15th Night
…Dinner...
รัตติกาลเคยคิดว่า บนโลกนี้คนที่กล้ากวนประสาทเขาเวลาที่หงุดหงิดคงมีแค่คนเดียว แต่ดูเหมือนเขาคงต้องบันทึกชื่อ ‘อารัณย์’ เข้าไปเป็นหนึ่งในบุคคลที่ไม่มีความรักตัวกลัวตายอีกคน
“มองหน้าทำไมครับคุณ กินเข้าไปซิของดีๆทั้งนั้น”
อารัณย์พูดว่าก่อนจะหันไปตักเนื้อปลาแซลมอนที่ถูกย่างจนได้สีสวยคลุกเคล้ากับผักและน้ำยารสไม่จัดมากให้รพีซึ่งยกมือไหว้ขอบคุณชายหนุ่มอย่างมีมารยาท ร่างสูงยิ้มรับท่าทางนั้นก่อนจะหันมารับประทานอาหารในจานตัวเองต่อโดยไม่คิดจะเซ้าซี้เจ้าของบ้านให้ทานอาหารตรงหน้าอย่างที่บอกอีก รัตติกาลนั่งกำช้อนและส้อมในมือตัวเองแน่นอย่างไม่พอใจ ที่แขกของลูกชายเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการภายในบ้านของเขาราวกับเป็นเจ้านายคนหนึ่ง
‘นิ่ม ขอยาดมให้คุณรัตติกาลหน่อย’
‘จะทำสเต็กหรอครับป้า นี่ก็ค่ำแล้วผมว่าเปลี่ยนเป็นเมนูเบาๆดีกว่า ยำแซลมอนก็ดีนะ พีชอบไหมครับ?’
‘เห้ยนิล! เบค่อนนี่มึงซื้อมาหรอวะ ถ้าได้เบียร์แกล้มสักหน่อยนะ... พวกไม่ต้องทำงานกับเด็กน่าอิจฉาชะมัด’
‘พีล้างมือก่อนครับ ค่อยมากินข้าวกัน’
‘นี่คุณน่ะ จะนั่งหน้าบึ้งอีกนานไหม มานั่งสิคนอื่นเขารอกินข้าวอยู่!’
นิลชำเลืองมองหน้าเพื่อนรักนั่งจ้องแขกที่ทำตัวราวกับเจ้าของบ้านเขม็งอย่างไม่พอใจ ตั้งแต่อารัณย์ลากรัตติกาลเข้ามาในบ้าน ร่างสูงที่มาถึงก่อนก็แสดงน้ำใจแบบแปลกๆด้วยการจัดการคนงานของบ้านชนิดไม่ไว้หน้านายจ้างตัวจริง แล้วยังลามมาถึงรพีและเขาที่พลอยกลายมาเป็นเครื่องมือที่อารัณย์ใช้กวนประสาทรัตติกาลซึ่งทำหน้าไม่รับแขกจนสาวใช้ไม่กล้าเดินเข้ามาใกล้
ร่างสูงหันควับไปพูดคุยกับป้าจันทร์ว่าขอให้ตักข้าวเพิ่มทันทีที่รัตติกาลเบนหน้าหันมามองที่ตนอย่างคาดโทษ นิลขอโทษเพื่อนรักในใจรวมแล้วสามจบถ้วน ข้อหาให้รพีเชิญอารัณย์ที่เขาเพิ่งรู้ว่าทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่โรงเรียนเดียวกับลูกชายของเพื่อนให้มาทานอาหารด้วยกันเพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลรพีให้ โดยเฉพาะในวันที่เด็กชายเกิดอาการงอแงเพราะเป็นห่วงคนเป็นพ่อ
ทั้งที่เจตนาของเขาดีแท้ๆแต่ดันมีปัญหาตรงที่เจ้าเพื่อนตัวดีและแขกผู้มาเยือนดูท่าจะไม่กินเส้นกันมากกว่าที่เขาคิด เรื่องของรพีก็ผ่านมาสักพักแล้วใครจะไปรู้ว่ารัตติกาลจะยังผูกใจเจ็บอยู่ แถมตาอารัณย์นี่ก็กวนประสาทเพื่อนเขาแบบหน้านิ่งๆทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา ผลซวยเลยมาตกอยู่ที่นายนิลคนนี้ ที่หวังดีแสดงน้ำใจอย่างไม่เข้าท่า แต่ก็นะตอนนั้นรัตติกาลเองก็ยัง ‘ยุ่ง’ อยู่กับเด็กที่ชื่อปูนไม่มีเวลามาทักท้วงการตัดสินใจของเขา จะโทษกันฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนะเพื่อน...
“พ่อกาลไม่กินหรอฮะ”
รพีที่เห็นคนเป็นพ่อยังไม่กินอะไรเลยสักคำ เอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง รัตติกาลที่ยังหงุดหงิดเผลอตวัดสายตาไปจ้องรพีอย่างไม่สบอารมณ์จนเจ้าตัวเล็กผงะด้วยความตกใจ ใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับหมองลงเมื่อรู้ว่าคนที่ตนรักกำลังอารมณ์ไม่ดี แม้จะอยากพูดคุยด้วยอีกแต่ก็ไม่กล้าเซ้าซี้ไปมากกว่านี้
อารัณย์มองเด็กชายที่เมื่อครู่ยังทานอาหารด้วยความอร่อย นั่งเขี่ยข้าวในจานไปมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ชายหนุ่มหันไปมองหน้าคนอารมณ์ร้ายวางช้อนลงกระแทกกับจานก่อนจะหันมองออกไปนอกบ้าน ทำท่าราวกับว่าไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวนี้แม้แต่วินาทีเดียว
ร่างสูงคงจะเข้าไปกระชากคอเสื้อถามว่าจะทำตัวงี่เง่าไปถึงไหน ก็รู้หรอกว่าเขาก็ผิดที่แกล้งแหย่รัตติกาลมากเกินไป แต่เพราะกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่พอจะแยกออกว่ามีมากกว่าหนึ่งกลิ่นตีกันทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวไปทำอะไรมาก่อนกลับมาจากบ้าน ไม่ได้อยากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องบนเตียงของใคร แต่พอนึกถึงรพีขึ้นมาก็อดที่จะนึกตำหนิอีกฝ่ายไม่ได้ หนำซ้ำนี่เป็นอีกครั้งที่รัตติกาลกำลังทำสิ่งที่อารัณย์เกลียดที่สุด
“กินซะ”
ร่างสูงตักยำและผัดผักใส่จานของรัตติกาลเป็นการขอโทษในแบบของเขาและบังคับให้อีกฝ่ายลงมือทานข้าวอย่างกลายๆ แต่เจ้าของจานกลับทำเพียงแค่ปรายตามองแล้วหันไปให้ความสนใจกับทีวีที่กำลังฉายข่าวภาคค่ำราวกับว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ลำพังถ้าแค่รัตติกาล อารัณย์ก็คงไม่นึกแคร์อะไรถ้าใครจะประชดเขาด้วยการไม่กินข้าวกินปลา แต่เด็กชายที่มองพ่อของตนด้วยความเป็นห่วง อยากจะพูดด้วยแต่ก็ไม่กล้า ทำให้อารัณย์เกิดความรู้สึกผิดเล็กๆที่ทำให้รพีต้องมารู้สึกแย่ทั้งที่เวลาที่ได้อยู่กับพ่อคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับรพี และเจ้าตัวก็ได้เตรียมของบางอย่างไว้ให้บิดาตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียน
“ไม่ทันไรจะก็ดีแตก หึ อ่อนชะมัด”
เสียงพูดคุยเบาลงกลายเป็นเพียงเสียงกระซิบ รัตติกาลหันมามองคนที่พูดกับตนด้วยความไม่พอใจที่อีกฝ่ายยุยงเขาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอวดดี หนำซ้ำเป็นเพราะคำพูดนั้นทำให้รัตติกาลรู้ตัวว่าเขาเองได้ทำพลาดไปอีกครั้ง ด้วยการปล่อยให้อารมณ์หงุดหงิดเข้าครอบงำจนพาลแสดงท่าทางไม่เหมาะสมใส่รพีจนทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ และภาพลักษณ์พ่อแสนดีที่ตนกำลังสร้าง ถูกสั่นคลอนด้วยคนนอกเพียงคนเดียว
แม้จะเจ็บใจที่ต้องปั้นหน้าเพราะคำพูดของอารัณย์ แต่เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า รัตติกาลจึงถอนหายใจแล้วหันไปส่งยิ้มอ่อนให้รพีที่หน้าเสีย ตักไข่ตุ๋นของโปรดเด็กชายเสียพูนช้อนแล้วป้อนให้รพีที่ทำท่าทางอึกอักเพราะปรับอารมณ์ตามไม่ทันเมื่อเขายื่นช้อนไปให้
“กินสิ พ่อป้อน”
รพีรับเอาไข่ตุ๋นคำโตมาเคี้ยวไว้เสียเต็มปาก รัตติกาลเห็นร่างป้อมกลับมาอารมณ์ดีได้อย่างเดิมก็เริ่มทานอาหารในจานของตัวเอง แต่ก็ไว้เชิงไม่กินกับข้าวที่อารัณย์ตักไว้ให้เสียจนเต็มจาน ร่างสูงส่งเสียงหึ ออกมาเบาๆกับการพยายามเอาชนะแบบเด็กๆของรัตติกาล แต่ขอแค่รพียิ้มได้เขาก็เลือกที่จะสงบปากสงบคำแล้วดำเนินมื้ออาหารนี้ต่อไปท่ามกลางความโล่งใจของจันทร์และนิล ที่คอยลุ้นเสียจนตัวเกร็งเพราะกลัวว่ารัตติกาลจะอาละวาดอีก
“พ่อกาลฮะ...พีทำนี่มาให้”
.
.
.
.
.
หลังจากทานอาหารเสร็จรัตติกาลที่นั่งดูรายการสารคดีสัตว์อยู่ในห้องนั่งเล่นขณะนิลและอารัณย์อยู่คุยกับจันทร์อยู่หลังบ้าน รพีก็วิ่งเข้ามาหาเขาพร้อมกับซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างหลังแล้วยื่นมันให้กับเขาด้วยท่าทีประหม่า
รัตติหันมามองการ์ดใบเล็กในมือของลูกชายที่ยื่นมันให้กับตน ชายหนุ่มรับกระดาษใบน้อยไว้ด้วยรอยยิ้มก่อนจะอ่านตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมือแบบเด็กๆของเจ้าของ ซึ่งเขียนไว้ว่า ‘ขอให้พ่อหายป่วย’ ประดับด้วยรูปวาดต่างๆคล้ายกับรูปที่รพีเคยนำมาให้เขาดูในคราวที่ได้รับคำชมจากครู
“วาดรูปเก่งขึ้นนะ”
รัตติกาล เผลอเอ่ยชมเด็กชายออกมาจากใจจริง แต่มันก็เป็นเรื่องดีเพราะรพีที่เคยมีท่าทางไม่มั่นใจกลับระบายยิ้มเสียจนตาหยี่ ร่างป้อมปีนขึ้นมาบนโซฟาตัวเขื่องแล้วกอดเขาเสียจนเต็มแรงด้วยความดีใจ รัตติกาลยกมือข้างที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลขึ้นลูบกลุ่มผมสีดำสนิทเบาๆเพื่อแทนคำขอบคุณ
“พ่อกาลมีความสุขไหมฮะ”
“หืม ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ?”
“ก็...ตอบพีมาก่อนสิ นะๆ”
“อืม พ่อมีความสุข”
ร่างโปร่งยิ้มให้ลูกชายปกปิดความจริงเบื้องหลังโกหกไว้ไม่ให้ใครรู้ แม้จะไม่ใช่รอยยิ้มที่สดใสที่สุดแต่รพีก็รู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาจนต้องกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นไปอีก หัวทุยถูแผ่นอกกว้างของบิดาด้วยความรักเลยไม่ทันได้เห็นยามที่รอยยิ้มประดิษฐ์นั้นเลือนหายหลงเหลือไว้แต่ความเย็นชาในดวงตาที่มองมายังตน
“พีจะพยายามนะฮะ”
“?”
“น้ารัณย์บอกว่า ถ้าคนที่เรารักมีความสุข เราก็จะมีความสุข...ตอนนี้พีมีความสุขมากก็เพราะพ่อกาล”
“...”
“พีรักพ่อนะ”
รัตติกาลยังคงลูบหัวของลูกชายนอกสายเลือดอย่างแผ่วเบาไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแม้แต่คำโกหกที่สมควรพูด สายตาว่างเปล่ามองดูกระดาษแผ่นน้อยในมือด้วยความรู้สึกหลากหลายทั้งอยากเก็บมันไว้และอยากเผาไหม้มันให้เป็นจุณไม่เหลือแม้ธุลี ท่าทางซื่อๆของรพี ทำให้รัตติกาลอยากบอกเด็กชายถึงอีกด้านของคำสอนที่อารัณย์คงไม่ได้บอกให้ฟัง ว่าแม้ความสุขจากการให้มันจะยิ่งใหญ่และน่ายินดีแค่ไหน แต่สุดท้ายเมื่อให้ไปจนหมดโดยไม่เคยได้รับอะไรกลับมา ตัวเรานั่นแหละที่จะไม่เหลืออะไรเลย...
.
.
.
.
.
ร่างโปร่งมองของสองสิ่งในมือด้วยสายตาเรียบนิ่ง หนึ่งคือของขวัญจากลูกชายนอกสายเลือดที่เต็มไปด้วยความรู้สึก และอีกหนึ่งคือของขวัญจากคนเคยรักที่ไม่เคยตัดใจทิ้งมันได้ลงสักที ฝาซิปโป้ถูกเปิดปิดด้วยมือข้างเดียว เปลวไฟถูกจุดขึ้นและดับลงท่ามกลางความมืดมิด
แผ่นหลังของรัตติกาลเอนพิงกำแพงมุมข้างบ่อน้ำของบ้านอยู่พักใหญ่ ใบหน้าหวานคมที่สว่างขึ้นเพราะแสงจากเปลวไฟฉายแววสับสนพร้อมกับฝาซิปโป้ที่เปิดค้าง ริมฝีปากสีชาดเม้มกันจนเป็นเส้นตรงก่อนเจ้าของมันจะตัดสินใจยื่นกระดาษแผ่นน้อยในมือข้างขวามาใกล้กับความร้อนแรงนั้นจนขอบการ์ดเริ่มกลายเป็นสีน้ำตาล
‘พีรักพ่อนะ’คำพูดของรพีดังขึ้นในหัวก่อนที่เปลวไฟจะเผาไหม้กระดาษนั้นตรงๆ ความลังเลผุดขึ้นในหัวใจทุกขณะจิต รัตติกาลชะงักมือของตนไว้ทันทีที่คำพูดนั้นย้อนกลับเข้ามาในหัว ไม่อยากยอมรับแต่ก็รู้ดีว่าหัวใจของเขาเต้นแรงแค่ไหนเมื่อได้ฟังคำๆนั้นจากปากคนที่ตัวเองชิงชัง ทั้งที่เกลียดแต่ดันเผลอรู้สึกเต็มตื้นเพราะสิ่งที่ตัวเองสิ้นศรัทธาไปแล้วเสียได้
‘พี่รักกาลนะ’ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายผู้ให้กำเนินที่แท้จริง ถูกซ้อนทับด้วยรอยยิ้มและคำพูดหลอกลวงของผู้ล่วงลับที่ยังตามหลอกหลอน ความอบอุ่นในหัวใจถูกถมซ้ำด้วยฝันร้ายจนไม่อยากยอมรับความพองโตในหัวใจที่เกิดจากคำว่ารักที่ได้รับจากรพี ร่างโปร่งสูดหายใจราวกับรวบรวมความกล้า มือที่เคยหยุดไปเคลื่อนเอาของขวัญจากลูกชายเข้าสู่เปลวไฟช้าๆ สิ่งแทนใจของรพีกำลังถูกแผดเผาด้วยของขวัญจากพ่อแท้ๆจนลูกไฟดวงเล็กขยายใหญ่ขึ้น แต่ยังไม่ทันไรเสียงสวบสาบก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังพร้อมกับเสียงพูดอย่างเกรี้ยวกราดจากแขกของบ้านที่โผล่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ
“ต่อให้ทำยังไงก็คิดไม่ได้เลยสินะ!”
กระดาษในมือ ถูกกระชากเอาไปก่อนอารัณย์จะจับมันตบลงกับพื้นดินชื้นใกล้ๆจนเปลวไฟเริ่มมอดแล้วดับสนิทลง อารัณย์ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่รพีเลือกใช้สีเทียนในการระบายเสียจนเต็มแผ่นจนกระดาษไม่ไหม้เร็วอย่างที่ควร แววที่ขุ่นเคืองปนด้วยความผิดหวังจ้องมองไปยังรัตติกาลที่ยังคงยืนนิ่งราวกับรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องเดินออกมาขวาง
“นึกว่าจะออกมาเร็วกว่านี้ซะอีก”
“กำลังลองใจว่าคนเราจะพัฒนาขึ้นบ้างไหม แต่ดูเหมือนว่ากูจะมองมึงในแง่ดีมากเกินไป”
“ปกติผมก็ไม่ใช่คนว่ายาก แต่ครั้งนี้พิเศษ คราวนี้ถือซะว่าตอบแทนเรื่องบนโต๊ะอาหารแล้วกัน”
“หึ พลาดแล้วพาลแบบนี้ ไม่น่าใช่นิสัยของคนที่โตพอจะเป็นพ่อคนได้”
“เรื่องพาล พวกผู้ใหญ่ก็ชอบทำไม่แพ้เด็กๆนั่นแหละ แล้วก็นะ คุณก็ไม่ได้มองว่าผมเหมาะกับการเป็นพ่อมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่รึไง”
รัตติกาลกระตุกยิ้มก่อนจะใช้ซิปโป้เก่าในมือจุดมวนบุหรี่ตัวโปรดแล้วอัดควันเข้าเต็มปอด ร่างโปร่งสาวเท้าเข้ามาใกล้อารัณย์แล้วคว้าเอาของขวัญที่พี่เลี้ยงคนเก่งพยายามรักษามันไว้ แต่อารัณย์กลับไม่ยอมมอบมันกลับให้เขา ดวงตาดุดันจ้องเขม็งมาที่ริมฝีปากสีสวยที่คาบแท่งกระดาษม้วนเอาไว้อย่างไม่ชอบใจ รัตติกาลยักไหล่อย่างไว้ท่าแต่ก็ยอมสูดควันส่งท้ายจนชุ่มปอดแล้วทิ้งมันลงกับพื้นหญ้าตามที่อีกฝ่ายต้องการพร้อมกับแบมือเพื่อขอของตัวเองคืนอีกครั้ง
“รพีตั้งใจทำมันมาก ตั้งแต่เช้าเขาแทบไม่เป็นอันเรียนจนครูเป็นห่วงกันไปหมด แต่พอกระตุ้นว่าน่าจะทำอะไรให้มึง เด็กนั่นก็ตั้งใจจนไม่ลืมหูลืมตา”
“เห็นรพีบอกว่าคุณพูดอะไรไร้สาระให้ฟัง”
“ก็อาจจะไร้สาระอย่างที่ว่า สำหรับคนที่คิดถึงแต่ตัวเองแบบมึง”
“ธรรมชาติของมนุษย์ต่างหาก ไม่มีใครอยากเล่นบทเป็นฮีโร่พี่เลี้ยงเด็กแบบคุณนักหรอก ถามจริงคิดยังไงมาทำอาชีพนี้”
“ก็แค่เบื่อทำงานกับผู้ใหญ่ตอแหล อยู่กับเด็กแล้วสบายใจกว่า”
อารัณย์ตั้งใจพูดกระทบกระทั่งอีกฝ่าย แต่รัตติกาลก็ยังคงนิ่ง ใบหน้าหวานคมพยักไปมาราวกับฟังเรื่องดินฟ้าอากาศ หยิบการ์ดที่ไหม้ไปเล็กน้อยพลิกไปมาเพื่อสำรวจความเสียหายทำเหมือนกับมันน่าสนใจเสียเต็มประดา
“จะทำยังไงกับมัน”
“หมายถึงอะไร การ์ด? หรือรพี?”
“ทั้งสองอย่าง”
“ก็ไม่ทำอะไร แค่เก็บไว้”
“ทั้งสองอย่าง?”
“อืม ทั้งสองอย่าง”
“จนถึงเมื่อไหร่ล่ะ?”
“...”
“จะแกล้งทำดีกับรพีไปถึงเมื่อไหร่...”
“ไม่คิดว่าคุณจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน ที่เคยบอกว่าจะจับผมให้ได้นั่น ยอมแพ้แล้วไปแล้วรึไง”
“ไม่ ตอนนี้ก็ทำอยู่ แค่อยากรู้ว่ามึงจะทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”
“ความอดทนน้อยกว่าที่คิด”
“ใครจะเหมือนรพี ที่ทนให้คุณโขกสับมาได้จนอายุขนาดนี้”
“ผมไม่เคยขอให้เขาทน”
“แค่ตีสองหน้าเป็นพ่อที่ดีเพื่อให้เด็กนั่นขาดมึงไม่ได้...ใช่ไหมล่ะ”
รัตติกาลเบิกตากว้างอย่างตกใจเพียงครู่ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง ผิดกับอารัณย์ที่ยังคงยืนนิ่งไม่ยินดียินร้ายกับกริยาดังกล่าว ร่างโปร่งพยายามหยุดร่างกายที่สั่นเทาจากการหัวเราะ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงรื่นเริงเสียเต็มประดา
“เดาเก่งนิ ผมควรให้รางวัลอะไรคุณไหม”
“ขออัดหน้ามึงแรงๆสักที ไม่สิ ขอหลายๆที”
“ผมไม่ชอบความรุนแรง”
“เทียบกับมึงคนเมื่อคืนแล้วไม่น่าจะใช่”
“ก็แค่เมาน่ะ แต่ประเด็นคือคำตอบของคุณมันยังไม่สมบูรณ์”
“หมายความว่า...”
“มันยังมีตอนต่อ... คุณคิดว่าผมจะทำอะไรกับลูกของตัวเองต่อล่ะ”
อารัณย์สบตาคนที่เดินมาใกล้เขามากขึ้นจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน รัตติกาลเงยหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะยกยิ้มที่ใครๆมักมองว่ามันมีเสน่ห์ให้อีกฝ่ายแล้วผละออกมา ร่างโปร่งโบกมือให้น้อยๆแทนคำอำลาแล้วหันหน้าเพื่อเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่ขายาวที่กำลังก้าวเดินก็หยุดชะงักลงเพราะคำถามที่เมื่อก่อนทั้งนิลและจันทร์มักจะถามเขาอยู่เสมอ และครั้งนี้อารัณย์ก็เป็นผู้ที่ถามมันกับเขาอีกครั้ง
“ทำไมมึงถึงเกลียดรพีขนาดนั้น เด็กนั่นทำผิดอะไร”
“ไม่...รพีไม่ได้ทำอะไรผิด”
“...”
“ก็แค่...ปล่อยให้มีความสุขไม่ได้”
“ไม่มีเหตุผล”
“มีสิ...เหตุผลน่ะ มีอยู่แล้ว”
รัตติกาลเอ่ยด้วยเสียงเรียบเย็นจนคนฟังทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงเส้นขนที่ลุกชัน ร่างโปร่งหันมาสบตาอารัณย์อีกครั้งด้วยสายตาที่แสนว่างเปล่า ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไปโดยไม่หันกลับไปมองอารัณย์ที่ยืนอยู่ที่เดิม และไม่ทันได้สังเกตเห็นนิลที่หลบอยู่ข้างเสา
“ถ้าหาเหตุผลที่ว่าเจอ...กูจะหยุดมึงได้ไหม รัตติกาล”
.
.
.
.
.
ภายในห้องพักที่ติดแอร์เย็นช่ำต่างจากห้องขังร้อนระอุที่อยู่ติดกัน โต๊ะทำงานที่ฤทธิชาติเคยคิดว่ามันใหญ่ไปเกินกว่าความจำเป็นถูกกองเอกสารมากมายเกี่ยวกับคดีอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่จังหวัดลำปาง เมื่อประมานหกปีที่แล้ว ภาพของผู้เสียชีวิตทั้งสองรายเป็นชายและหญิงอายุยี่สิบห้าปี คือ ’นายนที กวีวิมนตร์’ และ ‘นางสาวพะแพง มหาเกียรติ’ ถูกวางไว้เด่นหร่าโดยข้างๆเป็นเอกสารของตำรวจในพื้นที่ที่นายตำรวจหนุ่มเพิ่งได้รับมาในช่วงสายของเมื่อวาน
วันเกิดเหตุทั้งคู่กำลังเดินทางไปยังรีสอร์ทเพื่อพักผ่อนฉลองสิ้นปี ณ จุดเกิดเหตุ เวลาประมาน 15.00 นาฬิกา รถยนต์โดยสารส่วนบุคคลของนายนทีได้ถูกรถบรรทุกสิบล้อพุ่งชนโดยการผ่าไฟแดงบริเวณสี่แยกก่อนถึงตัวเมือง จากการสืบสวนพบผู้พนักงานขับรถบรรทุกเกิดการหลับในจนเป็นเหตุทำให้ สองสามีภรรยาได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนจะเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา โดยทางญาติผู้เสียชีวิตไม่ติดใจในสาเหตุการตายสอดคล้องกับผลการชันสูตรศพจากสถาบันนิติเวชของโรงพยาบาล
ฤทธิชาติปลดกระดุมชุดเครื่องแบบของตนออกจนเหลือเพียงแต่เสื้อยืดคอกลมมีตรากรมตำรวจประดับอยู่ ชายหนุ่มหยิบเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องเบอร์ส่วนตัวที่กำลังสั่นอย่างเอาเป็นเอาตายขึ้นดูก่อนจะยกยิ้มที่ใครๆมักบอกว่ามันดูเจ้าเล่ห์ผิดกับภาพลักษณ์ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นชื่อของคนปลายสายที่โทรมาหาเขาเร็วกว่าที่คิด ร่างสูงทิ้งให้มันสั่นอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปโดยไม่เปิดช่องให้คนโทรมาได้พูดอะไรก่อน
“คุณติดหนี้ผมก้อนใหญ่แล้ว เตรียมเลี้ยงข้าวผมได้เลย”