาลที่ทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมเดินไปซื้อให้แล้วทิ้งอารัณย์ที่แอบเอนตัวไปมองสาวเสิร์ฟที่ว่าไว้กับคนที่รอโอกาสนี้อยู่นาน



“คุณอารัณย์ครับ”



“อะ อ่า ครับ?”



“ผมอยากคุยกับคุณเรื่องอาการของรัตติกาลหน่อย”



เพียงแค่คำพูดประโยคเดียวบรรยากาศสบายๆที่ดำเนินมากว่าครึ่งชั่วโมงก็หายไปในพริบตา คิ้วของร่างสูงขมวดเป็นปมรสของครีมในปากเปลี่ยนเป็นขมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้



“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ครับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”



“แต่คงใหญ่มากพอที่จะต้องคุยกับผมตามลำพังสินะ”



ลอเรนซ์อมยิ้มเมื่อคนตรงหน้าเป็นอย่างที่รัตติกาลเล่าให้เขาฟังทุกประการ เหมือนจะเป็นคนอ่านง่ายแต่แท้จริงแล้วเป็นคนที่คาดเดาอะไรได้ยาก ฉลาดแต่ก็ดึงดูดให้น่าเข้าหา แข็งแกร่งแต่ก็อ่อนโยนกว่าใคร สมแล้วที่คนอย่างรัตติกาลเลือกที่จะวางหัวใจที่บอบช้ำไว้กับคนแบบนี้



“อย่าเพิ่งขอให้กาลกลับไปกับคุณเลยนะครับ”



“...!”



“จริงอยู่ที่ตอนนี้กาลแทบจะหายเป็นปกติแล้ว ยาที่กินอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นแค่ยาบำรุงประสาทไม่มีความจำเป็นใดๆที่เขาต้องอยู่ที่นี่อีก...แต่ว่ามันเป็นแค่อาการทางกายเท่านั้นที่ผมพูดถึง”



รอยยิ้มแสนอบอุ่นของหมอไม่ทำให้อารัณย์รู้สึกสบายใจเลยสักนิด คำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบตอกย้ำความจริงที่ลอเรนซ์กำลังจะบอกเขาได้อย่างดี



“ตอนที่ภรรยาผมตั้งท้องลูกสาวคนแรก ผมแทบจะไม่กลับบ้านเลยรู้ไหม แน่นอนผมดีใจที่เธอมีลูกให้ผมแต่สำหรับคนที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาลแทบทั้งวันผมแทบจะประสาทไปเลยเมื่อต้องจินตนาการว่าตามเสื้อผ้า เส้นผม และผิวหนังของผมมันมีเชื้อโรคมากมายขนาดไหน ความจริงผมรู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีผลกระทบอะไรแต่สุดท้ายกว่าผมจะทำใจเข้าไปหาเธอได้ลูกของผมก็ใกล้จะลืมตาดูโลกแล้ว”



“...”



“ผมเสียเวลาที่ควรอยู่เคียงข้างภรรยาไป...ผมควรเป็นคนคอยประคองเธอเวลาเธออยากเข้าห้องน้ำ ผมควรจะเป็นคนฝ่าหิมะออกไปซื้อของหวานให้เธอกินกลางดึก เตียงนอนของลูกคนแรกผมก็ควรจะเป็นคนเลือก แต่สุดท้ายผมก็เสียโอกาสทุกอย่างไปแค่เพราะผมสูญเสียความมั่นใจ...ในฐานะพ่อของตัวเอง เหมือนกับที่กาลกำลังเป็นอยู่”



“เสียความมั่นใจ...”



“ใช่ครับ ตอนนี้ความกลัวในหัวใจของกาลหายไปเกือบจะหมดแล้ว เขาสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้อารมณ์เข้ามาครอบงำได้เป็นอย่างดี เขาไม่ฝันร้ายหรือแม้แต่นอนไม่หลับอีกแล้วอย่างน้อยก็ในระยะสองเดือนที่ผ่านมา บาดแผลที่เกิดจากคนอื่นและบาดแผลที่กาลสร้างมันให้ตัวเองตอนนี้มันหายดีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่กล้าที่จะเดินต่อไปข้างหน้า”



ลอเรนซ์หยิบแท็บเล็ตในกระเป๋าถือของตัวเองออกมาแล้วเปิดเว็บบล็อคที่มีบันทึกของคนที่ใช้ชื่อว่า ‘Luna’ ซึ่งได้พบปะกับผู้คนในโรงพยาบาลมากมาย ทั้งคนที่มีความสุขและคนที่สูญเสีย คนที่กำลังจะให้กำเนินชีวิตใหม่และคนที่ทำได้แค่นอนรอความตายอยู่บนเตียง Luna บอกเล่าความหมายของสิ่งที่เรียกว่า ‘ชีวิต’ ผ่านแง่มุมและคำบอกเล่าของคนเหล่านั้น อารัณย์อ่านมันไปเรื่อยๆแล้วคิดกับตัวเองว่าเจ้าของนามปากกานี้ได้ทำในสิ่งที่อัศจรรย์และมีความหมายเหมือนกับชื่อ Luna เสียจริง



เหมือนกับพระจันทร์ที่คอยส่งแสงนำทางผู้คนในช่วงเวลาที่มืดมิด...



“นี่มันดีมากๆเลย”



“ใช่ไหมล่ะครับ น่าภูมิใจใช่ไหมล่ะ...คนรักของคุณน่ะ”



อารัณย์ไม่แปลกใจนักกับคำตอบที่ลอเรนซ์เฉลยให้เขาฟัง ร่างสูงก็จำลักษณะและสำนวนการเขียนของคนรักได้แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคืออารมณ์ที่สื่อออกมาผ่านตัวหนังสือพวกนี้ต่างหาก มันทั้งมีชีวิตชีวาและเศร้าในคราวเดียวกัน เหมือนนักเดินทางที่เหนื่อยล้าแต่ก็ยังคงยิ้มให้กับทุกสิ่งที่เผชิญ



“ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่ากาลเขาจะทำได้ดีถึงขนาดนี้ การที่ให้เขาได้เรียนรู้ความสุขและความทุกข์ของคนอื่นเป็นสิ่งที่ผมอยากให้เขาทำ แต่การที่แบ่งปันสิ่งเหล่านั้นให้กับผู้คนอีกมากมายเป็นสิ่งที่กาลตัดสินใจทำมันด้วยตัวเอง ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังจะพูดมันไม่ยุติธรรมกับคุณและลูกของกาลเท่าไหร่...อารัณย์ ถ้าคุณพากาลกลับไปเมืองไทยตอนนี้ ทุกสิ่งที่กาลตั้งใจทำมามันคงเสียเปล่า”



“...”



“ถึงแม้จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่กาลก็กำลังพยายามอย่างหนักที่จะยืนขึ้นด้วยตัวเองอีกครั้ง เขาทำให้ผู้คนมากมายเข้าใจและเห็นคุณค่าของชีวิต และในทางกลับกันสิ่งนั้นก็ทำให้เขาตระหนักถึงคุณค่าของตัวเองด้วยเช่นกัน คุณเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะบอกใช่ไหม”



“ครับ...ผมเข้าใจ”



“...”



“และทางที่เขาเลือก...มันไม่มีผมอยู่สินะ”




:hao5:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :hao5:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1




 “ลอเรนซ์พูดอะไรแปลกๆให้ฟังรึเปล่า”



รัตติกาลเอ่ยถามคนที่ทำหน้าเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา อารัณย์ที่ได้ยินเสียงของคนรักก็สะดุ้งน้อยๆก่อนจะหันมาตอบ



“เปล่า แค่บอกว่ากาลแอบไปหม้อพยาบาลสาวๆบ่อย”



“หึ ไอ้บ้า มันจะเป็นไปได้ยังไง”



อารัณย์แสร้งหัวเราะทั้งที่ในหัวของเขายังมีคำพูดของลอเรนซ์วนเวียนอยู่จนปวดไปหมด รัตติกาลมองสีหน้าแปลกๆของร่างสูงแล้วนิ่งไปก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาแล้วไปหยิบอะไรบางอย่างจากโต๊ะเขียนหนังสือโดยมีอารัณย์มองตามไป



“ตัดผมให้หน่อย”



รัตติกาลยื่นกรรไกรตัดกระดาษอันหนึ่งมาให้คนรักก่อนที่จะจัดการคว้ากระดาษหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ใกล้ๆมาปูลงกับพื้นแล้วถอดเสื้อสีคอกลมสีหม่นที่ตัวเองสวมอยู่ออกโดยไม่รอให้อารัณย์สั่ง



“เฮ้ย เอาจริงหรอ ผมตัดไม่เป็นนะ”



“อืม ไม่เป็นไรหรอกน่าตัดๆไปเถอะ”



ร่างโปร่งทรุดตัวลงนั่งตรงพื้นแล้วหันหลังให้กับอารัณย์ที่นั่งอยู่ตรงโซฟา ร่างสูงมองเส้นผมสีดำสนิทที่ยาวลงมาอย่างเสียดายบวกกับที่ไม่มีความมั่นใจในฝีมือของตัวเองเลยสักนิดจึงไม่กล้าลงกรรไกรสักที



“สาวเสิร์ฟที่ร้านเจลาโต้บอกว่าชอบผมยาวๆของผมมากเลยนะ”



“โอเค งั้นตัดเลย”



รัตติกาลหัวเราะขำเพราะต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นนิสัยขี้หวงจนเว่อร์ของอารัณย์ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด คมของกรรไกรค่อยเฉือนเส้นผมของรัตติกาลออกไปทีละน้อยอย่างระมัดระวังจนเผยให้เห็นต้นคอขาวสะอาดที่เคยถูกบดบังจนมองไม่เห็น อารัณย์พยายามตัดปลายผมของรัตติกาลให้เป็นทรงงุ้มเข้าแต่เจ้าตัวกลับบอกให้ทิ้งมันไว้ตรงๆแบบนั้นเพราะกลัวว่าแทนที่มันจะสวยจะกลายเป็นเละเทะกว่าเดิมเสียมากกว่า เลยทำให้ตอนนี้ผมของรัตติกาลสั้นขึ้นมาอยู่ที่ระดับคอจนอารัณย์อดใจไม่ไหวที่จะฝากรอยรักลงไปบนเนื้อนุ่มนั้น



“ให้ตายสิ น่ารักกว่าเดิมอีก”



“คนที่มองผู้ชายอย่างผมน่ารักได้ก็มีแต่คุณเท่านั้นแหละ”



“หึ ขอให้มันเป็นอย่างนั้นเถอะ”



อารัณย์บ่นขณะที่ก้มลงกวาดเส้นผมของรัตติกาลด้วยมือเพื่อจะเอาไปทิ้งแต่มือคู่นั้นกลับถูกหยุดไว้ด้วยจูบของรัตติกาลที่สัมผัสลงบนหน้าผากของอารัณย์อย่างแผ่วเบาจนคนที่ถูกมอบความรักให้ไม่ทันได้ตั้งตัว



“ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ขอแค่คุณยังมองว่าผมน่ารักเสมอเท่านี้ได้ไหม”



“...มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”



ร่างสูงละมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วเปลี่ยนมาจับใบหน้าของรัตติกาลไว้ให้มั่นก่อนจะมอบจุมพิตให้กับคนที่หลับตารออยู่แบบแทบจะลืมหายใจ เสื้อแขนขาวของอารัณย์ถูกถอดออกไปโดยคนที่ไม่สวมเสื้ออยู่ก่อนแล้ว ฝ่ามืออุ่นร้อนของทั้งคู่ลูบไล้ไปตามร่างกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายราวกับต้องการจดจำทุกรายละเอียดของคนตรงหน้าให้ได้มากที่สุด



“ไปที่เตียงนะ”





รัตติกาลผงกหัวรับคำอย่างว่าง่าย พวกเขากอดก่ายกันไปตลอดทางจนแผ่นหลังของร่างโปร่งสัมผัสกับพื้นเตียงกว้างโดยมีร่างของอารัณย์กำลังมองลงมาจากเบื้องบนด้วยความต้องการ คนตัวโตกว่าจัดการปลดกางเกงทั้งของตัวเองและคนที่อยู่ใต้ร่างจนส่วนอ่อนไหวของทั้งคู่ออกมาเผชิญหน้ากันด้วยสภาพที่แข็งตัวพร้อมใช้งาน รัตติกาลสะดุดลมหายใจของตัวเองเมื่อจู่ๆคนที่กำลังมอบจุมพิตให้กับเขาเคลื่อนตัวลงไปข้างล่างแล้วคว้าเอากลางกายที่แข็งขืนมามอบความอบอุ่นให้ด้วยโพรงปากชุ่มน้ำลายจนร่างโปร่งต้องครางเสียงหลง





“อื้ออออ อารัณย์ อ๊ะ..”





ลิ้นของอารัณย์เกี่ยวรัดตัวตนของรัตติกาลเป็นจังหวะพร้อมกันนั้นก็สอดนิ้วเข้าไปในช่องทางด้านล่างเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับคนรักที่ให้ความร่วมมือด้วยการแยกขาทั้งสองข้างออกจนกว้าง อารัณย์คายสิ่งที่สั่นระริกด้วยความกระสันออกมาแล้วหันมาให้ความสนใจกับกลีบเนื้อที่เต้นตุบๆตามแรงอารมณ์ เขาเอี้ยวตัวไปหยิบเจลหล่อลื่นจากหัวเตียงมาบีบลงบนร่องบั้นท้ายของรัตติกาล



“เย็น อึก รัณย์ อ๊ะ...มันเย็น”



“ไม่เป็นไร...เดี๋ยวก็ร้อนแล้ว”



นิ้วยาวของอารัณย์สอดเข้าไปด้านในเป็นจังหวะแล้วพยายามควานหาจุดที่ทำให้รัตติกาลรู้สึกดีได้ ร่างสูงทำอย่างนั้นอยู่สองสามครั้งก่อนที่รัตติกาลจะหลุดร้องเสียงสูงขึ้นมาเป็นสัญญาณบอกว่าสิ่งที่อารัณย์กำลังตามหาอยู่ที่ไหน



อารัณย์เลียริมฝีปากของตัวเองอย่างกระหายก่อนจะรัวนิ้วเข้าไปไม่หยุดแม้ว่ารัตติกาลจะร้องขอให้ปราณีตนเองบ้างก็ตาม ลำคอของร่างโปร่งแห้งผากเช่นเดียวกับความคิดที่ไม่หลงเหลือเรื่องใดนอกจากความปรารถนาที่มีต่อคนตรงหน้า แล้วรัตติกาลก็ต้องหวีดร้องออกมาอีกครั้งเมื่อแท่งเนื้ออุ่นของอารัณย์แทรกเข้าไปในร่างกายของเขาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว



“อ่าาาาาาาา รัณย์!”



“อึก กาล ซี๊ดดดด”



ร่างสูงจับขาของรัตติกาลทั้งสองข้างขึ้นมาพาดอยู่บนบ่าของตัวเองเพื่อที่จะสามารถรับรู้ความอบอุ่นของคนรักได้ลึกยิ่งขึ้น เสียงเฉอะแฉะของสารหล่อลื่นดังไปทั่วทั้งห้องแข่งกับเสื้อเนื้อกระทบกันและเสียงครางระงมของรัตติกาลจนแทบแยกไม่ออก รัตติกาลพยายามฝืนลืมตาที่ปรือปรอยเมื่อมองเข้าไปในความคิดของคนรักที่กำลังจับจ้องมาที่เขาอยู่เช่นกัน



“ผมรักคุณนะ อึก อารัณย์ ฮึก ผมรักคุณ...”



เหมือนห้องที่มืดมิดถูกเปิดออก ความอึดอัดที่สั่งสมมาข้างในแปรเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้าและหยดน้ำตาแห่งความคิดถึง รัตติกาลยันกายที่ยังคงรองรับแรงกระแทกอย่างต่อเนื่องขึ้นมาแล้วจูบซับน้ำตาของอารัณย์ไว้ก่อนจะกระซิบบอกคำรักที่ข้างหูเพื่อให้ร่างสูงมั่นใจว่าต่อให้อะไรจะเกิดขึ้น ความรู้สึกของเขาจะยังเป็นสิ่งเดียวที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป



“ขอโทษนะกาล ผมรักคุณนะ”



“เชื่อใจผมนะอารัณย์ อ่า...รอผมหน่อยเถอะนะ”



อารัณย์เร่งสะโพกของตัวเองให้เร็วขึ้นแทนคำตอบ นิ้วยาวของรัตติกาลกรีดไปตามแผ่นหลังของร่างสูงแล้วฝากรอยเล็บเอาไว้แทนหลักฐานว่าตอนนี้เขาทั้งคู่กำลังมีความสุขกันมากแค่ไหน สองขาของรัตติกาลเปลี่ยนมาเป็นรั้งสะโพกของอารัณย์ให้เข้ามาใกล้ตัวของเขาเองให้มากยิ่งขึ้นเมื่อปลายทางของอารมณ์เคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที อารัณย์ประโลมจูบคนรักแล้วถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้ ทั้งความโลภ ทะนุถนอม เหนี่ยวรั้ง และต้องการมอบอิสระให้จวบจนหยาดหยดสุดท้ายที่ปลดปล่อยออกมาจนรัตติกาลรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจและร่างกาย แล้วในวินาทีสุดท้ายก่อนที่สติของร่างโปร่งจะค่อยๆเลือนหายรัตติกาลก็ได้ยินคำบอกรักที่ทรมานที่สุดจากปากของอารัณย์



“ผมรักคุณนะกาล ผม...จะยอมให้คุณไป”




อารัณย์กลับมายืนอยู่ในสนามบินมัลเปนซาอีกครั้งโดยที่คราวนี้เขามีกระเป๋าลากใบใหญ่เพิ่มมากอีกใบเพื่อใส่ของที่รัตติกาลตั้งใจซื้อฝากให้เหล่าคนไกลที่เขาคิดถึง แม้อากาศภายในสนามบินจะอุ่นกว่าข้างนอกมากแต่มือของทั้งคู่ก็ยังคงเกาะกุมกันอยู่ไม่ห่างโดยไม่แคร์ว่าใครต่อใครจะมองพวกเขายังไง



“เห็นเขาว่าอาทิตย์หน้าหิมะจะตกหนักกว่านี้อีก กาลอย่าลืมไปหาผ้าห่มมาเพิ่มนะ ของที่ห้องผมว่ามันบางไปหน่อย”



“รู้แล้วน่า คุณย้ำผมมาหลายรอบแล้วนะ”



“รู้แล้วก็ทำด้วยล่ะ อาหารก็กินให้ครบห้าหมู่ด้วย ถ้าเบื่อๆก็ลองไปเดินแถวไชน่าทาว์นกับลอเรนซ์ดูก็ได้ เห็นหมอนั่นบอกว่ารู้จักร้านดีๆเยอะเลย”



“หึ ไปสนิทกันตอนไหนเนี่ย ทีแรกยังเห็นจ้องจนตาแทบถล่น”



“ก็นะ อย่างน้อยผมก็มั่นใจได้ว่าลูกสาวทั้งสองคนของเขาคงไม่อยากได้คุณเป็นแม่คนที่สองแน่ๆ”



อารัณย์แกล้งพูดหยอกถึงลูกสาวของลอเรนซ์ที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เวลาเห็นหน้ารัตติกาลทีไรถึงได้ร้องไห้จ้าทุกที แต่กับอารัณย์ที่ถึงแม้จะสื่อสารกันด้วยภาษาอิตาเลี่ยนไม่ได้เด็กสาวกลับติดร่างสูงแจเสียจนคนเป็นพ่อหมั่นไส้



“ส่วนที่ไทยก็คงร้อนเหมือนเดิมสินะ ฝากบอกทุกคนให้ดูแลสุขภาพด้วยแล้วกัน โดยเฉพาะป้าจันทร์ ผมฝากดูแลแกหน่อยนะ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว”



“ไม่ต้องห่วงหรอก รายนั้นยังมีแรงบ่นผมที่กลับบ้านดึกได้อีกนานเชื่อสิ”



รัตติกาลหยุดขาที่กำลังก้าวเดินจนทำให้อารัณย์ต้องหันมามองแล้วเลิกคิ้วขึ้นแทนการตั้งคำถาม



“อารัณย์เรื่องที่บริษัทน่ะ...ไม่จำเป็นต้องพยายามมากขนาดนั้นก็ได้นะ”



“...”



“มันคงไม่ดีถ้าต้องพูดแบบนี้ แต่ผมไม่อยากให้คุณหรือใครต้องมาติดอยู่กับสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นความฝันของผมกับพี่ที...บางทีมันอาจจะถึงเวลาที่เราต้องปล่อยมันไปแล้วก็ได้”



รัตติกาลสื่อความในใจของตัวเองออกไปเพราะทั้งไม่อยากมีอะไรค้างคาอีกและเสียดายความสามารถของอารัณย์อยู่ไม่น้อย ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนรักของเขาเก่งกาจมากแค่ไหน แต่มันกลับน่าเจ็บใจที่คนมีความสามารถอย่างอารัณย์กลับต้องมาแบกรับภาระของเขาทั้งที่มีโอกาสในชีวิตอีกมาก แต่สิ่งที่ทำให้รัตติกาลเจ็บใจมากที่สุดเห็นจะเป็นการที่อารัณย์สูญเสียความเยือกเย็นในฐานะนักธุรกิจไปเพราะเขา...แค่เพราะอยากจะรักษาบริษัทของเขาไว้ให้ได้



“จริงอยู่ที่ความฝันของกาลกับพี่นทีจบไปนานแล้ว”



“...”



“แต่ความฝันของผมกับกาล มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นต่างหาก”



อารัณย์พูดก่อนจะโน้มตัวลงไปจูบหน้าผากของรัตติกาลเบาๆแล้วกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของคนรัก ร่างโปร่งฟังแล้วก็นิ่งไปก่อนที่รอยยิ้มกว้างจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนทั้งคู่ที่โผเข้าหากันแทนการจากลาครั้งสุดท้าย



“เราจะจากกันแค่วันนี้นะ เพราะว่าครั้งต่อไปผมจะไม่มีวันปล่อยให้กาลไปไกลจากผมอีกแล้ว”



“จะจับขังว่างั้น?”



“อื้อ จะเล่นไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยแหละ”



ร่างสูงพูดติดตลกแม้ว่าในอนาคตข้างหน้าหากพวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งรัตติกาลและอารัณย์คงเข้าใจความหมายของคำว่าชีวิตและความรักมากขึ้นกว่าตอนนี้ แม้จะรักกันมากแต่พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงพวกเขาไว้ยังคงไม่แข็งแรงพอที่จะนำพาทุกคนที่พวกเขารักให้เดินไปข้างหน้าด้วยกันได้



“ฝากดูแลรพีด้วยนะ”



“ไม่ต้องห่วง รพีก็เหมือนลูกของเรานั่นแหละ”



“อื้ม ฝากความคิดถึงไปให้พี่แพงด้วย แล้วผมจะพยายามโทรไปคุยกับพี่สาวคุณบ่อยๆ”



“ได้ แต่อย่าบ่อยมากกว่าคุยกับผมแล้วกัน”



รัตติกาลยิ้มรับก่อนจะจูบลาแล้วก้าวถอยออกมาในขณะที่อารัณย์ก็ก้าวเข้าไปในจุดที่ร่างโปร่งไม่สามารถเดินตามเข้าไปได้อีก พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้ร้องไห้เพราะมันไม่ใช่การจากลาที่ไร้ความหมาย ทั้งคู่มองตากันและกันราวกับต้องการจะจดจำคนตรงหน้าให้ได้มากที่สุดรวมถึงความรักที่แผ่ซ่านออกมาจนอุ่นไปทั้งใจ



“กาล...ผมจะรอนะ”



“...”



“จนกว่าจะถึงวันนั้นก็พยายามเข้าล่ะ...Luna”



“อื้ม...คุณก็ดูแลตัวเองดีๆล่ะ”



“...”



“สักวัน...เราจะได้พบกันอีก”



ทั้งสองคนบอกลากันครั้งสุดท้ายผ่านรอยยิ้ม อารัณย์โบกพาสปอร์ตในมือก่อนจะหันหลังให้คนรักแล้วเดินเข้าไปด้วยแววตาที่มุ่งมั่นกว่าเก่าเช่นเดียวกับรัตติกาลที่เดินตรงไปยังทางออกโดยไม่มีความลังเลใดๆ



“ลาก่อน...”





------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

จบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับตอนพิเศษตอนสุดท้ายที่เช่จะลงให้อ่านในเว็บนะคับ  แต่ในส่วนต้นๆคนที่ไม่เคยอ่านในหนังสืออาจจะงงสักหน่อยเพราะก่อนหน้าที่จะมีตอนนี้มันจะถูกคั่นด้วยตอนของชาตินิลที่เช่ขอสรุปสั้นๆว่า ระหว่างที่รัตติกาลไปรักษาตัวอยู่เมืองนอกอารัณย์ก็เข้าไปดูแลบริษัทแทน แต่ด้วยเพราะความเคร่งเครียดและภาระของตัวเองที่อารัณย์ต้องแบกรับแทนทำให้รัตติกาลถึงกับเอ่ยปากให้อารัณย์วางมันลงในตอนนี้นะคับ (แม้ว่าสุดท้ายจะดื้อไม่ยอมวางก็เถอะ55555)

ช่วงที่ยังไม่ได้ลงตอนพิเศษ มีหลายคนบ่นกับเช่เหมือนกันว่า6ปีดูเหมือนจะนานเกินไป แต่สำหรับเช่ เช่มองว่ามันไม่นานไปนะคับสำหรับการเริ่มต้นใหม่ของคนคนหนึ่ง จริงอยู่ที่โรคร้ายอาจจะรักษาได้แต่การฟื้นฟูทางจิตใจนั้นทำได้ยาก ยิ่งถ้าเป็นรัตติกาลถ้าหากไม่เข้มแข็งพอคงไม่ยอมกลับไปแน่ๆ พี่กาลนี่พี่กาลจริงๆ

ความคืบหน้าหนังสือเมื่อกลางสัปดาห์ทางบก.EverY ได้ส่งปกมาให้เช่ดูแล้วนะคับ ดีงามพระรามแปดมาก น่าเก็บสะสมจริงๆ (ยั่ว55555) ใครที่เคยซื้อแล้วและไตยังแข็งแรงก็ลองเก็บเพิ่มอีกสักปก ส่วนใครยังไม่เคยซื้อรับรองคุ้มค่าแน่ๆคับ



ป.ล. สำหรับ Nightmare คงจะจบกันที่ตรงนี้นะคับ เจอกันใหม่เรื่องหน้า..... Midnight (ที่ยังไม่ว่างแต่งสักที ฮือออออ)  :call:

ออฟไลน์ ยอดมนุษย์ขนมปัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ออฟไลน์ PRINCESSPRIME

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณสำหรับความหน่วงค่ะ  o22

 :pig4:  :pig4:

ออฟไลน์ Faiia

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ vanila

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เพิ่งอ่านเรื่องนี้จบไป สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ครบรสสุดๆ มีความมุ้งมิ้ง มีความแซ่บพระนาย มีความหลอน มีความดราม่าสุดๆ
ปกติเราไม่ค่อยชอบอ่านนิยายดราม่าเท่าไหร่ แต่คืออ่านเรื่องนี้แล้วหยุดไม่ได้
คือแบบต้องอ่านต่อให้จบอ่ะ ยิ่งเป็นนิยายไสตล์บรรยายยิ่งชอบ โฮววววว เสียน้ำตาด้วยค่ะ เข้มข้นสุด
ตัวละครที่ชอบที่สุดคืออารันย์ คือสตรองมากอ่ะ ผ่าานอดีตที่แล้วร้ายมาขนาดนั้น
รู้สึกว่าเป็นที่พักพิงให้กับรัตติกาลกับรพี เหมือนอารนย์เป็นส่วนเติมเต็มอย่างงัยอย่างนั้น
นี่ถ้าพ่อกาลไม่เจอน้ารันย์ก้ไม่รุ้จะเป็นงัยต่อไป ดีใจมากที่สุดท้ายแล้วก้แฮปปี้เอนถึงระยะเวลาหกปีจะนานในความรุ้สึกคนรอก้ตาม
แต่แค่นี้ก้ดีแล้ว ในสุดพ่อกาลก้ตื่นจากฝันร้ายสักที ต่อไปนี้ก็ขอให้พ่อกาลฝันดีตลอดไปนะ
อีกคนที่ชอบก้คือนทีดูแบดบอยดีอ่ะ ดูเลวแต่ก็ดูเป็นคนมีสเน่ห์ไปพร้อมกัน
แต่มาทำให้พ่อกาลของน้องพีเจ็บก็ไม่โอนะคะ เทใจให้น้ารันย์ดีกว่า
ได้อ่านตอนพิเศษ ชอคเล็กๆสำหรับ นทีพิภพ เหนือความคาดหมายจริงไรจริง ฮ่าาา
นึกว่ากาลจะเป็น ผู้ชายคนแรกและคนเดียวสำหรับนที สงสารกาลอ่ะพอได้รุ้ว่านทีคิดงัยกับกาล เง้อ
แต่เราว่าจริงๆแล้วนทีก้คงรักกาลบ้างแหละ ไม่งั้นก้คงไม่เขียนพินัยกรรมแบบนั้น เพราะรักทั้งคู่เลยเลือกไม่ได้มั้ง
ส่วนพ่อกาลน้องพีอานิลอาชาตินี่ก็ชอบไม่แพ้กันเลย ถ้าไม่มีคู่นี้ความมุ้งมิ้งเรื่องคงดาร์กไปกว่านี้
สงสารน้องพีสุดติ่ง แงๆ จริงๆน้องพีไม่รุ้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำแต่ต้องมาติดอยู่ในวังวลของความแค้นผู้ใหญ่
แต่ท้ายที่สุดแล้วความรักชนะทุกสิ่งจริงๆ
แต่คนที่สงสารที่สุดก็คงเป็นกาล ติดอยู่ในวังวนความแค้นปล่อยวางไม่ได้ มันทรมานนะ
กว่ากาลจะผ่านมันได้ ก็ใช้เวลาไปนานโข แต่เราว่าจริงๆเวลาหกปีที่การไปรักษาตัวเราว่าคุ้มค่านะ
เมื่อเทียบกับเวลาที่เหลือยู่ทั้งชีวิต ดีใจที่กาลก้าวผ่านความเลวร้ายที่ไปได้ด้วยดี ^^

ออฟไลน์ RiyaKwon

  • Riya Kwon*Kwon Riya
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1021
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เรื่องนี้น่าสนใจค่ะ โดยส่วนตัวชอบเเนวอิงจิตวิทยาเนี่ยเเหละ
เพราะเราคิดว่าคนทุกคนย่อมมีความจิตเป่นของตัวเอง
เรื่องราวในชีวิตทำให้คนเราจิตได้ อยู่ที่ใครจะเอาชนะ จะเเกไขยังไง

เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
ใครอยากอ่านเรื่องของนิลต่อ เชิญได้ที่เรื่อง

{MIDNIGHT....กาลครั้งหนึ่งคืนนั้น} http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55576.0

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ tae1234

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เป็นนิยายที่ดีมากเรื่องนึงเลยครับ ให้แง่คิดที่ดี่ครับ ขอบคุณนะครับ

ออฟไลน์ Pawana

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ชอบเรื่องนี้มากกกกก.    แหวกมีอะไรมาโผล่อยูเรื่อยๆๆๆ.  ถึงแม้พระเอกเราบทจะไม่เด่น.   เหมือน. นที. และ. กาล.  เพราะเนื้อเรื่องเหมือนเป็นเรื่องของกาลกับนที. มากกว่า.     มีหักมุมนิดหน่อย. แต่ก้อเสริมด้วยความซึ้งใจเล็กๆๆๆ.    เราชอบนิยายแนวนี้มาก. หวังว่าคงมีแนวคล้ายๆๆแบบนี้มาให้อ่านอีกนะ.    เซ่แต่งได้สนุกมากครัช.  อ่านวางไม่ลงจริงๆๆ. ขอบคุณ. และตามอ่านเรื่องต่อไปครัช

ออฟไลน์ jomyingg

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านจบแร้วววว ตอนแรกกลัวมากว่าจะดราม่าหนัก แล้วก็หนักจริงๆ55555 แต่ก็สนุกมากๆๆเหมือนกัน ชอบมากเลยค่ะ ถึงแม้จะมีบางการกระทำของบางคนที่เรายังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ไว้จะกลับมาอ่านอีกรอบแน่นอนค่ะ  :-[ อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้โกรธใครไม่ลงสักคน เพราะทุกคนก็มีเรื่องผิดพลาด มีเหตุผลเป็นของตัวเองทั้งนั้น ยกเว้นเรื่องที่นทีนอกใจคนรักบ่อยๆนะ อันนี้โกรธมาก555 รักความอารัณย์ ที่ดูแข็งๆแต่จริงๆแล้วไทป์หมามากเลยอะ น่าร้ากกก ชอบกาลด้วย เคะราชินีขั้นสุดจริงๆ  ตอนที่กาลเหมือนกำลังจะแตกสลาย นี่อยากจะเข้าไปกอดปลอบมากๆ น่าสงสารที่สุด ชอบคู่นิลกับชาติด้วย หลุดโลกได้ใจจริงๆค่ะ อ่านแล้วกรี๊ดแรง5555
ป.ล. ขอบคุณคุณคนแต่งด้วยนะคะ ที่แต่งนิยายดีๆเรื่องนี้ออกมา ถึงจะเป็นเรื่องแรกแต่ก็แต่งออกมาได้ดีมากๆเลย ชอบปมของเรื่องทุกๆอย่าง มันทำให้น่าติมตามมากๆเลยค่ะ เลิฟฟฟ  :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-05-2018 00:49:51 โดย jomyingg »

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
กลับมาอ่านกี่ครั้งก็ยังสนุก ชอบความดราม่ามากแต่จบแบบสุขนิยม 55

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13
 
                     “พ่อคงไม่ว่าง”
 
ใจม๋ามาก

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13
“ไม่...รพีไม่ได้ทำอะไรผิด”


“...”


“ก็แค่...ปล่อยให้มีความสุขไม่ได้”
 
เลวมาก ไม่รู้จะหาคำอะไรมาด่ามันแล้ว
ถ้าตอนจบของเรื่อง รัตติกาลมีความสุข แปลว่ากฏแห่งกรรมไม่มีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไม่เป็นความจริง

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13

ออฟไลน์ psyche

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุก ถึงจะหน่วงจนจบ  ภาษาดี คำผิดก็แทบจะไม่มี อ่านลื่่นไหลดี เอาเป็นว่าใครชอบแบบหน่วงๆ มีปม อ่านเถอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด