Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...  (อ่าน 131869 ครั้ง)

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

33rd Night

…Promise...





“กาล ทำไมไม่ลงมาว่ายน้ำด้วยกันล่ะ”


รัตติกาลเงยหน้าขึ้นจากหนังสือแล้วมองไปยังคนที่ทิ้งขาทั้งสองข้างลงไปในสระบัวใหญ่ของบ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ


“ผมไม่ชอบ”


“หื้ม มีของที่กาลไม่ชอบด้วยหรอ”


“มีสิ อย่างน้อยก็พี่คนหนึ่งแหละที่ผมไม่ชอบ”


“แต่ว่ารักเลย”


นทีหัวเราะร่าออกมาเมื่อรัตติกาลไม่ได้ทัดทานคำพูดของตนเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มโยกตัวไปข้างหน้า หวังที่จะคว้าดอกบัวสีชมพูสดที่บานอยู่ริมสระเอามาไว้เป็นของตัวเองไม่ได้ แต่เพราะว่าอยู่ไกลเกินไป คนที่ทำอะไรไม่ประมานตนจึงร่วงลงสู่ผืนน้ำโดยไม่ทันได้ระวัง



ตู้ม!!




“พี่ที!”


รัตติกาลทิ้งหนังสือเล่มหนาที่อ่านค้างไว้ไปโดยไม่ใยดี เขารีบรุดไปจนถึงริมสระน้ำใหญ่ที่ท้องน้ำกระเพื่อมเป็นคลื่นเพราะร่างของนทีที่ตะเกียดตะกายอยู่ในนั้น


“กาลช่วยพี่ด้วย! ช่วยด้วย!”


“พี่ที จับนี่ไว้ครับ!”


ร่างโปร่งคว้าเอาไม้พายของเรือที่จอดเทียบอยู่ใกล้ๆยื่นไปให้อีกคนใช้จับ แต่ว่านทีกลับเอื้อมไม่ถึงมันสักครั้งทั้งที่อยู่ใกล้ขนาดนั้นแค่เพียงช่วงแขน ชายหนุ่มยังคงร้องขอความช่วยเหลืออย่างทุรนทุราย ใบหน้าหล่อเหลาดำพุดดำว่ายอยู่อย่างนั้นจนไม่หลงเหลือเค้าเดิมให้เห็น


รัตติกาลสั่นเทิมไปทั้งตัว เขาพยายามร้องขอความช่วยเหลือแต่น่าแปลกที่คนงานของบ้านซึ่งปกติจะอยู่ใกล้ๆกลับไม่มีใครเดินผ่านมาทางนี้เลยแม้แต่คนเดียว ร่างโปร่งมองคนรักอย่างลังเล เขาอยากจะกระโจนลงไปในนั่นแต่ความดำมืดของมันกลับทำให้รัตติกาลก้าวขาไม่ออก ความทรงจำเลวร้ายสมัยเด็กย้อนกลับมาย้ำเตือนไม่ให้เขาคิดหาเรื่องใส่ตัว แต่ในขณะเดียวกันความรักและเป็นห่วงในตัวนทีก็บอกให้เขาลงไปช่วยอีกฝ่าย


“กาล...”


ชายหนุ่มเบิกตาโพลงเมื่อเวลาไม่เคยหยุดรอให้เขาตัดสินใจ ร่างของนทีค่อยๆถูกกลืนหายไปพร้อมกับแรงกระเพื่อมที่เริ่มสงบลงอีกครั้ง


“พี่ที พี่อยู่ไหน ผมไม่ตลกด้วยนะ!”


รัตติกาลไม่สามารถแม้แต่จะควบคุมเสียงของตนไม่ให้สั่น เขาเขยิบเข้าไปใกล้สระมากขึ้นแต่ก็ผงะถอยหลังออกมาเหมือนเป็นปฏิกิริยาต่อต้านของร่างกาย ชายหนุ่มครางฮือนึกเกลียดตัวเองขึ้นมาจับใจที่ขี้ขลาดเกินกว่าจะก้าวข้ามความกลัวของตนเอง ปลายเล็บแหลมจิกเข้าที่ต้นขาข้างขวา รัตติกาลพยายามเรียกสติให้ตัวเองก่อนที่อะไรจะสายเกินแก้ แต่มันก็ยังช้าไปอยู่ดี...


“โห้ย กาล! ไม่คิดจะลงมาช่วยพี่เลยหรอ!”


ร่างของนทีที่จมหายไปจู่ๆก็โผล่พรวดขึ้นมาบนผิวน้ำ ชายหนุ่มที่เปียกปอนไปทั้งตัวลูบน้ำออกจากหน้าของตนก่อนจะเสยผมให้ปรกไปทางด้านหลัง รัตติกาลนิ่งค้าง เขาอยากจะตบหน้าตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่ามันไม่ใช่ฝันแต่สิ่งทำได้มีเพียงแค่การนั่งนิ่งแล้วรู้สึกชาไปทั้งใบหน้าเท่านั้น


“พี่ที...”


“ก็พี่น่ะสิ เห็นว่าเป็นใครล่ะนั่น”


“พี่ที...จริงๆหรอ แล้วเมื่อกี้มัน...”


“...เมื่อกี้พี่แกล้งเล่น ก็กาลเอาแต่อ่านหนังสือ”


“...”


“กาล?”


“พี่แม่งเหี้ยว่ะ!!!”


รัตติกาลตะโกนกร้าวก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับไปยังเปลญวนซึ่งผูกไว้ใต้ไม้ใหญ่ใกล้ๆกัน เขาหยิบเอาหนังสือและโทรศัพท์ที่โยนทิ้งไว้เพราะความเป็นห่วงชายที่นำความตายของตัวเองมาล้อเล่นโดยไม่สนใจเลยว่ามันจะเสียหายหรือไม่ ในขณะที่อีกฝ่ายกลับไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นห่วงแค่ไหน


“กาลโกรธพี่หรอ”


นทีสวมกอดร่างกายที่สั่นเพราะแรงอารมณ์จากทางด้านหลัง รัตติกาลพยายามขืนตัวออกแต่ผู้รุกรานกลับไม่ปล่อยให้อีกคนได้ทำตามใจ


“ปล่อย ผมจะกลับห้อง!”


“ใจเย็นสิกาล โมโหอะไรเนี่ย พี่ไม่ใช่หรอที่ควรโกรธน่ะ”


รัตติกาลทำหน้าบึ้งเมื่ออีกคนก้มลงสูดความหอมจากแก้มขาวซีด เขาพยายามปัดสัมผัสนั้นออกแต่ก็โดนนทีจับมือเอาไว้ก่อนจะบีบให้แน่นขึ้นอีกเพราะรัตติกาลยังไม่หยุดพยศ


“...ทำไมต้องทำแบบนี้ ผมไม่สนุกด้วยหรอกนะ”


“ขอโทษๆ ก็กาลอยากน่าแกล้งเองนิ”


“โรคจิต”


“แต่ก็นะ อย่างน้อยมันก็ทำให้พี่รู้ว่ากาลไม่ห่วงพี่เลย”


นทีเกยคางลงบนไหล่ของรัตติกาลจนเสื้อสีขาวเปียกชื้นตามไปด้วย รัตติกาลขนลุกชูชันเมื่อผิวกายที่เย็นเฉียบของร่างสูงทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังจมอยู่ในน้ำ


“ถ้าพี่จมน้ำไปจริงๆ...ก็คงตายไปแล้ว”


“พี่ที...”


“ถ้าพี่ตาย...กาลคงดีใจใช่ไหม”


“...!”


“ใช่ไหม...รัตติกาล”


รัตติกาลรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก เขาพยายามโกยลมหายใจเข้าปอดโดยที่ในขณะเดียวกันนั้นแรงบีบรัดรอบตัวก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น ร่างโปร่งรู้สึกได้ว่าไหล่ของเขาเปียกมากกว่าเดิม ของเหลวบางอย่างกำลังไหลไปตามท่อนแขนที่ไร้เรี่ยวแรง เขาก้มหน้าลงก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นพื้นหญ้าที่เหยียบอยู่นั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงชาดเช่นเดียวกับร่างของเขา



“กาลทิ้งพี่...กาลทิ้งพี่ทำไม”



“ผมเปล่า ผมไม่ได้ทิ้งพี่”



“...แล้วกาลยังรักพี่อยู่ไหม”



“ผม...”



“เรายังรักกันอยู่ไหมกาล”




ริมฝีปากของนทีกระซิบคำนั้นอยู่ใกล้ๆเสียจนรัตติกาลรู้สึกถึงริมฝีปากเย็นชืดสัมผัสไปตามใบหู เขากลัวจับใจแต่บางสิ่งบางอย่างกลับดลใจให้เขาหันกลับไปมองก่อนจะกรีดร้องสุดเสียง เมื่อใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ของนทีกำลังจ้องมายังเขาด้วยดวงตาไร้แววสีแดงก่ำคู่นั้น




“กาลจะไม่ทิ้งพี่ใช่ไหม”









 

“กาล! คุณได้ยินผมไหม กาล!!”


“แค่กๆ”


อารัณย์ยิ้มร่าเมื่อรัตติกาลสำลักน้ำออกมาก่อนจะไอโขลกเสียจนตัวโยน เขาพยุงตัวร่างโปร่งให้นั่งอย่างยากลำบากแล้วลูบแผ่นหลังของรัตติกาลไปด้วยเพื่อให้น้ำที่ค้างอยู่ในคอไหลออกมาให้หมด


“กาลโอเคไหม ค่อยๆหายใจ”


“ผะ ผมอยู่ที่ไหน อึก มันเกิดอะไรขึ้น”


“กาลผลัดตกลงไปในคลอง ผมเลยไปช่วยขึ้นมา”


ร่างสูงมีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อนึกถึงวินาทีชีวิตในตอนที่ได้ยินเสียงตกลงน้ำโครมใหญ่ อารัณย์หันกลับมาแล้วรีบวิ่งกลับไปที่ท่าน้ำทันทีเมื่อไม่เห็นรัตติกาลเดินตามกันมา ผืนน้ำที่กระเพื่อมสั่นคลอนจิตใจจนเขารู้สึกกลัว พี่เลี้ยงหนุ่มกระโจนตามลงไปโดยไม่ยั้งคิด เขาดำผุดดำว่ายอยู่นานพลางขวานหารัตติกาลที่จมหายไปในมวลน้ำที่ดำมืดเช่นเดียวกับความหวังที่ริบหรี่ลงทุกวินาที


จนกระทั่งก่อนลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลง ขาของเขาก็เหมือนกับเตะโดนวัตถุบางอย่าง อารัณย์หันกลับไปมองแล้วรีบรุดไปหาร่างของรัตติกาลที่ไม่ได้สติ เขาใช้แรงทั้งหมดพารัตติกาลกลับขึ้นมาบนผิวน้ำ พยายามรวบรวมสติที่แตกพล่านแล้วปฐมพยาบาลร่างโปร่งอย่าทุลักทุเลแต่ทุกอย่างก็ยังคงนิ่งเงียบ เขาไม่รู้เลยว่าหยดน้ำที่หยดลงบนอกของรัตติกาลนั้นไหลมาจากดวงตาของตัวเองหาใช่ที่ไหน


“ร้องไห้ทำไม”


รัตติกาลที่ยังคงงงงวยสัมผัสแก้มสากของอารัณย์แผ่วเบา เขาใช้นิ้วลูบไปตามเปลือกตาที่ขึ้นสีแดงตัดกับความขาวซีด อารัณย์กำลังร้องไห้ ริมฝีปากที่เพิ่งมอบความวาบหวามให้เขาเม้มแน่นจนกลายเป็นเส้นตรง ในวินาทีนั้นรัตติกาลจึงเพิ่งระลึกได้ถึงเหตุผลที่อารัณย์แสดงความอ่อนแอออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็น


“ผมไม่เป็นอะไรแล้วรัณย์ ผมยังอยู่กับคุณ”


“...”


“มานี่สิ”


อารัณย์โผเข้าหารัตติกาลที่พยายามโอบกอดคนตัวโตไว้อย่างสุดความสามารถ ตัวของอารัณย์สั่นยิ่งกว่าเขาที่หนาวไปจนถึงกระดูก ไม่มีเสียงสะอื้นหรือคำพูดใดๆ ร่างสูงเพียงกอดกักเขาไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีเพื่อยืนยันทุกอย่างจะไม่เป็นไร


รัตติกาลรอจนกว่าอารัณย์จะสงบลงจนร่างสูงพาเขากลับมายังบ้านพักด้วยการพยุงไว้ทั้งตัวจนเกือบจะกลายเป็นการอุ้มหากแต่เขาไม่ได้บอบบางเสียจนอีกคนสามารถทำแบบนั้นได้


ทั้งคู่พากันไปยังห้องน้ำที่อยู่ชั้นล่างของบ้าน รัตติกาลถอดเสื้อผ้าออกพลางจามออกมาโครมใหญ่เมื่อความหนาวเริ่มทำพิษ ร่างโปร่งกำลังจะหันไปบอกให้อีกคนไปเปลี่ยนเสื้อผ้ารอก่อนเพราะไม่อยากให้เป็นหวัดแต่เขากลับโดนอารัณย์ที่ถอดเสื้อทิ้งไปก่อนแรงผลักให้เข้าไปในห้องน้ำด้วยกันจนแผ่นหลังเปลือยเปล่าปะทะเข้ากับแผ่นไม้เข้าเต็มแรง


“รัณย์! เดี๋ยว!”


อารัณย์ไม่ปล่อยให้รัตติกาลได้พูดต่อ เขากลืนกินริมฝีปากของรัตติกาลด้วยความตะกรุมตะกรามเสียจนร่างโปร่งตั้งรับไม่ทัน ฝ่ามือร้อนสัมผัสไปยังแผ่นอกที่ไร้อาภรณ์แล้วไล่ต่ำลงมาเรื่อยๆจนเกี่ยวเข้ากับกางเกงขายาวที่อมน้ำจนหนักไปทั้งตัว อารัณย์ใช้มือข้างหนึ่งปลดมันออกในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งกำลังโอบรัดส่วนบนของรัตติกาลให้เบียดเข้าหาจนไร้ซึ่งช่องวาง ร่างโปร่งสะดุ้งเฮือกทันทีที่เสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายถูกปลดออกไปพร้อมๆกับกางเกงตัวยาว ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงจัดเมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอารัณย์ด้วยร่างกายแบบไหน


“...กาล”


“หื้อ”


“ไม่โกรธนะ...”


รัตติกาลขบเบาๆบนไหปลาร้าของอารัณย์แทนคำตอบ เขาทำสิ่งเดียวกันให้กับอีกฝ่ายจนส่วนไหวของเขาทั้งคู่ที่เริ่มแข็งตัวขึ้นสัมผัสกันแนบแน่นจนต้องครางออกมาเสียงพร่า รัตติกาลพลิกให้อารัณย์เป็นฝ่ายกลับมายืนชิดกำแพง เขาระดมจูบไปตามไรเคราของร่างสูงอย่างหลงใหลโดยที่มือก็นวดไปตามหัวหน่าวไปด้วยหนักเบาสลับกันไป อารัณย์ร้องซี๊ดออกมาเมื่อฟันคมของรัตติกาลทิ้งรอยเอาไว้ใกล้แอ่งชีพจร ร่างโปร่งยิ้มกริ่มเมื่อตัวเองสามารถทำให้อีกคนทำหน้ากระสันแบบนั้นออกมาได้แต่อารัณย์ก็ไม่น้อยหน้า เขาคว้ารัตติกาลเข้ามากอดก่อนจะฝากรอยไว้ด้วยการกระทำแบบเดียวกัน


“ต้องล้างตัวก่อน”


ร่างโปร่งผละออกมาแต่ก็มีอารัณย์คอยเดินตามไม่ห่าง รัตติกาลใช้ขันตักน้ำราดไปตามตัวของตนและอารัณย์โดยที่คนตัวโตก็หยิบสบู่มาคอยไว้โดยไม่ต้องคอยบอกให้มากความ ฟองสีขาวสะอาดเกิดขึ้นในทุกๆที่ที่มือของอารัณย์ลากผ่าน นิ้วยาวลูบวนรอบๆฐานยอดดอกก่อนจะสะกิดมันเบาๆจนรัตติกาลต้องแอ่นมันเข้าหามือของอีกฝ่ายคล้ายกับการเชื้อเชิญ ร่างสูงมองอาการของคนตรงหน้าด้วยความพอใจเขาจับมือของรัตติกาลให้วางลงบนหน้าขาแล้วดันกลางกายของตัวเองเข้าไปเสียดสีกับมัน แล้วส่งยิ้มกริ่มร้องขอให้ร่างโปร่งทำสิ่งนั้นให้


รัตติกาลเองเมื่อเห็นดังนั้นก็ไม่รอช้า เขาคว้าเอาแท่งแข่งขืนทั้งของตนเองและร่างสูงเอาไว้ด้วยสองมือแล้วขยับสะโพกไปมาให้มันสัมผัสกันในอาณาเขตที่จำกัด ขอบเนื้อป้านสะกิดกันไปมาโดยมีดวงตาทั้งสองคู่จับจ้องอยู่ที่มันด้วยความพอใจ รัตติกาลยิ้มร้ายก่อนจะบีบท่อนเนื้อทั้งสองไว้จนแน่นแล้วสวนกายขึ้นเป็นจังหวะพร้อมๆกับอารัณย์ที่ทำตามอย่างรู้งาน เสียงครางอื้ออึงดังไปทั่งห้องน้ำแคบจากช้าเนิบนาบก่อนค่อยๆเพิ่มความเร็วขึ้นเมื่อารัณย์ใช้นิ้วคีบยอดอกของรัตติกาลไปด้วย


“อือ กาล..”


“อา... แรงอีก อึก อ๊ะ”


อารัณย์เพิ่มแรงที่ปลายนิ้วในขณะที่มีอีกข้างหนึ่งกำลังบีบขยำบั้นท้ายได้รูปของรัตติกาลด้วยความกระสัน เขารู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ไต่สูงขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกับร่างโปร่งที่ที่สะบัดหน้าไปมาเมื่อความร้อนแรงเบื้องล่างทำให้เขาแทบคุมสติตัวเองไว้ไม่อยู่ รัตติกาลหยุดมือขณะที่ค่อยๆทรุดกายลงนั่งชันเขาบนพื้นไม้ เขาดึงให้อารัณย์ลงมานั่งท่าเดียวกันแล้วเขยิบเข้ามาใกล้กันจนขาทั้งสองข้างของตนเกยอยู่บนหน้าขาของอีกฝ่าย อารัณย์และรัตติกาลใช้มือคนละข้างสานต่อความร้อนแรงเมื่อครู่โดยไม่มีใครอิดออด ทั้งคู่มองตากันโดยที่ท่อนเนื้อกำลังเสียดสีกันไปมาจนร้อนเหมือนไฟที่หลอมละลายยางอายให้อ่อนยวยดุจขี้ผึ้ง


“พร้อมกันนะกาล”


“อ๊ะ อือ”


มือทั้งสองเร่งความเร็วขึ้นจนรัตติกาลต้องแอ่นสะโพกเพราะทนความเสียวไม่ไหว เขาเอนหลังไปพิงตุ่มน้ำที่ตั้งอยู่ด้านหลังแล้วใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ลูบไปตามหน้าขาของอารัณย์ไล่เรื่อยไปถึงร่องเนื้อของตนเองที่ชิดกันแน่นก่อนใช้นิ้วกรีดไปบนนั้นเบาๆจนอารัณย์ที่มองอยู่ต้องเร่งมือตามแรงอารมณ์ที่สูงขึ้น


“อา..กาล อือ”


“แฮ่กๆ เร็วอีก...อีกนิด”


อารัณย์ทำให้ตามคำขอเขาสาวมือให้ไวขึ้นจนรู้สึกปวดหนึบที่ท้องน้อย รัตติกาลปล่อยมือออกมาให้อารัณย์จัดการเรื่องจังหวะแต่เพียงลำพังโดยที่เขาเปลี่ยนมากำส่วนหัวของทั้งสองลำไว้แน่นแล้วถูแรงๆเร้าอารมณ์ที่ใกล้ถึงฝั่งให้โหมหนักขึ้นอีก


“อ๊า อะ อืออออ”


“ฮ๊าาาา”


น้ำสีขาวขุ่นไหลไปตามทางยาวก่อนจะพุงออกมาพร้อมกับทั้งสองร่างที่กระตุกเป็นจังหวะ อารัณย์ปั่นมันเร็วจี๋ โดยที่รัตติกาลกำลังมองดูของเหลวสีน้ำนมทะลักไปตามง่ามนิ้วจนเกิดเป็นภาพน่ามองจนเขาอดที่จะยกมันมาชื่นชมใกล้ๆไม่ได้ ทันทีที่หยาดหยดสุดท้ายถูกหลั่งออกมา อารัณย์ก็คว้ารัตติกาลมากอดจูบอีกครั้ง ปลายลิ้นทั้งสองเกี่ยวรัดแล้วไล่เลียไปตามไรฟันเรื่อยไปจนถึงเพดานที่รวมปลายประสาทเอาไว้


รัตติกาลใช้มือที่เต็มไปด้วยหยาดอารมณ์ป้ายไปตามร่องเนื้อที่กระตุกเป็นจังหวะ ช่องทางที่มีกลีบเนื้อจับตัวเป็นจีบปกปิดมันไว้เปียกชุ่มและมันวาวจนอารัณย์ต้องผละออกมาเพื่อชมมันให้ถนัดตา


“ไหวไหม”


อารัณย์เอ่ยถามเพราะกังวลว่าคนที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมาจะยังไม่พร้อมนักทั้งที่ตัวเองยังคงรู้สึกกระสันอยาก รัตติกาลหัวเราะออกมาเบาๆพลางมองไปยังหลักฐานที่ชี้หน้าเขาอยู่คาตาก่อนจะยิ้มพรายออกมาแล้วพูดกับอีกฝ่ายด้วยเสียงแหบกระเส่าไม่แพ้กัน


“ถ้าบอกว่าไม่ไหว จะหยุดไหม”


“...หยุด”


“โกหก”


รัตติกาลโน้มตัวไปข้างหน้าจนยอดอกของทั้งคู่สัมผัสกัน เขาจับมือข้างหนึ่งของอารัณย์มาวางลบก้นกลมกลึงที่เปียกลื่นด้วยเมือกสีขาว ร่างโปร่งซบหน้าลงบนต้นคอของอีกฝ่ายโดยที่นิ้วมือของอารัณย์กำลังลูบเบาๆไปตามสันร่องราวกับแกล้งทำ


“...รังเกียจไหม จะหยุดก็ได้นะ”


“ไม่มีทาง”


“...”




“ผมรักกาลนะ”




นิ้วชี้ของอารัณย์ชำแรกเข้าไปในช่องทางที่ไร้ผู้บุกรุกมานาน ความคับแน่นที่แม้จะเป็นนิ้วก็ทำให้เขาครางด้วยความพอใจออกมาได้เต้นตุบๆราวกับกำลังทักทายผู้มาเยือนอย่างมีไมตรี รัตติกาลกัดฟัน แม้จะรู้สึกเจ็บแต่ก็ช่วยหย่อนตัวลงให้นิ้วของอีกฝ่ายเข้าไปได้ลึกมากขึ้น เขาผ่อนลมหายใจแล้วควงสะโพกเป็นวงจนสุดท้ายก็กลืนกินนิ้วอารัณย์ไว้จนหมดสิ้น


“อ๊ะ อึก รัณย์”


“เจ็บไหม”


“นิดหน่อย ขยับให้ที”


อารัณย์พลิกกายของรัตติกาลให้นอนลงบนพื้นห้องน้ำ เขาแหวกขาทั้งสองข้างที่ตั้งชันอยู่ให้กว้างออกจนเห็นกลีบเนื้อที่เชื้อเชิญเขาผ่านสายตา อารัณย์ยิ้มกริ่มเขานวดเบาๆไปบนช่องทางนั้นก่อนจะใช้นิ้วอีกข้างควานเอาน้ำลายจากปากของรัตติกาลมาป้ายไว้แล้วส่งนิ้วชี้กลับเข้าไปเพื่อสานต่อสิ่งที่ร่างโปร่งร้องขอ


“อ๊ะ อ๊ะ รัณย์ อื้อออ รัณย์!”


ร่างสูงขยับมือระรัวจนเกิดเสียงเฉอะแฉะดังไปทั่งทั้งห้อง เขาจับจังหวะแล้วสอดนิ้วเพิ่มเข้าไปโดยไม่หยุดพักจนรัตติกาลสามารถรอบรับเขาไว้ได้ถึงสามนิ้วทำให้ช่องทางที่แน่นตึงอ่อนนุ่มขึ้นจนรู้สึกได้ อารัณย์สาวท่อนเนื้อของตัวเองพร้อมกับขยายช่องรักของรัตติกาลไปด้วยจนร่างโปร่งสบตาแล้วร้องขอในสิ่งที่ต้องการ


“เข้ามาเถอะ อื้อ รัณย์ เข้ามา”


“ไหวนะ?”


อารัณย์ถามย้ำเพื่อให้มั่นใจโดยที่รัตติกาลพยักหน้าแทนคำตอบในแทบจะทันที ท่อนแขนแข็งแรงเชยสะโพกของรัตติกาลให้สูงขึ้นจนเห็นกลีบเนื้อหยุ่นสีแดงคล้ำได้ชัดเจน ปลายหัวป้านถูกกดลากไปมาแรงๆเหมือนจะผลุบเข้าไปแต่ก็ยังไม่เข้า รัตติกาลฟาดแขนของอารัณย์แรงๆแล้วมองอีกฝ่ายตาเขียวเมื่อชายหนุ่มยังคงแกล้งกันได้ในสถานการณ์แบบนี้ อารัณย์กระตุกยิ้มเข้าโน้มตัวลงไปตะกรองกอดแล้วหอมเบาๆตามแก้มขาวก่อนจะกระซิบถ้อยคำที่อยากบอกรัตติกาลมากที่สุดตอนนี้



“รัก”



“อื้อออ”



สิ้นสุดคำนั้นตัวตนของอารัณย์ก็ฝังเข้าไปในตัวรัตติกาลทีเดียวเสียครึ่งด้าม  ร่างโปร่งสะดุ้งโหย่ง เผลอถดตัวถอยมาตามสัญชาติญาณแต่ก็โดนอารัณย์คว้าเอาไว้แล้วจับสะโพกนวลนั้นไว้แน่น ร่างสูงชำเลือกมองจุดเชื่อมต่อด้วยความพอใจแล้วค่อยๆเสือกตัวเข้าไปลึกขึ้นโดยที่หูก็ฟังเสียงครางหอบของรัตติกาลไปด้วย เขาก้มลงจูบคนที่รักในจังหวะสุดท้ายที่รัตติกาลกลืนกินเขาไว้จนหมดเหมือนเป็นการบอกว่าอารัณย์จะเป็นของรัตติกาลตั้งแต่วินาทีนี้ไป


ไม่พูดพร่ำทำเพลง ทั้งคู่โหมตัวเข้าหากันเป็นจังหวะโดยไม่สนใจเลยว่าเสียงร้องครางและจังหวะที่กระทบเข้าหากันจะเล็ดรอดไปถึงหูคนอื่นไหม ร่างโปร่งแยกขาออกให้กว้างขึ้นเพื่อรองรับอารมณ์ของอารัณย์ที่ไต่สูงขึ้นทุกทีเช่นเดียวกันกับเขาที่สติพร่ามัวเสียจนลืมทุกอย่างแม้แต่ฝันร้ายที่เคยตามหลอกหลอนก็หายไปเหลือไว้แค่ความจริงที่ตัวเขากำลังได้รับความรักจากชายตรงหน้า


อารัณย์ฝากรอยรักเอาไว้จนร่างกายขาวนวลของรัตติกาลเปลี่ยนเป็นสีแดงกุหลาบ ร่างสูงละเลียดเลียไปตามร่องรอยที่ตนทำทิ้งเอาไว้อย่างหลงใหลแล้วจับสะโพกของรัตติกาลให้มั่นก่อนจะโหมแรงเข้าไปก่อนที่บทรักบทต่อไปจะมาถึง


“อา กาล อื้อ รัก”


“แฮ่ก อื้อ รัณย์ อ๊า จะถึงแล้ว”


“พร้อมกันนะครับ”


เขาหอมหน้าผากของรัตติกาลเสียฟอดใหญ่แล้วเทแรงทั้งหมดไปที่เบื้องล่าง สะโพกสอบขยับถี่เร็วจนร่างโปร่งไม่อาจกลั้นความพอใจเอาไว้ได้ เขากอดอารัณย์แน่นขึ้นเช่นเดียวกับร่างสูงที่ใช้สายตาทั้งหมดมองไปยังดวงหน้าของคนที่ตนรัก เสียงหวีดสูงของรัตติกาลดังขึ้นพร้อมกับจังหวะสุดท้ายที่อารัณย์ปล่อยน้ำอุ่นเข้าไปในตัวของเขา ร่างโปร่งกระตุกเกร็งเพราะความรู้สึกที่ห่างหายไปนาน จนอารัณย์ต้องลูบเส้นผมเปียกชื้นของคนที่หอบหนักด้วยความเอ็นดู


“ผมมีความสุขนะกาล มีความสุขมาก...”


“อื้อ อา...”


“ขอบคุณนะ...ที่ยังอยู่กับผม”


“อือ...ผมก็...มีความสุขเหมือนกัน”


รัตติกาลจูบอารัณย์เบาๆก่อนจะกอดอีกฝ่ายไว้แล้วลูบหลังของร่างสูงเหมือนที่เจ้าตัวชอบทำ พวกเขาทั้งสองกอดกันอยู่อย่างนั้นก่อนที่อารัณย์จะช่วยพยุงรัตติกาลที่เกือบจะหลับลึกให้ขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านโดยมีผ้าเช็ดตัวพันไว้อย่างหมิ่นเหม ร่างสูงวางรัตติกาลลงบนที่นอนก่อนจะใช้ผ้าเช็ดตัวอีกผืนเช็ดไปตามร่างที่เปียกชื้นนั้นอย่างทะนุถนอมโดยไม่ลืมที่จะสำรวจช่องทางเบื้องล่างที่ขึ้นสีแดงช้ำเพราะกิจกรรมที่เพิ่งผ่านพ้นมา อารัณย์มองมันแล้วยิ้มอย่างสุขใจ เขาจัดการปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนข้างๆคนที่หลับใหลก่อนจะคว้ามากอดเอาไว้แน่น



“ฝันดี...รัณย์รักกาลนะ”



:m25:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :m25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2015 19:44:56 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
แสงแดดอุ่นส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาอาบร่างเปลือยเปล่าทั้งสองที่ซุกกอดกันอยู่บนเตียงนอนแม้จะเลยเวลาไก่ขันไปนานโข เปลือกตาสีไข่ไก่ขยับน้อยๆก่อนจะลืมขึ้นมาพร้อมกับการเห็นใบหน้าของชายที่กอดตัวเองไว้ทั้งคืนทันทีที่ได้สติ


“รัณย์...”


รัตติกาลครางชื่อของอีกฝ่ายเสียงแผ่วเมื่อความทรงจำเด่นชัดเมื่อคืนไหลกลับเข้ามาในหัว ใบหน้าที่เคยติดจะเฉยชาขึ้นสีแดงอ่อนอย่างคนเป็นไข้แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพราะความรู้สึกบางอย่างที่ตีตื้นขึ้นมาหาใช่อาการป่วยไม่ คนตัวโตขยับตัวน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังเรียกชื่อของตัวเอง รัตติกาลมองดูอารัณย์ที่ค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วยิ้มให้เขาทันทีที่เห็นว่าคนในอ้อมกอดคือใคร ร่างสูงจูบเบาๆบนหน้าผากมนแล้วซุกตัวเข้าหาอกของรัตติกาลที่มีร่องรอยของเขาประดับไว้อยู่เต็มไปหมด


“ตื่นนานยัง”


“ไม่...เมื่อกี้เอง”


“เจ็บไหม...ข้างล่างน่ะ”


“นิดหน่อย แค่ขัดๆ”


ร่างโปร่งว่าดังนั้นก่อนจะยันตัวขึ้นหนังพิงหัวเตียงแล้วยกหัวของอารัณย์วางลงบนตักแทน รัตติกาลลูบเบาๆบนเส้นผมสีดำสนิทนั้นแล้วยิ้มออกมาเมื่ออีกฝ่ายกำลังหลับตาพริ้มรับสัมผัสอ่อนโยนนั้นไม่ต่างจากสุนัขตัวใหญ่ที่เคยเลี้ยงไว้


“ง่วงจังเลย”


“นอนต่อสิ”


“ไม่เอา อยากคุยกับกาล”


“ตื่นมาค่อยคุยก็ได้”


“คุยตอนนี้แหละ อยากฟังเสียงกาล...โดยเฉพาะเสียงแบบเมื่อคืน”


“ไอ้เด็กบ้า”


รัตติกาลหยิกแก้มของอารัณย์เบาๆโดยที่อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่าไม่ได้มีความสำนึกเลยสักนิด ร่างสูงคว้ามือของรัตติกาลมาหอมเสียฟอดใหญ่แล้ววางมันลงบนหัวของตนตามเดิมเพื่อให้รัตติกาลขับกล่อมตนเองอีกครั้ง ไม่รู้จะง่วงอะไรนักหนา ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่คนที่ต้องแบกรับเลยแท้ๆ


“วันนี้ผมว่าจะพากาลไปถวายสังฆทานที่วัด”


“หื้ม อยากทำบุญหรอ”


“อื้ม แล้วก็จะให้หลวงพ่อพรมน้ำมนต์ให้กาลด้วย”


“พรมน้ำมนต์?”


“ก็เมื่อคืนไง...ที่กาลตกน้ำ”


ร่างโปร่งหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ความทรงจำลางๆที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคือความฝันหรือความจริงย้อนเข้ามาพร้อมกับความกังวลใจ เสี้ยววินาทีที่ตกลงไปในน้ำ เขาจำได้ว่าได้ยินเสียงคนเรียกชื่อของตัวเอง มันทั้งแหบแห้งและวังเวงเสียจนน่าตกใจ แรงฉุดตรงข้อเท้าที่เหมือนกับมีใครตั้งจากลากเขาลงไปนั้นยังเด่นชัดจนไม่อยากคิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะสรุปว่ามันเป็นความจริง


“ว่าไงกาล ตกลงไปกันนะ”


“...เอาสิ ยังไงก็ได้อยู่แล้ว”


“พอเป็นแฟนกันแล้วว่าง่ายขึ้นเยอะเลยแหะ”


อารัณย์ขำออกมาก่อนจะยันตัวขึ้นนั่งเคียงข้างกับรัตติกาลที่ขมวดคิ้วมุ้ย


“แฟน? ใครเป็นแฟนใคร?”


“ก็เราสองคนไง”


“ใครบอกว่าผมจะยอมเป็นแฟนคุณ”


ร่างสูงมองใบหน้าจริงจังของรัตติกาลอย่างขำไม่ออก หัวใจที่เคยพองโตกลายเป็นลูกโป่งที่โดนปล่อยลมจนฟีบ แถมไม่ใช่ปล่อยลมธรรมดา มันเหมือนกับมีใครเอาเข้มเล่มใหญ่ๆมาเจาะจนมันระเบิดตูมหายไปในเวลาอันสั้น อารัณย์เบิกตากว้างก่อนจะค่อยๆหรี่ลงเมื่ออีกคนไม่มีท่าทางว่าจะพูดเล่นแต่อย่างใด


“กาล ล้อเล่นใช่ไหม”


“ผมจะล้อเล่นทำไมล่ะ”


“แต่เรา...เมื่อคืน”


“เรื่องเมื่อคืน...ไม่ต้องคิดมากหรอก”


“...!!!”


“ก็แค่อารมณ์พาไป ใครๆก็เป็นกัน”


อารัณย์เหมือนถูกตบจนหน้าชา เขาถดตัวถอยออกมาเหมือนกับว่ารับความจริงไม่ได้ ใบหน้าคมเข้มก้มลง เขาไม่อยากเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวคู่นั้นของรัตติกาลเลยแม้แต่น้อย มันช่างดูมั่นคงผิดกับความมั่นใจของเขาที่สั่นไหวเพียงแค่พบว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่การคิดไปเองฝ่ายเดียว


“รัณย์...ไม่โกรธใช่ไหม”


รัตติกาลโน้มตัวมาหาแล้วกอดอารัณย์เอาไว้ทั้งที่อีกฝ่ายยังก้มหน้า เขาจดจมูกลงบนขวัญผมของร่างสูงแล้วนิ่งค้างอยู่แบบนั้นเช่นเดียวกับอารัณย์ที่ไม่กล้าขยับไปไหนอยู่พักหนึ่งก่อนเขาจะตัดสินใจขืนตัวออกมา


“พอเถอะกาล”


“หื้อ พออะไร”


“กาลก็รู้ว่าผมคิดยังไงกับกาล...พอเถอะ”


“รู้สิ แล้วก็รู้ด้วยว่าคุณชอบเรื่องเมื่อคืนแค่ไหน”


“ไม่ใช่”


“...”


“ที่ผมรักคือรัตติกาล...ไม่ใช่แค่เรื่องอย่างว่า”


“...”


“อย่าดูถูกความรักของผมแบบนั้น”



อารัณย์สบตากับรัตติกาลอย่างจริงจังทั้งที่ในใจบีบรัดกันจนเจ็บ เขาพยายามจะลุกขึ้นยืนเพื่อออกไปให้พ้นจากที่นี่แต่ก็โดนร่างโปร่งคว้าข้อมือเอาไว้แล้วถูกดึงให้นั่งลงตามเดิมทั้งที่ไม่เต็มใจ”





“งั้นแสดงว่าถ้าเราเป็นแฟนกัน คุณจะไม่มีอะไรกับผมหรอ”


“...!?”


“ทั้งที่ออกจะชอบมันแท้ๆ น่าเสียดายจัง”


“ว่าไงนะ!!!”


ร่างสูงคว้าหมับเข้าที่ไหล่ทั้งสองข้างของรัตติกาลแล้วโพลงถามออกมาแทบจะทันที ชายหนุ่มมองดูความตื่นเต้นที่แทบจะทะลุออกมาจากตาทั้งสองข้างของอารัณย์แล้วก็หลุดขำออกมาเสียยกใหญ่จนมันดังก้องไปทั่วทั้งห้อง


“ฮ่าๆๆๆ”


“เดี๋ยวดิ ผมงงไปหมดแล้ว นี่...กาลล้อผมเล่นหรอ”


“ฮ่าๆๆ ก็เออน่ะสิ เกือบจะร้องไห้แล้วใช่ไหมเมื่อกี้ ใช่ไหมๆ”


“กาล...โอ้ยยยย กาลแม่ง!!!”


อารัณย์ขยี้ผมของตัวเองจนมันฟูฟ้องในขณะที่รัตติกาลล้มตัวลงบนที่นอนแล้วหัวเราะร่าออกมาจนไม่เหลือเค้าของนักธุรกิจหนุ่มผู้เคร่งขรึม ร่างสูงมองคนที่หัวเราะได้ใจอย่างคาดโทษก่อนจะพุ่งตัวลงไปฟัดลำคอของอีกฝ่ายอย่างไม่ปราณี แต่รัตติกาลกลับยิ่งชอบที่เห็นท่าทางทำอะไรไม่ถูกของชายหนุ่ม เขาขยี้ผมของอารัณย์จนมันฟูมากขึ้นอีกแล้วลูบจัดทรงเบาๆจนอารัณย์พอที่จะสงบนิ่งลงได้


“กาลนิสัยไม่ดีว่ะ มาแกล้งกันอย่างงี้ได้ไง”


“ฮ่าๆ ก็อยากมาหวานเลี่ยนแต่เช้าทำไมล่ะ ขนลุก”


“ไม่ได้เลี่ยน ปกติเหอะ กาลนั่นแหละที่ขมเกินไป”


“ขมแล้วไง นี่มันตัวผม”


“ไม่แล้วไงหรอกครับ ไม่ต้องหวานมากไปกว่านี้เลย แค่นี้ก็รักจนจะบ้าแล้ว”


รัตติกาลยิ้มอ่อนแล้วโอบกอดอีกฝ่ายตอบแทนความรู้สึกทั้งหมดที่มี เขามองท้องฟ้าผ่านผ้าม่านสีเยื่อไม้ เห็นตะวันดวงใหญ่ที่สองสว่างเสียจนตาพร่า


“ขอบคุณนะอารัณย์”


“...”


“ขอบคุณที่รักผมมากขนาดนี้”


“อื้อ เต็มใจสุดๆเลย”







“...เป็นแฟนกันนะ”





รัตติกาลประคองใบหน้าของอีกฝ่ายไว้แล้วกดจูบเบาๆก่อนที่อารัณย์จะสอดลิ้นเข้ามาเพื่อตักตวงความขมอ่อนๆของร่างโปร่งเอาไว้ตามที่ใจปรารถนา ทั้งคู่สบตากันพร้อมกับรอยยิ้มเจิดจ้าไม่แพ้ดวงตะวันบนใบหน้าของทั้งสองฝ่าย


คนสองคนที่ต่างก็เจ็บช้ำและโหยหาส่วนหนึ่งที่หายไปค่อยๆหันหน้าเข้าหากันแล้วโอบกอดกันไว้ให้แน่นที่สุด รัตติกาลยิ้มทั้งที่มีน้ำตา หัวใจที่ปิดตายถูกแง้มออกด้วยมือของผู้ชายที่ทั้งร้ายกาจและอบอุ่นที่สุดที่เขาเคยเจอ



“ผม...รักคุณ”



ทันทีที่สิ้นคำรักผืนดินที่แห้งแล้งของรัตติกาลก็ถูกรดลงโดยน้ำตาแห่งความดีใจของอารัณย์ ชายหนุ่มก้มลงจูบรัตติกาลอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาที่ไหลคลอและคำสัญญาที่เขามอบให้กับคนตรงหน้าด้วยความสัตย์ทั้งหมดที่มี


“ผมจะดูแลคุณ จะทำให้คุณยิ้มได้ในทุกๆวันต่อจากนี้”


“...”



“ผมสาบาน”





--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!!

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก เช่ทำมันไปแล้วววววว  :pighaun: :z1: พี่กาลโดนฟันแล้วววว จุดพลุ ปุ้งๆๆๆๆๆ  :oo1: :-[ ผมนี่ยืนสงบนิ่งเลย หึหึ รัณย์เอ้ยยยย ไม่โดนแซะว่าไร้น้ำยาแล้วนะ (แม้ว่าตอนทำจะโดนพี่รัณย์ไกด์ให้ก็เหอะ) 555555555  :z2:

การเขียนNCตัวเต็มครั้งแรก ไม่รู้พอไหวไหม เขียนไปเช่หูตาลาย รีบเขียนแบบไม่มองเลย มีแอบกินลูกชิ้นขั้นรายการ(อ้วนเข้าไปอีก) ไม่งั้นไม่ไหว ระเบิดแน่ อาจจะปวงๆไปบ้างนะคับ ได้แค่ประมานนี้จริงๆ แม้จะเป็นคนอื่นแต่พอเขียนนี่คนละเรื่องเลย แต่เอาเหอะโน๊ะ ส่งพี่กาลเข้าหอได้ก็ฟินแล้ววววว  :o8: :-[

ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวต ผีพี่ทีนี่สร้างอิมแพคมากกว่าที่คิดแหะ ผีเผลออะไรไม่มีในโลกหรอก พี่กาลเพ้อเจ้อ >< (พี่กาลแบะปากใส่) ต่อจากนี้เรื่องก็คงเริ่มที่จะคลี่คลายมากขึ้นแล้ว ปมต่างๆก็เริ่มจะค้นพบแล้วล่ะ เข้าสู่เฟสที่สามอย่างเต็มตัว! พร้อมกับงานที่พอกหางเช่ไว้ด้วย! เฮ้! ตายแน่เฮ้!  :really2:

ป.ล.2 เชิญติดตามเพจกันได้นะคับ เช่จะเริ่มเอาตัวละครมาทอล์คอยู่ขำๆในหน้าเพจบ้าง (ล่าสุดเจอพี่กาลเข้าไป ฟินเลยกับความน่ารักของแก) ส่วนคอมเม้นต์บางทีเช่ก็จะตอบไว้ในเพจนะคับ มาพูดคุยกันได้นะ^^  :katai4:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2015 19:41:58 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ mayuree

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 443
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-4
อ๊า ในที่สุด. หึหึหึ

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เป็นแฟนกันแล้วๆๆๆ

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อ้าย..กาล..เปี๊ยนไปแล้วคะ... :haun4:

ที่อ่านมาก็ลอตอนนี้แหละค๊ะ.. :haun4: :katai3:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อ้อยฟิน >< คือเปงนิยายที่ไม่อ่านข้ามฉากหวิว รู้สึกมันกำลังดี ไม่เกินความจิงเลยอ่าน

ปกติจะข้ามตลอดแฮ่ๆ

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฉากที่รอคอย ฟินมากกกกกกกกกกกกกก
กาลร้อนแรงอะ ไหนบอกเป็นเจ้าชายน้ำแข็งไง
เอาอีกนะคะเช่ อยากเห็นรพีมีน้อง :hao6:

ออฟไลน์ iiduckii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
OMG!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

 :haun4: :haun4: :jul1: :jul1: :jul1: :pighaun: :pighaun: :m25: :m25: :oo1: :oo1: :oo1: :oo1:

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด อยากจะจุดพลุฉลองงงงงงงงงงงงงงงง

โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยย ในที่สุดก็มาถึงจุดนี้ ฟินสิคะ รอไรอยู่ ฮ่าๆๆๆๆๆ บ้าไปแล้วววววววววว

ชื่นใจสมกับการรอคอยมานาน ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

ในที่สุดทั้งพี่กาลและอารัณย์ก็หลุดออกจากอดีตที่เลวร้ายสักที

รอตอนหวานต่อไปค่าาาา อิอิ

ตอนนี้นี่แทบลืมรพีไปเลย ก๊ากกกกกกกกกกกกกกก

ปรบมือให้ไรเตอร์ดังๆ :m4: :m4: :m4: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ไม่ได้มาเม้นนาน เม้นยาวๆกันไป ฮ่าๆๆๆๆ

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

34th Night

…When people die...

 



“เบื่อฉิบหายเลยโว้ย!”


คนที่เกลียดงานนั่งโต๊ะเข้ากระดูกคำรามออกมาโดยไม่สนใจว่าเลขาสาวของเพื่อนรักจะยังอยู่ในห้องด้วยหรือไม่ ธิชาที่กลับมาทำงานได้สักพักยิ้มแหยแล้ววางเอกสารชุดใหม่ให้คนที่ต้องรับภาระทำงานแทนเจ้านายของเธอตรวจสอบมันอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าจะนึกเกรงใบหน้าบูดบึ้งนั้นมากแค่ไหนก็เถอะ


“วันนี้ตรวจแค่ชุดนี้เสร็จก็พอแล้วล่ะค่ะคุณนิล เดี๋ยวธิดูต่อให้เอง”


“อย่าปลอบใจเลยธิชา แค่ชุดเดียวที่ว่ามันกินเวลาไปตั้งเท่าไหร่แล้ว”


หญิงสาวหัวเราะแหะๆเพราะปฏิเสธไม่ได้ นิลถอนหายใจแม้ว่าจะได้พูดแซะเลขาสาวไปก็ไม่ทำให้งานของเขาน้อยลงเลยสักนิด


“ไม่รู้ว่าไอ้กาลทนทำงานพวกนี้ไปได้ยังไง นรกชัดๆ”


“จะทำยังไงได้ล่ะคะ บริษัทของตัวเองจะปล่อยให้เจ๊งก็กระไรอยู่”


“งั้นถ้าผมปล่อยให้มันพังคามือคงแทนไม่เป็นไรใช่ไหม”


เลขาสาวทำหน้ามุ่ยก่อนจะเดินออกไปจากห้องทิ้งให้นิลทำงานต่อไปเพียงลำพังพลางบ่นไปตามเรื่อง ชายหนุ่มมองงานที่ไม่ใช่ของตัวเองอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ปล่อยมันพังพินาศไปได้อย่างที่ปากว่า ทั้งที่ปกติกิจการของทางบ้านนิลเองยังไม่เคยคิดจะแตะแต่กลับต้องมาทำงานของคนอื่นงกๆจนต้องพักงานเขียนของตัวเองไว้ช่วงหนึ่งเลยด้วยซ้ำ ถ้าพ่อแม่บังเกิดเกล้ามาเห็นเขาในสภาพนี้ คงได้เกิดอารมณ์น้อยใจจนต้องหาอะไรขว้างใส่กันบ้างแหละ


“ขยันจังเลยนะครับ”


เสียงทักที่คุ้นเคยดีดังขึ้นทำให้นิลที่เริ่มปวดที่หัวตายอมเงยหน้าจากตัวเลขที่เรียงกันเป็นตับ ร่างกายสูงใหญ่ภายใต้ชุดเครื่องแบบเต็มยศก้าวเข้ามาในห้องอย่างไม่รอคำอนุญาตใดๆพร้อมกับขนมเบื้องเจ้าประจำของนิลกล่องใหญ่และรอยยิ้มพรายที่เจ้าตัวหวังว่าจะช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของอีกคนลงได้


“อย่าประชดได้ไหม หน้าตากูเหมือนกำลังเต็มใจทำอยู่รึไง”


“ไม่เลยครับ แต่ที่นิลไม่ยอมทิ้งงานของกาลไปทั้งที่เกลียดมันต่างหากที่ทำให้ผมมองว่านิลขยัน”


ฤทธิชาติว่ายิ้มๆก่อนจะจูบลงบนกะหม่อมบางของนิลอย่างเอ็นดูใบหน้าบูดบึ้งนั้น เขาถือวิสาสะนั่งลงตรงกันข้ามกับนักเขียนหนุ่มแล้วยื่นขนมให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ ซึ่งนิลก็ไม่อิดออด คนที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันเปิดกล่องของฝากแล้วจัดการกินมันทันที


“ถูกใจรึเปล่าครับ”


“อือ ว่าแต่ได้นอนบ้างรึยัง”


“ครับ ตอนเช้าหลังจากเข้าแถวเสร็จก็แอบไปงีบที่คอนโดมา”


นิลพยักหน้าอย่างพอใจในคำตอบนั้น เพราะเมื่อวานฤทธิชาติไม่ได้เดินทางมารับเขาอย่างเคยเพราะหน้าที่การงานที่หนักขึ้นหลายเท่าตัวในวันลอยกระทงที่ผู้คนมากมายต่างก็ออกมาทำตามประเพณีพร้อมกับความวุ่นวายที่มีมากขึ้นไม่แพ้กัน


นายตำรวจหนุ่มมองดวงตาคมกริบของนิลด้วยความพึงใจ ริมฝีปากที่ไม่ได้บางอย่างผู้หญิงกำลังเล็มเลียครีมสีขาวโดยไม่รู้ตัวเลยว่ากริยาแบบนั้นเร้าความสนใจของอีกคนได้ดีแค่ไหน ขายาวออกแรงดันทั้งตัวเองและเก้าอี้ออกไปด้านข้างจนมันเคลื่อนมาอยู่ใกล้นิลในระยะที่ใกล้พอสมควร ชายในเครื่องแบบกางแขนกว้างแทนการร้องบอกให้นักเขียนหนุ่มย้ายร่างของตนมาประทับบนตักของเขา


นิลเลิ่กคิ้วขึ้นทั้งที่เข้าใจดีว่าอีกคนต้องการอะไรก่อนจะจุดยิ้มมุมปากเมื่อคิดอะไรดีๆได้ ชายหนุ่มถอดรองเท้าโดยไม่ใช้มือช่วยแล้วยกมันพาดไว้บนตักของอีกคนแทนที่จะเป็นตัวเขาอย่างที่ฤทธิชาติหวัง นิลหัวเราะออกมาอย่างพอใจแต่ก็ได้ไม่นานนัก เมื่อคนที่ถูกแกล้งอยู่เมื่อครู่กลับใช้กำลังที่มีเหลือเฟือออกแรงยกคนที่ตัวเล็กกว่าให้มานั่งกองอยู่บนตักของตนทั้งตัว


“เฮ้ย! ไม่เอาเดี๋ยวร่วง”


“ช่วยไม่ได้ นิลอย่างซนเองนิ”


“ใครกันแน่วะ ปล่อยนะเว้ย!”


“ขอปฏิเสธครับ อย่าที่เขาว่าขึ้นหลังเสือแล้วคงจะให้ลงไม่ได้ง่ายๆ”


นักเขียนหนุ่มส่ายหน้าอย่างระอาในความปลิ้นปล้อนนั้นพลางหยิบเอาขนมเบื้องชิ้นสุดท้ายยัดใส่ปากที่กำลังยื่นมาทางตนอย่างรู้ทันโดยที่ฤทธิชาติก็ยอมรับมันไปอย่างไม่อิดออดแล้วใช้จมูกโด่งสูดกลิ่นหอมที่ซอกคอของอีกฝ่ายแทนริมฝีปาก


“ว่าแต่ทำงานแทนกาลมาทั้งอาทิตย์เจออะไรผิดสังเกตบ้างรึยัง”


นายตำรวจหนุ่มถามขึ้นทันทีที่เคี้ยวของหวานในปากหมด นิลที่ยอมสงบลงเอนกายทับร่างของฤทธิชาติที่รองรับไว้อย่างเต็มใจ


“หลายอย่างเลย คิดอยู่แล้วว่าไอ้กาลคงไม่ทันได้สังเกต”


“นั่นสินะ...”


“ถึงการชอบทำงานคนเดียวของมันจะได้งานที่ได้ดั่งใจกับให้ผลตอบรับที่ดีตามระดับความสามารถ แต่ช่องโหว่ที่ร้ายกาจนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะถมให้เต็มได้ง่ายๆ”


“เพราะใกล้เกินไปเลยไม่ทันได้สังเกต...แล้วจะเอายังไงต่อครับ”


“รอดูไปก่อนแล้วกัน ยังไงก็อยากจับให้ได้คาหนังคาเขา...เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้น ไอ้กาลคงไม่ยอมเชื่อ”


ฤทธิชาติเห็นด้วยกับความคิดนั้น ทั้งคู่ช่วยกันดูงานของรัตติกาลอยู่พักใหญ่ก่อนจะพากันเดินทางไปรับรพีที่โรงเรียนเหมือนอย่างเคย นายตำรวจหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับต่อสายถึงลูกน้องที่เขาคอยให้เฝ้าสังเกตการณ์อยู่รอบๆโรงเรียนอนุบาลว่าตนเองกำลังจะเดินทางไป ในขณะที่นิลก็เอาแต่สบถเพราะรถที่ติดเป็นทางยาว


“ชิ แม่งจะติดไปไหนวะ”


“อาจจะมีอุบัติเหตุ”


“ไม่เข้าใจจริงๆว่ามันจะชะลอดูกันทำไม ญาติตัวเองรึก็ไม่ใช่”


“ฮ่าๆ อาจจะเพราะว่ากลัวเป็นแบบนั้นล่ะมั้งครับ แต่จริงๆก็คงแค่อยากรู้อยากเห็นตามประสา”


“ก็เพราะว่าเป็นแบบนั้นไงถึงได้น่าโมโห”


“ใจเย็นๆนะ ให้ผมขับแทนไหม”


“ยังไหวอยู่ แค่ไม่อยากให้พีรอนาน”


“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมบอกให้ลูกน้องเฝ้าต่อจนกว่าเราจะไปถึง”


“หึ ใครได้มาเป็นลูกน้องมึงนี่ซวยชะมัดเลยนะ”


ฤทธิชาติยิ้มออกมาเมื่อได้ฟัง เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหากนิลรู้ว่าทุกวันนี้ลูกน้องในการปกครองของเขาบ่นอุบไม่ผิดจากที่ว่าเจ้าตัวจะหัวเราะดังขนาดไหน


“ว่าแต่คิดยังไงถึงได้มาเป็นตำรวจ”


นิลถามขึ้นเมื่อบทสนทนาเมื่อครู่ถูกตัดบทไปด้วยความเงียบ


“หื้ม? อยากรู้หรอครับ?”


“ถ้าไม่อยากรู้จะถามทำไม”


นักเขียนหนุ่มทำหน้าระอาใส่คนที่มีความสามารถในการกวนประสาทเขาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเวลาที่เขาแสนเบื่อหน่ายแบบนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านิลชอบเวลาที่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายไม่น้อยเหมือนกัน


“ฮ่าๆ ก็ปกตินิลไม่เคยสนใจเรื่องของผมเลยนิ ทุกทีเห็นสนใจแต่กาล”


“ตกลงจะหึงมันให้ได้เลยว่างั้น”


นิลเหยียดปากกับข้อหาที่อีกฝ่ายชอบตั้งให้เขาเสียเหลือเกินตั้งแต่การพบกันช่วงแรกๆจนแม้ว่าทั้งคู่กำลังดูใจกันอยู่ก็ยังไม่เว้น ก็รู้อยู่หรอกว่าเขากับรัตติกาลสนิทกันมากและทั้งคู่ก็มีรสนิยมทางเพศคล้ายๆกันแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องสนใจกันเอง กลับกันด้วยซ้ำยิ่งสนิทกับรัตติกาลมากเท่าไหร่นิลก็กลับคิดว่าระหว่างเขากับร่างโปร่งไม่มีวันจะเกินเลยมากกว่านี้เพราะความที่รู้จักกันดีเกินไป


“ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ นิลไม่ได้ชอบผมอย่างที่ผมชอบนิลนิ คงไม่เข้าใจหรอก”


“ต่อให้ชอบก็ไม่เข้าใจ กูกับไอ้กาลเนี่ยนะ คิดไปได้ยังไง ถามจริงเถอะอะไรทำให้มึงคิดว่ากูชอบมันวะ”


“คงเพราะ...ข้อตกลงของเรามั้งครับ”


“...”


“นิลจะไม่คบใครถ้าเกิดคุณกาลยังไม่มีความสุข...ถ้านิลลองมาเป็นผมบ้าง อาจจะคิดมากไม่ต่างกันก็ได้”


นิลชำเลืองมองอีกฝ่ายที่พูดเรื่องแย่ๆออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่เคยเปลี่ยนทั้งที่เพิ่งทำให้เขารู้สึกจุกไปทั้งอก


“ก็บอกแล้วว่ามีเหตุผล”


“ครับ และนิลก็บอกเหตุผลนั้นกับผมไม่ได้”


“...มึงไม่เข้าใจ”


“ไม่ปฏิเสธครับ ก็ผมไม่เข้าใจจริงๆนิ”


ฤทธิชาติพูดแล้วขำออกมาก่อนจะยกมือขึ้นลูบต้นขาของอีกฝ่ายเบาๆ นิลไม่ได้หลบเลี่ยงสัมผัสนั้นกลับกันเขาใช้มืออีกข้างตรึงมือของนายตำรวจหนุ่มไว้ที่หน้าขาของตัวเองก่อนจะเหยียบคันเร่งทันทีที่รถข้างหน้าเคลื่อนตัวไป


“อยากหยุดแล้วหรอ”


“ผมไม่ใช่คนที่ชอบหันหลังกลับกลางคัน ถ้าไม่ใช่เพราะอยากไปจนสุดทางผมคงไม่ยอมรับเงื่อนไขของนิลในวันนั้น”


“ดื้อด้านอย่างที่คิดเลย”


“ฮ่าๆ แล้วก็นะ นิลบอกว่าจะไม่คบใครถ้าเกิดคุณกาลยังไม่มีความสุข ไม่ได้บอกว่านิลจะไม่มีวันรักใครสักหน่อย สักวันอาจจะเป็นนิลเองก็ได้ที่ต้องการผมจนทนไม่ไหว ถ้าเกิดมันเป็นแบบนั้นได้คงสนุกน่าดูเลยนะครับ”


“หึ เข้าใจพูดนะ”


นิลยกมืออีกฝ่ายขึ้นแล้วใช้ปลายลิ้นเลียเบาๆบนฝามือที่หยาบกร้าน ฤทธิชาติมองการกระทำของคนข้างๆด้วยความพอใจแม้สุดท้ายมันจะเป็นเพียงการแกล้งกันของนิลก็ตาม


“ถ้าคิดว่าทำแบบนั้นได้ก็ลองดู”


“ผมมันดื้อด้านอย่างที่นิลว่านั่นแหละ เตรียมใจรอไว้ได้เลยครับ”


ฤทธิชาติยิ้มพรายแล้วยกมือของนิลขึ้นแล้วจูบลงบนเนื้อเย็นนั้นกลับก่อนจะขบเบาๆบนนิ้วยาวเหมือนลำเทียนในขณะที่กำลังสบตากับเจ้าของมันอย่างไม่ลดละ


“หึ ว่าแต่จะตอบได้รึยังว่าทำไมถึงมาเป็นตำรวจ”


“ยังสงสัยอยู่อีกหรอครับ ผมดูไม่เหมาะมากเลยหรอ”


“ไม่เลยสักนิด บอกว่าเป็นคนร้ายยังจะเข้าท่ามากกว่า”


นักเขียนหนุ่มพูดไปตามที่ใจคิด มีอยู่หลายครั้งที่เขามักจะได้รับรู้เบื้องหลังการทำงานที่แสนจะแหกกฎของผู้หมวดคนนี้ จนนิลนึกแปลกใจว่าทำไมฤทธิชาติถึงยังสามารถดำรงตำแหน่งอยู่ได้ทั้งที่บางการกระทำมันร้ายแรงจนเขานึกไม่ถึง หนำซ้ำผู้ใหญ่ในกรมหลายคนดูเหมือนจะพอใจกับผลงานของชายคนนี้อยู่มากโข


แต่ชอบก็ส่วนชอบ ตามระเบียบปฏิบัตินายตำรวจชั้นผู้ใหญ่พวกนั้นคงไม่สามารถนำพาให้นายตำรวจคนนี้ออกไปยืนแถวหน้าได้อย่างที่หวัง แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่เดือดร้อนอะไร ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่เคยสนใจเลยซะมากกว่า


“ฮ่าๆ อาจจะเป็นเพราะจริงๆแล้วผมเกลียดตำรวจมากก็ได้นะ”


นิลเลิ่กคิดขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบของฤทธิชาติ นายตำรวจหนุ่มยิ้มให้เขาก่อนจะหันไปมองถนนที่แออัดแล้วตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร


“พ่อผมก็เป็นตำรวจน่ะ เลยได้รับรู้เรื่องราวที่พูดออกมาไม่ได้ตั้งแต่เด็กๆ ผมไม่เคยชอบมัน...จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ชอบ”


“แต่ดันมาเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบเนี่ยนะ”


“ครับ ก็เพราะว่าไม่ชอบนั่นแหละถึงได้มาเป็น”


“อยากเปลี่ยนแปลงมันหรอ?”


ฤทธิชาติส่ายหน้าออกมาแทนคำตอบ ทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่งจนกระทั่งนิลสามารถฝ่าการจราจรที่คิดขัดออกมายังทางลัดที่สามารถไปถึงโรงเรียนของรพีได้


“ผมอยากทำลายมัน พูดแบบนี้คงจะตรงตัวมากกว่า”


“...อ่าฮะ ถ้าทำลายได้แล้วจะทำยังไงต่อ”


“นั่นสินะ...เรื่องหลังจากนั้นยังไม่เคยคิดไว้ซะด้วยสิ”


นิลหลุดขำออกมาจนทำให้อีกคนพลอยหัวเราะไปด้วย ภายในห้องโดยสารที่เต็มไปด้วยบรรยากาศหนักอึ้งของบทสนทนากลับมีเสียงหัวเราะของคนสองคนดังก้องอยู่ในนั้น พาหนะคันใหญ่จอดลงตรงลานใกล้ๆกับสนามเด็กเล่นที่ยังคงมีนักเรียนจับกลุ่มกันอยู่ไม่น้อย นิลพยายามมองหารพี ในขณะที่ฤทธิชาติกำลังโทรหาลูกน้องที่ให้คอยจับตาดูเด็กชายไว้



“สวัสดีค่ะคุณนิล มารับน้องพีหรอคะ”


ครูประจำชั้นของร่างป้อมทักขึ้นในระหว่างที่นิลกำลังเดินเข้าไปด้านใน นักเขียนหนุ่มฉีกยิ้มให้ครูสาอย่างเป็นกันเองก่อนจะตอบคำถามนั้นด้วยท่าทางเป็นมิตรเช่นเคย


“ครับ แล้วนี่พีไปเล่นอยู่ไหน ตอนเดินมาผมไม่ยักกะเห็น”


“เอ๋? เมื่อกี้ครูยังเห็นพีเล่นกับน้องข้าวอยู่เลยนะคะ”


“ว่าไงนะครับ”


สีหน้าของนิลเปลี่ยนไปทันทีที่หญิงสาวพูดจบ เขารีบเดินกลับไปทางเดิมพลางมองหาคนที่มาด้วยกันแต่กลับกลายเป็นว่าฤทธิชาติไม่ได้รออยู่ที่รถอย่างเคย นิลรีบต่อสายหานายตำรวจหนุ่มด้วยความร้อนใจ เขาพยายามเดินหารอบๆนั้นไปด้วยในขณะที่เสียงรอสายดังขึ้นแล้วดับลงอยู่อย่างนั้นหลายครั้ง จนกระทั่งชายหนุ่มยอมรับมันในครั้งที่ห้าพร้อมกับเสียงขึงขังของฤทธิชาติที่ดังลอดมา


“นิล รีบมาตรงสระน้ำด่วนเลย”


“เดี๋ยวชาติ รพีหายไป”


“น้องพีอยู่กับผมไม่เป็นอะไร แต่คุณรีบมาทางนี้ก่อนเถอะ”


นิลรับปากก่อนจะวางสายพลางออกวิ่งไปด้วยความเร่งรีบ สระน้ำขนาดย่อมที่ส่องประกายรับกับแสงแดดปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่มในเวลาไม่นาน นิลรีบรุดเข้าไปด้านในทันทีที่เห็นฤทธิชาติโบกมือให้ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก และข้างๆกันนั้นมีร่างของผู้ชายคนที่เขาไม่เคยเห็นกำลังนอนหลับอยู่บนพื้นไม่ได้สติโดยที่รพีกำลังบีบมือของชายคนนั้นอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก


“พี!!”


“อานิล!”


เด็กชายรีบวิ่งมาหาคนที่มีศักดิ์เป็นอาก่อนจะกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของนิลที่ปิดสีหน้ากังวลใจไว้ไม่มิด เขาพยายามสำรวจร่างกายของรพีไปด้วยแต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆอย่างที่กังวล จะมีก็แต่ความหวาดกลัวเล็กๆที่แสดงออกมาเท่านั้นที่ทำให้นิลรู้สึกว่าเด็กชายคงเพิ่งผ่านเหตุการณ์บางอย่างมาแน่ๆ


“พีหายไปไหนมา แล้วนี่เป็นอะไรรึเปล่า”


“พีไม่เป็นไรฮะ แต่พี่คนนั้น...”


รพีชี้ไปยังร่างของคนแปลกหน้าที่นอนไม่ได้สติอยู่ริมสระน้ำจนกระทั่งเขาเดินไปพบเข้าหลังจากเดินไปส่งข้าวขึ้นรถกลับบ้าน เด็กชายที่ไม่รู้เรื่องอะไรมากนักพยายามปลุกร่างไร้สตินั้นแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรกลับมาจนรพีเริ่มใจเสีย เขาไม่กล้าทิ้งชายคนนี้ไว้แล้วไปตามให้คนอื่นมาช่วยรพีจึงได้แต่นั่งอยู่แบบนั้นขณะที่พยายามปลุกคนแปลกหน้าต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งอาชาติที่ร่างป้อมคุ้นเคยดีจะเดินผ่านมา


“นี่มัน...”


“ลูกน้องผมเอง สลบไปแต่ไม่มีรอยแผล”


นายตำรวจหนุ่มอธิบายสั้นๆก่อนจะต่อสายไปยังโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ไม่ไกล นิลไม่อยากให้ลูกชายของรัตติกาลรับรู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแค่ไหนจึงพารพีมายืนอยู่อีกมุมหนึ่งให้ห่างไกลจากร่างที่หลับใหลนั่นแต่ก็ยังไม่อาจห้ามให้เด็กชายเลิกสนใจชายคนนั้นได้


“พี่เขาเป็นอะไรฮะอานิล ทำไมพีปลุกแล้วเขาไม่ตื่น”


“...เขาคงไม่สบายน่ะ ไม่ต้องห่วงนะ อาชาติโทรตามหมอแล้ว ว่าแต่พีไปไหนมา ทำไมไม่อยู่ใกล้ครูไว้อย่างที่อาบอก”


“พีไปส่งข้าวขึ้นรถมาฮะ แค่แปปเดียวเอง...พีขอโทษ”


เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆในตอนท้ายเมื่อรู้ตัวว่าขัดคำสั่งของผู้ใหญ่ที่เคารพรัก นิลถอยหายใจออกมาก่อนจะลูบหัวกลมๆของหลานแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนเพราะไม่อยากให้เด็กชายกังวลมากไปกว่านี้


“ครับ อายกโทษให้ แต่อย่าทำแบบนี้อีกนะ ถ้าพีเป็นอะไรไปพ่อเราคงเล่นงานอาตายแน่ๆ”


“ฮะ...พีสัญญาว่าจะไม่ทำอีก”


“ดีมากครับ...พี ถืออะไรอยู่น่ะ?”


นิลเพิ่งสังเกตว่าเด็กชายกำลังกำบางอย่างไว้ในมือ รพีเอียงคออย่างสงสัยในท่าทางของผู้ใหญ่ ร่างป้อมยื่นมือที่มีสิ่งของบางอย่างอยู่ออกมาด้านหน้าก่อนจะแบมันออกมาจนเผยให้เห็นวัตถุกลมมนที่อยู่ด้านใน นิลเบิกตากว้าง เขาไม่อาจฟันธงได้ว่ามันคืออะไรแต่ความรู้สึกบางอย่างกำลังร้องบอกเขาว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด


“ชาติ!! มานี่หน่อย!!!”


คนที่กำลังดูอาการลูกน้องตัวเองรีบวิ่งมาทันทีที่นิลร้องเรียก ชายหนุ่มชี้ไปยังของบนมือของรพีด้วยความร้อนใจทำให้ฤทธิชาติหันไปมองในทันที เขาหยิบมันออกมาแล้วสังเกตลักษณะภายนอกอยู่สักพักก่อนตัดสินใจยกมันขึ้นมาดมกลิ่นใกล้ๆ ใบหน้าหล่อเหลาของผู้หมวดหนุ่มเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกแล้วรีบเดินแยกไปทันทีพร้อมกับร้องบอกให้อีกคนพาเด็กเดินออกไปให้ห่าง


ไม่นานนักบริเวณรอบสระน้ำก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เด็กชายพยายามชะเง้อมองออกไปนอกคันรถเมื่อมีคนที่แต่งตัวแปลกๆคล้ายมนุษย์อวกาศเดินผ่านรถของนิลเข้าไปทางด้านใน


“อานิลฮะ ทำไมมีคนแต่งชุดแปลกๆเต็มไปหมดเลยล่ะ”


เด็กชายหันมาถามด้วยความไม่รู้แต่กลับทำให้คนที่รู้ดีไม่กล้าที่จะอธิบายออกไป นิลอ่านข้อความที่ฤทธิชาติส่งมารายงานความคืบหน้าเป็นระยะด้วยความร้อนใจกับสถานการณ์ที่เลวร้ายถึงขีดสุด จากที่เคยคิดว่าพวกนั้นเป็นเพียงผู้ไม่หวังดีธรรมดาแต่กลับต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อมันกล้าหยิบยื่นวัตถุอันตรายระดับนั้นให้กับเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างรพีทั้งๆที่มีคนคุ้มกันอยู่หนาแน่น


นิลคอยกอดรพีเอาไว้จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด นายตำรวจหนุ่มเปิดประตูรถด้านคนขับก่อนจะนั่งลงด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนขนาดที่ว่านิลยังรู้สึกได้ เขามองอีกฝ่ายด้วยความห่วงใยระคนกับไม่สบายใจ จนฤทธิชาติต้องโน้มศีรษะของนักเขียนหนุ่มเข้ามาหอมเบาๆแทนคำปลอบโยน


“กลับบ้านกันนะ”


ฤทธิชาติขับรถไปตามทางโดยไม่พูดอะไร ทั้งรถตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่รพีที่เคยร่าเริงก็ไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดรอบๆตัว นายตำรวจหนุ่มพาทั้งคู่มายังคอนโดของตนแทนที่จะเป็นบ้านพัฒนเดชาอย่างเคย โดยที่นิลก็ไม่ค้านอะไรเพราะเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลพอถึงตัดสินใจทำแบบนี้


“น้องพีกินนี่รองท้องก่อนนะครับ อีกสักพักอาหารที่อาสั่งไว้ถึงจะมาส่ง”


“ฮะ ขอบคุณฮะ”


ร่างป้อมยกมือขอบคุณก่อนจะรับขนมปังก้อนใหญ่มาถือไว้ รพีค่อยๆกัดกินมันช้าๆโดยมีผู้ใหญ่ทั้งสองคนมองดูอยู่เงียบๆ ฤทธิชาติปล่อยให้เด็กชายกินจนหมดก่อนจะเริ่มป้อนคำถามพร้อมกับยื่นน้ำส้มแก้วใหญ่ให้


“ของเล่นอันนั้นของพีหรอครับ”


ผู้หมวดหนุ่มจงใจบิดเบือนคำถามเพื่อให้รพีสบายใจที่จะตอบ และมันคงดีกว่าถ้าเด็กชายจะไม่เข้ามารับรู้ว่าตัวเองและพ่อกำลังตกอยู่ในอันตราย


“ของเล่น? ลูกบอลอันนั้นหรอฮะ?”


“ครับ พอดีอาอยากซื้อไปให้หลานอาเล่นบ้าง รพีได้มาจากไหนหรอ”


“พีไม่ได้ซื้อฮะ มีคนให้พีมา”


“ใครครับ น้องพีเคยรู้จักเขามาก่อนรึเปล่า”


เด็กชายพยักหน้าที่มีรอยยิ้มกว้างประดับอยู่ก่อนจะเอ่ยชื่อๆหนึ่งออกมา ผู้ใหญ่สองคนในห้องเบิกตาขึ้นโดยเฉพาะนิลที่เปลี่ยนเป็นกัดฟันกรอดเมื่อถึงใบหน้าของคนคนนั้น เขาลุกขึ้นพร้อมกับถือโทรศัพท์ไว้ในมือ ชายหนุ่มกดเบอร์โทรศัพท์ที่เพิ่งจำได้ขึ้นใจแล้วรอสายอยู่ไม่นานก่อนที่เสียงของเพื่อนรักจะดังขึ้น


“ไอ้กาล รีบกลับมาที่นี่เดี๋ยวนี้เลย...เรารู้ตัวคนร้ายแล้ว”



:ling3:(มีต่อเม้นต์ล่างคับ) :ling3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-09-2015 10:15:51 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
“อายุวัณโณ สุขัง พลัง”


ทั้งสองคนก้มกราบพระพร้อมๆกันกับชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ๆ หลวงพ่อนำไม้มงคลที่ถูกมัดรวมกันไว้จุ่มลงในน้ำมนต์แล้วพรมมันไปรอบๆโดยที่ทุกคนต่างก็ก้มหัวรอรับอย่างพร้อมเพรียง รัตติกาลฟังคำสวดของพระด้วยจิตที่ไม่มั่นคงมากนัก ใบหน้าเปื้อนเลือดของนทีในความฝันและคำพูดของอีกฝ่ายที่ทิ้งเอาไว้ดึงความทรงจำอันเลวที่เขาไม่สามารถสลัดมันออกไปได้ย้อนกลับมาทำให้จิตใจสับสนอีกครั้ง


“กาล คิดอะไรอยู่”


รัตติกาลสะดุ้งน้อยๆเมื่ออารัณย์ซึ่งนั่งอยู่ข้างกันแตะเบาๆบนหลังมือของเขาเพื่อเรียกสติ ในขณะที่หลวงพ่อกำลังพูดคุยกับชาวบ้านกลุ่มอื่นอยู่


“ปะ เปล่า”


“เปล่าแล้วทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้น...หรือว่าเจ็บ”


“ไม่ใช่...อย่ามาพูดเรื่องแบบนี้ในวัดได้ไหม เดี๋ยวนรกกินกบาลกันทั้งคู่”


ร่างโปร่งพูดดุๆออกมาแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มร่าไม่สะทกสะท้านใดๆ อารัณย์เขยิบเข้าไปนั่งใกล้รัตติกาลมากขึ้นจนแขนของทั้งคู่สัมผัสกันแต่ทันทีที่ร่างสูงทำแบบนั้นรัตติกาลก็เขยิบถอยออกมาทันทีเช่นกัน


“รัณย์...นั่งดีๆ”


“ก็ดีแล้ว กาลแหละนั่งนิ่งๆ”


อารัณย์ยิ้มให้รัตติกาลที่ขมวดคิ้วใส่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะถึงคิวของพวกเขาแล้วที่จะต้องเข้าไปพูดคุยกับหลวงพ่อเป็นรายสุดท้าย ทั้งสองคลานเข่าเข้าไปหาก่อนจะก้มกราบลงบนพื้นที่ปูด้วยเสื่อธรรมดาผิดจากวัดที่อยู่ในเมืองใหญ่แต่มันกลับให้ความรู้สึกสงบอย่างประหลาด สายลมที่อวลด้วยกลิ่นทะเลนิดๆพอทำให้รู้สึกสดชื่นพัดผ่านหน้าต่างไม้เข้ามาจนผ้าที่ใช้ปูรองพระพุทธรูปไว้ปลิวไสวเป็นพักๆ


“ไม่คุ้นหน้าเลย เป็นนักท่องเที่ยวหรอโยม”


คนในผ้าเหลืองเอ่ยถามทั้งสองคนด้วยใบหน้าเป็นมิตร รัตติกาลและอารัณย์ก้มกราบท่านอีกครั้งก่อนจะสนทนาด้วยท่าทางสำรวมกว่าเคยโดยที่ร่างโปร่งเป็นฝ่ายเอ่ยตอบขณะที่อีกคนก็นั่งพยักหน้าอยู่ใกล้ๆ


“ครับ พวกผมมาพักผ่อนที่นี่ได้พักใหญ่แล้ว”


“หรอ แล้วได้ไปเดินเที่ยวงานเมื่อคืนไหมล่ะ”


“ไปครับ แล้วเมื่อคืนเขาก็พลาดตกน้ำด้วย ผมไม่ค่อยสบายใจเลยอยากพามาให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์สักหน่อย”


อารัณย์ตอบแทนพร้อมกับบอกจุดประสงค์ในการมาทำบุญครั้งนี้ไปด้วย คนอาวุโสกว่าพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะพินิจมองรัตติกาลอยู่ครู่หนึ่ง ร่างโปร่งเองพอโดนมองอย่างนั้นก็พยายามทำตัวเองให้นิ่งแม้ในใจจะยังกังวลอะไรบางอย่างอยู่


“โยมดูเหมือนมีอะไรอยู่ในใจเลยนะ”


หลวงพ่อพูดกับร่างโปร่งยิ้มๆไม่ได้มีท่าทางเค้นถามอะไร กลับกันคนที่นั่งข้างๆรัตติกาลต่างหากที่ทำสีหน้าเครียดขึงทันทีที่ได้ยินแบบนั้น


“ก็...นิดหน่อยครับ”


“ถ้าเก็บไว้กับตัวแล้วมันทุกข์ก็ปล่อยมันทิ้งไปซะ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนแม้กระทั่งความสุขและความทุกข์ อย่ายึดติดกับมันมากเกินไป มองว่ามันเป็นของธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ มีเกิดแล้วก็ต้องดับไปในสักวัน”


รัตติกาลพนมมือรับคำสอนของหลวงพ่อพลางคิดตาม หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่แม้แต่จะรับฟังคำสอนพวกนี้ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในศาสนาแต่เป็นเพราะเคยแต่เอาใจจดจ่ออยู่ที่ปัญหาจนไม่ยอมมองสิ่งรอบตัวต่างหากเลยถึงทำให้รัตติกาลจมอยู่กับมันมาจนถึงตอนนี้


ชายหนุ่มอยากถามถึงสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจแต่ก็ยังลังเล อยากจะเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองเหมือนเช่นทุกครั้งแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันกลับแปลกประหลาดเสียจนไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง รัตติกาลมองใบหน้าอิ่มบุญของพระอาวุโสสลับกับพระพุทธรูปที่อยู่ข้างๆกันก่อนสุดท้ายจะตัดสินใจถามออกมาด้วยความกังวล


“หลวงพ่อครับ...คนที่ตายไปแล้วเขาจะยังต้องการอะไรอีกไหม”


อารัณย์ครางชื่อของคนข้างกายทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้น เขาเผลอกำมือแน่นอยู่ครู่หนึ่งเมื่อรับรู้ได้ว่าร่างโปร่งตั้งใจจะถามถึงใคร แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจของรัตติกาล อารัณย์จึงพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลงก่อนจะเอื้อมมือไปทางด้านหลังแล้วโอบร่างโปร่งไว้หลวมๆ


“ความอยากเป็นกิเลสพื้นฐานของสัตว์โลก ต่อให้ตายหรือเป็นเราก็ยังมีมันอยู่กับตัวกันทั้งนั้น ไม่มียกเว้นหรอกโยม”


“...แล้วพวกเขาอยากได้อะไรอีกครับ ทั้งที่ตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้แล้วแท้ๆ”


 คนในผ้าเหลืองยิ้มออกมาเมื่อได้ฟังคำถาม หลวงพ่อหยิบกระโถนใบเล็กที่วางอยู่ใกล้ๆขึ้นมาบ้วนน้ำหมากในปากทิ้งก่อนจะตอบคำถามของรัตติกาลด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสงบนิ่งแต่กลับยิ่งใหญ่อย่างประหลาด


“ไม่ว่าเป็นหรือตาย แก่นแท้ของความต้องการก็มีอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คืออยากพ้นจากทุกข์ ความต้องการที่ว่ามันแรงกล้าจนสามารถกลายเป็นเชื้อไฟให้คนสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อไขว่คว้ามันไว้แม้จะต้องพ่ายต่อกิเลสที่ยั่วยุเราอยู่ก็ตาม พระพุทธองค์จึงสอนให้รู้จักควบคุมกิเลสไม่ปล่อยใจให้ไหลไปกับมัน”


“ถ้าเป็นอย่างที่หลวงพ่อว่า ผมยิ่งไม่รู้ว่าตัวเองสมควรทำอะไรให้กับคนที่ตายไปแล้ว ในเมื่อไม่ต้องมารับรู้เรื่องทางโลกอีกแล้วเขาจะยังทุกข์อะไรอีก”


“ทุกข์สิ หลวงพ่อว่าโยมรู้ดีว่าวิญญาณที่โยมว่าทุกข์เพราะอะไร”


“...”


“ต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า โยมจะให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้ไหมเท่านั้นเอง”



ร่างโปร่งสบตาชายในผ้าเหลืองด้วยความไม่เข้าใจ แต่หลวงพ่อกลับทำเพียงยิ้มแล้วอวยพรเขาก่อนจะขอตัวออกไปฉันเพลเมื่อถึงเวลา รัตติกาลออกมาจากวัดด้วยความรู้สึกที่ติดค้างกลายเป็นตะกอนนอนก้นไม่ต่างจากอีกคนที่แม้จะเพิ่งได้ฟังคำว่ารักจากปากคนข้างๆไปเมื่อเช้ามันแต่ก็ไม่ทำให้อารัณย์สบายใจได้เลย



“ทำไมจู่ๆถึงพูดเรื่องหมอนั่นขึ้นมา”



อารัณย์ถามขึ้นเพราะทนเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ พวกเขาหยุดเดินอยู่ตรงบริเวณใกล้ๆกับจุดที่รัตติกาลพลัดตกน้ำเมื่อวานจึงยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกดดันมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เขาเชื่อเรื่องโลกหลังความตายแต่กลับไม่เคยเชื่อว่าผีมีอยู่จริง รัตติกาลจึงคิดหนักสับสนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนั้นคืออะไร มันก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความจริงและการคิดไปเอง อยากจะละเลยไม่สนใจแต่ความรู้สึกข้างในกลับบอกไม่ให้เขาทำแบบนั้น


“ไม่มีอะไรหรอก อย่าสนใจเลย”


“มันจะไม่มีอะไรได้ยังไง”


ร่างสูงคว้ามือของรัตติกาลมากุมไว้โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืน


“ผมไม่อยากให้กาลแบกรับมันไว้คนเดียว เข้าใจไหม”


“รัณย์...”


“ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยหรือใหญ่แค่ไหน ผมก็อยากให้กาลพึ่งผมบ้าง”


ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนที่รัตติกาลไล่เขาออกไปจากชีวิตย้อนกลับมาจนเผลอแสดงสีหน้าปั้นยากออกไป แม้จะได้ใกล้ชิดกันแค่ไหนแต่รอยร้าวที่เกิดขึ้นในวันนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะลบล้างไปได้ง่ายๆแค่เพราะวันนี้เขาได้มีรัตติกาลอยู่ข้างกาย กลับกันมันยังคงย้อนกลับมาย้ำเตือนถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้เขาโหยหาการยอมรับและความไว้ใจจากรัตติกาลมากกว่าใคร


รัตติกาลสังเกตเห็นความน้อยเนื้อต่ำใจในดวงตาของอีกฝ่าย เขายกมือขึ้นสัมผัสข้างแก้มของร่างสูงเบาๆก่อนจะโน้มมันลงมามอบจุมพิตให้อีกฝ่ายหวังให้คลายความขุ่นมัวในใจนั้นลง


“คุณเป็นที่พึ่งให้ผมมากกว่าที่คิดนะ รู้ตัวไหม”


“...!”


“ถ้าไม่มีคุณ ผมอาจจะตาย...”


“ไม่ให้ตายหรอก!”


อารัณย์พูดแทรกขึ้นทั้งที่รัตติกาลยังไม่ทันพูดจบประโยคดี คนตัวเล็กกว่ายิ้มอ่อนแล้วกระชับมือที่จับกันไว้ให้แน่นขึ้น ถ้าหากถามว่าเขาหลงรักอารัณย์ตรงไหน ก็คงจะเป็นความซื่อตรงที่อีกฝ่ายมักแสดงมันออกมาเสมอนี่แหละ ที่เขามองว่ามันน่ารัก


“ก็แค่พูดถึง ผมไม่ได้จะตายสักหน่อย”


“แค่พูดก็ไม่ได้!”


“หึ ไหนตอนนั้นบอกว่าชีวิตคนเราไม่เที่ยง ยังไงก็ต้องจากกันสักวันอยู่เลยไง แล้วทำไมถึงไม่ยอมให้ผมพูดถึง”


“...ก็เพราะว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นไง ถึงได้กลัว”


ร่างสูงเสหน้าหันไปมองทางอื่นด้วยผิวแก้มขึ้นสี รัตติกาลยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำพูดและเห็นท่าทางแบบนั้น เขาออกแรงจูงให้คนตัวโตเดินตามกันมาโดยไม่สนใจว่าชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปผ่านมาจะมองพวกเขาสองคนยังไง สำหรับรัตติกาลตอนนี้เขาแค่อยากจะครอบครองมันไว้โดยไม่ต้องสนใจอะไรอีกเท่านั้นเอง


“เมื่อวานตอนที่สลบไปผมฝันถึงเขา”


“...”


“ในฝันเขาพูดเหมือนกับว่าจะไม่ยอมให้ผมไป”


“ตายไปแล้วยังเสือกหวงก้างอีกนะมึง...”


อารัณย์บ่นพึมพำตามหลังโดยไม่คิดว่ารัตติกาลจะได้ยิน แต่กลายเป็นว่าคนเดินนำกลับหัวเราะออกมาก่อนจะหันมามองเขาด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจที่อารัณย์หลงรัก ร่างสูงหน้าแดงแต่ก็พยายามเดินให้เร็วขึ้นอีกเพื่อที่จะได้เห็นหน้าของรัตติกาลใกล้ๆจนกลายเป็นว่าเขาทั้งคู่เดินเคียงข้างกันโดยที่ยังไม่คลายมือที่สอดแทรกกันไว้ออก


“กาลดีใจไหม...ที่ไอ้ผีนั่นมันพูดเหมือนหวงกาล”


“ผีมีจริงซะที่ไหนล่ะ อีกอย่างมันก็แค่ฝัน”


“ก็นั่นแหละ ดีใจรึเปล่าล่ะ”




“...ก็ดีใจ”




“...!!”



“ถ้าเป็นเมื่อก่อน”




ชายหนุ่มที่หน้าเสียไปครู่หนึ่งพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองแล้วตั้งใจฟังในสิ่งที่รัตติกาลกำลังพูด พวกเขาเดินมาถึงบ้านพักของยายพิศแต่ก็ยังนั่งอยู่บนท่าน้ำหน้าบ้านไม่เข้าไปข้างในแต่อย่างใด


“สิ่งที่หลงเหลืออยู่ระหว่างผมกับเขามีแต่ความเจ็บปวด ต่อให้ความตายไม่พรากนทีไป...เราก็ไม่มีวันเดินร่วมทางกันได้อยู่ดี”


“แต่คุณก็ยังเสียใจที่เขาตายใช่ไหม”


“ใช่ ทั้งเสียใจ ดีใจ และแค้น...”


“...”


“ในวันที่เขาตายคือวันที่ผมรู้ความจริงว่าเขาไม่เคยรักผมเลย เขาจากไปโดยที่ผมยังไม่ได้ทวงคืนอะไรให้กับตัวเองเลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกทุกอย่าง ทั้งความเสียใจที่เขาตาย ความดีใจที่เห็นเขาได้รับกรรม และความแค้นที่ถูกทรยศหักหลัง ทุกอย่างมันถูกเก็บไว้ให้ตัวผมที่ถูกทิ้งให้อยู่บนโลกนี้เพียงลำพังในขณะที่พวกเขาสองคนตายหนีความผิดไปทั้งคู่”


“...”


“สิ่งเดียวที่ยังผูกพันเราไว้ก็คือความแค้นที่ยังไม่ได้รับการสะสาง ต่อให้มันมีปาฏิหาริย์นำพาเขากลับมา ผมก็คงเป็นฝ่ายส่งเขากลับไปหาความตายเองอีกครั้ง...”



อารัณย์โอบกอดไหล่ของรัตติกาลไว้แล้วจดจูบตรงขมับหวังให้อีกคนคลายความเครียดลง ร่างโปร่งหลับตาแล้วพิงร่างของตนไปที่ชายหนุ่มทั้งตัวโดยไม่กลัวเลยว่าอีกฝ่ายจะปล่อยให้เขาหลุดมือหรือไม่


“ไม่ต้องคิดมากไปหรอกมันก็แค่ฝัน อีกอย่างผีมันมีจริงที่ไหนล่ะ”


“หึ ขนาดไม่เชื่อว่าผีมีจริงยังต้องไปปรึกษาพระเลยเนี่ยนะ”


“มีโอกาสถามก็ถาม ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”


“เป็นดิ หวงเว้ย เข้าใจป่ะ”


ร่างสูงหยิกแก้มที่เอนพิงตัวเองอยู่ด้วยความมันเขี้ยว ส่วนคนที่โดนหยิกกลับหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่คาดฝันนั้น


“ฮ่าๆ กับผียังจะหวงอีกหรอ”


“เออ จะคนจะผีก็หวงหมดนั่นแหละ ถ้ามันมาเข้าฝันกาลอีกคราวนี้จะจับลงหม้อถ่วงน้ำให้หมดเลยคอยดู”


“เว่อร์ไปแล้ว”


รัตติกาลว่ายิ้มๆก่อนจะหยิกแก้มอีกฝ่ายตอบแล้วหอมซ้ำลงไป ร่างโปร่งมองใบหน้าที่แดงขึ้นเรื่อยๆของอารัณย์ด้วยความพอใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนตรงหน้าที่เอาแต่อ้ำอึ้งพูดไม่ถูกเมื่อโดนเขาจู่โจมใส่แบบนั้น



“คุณนี่...น่ารักดีเหมือนกันนะ”


“ห๊ะ!”


“น่าสนใจจริงๆด้วย”


“สนใจอะไรแต่อย่าคิดจะเล่นอะไรแผลงๆล่ะกาล ผมหวาดนะบอกตรงๆ”


“ฮ่าๆ แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วหรอ แล้วแบบนี้จะไปสู้กับใครเขาได้ยังไง”


อารัณย์หน้าเจื่อนทันทีที่รัตติกาลพูดจบ แม้จะได้ครอบครองแต่ลึกๆเขาก็ยังคงมีความไม่มั่นใจอยู่มากว่าอีกฝ่ายจะรักเขาได้อย่างที่เขารัก ร่างสูงกระชับร่างในอ้อมแขนแน่นราวกับว่ากลัวจะทำหล่นไป รัตติกาลเองก็พอมองออกว่าอารัณย์กังวลอะไรจึงลูบเบาๆตามลำแขนนั้นเพื่อปลอบโยน


“ตัวก็ใหญ่ มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ”


“มันเกี่ยวกันซะที่ไหนล่ะ”


“เกี่ยวสิ เพราะต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นคุณจะปกป้องผมใช่ไหม”


“ด้วยชีวิตเลย”


ร่างสูงมอบคำสัตย์ที่สั่นคลอนหัวใจของรัตติกาลได้อีกครั้ง เขาหลับตาลงแล้วซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้างที่ทำให้เขารู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด เหมือนกับว่าเป็นสถานที่ที่ตามหามาแสนนาน ที่ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าเขาจะปลอดภัยหากอยู่ตรงนี้


“ไม่ต้องถึงขั้นนั้นก็ได้ แค่ไม่ทิ้งผมไปไหนก็พอ”


“อื้อ ไม่ทิ้งหรอก ไม่คิดว่าจะมีวันนั้นด้วย”


“หึ น้ำเน่าจริงนะ”


“ฮ่าๆ”


“อารัณย์...”


“หื้ม?”


“ขอบคุณนะที่ทำเพื่อผมมาตลอด”


“...อื้อ”


“ได้โปรด...อย่าไปจากชีวิตผมนะ”



คำพูดที่ครั้งหนึ่งเคยพันธนาการเขาไว้กับความทุกข์ถูกปลดเปลื้องออกด้วยคำขอร้องที่เขาอยากได้ยินมากที่สุดในชีวิต รัตติกาลยิ้มพรายก่อนจะเข้าไปในบ้านทิ้งให้คนตัวโตนั่งนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินตามหลังไปพร้อมกับความมีชีวิตชีวาของบ้านที่เกิดขึ้นเมื่อทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน


รัตติกาลใช้เวลาตลอดบ่ายไปกับการเขียนหนังสือโดยมีอารัณย์คอยคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง แม้สถานะระหว่างทั้งสองจะเปลี่ยนไปแต่พวกเขากลับยังคงใช้ชีวิตตามแบบที่เคยเป็น อารัณย์ไม่เคยรู้สึกเบื่อที่ได้แต่มองรัตติกาลท่ามกลางความเงียบสงบ ร่างโปร่งเองก็เริ่มชินกับสายตาที่มองมา เขาปล่อยให้อารัณย์ทำอย่างใจต้องการและทำงานของตัวเองไปโดยจะมีบางครั้งที่ทั้งคู่หันมาพูดคุยกันด้วยเรื่องไร้สาระแต่กลับทำให้อบอุ่นหัวใจอย่างประหลาด



ช่วงเวลาแสนสงบผ่านเลยไปจนถึงเย็น รัตติกาลลืมตาขึ้นก่อนจะรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อและกระดูกแข็งๆที่ใช้หนุนหัวต่างหมอน อารัณย์ยังคงหลับอยู่โดยที่เจ้าตัวอุทิศแขนข้างที่ไม่ถูกยิงให้เขาใช้หนุนนอนโดยที่ตัวเองมีแค่ไม้กระดานแข็งๆรองหัวเท่านั้น รัตติกาลยันกายขึ้นนั่งแล้วประคองศีรษะของอีกฝ่ายมาวางไว้บนตัก ปลายนิ้วเย็นเฉียบไล่ไปตามคิ้วโก่งหนาได้รูปที่ขมวดเป็นปมเล็กๆแม้จะไม่ได้สติ เขาคลึงมันเบาๆพลางคิดไปว่าคนอย่างอารัณย์มีอะไรให้กังวลแม้แต่ในยามหลับฝัน


“จะเป็นเรื่องของผมรึเปล่านะ”


รัตติกาลยิ้มให้กับความหลงตัวเองของตน เขากำลังโลภมาก และคาดหวังกับความรักครั้งใหม่อย่างไม่อาจหักห้ามใจได้ ชายหนุ่มก้มตัวลงจูบเบาๆบนเปลือกตาของคนที่หลับใหลหวังให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมา เขาอยากเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของอารัณย์อีกครั้ง อยากให้ดวงตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่เขาตลอดไป


“อารัณย์ ตื่นเถอะ เย็นมากแล้ว”


“อื้อ...”


“เดี๋ยวคืนนี้ก็นอนไม่หลับหรอก ตื่นเร็ว”


“หิว...”


“หิวก็ลุก รีบไปบ้านยายกัน”


อารัณย์พยักหน้าก่อนจะยันกายขึ้นโดยมีรัตติกาลคอยลูบจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงนั้นให้ ร่างสูงปรือตามองคนตรงหน้าแล้วโน้มกายไปจุมพิตลงบนริมฝีปากสีชาดที่ลอยเด่นอยู่อย่างไม่อาจห้ามใจ รัตติกาลเอนคอรับสัมผัสของอีกฝ่ายพร้อมกับเปิดปากออกปล่อยให้เรียวลิ้นของชายหนุ่มเกี่ยวรัดตัวเขาอย่างเอาแต่ใจ ร่างโปร่งคอยลูบหลังของอารัณย์เพื่อให้อีกฝ่ายสงบลงเมื่อรู้สึกถึงความตื่นตัวของสิ่งที่อยู่ในร่มผ้า พี่เลี้ยงหนุ่มยอมผละออกมาแม้ว่าจะรู้สึกขัดใจเพียงใดแต่ก็ไม่วายฝากรอยรักเล็กๆไว้ตรงซอกคอเป็นการวางมัดจำไว้ก่อน


“เดี๋ยวคืนนี้ค่อยมาต่อ”


“ฝันไปเถอะ”


ร่างสูงขยี้ผมของอีกฝ่ายก่อนจะพากันลุกขึ้นไปจัดการล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อยก่อนจะเดินทางไปกินข้าวเย็นที่บ้านของยายพิศเช่นเดิม รัตติกาลนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายตัวใหญ่ระหว่างรอให้อารัณย์เดินออกมา เขามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงแล้วฝูงนกที่บินกลับรังด้วยความชอบใจ แม้จะเป็นเวลาสั้นๆแต่เขากลับรู้สึกผูกพันกับที่นี่อย่างประหลาดจนนึกอย่างจะมีบ้านไว้ครอบครองสักหลัง


“กลับไปค่อยคุยกับคุณนเรศแล้วกัน”


รัตติกาลบอกกับตัวเองก่อนจะหันไปมองโทรศัพท์ที่ส่งเสียงร้องอยู่บนโต๊ะรับแขกซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบมันไว้เป็นจังหวะเดียวกับอารัณย์ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ร่างสูงเลิ่กคิ้วขึ้นก่อนจะร้องอ่อเมื่อรัตติกาลบอกว่าเพื่อนรักอย่างนิลเป็นฝ่ายโทรมาหา


ชายหนุ่มเดินไปตากผ้าเช็ดตัวแล้วหวีผมเป็นอย่างสุดท้าย เขาเดินกลับมายังชั้นล่างของบ้านที่มีรัตติกาลกำลังถือหูโทรศัพท์ค้างไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของรัตติกาลวูบไหวแม้แต่ไหล่ลาดก็ยังสั่นจนร่างสูงต้องเข้าไปจับไหว ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายแล้วบอกลาคนปลายสายก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับอารัณย์อีกครั้ง


“มีอะไรเกิดขึ้นหรอกาล?”


“นิลบอกว่าให้เรากลับไปบ้านเดี๋ยวนี้...เรารู้ตัวคนร้ายแล้ว”


อารัณย์ไม่รู้สึกดีใจอย่างที่คิดเพราะความตึงเครียดที่รัตติกาลแสดงออกมาบอกเขาว่ามันคงมีอะไรมากกว่านั้น ร่างโปร่งกำโทรศัพท์แน่นแล้วยกมืออีกข้างขึ้นบีบขมับของตัวเองพร้อมกับทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ออกมา


รัตติกาลเดินเข้าสู่อ้อมกอดของอารัณย์ทันทีที่อีกคนกางแขนออก เขาสูดหายใจเข้าปอดหวังให้ตัวเองสงบใจลงมากกว่านี้เพื่อรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า รัตติกาลบอกตัวเองว่าเขาจะหวั่นไหวไม่ได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการทรยศที่เกิดขึ้นอีกครั้ง





“ธิชา...เป็นคนทำ”




----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผักกาด!!! ขอความร่วมมือช่วยตอบโพลนี้ให้เช่ทีนะคับ อย่างที่บอกไปในทอล์คหลายๆตอนว่าเช่จะรวมเล่มไนท์แมร์เลยต้องการเก็บข้อมูลตั้งแต่เนิ่นๆ รบกวนช่วยไปตอบทีนะคับ

https://docs.google.com/forms/d/1Z25QsWRzFK5qH7nRf7LCO_zLN-DD4Zcp51LaEKJiYBQ/viewform?c=0&w=1

อนึ่ง สั่งมากน้อยเช่ก็ทำคับ เพราะตั้งใจจะรวมเล่มผลงานตัวเองเก็บไว้อยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดมีจำนวนไม่มาก เช่คงมีโอกาสได้พิมพ์แค่รอบเดียวไม่มีรีปริ้น แล้วเช่ก็ไม่คิดจะพิมพ์ผ่านสำนักพิมพ์นะคับ ชอบทำเองมากกว่า เลยไม่อยากให้พลาดกันสำหรับคนที่ต้องการจะเก็บนิยายเรื่องนี้ไว้จริงๆ

ถ้าใครสนใจก็ส่งช่องทางติดต่อมาในคำถามข้อสุดท้ายได้เลย ถ้าเช่มีรายละเอียดการจองหนังสืออะไรยังไงจะได้ส่งไปให้ไม่ตกหล่นคับ^^




คุยกับเช่!!

หายหน้าไปหลายวัน กลับมาแล้วคับ!!  :o12: เพิ่งไปทำกิจกรรมให้คณะมา พังทั้งร่างพังทั้งสมองเลยช็อตไปหลายวัน อาทิตย์หน้าเช่ยุ่งมว๊ากกกกกกก มีต้องเข้าไปworkshopที่กรุงเทพด้วย จะแว๊บไปกินมะตะบะตามรอยคู่รองที่หวนกลับมาพร้อมกับดราม่าเล็กๆไม่ใส่ไข่ แต่ไม่ต้องห่วงคับ หลังจากนี้เช่จะไม่ใส่ปมอะไรเข้าไปอีกแล้ว เฟสนี้เป็นการแก้ปมล้วนๆเลย เรียกว่าเรื่องดำเนินมาจนถึงจุดพีคแล้วล่ะนะ งานเช่ก็งอกตามไปด้วย นั่งนึกตลอดว่าไปหว่านอะไรไว้บ้าง เป็นการใช้กรรมของคนเขียนคับ  :z13: :heaven

NCตอนที่แล้วคนบอกว่าละมุน เอ่อ...จะบอกว่าตั้งใจให้มันร้อนแรงนะ 55555  :hao3: สรุปมันหวานซะงั้นหรอ งื้ออ แต่ก็โอเคนะ ผลตอบรับพอใจมากคับ ดีใจที่ทุกคนชอบกัน เช่ก็จะพยายามจัดโมเม้นต์รัณย์กาลหนักๆมาถวายให้ท่านแม่ยกอย่างถ้วนหน้า กินมาม่าต่างข้าวกันมาเยอะแล้วได้เวลาสำราญของชาวเราสักที  :hao6:

ส่วนเรื่องหนังสือแน่นอนแล้วนะคับว่ามีถึง 3 เล่มแน่นอน อย่างหนา!  :really2: ไปรษณีย์เขาจะให้ส่งไหมเนี่ย แล้วที่หนักหนากว่าคือออกแบบปกเนี่ยแหละ เช่ทำได้นะแต่แม่มโคตรขี้เกียจเลย555555 เดี๋ยวรอให้เคลียร์งานไปได้เยอะกว่านี้อีกนิดจะเริ่มทำปกออกให้ยลกันนะคับ ใครชอบอยากเก็บเรื่องนี้ไว้ก็เริ่มเก็บตังกันได้แล้วนะ เช่ไม่อยากขายแพงมากแต่ด้วยจำนวนเล่มแล้วก็คงหลายตังอยู่ดี เก็บไว้ตั้งแต่เนิ่นๆจะได้ไม่ลำบากนะคับ^^  :mew1:

ป.ล. เหมือนเดิมมม ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตและคำแนะนำ เช่คงผลุบๆโผล่เร็วบ้างช้าบ้างเหมือนเดิม ขอเวลาหน่อยนะคับ อยากเก็บงานให้เนียบที่สุดจะได้ไม่ตกหล่นอะไร อัพไม่อัพยังไงติดตามกันได้ที่แฟนเพจ มีข้อสงสัยหรือติชมอะไรก็แวะไปคุยกันได้คับ เช่ตอบเรื่อยๆเลย^^


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-09-2015 17:35:27 โดย vivacestory »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
เช่ขออิดิทเพิ่มโพลสำรวจความต้องการซื้อหนังสือไปท้ายตอนที่34 นะคับ

รบกวนตอบให้เช่หน่อยนะ^^ 
:katai4: :katai2-1:

ออฟไลน์ Kamidere

  • บรรยายมันออกมา ทุกสิ่งที่อยู่ในใจ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
ตกใจจริงๆนะเนี่ยที่เป็นธิชา

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เห้ยยย พลิกค่ะ ไม่คิดนะเนี่ยวืาจะเป็นนาง

แอบคิดว่าเป็นอีกคน :ling3: ทำแบบนี้ทำไม เรื่องแม่หรอ หรือเกี่ยวอะไรกับนทีอีก

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เราะพลาดนิยายเรื่องนี้ไปได้ยังไงงง
แบบมันสนุกมากค่ะ
มีครบทุกรสเลยอ่านรวดเดียวเลย
ยิ่งอ่าน เกลียดอิตานทีมากค่ะ
เราขอเดาว่าธิชาน่าจะเกี่ยวกับพะแพงอาจเป็นน้องหรือญาติ555555 เดาอย่างมั่วเลย

ปล.ให้กำลังใจคุณคนเขียนค่า +ให้ด้วย  :mew1:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

35th Night

…Betray...

 

อารัณย์จับจ้องประตูไม้บานใหญ่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกขุ่นมัวไม่แพ้ฟ้าครึ้มฝนด้านนอก เขาลูบผมของเด็กชายที่หลับใหลอยู่บนตักเบาๆทั้งที่ใจจริงอยากจะเข้าไปในห้องนั้นใจจะขาดแต่เพราะคำปฏิเสธของรัตติกาลทำให้เขาไม่กล้าที่จะฝืนความต้องการที่อยากจะเผชิญหน้ากับคนทรยศตามลำพัง


“ให้ผมพาน้องพีไปเข้านอนก่อนดีกว่านะครับ”


นายตำรวจหนุ่มเอ่ยกับคนที่เพิ่งกลับมาจากการหลบภัยอย่างมีน้ำใจ แต่สิ่งที่ร่างสูงทำกลับเป็นการส่ายหน้าปฏิเสธ


“ไม่เป็นไร ให้นอนไปก่อนเถอะ”


“แต่คงอีกนานกว่าคุณกาลจะออกมา”


อารัณย์เกิดความรู้สึกลังเล เขามองนาฬิกาซึ่งแขวนอยู่บนกำแพงบอกว่าตอนนี้เวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาประคองรพีที่ยังคงไม่ได้สติไว้ในอ้อมกอดก่อนจะวางร่างนั้นลงบนโซฟารับแขกตัวยาวที่ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้มันต่างเตียงนอนตอนที่รัตติกาลพยายามใช้ความพยายามทั้งหมดควานหาคนร้ายที่ปล่อยข้อมูลของบริษัท โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่ใกล้ชิดตัวเองที่สุด ณ สถานที่แห่งนี้ จะกลายเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราววุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้น


“แล้วมึงไม่ต้องเข้าไปฟังด้วยรึไง”


“ผมสืบสวนเบื้องต้นไปแล้วครับ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีเจ้าทุกข์”


“หมายความว่ายังไง?”


“คุณกาลยังไม่ฟ้องเธอครับ อย่างน้อยก็จนกว่าจะเจรจากันเสร็จ”


“แต่ระเบิด...”


“เรื่องนั้นคุณกาลก็ขอให้ผมจัดการไม่ให้เรื่องถึงขั้นเป็นคดี เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงหมดอนาคตแน่”


อารัณย์ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นเดียวกับฤทธิชาติ เขาสองคนปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปโดยที่ต่างคนต่างก็มีเรื่องมากมายวิ่งวุ่นอยู่ในหัว จนกระทั่งผู้หมวดคนสนิทของตัวไปจัดการเรื่องลูกน้องที่โดนทำให้สลบไปเพราะสารเคมีบางอย่างจนภายในห้องกว้างเหลือเพียงร่างสูงและเด็กชายผู้หลับใหลเท่านั้น


เสียงนาฬิกาตีบอกว่าเขาล่วงเข้าวันใหม่มาได้กว่าชั่วโมงแล้ว ในขณะที่อารัณย์กำลังนำผ้าห่มอีกผืนมาคลุมให้กับรพี ประตูที่เขาจ้องมองมันมากว่าชั่วโมงก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของนิลและธิชาที่ทำหน้านิ่งไม่มีร่องรอยของความโศกเศร้าและสำนึกผิดให้เห็น


“มึงเข้าไปอยู่กับไอ้กาลมันก่อนไป”


“แล้วมึงจะพาเขาไปไหน”


“ยังพาไปไหนไม่ได้ ต้องรอไอ้ตำรวจกลับมานี่ก่อน”


นิลถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน เขาดันไหล่เล็กของคนที่ยืนอยู่ข้างๆให้นั่งลงบนอาร์มแชร์ตัวเขื่องก่อนจะพาร่างของตนมาเอนกายอยู่ใกล้ๆรพีโดยระวังไม่ให้ร่างป้อมตื่นมาตอนนี้ อารัณย์ยังคงยืนนิ่งไม่ได้เข้าไปในห้องทั้งๆที่เคยอยากเข้าไปใจจะขาด แต่เขากลับจ้องมองไปยังใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มเหมือนเช่นทุกครั้งที่เจอกัน ใบหน้าของคนที่เคยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเลขาผู้เก่งกาจของรัตติกาล


“คุณทำไปทำไม”


ร่างสูงเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในห้อง นิลลืมตาขึ้นมองคนทั้งคู่แต่ก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรออกไป เขาเลือกที่จะนั่งมองทั้งสองคนอยู่เงียบๆ ด้านหนึ่งคืออารัณย์ที่แสดงความผิดหวังออกมาทางใบหน้าไม่ต่างจากเพื่อนของเขา และอีกด้านคือหญิงสาวผู้ที่ไม่มีความร่าเริงอยู่บนใบหน้าอย่างเคย


“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องบอกคุณค่ะ”


“...กาลเขาไว้ใจคุณมาก รู้บ้างรึเปล่า”


อารัณย์รู้สึกว่าเสียงของตัวเองที่เปล่งออกมานั้นสั่น เขาไม่ได้ร้องไห้เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันสะเทือนใจเขาเสียจนไม่อาจควบคุมตัวเองไว้ได้เหมือนเช่นทุกครั้ง ผู้หญิงตรงหน้าเขากำลังเค้นยิ้ม ดวงตาที่เคยแสดงความห่วงใยแก่เจ้านายของตนเสมอเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างก่อนจะช้อนขึ้นมองคนที่ตัวเองกำลังสนทนาด้วย


“รู้สิค่ะ เพราะอย่างนั้นไงฉันถึงทำมัน”


“...!”


“น่าเสียดายจริงๆนะคะ...น่าเสียดายจริงๆ”


เธอพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเพื่อยุติบทสนทนาที่อารัณย์เองก็ไม่อยากจะได้ยินคำพูดไร้สำนึกพวกนั้นอีกแล้ว เขาเดินเข้าไปในห้องนอนที่เคยเข้ามานับครั้งได้ กลิ่นอวลของกาแฟยังคงหลงเหลืออยู่เพราะแก้วสามใบที่ของเหลวสีดำในนั้นไม่ได้พร่องลงเลย ร่างสูงเดินผ่านมันไปยังด้านในของห้องที่ร่างของเจ้าของมันกำลังนั่งเหยียดขาอยู่บนพื้นพรมทั้งที่ยังหลับตา


“กาล...”


อารัณย์คุกเข่าลงตรงหน้าพร้อมกับใช้หัวแม้โป้งลูบไปตามเปลือกตาที่ดูหนักอึ้งผิดจากทุกครั้ง รัตติกาลปล่อยให้คนรักสัมผัสตัวเองอยู่อย่างนั้นโดยที่ร่างโปร่งเลือกที่จะเอื้อมจับไหล่ของอีกคนไว้แทนการบอกว่าเขายังมีสติอยู่ จนกระทั่งอารัณย์เปลี่ยนมาโอบกอดเขาไว้พร้อมกับจับใบหน้าของรัตติกาลให้ซบลงบนบ่า


“ไหวรึเปล่า”


“ไหว...อยากตอบแบบนั้นอยู่หรอกนะ”


“...”


“ผมเหนื่อยจังเลย”


“อาบน้ำสักหน่อยนะ”


ร่างสูงประคองร่างของคนรักให้ลุกขึ้นก่อนจะพาไปยังห้องน้ำด้านในที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมาเจอรัตติกาลในสภาพที่อ่อนแรงแต่ก็ยังน้อยกว่าวันนี้ อารัณย์จัดการปลดกระดุมให้คนที่ยืนนิ่งแล้วถอดเสื้อผ้าออกจนครบทุกชิ้นก่อนจะจับให้ร่างโปร่งเอนกายลงในอ่างที่มีน้ำรองอยู่เต็ม


“ถ้าเสร็จก็ตะโกนเรียกแล้วกัน”


“อยู่ด้วยกันก่อนสิ...นะ...ผมไม่อยากอยู่คนเดียว”


รัตติกาลเอ่ยขึ้นพร้อมกับคว้ามือของอารัณย์มาจับไว้ ทันทีที่ได้ยินดังนั้นร่างสูงก็ทรุดตัวลงนั่งบนขอบอ่างด้านที่ศีรษะของรัตติกาลพิงอยู่ ร่างโปร่งนำมือของอารัณย์มาสัมผัสใบหน้าของตัวเองก่อนจะมองค้างไปในอากาศด้วยใบหน้าที่เฉยชาก่อนที่มันจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นเหยเกเพราะความเจ็บปวดที่ปะทุมาจากข้างใน


 “แม่ของธิชาป่วย...เธอเลยต้องทำแบบนั้น พอดีกับมีคนจากบริษัทคู่แข่งยื่นข้อเสนอให้ตอนเธอกำลังจนตรอก เรื่องทั้งหมดก็เลยเกิดขึ้น”


“เขาดูไม่สำนึกผิดเท่าไหร่”


“ไม่หรอก เธอรู้ดีว่าผิด...แค่ยอมรับผลจากการตัดสินใจของตัวเองเท่านั้น เป็นคนแบบนั้นแหละธิชาน่ะ...ผมถึงได้เลือกเธอให้มาเป็นมือขวาด้วยตัวเองไง”


ร่างโปร่งยังจำได้ดีถึงวันแรกที่พบกัน หญิงสาวใบหน้าสะสวยถูกแนะนำโดยเพื่อนต่างคณะที่เคยไปมาหาสู่กันบ่อยๆช่วงที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ตอนแรกเขาไม่คิดสนใจเธอสักนิด แม้ผลการเรียนจะดีแต่ประสบการณ์ทำงานด้านนี้กลับมีไม่มากเพราะมีเหตุให้ต้องลาออกจากที่ทำงานเก่าก่อนครบช่วงทดลองงาน แต่พอได้พูดคุยและลองให้มาทำงานด้วยกัน รัตติกาลก็พบว่าธิชาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงและจริงจังผิดกับหน้าตาที่อ่อนหวาน เป็นหญิงแกร่งที่เขาทั้งนับถือและเชื่อมั่นในความสามารถจนทั้งไว้ใจและเชื่อใจในตัวเธอต่างจากคนอื่นในบริษัท


 “รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจพลาดหรอ”


“...ผมไม่อยากคิดว่าตัวเองเลือกคนผิด ที่ผ่านมาเธอก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอด แต่แค่ตอนนี้เธอมีคนที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่าเท่านั้นเอง”


รัตติกาลยิ้มออกมาแต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่คล้ายกับกำลังเยาะเย้ยตัวเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น อารัณย์โน้มตัวลงกอดคนที่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งไว้โดยไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องเปียก เขาพยายามกระชับอ้อมแขนให้มากขึ้นโดยที่รัตติกาลก็ยิ่งเอนกายเข้าหาร่างสูงให้มากขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน


“กาลยังไม่ได้พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดจริงๆเลยนะ”


“...!”


“พูดออกมาเถอะ...ตรงนี้มีแค่เราสองคนเท่านั้น”



ร่างโปร่งเบิกตากว้างก่อนจะค่อยๆระบายยิ้มออกมาโดยที่คราวนี้มันดูเศร้าสร้อยเสียจนคนมองรู้สึกสะท้อนในอก มือของรัตติกาลเริ่มสั่น เขาไม่ได้ร้องไห้เพียงแค่ไม่อาจปิดบังความผิดหวังที่ถาโถมอยู่ในใจได้อีกต่อไป


“ทำไมคนเราถึงชอบโกหกกันนักนะ ทั้งที่ถ้าพูดความจริงมาแต่แรกคงจะไม่มีใครต้องเจ็บปวดแล้วแท้ๆ ถ้าเธอบอกผมสักคำว่าตัวเองกำลังลำบาก ถ้าคนที่เธอเลือกที่จะขอความช่วยเหลือเป็นผม เราคงไม่ต้องมาทำร้ายกันเองแบบนี้ใช่ไหม”


“กาล...”


“ทั้งๆที่ผมก็ยินดีรับฟังเธอมาตลอด ผมไม่เคยทำให้เธอต้องลำบากใจแล้วทำไมเธอถึงทำกับผมแบบนี้ ทำไม! ทำไมต้องเป็นผมด้วย!!”


 อารัณย์รู้สึกได้ถึงคมเล็บที่จิกลงบนท่อนแขนแต่ก็ไม่ได้ปัดมันออกแต่อย่างใด เขาปล่อยให้รัตติกาลทำร้ายร่างกายตนเองอยู่อย่างนั้นโดยที่พยายามใช้มืออีกข้างลูบไปบนเส้นผมสีดำปลอบประโลมให้อีกฝ่ายใจเย็นลงไปเรื่อยๆ เสียงหายใจถี่หอบเพราะแรงอารมณ์ค่อยๆผ่อนลงจนเริ่มกลายเป็นปกติหลงเหลือไว้เพียงแรงสะอื้นที่ไม่มีน้ำตาให้ไหลออกมา


“อย่าเสียใจเพราะคนแบบนั้นเลยกาล คุณทำเพื่อเขามามากพอแล้ว อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลยนะ”


“ถ้าผมทำดีแล้วทำไมคนอื่นถึงชอบทำร้ายผมนัก ทำไมใครต่อใครต่างก็ทรยศผมทั้งๆที่ผมไว้ใจพวกเขามากกว่าใคร ผมไม่รู้อีกแล้วอารัณย์...ผมไม่รู้จริงๆว่าตัวเองจะสามารถเชื่อใจใครได้อีก แม้แต่ตัวเองผมยังไม่อยากเชื่อเลย”


ร่างสูงหยุดวาจาประชดประชันของรัตติกาลไว้ด้วยริมฝีปากของตัวเอง เขายกคนที่ตัวสั่นเทาให้ขึ้นมาจากน้ำกอดจะเกี่ยวรัดร่างกายเปลือยเปล่านั้นไว้ด้วยเพราะอยากให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงตัวตนของเขา หวังให้ความปรารถนาดีที่ตัวเองมีให้คนตรงหน้าจะสามารถอุดรอยโหว่ที่คนอื่นทำเอาไว้ทั้งๆที่รู้ดีว่ามันอาจไม่มีทางเป็นไปได้


สิ่งเดียวที่หลงเหลือจากบาดแผลที่เรียกว่าทรยศก็คือความไม่ไว้ใจ


แก้วที่แตกไปแล้วต่อให้ทำอย่างไรก็ไม่มีวันคืนสภาพกลับมาได้อยู่ดี




“คุณจะไม่ทำแบบนั้นกับผมใช่ไหมอารัณย์ คุณจะไม่ทำร้ายผมอย่างที่คนพวกนั้นทำใช่ไหม”


รัตติกาลมองหน้าเขาอย่างเว้าวอน ความอ่อนแอที่ซ่อนเอาไว้ไม่มิดถูกเปิดเผยออกมาจนหมดสิ้น ณ วินาทีนั้นเขารับรู้ได้ทันทีว่าบาดแผลที่คนรักในอดีตฝากไว้บนหัวใจของรัตติกาลนั้นมันลึกแค่ไหน เขาสบตาของรัตติกาลกลับพยายามถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองที่มีออกไปก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่กลายเป็นเครื่องผูกมัดเขาทั้งสองคนเอาไว้ด้วยกัน


“ผมสัญญาว่าจะไม่มีวันทรยศคุณ เชื่อใจผมนะกาล”


หลังสิ้นคำนั้นร่างโปร่งก็โผกายเข้าหาคนที่มอบคำสัตย์ให้กับตน มือที่เย็นเฉียบสอดแทรกผ่านเนื้อผ้าเข้าไปสัมผัสผิวกร้านแดดของอารัณย์พร้อมกันนั้นก็พยายามปลุกปั่นแรงอารมณ์ของอีกฝ่ายไปด้วย


อารัณย์ยกสะโพกขึ้นเล็กน้อยปล่อยให้คนที่กำลังไขว่คว้าหาความมั่นใจปลดกางเกงตัวยาวของเขาออกอย่างทุลักทุเล ริมฝีปากที่ซีดลงเพราะความหนาวไล่ต่ำลงผ่านหน้าท้องสีน้ำตาลไปจนถึงชั้นในตัวบางที่เริ่มนูนขึ้นให้เห็น รัตติกาลค่อยๆเกี่ยวมันออกในระหว่างที่โน้มคอของอารัณย์ให้เข้าหาแล้วแลกลิ้นหยอกเย้ากันไปพลาง


“อ่า กาล”


“อยู่เฉยๆนะ”


รัตติกาลจูบปากของอารัณย์ทิ้งท้ายก่อนจะเคลื่อนลงไปหาจุดกลางลำตัวที่ขึ้นเป็นลำตามปฏิกิริยาของร่างกาย อวัยวะรับรสแตะลงตรงหัวป้านก่อนจะไล่เลียไปตามทางยาวของกลางกายที่เปลี่ยนเป็นสีเข้ม อารัณย์ทำหน้าเหยเกปรือตามองคนรักค่อยๆกลืนกินตัวตนของเขาเข้าไปทั้งหมดโดยไม่มีท่าทางรังเกียจแม้แต่น้อย


“กาล อึก เดี๋ยว”


ร่างโปร่งไม่ยอมฟังคำทัดทาน เขาหยุดปากของอารัณย์ไว้ด้วยปากของตนที่ขยับขึ้นลงพร้อมกับบีบรัดตัวตนของร่างสูงไว้ด้วย รัตติกาลรู้สึกได้ถึงเลือดในกายกำลังไหลรวมกันอยู่ ณ ปลายยอดไวต่อสัมผัสเช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่มีสรีระไม่ต่างกัน ร่างโปร่งประคองแท่งร้อนของอารัณย์ไว้ด้วยมือที่สั่นน้อยๆขณะที่มืออีกข้างก็เลื่อนลงไปชักพาตัวเองให้มีอารมณ์ร่วมไปด้วย


อารัณย์มองความต้องการของคนรักที่บวมเป่งผ่านฟองสบู่บนผิวน้ำ มันพร่าเลือนลงเรื่อยๆพร้อมๆกับอารมณ์ที่ขึ้นสูงสวนทางกันอย่างเห็นได้ชัด เส้นผมของรัตติกาลที่เขาสัมผัสมันผ่านนิ้วมือชวนให้รู้สึกหลงใหล อารัณย์ลูบไล้มันอยู่อย่างนั้นก่อนจะเผลอจิกทึ้งเมื่อรู้สึกถึงของเหลวบางอย่างกำลังไหลไปรวมอยู่ที่เดียวกันเพื่อรอการปลดปล่อยที่แสนหวาน


“กาล อีกนิด อึก อ่า ปล่อยก่อน”


รัตติกาลไม่ยอมฟัง ทันทีที่ได้ยินว่าคนรักใกล้ถึงประตูสวรรค์เขาก็ยิ่งเร่งจังหวะให้เร็วและหนักยิ่งขึ้นจนต้องละมือที่กำลังปรนเปรอให้ตัวเองออกมาจับต้นขาของอารัณย์ไว้เพื่อเป็นหลักให้ยึด หัวที่อารัณย์ประคองเอาไว้ขยับขึ้นลงจนเขาแทบตามไม่ทันแต่ความรู้สึกในตอนนั้นมันมากล้นจนเกินกว่าเขาจะหันมาให้ความสนใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้ ร่างสูงเอนตัวพิงกำแพงแล้วมองไปยังดวงไฟสีส้มด้วยอารมณ์ที่ขึ้นถึงขีดสุดจนกระทั่งของเหลวสีขาวขุ่นจะปะทุออกมาไหลตกลงไปรวมกับน้ำในอ่างโดยมีบางส่วนตกค้างอยู่ในโพรงปากและใบหน้าของรัตติกาล


“แฮ่ก บอกให้ปล่อยไง อึก ทำไมดื้อจัง”


อารัณย์บ่นไปพลางเช็ดคราบของตนบนใบหน้าของรัตติกาลไปพลาง เขาพยายามสงบใจไม่ปล่อยตัวไปกับสายตาเว้าวอนของร่างโปร่งที่ส่งมา ส่วนกลางลำตัวที่ยังคงชูชันอยู่ใต้น้ำทำให้เขารู้ดีว่าสิ่งที่รัตติกาลกำลังต้องการคืออะไร แต่เขาจะสานต่อทั้งๆอย่างนี้เห็นทีจะไม่ได้


ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะฉุดรั้งให้รัตติกาลยืนขึ้นตาม เขาดึงรัตติกาลให้เข้ามาใกล้แล้วพยุงให้เดินกลับเข้าไปในห้องนอนพร้อมกับกันไม่ให้ร่างโปร่งเข้าหาเขามากเกินไปจนกลายเป็นว่าครั้งที่สองของทั้งคู่ต้องจบลงที่ห้องน้ำอีกครั้ง


“เช็ดผมก่อน เดี๋ยวเป็นหวัด”


เขาใช้ความพยายามอย่างมากในการเช็ดผมทั้งๆที่โดนรัตติกาลเล้าโลมอยู่ไม่ห่าง อารัณย์ก็อยากทำเป็นไม่สนใจแล้วกอบโกยความสุขจากร่างกายของคนรักอยู่เหมือนกันแต่เขาเองก็รู้สึกลึกๆว่าสิ่งที่ขับเคลื่อนอารมณ์ของร่างโปร่งตอนนี้นอกจากความปรารถนาแล้วส่วนหนึ่งมันกลับเกิดขึ้นจากความเศร้าและโหยหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปเท่านั้น


“ผมรักกาลนะ รู้ใช่ไหม”


“อือ...”


“เพราะฉะนั้นต่อให้ไม่มีเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยว ผมก็จะไม่ไปจากกาลอยู่ดี”


ร่างสูงว่าดังนั้นก่อนจะก้มลงทำสิ่งเดียวกันให้กับรัตติกาลที่ล้มตัวลงนอนอยู่บนเตียงหลังกว้าง ภายในหัวใจกำลังซึมซับความเป็นห่วงที่อีกฝ่ายแสดงออกมาพร้อมกับจ้องมองใบหน้าหล่อเหล่าของอารัณย์ยามทำรักให้ตนเองไปด้วย รัตติกาลละอายใจเพราะวูบหนึ่งของความคิดนั้นไม่ต่างจากที่ร่างสูงว่าเลยสักนิด


“อ๊ะ ขอโทษ อึก ขอโทษนะ”


ริมฝีปากสีหนาจดจูบไล่ตั้งแต่โคนขึ้นมาถึงปลายยอด แม้ในใจจะรู้สึกกระดากอายอยู่บ้างแต่ร่างสูงก็โยนมันทิ้งไปแล้วลงลิ้นบนความยาวเขื่องนั้นเหมือนกับที่รัตติกาลทำให้กับตน ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกเมื่อความร้อนบนปลายลิ้นตัดกับความเย็นของผิวกายจนมันเปลี่ยนเป็นความรู้สึกหวาบหวามอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานาน หัวของอารัณย์ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะแต่ก็ยังไม่ละสายตาไปจากดวงหน้าของคนที่รัก


“อ๊า รัณย์ แฮ่ก รัณย์ ระ เร็ว”


อารัณย์คายตัวตนของรัตติกาลออกมาก่อนจะยิ้มให้ เขาคว้าหัวทุยของร่างโปร่งเข้ามาใกล้ก่อนจะหอมลงไปแทนความรู้สึกที่มี ฝ่ามือหยาบสาวกลางกายร้อนระรัวเมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใกล้ประตูสวรรค์อยู่ร่วมรอ ริมฝีปากหนาจูบไล่ไปตามปลายคางขณะที่รัตติกาลพยายามหายใจทางปากเพราะอารมณ์ที่ตีตื้นจนเขาเริ่มหายใจไม่ทัน


“จะถึงแล้ว อ่า รัณย์ อารัณย์”


ชายหนุ่มทำตามคำขอนั้นเขาขยับมือรัวจนรัตติกาลปลดปล่อยออกมาเต็มฝามือ แผ่นอกขาวขยับขึ้นลงเป็นจังหวะโดยมีอีกคนตามคลอเคลียอยู่เหนือร่างของตนไม่ห่าง รัตติกาลยกแขนขึ้นโอบกอดอารัณย์ไว้แล้วกล่าวคำขอบคุณข้างๆหู ใบหน้าคมเข้มที่ยังคงเห็นได้ชัดจากแสงไฟที่ส่องผ่านมาจากทางด้านนอกมีรอยยิ้มพรายประดับพอให้ใจเต้น เขามองคนที่สงบลงด้วยความรักแล้วเอ่ยถ้อยคำที่แสดงความห่วงใยออกมา


“นอนซะนะ”


“ไม่ทำต่อหรอ...”


“เอาไว้ก่อน พรุ่งนี้กาลต้องจัดการอะไรอีกเยอะ”


อารัณย์ว่าดังนั้นก่อนจะลุกขึ้นไปนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดทำความสะอาดตามตัวให้ร่างโปร่งอย่างห่วงใยก่อนที่ชุดนอนสองชุดถูกหยิบออกมาสวมใช้โดยคนทั้งคู่ ร่างสูงดันให้รัตติกาลนอนลงบนเตียงพร้อมกับห่มผ้าให้ เขาปล่อยให้คนที่เหนื่อยทั้งกายและใจนอนหลับตาขณะที่ตัวเองเดินออกด้านนอก ก่อนจะพบว่าฤทธิชาติ นิล รวมถึงธิชาจะยังคงนั่งอยู่ที่ห้องทำงานนั้นโดยที่รพีก็ยังหลับไม่ได้สติเช่นเดิม


“เข้าไปทำอะไรวะ นานสัด กูนี่แทบจะหลับตามพีไปอีกคน”


นิลสบถออกมาทันทีที่เห็นอารัณย์เดินกลับมาด้วยสภาพพร้อมนอนเสียจนอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้ ร่างสูงละคำตอบไว้ในฐานที่เข้าใจแต่ดูเหมือนว่าคนในห้องจะยังไม่มีใครรู้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับรัตติกาลก้าวหน้าไปมากกว่าที่ใครจะคิดถึง


“อาบน้ำด้วยเลยช้าไปหน่อย...แล้วจะกลับเลยไหม”


“เออ แล้วมึงเปลี่ยนชุดนอนแล้วจะนอนนี่หรอวะ ไอ้กาลไม่ด่าเอารึไง”


“กาลหลับไปแล้ว”


นิลจ้องมองคนตรงหน้าอย่างจับผิด ความสงสัยบางอย่างผุดขึ้นในหัวแต่เพราะความง่วงนอนจึงยังไม่อยากซักอะไรมาก ทั้งสามคนพากันลุกขึ้นโดยที่ฤทธิชาติตั้งใจพาธิชาออกไปก่อนเพื่อพาเธอไปกักตัวไว้จนกว่าอะไรๆจะถูกจัดการให้เรียบร้อยโดยเฉพาะประเด็นที่ตัวเขายังคาใจอยู่


“ถ้าพรุ่งนี้พวกคุณตื่นแล้วรบกวนติดต่อผมไปทันทีนะครับ เบอร์โทรศัพท์ให้ใช้เบอร์ฉุกเฉินนั่นไปก่อน ถ้ามีอะไรด่วนก็ติดต่อมาได้เลย”


“เออ ขอบใจมาก แล้วนี่มึงคิดจะพาธิชาไปซ่อนไว้ที่ไหน”


“ฮ่าๆ ซ่อนอะไรล่ะครับ แค่อยากคุยอะไรด้วยนิดหน่อยเอง”


ฤทธิชาติยิ้มพรายออกมาแต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ทำให้อารัณย์และนิลไม่รู้สึกสบายใจเอาเสียเลย หญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องเสหันไปมองที่อื่นทำเป็นไม่สนใจว่าตัวเองกำลังจะต้องเจอกับอะไร นายตำรวจหนุ่มบอกลาคนที่กำลังสานสัมพันธ์ก่อนจะกำชับให้พักผ่อนเต็มที่โดยไม่ต้องห่วงเรื่องทางนี้ทั้งๆที่รู้ดีว่านิลไม่มีทางทำอย่างนั้น


“แล้วมึงจะกลับคอนโดเลยหรือยังไง นอนที่นี่ด้วยกันไหมล่ะ”


“เตียงไอ้กาลมันใหญ่ก็จริงแต่ผู้ชายตัวควายๆสามคนอัดกันไปได้ขนลุกตายห่า หรือมึงจะเสียสละนอนโซฟาตามเดิมก็ได้นะ กูจะได้นอนเตียงเอง”


“เออ จะเอาแบบนั้นหรอ...”


อารัณย์อึกอักเมื่อโดนนิลถามลองใจ นักเขียนหนุ่มเห็นท่าทางปะหลักปะเหลืองของคนข้างๆแล้วยิ่งมั่นใจในสิ่งที่ตนสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากมายกว่านั้น


“หึ กูพูดเล่น ง่วงจะตายห่า หิวด้วย ว่าจะกลับไปนอนบ้านไอ้กาลมันแล้วให้ป้าทำอะไรให้กินสักหน่อย ว่าแต่จะให้รพีอยู่ที่นี่ด้วยหรือให้กูพากับบ้าน”


“...พากลับไปก่อนดีกว่า เหมือนเพื่อนมึงกำลังมีไข้ ไม่อยากให้ติด”


“งั้นเอาตามนั้น กูไปล่ะ บอกให้ไอ้กาลโทรหากูด้วยถ้าตื่นแล้ว”


อารัณย์เดินไปส่งนิลที่ประตูก่อนที่จัดแจงล็อคประตูทุกบานแล้วพาร่างของตนไปยังห้องนอนที่รัตติกาลจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทราไม่ได้สติ เขาแทรกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันพร้อมกับคว้าร่างนั้นมากอดไว้โดยที่อีกฝ่ายก็ซุกตัวเข้าหาเมื่อรู้สึกได้ถึงความอุ่นที่ช่วยบรรเทาความหนาวในหัวใจ


ร่างสูงคิดถึงความอ่อนแอที่รัตติกาลแสดงออกมาและสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เขาคิดถึงคำขอที่นิลเคยให้ไว้ก่อนที่ตัวเขาจะตัดสินใจทำตามที่หัวใจที่ตัวเองเรียกร้อง



“กาลมันไม่ใช่คนที่พร้อมจะลุกขึ้นใหม่ทุกครั้งที่ล้มลง”


“อย่าทำอะไรครึ่งๆกลางๆ ถ้ามึงทำไม่ได้...ก็ไปจากชีวิตมันซะ”




อารัณย์เข้าใจทันทีว่าสิ่งที่นิลพูดไม่ได้ผิดไปจากความจริงเลยสักนิด ขนาดแค่เป็นเรื่องในบริษัทรัตติกาลยังแทบเสียศูนย์เมื่อคนที่ไว้ใจให้เป็นมือขวาหันกลับมาแทงข้างหลังเพียงเพราะต้องการเงินไปรักษามารดา แล้วตัวเขาที่ได้ชื่อว่าได้คว้าหัวใจรัตติกาลมาครองล่ะ...จะมีอิทธิพลต่ออีกฝ่ายมากแค่ไหน




“ผมจะไม่ทำให้กาลเสียใจ...ผมสัญญา”



:z2:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2015 20:00:23 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1



“ตกลงคุณยังยืนยันใช่ไหมว่าลงมือทำเรื่องทุกอย่างเพียงคนเดียว”


“ค่ะ”


ฤทธิชาติเอ่ยกับธิชาที่มีท่าทางอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดจนรัตติกาลที่นั่งมองอยู่เผลอนึกสงสาร ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆที่แทบจะไม่พอให้คนห้าคนแย่งอากาศกันหายสร้างสร้างความกดดันที่มองไม่เห็นได้อย่างมหาศาล อารัณย์จับมือของรัตติกาลไว้พร้อมกับห้ามตัวเองไม่ให้เผลอพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไปเพราะแรงอารมณ์ ยิ่งได้เห็นตัวตนที่สั่นคลอนของรัตติกาลเมื่อคืนแล้วเขายิ่งนึกโกรธหญิงสาวคนนี้มากขึ้นอีก


“แล้วมือปืนกับผู้จ้างวานล่ะ”


“เรื่องนั้นฉันไม่ทราบค่ะ ฉันแค่ทำตามที่เขาบอกมาแล้วรับเงินก็แค่นั้น”


“คุณยอมทำตามคำสั่งของคนที่คุณไม่แม้แต่จะเคยเจอตัวจริงเนี่ยนะ”


นายตำรวจหนุ่มเหยียดปากถามด้วยน้ำเสียงถากถางที่รัตติกาลไม่เคยได้ยินแต่ดูเหมือนว่าอีกสองคนจะไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกับนิลที่เผลอแสยะยิ้มร่วมด้วยอย่างมีอารมณ์


“สิ่งที่ฉันต้องการคือเงิน ตราบใดที่ฉันได้มันตามที่ต้องการก็ไม่มีปัญหาอะไร”


“ตามที่ต้องการน่ะมันเท่าไหร่กัน”


ธิชานิ่งไปนิดก่อนที่จะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่ติดจะสั่นน้อยๆ


“...ห้าล้านบาท”


รัตติกาลเบิกตากว้าง จริงอยู่ที่เงินจำนวนเท่านั้นถือว่าไม่เยอะมากสำหรับเขาแต่แค่คิดว่ามีใครสักคนต้องการกำจัดเขาด้วยเงินจำนวนเท่านี้ถือว่ามันไม่น้อยเลยสักนิด แม้แต่ฤทธิชาติที่ผ่านคดีมามากมายก็ยังคิดเช่นนั้น


“เขาโอนเข้าบัญชีที่คุณให้ผมมาเมื่อคืนใช่ไหม”


หญิงสาวยอมพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้โดยที่ไม่อาจรักษาความนิ่งได้อย่างเคย ภายในหัวกังวลไปหมดว่าเงินที่เธอได้มาจากการทรยศเจ้านายตัวเองจะถูกเอาไป ความคิดในหัวถูกแสดงผ่านสีหน้าออกมาจนคนมองรับรู้ได้ รัตติกาลช่างใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงติดเย้อหยันตัวเองเล็กๆ


“ไม่ต้องห่วงหรอก เงินนั้นมันเป็นของคุณ...ถึงผมกับลูกจะไม่ตาย แต่อย่างน้อยก็เสียแขนขาไปอย่างที่พวกมันหวัง”


“...”


“ใช้มันรักษาแม่คุณอย่างที่ต้องการเถอะ”


ธิชาเงยหน้าขึ้นสบตากับรัตติกาลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มมองโต๊ะไม้ต่อไปโดยไม่ตอบอะไรกลับมา อารัณย์กระชับมือของรัตติกาลไว้แน่นกว่าเคยโดยที่คอยสังเกตคนข้างกายไปด้วย ซึ่งคนที่ถูกแทงข้างหลังก็เอาแต่มองอดีตคนของตนไม่วางตา มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและผิดหวัง แต่นอกเหนือจากนั้นก็ยังคงมีความห่วงใยให้เห็น


“ขออนุญาตครับหัวหน้า”


เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับคำขออนุญาต นิลที่อยู่ใกล้ประตูมากที่สุดเป็นฝ่ายเปิดออกไปแล้วรับซองเอกสารที่จ่าหน้าโดยธนาคารแห่งใหญ่เอาไว้แทน ชายหนุ่มวางมันลงแล้วปล่อยให้ผู้หมวดเป็นคนจัดการต่อ ฤทธิชาติเปิดมันออกแล้วอ่านมันอยู่พักใหญ่การจะยื่นมันไปตรงหน้าหญิงสาวที่คอยมองอยู่ก่อนแล้ว


“นี่คือเอกสารที่บอกว่ามีบัญชีไหนบ้างคอยโอนเงินให้คุณตลอดช่วงเวลาที่เปิดบัญชีนี้ขึ้นมา ถ้าคุณไม่โกหกเราอีกจะยังยืนยันใช่ไหมว่ามีบัญชีนี้แค่บัญชีเดียว”


“คนไม่มีเงินไม่จำเป็นต้องมีสมุดบัญชีหลายๆเล่มหรอกค่ะ...”


“...ถ้าอย่างนั้นช่วยยืนยันได้ไหม ว่าทุกครั้งที่มีเงินโอนมาให้ มันจะถูกโอนเข้ามาโดยเลขบัญชีนี้”


ร่างสูงชี้ไปยังตัวเลขที่มีรอยปากกาไฮไลท์คาดทับเอาไว้เพื่อให้เห็นได้ชัด ธิชามองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับแทนคำตอบ


“ถ้าอย่างนั้นรู้จักชื่อเจ้าของบัญชีนี้ไหม”


ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวจ้องมองตัวอักษรในกระดาษนิ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับอดีตเจ้านายที่เธอเพิ่งทรยศแล้วตอบออกมา


“รู้จักค่ะ”


“...”






“เขาชื่อ...นที กวีวิมนตร์”





รัตติกาลแทบลืมหายใจและคนอื่นที่รู้เรื่องก็มีอาการไม่ต่างกัน นิลสบถออกมาแล้วกระชากเอกสารดังกล่าวมาอ่านด้วยตัวเองอีกครั้งก่อนจะเผลอกำมันจนยับเพราะไม่อยากจะเชื่อสายตา


“เป็นไปไม่ได้! มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ”


“ไม่ผิดหรอกค่ะ ฉันเคยพยายามตรวจสอบเลขที่บัญชีนี้ด้วยตัวเองหลายครั้งแล้วผลก็ออกมาเป็นแบบนี้เช่นกัน...คุณนที อดีตหุ้นส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตไปแล้ว เป็นเจ้าของบัญชีที่โอนเงินให้ฉันทุกครั้งที่ทำงานสำเร็จ”


อารัณย์แทบจะเข้าไปกระชากตัวหญิงสาวที่พูดมันออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แววตาโกรธเกรี้ยวมองคนตรงหน้าอย่างไม่คิดปิดบัง


“โกหกใช่ไหม...คุณโกหกผมอีกแล้วใช่ไหมธิชา”


รัตติกาลที่เงียบอยู่นานเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาที่เคยมั่นคงวูบไหวราวกับว่ากำลังจะร้องไห้ออกมา มือที่อารัณย์จับไว้เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงจนเขาต้องเปลี่ยนเป็นโอบไหล่ของคนข้างกายไว้แล้วดึงเข้าหาตัว หญิงสาวมองสภาพที่เปลี่ยนไปของอดีตเจ้านายแล้วเผยรอยยิ้มที่อ่านไม่ออกออกมา


“ฉันไม่ได้โกหกค่ะ...มันคือเรื่องจริง”


“เธอเล่นบ้าอะไร...เธอคิดจะทำอะไรกันแน่ธิชา!!!”




“กาลนั่นแหละคิดจะทำอะไร...”




ร่างโปร่งที่กำลังเกรี้ยวกราดหยุดนิ่งเมื่อเสียงที่คุ้นชินดังขึ้นจากทางด้านหลัง อุณหภูมิรอบตัวเย็นขึ้นในชั่วขณะเช่นเดียวกับผู้คนในห้องไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว ลมหายใจชืดๆเบารดต้นคอ ฝ่ามือปริศนากำลังโอบกอดเขาจากทางด้านหลังจนรัตติกาลรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของตนกำลังแนบชิดกับอะไรสักอย่างที่เย็นเหมือนกับน้ำแข็ง



“กาลทิ้งพี่...กาลโกหกพี่...”



“ไม่จริง...มันไม่จริง”



 “กาลทรยศพี่...กาลต้องโดนลงโทษ...”



“ก็บอกแล้วไงว่ามันไม่จริง หยุดสักทีได้ไหม!!!”





 

“กาลเป็นอะไรรึเปล่า”



รัตติกาลลืมตาโพลงก่อนจะมองไปรอบๆห้องๆเดิมแต่กลับอึดอัดยิ่งกว่าเก่า เขารู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ไหลท่วมและแผ่นอกที่ขยับขึ้นลงอย่างน่ากลัว ร่างโปร่งมองไปตามแขนและลำตัวของตนก็ไม่พบสิ่งปกติใดๆ แม้แต่พื้นที่ว่างเพียงเล็กน้อยทางด้านหลังก็ไร้ซึ่งเงาของสิ่งมีชีวิตมันปรากฏแค่กำแพงสูงตั้งอยู่เท่านั้น


“กาล ผมถามได้ยินไหม”


อารัณย์คว้าไหล่ของคนรักมาจับไว้ด้วยความเป็นห่วง ร่างสูงใช้มือปาดเอาเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ไหลซึมตามไรผมออกให้เบาๆโดยไม่สนใจว่าคนที่เหลือในห้องจะมองการกระทำดังกล่าวว่าประหลาดเพียงใด


“อะ อืม ขอโทษที แค่เหม่อไปหน่อยน่ะ”


อารัณย์ไม่อยากค่อยอยากเชื่อคำพูดของคนรักสักเท่าไหร่เพราะอีกฝ่ายกำลังแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็น เขาเข้าไปยืนให้ใกล้กับรัตติกาลมากขึ้นจนกลิ่นกายอันคุ้นเคยค่อยๆกล่อมให้คนที่สับสนพอสงบใจลงได้บ้าง


“มึงเป็นอะไรรึเปล่าไอ้กาล หน้าซีดมากเลยว่ะ”


“ไม่เป็นไร กูแค่คิดอะไรนิดหน่อย ว่าแต่ชาติครับมันเป็นไปได้หรอที่...คนที่ตายไปแล้วจะยังมีบัญชีที่เคลื่อนไหวได้อยู่”


“อันนี้ผมต้องติดต่อไปยังธนาคารอีกทีถึงจะให้คำตอบได้ ว่าเจ้าของบัญชีคือคุณนทีคนที่ว่าจริงๆ หรือแค่บังเอิญชื่อเหมือนกัน”


รัตติกาลพยักหน้ายอมรับแล้วหันไปยิ้มให้อารัณย์เพื่อบอกว่าตนไม่เป็นไร นิลจ้องมองมือของทั้งสองคนที่กอบกุมกันไว้แน่นด้วยความสงสัยและจับผิดก่อนที่จะเงยขึ้นมาสบตากับอารัณย์ที่จ้องมาอยู่ก่อนแล้ว


“กูว่ามึงสองคนมีเรื่องต้องอธิบาย”


“ได้ แต่จัดการเรื่องพวกนี้ให้เรียบร้อยก่อนดีไหม กูไม่หนีไปไหนหรอก”


นักเขียนหนุ่มถอนหายใจแล้วยอมถอยออกไปก่อนอย่างที่อารัณย์ว่า เขาหันไปพูดคุยกับธิชาเรื่องเอกสารบางอย่าง ในขณะนั้นเองร่างสูงก็หันกลับมาเพื่อถามไถ่รัตติกาลอีกครั้ง


“แน่ใจนะกาลว่าไม่เป็นไรจริงๆ ไปโรงพยาบาลกันไหม”


“ผมไม่เป็นไร แค่เหนื่อยๆน่ะ อยากพักแล้ว”


“งั้นกลับบ้านกันนะ จะได้ไปหารพีด้วย ตอนเช้าผมโทรบอกป้าจันทร์แล้วว่าให้หยุดเรียนไปก่อนจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะเคลียร์ได้”


รัตติกาลตกลงตามนั้น เขายืนฟังอีกสามคนที่เหลือพูดคุยกันอยู่สักครู่โดยส่วนมากจะเป็นฤทธิชาติที่สอบถามเรื่องการติดต่อระหว่างธิชาและผู้จ้างวานเพิ่มเติมแต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมามากนอกจากเบอร์โทรศัพท์ที่เปลี่ยนไปทุกๆครั้ง


 “วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะครับ เรื่องบัญชีที่ว่าผมจะจัดการต่อเอง”


“งั้นมึงทำคนเดียวไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูจะกลับไปกับไอ้กาลก่อน”


ฤทธิชาติยิ้มรับก่อนจะเก็บเอกสารต่างๆลงซองดังเดิม แต่ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินออกจากห้องไปรัตติกาลที่เหมือนกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างก็พูดขัดขึ้น


 “คุณชาติครับ...”


“ครับ”


“เรื่องธิชา ถ้าปล่อยตัวเธอไปตอนนี้จะเป็นปัญหารึเปล่า”


“ไอ้กาล!!”


 นิลท้วงขึ้นทันทีที่รัตติกาลพูดจบ แม้แต่อารัณย์เองที่ไม่อยากให้รัตติกาลคิดแค้นใครก็ยังดูเหมือนจะไม่พอใจกับคำถามนั้นเช่นกัน รัตติกาลสบตากับนายตำรวจหนุ่มอยู่ครู่ใหญ่ก่อนอีกฝ่ายจะถอนหายใจแล้วตอบคำถามออกมา


 “ถ้าทางกฎหมายก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ เพราะคุณยังไม่ไปทำเรื่องแจ้งความเลยด้วยซ้ำ แต่ว่ากันตามตรง...ผมไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ อย่าลืมนะครับกาล ว่าคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังยังไม่ถูกจับ เขาอาจจะทำอะไรอีกก็ได้...แม้แต่การฆ่าปิดปาก”


นายตำรวจจงใจพาดพิงถึงคนที่ยืนนิ่งอยู่มุมห้อง อดีตเลขาสาวไม่มองสบตาใคร เธอหันออกไปมองประตูห้องราวกับอยากออกไปจากที่นี่เสียเต็มประดา แต่ก็ไม่อาจปิดบังแววตาที่สั่นไหวนั้นไปได้


“ถึงจะเป็นอย่างนั้น...ก็ปล่อยธิชาไปเถอะครับ เธอยังมีแม่ให้ต้องดูแล ยังไงซะเราก็จับเธอไว้ตลอดไปไม่ได้”


“ประมาทไปแล้วกาล เรื่องนี้ผมไม่เห็นด้วย!”


อารัณย์เถียงออกมาด้วยเสียงอันดัง แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านั้นเมื่อเห็นความจริงจังบนใบหน้าของอีกฝ่าย


“ผมรู้ว่ามันเสี่ยง แต่จะให้ทำยังไงอารัณย์ ผมเหนื่อยกับเรื่องนี้มากเกินไปแล้วอย่างที่คุณว่า...ผมไม่อยากจะคิดแค้นใครอีกแล้ว”


รัตติกาลพูดออกมาพร้อมกับมองไปยังคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ธิชาที่ยืนอยู่ไม่อาจห้ามน้ำตาให้ไม่ไหลออกมาได้ตั้งแต่เธอได้ยินเจตนาของรัตติกาลที่ตั้งใจจะปล่อยเธอไปทั้งที่หักหลังชายคนนี้อย่างเจ็บแสบ


“ตัดสินใจดีแล้วใช่ไหมครับคุณกาล”


“...ครับ ผมจะไม่แจ้งความ แค่ไล่ออกก็พอ”


“ผมเคารพการตัดสินใจของคุณนะครับ แต่ถึงยังไงผมก็คงปล่อยให้เรื่องมันคาราคาซังแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ผมคงต้องให้คนติดตามคุณธิชาต่อไปจนกว่าจะสาวได้ว่าคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเป็นใคร”


“ครับ...”


นายตำรวจหนุ่มยิ้มให้รัตติกาลอย่างให้กำลังใจ ผิดกับอีกสองคนที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับเมื่อได้ยินแบบนั้น โดยเฉพาะนิลที่สบถออกมาก่อนจะถามด้วยเสียงอันดังโดยไม่สนใจเลยว่าหญิงสาวที่ยืนฟังอยู่จะรู้สึกยังไง


“มึงใจอ่อนเกินไปแล้วกาล เขาเกือบฆ่ามึงนะเว้ย ลูกมึงก็ด้วย ตัวคนจ้างก็ยังจับไม่ได้แล้วมึงจะปล่อยไปได้ยังไง”


“ยกเว้นเรื่องที่ธิชาทำกูจะไปแจ้งความเอาไว้ หลังจากนี้ถ้ามันยังไม่จบก็เล่นกันไปตามกฎหมายแล้วกัน”


“แต่...”


“กูเหนื่อยจริงๆนิล ยิ่งมันเกี่ยวกับพี่ทีกูยิ่งไม่อยากยุ่งมึงเข้าใจกูไหม”


ร่างโปร่งเค้นยิ้ม เขาเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะยอมปล่อยเรื่องของอดีตเลขาไปง่ายๆ แต่มันเหนื่อยล้าจนไม่อยากคิดอะไร ยิ่งชื่อของคนที่อยากจะลืมถูกกล่าวอ้างขึ้นมาเขาก็รู้ดีว่าปลายทางของเรื่องทั้งหมดอาจนำพาเขาไปสู่ต้นตอที่ไม่น่าพิสมัยก็เป็นได้


 “ถ้ามึงพูดแบบนั้นกูจะว่าอะไรได้...”


“อืม...ขอบใจนะ”


“ไม่ต้องขอบใจกูหรอก กูจะไม่เซ้าซี้มึงให้คิดแค้นใคร แต่หลังจากนี้มันจะเป็นเรื่องของกูกับไอ้เวรนั่น...มึงคงไม่คิดหรอกนะว่ากูจะยอมปล่อยให้คนที่จ้องจะฆ่ามึงลอยนวลไปง่ายๆ”


“นิล...”


“อย่าห่วงเลย กูฉลาดกว่ามึงเยอะ เอาเวลาไปห่วงตัวเองดีกว่าว่าจะอธิบายเรื่องมึงกับไอ้รัณย์ยังไง”


นิลส่งยิ้มให้แต่รัตติกาลกลับรู้สึกขนลุกตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ฤทธิชาติหัวเราะลั่นเสียจนนักเขียนหนุ่มต้องหันไปจิกตาใส่ ในขณะที่อารัณย์กลับทำเพียงยิ้มออกมาเล็กๆแล้วจูงมือพารัตติกาลออกมาจากห้องนั้นโดยไม่คิดรอนิลให้เดินตามกันมา


“กาลคิดดีแล้วใช่ไหมเรื่องของธิชา”


อารัณย์เอ่ยถามขึ้นขณะที่พวกเขากำลังเดินมาถึงรถของรัตติกาลที่นิลขับมาให้เมื่อเช้านี้ ร่างสูงปลดล็อคแล้วพาร่างของตนเข้าไปข้างในเช่นเดียวกันกับรัตติกาลซึ่งนั่งอยู่เบาะข้างคนขับ


“อืม ผมเองก็อยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างที่คุณว่า”


“กาล...”


“มันทำได้ยากจริงๆนะการให้อภัยใครสักคนน่ะ ผมจะไม่โกหกว่าไม่แค้นธิชาเลย แต่ผมก็ไม่เห็นประโยชน์เหมือนกันว่าแค้นเธอไปแล้วจะได้อะไร”


รัตติกาลว่าดังนั้นก่อนจะเอี้ยวตัวไปหาอารัณย์ที่นั่งอยู่ข้างๆกัน เรียวแขนขาวโอบรอบลำคอของร่างสูงแล้วซุกกายลงบนร่างของอารัณย์ผู้ที่ยินดีรับเขาไว้ด้วยความเต็มใจ รัตติกาลหลับตาพริ้มเมื่อฝ่ามือหยาบของคนรักคอยลูบหัวของตนเบาๆเหมือนเช่นทุกครั้ง จนร่างโปร่งอดคิดไม่ได้ว่ามันคือคำปลอบใจที่ดีที่สุด


“ผมถามตัวเองว่าถ้าผมกำลังจะต้องเสียแม่ไปเหมือนธิชา ผมจะสามารถทรยศคนที่ไว้ใจในตัวผมได้ไหม...น่าแปลกนะที่ผมตอบตัวเองสามารถทำแบบนั้นได้โดยไม่ต้องคิดเลย”


“...งั้นหรอ”


“ผม...เป็นคนเลวใช่ไหมอารัณย์”


“ถ้ากาลเลวผมและคนอื่นๆก็คงเลวเหมือนกันเพราะจริงๆแล้วทุกคนก็แค่ทำเพื่อความสุขของตัวเองกันทั้งนั้นแหละ...อย่าคิดมากนะ”


ร่างโปร่งยิ้มรับก่อนจะโน้มคออารัณย์ให้เข้ามาใกล้ ทั้งคู่จูบกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของร่างสูงจะดังขึ้นจนริมฝีปากหยุ่นที่คลอเคลียกันอยู่ไม่ห่างต้องละออกจากกันมา


“แปปนะกาล ผมขอคุยโทรศัพท์ก่อน”


“ธุระด่วนหรอ”


“อืม...เรื่องงานน่ะ”


“งั้นไปคุยดีๆเถอะ เสร็จแล้วโทรตามนิลให้ด้วยนะ”


อารัณย์ยิ้มให้ก่อนจะเปิดประตูออกไปรับสายทางด้านนอก ทันทีที่ร่างสูงเดินพ้นสายตาไปใบหน้าของรัตติกาลก็เปลี่ยนเป็นนิ่งเฉย ร่างโปร่งพาตัวเองกลับมานั่งบนเบาะของตนพร้อมกับจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยตามเดิมแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงออกมาเป็นอย่างสุดท้าย


รัตติกาลกดไล่หาเบอร์โทรศัพท์ของคนที่เขาต้องการจะพึ่งพิงมากที่สุดในเวลานี้ เรื่องราวมากมายที่ธิชาสารภาพถูกเก็บไว้ในหัว เช่นเดียวกับความลับในอดีตที่อาจเชื่อมโยงหากันอย่างที่คาดไม่ถึง



“ลุงครับ...ผมรัตติกาล”


“...”


“ผมไม่เป็นไรครับ แต่มีเรื่องอยากให้ลุงช่วยหน่อย”


“...”


“ไม่ครับ ไม่ต้องบอกใคร แม้แต่นิลก็ไม่ต้อง”


“...”






“เพราะผม...ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น”


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!!!

ฉากอัศจรรย์มากแบบงงๆ เพราะเช่ก็งงเหมือนกันตอนเขียน5555  :m25: เห็นนิยายปมเยอะอย่างนี้เวลาเขียนจริงๆเช่ไม่ค่อยคิดไรมากหรอกคับ บางทีแบบเขียนๆไปมันควรมีอะไรก็ใส่ไปเลยไม่คิดมาก (แต่ต้องมาลำบากที่หลัง) แต่ไม่ต้องห่วงคับ เช่คงไม่เน้นNCมากจนมันกลบเรื่องหลักหมด แค่เอาไว้เป็นส่วนเสริมให้เห็นอีกมุมของพี่กาลแล้วกันเนอะ คนหื่นก็ได้กำไรกันไป (เช่นั่นแหละ) :z1:

เรื่องรวมเล่มขอบคุณมากนะคับที่เข้าไปตอบแบบสำรวจกัน เท่าที่อ่านคร่าวๆถ้าได้จำนวนตามที่ว่าจริงเช่ก็ปลื้มแหละ คำเสนอแนะที่ให้มาก็เอามาใช้หลายอย่างเลย สรุปได้ดังนี้คับ  :katai4:


1. ปกคงจะเป็น art work ฝีมือเช่เอง ไม่ได้ใช้เป็นการ์ตูนล้วนแบบที่ทุกคนอยากได้เพื่อให้ตามธีมเรื่อง และไม่ให้ราคาหนังสือดีดจนเกินไปนะคับ (ของเช่3 เล่ม ถ้าทำ3 ปกนี่ราคาเกือบหมื่นเลยนะ สู้ไม่ไหวคับบอกตรงๆ) แต่เช่จะจ้างเขาวาดจิบิ SD ให้แทนไว้ใส่เสริมในเล่มกับของที่ระลึกซึ่งยังไม่รู้นะคับว่าเป็นอะไร ดูจำนวนคนที่ตอบมาก่อนว่ามีแนวโน้มจะเยอะขนาดไหน จะได้คำนวนราคาถูกคับ  :mew1:

2. ตอนพิเศษในเล่มมีให้อ่านจุใจแน่นอน จะพยายามเขียนพวกพล็อตที่รีเควสกันมาด้วย รวมถึงเนื้อเรื่องเสริมที่จะตีผีมุมมองตัวละครอื่นๆให้เข้าใจเรื่องหลักมากขึ้น ทั้งหมดจะมีในเล่ม อาจจะเอามาลงเว็บบ้างแค่ตอนหรือสองตอนในพาร์ทที่เช่คิดว่าคนอ่านทั่วไปควรรู้ อย่างเช่น พาร์ทของนที เป็นต้นคับ (แต่ไม่ต้องห่วง คนซื้อเล่มได้จุใจกว่าแน่นอน ฟินกันตายไปเลย ><)  :mew1:

3. Boxset ที่รีเควสกันมามากสุด อยากทำมากคับแต่ยังไม่มีความรู้เลยต้องศึกษากันก่อน ใครเคยทำหรือมีเจ้าไหนแนะนำกรุณาบอกเช่ด้วยนะคับ อยากให้ทุกคนได้ในสิ่งดีๆกัน  :mew1:

4. เรื่องราคาที่เช่ห่วงที่สุด จะพยายามให้ไม่สูงมากนะคับ อยากให้คนซื้อเยอะๆมากกว่าหวังฟันกำไรแค่ไม่กี่เล่ม ใจจริงเช่แค่อยากทำเพื่อเก็บผลงานตัวเองไว้เท่านั้น แล้วก็ใครที่ชอบเรื่องนี้คิดว่าอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำก็ซื้อกันไป อาจจะมีค่าน้ำค่าขนมเช่บ้างแต่ไม่ถึงกับเอารวยหรอก 5555 จะทำให้เหมาะสมที่สุดแล้วกันนะคับ แต่ผลที่ตามมาคือของแถมเช่อาจจะไม่หรูอย่างเรื่องอื่นๆเขาเพราะเช่ตัดกำไรตรงนี้ไปเลย คงทำเท่าที่ทำให้ได้แบบตัวเองไม่เดือดร้อน คนอ่านสบายใจนะ^^  :mew1:

5.มีคนแนะนำมาเหมือนกันว่าให้ยื่นตามสนพ.ดู คือ เช่ชอบทำเองคับ ไม่มีความคิดอยากพิมพ์กับสนพ.เลยแหละ 5555 นิยายของเช่ก็คือบรรดาลูกชายอันเป็นที่รักเนี่ยแหละ เช่อยากทะนุถนอมดูแลเขาด้วยตัวเองมากกว่า อีกอย่างถ้าทำตามสนพ.ค่าอะไรต่อมิอะไรมันก็ดีดขึ้นด้วย กลัวจะสู้ไม่ไหวเอา และที่สำคัญ นิยายเช่มันไม่ดังพอที่จะได้พิมพ์กับเขาหรอกคับ 5555 อยู่เป็นครอบครัวเล็กๆแบบนี้ต่อไปแหละดีแล้ว สบายใจดี  :mew1:

6. สุดท้ายเลย ใครที่สนใจอยากได้เล่มหรือกำลังลังเลใจอยู่ช่วยไปตอบแบบสอบถามให้เช่ทีนะคับ มันมีผลต่อการตัดสินใจทำเล่มจริงๆโดยเฉพาะเรื่องของจำนวนคน (แต่ขอนะ อย่าไปปั้มโหวตกันเล่นๆ เช่ต้องการเก็บข้อมูลจริงคับ) มันส่งผลต่อของแถมที่จะได้และราคาที่จะประเมินเบื้องต้นนะคับ^^  :mew1:

https://docs.google.com/forms/d/1Z25QsWRzFK5qH7nRf7LCO_zLN-DD4Zcp51LaEKJiYBQ/viewform?c=0&w=1



ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ ช่วงอาทิตย์นี้อาจจะไม่ค่อยได้มาถี่เพระงานเยอะมาก บวกกับต้องเคลียร์ปมด้วยเลยอาจจะช้าหน่อยนะ แต่ไม่หายคับ แวะไปคุยกันได้เรื่อยๆ ตามข่าวกันไป แล้วที่สำคัญ

ในเพจลง #offshot ไว้ล้วยยยยยยยยย (ใครงงว่ามันคืออะไร ก็แบบตอนเสริมเล็กๆคับ >< พอให้มุ้งมิ้งเป็นกระไสย) ลองไปตามอ่านกันได้นะ คิดถึงนะคับ~~~



ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้อออ!! ซับซ้อนไปอีก

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ความลับอะไรอีก เริ่มลัวกาลแล้วอะ :ling3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คุณเช่ค่ะ ถ้าอยากจะแนะนำเรื่องการทำบ๊อกจะติดต่อไปทางไหนได้บ้าง อยากได้ค่ะ :impress2:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ตกลงนทีตายหรือยังงง  :katai1:
ค้างคาาาาา

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
คุณเช่ค่ะ ถ้าอยากจะแนะนำเรื่องการทำบ๊อกจะติดต่อไปทางไหนได้บ้าง อยากได้ค่ะ :impress2:

หลังไมค์มาทางแฟนเพจก็ได้คับ

ออฟไลน์ SUPERMUAY

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :hao6:
เห็นอะไร Drama ดราม่าไม่ได้เลย
ปรบมือรัว

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

36th Night

…Dote & Lost...

 



นิลมองคนสองคนที่ครั้งหนึ่งเคยทะเลาะกันจะเป็นจะตายแต่ตอนนี้กำลังพูดคุยถามไถ่กันด้วยความห่วงใยจากเบาะหลังของรถยนต์คันหรูที่กำลังมุ่งหน้าสู่บ้านพัฒนเดชา นักเขียนหนุ่มถอนหายใจก่อนจะเบือนหน้าหนีไปข้างๆ ไม่ได้รู้สึกผิดหวังหรืออะไรเพียงแค่บรรยากาศสีชมพูหม่นๆในรถคันนี้มันช่างตลบอบอวลเสียจนชายหนุ่มอยากหันไปมองอย่างอื่นที่จรรโลงใจมากกว่า


“ตกลงมึงสองคนคบกันแล้วใช่ไหม”


นักเขียนหนุ่มขัดขึ้นขณะที่อารัณย์กำลังพูดถึงฟุตบอลแมตช์สำคัญที่ตนพลาดไปเพราะต้องไปกบดานอยู่ที่บางขุนเทียนเป็นเวลานาน


“ก็...ตามนั้น”


รัตติกาลเป็นฝ่ายตอบเพราะรู้ดีว่านิลอยากได้ยินคำยืนยันนั้นจากใคร


“ยอมรับง่ายเชียวนะมึง”


“แล้วจะต้องพูดให้ยากทำไม คบก็คือคบ”


“ทีเมื่อก่อนนี่กัดกันอย่างกับมา หึ พูดแบบนี้ได้แสดงว่าแดกกันแล้วสินะ”


“แค่กๆๆ!!!”


รัตติกาลมองคนข้างๆที่ไอโขลกเพราะสำลักน้ำลายทันทีที่นิลพูดจบ นักเขียนหนุ่มเหยียดปากใส่คนรักใหม่ของเพื่อนที่จู่ๆก็ขวัญอ่อนจนน่าขัน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยแซะอีกฝ่ายต่อก็โดนรัตติกาลมองมาอย่างปรามๆผ่านกระจกมองหลัง


“ไม่ต้องมองกูแบบนั้นเลยไอ้กาล ถ้ากูไม่ยุมันให้ตามไปคงไม่ได้มานั่งปล่อยออร่าทำลายล้างตับคนกันแบบนี้หรอก”


“ไม่เกี่ยวสักหน่อย ถ้ากูไม่เลือกต่อให้มึงจับพวกกูแก้ผ้าแล้วขังอยู่ในห้องเดียวกันยังไงก็รอด”


“ไม่รอด...ต้องแดกตับกันแน่ๆใช่ไหม”


ร่างโปร่งกระตุกยิ้มแล้วยกมือขึ้นชกกับนิลอย่างพอใจ ทำให้อีกคนที่เหลือตวัดสายตาใส่คนรักทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น


“กาลพูดเหมือนไม่ได้รักผมอย่างนั้นแหละ”


“โอ้ย ไอ้รัณย์มึงเป็นน้องรพีหรอวะ กูพูดกันเล่นๆนี่เก็บมางอนเป็นจริงเป็นจัง ง๊องแง๊งฉิบหาย”


“เสือก!”


“อารัณย์ ขับรถไปดีๆ”


นิลหัวเราะคิกคักเมื่อคู่กรณีโดนดุไปตามระเบียบในขณะที่ตัวเองเอนหลังลงนอนโดยไม่คิดจะสนใจเสียงบ่นของเพื่อนที่บอกให้เขาอย่าแกล้งอารัณย์ให้มากนัก แค่เพียงประมานครึ่งชั่วโมง รถยนต์สีดำคันใหญ่ก็เลี้ยวเข้าไปจอดในลานกว้างของบ้านที่มีร่างท้วมของจันทร์และเด็กชายตัวป้อมยืนรออยู่ด้วยความตื่นเต้น


“คุณกาลกลับมาแล้ว!”


“พ่อ!!”


รพีวิ่งเข้าใส่คนเป็นพ่อแม้ว่าเมื่อวานตัวเองจะได้เจอรัตติกาลแล้วก็ตาม แต่เพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งสองคนไม่ได้ทักทายกันมากนัก ร่างโปร่งย่อตัวลงหลังจากมีท่าทางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจรับรพีที่ยิ้มกว้างเข้ามาไว้ในอ้อมกอดท่ามกลางสายตาปิติยินดีของผู้คนรอบข้าง


“พ่อกาลจะกลับมาอยู่กับพีแล้วใช่ไหม พ่อจะไม่ไปไหนแล้วใช่ไหมฮะ”


เด็กชายถามพลางโอบรัดรอบคอของบิดาด้วยแขนป้อมๆของตัวเอง แม้จะไม่เห็นหน้าแต่รัตติกาลก็รับรู้ได้ทันทีว่ารพีกำลังทำสีหน้าแบบไหน อารัณย์ที่ยืนอยู่เคียงข้างจันทร์ส่งยิ้มมาให้เป็นกำลังใจและพยักหน้าบอกให้รัตติกาลตัดสินใจทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ


“ครับ...พ่อกลับมาแล้ว”


รพีร้องเฮออกมาด้วยความดีใจก่อนจะกระโดดไปรอบๆ เสียงเจื้อยแจ้วที่เขาไม่ได้ยินผ่านหูมานานร้องบอกหญิงแก่ถึงความสุขที่ไม่อาจเก็บไว้ในใจคนเดียวได้ ร่างสูงขยับมายืนเคียงข้างคนรักแล้วกอบกุมมือของอีกคนไว้พลางส่งยิ้มให้เพื่อบอกว่ารัตติกาลจะสามารถผ่านมันไปได้โดยมีเขายืนอยู่เคียงข้าง


“เข้าบ้านกันเถอะ...”


มื้ออาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนานเมื่อรพีเอาแต่ยิงคำถามถึงสถานที่ที่ทั้งสองคนแอบไปพักผ่อนมาตามความเข้าใจของเด็กชาย อารัณย์เล่าถึงสิ่งที่ตัวเองได้พบเจอ ทั้งการงมหอยที่ป่าชายเลน อาหารแปลกๆ ชาวบ้านที่แสนใจดีรวมไปถึงงานประเพณีที่เพิ่งผ่านพ้นไปอย่างงานสงกรานต์โดยมีรัตติกาลคอยเสริมเป็นพักๆ


“พีอยากไปเที่ยวบ้าง น้ารัณย์ขี้โกงแอบเอาพ่อกาลไปแล้วไม่ชวนพี”


เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดโดยไม่รู้เลยว่าคำพูดของตนแทบทำให้ผู้ใหญ่ตัวโตสองคนเกือบทำช้อนหลุดมือ นิลเท้าคางลงบนโต๊ะแล้วมองอารัณย์ด้วยสีหน้ายียวนกวนประสาทเพราะอยากจะรู้ว่าร่างสูงจะตอบลูกชายของแฟนว่าอย่างไร


“ไม่ได้แอบเอาไปครับ น้าไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อกาลไง ถ้าให้พ่อกาลอยู่ที่นั่นคนเดียวพีไม่กลัวพ่อเขาเหงาหรอครับ”


 “ก็กลัว...แต่พีก็เหงาเหมือนกันนิ”


รพีตอบพลางทำหน้าบึ้ง อดน้อยใจไม่ได้เหมือนกันยิ่งได้ยินว่าตลอดช่วงเวลาที่ตัวเองต้องเผชิญกับความเหงาทั้งพ่อและพี่เลี้ยงคนสนิทกำลังสนุกกันอย่างที่อีกฝ่ายว่า ดวงตากลมหลุบลงไม่ยอมสบกับใครซึ่งเมื่อรัตติกาลเห็นดังนั้นก็ยืนมือเข้าไปหาแล้วลูบหัวกลมๆนั้นอย่างปลอบโยน


“ขอโทษนะที่ไม่อยู่บ้าน แต่จะ...ไม่ไปไหนแล้ว”


“จริงหรอฮะ”


รัตติกาลพยักหน้ารับเด็กชายที่ช้อนสายตาขึ้นถามก่อนจะตักไก่ทอดชิ้นใหญ่ใส่จานของรพีพร้อมกับยิ้มน้อยๆให้ จันทร์ที่ยืนอยู่ในมุมหนึ่งมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกแปลกใจแล้วหันมามองนิลนิ่งอย่างต้องการถาม แต่นักเขียนหนุ่มก็ทำแค่ยิ้มให้เท่านั้น


“พีครับ น้ามีอะไรจะบอกแหละ”


อารัณย์พูดขึ้นขณะช่วยตักน้ำจิ้มแบบไม่เผ็ดราดลงบนไก่ชิ้นนั้น เด็กชายเอียงคอน้อยๆอย่างนึกสงสัย ทำให้ผู้ใหญ่ทุกคน ณ ที่นั้นอดที่จะเอ็นดูไม่ได้


“ตอนไปอยู่ที่นั่น ถึงน้าจะทำให้พ่อเราหายเหงาไปได้บ้างแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดอยู่ดี...พ่อกาลของพีตั้งหน้าตั้งตารอโทรศัพท์อยู่ทุกวันเลยรู้ไหม”


รัตติกาลรีบเสหันไปมองที่อื่นแต่ก็ไม่อาจปกปิดผิวแก้มที่ขึ้นสีอ่อนๆได้ ร่างป้อมมองหน้าบิดาและพี่เลี้ยงหนุ่มสลับกันไปโดยที่ข้างใจเริ่มพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็น


“แค่น้ากับพ่อเราน่ะไม่ไหวหรอก เราจะต้องมีพีอยู่ด้วย...แบบนั้นแหละดีที่สุด”


“คราวหน้า...ไปบ้านยายพิศกับพ่อนะ”


“พ่อ...”


รพีฟังคำพ่ออย่างอึ้งๆก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา รัตติกาลเอื้อมมือออกไปเช็ดน้ำตรงหางตาให้ลูกชายโดยที่มืออีกข้างก็ถูกอารัณย์จับไว้พร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งมาให้


ทั้งนิลและจันทร์ปล่อยให้สองพ่อลูกแถมด้วยอีกหนึ่งหนุ่มใช้เวลาร่วมกันหลังจากที่สูญเสียมันไปมาก หญิงแก่ใช้ชายเสื้อซับน้ำตาออกจากใบหน้าของตนแล้วเอ่ยถามนิลที่มองภาพเบื้องหน้าอยู่ด้วยรอยยิ้มเช่นกัน


“คุณกาลเธอเปลี่ยนไปเยอะเลยนะคะ จนป้าเผลอคิดไปเองว่าได้คุณหนูคนเดิมสมัยคุณท่านทั้งสองยังไม่เสียกลับมา”


“ไม่หรอกครับป้า...มันดีกว่าเดิมอีกต่างหากล่ะ”


“เป็นเพราะเขาหรอคะ...คุณอารัณย์น่ะ”


“ฮ่าๆ ยังรู้ใจคุณหนูของตัวเองไม่เปลี่ยนเลยนะครับ”


“ไม่หรอกค่ะ แต่จับมือกันแน่นขนาดนั้นให้ป้าคิดเป็นอย่างอื่นก็คงไม่ได้”


นิลหัวเราะร่าออกมาพลางคิดไปว่าถ้าสองคนนั้นรู้ว่าป้าจันทร์เห็นการกระทำทุกอย่างจะรู้สึกยังไง กับรัตติกาลเขามั่นใจว่าเพื่อนคงรักษาอาการนิ่งได้อย่างเคยแม้สีหน้าจะเปลี่ยนไปบ้างแต่กับอารัณย์ที่ดูเหมือนมักจะทำตัวเป็นเด็กเสมอเวลาอยู่กับรัตติกาลคงจะลนลานอยู่ไม่น้อย


“คุณเขา...จะหลอกคุณกาลอีกไหมคะ”


“ไม่รู้สิครับ ของแบบนี้ดูกันแค่ผิวเผินคงไม่ได้ แต่คงไม่ต้องเป็นห่วงมันมากหรอก ยังไงซะไอ้กาลคงไม่ปล่อยให้ตัวเองพังลงเพราะความรักเหมือนเก่า”


“...”


 “อาจจะฟังดูแย่สำหรับไอ้รัณย์ แต่การที่ไอ้กาลเหลือใจไว้รักตัวเองบ้างนั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากเห็นมากที่สุด ผมไม่อยากให้มันระแวงแต่ก็อยากให้ระวัง...อย่างน้อยถ้าวันหนึ่งเขาไม่อยู่ มันจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แม้ไม่มีเขา”


“ป้าก็หวังว่าอย่างนั้นค่ะ”


นิลคลี่ยิ้มออกมา ทั้งยินดีกับภาพตรงหน้าและกลัวว่าสักวันหนึ่งจะมีคนพรากมันจากไปอีกเช่นกัน ความมืดที่ยังไม่คลี่คลายเหมือนม่านหมอกที่ทำให้เขาไม่สามารถปล่อยใจให้ยินดีกับเพื่อนได้ทั้งหมดแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะยิ้มและมีความสุขอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด


“จนกว่ามึงจะมีความสุขได้แม้จะต้องอยู่คนเดียวกาล...จนกว่าจะถึงวันนั้น”


.

.

.

.

.

.

.

.

.


เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยรอยยิ้มและเสียหัวเราะที่ดังคลออยู่ในห้องทานอาหารของบ้านพัฒนเดชา รพีที่ร่าเริงมากกว่าทุกครั้งนอกจากเรื่องที่ตัวเองจะได้กลับไปเรียนตามปกติแล้วก็เป็นเพราะชายหนุ่มในชุดสูทไม่เป็นทางการซึ่งกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ตรงหัวโต๊ะคนนั้น ทำให้ร่างป้อมรู้สึกว่าเช้าวันใหม่มันสดใสกว่าเคย


“ถ้ากินข้าวหมดแล้วดื่มนมด้วยนะรพี เสร็จแล้วจะได้ออกไปกัน”


“ฮะ!”


รพีรับคำแล้วหยิบเอานมแก้วโตมาดื่มเสียจนรอบริมฝีปากเลอะคราบสีขาวไปหมด รัตติกาลส่ายหัวให้กับท่าทางไม่ประสีประสานั้น ชายหนุ่มลุกขึ้นเต็มความสูงคว้าเนคไทที่ยังไม่ได้ผูกมาถือไว้ก่อนจะเดินไปเช็ดปากให้ลูกชายที่ดื่มนมจนหมดตามคำสั่ง รพีคลี่ยิ้มขณะที่เดินเคียงคู่บิดาออกมายังรถคันเดียวกับเมื่อวานที่พารัตติกาลกลับมายังบ้านหลังนี้


“ผมไปนะครับป้า เรื่องข้าวเย็นเดี๋ยวผมโทรบอกอีกที”


“ค่ะ ตั้งใจเรียนนะคะคุณพี คุณกาลก็ด้วย อย่าโหมงานอีกนะคะ”


จันทร์ส่งยิ้มให้กับคุณหนูของเธอทั้งสองก่อนจะยื่นทั้งกระเป๋าเอกสารและกระเป๋าของรพีให้รัตติกาลรับไว้อย่างเคย ร่างป้อมพนมมือไหว้ผู้อาวุโสของบ้านก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนเบาะข้างคนขับด้วยการช่วยเหลือของร่างโปร่งที่รับหน้าที่เป็นสารถีให้ลูกชายหลังจากที่ไม่ได้ทำมานาน


“รพีครับ ใช้โทรศัพท์พ่อโทรบอกอานิลให้ทีว่าวันนี้พ่อจะเข้าบริษัท”


ร่างโปร่งยื่นโทรศัพท์ให้ลูกชายที่พอจะใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้คล่องพอสมควร เด็กชายงมอยู่กับหน้าจอสักพักก่อนจะต่อสายไปหาอาคนสนิทแล้วบอกอีกฝ่ายตามที่บิดาไหว้วานให้ทำ หลังจากนั้นไม่นานนักทั้งสองคนก็เดินทางมาถึงโรงเรียนอนุบาลที่มีพ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานมาส่งกันจำนวนมาก รัตติกาลจัดการใส่กระเป๋าสะพายให้รพีแล้วจับผมที่กระดกเล็กน้อยให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น ก่อนที่จะชนเข้ากับแผ่นอกกว้างของใครบางคนในตอนที่กำลังลุกขึ้นจากพื้น


“อ้าว มาทำงานแล้วหรอ”


รัตติกาลทักอารัณย์ก่อนด้วยท่าทางนิ่งๆอย่างเคยจนทำให้ร่างสูงต้องมองอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู เพราะกริยาดังกล่าวไม่ได้ต่างไปจากที่เขาคิดมากนัก


“อืม ไม่อยากอยู่เฉยๆอีกอย่างไอ้ชาติมันมาจัดการทำเรื่องไว้ให้แล้วด้วย...สวัสดีครับรพี ร่าเริงแต่วันเลยนะ”


อารัณย์ตอบคนรักก่อนจะหันไปทักเด็กชายในตอนท้าย รพียกมือขึ้นไหว้ด้วยท่าทางนอบน้อมอย่างที่จันทร์คอยสอนมา


“สวัสดีฮะน้ารัณย์ วันนี้พ่อกาลมาส่งพีด้วย!!”


“ฮ่าๆ น้าเห็นแล้วครับ ข้าวมาถึงโรงเรียนแล้วเหมือนกันนะ ไปเล่นกับเพื่อนในห้องไปอย่าเพิ่งออกไปไหนมาไหนคนเดียวรู้ไหมครับ”


“ฮะ พ่อกาลฮะพี่เข้าห้องก่อนนะ สวัสดีฮะ”


เด็กชายยกมือไว้แล้วโบกมือลาคนเป็นพ่อที่ยืนมองภาพนั้นยิ้มๆก่อนจะวิ่งออกไปโดยมีเพื่อนวัยเดียวกันคอยทักทายอยู่เรื่อยๆ


“วันนี้แต่งตัวไม่เรียบร้อยเลยนะ รีบหรอ”


อารัณย์ทักขึ้นพร้อมกับใช้นิ้วอุ่นๆจิ้มไปบนลำคอขาวที่โผล่พ้นปกเสื้อออกมาเมื่อเห็นว่าคนรักไม่ได้ใส่เนคไทให้เรียบร้อยอย่างเคย รัตติกาลยิ้มออกมาแล้วเปิดประตูรถเพื่อหยิบของที่อยู่ด้านใน ผ้าชิ้นยาวสีงาช้างถูกยื่นไปให้คนตรงหน้าที่กำลังมองมาอย่างงงๆ


“ผูกให้หน่อย ไม่ได้ใส่นานแล้ว ไม่ชิน”


ร่างสูงหลุดขำออกมาเมื่อได้ฟังคำอ้อนจากชายหนุ่มที่ไม่ค่อยมีมุมแบบนี้สักเท่าไหร่ เขาจัดจางวางมันลงบนเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าที่ปกยกตั้งขึ้นแล้วผูกตามแบบที่ตัวเองถนัดท่ามกลางสายตาของรัตติกาลที่จ้องมองใบหน้าของคนที่ไม่ได้อยู่ร่วมห้องเดียวกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆอย่างที่ไม่ได้เป็นมานานโดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายก็กำลังคิดไม่ต่างไปจากตน


“เย็นนี้เลิกกี่โมง”


“ไม่แน่ใจ คงต้องเข้าไปจัดการอะไรหลายอย่าง หาเลขาใหม่ก็ด้วย”


“ทำคนเดียว?”


“ป่าว ตามนิลมาช่วยแล้ว เดี๋ยวมันคงตามมา”


“อืม ดีแล้วล่ะ ผมก็อยากจะช่วยกาลนะแต่จะทิ้งงานทางนี้ไปก็ไม่ได้”


“ไม่เป็นไร แค่นี้ก็ช่วยจนไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว”


อารัณย์ทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกมาด้วยท่าทางกรุ่มกริ่มไม่เหมือนเคย รัตติกาลเองเมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร


“ถ้าอยากตอบแทน งั้นเย็นนี้...ไปเดทกันนะ”


“เดท?”


“อื้ม ไปกันสามคนเลย ผม กาล แล้วก็รพี ไปร้านข้าวแถวหอผมเหมือนเดิมไหม เจ้าเดียวกันกับที่กินคราวก่อนจะเกิดเรื่อง”


รัตติกาลคิดตามก่อนจะตอบรับ ด้วยเพราะนึกติดใจในรสชาติที่ถูกปากและอยากจะให้รพีได้ลองชิมร้านอร่อยแบบนั้นอยู่เหมือนกัน


“เอาสิ จะได้โทรบอกป้าจันทร์ว่าไม่ต้องเตรียมข้าวเย็นให้”


“อืม ตั้งใจทำงานนะ ระวังตัวด้วยล่ะ กาลรู้ใช่ไหมว่ามันยังไม่ปลอดภัย”


อารัณย์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นแต่นั่นก็ทำให้รัตติกาลรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงตนเองแค่ไหน ร่างโปร่งจับมือของอารัณย์ไว้ในมุมที่ไม่คิดว่าน่าจะมีใครมองเห็น อารัณย์เองก็อยากจะคว้าคนรักมากอดไว้เช่นกันแต่ด้วยเพราะหน้าที่และความเหมาะสมก็ทำให้เขาไม่สามารถทำอย่างนั้นได้


“ไม่ต้องห่วงหรอก คิดว่าผมจะยอมให้ใครมาทำอันตรายง่ายๆหรอ”


“รู้ว่าเก่ง แล้วกาลล่ะรู้ไหมว่าทำไมผมถึงห่วง...”


เขารู้สึกได้ว่าแรงบีบที่มือมันหนักขึ้นแต่นั่นก็ยิ่งทำให้รัตติกาลรู้สึกอุ่นใจมากขึ้นด้วยเช่นกัน ร่างโปร่งยิ้มอ่อนให้คนตรงหน้าก่อนจะโน้มหน้าไปกระซิบที่ข้างหูของอารัณย์ในจังหวะที่คนรอบข้างกำลังให้ความสนใจกับเสียงตามสายที่ทางโรงเรียนเปิด


“รู้สิ...เพราะผมก็รู้สึกเหมือนกัน”




:z3:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2015 19:45:36 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

“มึงยกบริษัทให้กูเลยไหม ถ้าจะให้กูทำขนาดนี้”


นักเขียนหนุ่มจ้องหน้าเจ้านายตัวเองอย่างกินเลือดกินเนื้อแต่มือก็ยังไม่ละไปจากแป้นพิมพ์เลยสักจังหวะ รัตติกาลมองสภาพเพื่อนของตนแล้วหัวเราะออกมาน้อยๆ เขาวางโทรศัพท์ที่เพิ่งใช้มันติดต่อไปยังบริษัทคู่ค้าที่เสียหายจากการขโมยข้อมูลครั้งก่อนเพื่อแจ้งข่าวรวมถึงมาตรการการดำเนินงานต่อจากนี้ให้ทางนั้นได้ทราบ แม้ว่าการพิมพ์เอกสารจะเป็นงานน่ารำคาญแต่นิลก็เลือกที่จะทำมันมากกว่าการที่จะต้องใช้วาจาหากินอย่างเพื่อนของตน


“อยากได้ไหมล่ะ จะยกให้”


“ไม่เอา กูรู้ว่ามึงพูดจริงได้กาล แต่โทษที กูยังไม่อยากได้บ่วงมาคล้องคอ”


“บ่วงที่ไหน เงินทั้งนั้นเลยนะ แถมมึงยังกำหนดเวลาส่งต้นฉบับตัวเองได้ด้วย”


“ถึงกูจะขี้เกียจแต่กูก็ไม่โง่ อย่าเลิกก็ไปบอกขายคนอื่นอย่ามาโบ้ยให้กู”


รัตติกาลแสยะยิ้มเมื่อเพื่อนรักคนนี้รู้ความคิดของเขาดีไม่เคยเปลี่ยน เขามองเอกสารเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกเบาโหว่งกว่าเก่า ไม่ใช่แค่การจับคนร้ายได้จะทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายลงแต่รวมไปถึงประสบการณ์ที่ได้จากบ้านไม้ริมคลองหลังนั้นทำให้เขาโหยหาชีวิตอิสระที่เคยทิ้งมันไปแล้วครั้งหนึ่ง


“แค่ลองพูดดู เผื่อมึงสนใจกูจะได้วางใจขายได้โดยไม่รู้สึกผิด”


“หึ ตอนอยากทำก็รั้นแทบตาย รู้ว่าตัวเองไม่ชอบก็ยังฝืนบ้าจี้ตามไอ้พี่ทีมัน”


“ก็นะ ไม่ใช่เพราะเขาคนเดียวหรอก แต่เพราะอยากลองใช้ชีวิตเหมือนพ่อกับแม่ดูด้วยเลยคิดจะเดินทางนี้ มันสนุกนะ แต่กูเหนื่อยแล้วเท่านั้นเอง”


“แล้วไม่คิดจะเก็บไว้ให้รพีรึไง ลูกมึงก็ชอบทางนี้อยู่ไม่น้อย ครูสาพูดให้กูฟังประจำว่าเก่งภาษามากกว่าเพื่อนคนอื่น”


“เก่งก็ส่วนเก่ง โตขึ้นมาเขาอาจจะอยากทำอย่างอื่นก็ได้”


“เออเว้ย ไอ้รัณย์นี่มันสอนมึงดีจริงๆ พูดจาเหมือนพ่อคนอื่นเขาก็เป็นด้วย”


รัตติกาลหันไปตวัดตามองเพื่อนรักที่ขำออกมาอย่างชอบใจก่อนเสียงหัวเราะนั้นจะค่อยๆเบาลงหลงเหลือไว้เพียงแต่แววตาอ่อนโยนที่นิลมองมาเท่านั้น


“กูดีใจนะเว้ยที่มึงมาได้ไกลขนาดนี้ ตอนแรกยังเปลี้ยไม่เป็นท่าอยู่เลย รู้ตัวอีกทีก็...มีผัวใหม่เป็นตัวเป็นตนพ่วงด้วยลูกชายอีกหนึ่งซะแล้ว”


“เกือบซึ้งล่ะไอ้สัด”


ร่างโปร่งปากระดาษที่ขยำกันเป็นก้อนกลมในมือใส่เพื่อนที่ทำท่ายียวนไม่เลิก แต่ถึงอย่างนั้นรัตติกาลก็ยิ้มออกมาได้อยู่ดี


“เอ้า กูพูดจริง การที่มึงสามารถพูดถึงพี่ทีได้โดยไม่ประสาทไปก่อนนี่ก็ปาฏิหาริย์แล้ว ตอนเขาตายไปใหม่ๆมึงแม่งยังกับคนบ้า”


นิลพูดพลางหัวเราะออกมาโดยไม่ทันสังเกตเลยว่าสีหน้าของรัตติกาลวูบไหวไปครู่หนึ่ง ร่างโปร่งเลื่อนเก้าอี้ของตนให้เข้ามาใกล้กับนักเขียนหนุ่มที่กลับไปพิมพ์งานของตัวเองอีกครั้งก่อนซุกใบหน้าที่สับสนเล็กๆลงบนแผ่นหลังของเพื่อนสนิท


“พูดถึงได้แต่เอาจริงๆกูก็ยังไม่อยากพูดถึงเขาสักเท่าไหร่”


“ไม่เป็นไรหรอกไอ้กาล มึงเปลี่ยนไปแล้ว วันนี้มึงอาจจะยังเจ็บอยู่แต่กูเชื่อว่าสักวันมึงจะพูดถึงเขาได้โดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลย”


“ถ้ามันมาถึงก็คงดี...ตราบใดที่ไม่มีใครคุ้ยเรื่องของเขาขึ้นมา”


“มึงหมายถึงคนที่ยืมมือธิชาทำงานน่ะหรอ”


“อืม...”


นิลถอนหายใจ เขายกมือพาดผ่านไหล่แล้ววางลงบนหัวของรัตติกาล ชายหนุ่มลูบเบาๆบนกลุ่มผมปล่อยให้ร่างโปร่งซึมซับกำลังใจผ่านทางฝ่ามือของเขา


“ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก อีกไม่นานชาติคงลากตัวมันออกมาได้”


“...ขอโทษด้วยนะเว้ยที่ทำให้มึงเดือดร้อน”


“ห่า ทำกูเดือดร้อนมาครึ่งชีวิตแล้วจะมาขอโทษทำไม พอๆเลิกซบกูได้แล้ว ถ้าผัวมึงเห็นมันได้กระทืบกูแน่ตัวยิ่งควายๆอยู่”


รัตติกาลยิ้มออกมาแม้ว่าจะโดนนิลผลักหัวของตนออกแล้วแกล้งทำสีหน้าขยะแขยงไปด้วย ร่างโปร่งยักไหล่นิดๆแล้วกลับไปนั่งหลังตรงตามเดิม


“พูดเล่นกับกูก็พูดได้อยู่หรอก แต่อย่าไปพูดแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นเข้าล่ะ”


“ทำไมวะ”


“...กูไม่อยากให้รัณย์มันอึดอัดใจ”


“ห่า แคร์กันจนกูจะอ้วก แล้วก็นะ ถ้าแค่เปิดเผยว่าได้กับมึงแล้วมันยังไม่กล้าก็ไม่ต้องทำมาหาแดกอะไรกันพอดี”


“เอาน่า ของอย่างนี้มันไม่ต้องแขวนป้ายโชว์หรอกว่าตัวเองเป็นอะไร แค่ที่มันทำให้กูทุกวันนี้ก็ดีมากพอแล้ว”


“เออ เอาที่มึงสบายใจ ถ้ามึงโอเคกูจะว่าอะไรได้วะ ถนอมกันฉิบหาย ไอ้ห่านั่นก็ง๊องแง๊งขึ้นทุกวัน เมื่อวานตอนจะกลับบ้านมองมึงยังกับหมามองกระดูก ถ้าไม่ดูทรงกูนี่นึกว่ามึงเป็นผัวมันซะอีก...หรือว่าใช่วะ”


นิลบ่นไปเรื่อยก่อนจะหันมาถามรัตติกาลด้วยสีหน้าจริงจังในตอนท้าย แต่ก็โดนร่างโปร่งตบหัวกลับมาเบาๆด้วยแฟ้มเล่มใหญ่แทน


“พูดไปเรื่อย”


“ทำมาเป็นด่ากู อย่าบอกนะว่าไม่สน”


รัตติกาลฟังคำของเพื่อนแล้วไม่ได้ตอบอะไร เขาเอาแฟ้มที่เพิ่งฟาดหัวนิลมาหยกๆกางลงบนโต๊ะแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านต่อไป นักเขียนหนุ่มมองคนตรงหน้าอยู่พักหนึ่งอย่างต้องการคำตอบก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้ากรุ่มกริ่มของรัตติกาล


“หึ ไอ้รัณย์ มึงซวยแน่...”


.

.

.

.

.

.

.

.


เด็กชายตัวน้อยมองผู้คนที่เดินผ่านไปมานอกร้านด้วยความสนใจทั้งคุณลุงตัวใหญ่ที่นั่งขายพวกพวงกุญแจและตุ๊กตาตัวเล็กๆอยู่บนพื้น คุณป้าที่เอาแต่พูดโฉ่งฉ่างไม่หยุดโดยที่มือก็สับผลไม้ไปด้วย รวมไปถึงเด็กผู้ชายที่โตกว่าตนหน่อยกำลังหอบเอาตะกร้าที่มีดอกไม้อยู่เต็มเดินไปทักผู้คนที่นั่งกินข้าวอยู่ในร้าน


“กาล”


“หื้ม?”


“วันนี้จะค้างด้วยกันรึเปล่า”


รพีหันไปมองพี่เลี้ยงที่พยายามกระซิบคุยกับพ่อของตนด้วยเสียงอันเบา แต่ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็ยังได้ยินมันอยู่ดี


“ค้างไม่ได้ ต้องทำงานไหนจะรพีอีก”


“พีทำไมหรอฮะ?”


เด็กชายถามขึ้นเมื่อได้ยินชื่อของตนในบทสนทนา อารัณย์หัวเราะแหะๆออกมาเมื่อเพิ่งรู้ว่ารพีได้ยินสิ่งที่ตนพูดทุกอย่าง รัตติกาลเองพอเห็นแบบนั้นก็หยิบเอาขนมถุงเล็กๆที่ร้านวางไว้บนโต๊ะเผื่อลูกค้าคนไหนอยากซื้อกินมาแกะออกแล้วส่งให้ลูกชายที่นั่งมองตนตาแป๋วทานเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ


“ไม่มีอะไรครับ กินนี่ไปก่อนนะ วันนี้คนเยอะคงต้องรอนานหน่อย”


“กินได้หรอฮะ ยายจันทร์บอกว่าไม่ให้กินขนมก่อนกินข้าวมันไม่ดี”


“พ่ออนุญาตวันนึง แต่ที่หลังก็ทำตามที่ยายสอนนะตกลงไหม”


“ตกลงฮะ!”


รพียิ้มร่าแล้วรับถุงขนมที่ตัวเองอยากกินอยู่ก่อนแล้วมาถือไว้แล้วหยิบมันเข้าปากด้วยท่าทางน่าเอ็นดู รัตติกาลหันไปพูดคุยกับอารัณย์ต่อโดยที่เหลือบมองรพีเป็นระยะแล้วคอยใช้มือปัดกางเกงสีแดงสดเบาๆเมื่อมีเศษขนมร่วงออกจากปากของรพีมาตกลงบนนั้น


“ว่าแต่จอดรถมอเตอร์ไซค์ทิ้งไว้ที่โรงเรียนแบบนั้นจะไม่เป็นไรแน่นะ”


“ไม่เป็นไรๆ ครูคนอื่นบางทีก็จอดทิ้งไว้เหมือนกัน”


รัตติกาลจำใจเชื่อคำพูดนั้นแต่ก็ยังนึกเป็นห่วงมอเตอร์ไซค์คันโตที่เจ้าของมันจำใจทิ้งไว้เพื่อที่จะนั่งมาบนรถคันเดียวกับเขาในตอนที่ไปรับอารัณย์และรพีให้มาทานข้าวด้วยกันตามที่นัดไว้


“แล้วตอนเช้าจะไปยังไง ให้แวะมารับรึเปล่า”


“อยากทำเท่แล้วบอกว่าเกรงใจอยู่หรอก แต่อยากให้มารับมากกว่า”


อารัณย์พูดไปยิ้มไปก่อนจะแอบวางมือของตนทับลงบนมือของรัตติกาลในจังหวะที่รพีกำลังให้ความสนใจกับขนมอยู่ ชายหนุ่มแอบทำหน้าดุเล็กน้อยแต่ร่างสูงก็ยังทำเป็นสนใจจนเขาต้องยอมให้อีกฝ่ายทำตามใจตัวเองต่อไปจนกระทั่งอาหารทุกอย่างที่สั่งถูกวางลงบนโต๊ะจนเต็ม


ทั้งสามคนใช้ช่วงเวลาบนโต๊ะอาหารอย่างสนุกสนานและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รพีพยายามตักไข่เจียวปูชิ้นใหญ่ใส่จานให้รัตติกาลในขณะที่อารัณย์ก็ตักผัดกระเฉดผัดเต้าเจี้ยวที่คนรักชอบให้ร่างโปร่งด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มมองจานของตนที่มีกับข้าวมากมายเสียจนเกือบล้นก่อนที่จะบริการตักกับข้าวให้กับทั้งสองคนเป็นการตอบแทน ผัดฉ่ารสจัดถูกวางลงบนข้าวของอารัณย์อย่างสวยงาม ก่อนที่รัตติกาลจะหันมาบรรจงเลาะเนื้อปลาเค็มทอดให้กับลูกชายบ้าง


“จะว่าไปก็เกือบถึงวันเกิดของรพีแล้วนี่เนอะ คิดไว้รึยังว่าอยากได้อะไร”


อารัณย์พูดถึงหลังจากกลืนข้าวคำโตเข้าท้องไป รพีพยักหน้ารัวๆแทนการตอบเพราะตัวเองก็ยังมีอาหารอยู่เต็มปาก


“คิดแล้วฮะ พีจะซื้อของขวัญให้พ่อกาล!”


“ฮ่าๆ พีต้องเป็นคนได้ของขวัญสิ วันเกิดเราไม่ใช่วันเกิดพ่อกาลสักหน่อย”


“แต่พีอยากให้...”


“พ่อไม่อยากได้อะไรหรอก เรานั่นแหละถ้าอยากได้อะไรก็บอกพ่อแล้วกัน”


รัตติกาลวางเนื้อปลาที่แกะแล้วใส่จานของรพีก่อนจะพูดขัดขึ้นมา ก่อนจะหันไปมองอารัณย์ด้วยความสงสัยว่าร่างสูงรู้เรื่องวันเกิดของรพีได้ยังไง อารัณย์เองพอเห็นคนรักมองตนแบบนั้นก็เหมือนจะเข้าใจได้ว่าอีกคนสงสัยอะไรเลยตอบออกไป


“พอดีเมื่อเช้าครูที่ห้องเอาใบประวัตินักเรียนให้มาช่วยจัดน่ะเลยเห็นเข้า ว่าแต่พีไม่อยากได้อะไรจริงๆหรอ”


“อืม...ยังคิดไม่ออกฮะ ถ้าคิดออกแล้วค่อยตอบได้ไหม”


“ได้ครับ งั้นตอนนี้กินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวจะพาไปกินลอดช่องเจ้าอร่อย”


ทั้งสามคนยุติบทสนทนาไว้แค่นั้นแล้วลงมือทานอาหารตรงหน้าต่อจนหมดจาน อารัณย์เดินเคียงคู่กับรัตติกาลที่อีกมือหนึ่งจับมือของลูกชายเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเด็กน้อยคนนี้จะหายไป ร่างสูงเหลือบมองคนรักที่ทอดสายตาตรงไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายกำลังพยายามปรับตัวเพื่อรพีอย่างมาก แม้บางครั้งจะดูแข็งๆและฝืนใจไปบ้าง แต่ก็นับว่าดีแล้วสำหรับคนที่ครั้งหนึ่งเคยเกลียดชังลูกของอดีตคนรักอย่างถึงที่สุด


“กาล”


“หื้ม?”


“อยากจับมือบ้าง...ได้ไหม”


อารัณย์เอ่ยขอแม้ว่าพวกเขาจะเดินอยู่ริมถนนซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แม้จะมีบางคนที่เขารู้จักแต่ชายหนุ่มกลับไม่นึกแคร์ว่าคนพวกนั้นจะคิดยังไงหากเห็นว่าเขากำลังเดินจับมือกับผู้ชายด้วยกันท่ามกลางเมืองใหญ่ สิ่งที่เขาคิดในตอนนี้มีเพียงแค่อยากแลกเปลี่ยนความอบอุ่นกับคนข้างกายเท่านั้น


“มือไม่ว่าง ถือลอดช่องอยู่เห็นไหม”


รัตติกาลชูแก้วลอดช่องที่แทบจะยังไม่พร่องลงไปของตัวเองขึ้นให้อีกฝ่ายดูจนอารัณย์ทำหน้าง้ำงอออกมาเพราะเถียงไม่ออก แต่สักพักหนึ่งชายหนุ่มก็ทำเหมือนกับเพิ่งคิดอะไรได้ คนตัวโตรีบกินขนมในแก้วของตัวเองจนหมดแม้ว่าความเย็นจากน้ำแข็งจะเย็นจี๊ดขึ้นสมอง รัตติกาลและรพีหันมามองอารัณย์ด้วยความประหลาดใจแล้วก็ต้องประหลาดใจยิ่งขึ้นอีกเมื่อร่างสูงวิ่งตรงไปที่ถังขยะทั้งที่หน้ายังเหยเก


อารัณย์ทิ้งแก้วที่เหลือแต่น้ำแข็งของตนไปแล้ววิ่งกลับมาหาอีกสองคนซึ่งหยุดเดินไปตั้งแต่เขาพยายามกินลอดช่องจนหมดในคราวเดียว ร่างสูงเช็ดมือที่เปียกของตนกับขากางเกงแล้วยื่นมันออกมาข้างหน้าพร้อมกับพูดด้วยเสียงอันดัง


“มือว่างแล้ว!”


รัตติกาลนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาจนรพีและอารัณย์ทำหน้าเหรอหรา ชายหนุ่มแทบสงบสติตัวเองไม่ให้เดินเข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้ไม่อยู่เพราะคิดไม่ถึงจริงๆว่าอารัณย์จะยอมทุกอย่างเพียงแค่เพื่อที่จะได้จับมือกับเขา



“ทำไมน้ารัณย์ต้องให้พ่อจับมือด้วยล่ะฮะ หรือกลัวว่าจะหลงเหมือนพี”


เด็กชายหันไปถามพ่อของตนอย่างไม่ประสีประสาแต่มันกลับเรียกเลือดให้ขึ้นไปรวมกันที่ใบหน้าของพี่เลี้ยงหนุ่มได้เป็นอย่างดี รัตติกาลมองท่าทางของคนรักด้วยหัวใจที่พองโต เขาจูงมือรพีให้เดินไปหาอารัณย์พร้อมๆกันก่อนจะคว้ามือคนตัวโตมาจับไว้แล้วหันมาตอบคำถามลูกชายที่ยังคงสงสัยไม่เลิก




“น้ารัณย์ไม่ได้กลัวหลงทางหรอกครับ พ่อต่างหากที่ ‘หลง’ แล้วกลัวว่าน้าเขาจะหายไปเลยต้องจับเอาไว้ให้แน่นๆ...คุณเองก็อย่าปล่อยมือผมนะ”




รัตติกาลเอ่ยกับลูกชายแต่สายตากลับหยุดอยู่ที่ใบหน้าคมเข้มขึ้นสีเลือดฝาด อารัณย์ยิ้มกว้างออกมาเช่นเดียวกับรัตติกาลที่กำลังสื่อสารทางสายตาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ได้ต่างจากความเป็นจริง รพีจ้องมองมือของพ่อและพี่เลี้ยงใจดีที่เกาะกุมกันไว้แน่นไม่ต่างจากของตนแล้วหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เด็กชายก้าวเดินออกไปข้างหน้าพยายามใช้แรงที่น้อยนิดของตนจูงพาผู้ใหญ่ทั้งสองให้เดินต่อไปด้วยกัน




โดยไม่มีใครเห็นเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองมาอย่างไม่เป็นมิตร...



--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!!

ตอนนี้มันงงๆเหมือนคนเขียนก็ไม่ต้องสงสัยนะคับ วันนี้ลงไปนั่งพับเพียบท่ามกลางสายฝนมายังกับดาวพระศุกร์โดนไล่ออกจากบ้าน  :hao5: บิ๊กไบท์เขาล้มเพราะสะดุดแอ่งน้ำ แต่เช่แม่งสะดุดทีนตัวเองแล้วต่อด้วยจนฟุตบาทจนหัวทิ่ม ฮืออออออ  :o12: :sad4: ไม่อายๆ แค่เด็กเดินเรือคนข้างๆขำเช่ลั่นเท่านั้นเอ๊งงงงงงงง  :z3:  :impress3:


บอกข่าวหนังสือหน่อย อย่างที่ประกาศไว้ในเว็บนะคับ ได้ร้านทำบ็อคแล้ว ราคาประมาน250บาท (อาจเปลี่ยนแปลงได้แต่ไม่น่าเกินนี้มั้ง) ราคาหนังสือคร่าวๆก็คิดไว้แล้ว ของแถมก็คิดไว้แล้ว เหลือแต่ค่าขนส่งคับต้องรอให้ทางร้านประเมินให้ก่อนถึงจะประกาศราคาพรีออเดอร์ให้ทราบกัน แต่ทั้งหมดทั้งมวลถ้าไอ้เช่มันยังแพล่มไปเรื่อยแม่งก็กะจำนวนหน้าบอกเขาไม่ได้อยู่ดี =w= รอหน่อยเน้อ เก็บตังรอกันไปก่อน คิดว่ายังไงก็หนึ่งพันบาทขึ้นไปแน่นอน แต่แค่พันนิดๆคับไม่โหดมาก จะบีบให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้และไม่น่าเกลียดต่อมารดาผู้จ่ายค่าไฟให้เช่จนเกินไปนัก อ่อ ต่อเพื่อนผู้เช่จิ๊กขนมมันกินตอนแต่งนิยายล้วย ฮี่ๆ > < :katai2-1:

https://docs.google.com/forms/d/1Z25QsWRzFK5qH7nRf7LCO_zLN-DD4Zcp51LaEKJiYBQ/viewform?c=0&w=1

โพลก็เข้าไปตอบกันได้เรื่อยๆเน้อ เช่เปิดอ่านทุกวันเน้อ!



ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ ที่เคยไปสปอยไว้ว่าพี่กาลโหมดดาร์กจะกลับมา ความจริงมันก็ไม่ดาร์กขนาดนั้นหรอก พี่แกเกรียนแตกไปตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วยังไงคงไม่บ้าไปมากกว่านั้น  :hao3: เหลือแต่เคลียร์ปมจริงๆนะ มันเหมือนจะมีปมเพิ่มแต่จริงๆไม่มีแล้ว แค่เรื่องเก่าๆมันพุดขึ้นมาเท่านั้นเอง ไม่ต้องเสริมธาตุเหล็กสำรองกันอีกต่อไป เลิกกินมาม่าแล้วคับเดี๋ยวผมจะร่วงหมดหัวเอา :ruready

แต่กินน้ำตาแทน.....หลอกกกกกกก!!!!!!! 5555555  :z2:


ปูลู .... ฝนตกบ่อยอย่าลืมดูแลสุขภาพนะคับ อย่าลืมพกร่ม แต่ถ้าเจอหนุ่มหล่อยืนถือร่มอยู่คนเดียวก็ทิ้งของเราไปซะ!!!!
  :z1:



ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มาแล้วๆๆ แปะไว้ดี๋ยวกลับมาอ่าาจ้า

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มาอ่านแล้วค่าาา ครอบครัวนี้สุขสันต์ฒมากเนอะ ดีใจที่กาลทำดีกับพี ค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะ

คนที่มองตอนท้ายคือใคร น้องปูนหรอ ว่าไปสงสารนางนะ หายไปนานเลย

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
37th Night

…On the chair...

 



บ่ายวันอาทิตย์ที่ทั้งร้อนและชื้นฝนทำให้ผู้คนที่เบื่อเกินกว่าจะนั่งจ่อมอยู่ที่บ้านแต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนต่างก็พากันมานั่งคุย เดินเล่น หาของอร่อย รวมถึงจับจับซื้อของกันเสียงจนห้างสรรพสินค้าแห่งใหญ่ดูแคบไปทันตา


นิลมองจำนวนคนที่มากไม่ต่างจากทุกครั้งด้วยความเบื่อหน่าย เขาเป็นพวกเกลียดการต้องไปอยู่ในที่ที่มีคนมากๆอย่างสถานการณ์ในตอนนี้ทั้งที่ไม่ใช่พวกชอบหนีสังคม ผิดกับเพื่อนอีกคนที่ถึงแม้จะมีปัญหาเรื่องการคบคนแค่ไหน แต่รัตติกาลกลับชอบที่จะไปอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก โดยเฉพาะที่ที่มีคนจากต่างถิ่นต่างภาษาด้วยเหตุผลว่ามันมักจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆจากคนพวกนั้น


“นิล! รอนานรึเปล่า!”


นักเขียนหนุ่มหันหน้าที่เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างกลับมามองคนที่เพิ่งเดินมาพร้อมกับโปรยยิ้มไปด้วยเสียจนเด็กเสิร์ฟและสาววัยทำงานโต๊ะข้างๆต่างก็เผลอทำตาโตเสียจนเขากลัวแทนเหลือเกินว่าขนตาปลอมที่เจ้าหล่อนอัพเอาไว้จะหลุดออกมา นิลทำหน้าหงิกแทนคำตอบทั้งๆที่ตัวเองเพิ่งมาถึงฤทธิชาติได้เพียงสิบห้านาที กาแฟที่สั่งไว้ก็เพิ่งจะมาถึงแต่แล้วยังไงล่ะ มาสายก็คือมาสาย!


“ทำหน้าบึ้งเชียว ยังไม่ชอบที่คนเยอะๆอยู่อีกหรอครับ”


ให้ตายสิ ดันรู้อีกว่าที่เขาอารมณ์เสียเป็นเพราะต้องมาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะมันมาสาย นิลกรอกตาไปมาแล้วหยิบเมนูส่งให้อีกฝ่ายพลางพูดไปด้วย


“สันดานมันไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ มึงก็ด้วย ไอ้นิสัยแจกยิ้มไปทั่วนี่หยุดสักทีได้ไหม เห็นแล้วขนลุก”


“ฮ่าๆ คงจะยากนะครับยิ่งรู้ว่านิลไม่ชอบผมก็ยิ่งอยากทำ”


“ไอ้โรคจิต”


“รู้ตัวครับ แต่ก่อนอื่นเลย...วันนี้แต่งตัวได้ดูดีมากครับ เหมาะกับนิลมาก”


ผู้หมวดยิ้มให้จนตาหยี่พลางจ้องมองไปยังเสื้อเชิ้ตคอจีนสีขาวที่ถูกพับแขนจนขึ้นมาถึงข้อศอกเข้ากันได้ดีกับกางเกงขอสามส่วนสีเวอริเดี้ยนและรองเท้าคัทชูสีไม้เนื้อแดงคู่เก่งของเจ้าตัว


“ขอบใจ ส่วนมึงนี่ก็...เหมือนเดิมเลยนะ”


ฤทธิชาติในชุดเสื้อยืดคอวีกางเกงขายาวรองเท้าผ้าใบแบบธรรมดายิ้มรับอย่างไม่คิดโกรธเคืองอะไรเพราะชายหนุ่มก็เป็นอย่างที่นิลว่า นอกจากเครื่องแบบที่ต้องใส่แล้วในวันที่ไม่ต้องทำงานอย่างเช่นวันนี้เขาก็มักเลือกที่จะใส่เสื้อผ้าธรรมดาๆ มากกว่าต้องมาเสียเวลาพิถีพิถันกับการแต่งตัว


“แต่งเครื่องแบบหนักๆมาทั้งอาทิตย์แล้ววันนี้ขอสบายๆแล้วกันครับ หวังว่านิลคงไม่อายที่จะเดินกับผม”


“หึ รู้อยู่ว่ากูไม่แคร์แล้วยังเสือกพูดมาก จะแก้ผ้าเดินก็เรื่องของมึงเถอะ”


นิลว่าดังนั้นก่อนจะหันมาตักอาหารตรงหน้าเข้าปากโดยมีนายตำรวจหนุ่มเท้าคางมองท่าทางการกินที่แสนเป็นธรรมชาติของนักเขียนหนุ่มไปด้วย ทั้งคู่ใช้เวลาจัดการปากท้องให้พร้อมต่อการเดินตระเวนไม่นานนัก ก่อนจะพากันเดินเลือกซื้อของสำหรับงานฉลองวันเกิดครบรอบหกปีของรพีที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่อาทิตย์


“นอกจากหนังสือแล้วน้องพียังชอบอะไรอย่างอื่นอีกรึเปล่านิล”


ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ร่างสูงส่ายหน้าเป็นพันละวัน ก็เพราะว่าไม่รู้นี้แหละเขาถึงได้เป็นฝ่ายชวนคนที่งานยุ่งมาตลอดให้มาช่วยกันคิดทั้งๆที่อีกฝ่ายควรจะได้ใช้เวลาว่างที่มีไปกับการพักผ่อน


“ไม่ ของเล่นอย่างอื่นที่เคยซื้อให้เล่นแปปเดียวก็วางแล้ว แต่ถ้าเป็นหนังสือเก่าๆที่ไอ้กาลเคยเขียนให้ไปก็แทบจะไม่วางทั้งๆที่อ่านไม่ออก”


“แล้วถ้าเป็นพวกเสื้อผ้าล่ะ”


“อันนี้ก็เรื่องมากเหมือนพ่อมัน ถ้าไม่ได้เลือกเองซื้อให้ไปก็ไม่ใส่หรอก สุดท้ายก็ต้องโดนกองทิ้งไว้ในตู้ให้รามันขึ้น”


“งั้น...พวกบัตรสวนสนุก สวนน้ำแบบที่อารัณย์เคยให้ไปเมื่อคราวก่อนล่ะ”


“กูก็ว่าเข้าท่า...แต่ไอ้กาลมันชิงซื้อมาก่อนแล้ว ขนาดมันเองยังคิดไม่ออกเลย”


“ฮ่าๆ ถ้างั้นผมว่าจับคุณกาลผูกโบว์ให้ไปเลยคงง่ายกว่า หลานนิลคลั่งพ่อตัวเองขนาดนั้นไม่ต้องเสียเวลาเลยครับ”


“หึ คิดว่ากูไม่อยากทำรึไง”


นิลแสยะยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปในร้านหนังสือร้านใหญ่โดยมีนายตำรวจหนุ่มเดินตามหลังมาไม่ห่าง ร่างสูงถอนหายใจสุดท้ายปีนี้เขาคงหนีไม่พ้นต้องซื้อหนังสือให้ร่างป้อมเหมือนที่เคยทำ


“ไม่เห็นต้องคิดมากขนาดนั้นเลย ผมว่านิลให้อะไรไปน้องพีก็ดีใจทั้งนั้น”


“ดีใจน่ะก็ใช่ แต่ไม่อยากให้ของที่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ไม่ได้ใช้ เสียดายของ”


“เป็นคนละเอียดอ่อนกว่าที่คิดนะ...นิลเนี่ย”


นายตำรวจหนุ่มว่าดังนั้นก่อนจะคว้ามืออีกข้างของนิลมาจับไว้โดยที่อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ขัดขืนแต่ก็ยังส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจอยู่บ้างเพราะทำให้ตัวเองหยิบจับหนังสือไม่ถนัด ฤทธิชาติจึงต้องรับหน้าที่ใช้มือขวาของตนช่วยนิลเลือกหนังสือแทนมือข้างที่ตัวเองยึดเอาไว้


ฤทธิชาติหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาตามที่นิลสั่ง เขาใช้มือประคองสันหนังสือไว้ด้วยมือเดียวแล้วให้นิลใช้มือข้างซ้ายที่ว่างอยู่พลิกเปิดไปหน้าต่างๆเพื่อดูเนื้อหาข้างใน


“มึงปล่อยแล้วให้กูหยิบเองจะง่ายกว่าไหม เล่นอะไรบ้าๆ”


“สนุกดีออก นึกถึงตอนทำกิจกรรมฝึกความสามัคคีสมัยยังเรียนหนังสือเลย”


“ตอนเป็นนักเรียนเตรียมอะนะ?”


“อืม แต่ก็โหดกว่านี้เยอะ นึกแล้วยังสยองไม่หาย”


ชายหนุ่มพูดยิ้มๆแล้วเก็บหนังสือเล่มนั้นเข้าชั้นแล้วหยิบอีกเล่มขึ้นมาแทน หนังสือนิทานตะวันตกที่มีภาพประกอบสวยงามทำให้นิลถูกใจไม่น้อย รวมถึงคำบรรยายที่มีทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทยกำกับ ทำให้เขาคิดว่ามันดีต่อการเรียนรู้ของรพีด้วยเช่นกัน


“แล้วนิลล่ะครับ สมัยเรียนมัธยมเป็นยังไงบ้าง แสบเหมือนกับตอนนี้รึเปล่า”


“ก็ไม่เป็นไง หัวเกรียน กวนตีนชาวบ้าน ชอบหลีหญิงไปวันๆ”


“หลีหญิง? แสดงว่าเริ่มชอบผู้ชายตอนมารู้จักกับกาลหรอครับ”


“หึ ตั้งแต่สมัยมัธยมนั่นแหละ กูเรียนชายล้วน จบนะ”


นิลยักคิ้วใส่คนข้างๆก่อนตัดสินใจเลือกเอาหนังสือนิทานแบบเดียวกันไปอีกสามสี่เล่ม ฤทธิชาติยอมปล่อยมือของนิลออกแล้วรับหนังสือทั้งหมดมาถือไว้แทนแต่ก็ยังคอยมองคนข้างๆไม่ห่าง


“แสดงว่าแสบแต่เด็กจริงๆด้วยสินะ เคยคบกับใครมามากกว่ากันล่ะครับ ผู้หญิงหรือผู้ชาย”


“ถามมากจริงนะ...ไม่ได้นับหรอก แทนที่จะมานั่งเลือกว่าจะเอาผู้ชายหรือผู้หญิง ถึงเวลากูก็ไม่เลือกหรอกว่าเพศไหน ถูกใจก็คบ ไม่ต้องคิดอะไรมาก”


นิลว่าไปตามความจริงแต่ก็ยังละเรื่องบางอย่างไว้ว่าแท้จริงแล้วตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาเคยมีคนให้เรียกว่าคนรักแค่สองคนเท่านั้น หนึ่งคือแฟนสาวจากโรงเรียนหญิงล้วนในเขตเดียวกัน ส่วนอีกคนคือหญิงสาวที่รู้จักกันตอนไปฝึกงาน ถึงแม้จะบอกว่ารับได้ทั้งคู่แต่ผู้ชายส่วนมากที่เคยคบหากลับไม่เคยไปได้ไกลกว่านั้น รวมถึงฤทธิชาติที่ยังอยู่ในสถานะดูใจแม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะลึกซึ้งไปมากแล้วก็ตาม


ทั้งสองคนพากันเดินเรื่อยๆจนเวลาล่วงเลยมาถึงบ่าย ฤทธิชาติเป็นฝ่ายถือหนังสือของนิลไว้โดยที่ชุดเครื่องเขียนของเขานิลจะรับไปถือไว้แทนเพราะเบากว่า พวกเขาหยุดลงตรงหน้าร้านขายของตกแต่งบ้านที่นำเข้าจากประเทศต่างๆ นายตำรวจหนุ่มเดินตรงไปยังชุดถ้วยชามากมายที่มีเอกลักษณ์ของแต่ละถิ่นปรากฏอยู่ ส่วนนิลก็เดินแยกไปอีกทางเพื่อดูหนังสือเก่าต่างๆที่ถูกเจ้าของร้านรวมใส่กล่องไว้ซึ่งไม่ได้รับความสนใจจากลูกค้ามากนัก


“ชอบหรอครับ”


เสียงทุ้มๆดังขึ้นจากข้างหลัง นิลลุกขึ้นยืนก่อนจะหันกลับไปมองชายคนหนึ่งที่ตัวสูงใหญ่ไม่ต่างจากฤทธิชาติมากนักแต่บรรยากาศรอบๆตัวกลับไม่เหมือนกันเลย ดวงตารีเล็กภายใต้กรอบแว่นสีทับทิมกำลังยิ้มให้กับเขาเช่นเดียวกับริมฝีปาก ผิวกายสะอาดสะอ้านเหมือนคนไม่ค่อยได้ออกแดดรับกับผมรองทรงของอีกฝ่ายทำให้ดูเป็นผู้ชายอบอุ่นไม่ต่างจากบรรยากาศของร้าน


“มีอะไรรึเปล่าครับ”


“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีเห็นคุณดูเหมือนจะสนใจหนังสือพวกนี้เลยอยากเข้ามาให้คำแนะนำ”


“อ่อ ผมเป็นชอบอ่านหนังสือน่ะครับ เห็นหนังสือเก่าเป็นไม่ได้ต้องพุ่งเข้าไปหาทุกที”


นิลตอบกลับไปดีๆเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีทีท่าคุกคามอะไร ชายหนุ่มยิ้มให้เขาก่อนจะเล่าถึงที่มาของหนังสือแต่ละเล่มที่ตนได้ฟังมาจากเจ้าของเดิมที่ส่งต่อกันมาเป็นรุ่นๆ กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกพลิกเปิดไปพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังคลอเบาๆไปกับเพลงบรรเลงที่ทางร้านเปิด พวกเขาย้ายมานั่งคุยกันแถวโต๊ะและเก้าอี้ที่ตั้งโชว์โดยไม่สนใจเลยว่าลูกค้าคนอื่นจะทำยังไงหากเกิดอยากได้เก้าอี้ตัวที่ว่า แต่ก็ดูท่าจะไม่ใช่ปัญหาเพราะเจ้าของร้านเองก็ดูจะไม่แคร์อะไร


“คุณอิฐเองก็ไปมาเกือบรอบโลกแล้วเหมือนกันนะเนี่ย ขนาดผมชอบเดินทางบางที่ยังไม่เคยไปเลย”


เจ้าของร้านนามว่าอิฐยิ้มรับ ก่อนจะตอบมาด้วยเสียงทุ้มๆที่นิลคิดว่ามันน่าฟังอยู่มาก ไม่ต่างจากเพลงคลาสสิคที่เขาชอบฟัง


“ก็เรื่องงานทั้งนั้นแหละครับ ถ้าไม่ใช่ผมคงไม่คิดจะออกไปไหน มันก็สนุกดีอยู่หรอกแต่อาการเจ็ทแล็คนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย”


“ผิดกับเพื่อนผมคนหนึ่งเลยนะครับ มีอยู่ครั้งหนึ่งมันเล่าให้ฟังว่าไปเที่ยวสามประเทศที่อยู่คนละทวีปภายในอาทิตย์เดียว แทบไม่ได้นอนแต่กลับมาพูดอวดให้ฟังอย่างหน้าชื่นตาบานซะอย่างนั้น”


“จริงหรอครับ ดูท่าผมคงต้องขอเคล็ดลับดูแลตัวเองจากเพื่อนนิลบ้างซะแล้ว”


นิลพูดถึงเรื่องที่รัตติกาลเล่าให้ฟังตอนที่มันหนีพ่อแม่ไปเที่ยวสมัยซัมเมอร์ตอนที่เรียนปีหนึ่ง นักเขียนหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆโดยมีสายตาของคนที่นั่งตรงกันข้ามมองกลับมาอย่างชอบใจไม่ต่างกันนัก เจ้าของร้านรูปหล่อสำรวจคนตรงหน้าด้วยความพึงใจ การวางตัวดีทำให้นิลดูน่าค้นหาและมีเสน่ห์มากกว่าใคร เขามองนิ้วยาวที่กรีดไปตามกระดาษแต่ละแผ่นด้วยความหลงใหลแต่ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรเกินไปกว่านั้น อิฐก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อแผ่นหลังของเขาโดนสัมผัสด้วยฝ่ามือเย็นๆของใครบางคนที่ค่อยๆเลื้อยมาทางด้านหน้าจนกลายเป็นว่าเขาถูกกอดคอโดยคนที่ไม่รู้จัก


“คุยอะไรกันครับ สนุกกันใหญ่เชียว”


“มึง...เลือกของเสร็จแล้วหรอ”


นิลมองคนมาใหม่ด้วยความไม่สบายใจมากนัก ดวงตาที่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์เสมอตวัดมองเพื่อนใหม่ของเขาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นๆที่นิลไม่เคยชอบมัน


“ครับ ได้ชุดถ้วยชามาสองชุดแล้วก็โมเดลอีกนิดหน่อย แต่ตอนนี้...กำลังสนใจอยากได้เก้าอี้สักตัว”


ฤทธิชาติว่ายิ้มๆก่อนจะมองไปยังเก้าอี้ที่อิฐนั่งอยู่เพื่อสื่อความต้องการของตัวเอง ชายหนุ่มที่ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ลอบกลืนน้ำลายก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อให้คนมาใหม่ดูเก้าอี้ตัวที่ว่า แต่เขากลับไม่ได้ทำตามที่ใจหวังเมื่อมือเย็นๆของนายตำรวจหนุ่มจับเข้าที่บ่าลาดแล้วกดมันลงแรงๆจาคนที่พยายามจะลุกขึ้นต้องลงไปนั่งตามเดิมเพราะแรงกระแทก


“ชาติ...”


“ครับ?”


นิลเรียกชื่อของอีกฝ่ายเพื่อปรามการกระทำที่เขาดูออกว่าฤทธิชาติทำมันไปเพราะอะไร แต่นายตำรวจหนุ่มทำเพียงหันกลับมายิ้มให้เขาเช่นเดิม


“คิดจะทำอะไร”


“ป่าวครับ ผมแค่คิดว่าเก้าอี้ตัวที่นิลนั่งอยู่...มันสวยกว่าเท่านั้นเอง”


ยังไม่ทันที่ใครจะได้ตั้งตัว ขายาวๆของนายตำรวมหนึ่งก็ก้าวพรวดเดียวไปถึงเก้าอี้ตัวที่ว่า กล้ามแขนที่เห็นได้ชัดผ่านผ้ายืดบางๆยกเอาผู้ชายที่ตัวไม่ได้เล็กเลยสักนิดอย่างนิลขึ้นก่อนที่เจ้าของมันจะย้ายร่างของตนนั่งลงบนนั้นแทน


ฤทธิชาติยิ้มรับคำสบถของนักเขียนหนุ่มที่ดังพอจะเรียกสายตาคนทั้งร้านให้หันมามอง เขาวางนิลลงบนตักของตนพร้อมกับใช้แขนโอบรอบเอวของอีกฝ่ายไว้แล้วดึงเข้าหาตัวจนร่างสูงหมดสิทธิขยับหนีไปไหน


นิลพูดไม่ออกเมื่อตัวเองต้องมาอยู่ในท่าทางล่อแหลมที่ต่อให้เป็นคนโง่แค่ไหนคงไม่มีใครคิดว่าผู้ชายตัวโตสองคนแค่หยอกกันเล่น เขายกมือขึ้นกุมขมับเมื่อความเครียดเข้าเล่นงานจนปวดหัวจี๊ด ไม่ต่างจากอีกคนที่เผลอปล่อยหนังสือในมือตกพื้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้


“เก้าอี้ร้านนี้แข็งแรงดีนะว่าไหม”


นายตำรวจหนุ่มลอยหน้าลอยตาถามคนบนตักแต่ก็โดนอีกฝ่ายกระทุ้งศอกใส่เข้าเต็มช่องท้องแทนคำตอบ นิลจ้องมองคนเจ้าเล่ห์อย่างไม่พอใจ พลางนึกสาปแช่งความเอาแต่ใจของคนข้างล่าง


“ปล่อยเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากให้กูโกรธ”


นิลกัดฟันพูดแล้วกดเสียงต่ำ แต่ถึงอย่างนั้นอิฐที่นั่งอยู่ใกล้ๆก็ได้ยินอยู่ดี


“ช้าไปแล้วล่ะครับ...เพราะผมโกรธก่อนนิลไปแล้ว”


ฤทธิชาติยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆแล้วกระซิบข้างๆหูด้วยท่าทางน่าหวาดเสียวเสียจนคนที่แอบมองอยู่กลืนน้ำลายกันเป็นแถบๆ นักเขียนหนุ่มเผลอลืมหายใจไปห้วงหนึ่งไม่ใช่เพราะน้ำเสียงเจ้าเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์แต่เป็นเพราะกองเพลิงขนาดย่อมที่แววโรจน์อยู่ในดวงตาคู่นั่น


“...กูไม่ได้ทำอะไรผิด”


“ครับ นิลไม่ผิด...ผมสิที่ผิดเอง”


“...”


“ผิดที่ใจดีกับนิลมากเกินไป”


ร่างสูงทำหน้าเหยเกเมื่อมือที่วางอยู่รอบเอวของตนถูกบีบเข้าเต็มแรง เขาไม่กล้าพูดอะไรออกมาได้แต่ปล่อยให้ฤทธิชาติพูดคุยเรื่องราคากับเจ้าของร้านที่พูดไม่ออกตั้งแต่คนที่ตัวเองสนใจถูกแสดงความเป็นเจ้าของโดยคนที่ดูแสนจะอันตรายตรงหน้า นายตำรวจหนุ่มบอกตำแหน่งที่จอดรถของตัวเองเพื่อให้พนักงานในร้านขนเก้าอี้ตัวเจ้าปัญหาไปให้โดยที่ตัวเขาและนิลต่างก็เดินตามไปที่หลัง


ผู้หมวดหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เขายังคงยิ้มให้นิลเช่นเคยแต่ที่ต่างกันไปเห็นจะเป็นมือที่กอบกุมกันไว้นั้นไร้ซึ่งความอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครั้ง นิลอยากตะโกนด่าอีกฝ่ายว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดแต่คนข้างๆก็กำลังตกอยู่ในอารมณ์ที่แปรปรวนยิ่งกว่าฟ้าครึ้มฝนด้านนอก ร่างสูงเลยได้แต่สงบปากแล้วปล่อยให้ความเงียบกลบกองเพลิงที่ลุกโชนนั้นให้ค่อยๆมอดดับลง



แต่เขาก็คิดผิด...


:ling3:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :ling3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2015 22:42:07 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1



“อื้อ! ชาติปล่อย!!”


ทันทีที่เก้าอี้ต้นเรื่องถูกวางลงตรงกลางห้องฤทธิชาติที่ยิ้มแย้มก็หันมาขย้ำคนตัวเล็กกว่าเข้าเต็มแรง สะโพกสอบถูกรัดจนเจ็บด้วยท่อนแขนที่แข็งแรงผิดกัน นิลเชิดหน้าขึ้นหนีฟันคมของอีกฝ่ายที่กัดไล่ตั้งแต่แผ่นอกไล่ไปจนถึงปลายคาง ความรู้สึกเหมือนเนื้อโดนฉีกทึ้งทำให้ร่างสูงเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดในขณะที่มือทั้งสองข้างก็พยายามผลักอีกฝ่ายให้ห่างออกไป


“ชาติ! อึก ปล่อยกู! กูเจ็บ!!!”


“คิดว่าตัวเองเจ็บเป็นคนเดียวรึไง”


“มึงมันบ้า! เขาแค่มาแนะนำหนังสือให้ไม่ได้ทำอัปรีย์อย่างที่มึงคิดสักหน่อย!”


“หึ อย่าบอกนะว่านิลไม่รู้”


นักเขียนหนุ่มมองคนตรงหน้าที่แสยะยิ้มเย็นพร้อมกับหัวเราะในลำคอ ลิ้นร้อนลากผ่านรอยฟันที่ชำแรกเข้าไปในผิวกายจนมีเลือดไหลซึมออกมา ก้อนเนื้อสากตะวัดชิมน้ำรสคาวแล้วบดคลึงมันอยู่อย่างนั้นจนคนในอ้อมแขนร้องเสียงหลง นิลพยายามประคองสติให้มั่นคงทั้งๆที่ช่วงล่างของทั้งคู่เริ่มตื่นตัวขึ้นมาแล้ว


“อ๊ะ ชาติ กูเจ็บจริงๆนะ อึก หยุด”


“หยุดทำไม นิลออกจะชอบไม่ใช่หรอ...ดูสิ”


ฤทธิชาติบดสะโพกของตัวเองเข้าหาจนกลางกายของทั้งคู่สัมผัสกันผ่านเนื้อผ้า นิลครางหวิว ใจหนึ่งอยากถดสะโพกหนีแต่ความต้องการที่ร่ำร้องอยู่ภายในกลับทำให้เขาเบียดกายเข้าหาอีกฝ่ายอย่างลืมอาย นายตำรวจหนุ่มมองคนที่อ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟอย่างพอใจเขาใช้มือข้างหนึ่งจับปลายคางของนิลให้เชิดขึ้นเพื่อให้แววตาดื้อรั้นคู่นั้นหันมาสบกับตน


“นิลอยากให้ผมใจร้ายกับนิลหรอ”


“อ่า...ฮึก มะ มึงพูดอะไร”


“เพราะว่าผมใจดีกับนิลมาตลอดใช่ไหม นิลเลยซนปล่อยให้คนอื่นมาจ้องแบบนั้น ไม่ดีเลยรู้ไหมครับ...”


“อึก..ชาติ”


“ผมไม่อยากใจร้ายกับนิลเลยจริงๆ...ให้ตายสิ”


ถึงปากจะว่าอย่างนั้นแต่สีหน้ากลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง คนตัวโตออกแรงอุ้มนิลจนตัวลอยสูงจากพื้นอีกครั้งแล้วพาไปยังเก้าอี้ตัวที่นิลนึกเกลียดมันจับใจ


“มึงจะทำอะไร...ชาติ ปล่อย!”


กุญแจมือที่นายตำรวจหนุ่มพกติดตัวคู่กับปืนตลอดถูกหยิบออกมาใช้อย่างผิดวิธี ข้อมือบางที่ไม่ค่อยได้ใช้งานหนักของนิลถูกพันธนาการเอาไว้คู่กับที่วางแขนซึ่งทำจากไม้เนื้อดีที่ไม่มีทางพังได้ง่ายๆ ฤทธิชาติจูบลงบนกระหม่อมบางเพื่อปลอบขวัญ เขาปลดกางเกงขาสามส่วนของอีกฝ่ายออกแล้วพับมันอย่างใจเย็น


“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่ทำอะไรนิลหรอก”


“ไม่ได้ทำเหี้ยอะไร กูไม่เล่นนะเว้ย!”


“ก็...ไม่มีใครบอกว่าจะเล่นนี่ครับ...ผมเอาจริง”


กระดุมถูกแกะออกจากรังทีละเม็ดไล่จากปลายไปจนถึงคอปก คนที่ถูกตรึงไว้เกร็งหน้าท้องในทุกสัมผัสที่ลากผ่านแต่ไม่อาจส่งเสียงร้องออกมาเมื่อริมฝีปากถูกครอบครองโดยเจ้าของห้องที่ไม่ละสายตาไปจากเขาสักวินาที


นายตำรวจหนุ่มปล่อยให้เสื้อที่ถูกปลดกระดุมจนหมดของอีกฝ่ายค้างอยู่บนร่างทั้งๆแบบนั้น เขาย่อตัวคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับมองดูกางเกงในที่มีรอยเปื้อนเป็นวงแล้วยิ้มออกมาอย่างชอบใจ เพียงแค่ปลายนิ้วชีสัมผัสรอยน้ำนั้นเบาๆเจ้าของร่างก็บิดตัวเกร็งจนต้องปล่อยเสียงออกมา


“สัญญานะครับ ว่าจะไม่ดื้อเหมือนวันนี้อีก”


“อึก มึงมัน โรคจิต!!”


“ยังไม่สำนึกง่ายๆสินะ...”


เขาเปลี่ยนจากนิ้วเป็นลิ้นแทนที่แตะลงบนความโป่งพองนั้น ฤทธิชาติปลดกางเกงในของนิลออกด้วยปากแล้วฝากรอยรักไว้จนเต็มต้นขาด้านใน เขาจ้องตานิลอยู่ครู่หนึ่งแล้วคว้าเอาท่อนเนื้อสีแดงกล้ำมาประคองไว้ด้วยมือพร้อมกับนวดมันไปด้วย ลิ้นสากแตะลงบนปลายยอดแล้วค่อยๆกลืนกินมันเข้าไปโดยไม่คิดจะสวมเครื่องป้องกันใดๆ ฤทธิชาติคลายมันออกก่อนจะครอบครองมันไปใหม่สลับกันไปอยู่อย่างนั้น


“ฮึก ชาติ อึก ปล่อย ปล่อยมือกู”


ชายหนุ่มยิ้มรับแต่กลับไม่ทำตามคำขอ เขาอมนิ้วของตัวเองเสียจนชุ่มแล้วป้ายมันลงบนปากทางที่เคยเข้าไปสำรวจมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน นายตำรวจใช้ปลายเล็บสะกิดบนกลีบเนื้อก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปจนมิดข้อ นิลที่ถูกปลุกอารมณ์เสียจนเริ่มไร้สติยั้งคิดแอ่นสะโพกของตัวเองขึ้นตามสัมผัสที่ล้วงล้ำ เขายกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดที่วางแขนอีกด้านจนฤทธิชาติสามารถเห็นเบื้องล่างของเขาได้ชัดเจน


ฤทธิชาติพอใจไม่น้อยกับกริยาลืมอายของคนตรงหน้า เขางอนิ้วของตนพร้อมกับคว้านไปด้านในเป็นจังหวะสลับกับส่งให้ลึกขึ้นเพื่อสัมผัสกับความไวประสาทด้านในเรียกเสียงครางของนิลได้เป็นอย่างดี จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม นายตำรวจหนุ่มมองช่องทางด้านหลังของนิลที่เริ่มปรับตัวจนเปิดสามารถรับวัตถุแปลกปลอมไว้ได้จนน่าพอใจ


นายตำรวจหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วปลดกางเกงขายาวของตนออก นิลที่หอบจนตัวโยนปรือตามองความใหญ่โตของอีกฝ่ายด้วยความต้องการ ไม่ใช่เวลามาเล่นตัว อารมณ์ที่ถูกจุดขึ้นทำให้เขาหลงลืมไปแล้วว่าคนตรงหน้าไร้เหตุผลมากแค่ไหน ชายหนุ่มเดินไปหยิบเจลหล่อลื่นมาจากในห้องนอนแล้วบีบมันลงบนความเป็นชายของตนโดยมีนิลคอยช่วยละเลงมันด้วยมืออีกข้างที่ยังว่างอยู่


“ถ้าปกตินิลอ้อนผมอย่างนี้บ้างก็คงจะดี”


“ใครอ้อนมึง อึก รับผิดชอบกูซะ”


“ฮ่าๆ แบบนี้แหละครับที่เรียกว่าอ้อน”


ฤทธิชาติฉุดนิลให้ลุกขึ้นแล้วทิ้งร่างของตนลงบนเก้าอี้แทน นักเขียนหนุ่มมองมือที่สาวท่อนเนื้ออยู่พักหนึ่งก่อนจับตั้งเป็นลำราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง นักเขียนหนุ่มกัดฟัน เขาหันหลังให้อีกฝ่ายแล้วค่อยๆย่อตัวลงจนช่องทางที่ถูกเตรียมจนนุ่มพอดีสัมผัสลงบนความแข็งขืนนั้น


“อ๊า ชาติ ฮึก”


“ค่อยๆนะครับ อึก อย่างนั้นแหละ”


สะโพกของนิลค่อยๆกดลงมารับกลางกายของฤทธิชาติเข้าไป เขาแทบจะดึงตัวเองออกเพราะความคับแน่นที่เกินกว่าจะทนทำต่อไปได้แต่นายตำรวจหนุ่มก็ไม่ปล่อยให้เขาทำอย่างที่หวัง ฝ่ามือหยาบทั้งสองข้างประคองสะโพกของเขาไว้แล้วดึงเข้าหาตัวพร้อมกับสวนตัวเองขึ้นจนนิลแทบพูดไม่ออก ฤทธิชาติมองภาพตรงหน้าด้วยความพอใจ เขาเอนตัวเข้าหานิลแล้วใช้ฟันคมขบไปตามแนวสันหลังของอีกฝ่ายจนปรากฏรอยแดงเป็นหลักฐานของแรงอารมณ์


“อ๊าาาาา ฮึก จุก!”


นิลร้องเสียงหลงเมื่อตนสามารถรับฤทธิชาติไว้ได้ทั้งหมด คนตัวโตยกมือขึ้นปาดน้ำตรงหางตาอีกฝ่ายออกให้ก่อนเปลี่ยนมาเป็นลูบคลำบริเวณท้องน้อยที่มีไรขนรำไรขึ้นให้เห็น เขานวดมันเบาๆพร้อมกับสะโพกที่ที่ขยับเข้าออกด้วยจังหวะช้าเนิบนาบแต่มันกลับยิ่งปลุกความต้องการของนิลให้โหมแรงขึ้นอีก


“ชาติ ฮึก แรงๆ ขะ ขยับสิ”


“หึหึ นี่ผมทำโทษนิลอยู่นะ อ่า.. ขยับเองสิครับ”


“มะ มันไม่ถนัด อื้อ ชาติ ขยับ ฮึก ให้ที”


“ไม่ได้ครับ นิลนั่นแหละ ขยับซะ”


ร่างสูงหน้างอเพราะคำสั่งนั้นแต่ก็ยอมขย่มท่อนเนื้อของอีกฝ่ายเพราะไม่อาจรอคอยได้นานกว่านี้ เสียงกระทบกันของกุญแจมือและเนื้อไม้ดังคลอไปคู่กับเสียงเฉอะแฉะจากกิจกรรมเบื้องล่างและเสียงครางหวานหูของนิล  สะโพกสอบขยับระรัวโดยต้องใช้มือทั้งสองข้างจับที่วางแขนไว้แทนหลักยึดทำให้เจ้าตัวรู้สึกปวดหนึบเพราะไม่อาจชักนำตัวเองได้อย่างเคย


“ชาติ ช่วยที อ๊ะ กูปวด”


“ปวดตรงไหน อื้อ ตรงนี้หรอ”


คนชอบแกล้งลูบเบาๆบนลำน้ำที่สั่นระริก นิลครางต่ำเมื่อส่วนนั้นโดนสัมผัสแต่ก็ยังไม่สมใจพอจึงต้องเอนศีรษะไปทางด้านหลังแล้ววางมันลงบนซอกคอของอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน


“นะ กูไม่ไหวแล้ว ฮึก ชาติ”


“งั้นสัญญาก่อน ว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก อ่า ตกลงไหม”


“แต่กูไม่ผิด อ๊า ชาติ อย่าแกล้ง”


“อย่าทำให้ผมหึงอีก เข้าใจไหม...”


“อ๊าาาา!”


ฤทธิชาติพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำแล้วตบสะโพกสวนเข้าไปจนนิลต้องร้องเสียงหลง นักเขียนหนุ่มรีบพยักหน้าระรัวแล้วหันไปจูบตามสันกรามของคนคุมเกมอย่างเอาใจ แม้ในหัวจะยังนึกสาปแช่งอีกฝ่ายอยู่ก็ตาม


“ไม่ทำแล้ว อึก ชาติ ช่วยที อ่า..”


“ดีมากครับ...อย่าดื้ออีกนะรู้ไหม”


เขาคว้าเอากลางกายของนิลมาจับไว้แล้วออกแรงสาวไปพร้อมๆกับลำเนื้อของตนที่ถูกกลืนกินโดนช่องทางรักของอีกฝ่าย นักเขียนหนุ่มครางเสียงหลงด้วยเพราะจังหวะที่เร็วระรัวตามแรงอารมณ์ที่โหมขึ้นสูงกันทั้งสองฝ่าย นิลปล่อยมือออกมาข้างหนึ่งแล้วโอบรอคอของคนเบื้องล่างไว้ ก่อนจะคว้ามาจูบเพื่อระบายความกระสันโดยที่ฤทธิชาติเองก็ตอบสนองกลับไปด้วยความพอใจที่ไม่ต่างกัน


“ฮ๊า ชาติ ใกล้แล้ว”


“อื้อ พร้อมกันนะครับ อ่า อีกนิด”


ฤทธิชาตประคองทั้งสะโพกและส่วนกลางลำตัวของนิลไว้มั่นแล้วขยับทั้งรัวและแรง ร่างสูงหวีดร้องเขาเริ่ดหน้าขึ้นพร้อมกับสติที่เริ่มหลุดลอยไปเมื่อรู้สึกถึงความอัดแน่นข้างในกำลังจะปะทุออกมา แล้วในจังหวะสุดท้ายก่อนที่หยาดน้ำขาวขุ่นจะไหลเปื้อนกายของทั้งสองคนฟันคมของนายตำรวจก็ฝั่งลงบนท้ายทอยขาวของคนที่ตนหลงใหลเข้าเต็มแรง


“อ๊าาาา! ชาติ ฮึก เจ็บ!”


“นิลสัญญากับผมแล้วนะครับ...สัญญาแล้วนะ”


“อื้อ อึก อย่าเพิ่งขยับ อ่า”



“ผมไม่อยากใจร้ายกับนิลเลยจริงๆนะ...เชื่อผมสิ”



นายตำรวจหนุ่มว่าดังนั้นแล้วหยิบเอากุญแจที่วางอยู่ไม่ไกลมาปลดปล่อยข้อมือที่ถูกบาดจนเป็นแผล เขากดจูบบนขมับของคนที่มองมาอย่างตัดพ้อแต่ดวงตาดื้อรั้นที่มีน้ำตาคลอคู่นั้นกลับทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกอารมณ์ดีมากขึ้นไปอีก ร่างกายที่แข็งแกร่งลุกขึ้นก่อนจะประคองอีกคนไว้ในอ้อมแขนแล้วพาเข้าไปยังห้องนอนที่ไม่ได้ถูกใช้งาน เขาวางร่างของนิลลงบนนั้นก่อนจะนาบร่างของตนตามลงไปพร้อมกับกองไฟที่ถูกพัดโหมขึ้นอีกครั้ง


.

.

.

.

.

.

.

.


เสียงดังก๊อกแก๊กจากนอกห้องเรียกให้สติที่เลือนรางของนิลกลับคืนมา ความอบอุ่นบนผ้าปูที่นอนข้างๆตนทำให้เขารู้ว่าคนที่สร้างความเหนื่อยล้าให้ร่างกายตนตลอดคืนเพิ่งลุกออกไปได้ไม่นาน ร่างสูงพยายามยันกายขึ้นแม้เบื้องล่างจะปวดหนัก ยังดีที่ฤทธิชาติจัดการทำความสะอาดให้เขาก่อนจะหลับไปไม่อย่างนั้นความโกรธเคืองอีกฝ่ายที่ทำรุนแรงกว่าทุกครั้งคงมากกว่านี้อยู่มากโข


“ไอ้ชาติแม่ง ดุยิ่งกว่าหมา ถึกอย่างกับควาย ฝันไปเหอะมึงว่ากูจะยอมยกโทษให้ง่ายๆ”


นักเขียนหนุ่มสบถอยู่นานสองนานก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่เจ้าของห้องนำมาวางไว้ให้ตรงหัวเตียงมาหยิบขึ้นดูก่อนจะพบว่าในระหว่างที่เขากำลังทำอะไรต่อมิอะไร ได้มีเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จำได้ดีว่าเป็นใครพยายามติดต่อเขามาถึงห้าครั้ง


ชายหนุ่มกดโทรกลับในทันทีโดยที่พยายามลุกขึ้นยืนไปด้วย เขาควานหาผ้าเช็ดตัวที่ปกติผู้หมวดหนุ่มมักจะมีแขวนไว้ใกล้ๆมาถือไว้แล้วเปิดประตูออกไปข้างนอกจนสายตาปะทะเข้ากับแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ยืนทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัว


“สวัสดีครับคุณนิล”


เสียงแหบของนักสืบเอกชนที่เขาเคยจ้างวานให้สืบเรื่องบางอย่างดังขึ้นด้วยลักษณะที่กวนประสาทไม่ต่างจากเคย นิลแสยะยิ้มโดยที่อีกฝ่ายไม่มีทางมองเห็นเพราะนึกขันในความหลงตัวเองของทางนั้นที่ทำเหมือนว่าเก่งเสียเต็มประดาแต่กลับไม่เคยคว้าข้อมูลดีๆกลับมาให้เขาเลย


“ครับ โทรมามีอะไร”


“ผมจะบอกความคืบหน้าของเรื่องที่ให้ไปสืบ”


“คราวนี้อะไรอีกล่ะ ทางหนังสือพิมพ์ไม่ให้ข้อมูล หรือติดต่อไปที่ตัวแทนโครงการปลูกป่าไม่ได้”


“ดูถูกกันน่าดูเลยนะครับ แต่คงต้องบอกว่าคราวนี้คุณคิดผิด”


รอยยิ้มของนิลคลายลงเมื่อรู้สึกได้ถึงชัยชนะที่อีกฝ่ายสื่อออกมาทางน้ำเสียง เขาชำเลืองมองฤทธิชาติอยู่ครู่หนึ่งแต่ดูเหมือนคนตัวโตจะยังไม่ทันสังเกตว่าเขาออกมาจากห้องแล้วจึงถามออกไปด้วยเสียงที่ค่อยลง


“คุณรู้อะไรมา”


“เรื่องผู้ชายที่ตามเพื่อนคุณอยู่”


“...!!!”


“ผมยังไม่แน่ใจว่าเขาเป็นใคร แต่ดูจากพฤติกรรมมันไม่หวังดีแน่ๆ..."


“มันเป็นใคร...”


“บอกแล้วว่าผมไม่ทราบ แต่ถ้าได้ข้อมูลเพิ่มเมื่อไหร่จะติดต่อไปทันที”


“...”


“ระวังตัวให้มากนะครับ เขาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”


“ตื่นแล้วหรอครับนิล”


นักเขียนหนุ่มรีบกดตัดสายทันทีที่เสียงของคนตัวโตจะดังขึ้นจากทางด้านหลัง เขารีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นบึ้งตึงแต่ก็ยังรอรับจุมพิตของอีกฝ่ายอย่างไม่เกี่ยงงอน ทำเหมือนกับว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้รับรู้เรื่องคอขาดบาดตายอะไรทั้งนั้น


“ตื่นแล้วสิ กูคงละเมอเดินมามั้ง”


“ฮ่าๆ ตื่นมาก็ร่าเริงเหมือนเดิมเลยนะ”


“ร่าเริงห่าอะไร กูโกรธมึงนะเนี่ยรู้ตัวไหม ทำเหี้ยอะไรไม่มีเหตุผล”


“เหตุผลน่ะมีครับ บอกไปแล้วด้วยหรือว่าต้องให้ย้ำ”


“แบบนั้นกูไม่เรียกว่าเหตุผล กูแค่คุยกับเขาเรื่องหนังสือเฉยๆมึงนั่นแหละที่บ้า หึงห่าไปเรื่อยไม่ได้ดูเจตนากูเลย”


“ครับๆ ไม่เถียงก็ได้...แต่ก็อย่าให้เกิดขึ้นอีกนะ”


ฤทธิชาติยิ้มให้พร้อมกับลูบหัวกลมของนิลไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นร่างสูงก็ยังสังเกตเห็นแววตาร้ายกาจแบบเดียวกับเมื่อวานปรากฏอยู่ครู่หนึ่ง


“กูชักจะกลัวมึงแล้วนะชาติ ต่อไปถ้าคบกันมึงไม่ฆ่ากูหมกห้องเลยหรอวะ"


“บอกแล้วนี่ครับว่าผมไม่อยากใจร้ายกับนิล ไม่ทำหรอก คิดมากน่ะ”


“ไม่ได้คิดมาก เขาเรียกประสบมากับตัวเลยแหละ”


คนตัวโตหัวเราะร่าอย่างชอบใจก่อนจะฉุดให้นิลลุกขึ้นแล้วพาเดินไปยังโต๊ะกินข้าวที่มีอาหารสองสามอย่างวางไว้พร้อมกับข้าวสวยที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งห้อง นิลมองภาพตรงหน้าแล้วลอบกลืนน้ำลาย ตั้งแต่ทานของว่างไปในร้านกาแฟเขาก็ไม่ทานอะไรอีกเลยจึงไม่แปลกใจที่กับข้าวธรรมดาๆของนายตำรวจหนุ่มจะยั่วน้ำลายได้ถึงเพียงนี้ เขารีบเดินไปที่นั่งประจำของตนในขณะที่เจ้าของห้องก็นั่งลงบนที่ของตัวเองไปเรียบร้อย ผิดกับร่างสูงที่พอเห็นเก้าอี้ที่เปลี่ยนไปก็ถึงกับชะงัก


“นี่มันอะไรกัน”


“เก้าอี้ไงครับ มันก็เข้ากับชุดโต๊ะตัวนี้ดีเลยเอามาแทนของเก่า ไว้ว่างๆเราไปซื้อตัวที่เหลือมาด้วยดีไหม ผมชอบนะ”


“แต่กูไม่ชอบ!”


“ทำไมไม่ชอบล่ะ แข็งแรงดีออกนะ...นิลว่าไหม”


ฤทธิชาติเอ่ยยิ้มๆแล้วตักข้าวเข้าปากโดยไม่คิดรอคนที่ยืนมองมาอย่างกระฟัดกระเฟียด ภาพความทรงจำจากทั้งที่ร้านและความร้อนแรงที่เกิดขึ้นย้อนกลับมาจนใบหน้าหล่อเหล่าขึ้นสีแดงจัด นิลทั้งรู้สึกอับอายและทั้งโมโห ยิ่งเห็นท่าทางชอบอกชอบใจของเจ้าของห้องที่ทำหน้าซื่อยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ จนต้องเตะมันเข้าเต็มแรงเพื่อระบายความแค้น




โครม!!




 

“เชี้ยแม่ง! ตีนกู!!!”



---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

โฮกกกกกกกกกกกกกกกก ฉากอัศจรรย์ของคู่รองรีลีสแล้วคับบบบ  :heaven เหนื่อย!!!! และคิดว่ามันแอบปวงๆ คู่นี้ไม่SMนะ แค่คุณตำรวจชอบแกล้งนิลของเช่เท่านั้นเอง  :hao6:  :m25: เอามาให้หายคิดถึงบ้าง เป็นคู่รองที่มีไว้ดำเนินเรื่องให้คู่หลักจริงๆนะเลยต้องเรียกเรตติ้งกันหน่อย ตอนนี้NCมันออกมาสามฉากแล้ว แอบกลัวเหมือนกันว่าเช่อยากจะขายแต่ฉากอย่างนี้ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ คือถ้ามันจะมีก็มีอะ ไม่ได้เน้นอะไรหรอก อ่านกันขำๆใครไม่ชอบก็ข้ามไปเช่ไม่ซีเรียสนะ (แต่เช่ว่าคงชอบแหละ55)  :-[

ชลบุรีฝนตกหนักมากกกกกกก  :really2: เมื่อวานเช่ต้องเดินถอดรองเท้ากลับหอ คือไม่หัวทิ่มไปก่อนก็ต้องเสี่ยงว่าจะไปเหยียบอะไรจนเลือดอาบ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้  :hao5: ทรหดมากเลยชีวิต งานก็เยอะ ขี้เกียจก็ขี้เกียจเลยหนีความจริงมาเขียนนิยาย (ที่เห้นบอกว่างานเยอะแล้วมาอัพได้นี่ไม่ใช่อะไรนะคับ เช่ใช้นิยายหนีความจริง ทำให้เหมือนตัวเองว๊างว่าง555)  :katai3:

เรื่องหนังสือคำนวนราคาคร่าวๆแล้วแต่ยังไม่ประกาศเพราะจำนวนหน้าที่เขียนยังไม่แน่นอน แต่คิดว่าอีกไม่เกินสองตอนจุดพีคสุดของเรื่องจะดำเนินมาถึงแล้วคับ ความลับที่ถูกปิดไว้เผยออกมาแล้ว ส่วนคนที่จ้องรัณย์กาลตอนที่แล้วนี่เดากันไปเถอะ 5555 คนอ่านของเช่นี่เก่งขึ้นทุกวัน =w= แหะๆ ตอนหน้าก็เฉลยแหละ  :z13:

ป.ล.ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตแล้วทุกคนที่เข้าไปตอบโพลนะคับ ใครที่ยังไม่เข้าไปตอบก็เข้าไปตอบเลย เก็บข้อมูลกันยาวๆ แบบปกคร่าวๆออกมแล้วดูได้ในแฟนเพจ ตัวจิบิน่าจะได้ยลกันเดือนพ.ย. เพราะน้องคนวาดติดสอบคับ ^^ รับรองน่ารักมาก เช่รับประกัน ตอนหน้ากลับมาอยู่กับรัณย์กาลเหมือนเดิม คิดถึงพี่กาลแล้ว ฮือออออออ อยากแกล้งๆๆๆ =3=  :z2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด