Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...  (อ่าน 131582 ครั้ง)

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ blur

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ดีละครับเขียนต่อไปขอแค่ให้จบ ผมคนนึงที่รออ่าน เบื่อมากพวกคนที่เขียนแล้วหยุดไปดื้อๆ สู้ๆ

ออฟไลน์ iiduckii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
แนะนำให้กาลไปพบจิตแพทย์นะคะ ฮ่าๆๆๆๆๆ สงสารกาลควบคุมอารมณ์ไม่ได้

พี่นทีนี่ก็ใช่ย่อยเหมือนกันนะเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆ

ออฟไลน์ iiduckii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ดาร์กสุดๆ เฮ้ออออออออออออออออออ  :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ขอหวานมั่งนะคะคนเขียนนนนนนนน ต้องการน้ำตาลอย่างด่วน ฮ่าๆๆๆๆ

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
ดาร์กสุดๆ เฮ้ออออออออออออออออออ  :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ขอหวานมั่งนะคะคนเขียนนนนนนนน ต้องการน้ำตาลอย่างด่วน ฮ่าๆๆๆๆ

เรื่องหลักอาจจะขมจนน้ำตาเล็ด แต่เตรียมหวานเบาๆกับตอนพิเศษนะคนับ คิดพล็อตออกแล้ว!

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

14th Night

…Selfish... (50%)


 

“แน่ใจนะว่ากูไม่ต้องไปรับรพีที่โรงเรียน”

 

“เออ พักสักวัน”

 

รัตติกาลถามย้ำให้แน่ใจ หลังจากพูดคุยกันในห้อง ต่างฝ่ายต่างเคลียร์งานของตนเองจนบ่อยคล้อย นิลก็เป็นคนจัดการโทรไปบอกที่บ้านให้ออกรถเพื่อไปรับรพีที่โรงเรียนแทนเขาสักวัน ตอนแรกร่างโปร่งคิดว่าตัวเองฟังผิดไป แต่นิลก็ยืนยันตามนั้นโดยลากเขาให้มาซื้อของไปทำอะไรกินกันที่บ้านเป็นมื้อค่ำวันนี้

 

“ของพวกนี้บ้านกูก็มีอยู่แล้ว จะต้องออกมาซื้อใหม่ทำไมวะ”

 

“บางอย่างมันไม่มี ไหนๆก็อยู่ข้างนอกแล้ว ดีกว่าให้นิ่มออกมาซื้อเสียเวลา”

 

“หึ เจ้ากี้เจ้าการซะอย่างกับเป็นบ้านตัวเอง”

 

“แน่นอน กูรอหุบบ้านมึงอยู่รู้ไหม คนในบ้านมึงสนิทกับกูทั้งนั้น”

 

ร่างโปร่งส่ายหัวน้อยๆอย่างระอา ไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับคำพูดนั้น รัตติกาลมองดูแซลมอนสีส้มสวยที่ถูกคัดมาอย่างดีสำหรับทำสเต็กเป็นมื้อค่ำ ในขณะที่นิลกำลังยืนเลือกเบค่อนรมควันที่ตนเองชอบกินอยู่อีกมุมของร้าน ทั้งคู่ต่างช่วยกันเลือกซื้อของสดเหมือนกับวันเก่าๆในช่วงที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย พวกเขามักจะหาโอกาสมาทำอาการกินกันเองบ้างเดือนละครั้งสองครั้ง แน่นอนว่าคนไร้พรสวรรค์อย่างนิลจะเป็นฝ่ายคิดเมนูและคอยช่วยหยิบจับอะไรเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้ลูกศิษย์ก้นครัวป้าจันทร์อย่างรัตติกาลเป็นจัดการ แม้ว่าจะอายุจะย่างเข้าเลขสามกันแล้วทั้งคู่บทบาทเหล่านี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน

 

นิลเลือกเอามันฝรั่งลูกโตได้เป็นอย่างสุดท้าย เมื่อได้ของที่ต้องการครบแล้วพวกเขาจึงพากันเดินไปคิดเงินที่เคาท์เตอร์ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

 

 

“พี่กาล...”

 

เสียงของเด็กหนุ่มที่ร่างโปร่งตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ด้วยเรียกดังมาจากทางด้านหลัง ปูนในชุดนักศึกษากำลังถือตะกร้าแบบเดียวกัน ร่างบางมีสีหน้าตกใจอยู่สักครู่ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนมาให้เขาทั้งที่ดวงตาไม่ได้ยิ้มตาม ชายหนุ่มที่ถูกเรียกไม่แม้แต่จะยิ้มตอบ รัตติกาลยืนนิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรในสถานการณ์แบบนี้ สภาพของปูนไม่ได้ทรุดโทรมอย่างคนที่ตรอมใจ ใบหน้าที่แม้จะดูธรรมดาก็ยังคงแฝงไปด้วยเสน่ห์เหมือนที่เคยเป็น แต่แววตาที่เคยสดใสกลับเศร้าหมองด้วยสาเหตุที่เขาเองรู้ดียิ่งกว่าใคร และนั่นก็ยิ่งทำให้รัตติกาลรู้สึกผิด

 

นิลที่หันมามองเมื่อได้ยินเสียงคนเรียกเพื่อนรักกำลังสำรวจเด็กหนุ่มซึ่งไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาคงจะไม่ติดใจอะไรถ้ารัตติกาลไม่ได้มีท่าทีอึกอักอย่างที่ไม่ค่อยแสดงให้เห็น ชายหนุ่มอยากจะถามว่าเด็กคนนี้เป็นใคร มีความสัมพันธ์กันอย่างไรแต่ก็เลือกที่จะเงียบ จนรัตติกาลเอ่ยปากขอให้เขาอยู่คิดเงินเพียงคนเดียว แล้วยังคว้าเอาตะกร้าของอีกฝ่ายมาให้เขาคิดเผื่อด้วย

 

รัตติกาลแตะข้อศอกของปูนเป็นสัญญาณบอกว่าให้ร่างบางเดินตามตนมา ช่วงขาที่ยาวกว่าก้าวนำคนที่บังเอิญเจอกันไปยังที่จอดรถใต้ดินซึ่งรถของเขาจอดทิ้งไว้ ร่างโปร่งปลดล็อคยานพาหนะคู่ใจเปิดประตูด้านข้างคนขับเพื่อให้เด็กหนุ่มนั่งก่อนจะพาร่างของตนเข้าประจำที่แล้วปิดประตูเพื่อกันเสียงรบกวนจากภายนอก และป้องกันไม่ให้ใครได้ฟังบทสนทนาที่เขาไม่อยากให้คนอื่นรับรู้

 

 

ทั้งสองคนหยุดนิ่ง จนเด็กหนุ่มได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นรัวอยู่ในอก แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่เคยได้ยินเสียงหัวใจของคนข้างกายเลยสักครั้ง ทั้งที่ทำใจไว้แล้ว รู้ดีว่าเรื่องราวของพวกเขาควรจบตั้งแต่วันที่รัตติกาลเลือกที่จะปฏิเสธการช่วยเหลือของตนในวันนั้น แต่ก็ยังดึงดันตอกย้ำตัวเองด้วยเสียงสัญญาณบอกซ้ำๆว่าเบอร์โทรศัพท์ที่ร่างโปร่งเคยให้ไว้ไม่มีวันส่งไปถึง คำบอกกล่าวที่ไม่ต้องอธิบายให้มากความ ว่าเราทั้งสองไม่ควรจะพบกันอีก

 

“ไม่คิดเลยว่าจะเจอพี่กาลที่นี่ พี่...สบายดีไหม”

 

“...”

 

“หน้าพี่ไปโดนอะไรมา ใครเป็นคนทำครับ...”

 

“...”

 

“ผมรู้ว่าพี่ไม่อยากเจอผมอีก...ขอโทษนะครับที่ทักออกไป”

 

“...”

 

“แต่...ฮึก แต่ผม...เป็นห่วงพี่”

 

“พี่ขอโทษ”

 

เด็กหนุ่มส่ายหน้าแรงๆ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ใบหน้าเล็กหันไปสบตากับอีกฝ่ายที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว รู้ดี..ว่าคนคนนี้ทั้งเย็นชาและไม่เคยรักเขาที่เป็นเพียงที่พักพิงชั่วคราว แต่ก็เพราะความห่วงใยที่เจ้าตัวสื่อมาให้โดยไม่รู้ตัวนี่แหละที่ทำให้ลึกๆปูนยังไม่อยากตัดใจจากชายคนนี้

 

วงแขนเล็กเอื้อมไปกอดร่างโปร่งอย่างไม่สามารถหักห้ามใจได้ เด็กหนุ่มซบหน้าลงบนบ่าของอีกฝ่ายจนรัตติกาลรู้สึกถึงความเปียกชื้นผ่านเสื้อเชิ้ตตัวหรูพร้อมกับอาการสั่นน้อยๆของคนที่พยายามโอบกอดเขาไว้ทั้งที่ตัวเองเจ็บแทบขาดใจ ร่างโปร่งยกแขนขึ้น ลังเลที่จะกอดร่างเล็กนี้ตอบ เฝ้าบอกตัวเองว่าไม่ควรทำ สุดท้ายก็ทำได้แค่ใช้ฝ่ามืออุ่นร้อนของตนลูบเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของอีกฝ่ายเบาๆเป็นการปลอบโยนทั้งที่ลังเลเท่านนั้น

 

“อย่าหวังอะไรจากพี่เลยปูน”

 

“ฮึก...พี่กาล...”

 

“พี่ไม่ได้ดีพอ ขนาดที่ปูนจะมาเสียน้ำตาให้หรอกนะ”

 

ปูนเป็นเด็กดี...แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ได้อยู่ด้วยกันแต่เขาก็รับรู้ถึงความรู้สึกของเด็กคนนี้ได้ รับความหวังดีของอีกฝ่ายมาแต่ไม่มีอะไรตอบแทนให้ ดื้อดึงไปก็รังแต่จะสร้างบาดแผลให้ร่างเล็กนี่ซะเปล่าๆ เพราะรัตติกาลรู้ตัวดี ว่าหัวใจของเขามันไม่สามารถเปิดรับใครได้อีกแล้วตั้งแต่หลงรักคนคนนั้น

 

“ผมไม่ใช่คนดีอย่างที่พี่คิดหรอก ฮึก...ทั้งๆที่พี่มีครอบครัวอยู่แล้ว ผมก็ยังหยุดความรู้สึกของตัวเองไม่ได้เลย”

 

“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก...”

 

“...”

 

“ครอบครัวที่ว่า...มันไม่ได้สวยงามอย่างที่ปูนคิด”

 

ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่ตนหลงรักอย่างไม่เข้าใจ ฝ่ามือเรียวเช็ดคราบน้ำตาที่เปื้อนใบหน้าขาวอย่างอ่อนโยน ห้ามตัวเองไม่ให้ทำดีกับเด็กหนุ่มไม่ได้  รู้ดีว่าการกระทำตัวเองเองรังแต่จะสร้างความหวังให้กับคนตรงหน้าแต่เขาก็ยังจะทำมันด้วยความเห็นแก่ตัวที่ลึกๆ

 

เพราะอยากได้ความอ่อนโยนจากคนอื่น อยากเป็นที่รักของใครสักคนทั้งที่ตัวเองไม่สามารถมอบมันให้ใคร กอบโกยความรู้สึกและความอ่อนโยนจากเขาไว้ รับมาแต่ไม่เคยให้กลับไป ช่วงชิงมันไว้แต่เพียงฝ่ายเดียว

 

“พี่คงบอกปูนทุกอย่างไม่ได้ แต่อยากให้ปูนรู้ไว้...ว่าสิ่งที่คนพวกนั้นเหลือทิ้งไว้ให้พี่ มันเป็นแค่ก้อนความแค้นที่มีเลือดเนื้อเท่านั้น”

 

“พี่กาล...”

 

“พี่น่ะ โสมมกว่าที่ปูนคิด... งมงาย ยึดติดกับอดีต มองแต่ตัวเองจนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ขนาดคนที่เคยคิดว่าจะไม่ทิ้งพี่ไปก็ยังเลือกมัน...”

 

“...”

 

“แค่เด็กคนเดียว...พี่ยังสู้มันไม่ได้เลย หึ น่าสมเพชใช่ไหมล่ะ ”

 

ปูนไม่เข้าใจในสิ่งที่รัตติกาลพูดแต่สามารถรับรู้ได้ถึงความทรมานที่คนคนนี้ต้องแบกรับไว้ผ่านแววตาที่ดุดันและแห้งแล้งดวงนั้น ภายใต้ท่าทางสงบนิ่งคนคนนี้เหมือนมีหลุมดำหลุมใหญ่ที่คอยเก็บทุกอย่างที่เผชิญไว้ทั้งที่ตนเองแทบจะแบกรับไม่ไหว เจ็บปวด...ทรมาน...นี่คือสิ่งที่คนที่เขาหลงรักกำลังเผชิญมันแต่เพียงลำพัง

 

“พี่กาลเหนื่อยไหม”

 

“...!”

 

“ที่พี่ต้องแบกรับมันไว้คนเดียวน่ะ พี่ไม่เหนื่อยหรอ”

 

“ปูน...”

 

“ไม่ต้องรักผมก็ได้...ขอแค่พี่ไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้คนเดียว ให้ผมได้ช่วย ได้อยู่ข้างพี่ต่อไปไม่ได้หรอครับ”

 

“...”

 

“จนกว่าพี่จะได้สิ่งที่ต้องการ...เมื่อถึงวันนั้นผมจะไปเอง”

 

“อย่าทำให้พี่เป็นคนเห็นแก่ตัวมากไปกว่านี้เลย”

 

“ผมต่างหากล่ะที่เห็นแก่ตัว...โอกาสที่จะได้อยู่กับพี่น่ะ ต่อให้ต้องใช้วิธีอะไรผมก็จะคว้าไว้”

 

“...”

 

“บอกแล้ว...ผมไม่ใช่เด็กดีอย่างที่พี่คิด”

 

ริมฝีปากเล็กกดจูบบริเวณสันกรามของคนที่กำลังมองเขาด้วยความสับสน ความอบอุ่นที่แฝงไปด้วยความต้องการถูกประทับลงบนกลีบเนื้อสีชาดแผ่วเบาก่อนจะสอดลิ้นเข้าไป หวังให้อีกฝ่ายส่งสิ่งเดียวกันกลับมาซึ่งรัตติกาลก็ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มผิดหวัง สะโพกเล็กเคลื่อนจากเบาะหนังฝั่งของตัวเองมาประทับบนตักแกร่งของชายหนุ่มที่กำลังลูบแผ่นหลังของเขาแผ่วเบาผ่านสาบเสื้อสีขาวตัวบางที่เริ่มเปียกชื้นจากอุณหภูมิที่พุ่งสูงเพราะแรงอารมณ์ที่ถูกจุดขึ้นด้วยจุมพิตหวานปนขมซึ่งยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าปูนจะสังเกตเห็นร่างสูงที่มากับรัตติกาลกำลังยืนมองพวกเขาอยู่ผ่านฟิล์มดำมืดของกระจกรถ เขาก็ยังไม่หยุดที่จะป้อนสัมผัสหวาบหวามให้กับคนที่เขาปรารถนา

 

 

ผมจะไป...ในวันที่พี่ได้สิ่งที่ต้องการ

 

จนกว่าจะถึงวันนั้น...

 

 



 

“มาคนเดียวรึเปล่าครับ”

 

“...”

 

“ถ้ามาคนเดียว ขออนุญาติเสิร์ฟแก้วนี้เป็นแก้วสุดท้ายนะครับ”

 

“หึ มีหน้าที่รินก็รินมาเถอะ ฉันมีเงินจ่าย”

 

“ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นสักหน่อย...”

 

“...”

 

“เมาแล้วขับไม่ดีนะครับ”

 

“สังเวชฉันรึไง”

 

“เป็นห่วงต่างหากล่ะ”

 

“...”

 

“ไม่ว่าจะโดนใครทำร้ายมา ก็อย่าทำร้ายตัวเองมากไปกว่านี้เลยนะครับ”

 

 

-----------------------------------------------------------50%--------------------------------------------------------------------

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-07-2015 03:18:15 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
คุยกับเช่!

โบราณว่า...ไม่ชอบอะไรได้อย่างนั้น ทอล์คที่แล้วบอกว่าไม่ชอบอัพเป็น% ตอนนี้เลยได้จัดมาแค่50%ก่อนเลย หึหึ

คลานเข่างามๆ วางพานพุ่มดอกไม้แล้วประเคนให้ เช่....แต่งไม่ทัน T^T ตอนแรกว่าจะชิวๆแต่งทั้งวัน

แต่กลายเป็นโดนพ่อลากไปโรงพยาบาล ตรวจสุขภาพแล้วไปต่อใบขับขี่ที่ขนส่งมาวันนี้เลย จากตอนแรกจะทำสิ้นเดือน

คิวเลื่อนหมด บวกกับตอนนี้เป็นอะไรที่ยาวพอสมควรเลย (คนอ่านบอกนี่ยาวแล้วหรอ 5555) ขอโทษนะคนับ

ครึ่งหลังจะรีบเอามาเส้นให้โดยไวเลย T^T ขอสัญญาด้วยจุ๊บจากน้องพี (คิดถึงน้องเนอะ คิคิ)

  :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:

น้องปูนของเช่กลับมาแล้ว!!!! ติดใจน้องมาจากคิดว่าโปรเจคต่อไปจะเอาเรื่องน้องมาแต่งเนี่ยแหละ

คิดไว้สองเรื่องคือน้องปูน กับรพีเวอร์ชั่นโตแล้ว (จะมีโอกาสเห็นพ่อกาลตอนแก่ไหมหนอ อยากแต่งมาก!)

เรื่องการเจอกันของกาลกับปูน เลยจะมีพูดถึงไม่เยอะมากในไนท์แมร์ แต่จะปูเต็มที่ในเรื่องของปูนเลยคนับ

แต่...เอาเรื่องนี้ให้รอดก่อนเนอะ แต่งยากขึ้นทุกวัน หมดแรง ปวดตับ อยากให้พ้นพาร์ทเครียดๆไปเร็วๆ

แต่งไปออกแนวทรมานตัวเองและคนอ่านไป แต่มีข่าวดีคนับ แจ้งไว้ในเพจแล้วว่า อีกไม่นานจะแต่งตอนพิเศษมาให้ยล

รับรองว่าไม่เครียด เอาไว้เบรคดราม่าของเรื่องหลักบ้าง ติดตามรอกันได้เลย แต่อาจจะต้องใช้เวลา

เพราะบอกแล้วว่า เช่แม่ง....หวานไม่เก่งเลย (ชีวิตจริงก็อย่างนั้น แฟนบ่นประจำ) รอกันหน่อยนะ^^

สุดท้ายเช่นเคย ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตที่เป็นกำลังใจให้ อ่านทีไรมีกำลังใจแต่งต่อจริงๆนะ ขอบคุณคนับ!
:katai2-1:

ออฟไลน์ blur

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
สั้นๆแต่ได้ใจความ กลัวปูนร้ายจัง หาคู่ให้นางหน่อย

ออฟไลน์ ขนมโก๋

  • เป็ดหัวเน่า
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
14th Night

…Selfish... (100%)



“ส่งผมตรงนี้แหละพี่กาล ไม่ต้องเข้าไปข้างในหรอก”


“แน่ใจนะ ถือของไหวไหม”


ร่างบางพยักหน้าให้น้อยๆก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ทั้งรัตติกาลและนิลที่นั่งอยู่เบาะหน้า ปูนเปิดประตูหลังแล้วลงไปจากรถพร้อมกับโบกมือลาร่างโปร่งอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในหอพักของตนเองที่รัตติกาลไม่คิดว่าเขาจะได้กลับมาที่นี่อีก หลังจากเด็กหนุ่มออกไปแล้ว นิลที่นั่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยปากถามเพื่อนของตนที่ดูจะผ่อนคลายขึ้นนิดหน่อยเท่าที่เขาสังเกตเห็น


“เด็กมึงหรอ”


“อืม...”


แม้จะไม่สบอารมณ์ที่ต้องยืนมองฉากรักของเพื่อนอยู่นอกรถอยู่เกือบสามสิบนาที แต่นิลกลับไม่มีอารมณ์จะถากถางใคร ถึงจะแอบคิดไปเองก่อนแล้วว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันยังไงแต่เขาก็ยังอยากได้ยินเรื่องทั้งหมดจากปากรัตติกาลเองอยู่ดี


 “ถึงกับแดกกันบนรถ หลงมากหรอวะ”


“หึ อิจฉารึไง”


“อิจฉาเหี้ยอะไรล่ะ กูกลัวยามมาเห็นฉิบหาย กูไม่อยากขึ้นโรงพักกับมึงข้อหาทำอนาจารในที่สาธารณะนะเว้ย อับอายตายห่า”


“ไม่ดีรึไง ดูเหมือนจะมีตำรวจบางนายที่เขาอยากเจอมึงอยู่”


นิลขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจทันที แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อก็รู้ว่าเจ้าเพื่อนตัวดีหมายถึงใคร ใบหน้ากวนประสาทของนายตำรวจหนุ่มที่เพียรโทรมาหาเขาทุกวันลอยขึ้นมาจนรู้สึกหงุดหงิด แต่ที่น่าโมโหยิ่งกกว่าคงเป็นคนนั่งข้างๆที่เอาแต่ส่งยิ้มล้อๆมาให้เขาทั้งที่ตากำลังมองถนนอยู่


“กวนตีนนะไอ้กาล ถึงจะแดกผู้ชายได้แต่กูก็เลือก”


“แล้วไม่ชอบหรอวะ”


“ชอบเหี้ยอะไรล่ะ หยุดๆ ถ้ามึงไม่เลิกชงกูกับไอ้ตำรวจนั่นกูจะจับมึงปล้ำทำเมียแทน แล้วกูก็จะแย่งเด็กมึงด้วย”


“สัส ของเพื่อน”


“หึ ว่าแต่ไปหามาจากไหนวะ คนนี้กูไม่เคยเห็น”


“ช่วงสามวันที่กูหายไป กูไปอยู่กับเขามา”


“...”


“ปูนเป็นคนดูแลกูตอนที่ลำบาก...ก็แค่นั้นแหละ”


น้ำเสียงของรัตติกาลนิ่งขึ้นเมื่อพูดถึงช่วงเวลาที่เขาอาศัยอยู่กับเด็กหนุ่มที่ยืนยันกับตนว่ายินดีจะอยู่เคียงข้างกันแม้จะไม่ได้อะไรกลับไปนอกจากความพอใจที่ได้อยู่กับเขา รัตติกาลลังเลในตอนแรกแต่ก็เพราะความอ้างว้างเขาเลยเลือกที่จะตอบรับคำเชิญนั้นโดยทำไม่รู้ไม่เห็นว่าในอนาคตข้างหน้าคนที่จะเจ็บปวดก็คือเด็กคนนั้น


ภายใต้เปลือกที่สวยงามพวกเขาเลือกที่จะเปิดเผยความดำมืดในจิตใจให้อีกฝ่ายเห็น ไม่ว่าจะเป็นความแค้น หรือความหลงที่ไม่อาจหักห้ามได้ ทั้งเขาและปูทำเพื่อตัวเองด้วยเหตุผลที่เราทั้งคู่ยอมรับมัน ราวกับต่างฝ่ายต่างโอบกอดกันไว้พร้อมกับปิดตาของอีกคนด้วยมือของตัวเองแล้วพากันเดินไปบนทางคดเคี้ยวทั้งที่ตามองไม่เห็น แต่แล้วยังไงล่ะ...อย่างน้อยก็ไม่ต้องเผชิญความกลัวนั้นแค่คนเดียว


ปูนต้องการเขา เพราะรัก


เขาต้องการปูน เพราะไม่มีใคร


กิเลสกำลังกัดกินพวกเขาทั้งสองคนช้าๆ เพราะหักห้ามใจไม่ได้แม้รู้ว่าผิด


ทั้งอ่อนแอและน่าสมเพช แต่เราก็เลือกมันแล้ว...



“จริงจังหรอวะ”


นิลที่เห็นรัตติกาลเงียบไปถามขึ้นอีก แม้จะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเด็กที่ชื่อปูนแต่พอได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่คอยดูแลรัตติกาลในเวลาที่ย่ำแย่ก็ทำให้เขาไม่สามารถว่าอะไรได้ แม้จะรู้สึกแปลกๆแต่การพบกันของทั้งสองคนก็เป็นเพราะตัวเขาเองที่ไม่ยืนอยู่ข้างเพื่อนในวันที่เจ้าตัวต้องการ จนช่องว่างนั้นมันมากพอที่จะมีคนอื่นเดินเข้ามาแทน...


“ไม่รู้สิ ดูๆกันไป แต่กูคงไม่ได้รักใครง่ายๆอย่างเมื่อก่อน มึงก็รู้”


“อืม เอาที่มึงสบายใจ ขอแค่อย่าเจ็บกลับมาก็พอ”


“เป็นห่วง หรือ หึง?”


“โถ่ไอ้สัส พูดอะไรเกรงใจท้องไส้กูบ้าง!”


รัตติกาลระเบิดหัวเราะเสียดังลั่นรถ โดยมีเสียงหัวเราะของนิลดังคลอกันมาพอๆกัน เรื่องราวเก่าๆถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงทำให้ระยะทางที่ดูยาวนานกลับสั้นลงอย่างคาดไม่ถึง ร่างโปร่งหักพวงมาลัยพายานพาหนะคันใหญ่เข้ามาจอดยังหน้าบ้านที่ยังพอเห็นคนงานบางส่วนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอยู่






นิลจัดการส่งของสดที่ซื้อมาให้นิ่มที่ยืนรออยู่นำไปไว้ในครัวหลังจากโทรมาบอกที่บ้านแต่บ่ายแล้วว่าเย็นนี้นายใหญ่ของบ้านจะเป็นคนโชว์ฝีมือเอง รัตติกาลเอื้อมหยิบเอกสารของตัวเองโดยไม่ให้ใครต้องมาถือให้ เสื้อคลุมมีน้ำเงินเข้มถูกพับพาดไว้ที่แขนอย่างเคยชิน ขณะที่เดินเข้าไปในตัวบ้านก็ยังคงหันมาคุยกับเพื่อนรักถึงหนังสือแปลเรื่องใหม่ที่อีกไม่นานจะวางแผงให้ลูกค้าได้จับจอง


“พ่อกาล!!”


เสียงรพีดังขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฏตัวออกมาจากบริเวณบ่อน้ำข้างบ้าน ร่างป้อมที่ดูสดใสกว่าเมื่อเช้าเล็กน้อยวิ่งเข้ามากอดช่วงขาของบิดาเต็มรัก ใบหน้ากลมใสเงยขึ้นมองพ่อเพื่อสำรวจรอยแผลตามร่างกายอย่างเป็นกังวล


“แผลเป็นยังไงบ้างฮะ พ่อกาลไปหาหมอมารึยัง”


“ไม่เป็นไรแล้ว แล้วนี่สวัสดีอานิลรึยัง”


“ขะ ขอโทษฮะ...อานิล สวัสดีฮะ”


เด็กชายรีบหันมายกมือไหว้ร่างสูงทันทีเมื่อเห็นสายตาตำหนิของรัตติกาล นิลที่ไม่อยากให้บรรยากาศแย่ๆเกิดขึ้นก็ยิ้มให้กับเด็กชายพร้อมกับลูบกลุ่มผมนั้นเบาๆเป็นการตอบรับ


“สวัสดีครับ ได้ข่าวว่าเมื่อเช้างอแงไม่ยอมไปโรงเรียนหรอ”


“อะ เอ่อ...ขอโทษฮะ พีแค่เป็นห่วงพ่อ”


“ฮ่าๆ ไม่ต้องห่วงมันหรอก พ่อเราหนังเหนียว สิบล้อชนยังไม่ตายเลย”


“เอ๋ ไม่ตายจริงหรอฮะ!”


ร่างป้อมได้ยินดังนั้นก็รีบกระตุกชายเสื้อของบิดาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะความที่ชื่นชมพ่อของตนเป็นทุนเดิม คำพูดเชิงหยอกของนิลจึงเป็นเหมือนเรื่องน่าตื่นเต้นขนาดที่ว่าเจ้าตัวเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ขาสั้นกระโดดเหย๋งๆไปมาเพื่อเรียกร้องคำตอบจากร่างโปร่ง โดยรพีไม่ได้สังเกตเลยว่าใบหน้าที่เคยขึ้นสีกลับขาวซีดลงกะทันหัน ผิวกายเย็นชืดเหมือนแช่อยู่ในน้ำ นัยน์ตาหวานคมสั่นระริกจนนิลที่หัวเราะอยู่ข้างๆเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติดังกล่าว


“เห้ยไอ้กาล เป็นอะไรวะ”


“...”


“กาล เห้ย กาล!”






 

รัตติกาลพยายามประคองพวงมาลัยและหัวใจที่ปวดร้าวให้ยังคงดำเนินต่อไปได้ ทัศนวิสัยพร่าเลือนเพราะหยดน้ำที่ไหลคลอเต็มหน่วยตา ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นหรือเสียงอื่นใดในห้องโดยสารที่รัตติกาลนั่งอยู่เพียงลำพัง ต่างกับบรรยากาศบนรถอีกคันที่เขากำลังฝืนทนมองดูแผ่นหลังของคนที่ตนรักสองคนนั่งเคียงคู่กันโดยทั้งสองคนไม่ได้รับรู้ถึงการมาของคนโง่อย่างเขา แม้ว่าเจ็บจนอยากเบือนหน้าหนี แต่เขาก็ยังคงมองภาพนี้โดยไม่กระพริบตา


ทั้งที่น้ำตาควรจะบดบังทุกสิ่ง


แต่ภาพรอยยิ้มของทั้งคู่ที่มอบให้กันกลับชัดเจนจนน่าขัน


ทั้งที่รวมหัวกันปิดหูปิดตา...ทรยศเขามาตั้งนาน


แล้วทำไมถึงต้องทำให้เขารับรู้มัน ในวันที่ไม่อาจถอนตัวได้อีก



รัตติกาลกำพวงมาลัยแน่นจนฝ่ามือเริ่มเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ผ่อนแรงลงแม้แต่น้อย ส่วนหนึ่งในห้วงความคิด เขาอยากเหยียบคันเร่งให้สุดปลายเท้า พารถยนต์ทั้งสองพุ่งตกปากเหวจนตายตกตามกันไป ให้คมหินบาดลึกไปในหัวใจทั้งสองดวง ที่ตนสงสัยว่ายังคงมีอยู่หรือว่าถูกเจ้าของมันทิ้งไป ตั้งแต่วันที่ทั้งคู่ตัดสินใจทรยศเขา คนโง่ที่ปักใจเชื่อว่าคนคนนั้นจะซื่อสัตย์ ทั้งที่เรื่องราวของเราทั้งคู่ก็เป็นสิ่งยืนยันได้ดีอยู่แล้ว...คนรักอย่างนทีที่รัตติกาลเคยแย่งมาได้ จะหักหลังคนรักของตัวเองอีกสักครั้งก็ไม่แปลกอะไร


แม้แต่คนที่รักกันมานานอย่างพะแพง นทียังเคยปล่อยมือเธอมาหาเขาได้นับประสาอะไรกับอดีตแมวขโมยอย่างเขา ที่วันนี้จะเป็นฝ่ายโดนหักหลังเสียเองด้วยฝีมือเจ้าของเดิม ปิดหูปิดตาเชื่อน้ำคำของคนรักที่สัญญาว่าจะทิ้งอดีตเพื่อยืนอยู่เคียงข้าง แต่สุดท้ายรัตติกาลก็เป็นแค่เพียงปลาทองในโหล่แก้ว ใช้ชีวิตอยู่ในโลกปลอมๆที่คนอื่นสร้างเอาไว้ให้อาศัยจวบจนวันที่โลกทั้งใบของมันถูกทำลายลงจนต้องตื่นจากฝัน


 “พี่ทำแบบนี้กับผมได้ยังไง...พี่ที พี่แพง”


“คนอย่างพวกพี่น่ะ...ฮึก...คนอย่างพวกมึง...”


“ไปตายกันซะให้หมด”





โครม!!


เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง เพียงเสี้ยววินาทีที่คำพูดนั้นสิ้นสุดลง รถสิบล้อที่บรรทุกเอาซากไม้เก่าเต็มคันรถวิ่งผ่าไฟแดงมาจากแยกด้านขวาพุ่งชนรถยนต์คันที่รัตติกาลกำลังขับตามอยู่เข้าเต็มแรง


เสียงดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า โครงเหล็กบุบบี้ตามรอยอัดกระแทกเหวี่ยงตัวไปปะทะเข้ากับเสาไฟต้นใหญ่ข้างทาง ตัวรถอีกด้านที่ไม่ถูกชนโดยตรงอัดเข้ากับเสาเหล็กจนโครงสร้างรถบิดเบี้ยวไม่แพ้กัน กระจกแก้วแตกกระจายจนชิ้นส่วนกระเด็นสาดมาโดนรถของรัตติกาลที่เบรกแรงจนตัวรถหมุนคว้างอยู่กลางถนนอยู่ครู่หนึ่ง


“โอ้ย!”


ใบหน้าด้านขวาชาไปทั้งแทบจากการกระแทกเพราะแรงเหวี่ยงของรถ ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะบริเวณเบ้าตาขวาที่เจ็บจนเริ่มไร้ความรู้สึก นอกจากอาการปวดเมื่อยไปทั้งตัว เขาสัมผัสไม่ได้ถึงความชื้นแฉะของเลือดอย่างที่กังวล ร่างโปร่งพยายามขยับร่างกายส่วนต่างๆเพื่อเช็คตัวเอง นอกจากอาการมึนงงและศีรษะที่กระแทกกับกระจกดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้บาปเจ็บตรงไหนอีก


รัตติกาลปลดล็อกประตูด้านของตัวเองก่อนจะพยายามพยุงร่างที่ปวดระบมราวกับตกจากที่สูงลงมาจากรถ กลิ่นยางที่บดกับพื้นถนนส่งกลิ่นเหม็นไหม้ไปทั่วบริเวณ เสียงชาวบ้านตะโกนกันด้วยภาษาถิ่นที่ตัวเขาไม่คุ้นเคยแต่กลับสัมผัสได้ถึงความตกใจและโกลาหน ชายไทยตัวสูงใหญ่หลายคนวิ่งผ่านเขาไปยังกลุ่มควันตรงหน้า หลายคนตะโกนด่าเขาที่ยืนนิ่งขวางทาง อยากจะขยับหลบทางให้แต่ร่างของรัตติกาลเหมือนโดนแท่งหมุดหนาปักให้ตรึงอยู่กับที่


ดวงตาที่หรี่เล็กลงเพราะความเจ็บปวดฝืนลืมขึ้นเพื่อดูภาพตรงหน้าทั้งที่บางส่วนในใจสั่งให้ปิดมันลงแล้วหันหลังหนีไปซะ มือที่เคยกำกันแน่นสั่นระริกราวกับไม่ใช่มือของตัวเอง เหงื่อกาฬไหลจากไรผมปะปนกับน้ำตาที่กำลังไหลรินอยู่จนแยกไม่ออก แรงบีบรัดในช่องอกรุนแรงจนรัตติกาลต้องใช้มือจิกมันไว้จนตัวสั่นระริก แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเขาก็ไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะยังครองสติไว้ได้


ควันไฟที่พวยพุ่งค่อยๆจางลงเพราะสายลมที่พัดผ่านมา ซากโครงเหล็กที่บิดเบี้ยวจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ปรากฎขึ้นเต็มสายตา เศษกระจกแตกกระจายเต็มพื้นถนนทำให้ทุกย่างก้าวที่เดินเข้าไปใกล้เกิดเสียงของการแตกหักดังอยู่ใต้ฝ่าเท้า รัตติกาลได้ยินชาวบ้านพยายามร้องเรียกคนข้างในให้ได้สติ ใบหน้าขาวใสของหญิงสาวที่เคยมีรอยยิ้มประดับเสมอโชกไปด้วยเลือดเช่นเดียวกับชายหนุ่มข้างกายที่แม้จะยืนอยู่ไกลๆเขาก็สังเกตเห็นได้ถึงความผิดปกติของท่อนแขนซึ่งบิดเบี้ยวผิดรูปไปจากเคย


ความเจ็บปวดทางร่างกายไม่อาจสู้หัวใจที่รวดร้าว ใบหน้าที่คุ้นเคยของคนทั้งสองซึ่งเต็มไปด้วยเลือดหันหน้าเข้าหากันแม้แต่ในวินาทีสุดท้าย ฝ่ามือใหญ่ที่เคยสัมผัสตัวเขาด้วยความรักยังคงไขว่คว้าเอามือของหญิงสาวมากอบกุมไว้ก่อนสิ้นสติ

เสียงความวุ่นวายรอบตัวค่อยๆเงียบหายไป ท้องถนนกว้างที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มุงดูและหน่วยกู้ภัยกลับว่างเปล่า ในขณะที่รัตติกาลได้แต่ยืนนิ่งน้ำตาไหลรินทั่วใบหน้า ดวงตาไร้แววของร่างโปร่งนั้น สะท้อนแต่ร่างโชกเลือดของคนทรยศทั้งสองและคำพูดสุดท้ายของตัวเองที่ดังก้องอยู่ในหัวเหมือนเทปที่เปิดวนซ้ำๆพร้อมกับความบางอย่างที่เขาไม่อยากยอมรับมัน


“ผม...ขอโทษ”






               

“ไอ้กาล เห้ยไอ้กาล!!”


ภวังค์แห่งอดีตเลือนหายไปพร้อมกับเสียงเสียงที่ฟังดูกระวนกระวายของเพื่อนรักที่เขย่าตัวเขาอย่างแรง นิลจ้องมองเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วงเมื่อเพิ่งระลึกได้ว่าตัวเองนั้นพูดสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกมา ทำไมถึงโง่แบบนี้วะนิล!


“ไอ้กาล กูขอโทษ คือกู...”


“ไม่เป็นไร...กูไม่เป็นไร”


รพียืนมองผู้ใหญ่ทั้งสองที่ทำตัวแปลกไปอย่างมีทราบสาเหตุ พ่อกาลที่ยังยืนยิ้มให้เขาจู่ๆก็กลับยืนนิ่งหน้าซีดจนเด็กชายใจเสีย อานิลเรียกชื่อพ่อของเขาซ้ำๆด้วยสีหน้าเหมือนไม่สู้ดี เด็กชายที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งมึนงงและเป็นห่วง ความรู้สึกที่พยายามเก็บมันไว้ตลอดทั้งวันเริ่มหวนกลับคืนมาจนนัยน์ตากลมมีน้ำตาไหลคลออย่างห้ามตัวเองไม่ได้


“พ่อกาล ฮึก พ่อกาลเจ็บตรงไหนฮะ”


“พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว ร้องไห้ทำไม...”


ร่างโปร่งเอ่ยกับเด็กชายที่ผวาเข้ามากอดเขาแน่น อยากจะฝืนยิ้มให้แต่อาการปวดหัวกำลังเข้าโจมตีรัตติกาลพร้อมกับภาพความทรงจำในอดีตที่ไหลเข้ามาในหัวไม่หยุด สีหน้าที่แย่ลงกว่าเดิมทำให้รพีไม่เชื่อในคำพูดของพ่อตนเลยสักนิด เด็กชายผละมือที่กอดขาของบิดาออกแล้ววิ่งเข้าไปในตัวบ้านเพื่อตามคนให้มาช่วย รัตติกาลอยากจะตะโกนบอกให้อีกฝ่ายหยุดแต่แค่เอ่ยปากพูดเบาๆอาการบีบรัดบริเวณกระบอกตาก็ทำเล่นงานจนร่างโปร่งต้องบีบขมับตัวเองแรงๆ


“มึงปวดหัวหรอกาล เห้ยอย่าบีบแรงแบบนั้นดิวะ”


“ปวดวะนิล แม่ง...”


“ขอโทษวะ เป็นเพราะกูคนเดียวเลย”


ยังไม่ทันที่รัตติกาลจะได้เอ่ยตอบไป เด็กชายที่วิ่งออกไปเมื่อครู่ก็วิ่งกลับมาพร้อมกับจูงมือคนที่ตัวสูงใหญ่กว่ามากให้มาด้วยกัน


รัตติกาลที่ปวดหัวมากอยู่แล้วตอนนี้รู้สึกราวกับก้อนเนื้อในกะโหลกกำลังจะระเบิดออกเมื่อเห็นหน้าคนที่ตัวเองไม่อยากพบเจอและเสวนาด้วย อารัณย์ในชุดเสื้อคอวีสีตุ่นกางเกงยีนส์สีสนิมก้าวเร็วๆเข้ามาที่เขาพร้อมกับสีหน้าขมวนเคร่ง


“อารัณย์...ทำไมนายมาอยู่ที่นี่”


“กูชวนมาเองแหละ”


นิลตอบแทนคนที่ถูกถาม รัตติกาลที่ได้ยินดังนั้นก็หันกลับไปมองหน้าเพื่อนเพราะต้องการคำอธิบาย แต่คนมาใหม่ก็ไม่อยากให้คนป่วย(?)ต้องยืนคุยอยู่ตรงนี้นานๆ ท่อนแขนที่มีกล้ามเนื้อประดับอย่างสวยงามช้อนประคองตัวคนที่ตัวเล็กกว่าตนไม่มากจากทางด้านหลังโดยไม่สนใจสีหน้าเหวอๆของอีกฝ่าย


“จะ จะทำอะไร”


“หุบปากแล้วเดินตามมาซะ”


รัตติกาลที่ตกใจในคราวแรกพอเข้าใจเจตนาของอารัณย์ก็ออกอาการบึ้งตึงขนาดที่นิลรู้สึกได้ เหตุผลที่คนสนิทอย่างเขาไม่ประคองเพื่อนเข้าไปในบ้านอย่างที่อารัณย์กำลังทำ เพราะรู้ดีว่ารัตติกาลเกลียดการถูกประคบประหงมแบบนี้ขนาดหนัก สำหรับคนอื่นการประคองกันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแต่เพื่อนตัวดีของเขากลับถือว่าเป็นการดูถูกเอามากๆ ก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ สำหรับรัตติกาลที่มักโดนคนนอกมองว่าสูงส่งและน่าดูแลเพราะฐานะและรูปร่างหน้าตา ที่ถึงจะไม่ค่อนไปทางผู้หญิงแต่กลับมีบางมุมที่ทำให้ใครๆต่างก็อยากทะนุถนอมเอาใจมันกันทั้งนั้น และแน่นอนว่ารัตติกาลไม่เคยชอบมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอารัณย์ที่เขม่นกันมาตลอดสำหรับรัตติกาลแล้วคงไม่ต่างอะไรกับการโดนอีกฝ่ายดูถูกทั้งที่คนทำไม่ได้มีเจตนา


“ปล่อย...”


“ไม่สบายก็อยู่เฉยๆไป”


“บอกว่าให้ปล่อย”


อารัณย์จ้องอีกคนกลับเมื่อน้ำเสียงที่ปกติฟังดูเย็นชานั้นแย่และแข็งขึ้นจนรพีที่ยืนตัวลีบอยู่ข้างๆทำหน้าเลิ่กลั่ก ร่างสูงถอนหายใจหนักๆอย่างนึกรำคาญ อยากจะทำเป็นไม่สนใจตามที่เจ้าตัวเขาบอก แต่ก็เพราะดวงหน้าที่เคร่งเครียดอยู่ตลอดขาดสีเลือดลงจนเหมือนคนตรงหน้าเขาพร้อมจะทรุดลงได้ทุกวินาที


“อย่ามาทำหยิ่งไม่เข้าเรื่อง ทั้งที่ตัวเองจะไม่ไหวอยู่แล้ว”


“จะไหวไม่ไหวก็เรื่องของผม”


“ปากดี อวดเก่ง...โตเป็นควายแล้วยังดื้อไม่อายเด็ก”


“วะ ว่ายังไงนะ!”


“ไอ้กาลใจเย็น!”


นิลรีบเข้ามาขวางเพื่อนรักไม่ให้หันไปกระทืบคนใจกล้าที่ด่ารัตติกาลตรงๆได้อย่างไม่กลัวเกรง อารัณย์มีสีหน้าเบื่อหน่ายผิดกับอีกคนที่ถึงแม้จะไร้สีเลือดก็ยังไม่สิ้นลาย ส่งสายตาข่มขู่ราวกับจะพุ่งเข้ามาฉีกกระชากร่างของเขาให้หายแค้น ร่างสูงถอนหายใจอีกครั้ง อยากจะทิ้งคนอวดดีให้ช่วยเหลือตัวเองอย่างที่ต้องการแต่สายตาของเด็กชายที่มองมาอย่างขอร้องก็ทำให้อารัณย์ตัดสินทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบใจนักเช่นเดียวกับผู้ถูกกระทำที่โวยลั่นจนคนงานแอบชะโงกหน้ามาดูกันเป็นแทบ


ฝ่ามือหนาที่เคยประคองอยู่ตรงช่วงแขนคว้าหมับเข้าที่เนคไทสีเข้มรั้งเอาลำคอขาวของรัตติกาลให้เข้ามาใกล้แล้วเดินนำไปยังห้องนั่งเล่นของบ้านโดนไม่สนใจสักนิดว่าเจ้าของมันมีสีหน้ายังไง


รัตติกาลอยากขัดขืนแต่ก็ไม่อาจฝืนตัวไว้ได้เพราะชิ้นผ้าของตนกลายเป็นเหมือนบ่วงรัดคอ ที่ถูกเจ้าคนไร้มารยาทใช้มันบังคับเขาให้เดินตามที่ต้องการ ชายหนุ่มที่โมโหจัดจนหน้ากลับมามีสีได้แต่โวยวายเท่าที่แรงจะอำนวย ความโกรธและไม่พอใจประดังประเดเข้ามาแทนที่ความสับสนจากอดีตที่รัตติกาลหลงลืมมันไปชั่วขณะ


จันทร์ที่เดินถือกล่องยาออกมาจากห้องครัว ยืนมองนายของตนพ่นคำด่าโวยวายใส่แขกของลูกชายเสียดังลั่น โดยที่คู่กรณีไม่โต้ตอบอะไรทำเพียงก้าวขาให้ยาวและเร็วขึ้นทุกครั้งที่คำพูดของรัตติกาลกวนประสาทเสียจนคิ้วกระตุก หญิงชรามองกล่องสีขาวในมือตนสลับกับชายหนุ่มทั้งสองคน ก่อนจะถือมันกลับไปทางเดิม แล้งเดินเข้าไปในครัวเพื่อจัดการเรื่องอาหารมื้อนี้ให้แทน


“คุณกาลเธอคงไม่เป็นอะไรมากล่ะมั้ง...”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-07-2015 03:15:44 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
อัพให้ครบแล้วนะคนับ ยาวสุดเลยมั้งตอนนี้ แล้วสุดท้ายก็มีโมเม้นต์รัณย์กาลแล้ววววว TwT คนลืมคู่หลักหมดแล้ว

ปาเข้าไปตอนที่สิบกว่าๆ เหมือนยังปูเรื่องไม่เสร็จเลยเนอะ 55555 รายละเอียดมันเยอะหรือเช่มันอู้ (น่าจะอย่างหลัง)

แล้วก็เช่นเดิมคนับ ศุกร์เสาร์ทำงานนะ ถ้าเสร็จแล้วจะอัพให้เลย น่าจะมาได้วันอาทิตย์ ช่วงนี้งานเข้าเยอะมาก ขอโทษด้วยนะ

ปอลอลิง~ ในเล้าไม่รู้จะอัพเพลงยังไง เอาเป็นว่าไปหาเพลง "ก่อนจะรักไปกว่านี้" ของดิว อรุณพงศ์มาฟังกันนะคนับ!

เพลงหลักประกอบไนท์แมร์เลย โดนมาก >////<  (เช่บ้านนอก ไม่เคยดูเล่ห์รตีเลยเพิ่งได้ฟังเมื่อวานเองคนับ แหะๆ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-07-2015 03:20:32 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สมัครยูสมาเพื่อเม้นเลยค่ะทรมานใจมาก :z3: :z3: :z3:

ไม่ชอบอะไรดาร์กๆแต่ตอนนี้ติดไปแล้ว ยังมีข้อผิดพลาดอยู่บ้างแต่เขียนได้โอเคเลย

เหมือนจะเดาพล็อตออกแต่ก็เดาไม่ออกลุ้นมาก สงสารน้องพี เป็นห่วงพ่อกาล :katai1:

จะช่วยดันนะ อยากให้คนอ่านเรื่องดีๆกันเยอะๆ เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ ขนมโก๋

  • เป็ดหัวเน่า
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0

ออฟไลน์ blur

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
กลัวนทีกับพะแพงยังไม่ตายจัง เป็นไปได้ป่าว 555555

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
คนมีปมสองคนมาเจอกัน มันอาจเติมกันได้เนาะ

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แวะมาดันตอนบ่าย วันนี้จะอัพไหม รอๆ :mew2:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
แวะมาดันตอนบ่าย วันนี้จะอัพไหม รอๆ :mew2:

เขียนได้ประมาน 40% เองคนับ กำลังจะออกไปทำงานอีกแล้ว ไม่อยากรับปากเลยว่าคืนนี้จะมา

เร็วสุดคงเป็นพรุ่งนี้ช่วงเช้าๆนะคนับ
  :hao5: :hao5: :katai4: :katai4:

ปอลอลิง! ดีใจจังสมัครยูสมาเม้นให้เช่ด้วย  :mew1:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

15th Night

…Dinner...




รัตติกาลเคยคิดว่า บนโลกนี้คนที่กล้ากวนประสาทเขาเวลาที่หงุดหงิดคงมีแค่คนเดียว แต่ดูเหมือนเขาคงต้องบันทึกชื่อ ‘อารัณย์’ เข้าไปเป็นหนึ่งในบุคคลที่ไม่มีความรักตัวกลัวตายอีกคน


“มองหน้าทำไมครับคุณ กินเข้าไปซิของดีๆทั้งนั้น”


อารัณย์พูดว่าก่อนจะหันไปตักเนื้อปลาแซลมอนที่ถูกย่างจนได้สีสวยคลุกเคล้ากับผักและน้ำยารสไม่จัดมากให้รพีซึ่งยกมือไหว้ขอบคุณชายหนุ่มอย่างมีมารยาท ร่างสูงยิ้มรับท่าทางนั้นก่อนจะหันมารับประทานอาหารในจานตัวเองต่อโดยไม่คิดจะเซ้าซี้เจ้าของบ้านให้ทานอาหารตรงหน้าอย่างที่บอกอีก รัตติกาลนั่งกำช้อนและส้อมในมือตัวเองแน่นอย่างไม่พอใจ ที่แขกของลูกชายเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการภายในบ้านของเขาราวกับเป็นเจ้านายคนหนึ่ง


‘นิ่ม ขอยาดมให้คุณรัตติกาลหน่อย’


‘จะทำสเต็กหรอครับป้า นี่ก็ค่ำแล้วผมว่าเปลี่ยนเป็นเมนูเบาๆดีกว่า ยำแซลมอนก็ดีนะ พีชอบไหมครับ?’


‘เห้ยนิล! เบค่อนนี่มึงซื้อมาหรอวะ ถ้าได้เบียร์แกล้มสักหน่อยนะ... พวกไม่ต้องทำงานกับเด็กน่าอิจฉาชะมัด’


‘พีล้างมือก่อนครับ ค่อยมากินข้าวกัน’


‘นี่คุณน่ะ จะนั่งหน้าบึ้งอีกนานไหม มานั่งสิคนอื่นเขารอกินข้าวอยู่!’



นิลชำเลืองมองหน้าเพื่อนรักนั่งจ้องแขกที่ทำตัวราวกับเจ้าของบ้านเขม็งอย่างไม่พอใจ ตั้งแต่อารัณย์ลากรัตติกาลเข้ามาในบ้าน ร่างสูงที่มาถึงก่อนก็แสดงน้ำใจแบบแปลกๆด้วยการจัดการคนงานของบ้านชนิดไม่ไว้หน้านายจ้างตัวจริง แล้วยังลามมาถึงรพีและเขาที่พลอยกลายมาเป็นเครื่องมือที่อารัณย์ใช้กวนประสาทรัตติกาลซึ่งทำหน้าไม่รับแขกจนสาวใช้ไม่กล้าเดินเข้ามาใกล้


ร่างสูงหันควับไปพูดคุยกับป้าจันทร์ว่าขอให้ตักข้าวเพิ่มทันทีที่รัตติกาลเบนหน้าหันมามองที่ตนอย่างคาดโทษ นิลขอโทษเพื่อนรักในใจรวมแล้วสามจบถ้วน ข้อหาให้รพีเชิญอารัณย์ที่เขาเพิ่งรู้ว่าทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่โรงเรียนเดียวกับลูกชายของเพื่อนให้มาทานอาหารด้วยกันเพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลรพีให้ โดยเฉพาะในวันที่เด็กชายเกิดอาการงอแงเพราะเป็นห่วงคนเป็นพ่อ


ทั้งที่เจตนาของเขาดีแท้ๆแต่ดันมีปัญหาตรงที่เจ้าเพื่อนตัวดีและแขกผู้มาเยือนดูท่าจะไม่กินเส้นกันมากกว่าที่เขาคิด เรื่องของรพีก็ผ่านมาสักพักแล้วใครจะไปรู้ว่ารัตติกาลจะยังผูกใจเจ็บอยู่ แถมตาอารัณย์นี่ก็กวนประสาทเพื่อนเขาแบบหน้านิ่งๆทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา ผลซวยเลยมาตกอยู่ที่นายนิลคนนี้ ที่หวังดีแสดงน้ำใจอย่างไม่เข้าท่า แต่ก็นะตอนนั้นรัตติกาลเองก็ยัง ‘ยุ่ง’ อยู่กับเด็กที่ชื่อปูนไม่มีเวลามาทักท้วงการตัดสินใจของเขา จะโทษกันฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนะเพื่อน...


“พ่อกาลไม่กินหรอฮะ”


รพีที่เห็นคนเป็นพ่อยังไม่กินอะไรเลยสักคำ เอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง รัตติกาลที่ยังหงุดหงิดเผลอตวัดสายตาไปจ้องรพีอย่างไม่สบอารมณ์จนเจ้าตัวเล็กผงะด้วยความตกใจ ใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับหมองลงเมื่อรู้ว่าคนที่ตนรักกำลังอารมณ์ไม่ดี แม้จะอยากพูดคุยด้วยอีกแต่ก็ไม่กล้าเซ้าซี้ไปมากกว่านี้


อารัณย์มองเด็กชายที่เมื่อครู่ยังทานอาหารด้วยความอร่อย นั่งเขี่ยข้าวในจานไปมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ชายหนุ่มหันไปมองหน้าคนอารมณ์ร้ายวางช้อนลงกระแทกกับจานก่อนจะหันมองออกไปนอกบ้าน ทำท่าราวกับว่าไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวนี้แม้แต่วินาทีเดียว


ร่างสูงคงจะเข้าไปกระชากคอเสื้อถามว่าจะทำตัวงี่เง่าไปถึงไหน ก็รู้หรอกว่าเขาก็ผิดที่แกล้งแหย่รัตติกาลมากเกินไป แต่เพราะกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่พอจะแยกออกว่ามีมากกว่าหนึ่งกลิ่นตีกันทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวไปทำอะไรมาก่อนกลับมาจากบ้าน ไม่ได้อยากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องบนเตียงของใคร แต่พอนึกถึงรพีขึ้นมาก็อดที่จะนึกตำหนิอีกฝ่ายไม่ได้ หนำซ้ำนี่เป็นอีกครั้งที่รัตติกาลกำลังทำสิ่งที่อารัณย์เกลียดที่สุด


 “กินซะ”


ร่างสูงตักยำและผัดผักใส่จานของรัตติกาลเป็นการขอโทษในแบบของเขาและบังคับให้อีกฝ่ายลงมือทานข้าวอย่างกลายๆ แต่เจ้าของจานกลับทำเพียงแค่ปรายตามองแล้วหันไปให้ความสนใจกับทีวีที่กำลังฉายข่าวภาคค่ำราวกับว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ลำพังถ้าแค่รัตติกาล อารัณย์ก็คงไม่นึกแคร์อะไรถ้าใครจะประชดเขาด้วยการไม่กินข้าวกินปลา แต่เด็กชายที่มองพ่อของตนด้วยความเป็นห่วง อยากจะพูดด้วยแต่ก็ไม่กล้า ทำให้อารัณย์เกิดความรู้สึกผิดเล็กๆที่ทำให้รพีต้องมารู้สึกแย่ทั้งที่เวลาที่ได้อยู่กับพ่อคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับรพี และเจ้าตัวก็ได้เตรียมของบางอย่างไว้ให้บิดาตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียน


“ไม่ทันไรจะก็ดีแตก หึ อ่อนชะมัด”


เสียงพูดคุยเบาลงกลายเป็นเพียงเสียงกระซิบ รัตติกาลหันมามองคนที่พูดกับตนด้วยความไม่พอใจที่อีกฝ่ายยุยงเขาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอวดดี หนำซ้ำเป็นเพราะคำพูดนั้นทำให้รัตติกาลรู้ตัวว่าเขาเองได้ทำพลาดไปอีกครั้ง ด้วยการปล่อยให้อารมณ์หงุดหงิดเข้าครอบงำจนพาลแสดงท่าทางไม่เหมาะสมใส่รพีจนทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ และภาพลักษณ์พ่อแสนดีที่ตนกำลังสร้าง ถูกสั่นคลอนด้วยคนนอกเพียงคนเดียว


แม้จะเจ็บใจที่ต้องปั้นหน้าเพราะคำพูดของอารัณย์ แต่เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า รัตติกาลจึงถอนหายใจแล้วหันไปส่งยิ้มอ่อนให้รพีที่หน้าเสีย ตักไข่ตุ๋นของโปรดเด็กชายเสียพูนช้อนแล้วป้อนให้รพีที่ทำท่าทางอึกอักเพราะปรับอารมณ์ตามไม่ทันเมื่อเขายื่นช้อนไปให้


“กินสิ พ่อป้อน”


รพีรับเอาไข่ตุ๋นคำโตมาเคี้ยวไว้เสียเต็มปาก รัตติกาลเห็นร่างป้อมกลับมาอารมณ์ดีได้อย่างเดิมก็เริ่มทานอาหารในจานของตัวเอง แต่ก็ไว้เชิงไม่กินกับข้าวที่อารัณย์ตักไว้ให้เสียจนเต็มจาน ร่างสูงส่งเสียงหึ ออกมาเบาๆกับการพยายามเอาชนะแบบเด็กๆของรัตติกาล แต่ขอแค่รพียิ้มได้เขาก็เลือกที่จะสงบปากสงบคำแล้วดำเนินมื้ออาหารนี้ต่อไปท่ามกลางความโล่งใจของจันทร์และนิล ที่คอยลุ้นเสียจนตัวเกร็งเพราะกลัวว่ารัตติกาลจะอาละวาดอีก


“พ่อกาลฮะ...พีทำนี่มาให้”

.

.

.

.

.

หลังจากทานอาหารเสร็จรัตติกาลที่นั่งดูรายการสารคดีสัตว์อยู่ในห้องนั่งเล่นขณะนิลและอารัณย์อยู่คุยกับจันทร์อยู่หลังบ้าน รพีก็วิ่งเข้ามาหาเขาพร้อมกับซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างหลังแล้วยื่นมันให้กับเขาด้วยท่าทีประหม่า


รัตติหันมามองการ์ดใบเล็กในมือของลูกชายที่ยื่นมันให้กับตน ชายหนุ่มรับกระดาษใบน้อยไว้ด้วยรอยยิ้มก่อนจะอ่านตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมือแบบเด็กๆของเจ้าของ ซึ่งเขียนไว้ว่า ‘ขอให้พ่อหายป่วย’ ประดับด้วยรูปวาดต่างๆคล้ายกับรูปที่รพีเคยนำมาให้เขาดูในคราวที่ได้รับคำชมจากครู


“วาดรูปเก่งขึ้นนะ”


รัตติกาล เผลอเอ่ยชมเด็กชายออกมาจากใจจริง แต่มันก็เป็นเรื่องดีเพราะรพีที่เคยมีท่าทางไม่มั่นใจกลับระบายยิ้มเสียจนตาหยี่ ร่างป้อมปีนขึ้นมาบนโซฟาตัวเขื่องแล้วกอดเขาเสียจนเต็มแรงด้วยความดีใจ รัตติกาลยกมือข้างที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลขึ้นลูบกลุ่มผมสีดำสนิทเบาๆเพื่อแทนคำขอบคุณ


“พ่อกาลมีความสุขไหมฮะ”


“หืม ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ?”


“ก็...ตอบพีมาก่อนสิ นะๆ”


“อืม พ่อมีความสุข”


ร่างโปร่งยิ้มให้ลูกชายปกปิดความจริงเบื้องหลังโกหกไว้ไม่ให้ใครรู้ แม้จะไม่ใช่รอยยิ้มที่สดใสที่สุดแต่รพีก็รู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาจนต้องกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นไปอีก หัวทุยถูแผ่นอกกว้างของบิดาด้วยความรักเลยไม่ทันได้เห็นยามที่รอยยิ้มประดิษฐ์นั้นเลือนหายหลงเหลือไว้แต่ความเย็นชาในดวงตาที่มองมายังตน


“พีจะพยายามนะฮะ”


“?”


“น้ารัณย์บอกว่า ถ้าคนที่เรารักมีความสุข เราก็จะมีความสุข...ตอนนี้พีมีความสุขมากก็เพราะพ่อกาล”


“...”


“พีรักพ่อนะ”


รัตติกาลยังคงลูบหัวของลูกชายนอกสายเลือดอย่างแผ่วเบาไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแม้แต่คำโกหกที่สมควรพูด สายตาว่างเปล่ามองดูกระดาษแผ่นน้อยในมือด้วยความรู้สึกหลากหลายทั้งอยากเก็บมันไว้และอยากเผาไหม้มันให้เป็นจุณไม่เหลือแม้ธุลี ท่าทางซื่อๆของรพี ทำให้รัตติกาลอยากบอกเด็กชายถึงอีกด้านของคำสอนที่อารัณย์คงไม่ได้บอกให้ฟัง ว่าแม้ความสุขจากการให้มันจะยิ่งใหญ่และน่ายินดีแค่ไหน แต่สุดท้ายเมื่อให้ไปจนหมดโดยไม่เคยได้รับอะไรกลับมา ตัวเรานั่นแหละที่จะไม่เหลืออะไรเลย...

.

.

.

.

.

ร่างโปร่งมองของสองสิ่งในมือด้วยสายตาเรียบนิ่ง หนึ่งคือของขวัญจากลูกชายนอกสายเลือดที่เต็มไปด้วยความรู้สึก และอีกหนึ่งคือของขวัญจากคนเคยรักที่ไม่เคยตัดใจทิ้งมันได้ลงสักที ฝาซิปโป้ถูกเปิดปิดด้วยมือข้างเดียว เปลวไฟถูกจุดขึ้นและดับลงท่ามกลางความมืดมิด


แผ่นหลังของรัตติกาลเอนพิงกำแพงมุมข้างบ่อน้ำของบ้านอยู่พักใหญ่ ใบหน้าหวานคมที่สว่างขึ้นเพราะแสงจากเปลวไฟฉายแววสับสนพร้อมกับฝาซิปโป้ที่เปิดค้าง ริมฝีปากสีชาดเม้มกันจนเป็นเส้นตรงก่อนเจ้าของมันจะตัดสินใจยื่นกระดาษแผ่นน้อยในมือข้างขวามาใกล้กับความร้อนแรงนั้นจนขอบการ์ดเริ่มกลายเป็นสีน้ำตาล


‘พีรักพ่อนะ’


คำพูดของรพีดังขึ้นในหัวก่อนที่เปลวไฟจะเผาไหม้กระดาษนั้นตรงๆ ความลังเลผุดขึ้นในหัวใจทุกขณะจิต รัตติกาลชะงักมือของตนไว้ทันทีที่คำพูดนั้นย้อนกลับเข้ามาในหัว ไม่อยากยอมรับแต่ก็รู้ดีว่าหัวใจของเขาเต้นแรงแค่ไหนเมื่อได้ฟังคำๆนั้นจากปากคนที่ตัวเองชิงชัง ทั้งที่เกลียดแต่ดันเผลอรู้สึกเต็มตื้นเพราะสิ่งที่ตัวเองสิ้นศรัทธาไปแล้วเสียได้


‘พี่รักกาลนะ’



ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายผู้ให้กำเนินที่แท้จริง ถูกซ้อนทับด้วยรอยยิ้มและคำพูดหลอกลวงของผู้ล่วงลับที่ยังตามหลอกหลอน ความอบอุ่นในหัวใจถูกถมซ้ำด้วยฝันร้ายจนไม่อยากยอมรับความพองโตในหัวใจที่เกิดจากคำว่ารักที่ได้รับจากรพี ร่างโปร่งสูดหายใจราวกับรวบรวมความกล้า มือที่เคยหยุดไปเคลื่อนเอาของขวัญจากลูกชายเข้าสู่เปลวไฟช้าๆ สิ่งแทนใจของรพีกำลังถูกแผดเผาด้วยของขวัญจากพ่อแท้ๆจนลูกไฟดวงเล็กขยายใหญ่ขึ้น แต่ยังไม่ทันไรเสียงสวบสาบก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังพร้อมกับเสียงพูดอย่างเกรี้ยวกราดจากแขกของบ้านที่โผล่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ


“ต่อให้ทำยังไงก็คิดไม่ได้เลยสินะ!”


กระดาษในมือ ถูกกระชากเอาไปก่อนอารัณย์จะจับมันตบลงกับพื้นดินชื้นใกล้ๆจนเปลวไฟเริ่มมอดแล้วดับสนิทลง อารัณย์ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่รพีเลือกใช้สีเทียนในการระบายเสียจนเต็มแผ่นจนกระดาษไม่ไหม้เร็วอย่างที่ควร แววที่ขุ่นเคืองปนด้วยความผิดหวังจ้องมองไปยังรัตติกาลที่ยังคงยืนนิ่งราวกับรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องเดินออกมาขวาง


“นึกว่าจะออกมาเร็วกว่านี้ซะอีก”


“กำลังลองใจว่าคนเราจะพัฒนาขึ้นบ้างไหม แต่ดูเหมือนว่ากูจะมองมึงในแง่ดีมากเกินไป”


“ปกติผมก็ไม่ใช่คนว่ายาก แต่ครั้งนี้พิเศษ คราวนี้ถือซะว่าตอบแทนเรื่องบนโต๊ะอาหารแล้วกัน”


“หึ พลาดแล้วพาลแบบนี้ ไม่น่าใช่นิสัยของคนที่โตพอจะเป็นพ่อคนได้”


“เรื่องพาล พวกผู้ใหญ่ก็ชอบทำไม่แพ้เด็กๆนั่นแหละ แล้วก็นะ คุณก็ไม่ได้มองว่าผมเหมาะกับการเป็นพ่อมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่รึไง”


รัตติกาลกระตุกยิ้มก่อนจะใช้ซิปโป้เก่าในมือจุดมวนบุหรี่ตัวโปรดแล้วอัดควันเข้าเต็มปอด ร่างโปร่งสาวเท้าเข้ามาใกล้อารัณย์แล้วคว้าเอาของขวัญที่พี่เลี้ยงคนเก่งพยายามรักษามันไว้ แต่อารัณย์กลับไม่ยอมมอบมันกลับให้เขา ดวงตาดุดันจ้องเขม็งมาที่ริมฝีปากสีสวยที่คาบแท่งกระดาษม้วนเอาไว้อย่างไม่ชอบใจ รัตติกาลยักไหล่อย่างไว้ท่าแต่ก็ยอมสูดควันส่งท้ายจนชุ่มปอดแล้วทิ้งมันลงกับพื้นหญ้าตามที่อีกฝ่ายต้องการพร้อมกับแบมือเพื่อขอของตัวเองคืนอีกครั้ง


“รพีตั้งใจทำมันมาก ตั้งแต่เช้าเขาแทบไม่เป็นอันเรียนจนครูเป็นห่วงกันไปหมด แต่พอกระตุ้นว่าน่าจะทำอะไรให้มึง เด็กนั่นก็ตั้งใจจนไม่ลืมหูลืมตา”


 “เห็นรพีบอกว่าคุณพูดอะไรไร้สาระให้ฟัง”


“ก็อาจจะไร้สาระอย่างที่ว่า สำหรับคนที่คิดถึงแต่ตัวเองแบบมึง”


“ธรรมชาติของมนุษย์ต่างหาก ไม่มีใครอยากเล่นบทเป็นฮีโร่พี่เลี้ยงเด็กแบบคุณนักหรอก ถามจริงคิดยังไงมาทำอาชีพนี้”


“ก็แค่เบื่อทำงานกับผู้ใหญ่ตอแหล อยู่กับเด็กแล้วสบายใจกว่า”


อารัณย์ตั้งใจพูดกระทบกระทั่งอีกฝ่าย แต่รัตติกาลก็ยังคงนิ่ง ใบหน้าหวานคมพยักไปมาราวกับฟังเรื่องดินฟ้าอากาศ หยิบการ์ดที่ไหม้ไปเล็กน้อยพลิกไปมาเพื่อสำรวจความเสียหายทำเหมือนกับมันน่าสนใจเสียเต็มประดา


“จะทำยังไงกับมัน”


“หมายถึงอะไร การ์ด? หรือรพี?”


“ทั้งสองอย่าง”


“ก็ไม่ทำอะไร แค่เก็บไว้”


“ทั้งสองอย่าง?”


“อืม ทั้งสองอย่าง”


“จนถึงเมื่อไหร่ล่ะ?”


“...”


“จะแกล้งทำดีกับรพีไปถึงเมื่อไหร่...”


“ไม่คิดว่าคุณจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน ที่เคยบอกว่าจะจับผมให้ได้นั่น ยอมแพ้แล้วไปแล้วรึไง”


“ไม่ ตอนนี้ก็ทำอยู่ แค่อยากรู้ว่ามึงจะทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”


“ความอดทนน้อยกว่าที่คิด”


“ใครจะเหมือนรพี ที่ทนให้คุณโขกสับมาได้จนอายุขนาดนี้”


“ผมไม่เคยขอให้เขาทน”


“แค่ตีสองหน้าเป็นพ่อที่ดีเพื่อให้เด็กนั่นขาดมึงไม่ได้...ใช่ไหมล่ะ”


รัตติกาลเบิกตากว้างอย่างตกใจเพียงครู่ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง ผิดกับอารัณย์ที่ยังคงยืนนิ่งไม่ยินดียินร้ายกับกริยาดังกล่าว ร่างโปร่งพยายามหยุดร่างกายที่สั่นเทาจากการหัวเราะ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงรื่นเริงเสียเต็มประดา


“เดาเก่งนิ ผมควรให้รางวัลอะไรคุณไหม”


“ขออัดหน้ามึงแรงๆสักที ไม่สิ ขอหลายๆที”


“ผมไม่ชอบความรุนแรง”


“เทียบกับมึงคนเมื่อคืนแล้วไม่น่าจะใช่”


“ก็แค่เมาน่ะ แต่ประเด็นคือคำตอบของคุณมันยังไม่สมบูรณ์”


“หมายความว่า...”


“มันยังมีตอนต่อ... คุณคิดว่าผมจะทำอะไรกับลูกของตัวเองต่อล่ะ”


อารัณย์สบตาคนที่เดินมาใกล้เขามากขึ้นจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน รัตติกาลเงยหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะยกยิ้มที่ใครๆมักมองว่ามันมีเสน่ห์ให้อีกฝ่ายแล้วผละออกมา ร่างโปร่งโบกมือให้น้อยๆแทนคำอำลาแล้วหันหน้าเพื่อเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่ขายาวที่กำลังก้าวเดินก็หยุดชะงักลงเพราะคำถามที่เมื่อก่อนทั้งนิลและจันทร์มักจะถามเขาอยู่เสมอ และครั้งนี้อารัณย์ก็เป็นผู้ที่ถามมันกับเขาอีกครั้ง


“ทำไมมึงถึงเกลียดรพีขนาดนั้น เด็กนั่นทำผิดอะไร”


“ไม่...รพีไม่ได้ทำอะไรผิด”


“...”


“ก็แค่...ปล่อยให้มีความสุขไม่ได้”


“ไม่มีเหตุผล”


“มีสิ...เหตุผลน่ะ มีอยู่แล้ว”


รัตติกาลเอ่ยด้วยเสียงเรียบเย็นจนคนฟังทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงเส้นขนที่ลุกชัน ร่างโปร่งหันมาสบตาอารัณย์อีกครั้งด้วยสายตาที่แสนว่างเปล่า ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไปโดยไม่หันกลับไปมองอารัณย์ที่ยืนอยู่ที่เดิม และไม่ทันได้สังเกตเห็นนิลที่หลบอยู่ข้างเสา


“ถ้าหาเหตุผลที่ว่าเจอ...กูจะหยุดมึงได้ไหม รัตติกาล”


.

.

.

.

.


ภายในห้องพักที่ติดแอร์เย็นช่ำต่างจากห้องขังร้อนระอุที่อยู่ติดกัน โต๊ะทำงานที่ฤทธิชาติเคยคิดว่ามันใหญ่ไปเกินกว่าความจำเป็นถูกกองเอกสารมากมายเกี่ยวกับคดีอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่จังหวัดลำปาง เมื่อประมานหกปีที่แล้ว ภาพของผู้เสียชีวิตทั้งสองรายเป็นชายและหญิงอายุยี่สิบห้าปี คือ ’นายนที กวีวิมนตร์’ และ ‘นางสาวพะแพง มหาเกียรติ’ ถูกวางไว้เด่นหร่าโดยข้างๆเป็นเอกสารของตำรวจในพื้นที่ที่นายตำรวจหนุ่มเพิ่งได้รับมาในช่วงสายของเมื่อวาน


วันเกิดเหตุทั้งคู่กำลังเดินทางไปยังรีสอร์ทเพื่อพักผ่อนฉลองสิ้นปี ณ จุดเกิดเหตุ เวลาประมาน 15.00 นาฬิกา รถยนต์โดยสารส่วนบุคคลของนายนทีได้ถูกรถบรรทุกสิบล้อพุ่งชนโดยการผ่าไฟแดงบริเวณสี่แยกก่อนถึงตัวเมือง จากการสืบสวนพบผู้พนักงานขับรถบรรทุกเกิดการหลับในจนเป็นเหตุทำให้ สองสามีภรรยาได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนจะเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา โดยทางญาติผู้เสียชีวิตไม่ติดใจในสาเหตุการตายสอดคล้องกับผลการชันสูตรศพจากสถาบันนิติเวชของโรงพยาบาล


ฤทธิชาติปลดกระดุมชุดเครื่องแบบของตนออกจนเหลือเพียงแต่เสื้อยืดคอกลมมีตรากรมตำรวจประดับอยู่ ชายหนุ่มหยิบเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องเบอร์ส่วนตัวที่กำลังสั่นอย่างเอาเป็นเอาตายขึ้นดูก่อนจะยกยิ้มที่ใครๆมักบอกว่ามันดูเจ้าเล่ห์ผิดกับภาพลักษณ์ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นชื่อของคนปลายสายที่โทรมาหาเขาเร็วกว่าที่คิด ร่างสูงทิ้งให้มันสั่นอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปโดยไม่เปิดช่องให้คนโทรมาได้พูดอะไรก่อน


“คุณติดหนี้ผมก้อนใหญ่แล้ว เตรียมเลี้ยงข้าวผมได้เลย”


:hao7:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-07-2015 16:27:46 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
คุยกับเช่!

มัน...สั้นเนอะ =w= ไม่ๆ ตอนที่แล้วมันยาวไปต่างหาก มานั่งดูอีกที ตอนที่แล้วเช่น่าตัดออกเป็นสองตอน จะได้หาเรื่องอู้

แต่ก็ไม่ทันแล้วแหละ บอกในเล้าว่าจะลงให้ตอนเช้าแต่มาเสร็จเอาตอนนี้ เค้าขอโทษ~~ ไม่มีข้อแก้ตัวคนับ ตื่นสายจริงๆ

เหมือนเรื่องจะลึกลับ(?)มากขึ้น อย่าคิดมากกันนะคนับ นิยายเช่มันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้นหรอก ทำให้เหมือนจะซับซ้อน

เท่านั้นเอง อ่านสบายๆ(?) เดี๋ยวอะไรดีๆก็ตามมา ตอนนี้อารัณย์เริ่มให้ความสนใจในการหาเหตุผลของกาลแล้ว

มาดูกันว่าพ่อเลี้ยง เอ้ย! พี่เลี้ยงหนุ่มจะรู้อดีตของคุณพ่อสุดหล่อได้ยังไง แล้วจะทำยังไงต่อไป

สุดท้าย.... คุณตำรวจกลับมาแล้ววววว ไม่ใช่ๆ ^^  ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตนะคนับ อ่านทั้งหมดแล้ว อยากตอบทำไงดี?




 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชาติโผล่มาแบบแย่งซีนมากอะ

รัณย์กวนทีนสุดๆไม่ใช่กาลก็คงอยากตื้บแกเหมือนกัน

เราว่าจริงๆกาลคงไม่ได้เกลียดรพีขนาดนั้น ตอนรพีมาบแกรักก็ยังเหมือนมีมุมอบอุ่นๆให้เห็นอยู่

อยากให้กาลหายเจ็บ ตื่นจากฝันซะที  :mew2:

ออฟไลน์ blur

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
อยากให้กาลโดนกด

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เค้าจะทำไรกัน มันจะเจ้บกันอีกแร้วสินะ

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
อาการของกาลเหมือนคนไข้จิตเวชเลย อยากให้คนรอบข้างสังเกตเห็นจัง จะได้รีบรักษาก่อนที่จะสายเกิน

กลัวใจกาลนะ กลัวว่าสุดท้ายกาลจะพยายามฆ่าตัวตายจัง หลังจากคิดว่ารพีขาดตัวเองไม่ได้แน่ๆน่ะ


ออฟไลน์ iiduckii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จริงๆแล้วกาลเป็นคนน่าสงสารนะ ยึดติดกับอดีตมากเกินไป ซึ่งมันไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ แล้วการที่มาลงกับเด็กอย่างรพีที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็ยิ่งแย่ไปใหญ่ นทีกับแพงก็ได้ชดใช้ให้กาลไปแล้วด้วยชีวิต เฮ้ออออออ ถ้าไม่รักรพีก็ปล่อยให้คนอื่นเลี้ยงเถอะ ให้คนที่รักและสามารถสร้างความอบอุ่นให้รพี ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป เด็กโตขึ้นก็จะเป็นเด็กมีปม มีปัญหาทางด้านจิตใจ โดยที่โดนผู้ใหญ่ยัดเหยียดให้ เจ็บปวดดดดดด เฮ้ออออออออออออออออ :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ได้ระบายแล้วสบายใจ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :hao7: :hao7:

รัณย์ต้องรีบๆช่วยกาลนะ ให้กาลหลุดจากอดีตสักที :mew6: :mew6:

ปล.หายไปนาน ติดซี่รี่ย์อยู่ กลับมาอีกทีคนเขียนเขียนไปสองตอนเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ เป็นกำลังให้ค่า สู้ๆ :L2: :L2:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
16th Night

…Saliva...


 

 

กรุงเทพมหานครฯ เมืองศิวิไลซ์ ศูนย์รวมความเจริญและทันสมัยที่หลายคนมองว่าน่าอยู่ แต่สำหรับอารัณย์แล้วเมืองนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ากล่องแข็งๆที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและมลพิษ เขาจึงเลือกที่จะนอนอุตุอยู่ห้องในช่วงบ่ายของวันหยุดที่มีเพียงสองวันต่อสัปดาห์แทนการออกไปเที่ยวเพื่อผ่อนคลายข้างนอก

 

“หิวโว้ย!!”

 

ร่างสูงตะโกนเป็นครั้งที่ห้าของวันแต่ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ตู้เย็นเล็กๆนั้นไม่มีอะไรพอยาไส้ได้ ถังข้าวสารก็ว่างเปล่า แม้แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ไม่มีเหลือให้เห็นสักห่อ ไม่ใช่ว่าเขาจนมากขนาดที่ว่าไม่มีอะไรจะกินแต่การเป็นพี่เลี้ยงโรงเรียนอนุบาลนั้นหนักหนามากกว่าที่ใครๆคิด

 

แม้จะมีวันหยุดมากกว่าเหล่ามนุษย์เงินเดือนตามบริษัทแต่พลังงานที่ใช้รบรากับเด็กวัยกำลังซนในแต่ละวันก็มากชนิดที่สลบเหมือดทันทีที่หัวถึงหมอน  ไม่ต้องพูดถึงทำข้าวกินเอง แค่แต่ละเย็นจะเหลือแรงมาจัดการห้องหับยังลำบาก ว่าแล้วก็เปรยตามองกองผ้ากองใหญ่ อยากจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นแต่ชุดที่เขาต้องใส่มันในวันจันทร์ก็ยังนอนเน่าอยู่ในนั้น ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างยอมแพ้ เขาคว้าเอากระเป๋าเงินและตะกร้าผ้า ผงซักฟอกและเหรียญสิบสามเหรียญจากกล่องที่ใช้เก็บมันโดยเฉพาะ ก่อนจะพาร่างสะโหลสะเหลของตนออกมาจากห้องพัก

 

เขาจัดการยัดผ้าทั้งหมดลงในเครื่องแล้วปล่อยให้มันทำงานตามโปรแกรม ร้านข้าวแถวห้องพักถูกเลือกเป็นแหล่งเติมพลังงานให้ตัวเองรวบมื้ออาหารทั้งเช้าบ่าย ข้าวผัดแหนมรสชาติธรรมดาถูกชายหนุ่มยัดเข้าปากเรื่อยๆ พร้อมกับตาที่กวาดอ่านข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์เพื่อฆ่าเวลา

 

อารัณย์ใช้ชีวิตแสนน่าเบื่อของตัวเองไปเรื่อยๆด้วยความพอใจ แม้กับข้าวจะไม่อร่อย แต่ก็ยังมีอะไรตกถึงท้องไม่เหมือนเมื่อก่อน อย่างน้อยก็ยังดีกว่าคนบางคนที่ไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนอย่างขอทานเฒ่าที่อาศัยร่มเงาข้างตึกสูงพักร่างที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร่างสูงเรียกเด็กชายวัยประถมที่น่าจะเป็นลูกชายเจ้าของร้านแล้วสั่งข้าวผัดหมูพิเศษและน้ำเปล่าลิตรหนึ่งขวดให้กับขอทานเฒ่าคนนั้นเหมือนกับที่เคยทำทุกวัน เด็กชายพยักหน้าอย่างเข้าใจคำสั่งก่อนจะตะโกนบอกแม่ของตนที่กำลังสาละวนอยู่หน้าเตาด้วยท่าทีแข็งขัน

 

“ป้าครับ เอาคะน้าหมูกรอบไข่เจียวสองจาน”

 

เสียงติดหวานตะโกนตามเสียงของเด็กชายมาติดๆ คอลัมน์เกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจของประเทศเล็กๆในสหภาพยุโรปเรียกความสนใจของอารัณย์ได้มากกว่าการอยากรู้ว่าลูกค้าในร้านจะสั่งอะไร ชายหนุ่มคบคิดเกี่ยวกับนโยบายการแก้ปัญหาของประเทศดังกล่าวพลางส่งข้าวผัดแหนมเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน แต่บทสนทนาที่ดังมาไม่ไกลทำให้เขาต้องหยุดสายตาตัวเองที่กำลังเลื่อนไปอ่านข่าวในกรอบต่อไป

 

“พี่กาลแน่ใจนะว่ากินได้”

 

“ได้สิ สมัยเรียนพี่ก็กินแบบนี้เหมือนกันนั่นแหละ เดี๋ยวนี้ก็ยังกินอยู่”

 

“รู้ว่ากินง่าย แต่อย่างน้อยน่าจะให้ปูนทำให้กินมากกว่า”

 

“ของสดในห้องหมดแล้วไม่ใช่หรอ ไว้มื้ออื่นก็ได้ ตอนนี้หิวแล้วเสียเวลา”

 

เด็กหนุ่มที่อารัณย์อาศัยอยู่หอพักเดียวกับอารัณย์พยักหน้าให้คนข้างกายอย่างว่าง่าย ร่างสูงแอบมองทั้งคู่ผ่านหนังสือพิมพ์ที่กางอยู่จนแทบจะปิดบังใบหน้าของเขาทั้งหมด ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้วตั้งแต่มื้อค่ำวันนั้นที่บ้านพัฒนเดชาที่อารัณย์ไม่ได้เห็นหน้าคุณพ่อสุดหล่อขวัญใจแม่บ้านที่โรงเรียน ด้วยเพราะเป็นบุคลากรผู้ชายเพียงไม่กี่คนในแผนกปฐมวัยทำให้อารัณย์โดนครูใหญ่วานให้เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการเตรียมสถานที่แทนการออกไปรับนักเรียนในช่วงเช้า จึงห่างหายจากการแอบสังเกตรัตติกาลในช่วงเช้าอย่างที่เคย

 

และดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญที่รัตติกาลติดธุระที่ทำงานจนทำให้ไม่สามารถมารับรพีในตอนเย็นได้แต่ดูเหมือนเด็กชายก็ยอมรับในเรื่องนั้น หน้าตาและรอยยิ้มที่สดใสของรพีต่างทำให้ครูที่เคยเป็นห่วงเรื่องพัฒนาการด้านอารมณ์ของร่างป้อมต่างก็ใจชื้นขึ้นไปตามๆกัน แต่สำหรับอารัณย์คำถามที่รัตติกาลถามเขาในคืนนั้นทำให้เขาไม่สามารถวางใจเหมือนคนอื่นได้

 

“มันยังมีตอนต่อ... คุณคิดว่าผมจะทำอะไรกับลูกของตัวเองต่อล่ะ”


 

มันคือคำถามที่คนนอกไม่อาจคาดเดา ระหว่างเขาและรัตติกาลไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าคนสองคนที่บังเอิญรู้จักกันผ่านความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ และแน่นอนว่าตลอดช่วงเวลานั้นไม่เคยเลยที่เขาทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อดีตของรัตติกาลเขาไม่เคยรู้ และอดีตของเขาก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน

 

ทั้งที่ไม่ควรได้เกี่ยวข้องกันอีกแต่ทุกครั้งที่คิดถึงใบหน้าเศร้าสร้อยของรพี อารัณย์รู้สึกเหมือนกาลเวลาที่ไม่เคยย้อนกลับนั้นเดินถอยหลังได้ แม้คุณภาพความเป็นอยู่จะต่างกันแต่นอกจากวัตถุแล้วบ้านหลังใหญ่นั่นก็ไม่ต่างอะไรไปจากห้องเช่าเล็กๆในย่านสลัมที่เขาเคยอยู่อาศัย ถ้าจะมีอะไรที่ต่างกันก็คงจะเป็นเรื่องที่เขาเป็นลูกแท้ๆของแม่ต่างจากรพีที่เป็นลูกเลี้ยงของรัตติกาล

 

“สองคนนั้นไม่ใช่พ่อลูกกันจริงๆ”

 

นิลพูดขึ้นขณะกำลังขับรถไปส่งเขาที่หอพัก อารัณย์เดาได้ทันทีว่าเงาตะคุ่มหลังเสาที่เขาเห็นเป็นเงาของเพื่อนเจ้าของบ้านที่เขาพอจะพูดคุยสนิทสนมด้วยได้ในระดับหนึ่ง อารัณย์นึกสงสัยว่ามันมากพอขนาดที่นิลไว้ใจพูดเรื่องสำคัญขนาดนี้ให้ฟังได้จริงๆหรอ แต่ก็แค่นั้น...นักเขียนหนุ่มไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมอะไรกับเขาอีก ไม่บอกแม้แต่เหตุผลที่เขาสมควรรู้

 

เขาไม่ได้ถามอะไรอีก ความจริงข้อนี้ไม่ได้ทำให้อารัณย์เข้าใจการกระทำของรัตติกาลมากขึ้น หนำซ้ำกลับเพิ่มความสงสัยว่าอะไรคือเหตุผลที่รัตติกาลเลือกเก็บลูกนอกไส้ที่ตัวเองเกลียดชังไว้ใกล้ตัว  และมันยิ่งทำให้เขาคาดเดาสิ่งที่รัตติกาลถามกับเขาไม่ได้เลย

 

“วันเสาร์หน้าพี่กาลว่างไหม”

 

“อืม ทำไมหรอ”

 

“ปูนต้องไปทำงานแทนเพื่อนที่ชลบุรี พี่กาลไปกับปูนนะ”

 

รัตติกาลนิ่งไปนิดเหมือนกับกำลังขบคิด อารัณย์อดคิดในใจไม่ได้ว่าภาพตรงหน้าเหมือนกับฉากเวลาอิหนูทั้งหลายอ้อนขอป๋าให้พาไปเที่ยว แม้ว่ารัตติกาลจะไม่ได้เป็นตาแก่ลงพุงเหมือนในละคร ทั้งที่อายุปาเข้าไปเลขสามแต่เพราะใบหน้าที่ติดออกไปทางหวานมีเสน่ห์ทำให้คนคนนี้ยังคงน่ามองไม่แพ้คนหนุ่มที่อายุน้อยกว่า เด็กหนุ่มที่นั่งข้างๆเอื้อมมากุมมืออีกฝ่ายไว้เป็นการอ้อนขอแบบไม่เซ้าซี้เกินไปดี และนั่นก็ทำให้รัตติกาลตัดสินใจตอบตกลงไปพร้อมกับจับมือตอบโดยไม่แคร์สายตาคนรอบข้างที่มองทั้งคู่อย่างสนใจ

 

อารัณย์ไม่รังเกียจเรื่องรักร่วมเพศ แต่ก็ไม่เคยเข้าใจคนที่มีความรักประเภทนี้ คนรอบตัวที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีแต่เรื่องความรักฟังจากปากคนอื่นเล่าก็ไม่ต่างอะไรจากนิทานที่ทั้งดูเพ้อฝันและเกินจริง ยอมรับอยู่หรอกว่าสองคนที่เขากำลังแอบมองดูเหมาะสมกันไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกตาจนเกินไป ดูเผินๆก็ไม่ต่างอะไรกับคู่รักชายหญิงทั่วไปเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กๆจนเลือกที่จะหลบฉากจ่ายเงินค่าข้าวแล้วออกจากร้านไปโดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว

 

 

 

 

เพราะออกจากร้านมาเร็วกว่าที่คิด อารัณย์จึงต้องยืนรออีกประมานสิบห้านาทีจนกว่าผ้าที่ซักไว้จะเสร็จ ด้วยราคาที่ถูกหอพักนี้จึงไม่มีลิฟต์ให้บริการเขาจึงเลือกที่จะรอแล้วขึ้นไปข้างบนในทีเดียว ร่างสูงแบกตะกร้าที่หนักอึ้งไปด้วยเนื้อผ้าที่อมน้ำแม้จะปั่นหมาด เขาเดินฮัมเพลงเรื่อยๆอย่างอารมณ์ดีผ่านขั้นบันไดจากชั้นล่างเรื่อยมาถึงชั้นที่ตัวเองพักอาศัย ผ่านประตูห้องที่เรียงกันเป็นแถวยาวจนใกล้ถึงห้องของตัวเองที่อยู่เกือบสุดทาง อารัณย์ควานหากุญแจจากในกระเป๋ากางเกงอย่างไม่รีบร้อนแต่ก่อนที่ประตูบานนั้นจะถูกไขออก ประตูของห้องตรงข้ามก็เปิดขึ้นพร้อมกับ ร่างของเด็กหนุ่มที่เมื่อครู่นักกินข้าวอยู่กับรัตติกาลข้างล่างก็เดินออกมาจากห้อง

 

“พี่กาล เดี๋ยวปูนลงไปเอาของในรถแปปนึงนะเอาอะ...คะ คุณ!”

 

ปูนมองคนตรงหน้าด้วยความตกใจ คนที่เคยเจอกันแค่ครั้งเดียวแต่กลับไม่เคยลืมกำลังมองหน้าเขาด้วยสายตาเรียบนิ่งแต่แฝงด้วยอะไรบางอย่างที่ทำให้ปูนรู้สึกไม่พอใจและไม่ถูกชะตากับคนคนนี้ ภาพที่รัตติกาลถูกใช้กำลังฝืนบังคับและเสียงที่พูดจาดูหมิ่นขมขู่ตนในวันนั้นทำให้ปูนรู้สึกไม่ชอบหน้าชายคนนี้จนเผลอชักสีหน้าใส่ โดยที่อีกฝ่ายก็ไม่น้อยหน้า เขายิ้มมุมปากเหมือนกำลังเยาะเย้ยอยู่ในทีจนมือที่จับค้างอยู่ที่ลูกบิดประตูถูกเก็บเข้าข้างลำตัวแล้วกำแน่นด้วยความไม่พอใจ

 

“มาทำอะไรที่นี่...จะมาทำร้ายพี่กาลอีกรึไง”

 

อารัณย์มองดูเด็กหนุ่มที่ชื่อปูนกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาเอาเรื่อง แต่ท่าทางคุกคามนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับลูกแมวที่พองขนขู่แฟ่ดๆไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด ร่างสูงว่างตะกร้าในมือลงก่อนจะเดินเข้ามาหาอีกฝ่ายที่ถอยหลังออกไปด้วยความตกใจจนแผ่นหลังเล็กนั้นปะทะเข้ากับกำแพงห้อง ด้วยเพราะความสูงที่ต่างกันพอสมควรปูนจึงเหมือนจมหายไปทั้งตัวเมื่ออารัณย์ยกแขนขึ้นเท้ากำแพง ใกล้จนแอบเห็นดวงตาคู่นั้นสั่นแต่ก็ยังแข็งกร้าวอย่างไม่ยอมแพ้

 

“พี่กาลอย่างนั้น พี่กาลอย่างนี่ ตกลงยอมเป็นเมียน้อยเต็มตัวแล้วสินะ”

 

“อย่ามาพูดจาดูถูกผมกับพี่กาลแบบนี้นะ!”

 

“อ้าว พูดถูกก็ไม่ได้หรอ งั้นยังไงดี เป็นพี่น้องท้องติดกันแบบนี้ได้รึเปล่า”

 

“ทุเรศ!”

 

“ด่าใครน่ะ ตัวเองหรอ?”

 

อารัณย์กลั้นขำเมื่อเด็กหนุ่มโกรธเสียจนหางหูตั้งไปหมด ริมฝีปากสีอ่อนเม้มแน่นแม้มันจะดูสวยราวกับปากของผู้หญิงแต่ก็นึกสงสัยว่าตอนจูบกับคนพวกนั้นไม่รู้สึกแปลกๆอะไรบ้างรึไง ปูนที่โมโหจนพูดไม่ออกยกมือขึ้นทุบหน้าอกคนตรงหน้าด้วยความไม่พอใจ แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงน้อยนิดของเขาจะไม่สามารถทำอะไรให้อีกฝ่ายสะดุ้งสะเทือนได้เลยหนำซ้ำยังหัวเราะออกมาราวกับมันเป็นเรื่องขบขัน

 

เกลียดคนคนนี้...คนที่ไม่พูดจาดูถูกความสัมพันธ์ของเขาและพี่กาล คนที่ทำเหมือนศักดิ์ศรีของเขาเป็นสิ่งไร้ค่า เกลียด เกลียดที่สุด...

 

“ปูน!”

 

“พี่กาล!”

 

รัตติกาลได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันจึงเดินออกมาดูจนเห็นร่างของปูนถูกชายคนหนึ่งกักตัวไว้เสียจนมิด เขารีบก้าวยาวๆไปผลักชายคนนั้นให้ออกไปก่อนจะคว้าร่างของเด็กหนุ่มที่มองเขาด้วยน้ำตาคลอให้มายืนหลบอยู่ข้างหลัง ท่าทางหวาดกลัวของคนที่คบหาทำให้รัตติกาลรู้สึกเดือดดาลได้ไม่ยาก เขาหันหน้ากลับไปเพื่อจะเอาเรื่องอีกฝ่ายแต่กลับต้องยืนนิ่งเมื่อเห็นว่าคนที่คุกคามปูนอยู่เมื่อครู่เป็นคนที่ครั้งหนึ่งเคยทำสิ่งเดียวกันกับเขาที่หอพักแห่งนี้

 

“อารัณย์!!!”

 

“หึ ไม่ต้องทำหน้าดุอย่างนั้น กูยังไม่ได้ทำอะไรเด็กมึงสักหน่อย แค่ทักทายเท่านั้นเอง”

 

“ทักทายอะไร ทำไมปูนถึงเป็นแบบนี้!!”

 

“กูก็แค่พูดความจริงนิดหน่อย ใครจะรู้ว่าเด็กมึงจะอ่อนไหวจนทนฟังไม่ได้”

 

ปูนกอดรัดท่อนแขนของรัตติกาลแน่นราวกับทนไม่ได้กับคำบริภาษที่โดนกล่าวหา แม้จะทำเป็นเข้มแข็งและรับความจริงข้อนี้ได้แต่เรื่องที่รัตติกาลมีครอบครัวอยู่แล้วก็เหมือนปมในใจที่เด็กหนุ่มพยายามซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น รัตติกาลมองดูเห็นความเจ็บปวดที่คนข้างกายพยายามเก็บมันไว้ไม่แสดงออกแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่อารัณย์พูดคงกระทบความรู้สึกร่างเล็กนี้มากซึ่งก็ไม่น่าพ้นเรื่องของเขา

 

ร่างโปร่งหันมามองอารัณย์ด้วยความไม่พอใจ เขาสาวเท้าขึ้นไปผลักอกอีกฝ่ายจนชิดผนังอีกด้านแทนซึ่งร่างสูงก็คว้าเอาคอเสื้อของเขาได้ทันควัน ทั้งคู่สบตากันอย่างไม่ยอมแพ้ แต่เป็นอารัณย์ที่กำลังมองมาด้วยความรู้สึกขบขัน ทั้งที่แค่กะจะแกล้งเด็กนั่นเล่นๆเพราะอีกฝ่ายทำท่าทางไม่ชอบขี้หน้าเขาซะเต็มประดา กลับลุกลามกลายเป็นว่าเขากับรัตติกาลต้องมายืนจ้องหน้ากันอย่างกับฉากในละครน้ำเน่า แต่สีหน้าเหวี่ยงๆของรัตติกาลที่มักหลุดให้เขาเห็นเสมอยิ่งทำให้เขายังไม่อยากจบละครฉากนี้เร็วนัก อารัณย์ดุนลิ้นในโพรงปากก่อนจะกระชากคอเสื้อของรัตติกาลให้เข้ามาใกล้ กลิ่นไอเย็นจากอาฟเตอร์เชฟทำเอาร่างสูงสูดความหอมเข้าไปเต็มปอดอย่างเผลอตัว

 

“ไม่ไปรับลูกตอนเย็น เพราะแบบนี้รึเปล่า”

 

“คิดได้แต่เรื่องต่ำๆ”

 

“อย่าหงุดหงิดไปน่า แค่ถามเฉยๆ เวลารพีถามหามึงจะได้ตอบได้ไง”

 

“หึ อยากดับโลกสวยๆของเด็กนั่นก็ลองดู”

 

“เข้าใจขู่นะ แต่พูดอย่างนี้ก็หมายความว่า ตั้งใจกินกันลับๆ ไม่ได้คิดจะเปิดตัวสิท่า”

 

อารัณย์เปรยตามองปูนที่แววตาสั่นระริกเมื่อได้ยินแล้วยิ่งกระชับแอ้มแขนให้แน่นขึ้นไปอีก รัตติกาลสบตาอารัณย์อย่างไม่ชอบใจ ถึงจะไม่ได้รักชอบปูนจริงอย่างที่ว่า แต่การที่คนอื่นมาหักหน้าคนในปกครองของเขาแบบนี้เป็นสิ่งที่ร่างโปร่งรับไม่ได้

 

“จะเปิดหรือจะปิดมันก็เรื่องของกู ถ้าว่างมากนักก็เอาเวลาไปนั่งคิด...ว่าคนอย่างมึงจะปกป้องเด็กนั่นจากกูได้ยังไง”

 

สรรพนามที่เคยสุภาพเปลี่ยนไปทุกครั้งที่อารมณ์ครุกรุ่น แทนที่จะไม่พอใจอารัณย์กลับระบายยิ้มเสียเต็มใบหน้า ร่างสูงรู้สึกสนุกทุกครั้งที่เปลือกนอกแสนสวยงามของรัตติกาลค่อยๆพังลงเพราะความโกรธทำให้คนที่เชิดหน้าทำตัวสูงสงดูต่ำลงกิเลสที่ตัดไม่ขาด

 

“นี่ก็ทำอยู่... กลัวว่ารพีจะได้แม่เลี้ยงคนใหม่ ว่าไง...อยากเป็นไหมล่ะ?”

 

อารัณย์พูดกับรัตติกาลก่อนจะหันไปถามเด็กหนุ่มในตอนท้าย ปูนที่โดนถามเชิงดูถูกแบบนั้นกำหมัดจนแน่นด้วยความโมโห ร่างเล็กผละออกมาจากรัตติกาลแล้วเดินเข้าไปซัดหมัดบนใบหน้าซีกขวาของอีกฝ่ายจนเต็มแรง

 

แม้หมัดของปูนจะไม่แรงมากพอให้เลือดออกแต่อารัณย์ก็รู้สึกเจ็บไม่น้อย แววตาที่เคยแสร้งเป็นหยอกล้อแข็งขึ้นจนเด็กหนุ่มแอบรู้สึกหวั่นยามที่ร่างสูงจ้องเข้ามาในตาของตนพร้อมกับขยับต้นคอไปมา แต่ถึงอย่างนั้นปูนก็กัดฟันพูดตอบไป

 

“อย่ามาดูถูกพี่กาลแบบนี้”

 

“หึ นี่เลี้ยงกระดูกหรือหญ้าแห้งวะ? ทั้งเชื่องทั้งโง่”

 

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้!”

 

“ปกป้องกันจังนะ ว่าแต่สงสัยมาตั้งนานแล้ว ในเมื่อมึงเป็นเกย์ แล้วแม่ของรพีเป็นใครวะ?”

 

อารัณย์ถามออกไปทั้งๆที่รู้ว่ารพีไม่ใช่ลูกแท้ๆ แล้วปฏิกิริยาที่รัตติกาลแสดงออกก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง ร่างโปร่งกัดฟันแน่นจนสันกรามเด่นชัดขึ้น มือทั้งสองข้างคว้าเอาคอเสื้อของร่างสูงที่ทำสีเย้อหยัน สิ่งที่อารัณย์พูดไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ คนคนนี้มีเจตนาที่จะดูถูกรสนิยมทางเพศของเขาเท่านั้น แววตาของอารัณย์เป็นแววตาแบบเดียวกันกับคนคนนั้นยามที่พูดถึงความรักที่ผิดแปลกจากธรรมชาติของเขา แววตาที่ทำเหมือนกับความรักของคนอย่างพวกเขามันไม่มีค่าและน่าตลกขบขันทั้งที่ทุกคนล้วนแต่มีความเป็นคนเท่าๆกัน

 

“อยากรู้ไหมล่ะ ว่าเกย์อย่างกูทำลูกกันยังไง?”

 

 

ทันทีที่พูดจบ รัตติกาลก็ดึงเอาคอเสื้อของอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้ก่อนจะประกบริมฝีปากของตัวเองลงไปแล้วบดคลึงอย่างหยอกล้อ ลิ้นนุ่มเลียวนอยู่เหนือกลีบเนื้อแดงคล้ำเหมือนเป็นการเหยียดหยามคนที่เบิกตาด้วยความตกใจเมื่อโดนจู่โจมด้วยสัมผัสที่ผู้ชายปกติทั่วไปคงไม่ปรารถนาจะได้รับจากผู้ชายด้วยกัน

 

แต่ราชสีห์หนุ่มกลับชะล้าใจเผลอหันหลังให้นายพรานที่ยังไม่สิ้นลม ในเสี้ยววินาทีที่ปลายลิ้นกำลังละจากมา ฝ่ามือที่หยาบหนาก็คว้าเข้าที่ท้ายทอยขาวของรัตติกาลเต็มแรงแล้วเคลื่อนใบหน้าที่ถอยห่างออกไปให้กลับเข้ามาใกล้เสียจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นอีกครั้ง

 

 ริมฝีปากสีแดงคล้ำดูดดึงลิ้นนุ่มโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว รสจูบดุดันถูกป้อนให้คนที่ลงมือจู่โจมก่อนโดยไม่เว้นจังหวะให้กลับตัวเอาคืนแต่อย่างใด หยาดน้ำสีใสไหลเปื้อนในขณะที่อารัณย์กำลังไล่ต้อนรัตติกาลอย่างเอาเป็นเอาตาย รสเลือดเค็มปร่าเอ่อวนอยู่ในแอ่งน้ำทั้งสองจวบจนสัมผัสสุดท้ายเมื่อร่างโปร่งตัดสินใจกัดปลายลิ้นที่รุกล้ำเกี่ยวรัดเขาอย่างน่าหวาดเสียวเข้าเต็มแรง จนอารัณย์ต้องละออกไปทิ้งไว้เพียงสายน้ำที่ยืดออกตามสัมผัสที่จากมา

 

“อันนี้เขาเรียกว่าจูบ แล้วทำลูกล่ะเขาทำกันยังไง?”

 


(ต่อเม้นล่างคนับ ตัวอักษรเกิน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-07-2015 21:34:47 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1



นิลและเพื่อนคนอื่นกำลังถกกันเกี่ยวกับการพารุ่นน้องไปทำกิจกรรมนอกสถานที่ดังขึ้นบริเวณม้าหินหลังตึกคณะเรื่อยยาวมาตั้งแต่พักเที่ยงจนถึงบ่ายแต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าสุดท้ายแล้วจังหวัดไหนที่จะเป็นสถานที่จัดกิจกรรมในปีนี้

 

“กูว่าชลบุรีนี่แหละใกล้ดี”

 

“แต่ปีเราก็ไปที่นี่นะ ไม่เบื่อหรอ อยากไปน้ำตกบ้างอะ”

 

“ห่า กิจกรรมน้องไม่ใช่งานสนองนี๊ดพี่”

 

“แล้วรู้ได้ไงว่าน้องไม่นี๊ดน้ำตก นครนายกก็ได้ใกล้แค่นี้เอง”

 

“กูว่าไม่เหมาะวะ ไปน้ำตกมันคุมคนยาก อยู่ในป่าในเขา”

 

“ทะเลก็ไม่ง่ายนะเว้ย ปีเรากูยังจำได้เลยตอนที่รุ่นพี่ต้องช่วยกันจับตอนไอ้เพรียวเมาแล้วตกมันจะวิ่งลงทะเล ฮ่าๆๆๆ”

 

สาว(?)น้อยชื่อเพรียว ตัวฮาประจำชั้นปีค้อนควับใส่นิลเสียวงใหญ่ แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้สลดคว้าเอาร่างนุ่มนิ่มนั้นมากอดไว้แล้วหอมแก้มเข้าเต็มรักจนสาวเจ้าอายม้วนแทบตกเก้าอี้ เพื่อนๆที่เหลือต่างพากันทำท่าโก่งคออ้วกกันเป็นแทบเมื่อเห็นการล้อเล่นที่ฝ่ายหญิงได้กำไรไปเต็มๆส่วนฝ่ายชายก็หัวเราะร่าที่เห็นคนอื่นทำหน้ารับไม่ได้

 

“เลือกที่ไหนก็เอาเถอะ แต่อย่าให้แพงมากนะ งบยิ่งจะไม่พออยู่”

 

รัตติกาลท้วงขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ ชายหนุ่มทำหน้าที่เหรัญญิกประจำชั้นปีหยิบเอาสมุดบันทึกงบประมาณของคณะขึ้นมาให้เพื่อนๆดูรายละเอียดหวังให้ตัวเลขที่ใกล้จะติดตัวแดงกระตุ้นต่อมจิตสำนึกของแต่ละคนที่หวังแต่จะไปเที่ยวให้หันมามองความจริงบ้าง แต่เพื่อนสนิทที่ดำรงตำแหน่งเฮดสวัสดิการอย่างนิลกลับเบ้ปากใส่แล้วทำหน้าไม่สบอารมณ์ซะอย่างงั้น

 

“ทำไมค่าหลีดแพงจังวะ พอๆกับงบสวัสดิการกูเลย”

 

“อย่างงี้แหละนิล ค่าชุดมันแพง ขนาดให้ร้านประจำตัดให้แล้วนะ”

 

จ๋าสาวสวย เซนเตอร์หลีดประจำคณะเอ่ยขัดขึ้นทันทีด้วยสีหน้าลำบากใจ ถ้าไม่นับส่วนของสวัสดิการแล้ว ค่าใช้จ่ายของหลีดก็ถือว่าเป็นส่วนที่ใช้งบเยอะที่สุดทั้งที่ใช้คนเพียงไม่กี่คน เมื่อเทียบกับปากท้องของเด็กปีหนึ่งทั้งคณะแน่นอนอยู่แล้วว่าคนที่ไม่ได้ทำงานตรงส่วนนี้ย่อมไม่เข้าใจในราคาที่สูงลิ่วพอๆกัน

 

“ก็รู้หรอกว่ามันแพง แต่หาราคาถูกกว่านี้ไม่ได้หรอวะไอ้กาล พวกกูอะไม่เท่าไหร่ แต่คนอื่นที่เขาไม่เข้าใจจะว่าเอาได้นะเว้ย”

 

“นี่ถูกที่สุดแล้ว ค่าเครื่องสำอางหลีดแต่ละคนเอามาเองด้วยซ้ำ ใครจะว่าอะไรก็ว่ามา ใบเสร็จทุกใบกูเก็บไว้ครบ”

 

เหรัญญิกที่เป็นหลีดควบคู่กันไปด้วยเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเรียบนิ่งเหมือนเคย นิลที่ไม่ได้คิดจะตำหนิอะไรเพื่อนแต่แรกเพราะรู้นิสัยกันดีพยักหน้าให้อย่างเข้าใจก่อนที่คนอื่นจะทำตามๆกันเพราะต่างก็รู้ว่าหลีดที่ต้องทำการแข่งทั้งภายในมหาวิทยาลัยและกิจกรรมนอกนั้นต้องใช้งบประมานสูงและเป็นงานที่หนักแบบที่คนนอกคิดไม่ถึง

 

ยิ่งรัตติกาลที่ทำหน้าที่ของคณะสองอย่างคู่กันยิ่งต้องเหนื่อยกว่าทุกคน เนื่องจากคนที่มีความสามารถและเสียสละทำเพื่อส่วนรวมนั้นมีไม่มากทำให้ร่างโปร่งต้องบริหารเวลาทั้งเรื่องเรียนและกิจกรรม จนผ่านชีวิตปีหนึ่งมาได้ด้วยความลำบาก แต่ผลของมันก็ทำให้รัตติกาลกลายมาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่ทั้งเพื่อนนักศึกษา และคณาจารย์ต่างก็ให้ความเชื่อถือ

 

คณะกรรมการปีสอง ประชุมกันไปเรื่อยๆจนบ่ายคล้อยเลยพอจะมีรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์การจัดกิจกรรมพวกนี้เดินเข้ามาช่วยเหลือคอยให้คำแนะนำอยู่บ้างจนข้อสรุปต่างๆที่ถกเถียงกันมานานเริ่มลงตัว

 

“กาล! คิดถึงจัง!”

 

แรงกอดรัดจากทางด้านหลังทำให้รัตติกาลเอี้ยวตัวกลับไปมอง ร่างเล็กของพี่รหัสที่ยังไม่เจอหน้ากันตั้งแต่ขึ้นปีการศึกษาใหม่ พะแพงส่งยิ้มให้กับรัตติกาลที่พยายามยกมือไหว้เธอทั้งที่หญิงสาวยังกอดเอวจากทางด้านหลัง

 

“สวัสดีครับพี่แพง ไม่เจอกันเลย”

 

“เทอมนี้เรียนยากมาก เข้าภาคเต็มตัวแล้วพี่เลยไม่ค่อยว่าง กาลสบายดีนะ ได้ยินว่างานกรรมการหนักมาก ไหวไหม?”

 

“พอไหวอยู่ เอาจริงๆก็มีคนอื่นคอยช่วยด้วยไม่ได้หนักอย่างที่คิดหรอกครับ”

 

“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอก เพื่อนพี่นี่อิจฉาพี่กันทั้งนั้นมีน้องรหัสเก่งๆ แล้วนี่รู้รึยังว่าหลานรหัสพี่เป็นใคร ยังไม่ได้ไปแอบดูเลย”

 

“ให้นิลไปส่องให้แล้ว ชื่อเมลล์อยู่เอกฝรั่งเศส”

 

 “จริงอะ น่ารักไหมๆ”

 

พะแพงทำท่าทางดีใจจนรัตติกาลอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ร่างโปร่งหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่เคยให้นิลแอบไปถ่ายรูปน้องรหัสมาเปิดให้หญิงสาวดู ซึ่งตามที่คาด เมื่อพะแพงเห็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาน่ารักสมกับชื่อก็ร้องออกมาเสียงดังก่อนจะถือวิสาสะยืมโทรศัพท์ของรัตติกาลไปให้เพื่อนคนอื่นดูรูปหลานรหัสคนแรกของตัวเองด้วยท่าทางตื่นเต้นจนน่าขัน

 

“กาล เห็นแพงไหม”

 

เสียงทุ้มนุ่มที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้นจากทางด้านหลัง นทีในชุดนักศึกษาที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักเดินเข้ามาทักร่างโปร่งที่ยืนอยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าเป็นมิตรต่างจากรัตติกาลที่ยังคงรักษาท่าทางนิ่งเฉยได้เหมือนทุกๆครั้งที่เจอกัน แม้ว่าสิ่งที่รัตติกาลเห็นในร้านเหล้าวันนั้นจะยังติดอยู่ในความทรงจำไม่ได้หลงลืมก็ตาม

 

“ไปคุยกับเพื่อนอยู่ เดี๋ยวก็กลับมา”

 

“หรอ งั้นเราไปนั่งรอแพงตรงนั้นกันดีกว่า เดี๋ยวพี่เลี้ยงน้ำ”

 

ร่างสูงชี้ไปยังม้านั่งข้างโรงอาหารที่ยังพอมีนักศึกษานั่งกันอยู่ประปราย รัตติกาลมองหน้าแฟนของพี่รหัสนิ่งก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆเพื่อเป็นการปฏิเสธ

 

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมต้องไปประชุมต่อแล้ว”

 

“เถอะน่า แปปเดียว เราเองก็มีเรื่องที่จะพูดกับพี่ไม่ใช่รึไง...เรื่องคืนนั้นน่ะ”

 

นทียักคิ้วให้รัตติกาลด้วยท่าทีขี้เล่น มือที่ใหญ่กว่าคว้าเอาแขนของรุ่นน้องแล้วลากไปยังม้านั่งตัวยาว กดอีกฝ่ายให้นั่งลงกับที่แล้วเดินไปซื้อน้ำอัดลมมาสองแก้วโดยไม่คิดจะถามความคิดเห็นใดๆ นทีวางมันลงให้กับทั้งรัตติกาลและตัวเองก่อนจะนั่งหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายที่ยังคงทำสีหน้าเรียบเฉยใส่เขาได้เหมือนทุกครั้ง แม้แต่ตอนที่เห็นว่าเขากำลังกอดจูบผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่พะแพงก็ตาม...

 

“มีอะไรจะถามไหม”

 

“ผม...ไม่มีอะไรจะพูด”

 

“ไม่คิดจะบอกแพงเรื่องที่เห็นรึไง”

 

“ถึงอยากจะเตือนแค่ไหน ผมก็ไม่มีงานอดิเรกเป็นการยุ่งเรื่องชาวบ้าน”

 

“ฮ่าๆ แต่ชาวบ้านที่บ้านนี่ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดานะ พี่รหัสของกาลไม่ใช่หรอ ไม่เป็นห่วงบ้างรึไง”

 

“กล้าถามนะครับ ทั้งๆที่ทำอะไรไม่คิดถึงใจพี่แพงเลยแท้ๆ”

 

“ก็นะ แค่เล่นๆไม่ได้ผูกพันอะไร กาลเองก็ทำไม่ใช่หรอ”

 

นทีพูดย้อนใส่รุ่นน้องที่พูดจาเหน็บแนมเขาอยู่กลายๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้มีท่าทางตกใจซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด

 

“กรณีผมกับพี่ไม่เหมือนกัน ผมไม่ได้มีพันธะเหมือนพี่”

 

“นั่นสินะ อีกอย่างพี่น่ะเล่นกับผู้หญิง แต่กาลเล่นกับผู้ชาย...เด็กเสิร์ฟคนนั้นน่ารักดีนะ”

 

รัตติกาลแสยะยิ้มให้นทีที่ส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับตน มันทั้งสุภาพและหลอกลวงอย่างน่าขัน ร่างโปร่งคิดว่าเพราะรอยยิ้มนี้นี่แหละที่ทำให้ผู้หญิงหน้าโง่พวกนั้นยอมให้ผู้ชายมักมากคนนี้เอาเปรียบ นักฆ่าในคราบของนักบุญกำลังหยอกล้อเขาด้วยลูกไม้แบบเดียวกัน สีหน้าที่ดูเหมือนจะหวังดีปกปิดความเย้อหยันในดวงตาได้ไม่หมดและเขาก็เห็นมัน...นทีคงคิดไม่ถึงว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมารัตติกาลต้องพบเจอสายตาดูถูกของผู้คนเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของตัวเองมามากแค่ไหน และเขาคงผ่านมันมาไม่ได้ถ้าหากไม่มีวิธีรับมือกับมัน

 

“จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็เท่านั้น สิ่งที่เราต่างกันคือผมแค่รักสนุก แต่พี่มันสารเลว...กินไม่เลือกทั้งที่ของเดิมยังกองอยู่เต็มท้อง”

 

“ฮ่าๆๆ เด็กอักษรนี่ด่าเจ็บเหมือนกันทุกคนรึเปล่านะ”

 

“ไม่รู้สิครับ ผมก็ขอให้พี่อย่าได้รู้คำตอบด้วยการพิสูจน์จากพี่แพงแล้วกัน”

 

รัตติกาลยืนขึ้นโดยที่ไม่ได้แตะต้องน้ำที่อีกฝ่ายมีน้ำใจหยิบยื่นมาให้ แต่ยังไม่ทันที่ร่างโปร่งจะเดินกลับไปสมทบกับเพื่อน ข้อมือบางก็โดนคว้าไว้พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่เข้ามาประชิดตัวโดยที่รัตติกาลไม่ทันได้สังเกต นทีหยิบแก้วน้ำพลาสติกยัดใส่มือร่างโปร่งที่ทำสีหน้าไม่พอใจใส่ตนเป็นครั้งแรกของวัน ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บแสบจากคำพูดของรุ่นน้องไม่น้อยแต่การทำให้ใบหน้าเย้อหยิงนี่เปลี่ยนไปได้ก็นับว่าคุ้มค่า

 

“จะปิดปากผมรึไง”

 

“ไม่หรอก ถ้ากาลจะพูด พี่คงได้รู้คำตอบนั้นนานแล้ว”

 

“ก็แค่ครั้งนี้ อย่างที่พี่ว่า พี่แพงไม่ใช่คนอื่น พี่เขาเป็นคนดีแล้วความดีของเขาอาจจะทำให้ผมอาจจะอยากทำตัวเป็นผู้ผดงความยุติธรรมบ้างก็ได้”

 

“ฮ่าๆ แย่ล่ะสิ ถ้าเป็นอย่างนั้นพี่คงต้องหาอะไรมาปิดปากกาลจริงๆซะแล้ว”

 

ร่างสูงส่งยิ้มให้น้องรหัสของแฟนสาวที่ยังคงมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเหมือนทุกที ในจังหวะที่กล้องสันทนาการดังขึ้น เหล่านักศึกษาที่นั่งอยู่รอบๆต่างก็วิ่งไปดูกิจกรรมในปีการศึกษาใหม่เป็นสัญญาณบอกถึงจุดเริ่มต้นที่เกิดขึ้นอีกครั้ง

 

 ริมฝีปากสีชาดอิ่มของรัตติกาลสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของน้ำรสซ่า ไหลผ่านปลายลิ้นแล้วหายไปทิ้งไว้เพียงสัมผัสอุ่นชื้นที่ยังคงคลอเคลียเก็บโกยหยดน้ำที่ไหลล้นริมฝีปาก ดวงตาที่ยังคงเต็มไปด้วยความเหยียดหยามมองสบโดยไม่ละไปที่อื่นจวบจนรสชาติหวานซ่าเจือปนด้วยกลิ่นบุหรี่จะถอยห่างออกไป

 

“ค่าปิดปากล่วงหน้า...นะครับ”


 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
คุยกับเช่!

จูบ จูบ จูบ จูบเต็มไปหมดเลย!!! ทำไมใช้น้ำลายเปลืองกันจังเลยตอนนี้ =3=  :hao7: :hao7: :hao7:

รัณย์ของเช่ ชักจะเหมือนตัวร้ายในละครหลังข่าวเข้าไปทุกที นอกจากรักเด็กแล้วฉันหาข้อดีแกไม่เจอเลยนะ!

แถมยังชอบแกล้งน้องปูนอีก (แอบมีจิ้น รัณย์ปูน ไปวูบนึง555) แกล้งคนโปรดเช่มากๆระวังโดนเปลี่ยนพระเอก!

 

สักพักเช่จะหาอิมเมจตัวละครหลักๆมาลงให้ดูเพิ่มนอกจากคู่พระนาง(?) นะคนับ! กำลังกวานหาอิมเมจน้องปูนอย่างแข็งขัน

ความหวาน(?) เริ่มเข้ามาแล้ว อยากรู้จริงๆเลยว่าพ่อกาลจะสอนให้น้ารัณย์ทำลูกยังไง หึหึ  :m25: :hao6:

 

ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตนะคนับ ตอนนี้หลบดราม่ามาให้พักหายใจหายคอกันหน่อย หวังว่าคงชอบ

ตอนต่อไปได้อัพเมื่อไหร่จะบอกนะ ตามกันได้ที่แฟนเพจและกล่องคอมเม้นต์คนับ! #รัก


 

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ปูนช็อคตายไปแล้วมั้ง :katai1:

แอบเหมือนว่ารัณย์จะคล้ายๆกับนทีเลย กลัวไม่อยากให้สองคนนี้เหมือนกัน

ถ้าสุดท้ายกาลต้องเจ็บซ้ำอีกจะทำยังไง :sad4:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้ออ!! สงสารกาลเหมือนกันนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด