Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...  (อ่าน 138551 ครั้ง)

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
อยู่ใกล้ชิดกันคุณพี่เลี้ยงต้องหลงเสน่ห์กาลแน่ๆ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ร้ายกลายดี

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กาลนอยน่ารักอะ แต่ก็น่างอนอยู่หรอก
มัแต่คนห่วงพี ไม่ค่อยมีคนห่วงกาลเลย
ชาติน่ารักมากกกกก เท่ด้วย ฟินสุด
รอตอนต่อไปนะ :z13:

ออฟไลน์ iiduckii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
กลับมาแล้วววววว (มัวแต่ติดแกล้งจุ๊บไต้หวันอยู่ :heaven )

ดีใจฝุด ก้าวหน้าไปทีละนิด ชื่นใจมากกกกกกกก รู้สึกเหมือนได้น้ำมาหล่อเลี้ยงหัวใจ ฮ่าๆๆๆๆๆ

แต่คู่รองนี่ไปไกลกว่า มีจับมงจับมืออออออ :hao7: :hao7: :hao7:

เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ รัณย์สู้ๆ กาลสู้ๆ พีสู้ๆ :กอด1: :กอด1:


ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

25th Night

…Secret...

 

 

 

ไม่ชิน...

 

 

รัตติกาลเหลือบมองโซฟากลางห้องที่กลายมาเป็นที่นั่งประจำของพี่เลี้ยงหนุ่มว่างงานผู้ซึ่งกำลังให้ความสนใจกับหนังสือแปลที่หยิบออกมาจากชั้นหนังสือใกล้ๆกัน ชายหนุ่มหันไปมองที่ประตูทันทีที่เสียงเคาะดังขึ้น ร่างบางภายใต้ชุดกระฉับกระเฉงของธิชาปรากฏขึ้นพร้อมกับกาแฟและของวางถาดใหญ่

 

“กาแฟค่ะ คุณกาล คุณรัณย์”

 

“มาครับผมช่วย”

 

ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วเป็นฝ่ายรับถาดหนักๆนั่นมาถือไว้เอง ธิชายิ้มรับอย่างยินดีก่อนจะส่งมันให้กับอารัณย์แล้วหมุนตัวออกไปจากห้องปล่อยให้บอดี้การ์ดจำเป็นเป็นคนบริการนายของเธอเหมือนเช่นทุกครั้ง มอคค่าร้อนๆถูกวางลงตรงหน้าพร้อมกับขนมอีกสองสามอย่าง อารัณย์ถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับรัตติกาลที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำจนแทบไม่ได้ลุกออกไปไหนถ้าไม่มีการเรียกประชุม เขายกส่วนของตัวเองขึ้นดื่ม แม้เครื่องดื่มร้อนๆและหนังสือในห้องจะทำให้เขาผ่อนคลายลงบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการหมกตัวอยู่แต่ในห้องมันน่าเบื่อไม่น้อย

 

“ไม่คิดจะออกไปไหนบ้างรึไง”

 

อารัณย์เอ่ยถามขึ้นหลังจากทนอุดอู้อยู่กับรัตติกาลแบบนี้มากว่าสามวัน มันเป็นเพียงแค่คำถามที่ไม่มีความกดดันใดๆอยู่ในนั้นแต่เจ้าของห้องผู้ซึ่งกำลังยกกาแฟขึ้นดื่มเช่นเดียวกันเบนสายตามองมาทางเขาด้วยท่าทางเอือมระอา

 

“ถ้าเบื่อก็กลับไปเถอะ มันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่คุณชาติว่า”

 

“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา กูแค่อยากให้มึงออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันบ้าง”

 

“ห้องนี้มีหน้าต่าง”

 

อารัณย์เบ้หน้า นี่คืออีกด้านของรัตติกาลที่เขาได้เรียนรู้มันหลังจากต้องมาทำหน้าที่ดูแลอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด เขาเคยคิดว่าชายตรงหน้าคือนักธุรกิจผู้เงียบขรึมปากร้ายและเจ้าอารมณ์นิดๆ แต่หลังจากนี้คงต้องเพิ่มว่ากวนประสาทเป็นที่หนึ่งเข้าไปด้วย รัตติกาลลอบยิ้มกริ่มรู้สึกเหมือนตนเองเพิ่งจะเอาชนะอารัณย์ได้หมาดๆ ปฏิกิริยายามอีกฝ่ายโดนเขากวนเป็นความบันเทิงเพียงหนึ่งเดียวที่หาได้จากห้องทำงานขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งนี้

 

“กูเคยเกลียดท่าทางหยิ่งๆของมึงนะ แต่ตอนนี้ชักจะคิดถึงมันหน่อยๆ”

 

“ผมก็คือผม คุณแค่ไม่รู้จักผมดีพอ”

 

รัตติกาลยักไหล่อย่างเป็นต่อ เขาหันมาให้ความสนใจกับเอกสารตรงหน้าอีกครั้งหลังจากสร้างความสำราญให้ตัวเองจนน่าพอใจ รายงานยอดตีพิมพ์ถูกส่งถึงมือธิชาทันทีที่หญิงสาวเดินทางมาถึง มันถูกตรวจสอบโดยเลขาสาวคนเก่งก่อนจะวางบนโต๊ะของรัตติกาลอย่างที่เคยทำ แม้จะอยากทุ่มกำลังทั้งหมดไปกับการจัดการคนร้ายแต่หน้าที่หลักในบริษัทก็ไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มจะละเลยไปได้ รัตติกาลอ่อนล้าแต่ก็ยังคงทำต่อไปภายใต้การสังเกตการณ์ของแขกประจำคนใหม่ที่เผลอมองด้วยความเป็นห่วง

 

อารัณย์ปล่อยให้รัตติกาลจมอยู่กับงานที่เขาไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้จากบ่ายจรดหัวค่ำ ร่างสูงดึงแฟ้มสีกรมท่าออกจากมือของอีกฝ่ายแล้วลากจูงร่างที่อ่อนล้านั้นให้เดินไปตามทางด้วยกันโดยไม่ฟังคำคัดค้านใด รถโฟล์คคันเก่ากลายมาเป็นพาหนะที่พาทั้งสองคนกลับมายังบ้าน ซึ่งกลายมาเป็นกิจวัตรที่อารัณย์ยัดเยียดให้กับรัตติกาลในช่วงสามวันมานี้แลกกับการไม่บังคับให้ร่างโปร่งต้องกลับมานอนที่บ้านเพื่อให้เขายังมีเวลาทำงานต่อได้จนดึก

 

“พ่อกาลมาแล้ว!”

 

ร่างป้อมของรพีวิ่งมากอดขาของรัตติกาลอย่างรักใคร่ ชายหนุ่มย่อตัวลงจนอ้อมแขนเล็กๆนั้นสามารถเอื้อมถึงตัวของเขาได้พร้อมกับลูบหัวกลมๆของลูกชายด้วยท่าทางเหนื่อยล้า

 

“วันนี้ยายจันทร์ทำแกงส้มที่พ่อชอบด้วย พีช่วยยายแกะกุ้งด้วยนะฮะ”

 

เด็กชายรายงานบิดาด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดจากสภาพเดิมตอนที่รัตติกาลหายหน้าไปกว่าสองอาทิตย์ คนเป็นพ่ออิจฉาลูกชายที่มีเวลาเหลือเฝือผิดจากผู้ใหญ่ พาลให้นึกถึงช่วงเวลาก่อนๆสมัยที่เขายังเรียนอยู่ชั้นมัธยมหากช่วงเย็นไม่มีกิจกรรมใดต้องทำต่อ ชายหนุ่มก็จะตรงกับบ้านเพื่อเจียดเวลามาคอยลงครัวกับจันทร์เหมือนกับรพี

 

“พีพาคุณพ่อเข้าบ้านเถอะ จะได้กินข้าวกัน”

 

อารัณย์เอ่ยขึ้นราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้าน รัตติกาลตวัดสายตามองจอมจุ้นจ้านแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะขี้เกียจจะสาวความยืด รพียิ้มรับอย่างแข็งขัน ทั้งสามคนพากันเดินเข้าไปในห้องทานอาหารซึ่งมีจันทร์กำลังกำกับให้นิ่มและลูกศรคอยจัดจานตามที่เธอบอก

 

หญิงแก่มองรอยคล้ำรอบดวงตาของเจ้านายแล้วได้แต่ถอนหายใจแล้วตักข้าวเพิ่มให้อีกฝ่ายโดยไม่ต้องรอให้ร้องขอ รัตติกาลเป็นคนดื้อเงียบ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยอมกินข้าวเปล่าเพราะโดนนายหญิงบังคับให้กินตับที่ไม่ชอบหรือตอนนี้ที่ดึงดันจะแบกรับทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองก็ไม่ต่างกันเลย

 

“ลำบากคุณรัณย์หน่อยนะคะ”

 

จันทร์แอบหลบมาพูดคุยกับอารัณย์ในขณะที่รัตติกาลขึ้นไปอาบน้ำบนห้องของตัวเองโดยมีรพีกำลังนั่งอ่านหนังสือนอกเวลารออยู่ที่ห้องรับแขกของบ้าน

 

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้”

 

“แค่นี้ก็มากพอแล้วล่ะค่ะ ถ้าไม่มีคนคอยคุมคงได้โหมงานจนล้มป่วยอีกแน่ๆ”

 

“...เขาเป็นแบบนี้บ่อยหรอครับ”

 

“ก็ไม่บ่อยหรอกค่ะ แต่คุณกาลนิสัยเหมือนคุณพ่อเธอที่ไม่ชอบทำอะไรครึ่งๆกลางๆ เวลาเกิดปัญหาก็มักจะทุ่มให้งานจนลืมดูแลตัวเองทุกที”

 

จันทร์พูดพาลให้นึกถึงวันเก่าๆ ในวัยที่เธอยังสาวและสวยกว่านี้ก็มักจะได้รับหน้าที่คอยดูแลเรื่องปากท้องคนในบ้านรวมถึงสุขภาพที่ถูกบั่นทอนไปเพราะงานของผู้เป็นนาย โดยเฉพาะคุณกนกพ่อของรัตติกาล

 

“พ่อกับแม่ของรัตติกาล...ไม่อยู่แล้วหรอครับ”

 

“ค่ะ เสียไปตั้งแต่สมัยคุณกาลเรียนมหาวิทยาลัย...เพราะเรื่องนั้นเธอเลยต้องฝืนแบกรับทุกอย่างไว้ทั้งที่ใจไม่ชอบ”

 

สีหน้าของจันทร์หม่นลงจนอารัณย์สังเกตได้ แต่ยังไม่ทันที่ร่างสูงจะได้ถามต่อ รัตติกาลในชุดเสื้อยืดกางเกงผ้าสบายๆก็เดินลงมาจากบ้านพร้อมกับกระเป๋าซึ่งใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เอาไว้ด้วย

 

“ผมไปแล้วนะครับป้า ฝากดูแลบ้านด้วย”

 

“ค่ะ คุณกาลก็ดูแลตัวเองดีๆนะคะ”

 

“ครับ...พี มาหาพ่อหน่อยสิ”

 

รัตติกาลเรียกรพีที่กำลังยืนทำหน้าปั้นยากอยู่ข้างหลังร่างกายสูงใหญ่ของอารัณย์ เด็กชายค่อยๆก้าวออกมาแล้วเดินไปหาบิดาซึ่งน้อมตัวลงมาด้านล่างเพื่อพูดคุยกับคนตัวเล็กกว่าให้ถนัด รัตติกาลล้วงหยิบของบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วยืนมันไปตรงหน้าเด็กชายที่กำลังจดจ้องสิ่งนั้นด้วยความสงสัย

 

‘รูบิค’

 

ของเล่นทรงลูกบาศ์กอยู่ในมือของรพีที่เพิ่งจะเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก รัตติกาลระบายยิ้มที่ทั้งเศร้าและอ่อนโยนให้คนตรงหน้าพร้อมกับลูบกระหม่อมของรพีเบาๆโดยมีอารัณย์สังเกตเห็นความย้อนแย้งในดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง

 

“ถ้าวันไหนที่รพีทำให้แต่ละสีไปรวมกันอยู่ในด้านเดียวกันได้เมื่อไหร่ พ่อจะกลับบ้าน...”

 

“จริงหรอฮะ”

 

“อืม...พ่อสัญญา”

 

เด็กชายยิ้มไร้เดียงสายึดถือคำมั่นนั้นแม้ว่ามันจะยากขนาดที่รพีคิดไม่ถึง รัตติกาลมองทอดสายตาไปยังแสงไฟตามถนนขณะที่เพลงสากาเก่าๆจะดังทั่วห้องโดยสารที่มีเพียงเขาและอารัณย์อยู่เพียงตามลำพัง ชายหนุ่มคิดถึงรอยยิ้มของเด็กชาย คิดถึงรอยยิ้มของผู้ชายคนนั้น และคิดถึงของสำคัญที่เขาบังเอิญเจอขณะที่กำลังค้นหาเอกสารเก่าๆภายในห้องทำงานของตัวเอง

 

“รูบิคมันยากไปสำหรับเด็กวัยห้าขวบ”

 

อารัณย์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นขณะที่กำลังติดแหง่กอยู่กลางถนนที่ตัวเลขสีแดงนับถอยหลังไปเรื่อยๆ

 

“รพีจะหกขวบแล้ว แต่ก็ยังยากไปอย่างที่คุณว่า”

 

“แล้วทำไมถึงให้สัญญาแบบนั้น”

 

“ก็แค่ให้ไป...ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก”

 

“...”

 

“คุณว่ารพีจะทำได้หรือไม่ได้”

 

รัตติกาลเงียบไปก่อนจะถามขึ้น เขายังคงมองออกไปนอกหน้าต่างปล่อยให้แสงไฟตามข้างทางอาบใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ อารัณย์เองก็กำลังจดจ้องอยู่บนตัวเลขดิจิตอลที่น้อยลงเรื่อยๆขณะที่ในหัวก็ขบคิดไปด้วย

 

“รพีจะทำสำเร็จไหมไม่สำคัญเท่ามึงอยากให้ผลลัพธ์มันออกมาแบบไหน”

 

“...”

 

“ได้เวลาที่ทุกคนต้องก้าวออกไปข้างหน้าซะที”

 

เขาว่าดังนั้นก่อนตัวเลขสีเขียวจะปรากฏขึ้น อารัณย์เข้าเกียร์แล้วออกทะยานไปข้างหน้าโดยทิ้งคำพูดกำกวมเอาไว้ น่าเสียดายที่ท้องถนนในกรุงเทพไม่สามารถทำให้ผู้ขับขี่ละสายตาจากมันไปได้ ไม่อย่างนั้นอารัณย์คงได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากของรัตติกาลเป็นแน่

.

.

.

.

.

.

.

.

 

 

รัตติกาลเป็นโรคนอนไม่หลับ...

 

นั่นคืออีกหนึ่งเรื่องที่เขาเรียนรู้เกี่ยวกับชายตรงหน้า

 

 

เป็นเวลากว่าอาทิตย์ที่อารัณย์เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในห้องทำงานของรัตติกาลแทนที่จะเป็นอพาร์ทเม้นต์หลังย่อมของตนเอง ภาพของรัตติกาลที่หาวจนปากกว้างขณะที่หลับหูหลับตาติดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองมันคุ้นตาพอๆกับภาพที่อารัณย์ส่ายหน้าอย่างระอาแล้วจัดการวางอาหารเช้าง่ายๆให้อีกฝ่าย

 

เขาเหลือบมองขวดแก้วบรรจุยาที่ช่วยให้การนอนง่ายขึ้นในลิ้นชักโต๊ะทำงานของรัตติกาล ร่างสูงเพิ่งเห็นมันนอนนิ่งอยู่ในนั้นเมื่อสองวันที่แล้วขณะรับอาสานำเอกสารบางอย่างมาส่งแทนให้เลขาสาวแล้วบังเอิญว่าลิ้นชักไม้นั่นมันเปิดค้างไว้อยู่

 

ยาเม็ดสีขาวนวลตอบคำถามที่อารัณย์แอบสงสัยได้เป็นอย่างดี ในคืนแรกที่เขาทั้งสองต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อารัณย์ซึ่งกำลังนอนอยู่บนโซฟาสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงปิดประตูแม้ว่ามันจะแผ่วเบา เขาลืมตาขึ้นกระพริบตาสองสามครั้งให้มันคุ้นชินกับความมืดแล้วพยายามสอดส่องหาต้นตอของเสียง แล้วเขาก็เห็น...

 

แผ่นหลังเปลือยเปล่าของรัตติกาลปรากฏขึ้นภายในห้องที่เขากำลังแสร้งทำเป็นว่าหลับอยู่ รัตติกาลชันขาที่อยู่ภายใต้กางเกงผ้าขายาวขึ้นมากอดไว้แล้วเหม่อมองออกไปด้านนอก หากไม่ใช่เพราะอารัณย์ยื่นคำขาดแล้วเอาเอกสารที่เขาต้องอ่านไปเก็บไว้เอง รัตติกาลคงใช้เวลานี้ทำงานฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ เขาไม่มีแรงแม้แต่จะเถียง สุขภาพมันทดถอยจนรู้สึกได้แม้ว่าจะได้อีกคนคอยดูแลเรื่องปากท้อง ร่างกายของรัตติกาลต้องการพักผ่อน...แต่กะเพราะของเขาก็ไม่สามารถทนรับยาใดๆได้อีก

 

อาการนอนไม่หลับของรัตติกาลเหมือนจะดีขึ้นในช่วงหลังเพราะต้องกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านมาพักใหญ่ แต่ทันทีที่วงจรชีวิตกลับไปเป็นแบบเดิมโรคดังกล่าวก็กลับมารุมเร้าเขาอีกครั้ง ร่างโปร่งจุดแท่งนิโคตินขึ้นสูบแล้วหวังว่าอารัณย์จะไม่ตื่นขึ้นมากลางคัน เขาวางขาลงกับพื้นข้างหนึ่งในขณะที่อีกข้างเขายังคงกอดมันไว้เพื่อใช้เป็นหลักยึด ควันสีเทาลอยฟุ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนเครื่องปรับอากาศจะทำหน้าที่ของมันได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องจนคนที่กำลังแอบมองนึกสงสัยว่ารัตติกาลแอบทำแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่

 

“พี่จะรู้ไหมว่าสิ่งที่เราสร้างมาด้วยกันมันเติบโตขึ้นจนผมเริ่มจะแบกไม่ไหว”

 

รัตติกาลรำพันกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เขาไม่ได้ร้องไห้ เขาเพียงแค่พูดลอยๆกับตัวเองหวังให้ความอัดอั้นมันบรรเทาลงไป อารัณย์นอนนิ่งจ้องมองแผ่นหลังนั้นไปเรื่อยๆจนพล่อยหลับไป

 

เช้าวันนั้นเขาตื่นเช้าขึ้นมาแล้วเป็นคนจัดการเรื่องอาหารของรัตติกาลอย่างที่รับปากกับป้าจันทร์ไว้ โจ๊กหมูใส่เครื่องในไม่ใส่ตับวางลงบนโต๊ะทำงานตัวเดิมเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้รัตติกาลที่ทำตัวเหมือนเช่นปกติชะงักไปคือไข่ลวกอีกสองฟองที่ถูกตอกใส่ลงในชามโจ๊กด้วย

 

“ไข่ช่วยบำรุงสมอง กินเข้าไปเถอะ”

 

อารัณย์บอกแค่นั้นโดยละประโยชน์เรื่องช่วยทำให้นอนหลับสบายออกไป หลังจากนั้นทุกมื้ออาหารรัตติกาลจะต้องได้กินไข่ไก่อย่างน้อยสองฟองเป็นอย่างต่ำ จนชายหนุ่มแอบกังวลว่าระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของเขาจะพุ่งสูงขึ้นเพราะมัน วันนี้ก็เช่นกัน ไข่ตุ๋นถ้วยใหญ่วางอยู่ข้างๆผัดขิงรสร้อนที่จันทร์ฝากให้เด็กในบ้านนำมาส่งให้ตั้งแต่เช้า รัตติกาลลงมือทานพร้อมกับอารัณย์ที่นั่งคอยอยู่ ซึ่งเป็นมารยาทไม่กี่อย่างที่ชายหนุ่มแสดงออกมาให้เจ้าของห้องได้เห็น

 

“ตอนมึงอาบน้ำไอ้ชาติโทรมาหา มันบอกว่าเพื่อนตำรวจมันให้ทีมสอบสวนพิเศษลงไปดูให้แล้ว”

 

“...”

 

 “แต่...ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะไม่รู้เรื่องนี้ด้วย”

 

มือที่กำลังถือช้อนชะงัก ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นสบตาอีกคู่ที่มองอยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“หมายความว่ายังไง”

 

“ไม่มีการโอนเงินที่ผิดสังเกตออกจากบัญชีพวกผู้บริหารที่นั่น แม้แต่พนักงานระดับต่างๆก็ไม่มี จะว่าง่ายๆก็...ไม่มีหลักฐานเรื่องการซื้อขายข้อมูลที่ว่านั่นเลย”

 

“มันจะต้องเป็นข้อผิดพลาด...”

 

“กูก็อยากให้มันเป็นแบบนั้น”

 

ทั้งสองคนไม่พูดอะไรออกมา แต่กำลังคิดในสิ่งเดียวกัน มันเงียบเกินไป...ไม่มีทางที่การโจรกรรมข้อมูลระดับนั้นจะไม่หลงเหลือหลักฐานทิ้งไว้เลย ไม่ว่าจะความพยายามของรัตติกาลหรือของทางตำรวจกลับไม่เจอเบาะแสที่จะชี้เป้าไปที่ใครได้ยิ่งทำให้รัตติกาลร้อนใจมากขึ้นไปอีก

 

“กาล...มึงเคยไปขัดขาใครมาก่อนไหม”

 

จู่ๆอารัณย์ก็เอ่ยขึ้น รัตติกาลที่ฟังอยู่เงียบไป ร่างโปร่งพยายามนึกขณะนิ่งอยู่สักพักก่อนจะตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงที่ติดจะกังวล

 

“คิดว่าไม่”

 

“คิดว่า? มึงพูดเหมือนไม่มั่นใจ”

 

“...”

 

“มีอะไรที่มึงอยากเล่ารึเปล่า”

 

ร่างสูงรวบช้อน เขาตั้งใจฟังโดยที่พยายามไม่กดดันรัตติกาลจนเกินไป ใบหน้าหวานคมเสไปทางอื่นเหมือนกับพยายามจะรวบรวมคำพูด

 

“กูรู้ว่ามึงยังไม่เชื่อใจกู”

 

“...”

 

“แต่กูปล่อยให้มึงแบกรับไว้คนเดียวไม่ได้”

 

 

 

‘พี่ทิ้งกาลไว้ไม่ได้’

 

‘หัดพึ่งพาคนอื่นซะบ้าง’

 

‘กาลไม่ได้อยู่คนเดียวนะ’

 

 

 

รัตติกาลหลับตาลง...เขาไม่อยากจะนึกถึงมัน ในห้องๆนี้ ช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ กาลครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับคำพูดที่ทักทอขึ้นจากความห่วงใยของชายคนนั้นเหมือนกับที่อารัณย์พยายามจะทำกับเขา

 

อารัณย์จะเหมือนนทีไหม...

 

ในหัวใจของรัตติกาลมีคำถามนี้เกิดขึ้นจนไม่รู้ตัวว่าเผลอทำหน้าตาแบบไหนออกไป อารัณย์เอื้อมมือมาแตะเบาๆลงบนหลังมือเย็นเฉียบ เขาทำเพียงเท่านั้น ไม่แม้แต่จะส่งสายตากดดันใดๆ เขาเพียงรอด้วยความอดทนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน รอจนคนที่ถูกรอเป็นฝ่ายพลิกฝ่ามือขึ้นเพื่อสัมผัสมือของเขากลับด้วยตนเอง ก่อนที่จะดึงมันกลับมาเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป

 

“เมื่อก่อน...ที่นี่ไม่ได้มีแค่ผม”

 

รัตติกาลเปรยขึ้นเบาๆพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาไม่อยากสบตาอารัณย์ตอนนี้เพราะเกรงว่าจะกลัวจนหยุดพูดไปเสียก่อน

 

“เมื่อก่อนที่นี่เป็นแค่บริษัทผลิตสื่อสิ่งพิมพ์เล็กๆที่ไม่มีลูกค้ามากนัก ผมรู้จักมันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่อักษร มันเป็นที่ที่ดีนะ...แต่เพราะการบริหารที่แย่ทำให้เขาแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินไม่ได้ บริษัทกำลังล้ม ผมจึงใช้เงินมรดกเทคโอเวอร์มาแล้วเริ่มพัฒนามันอีกครั้ง...พร้อมกับคนคนหนึ่ง”

 

“...”

 

“นที กวีวิมนตร์...นั่นคือชื่อของเขา”

 

นับเป็นครั้งแรกที่ชื่อนี้ถูกเอ่ยออกมาจากปากของรัตติกาลเอง น้ำเสียงที่สั่นพร่าสะท้อนความห่วงหาระคนเจ็บปวดไปพร้อมๆกัน อารัณย์เห็นไม่ชัดว่าดวงตาของรัตติกาลนั้นวูบไหวเพียงไหน แต่ก็ดีแล้วที่ไม่เห็น...อารัณย์รู้สึกอย่างนั้น

 

“ผมไม่ใช่นักธุรกิจที่เก่ง ถ้าเทียบกับพ่อแม่ผมคงเข้าขั้นห่วยแตกชนิดว่าถ้าพวกท่านยังไม่เสียคงไม่มีทางปล่อยให้ผมลงมาเดินบนเส้นทางนี้”

 

“แต่ดูเหมือนมึงก็ทำได้ดีนิ”

 

“ดูเหมือน...แค่เหมือนว่าจะทำได้ดี คนที่ทำได้ดีจริงๆน่ะ...คือนทีต่างหาก”

 

“...”

 

“ถ้าไม่มีเขาอยู่ด้วย...ที่นี่คงมาไม่ได้ไกลขนาดนี้”

 

รัตติกาลลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปที่ชั้นหนังสือซึ่งอารัณย์คิดว่ามันผ่านตาเขามาทั้งหมดแล้ว ร่างโปร่งไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่บนชั้น เขาเอื้อมมือไปสะกิดช่องว่างเล็กๆทางด้านหลังทำให้ซองกระดาษสีน้ำตาลอันหนึ่งหลุดออกมา

 

ชายหนุ่มวางมันลงบนโต๊ะ ภายในนั้นเป็นเอกสารอีกชุดหนึ่งนอกเหนือจากที่ทนายนเรศเก็บไว้ เป็นเอกสารที่เก็บหลักฐานการทำธุรกรรมต่างๆในนามบริษัทที่มีลายเซ็นของทั้งรัตติกาลและนทีกำกับไว้ในนามผู้ถือหุ้นที่มีเปอร์เซ็นต์เท่าๆกัน อารัณย์รับมันเปิดอ่านผ่านๆตา สิ่งหนึ่งที่เขาเห็นจากมันคือความเสี่ยงชนิดที่ว่าแม้แต่คนนอกอย่างเขาก็ยังดูออก

 

“เยอะใช่ไหมล่ะ เงินพวกนั้นน่ะ...คงมีไม่กี่คนที่กล้าเอาเงินเป็นสิบล้านไปลงทุนกับเรื่องพวกนี้”

 

“แล้วผลของมันล่ะ”

 

“...เราได้กำไรกลับมาเป็นสองเท่าในเวลาแค่สี่ปี”

 

“...”

 

“เขาทั้งฉลาดและมีโชค แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่มี...คือคุณธรรม”

 

เอกสารอีกชุดถูกยื่นให้อารัณย์ดู หมายเรียกจากศาลมากมายถูกส่งมาถึงนทีในฐานะผู้ต้องหาคดีแพ่งหลายคดี รวมคดีอาญาอย่างการหมิ่นประมาทด้วย

 

“ตอนนี้เขาอยู่ไหน อย่าบอกนะว่าติดคุกอยู่”

 

“...ตายไปแล้ว”

 

ร่างโปร่งเอ่ยออกมาพร้อมกับเค้นยิ้ม ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดมันทั้งดูตลกและน่าสมเพชเสียจนอดขำไม่ได้ อารัณย์มองสีหน้านั้นแล้วเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น

 

นทีที่เขารู้จักจากปากของคณิต ...

 

คืออดีตคนรักที่ดูท่าจะจบกับรัตติกาลได้ไม่สวย

 

นทีที่เขารู้จักจากปากรัตติกาล ...

 

คืออดีตหุ้นส่วนฝีมือดีแต่ชั่วช้า ที่รัตติกาลดูยินดีเมื่อพูดถึงการตายของเขา

 

แต่นทีคนที่เขารู้จักผ่านโปสการ์ดใบสุดท้าย...

 

คือชายที่รัตติกาลคะนึงถึงและรอคอยให้กลับมาหา

 

นทีกับรัตติกาล...ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นแบบไหนกันแน่

 

 

 

 

“แล้วปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน”

 

อารัณย์เอ่ยถามขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบไปสักพัก

 

“ก็อย่างที่เห็น ถึงเขาจะตายศัตรูที่เขาเคยไปสร้างเรื่องไว้ไม่ได้หายไปด้วย ถึงแม้ทางกฎหมายคุณนเรศจะจัดการให้หมดแล้ว แต่ถ้าเป็นนอกศาล...ผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะกลับมาทวงคืนอะไรอีกไหม”

 

สีหน้ารัตติกาลดูเครียดขึ้นเมื่อพูดถึงจุดนี้ เขาเก็บเอกสารทั้งหมดลงในซองตามเดิมแล้วใส่มันลงไปในลิ้นชักพร้อมกับลั่นกุญแจไว้อย่างเรียบร้อยเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครเข้ามาเห็น อารัณย์เหลือบมองที่ซ่อนเดิมของมันพลางนึกขำนิสัยด้านเด็กๆของรัตติกาลที่เก็บของสำคัญไว้ในที่แบบนั้น

 

“มึงควรจะบอกเรื่องนี้ให้ไอ้ชาติรู้”

 

“ผมจะติดต่อคุณนเรศแทน”

 

รัตติกาลพูดขัดออกมาทันควันแล้วหันไปจัดการอาหารเช้าต่อตามเดิม อารัณย์ขมวดคิ้ว ก่อนจะเอื้อมมือไปหยุดช้อนที่ร่างโปร่งกำลังจะยัดมันเข้าปากจนคนถูกขัดต้องขมวดคิ้วใส่ด้วยอีกคน

 

“เรื่องมันใหญ่ขนาดนี้มึงยังจะปิดอีกหรอวะ”

 

“ต่อให้ใหญ่กว่านี้ผมก็ไม่คิดจะบอกมันกับตำรวจ...คิดสิอารัณย์ว่าทำไมคนอย่างผมถึงยอมเป็นหุ้นส่วนกับคนเลวแบบนั้นได้”

 

ร่างโปร่งดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย เขาวางช้อนลงแล้วหันมาเผชิญหน้ากับอารัณย์อีกครั้งด้วยใบหน้าร้ายๆที่ร่างสูงเกือบจะลืมไปแล้วว่ารัตติกาลก็มีมันเช่นกัน

 

“คงไม่มีคนดีที่ไหนทำแบบผมหรอกอารัณย์”

.

.

:z6:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z6:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

 

‘เพื่อนมึงเป็นมาโซคิสม์หรอวะ’

 

นิลอ่านข้อความนั้นซ้ำๆก่อนจะหัวเราะลั่นจนฤทธิชาติที่กำลังดูรูปถ่ายต่างๆอยู่หันมามองด้วยความตกใจ คนตัวสูงทำสีหน้าเหมือนกับสะใจอะไรบางอย่างก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปยิกๆจนนายตำรวจหนุ่มต้องลุกขึ้นจากที่นั่งของตัวเองแล้วมายืนซ้อนอยู่ทางด้านหลังเพื่อให้เห็นว่าคนที่มาทำให้คนปากหนักของเขาหัวเราะร่าได้คือใคร

 

‘อาจจะเป็นไปได้ แต่ที่แน่ๆอย่าทิ้งรอยไว้ล่ะ ไอ้กาลมันไม่ชอบ’

 

 

 

“รู้ดีจังเลยนะครับว่าคุณกาลเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร”

 

เสียงเย็นๆของคนตัวใหญ่กว่าดังขึ้นจากทางด้านหลังจนนิลต้องละสายตาออกจากหน้าจอแล้วแหงนหน้าขึ้นไปมองจนหัวกลมของเขาปะทะเข้ากับอกแกร่งของอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ประชิดตัว

 

“ก็เพื่อนกัน”

 

“รู้ครับว่าเพื่อน ทุกทีก็บอกแบบนั้น”

 

“แล้วประชดทำซากอะไร รู้อยู่ว่ากูไม่ง้อ”

 

“ครับ นิลไม่ต้องง้อผมหรอกแค่อยู่เฉยๆเดี๋ยวผมจัดการ ‘ง้อ’เอง”

 

นายตำรวจหนุ่มว่าดังนั้นพร้อมกับยิ้มพราย เขาก้มตัวก่อนจะลงลิ้นในแอ่งหูตื้นของอีกฝ่าย ติ่งหูนิ่มอันเป็นเป้าหมายต่อไปค่อยๆถูกแทะเล็มโดยเน้นไปที่จิวเย็นๆเป็นพิเศษ นิลเอนคอไปอีกด้านน้อยๆเพื่อเปิดพื้นที่ให้คนเจ้าเล่ห์ได้จัดการตัวเขาได้ถนัดมากยิ่งขึ้น เสียงครางแผ่วๆดังอื้ออึงอยู่ภายในห้องพักส่วนตัวของฤทธิชาติที่กดจูบซ้ำๆลงบนผิวกายบริเวณต้นคอจนเป็นลายพร้อยปรากฏให้เห็น

 

“อื้อ พอแล้ว”

 

นิลห้ามเสียงเขียวเมื่อมือซุกซนของฤทธิชาติกำลังเลื้อยไปยังจุดที่อยู่ต่ำกว่าสะดือโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากเขา คนมือไวละหน้าออกจากไหล่ลาดแต่โดยดีก่อนจะสูดความหอมจากซอกคอขาวๆนั้นทิ้งท้าย ทั้งที่ใจยังอยากต่อมันให้จบ

 

“ถ้าอยากให้ผม ‘ง้อ’ ตัวเองอีก ก็พูดถึงคุณกาลบ่อยๆนะครับ”

 

“พูดมาก เป็นอะไรกับกูรึก็เปล่า”

 

นักเขียนหนุ่มยักไหล่ราวกับไม่สนใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ฤทธิชาติที่หลุดมาดเผลอชักสีหน้าเพราะคำพูดของคนที่ตัวเองยังตามจีบไม่สำเร็จย้ายลงมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกันก่อนจะคว้าเอวที่บางกว่าของตัวเองเข้ามาใกล้โดยที่นิลเองก็ไม่ได้ขัดขืน

 

“จะบอกว่านิลยอมให้ทุกคนทำแบบนี้กับนิลได้รึไง”

 

“ขอแค่กูพอใจ ก็ไม่เห็นจะมีปัญหา”

 

“อยากให้ผมงอนอีกรอบใช่ไหมเนี่ย”

 

“จะงอนจะง้อก็ตามใจ แต่อย่างที่ตกลงกันไว้ ถ้ากูไม่ปลื้มเมื่อไหร่มึงก็จบ”

 

นิลใช้มือข้างหนึ่งคว้าเอาใบหน้าคมคายของฤทธิชาติเข้ามาใกล้ก่อนจะมอบจุมพิตลงบนกลีบปากร้อนๆของอีกฝ่ายด้วยจังหวะที่เนิบนาบแต่ชวนให้รู้สึกวาบหวิว ลิ้นเล็กละเลียดเลียไปตามเพดานปากของนายตำรวจหนุ่มที่ครางฮืออย่างพอใจแล้วกัดริมฝีปากล่างเบาๆทิ้งท้ายก่อนจะถอยออกมา

 

นายตำรวจหนุ่มสบตาอีกฝ่ายอย่างเว้าวอน ความโป่งพองภายใต้เครื่องแบบสีดำเข้มทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนเกือบจะเผลอแสดงสัญชาติญาณออกมาถ้าเกิดไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ของเขากับนิลจะจบลงทันทีเช่นกัน นักเขียนหนุ่มรู้ดีว่าคนข้างกายต้องการอะไร แต่ความรู้สึกหมั่นไส้นั้นมีมากกว่าความปรารถนาทำให้นิลเลือกที่จะทำเป็นไม่เห็นแล้วเบียดร่างกายเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่รู้สำนึก

 

“กับคุณกาลผมไม่รู้ แต่นิลนี่...ซาดิสม์ของแท้เลย”

 

“แน่นอน รู้แล้วจะล้มเลิกไหมล่ะ”

 

“เลิกไม่ได้หรอกครับ สงสัยผมเองคงจะเป็นเอ็มนิดๆเหมือนกัน”

 

“ฮ่าๆเข้าท่านี่ แต่แววตามึงไม่เหมือนคนที่จะยอมสิโรราบให้กูเลยนะ”

 

นิลหัวเราะอย่างถูกใจยามที่เห็นดวงตาดุดันดังสัตว์ร้ายของนายตำรวจหนุ่มที่ไม่บ่อยนักที่จะยอมเผยออกมา ฤทธิชาติยิ้มอ่อนเมื่อเห็นคนที่เคร่งเครียดไม่แพ้เพื่อนตนเองดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย เขาปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระแล้วหยิบเอารูปภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งดูค้างไว้อยู่มาเพื่อให้นิลดูพร้อมๆกันเหมือนอย่างเช่นทุกครั้งที่เขาได้หลักฐานใหม่ๆมา

 

“มีอะไรน่าสงสัยไหม”

 

ฤทธิชาติเอ่ยถามคนที่น่าจะให้คำตอบเขาได้ดีที่สุด ถึงแม้ว่านิลจะไม่ได้เข้าไปในบริษัทบ่อยนักแต่ก็สามารถบอกถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องระวังว่าจะเป็นข้อมูลเท็จจากคนที่อาจจะเป็นสายให้กับศัตรู

 

“เท่าที่เห็นก็ดูก็เหมือนว่าจะไม่มีอะไร แถมพวกห้องสำคัญๆต้องใช้คีย์การ์ดที่แจกให้เฉพาะคนเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้”

 

“บันทึกการเข้าออกที่ว่าผมกับคุณกาลตรวจสอบแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ”

 

“ก็เพราะว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติแบบนี้ไง ถึงได้เป็นปัญหาอยู่อย่างนี้”

 

นิลพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย เขาไม่ชอบการทำธุรกิจ ไม่ชอบการแข่งขันและเล่ห์เหลี่ยมที่ถูกใช้เพื่อที่จะเป็นผู้ชนะ เขาหลับตาลงแล้วเอนซบไหล่ของอีกฝ่ายอย่างต้องการที่พึ่งพิง ถ้าไม่ใช่เพราะว่ารัตติกาลเป็นเพื่อนรักเขาคงไม่เข้ามายุ่ง ถึงแม้ข้อมูลที่ถูกปล่อยออกไปจะส่งผลกระทบถึงเขาด้วยนิลก็ไม่คิดจะสนใจ แต่ที่ยังทำก็เพราะว่าทั้งสงสารและสงสัยว่ารัตติกาลที่มีนิสัยคล้ายๆกันจะทนได้นานอีกเท่าไหร่กับสิ่งที่ฝืนมันเหลือเกิน

 

“คุณกาลเขามีศัตรูที่ไหนไหม”

 

“ไม่มีหรอก ถ้าไม่ไปเมาจนเผลอเหยียบตีนใครเขาคงไม่มีใครกล้ายุ่งกับมัน”

 

“อืม...แต่เมาแล้วไปฟาดหัวเขาเข้านี่เคยมาแล้วนะ”

 

ฤทธิชาติพูดงึมงำ จนนิลต้องหันมามองว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไรแต่นายตำรวจหนุ่มก็ยิ้มแป้นใส่แล้วจูบแก้วใสๆนั้นกลบเกลื่อนไปเพราะไม่อยากให้นิลรู้

 

“ว่าแต่ไอ้คนร้ายนี่มันก็บ้านะ บริษัทไอ้กาลใช่ว่าจะใหญ่ทำแบบนี้ไปถ้าโดนจับมันจะได้ไม่คุ้มเสีย”

 

“ทุนจดทะเบียนขนาดนั้นไม่เรียกว่าบริษัทเล็กๆหรอกนะครับนิล”

 

“เฮอะ...ฝีมือพี่นทีทั้งนั้นแหละ”

 

“นที?”

 

นิลที่เพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปากพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดออกไปแทบอยากจะจับหัวเกรียนๆของนายตำรวจหนุ่มโขกกับพื้นเพื่อให้ลืมไปมันไปซะ แต่คนรู้ทันดันคว้าข้อมือของเขาที่กำลังเลื้อยไปตามต้นคอของอีกฝ่ายไว้แน่นพร้อมกับส่งยิ้มจอมปลอมมาให้ จนกลายเป็นนิลเองที่ได้แต่เบ้หน้าอย่างไม่พอใจ

 

“ผมว่านิลยังมีเรื่องที่ต้องเล่าให้ผมฟังอยู่นะ”

 

“อย่ามาทำหน้าเอสใส่กูนะ ไหนบอกว่าตัวเองเป็นเอ็ม มาคาดคั้นกูทำไมเนี่ย”

 

“เปลี่ยนเรื่องไม่ได้ผลหรอกครับ เล่ามาเลย”

 

“ไม่เอา เรื่องของไอ้กาลกูไม่อยากยุ่ง”

 

“ยุ่งมาขนาดนี้ถอยไม่ทันแล้วล่ะครับ เล่ามาเถอะ”

 

“มันไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างเราสมควรจะเข้าไปยุ่ง”

 

“ถ้าไม่ใช่เรื่องคอคาดบาดตายนิลคงไม่พยายามปิดผมซะขนาดนี้ ผมเองก็เป็นห่วงคุณกาลไม่แพ้นิล อะไรที่ผมทำได้ผมก็อยากจะช่วย เชื่อผมเถอะนะครับ”

 

แววตาจริงจังของฤทธิชาติทำให้นิลพูดไม่ออก เขาชั่งใจ ถ้าเกิดบอกคนคนนี้ไปหลายสิ่งในอดีตคงถูกขุดคุ้ยขึ้นแม้แต่ความตายของสองคนนั้นคงถูกหยิบมาพูดถึงจนอาจสร้างแผลใจให้รัตติกาลอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นความคิดอีกด้านหนึ่งกลับบอกให้นักเขียนหนุ่มเปิดเผยเรื่องราวน้ำเน่านั่นออกไปเพราะความกังวลเกี่ยวกับคนที่อาจจะกลับมายังคงสร้างความหนักใจให้เขามาตลอดหลายเดือน

 

“ถ้ากูบอกไปอะไรจะเกิดขึ้น”

 

“...ผมก็ไม่รู้หรอกครับ มันอาจจะไม่มีอะไรดีขึ้นหรืออาจจะเลวร้ายลง แต่อย่างน้อยถ้านิลอยากระบายมันออกมา ผมก็ยินดีที่จะแบกรับมันไปกับคุณ”

 

“พูดออกมาได้ ไม่กระดากปากบ้างรึไง”

 

“ก็นิดหน่อย เขินจนตัวแดงแล้วเนี่ย อยากดูไหม”

 

“เก็บไว้ให้เด็กมึงดูเถอะ ว่าแต่บอกมึงไปแล้วกูจะได้อะไรวะ มึงน่ะได้เบาะแส กูมีแต่เสี่ยงเจอตีนไอ้กาล”

 

“เอางี้ ถ้านิลเล่าให้ผมฟัง ผมจะบอกความลับของผมให้นิลฟังสองอย่าง”

 

แววตาขี้เล่นเปลี่ยนเป็นจริงจังจนนักเขียนหนุ่มไม่อาจละสายตาจากมันไปได้ นิลไม่เคยบอกให้ฤทธิชาติรู้ว่าทุกสิ่งที่รวมกันเป็นฤทธิชาติ สำหรับเขาแล้วดวงตาคู่นั้นคือสิ่งที่น่าลุ่มหลงมากที่สุด ไวกว่าความคิด ลิ้นอ่อนนุ่มของร่างสูงก็แลบเลียบริเวณหางตาของอีกฝ่ายก่อนจะไล่ไปตามกกหู กลิ่นเนื้อหอมของผู้ชายถูกปล่อยออกมาจนนิลรู้สึกปวดกลางลำตัว

 

“ซนอีกแล้วนะ”

 

ฤทธิชาติยิ้มกริ่ม เขาพลิกตัวจนนิลที่เริ่มหายใจหอบลงมาอยู่ใต้ร่างเขาอย่างหมดท่า ฝ่ามืออุ่นลูบใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ นิลเองเมื่อรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนในสัมผัสนั้นก็เอนหน้าเข้าหาฝ่ามือของนายตำรวจหนุ่มที่หลุดยิ้มจริงใจออกมาเพราะท่าทางออดอ้อนอย่างเป็นธรรมชาติที่เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

 

“ว่าไงครับ ตกลงไหม”

 

“...อืม งั้นบอกความลับแรกมาสิ”

 

นายตำรวจหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นก็โน้มตัวลงจนริมฝีปากจรดข้างหูของอีกฝ่าย เสียงกระซิบทุ้มมีเสน่ห์ดังขึ้น ก่อนที่นักเขียนหนุ่มจะนิ่งอึ้งไปแล้วระเบิดหัวเราะในภายหลัง

 

 

 

“ผมน่ะเอ็มนิดๆ แต่ที่เหลือ....เป็นเอสทั้งหมดเลย”

 

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

เมเดย์ๆ มีการแย่งซีนกันเกิดขึ้น 5555555  :haun4: :pighaun:เกือบไปแล้ววว เกือบเขียนฉากอัศจรรย์ให้คู่รองก่อนคู่หลักไปแล้ว ไม่ต้องห่วงนะรัณย์ เช่ไม่ปล่อยให้คนด่าแกว่าเป็นพระเอกบทน้อยไปมากกว่านี้แน่ แต่ขอนะ ตอนหน้าย้อนอดีตเต็มๆเลย อดทนไปก่อนนะ หุหุ

ตอนหน้าคิดว่าจะเป็นตอนที่ตอบข้อสงสัยของใครหลายๆคนได้ว่าทำไมกาลถึงรักนทีทั้งที่มันโคตรจะเลวได้ เป็นการบ้านที่หนักสุดๆของเช่เลยคับ กับโจทย์ที่ว่าทำไมคนที่หลงรักคนเลว (ด้วยความที่เช่ไม่เคยรักคนเลว เลยออกอาการมืดแปดด้าน) ตอนหน้าอาจจะยาวที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา หรืออาจจะสั้นกว่าที่คิดก็ได้ แล้วแต่ฟิลคับ รอติดตามกันได้เลย

ปูลู เหมือนเดิม~~ ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวต หวังว่าคงจะสนุกกับนิยายเช่กันนะคับ เทอมนี้งานเยอะมาก ต้องเดินทางเข้ากทม.บ่อยๆ ปวดตับแท้ TT


  :z10: :z10: :z10:

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
รออ่านตอนหน้าเลยคะ จะได้หายสงสัยซะทีเลยพี่ นทีเนี่ยะ

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สงสารอารัณย์อะ ค่าตัวแพงเนอะ

รออ่านพาร์ทอดีตค่า เจ้มจ้นขึ้นเรื่อยๆ :hao6:

ออฟไลน์ iiduckii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตัดฉับบบบบบบบบบบบบบบบบ

โถ่ววววววววววววววววววววว กำลังจะสวยเลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :z1: :z1:

เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆๆ  o13 o13 o13

ออฟไลน์ PK13

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ดูเหมือนอารัณย์จะห่วงกาลมากขึ้นทุกทีเลยน้าาาาาา~

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

26th Night

…Broken past...

 

 

 

นที กวีวิมนตร์…คือผู้ชายที่ไม่สมควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว

 

 

รัตติกาลเปรยตามองร่างที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นบุหรี่กำลังจับจองโซฟาตัวยาวของเขาอย่างถือสิทธิ กระเป๋าเอกสารกองอยู่ในมุมหนึ่งของห้องไม่ต่างจากรองเท้าหนังมันแปลบที่ดูไม่เข้ากับคนอย่างนทีเอาเสียเลย ร่างโปร่งถอนหายใจแล้วเดินไปปิดไฟจนทั้งห้องตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง เขากลับไปซุกตัวลงในผ้านวมอุ่นๆหลังจากที่ต้องฝืนจากมันมาเพราะเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นในเวลาสองนาฬิกาของทุกๆวันจนอดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนข้างห้องที่เป็นเด็กศิลปกรรมคงกรนด่าเขาอยู่ทุกวันเป็นแน่

 

“ราตรีสวัสดิ์นะกาล”

 

เสียงทุ้มของนทีดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ รัตติกาลที่ยังคงลืมตาอยู่ค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆพลางคิดว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเคยชินกับการมีคนคนนี้มาบอกราตรีสวัสดิ์กับเขาทุกค่ำก่อนจะหายตัวไปก่อนที่เขาจะตื่นนอน

 

รัตติกาลใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างเรียบง่ายมาตลอดเวลาเกือบสามปี ภาระที่ต้องแบกรับถูกถ่ายทอดให้รุ่นน้องรับผิดชอบต่อไปจนเขาแทบจะไม่ได้โผล่หัวไปที่สโมสรนิสิตอย่างเคย เช่นเดียวกับคนรอบตัวที่เริ่มทยอยหายหน้าไปเรื่อยๆเพื่อเข้าเรียนในสาขาวิชาที่แตกต่างกัน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มีแค่คณิตกับนิลเท่านั้นที่ยังไปมาหาสู่กันอยู่ แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับรุ่นพี่ต่างคณะที่แวะเวียนมาบ่อยกว่าใคร

 

รัตติกาลไม่เคยใจอ่อนปล่อยให้เสน่ห์เหลือร้ายของนทีทำให้เขาไขว้เขว อันที่จริงต้องบอกว่าเขาเคยชินกับนิสัยหมายอกไก่ของนทีเสียจนต่อให้อีกฝ่ายจับเขาจูบกลางผับต่อหน้าผู้คนมากมายรัตติกาลก็ไม่มีอาการสะดุ้งสะเทือนจนกลายเป็นนทีนั่นแหละที่ได้แต่เบ้หน้าอย่างไม่ถูกใจในปฏิกิริยานั้นเสียเอง

 

สถานะของทั้งคู่ที่เคยเป็นมายังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของนทีและพะแพงที่ถึงเหมือนเดิมแม้จะไม่ราบรื่นอย่างเคยเพราะไม่ใช่ทุกคนจะยอมปิดปากไม่พูดถึงสิ่งที่นทีทำลับหลังแฟนสาวเหมือนอย่างรัตติกาล

 

“พี่เลิกกับทีไม่ได้...พี่รักเขา”

 

ข้อเสียอย่างหนึ่งที่ร่างโปร่งไม่ชอบใจเอาเสียเลยนั่นก็คือพี่รหัสเลือกที่จะมาปรึกษาเขาเสมอเมื่อผู้หญิงคนอื่นๆของนทีโทรมารุกราน พะแพงเข้าใจผิดไปมากโขว่าทั้งสองคนสนิทกันเพราะหลายครั้งที่เธอเห็นเองกับตาว่าข้างกายของน้องรหัสมักจะมีแฟนหนุ่มของเธอวนเวียนอยู่ใกล้ๆ

 

“เขาไม่ยอมเปลี่ยน พี่แพงก็รู้”

 

รัตติกาลจำไม่ได้ว่าพูดประโยคนี้ไปแล้วกี่สิบครั้ง แต่ที่เหมือนเดิมทุกๆครั้งคือพะแพงยังคงยืนยันจะรักนทีต่อไปทั้งที่ความเชื่อใจระหว่างสองคนนั้นเบาบางลงทุกที มีครั้งหนึ่งที่รัตติกาลต้องไปโรงพยาบาลกลางดึกเพื่อจ่ายค่ารักษาให้นทีที่ต้องเย็บแผลเพราะทะเลาะกับแฟนสาว แจกันดอกไม้ที่พะแพงเคยนำมาอวดว่าแฟนหนุ่มเป็นคนซื้อให้แตกไปพร้อมกับหัวของนทีและความอดทนที่พังทลายลงนับตั้งแต่คืนนั้น

 

เสียงโทรศัพท์ที่ไม่ใช่เครื่องของรัตติกาลดังขึ้นก่อนจะเงียบลงไปในเวลาอันสั้น ร่างที่โงนเงนเพราะความเหนื่อยล้าของนทีเดินออกไปนอกระเบียงที่เต็มไปด้วยไม้ประดับเล็กๆก่อนจะล้มตัวลงนั่งบนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบก่อนจะเริ่มต้นบทสนทนาที่ต่อให้มันแผ่วเบาแค่ไหน รัตติกาลก็ได้ยิน

 

“ทีอยู่ห้องกาล ก็แพงล็อคห้องจะให้ทีไปนอนที่ไหน!”

 

“ก็บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าช่วงนี้ต้องกลับดึก พี่เลี้ยงฝึกงานชวนไปกินเหล้าจะไม่ให้ทีไปได้ยังไง มีเหตุผลหน่อยสิวะ!”

 

“ใครพาล? แพงนั่นแหละที่พาล ทีอยู่ของทีดีๆหาเรื่องทะเลาะอยู่ได้”

 

“เออ ทีเลวเองพอใจยัง พูดอย่างงี้แพงจะหยุดใช่ไหม!”

 

“ไม่ต้องกลัวหรอกว่าทีจะไปเที่ยวกับใคร เช็คGPSอยู่ตลอดไม่ใช่หรอ หึ...”

 

“แพงแม่งพูดไม่รู้เรื่องว่ะ ถ้ายังไม่พร้อมจะคุยก็ไม่ต้องคุย แค่นี้นะ!”

 

ชายหนุ่มสบถอยู่สักพักก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง รัตติกาลหลับตาลงอีกครั้งพยายามรักษาลมหายใจให้สม่ำเสมอแม้จะรู้สึกได้ถึงแรงยวบของที่นอน เสียงแชะดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นขมที่ร่างโปร่งคุ้นเคยดี

 

“ของพี่หมด ขอยืมก่อนแล้วกัน”

 

รัตติกาลไม่ได้ตอบคำขอนั้น เขาปล่อยให้อีกฝ่ายดื่มด่ำกับความผ่อนคลายเพียงชั่วคราวไปตามลำพัง แขกที่ไม่ได้รับเชิญถดตัวขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียงอย่างถือวิสาสะ นทีหลับตาลงทั้งๆที่มวนกระดาษติดไฟยังคาที่ปากอยู่อย่างนั้น

 

“อย่ามาทำที่นอนผมไหม้ล่ะ”

 

“อืม นอนเถอะ”

 

ฝ่ามือเย็นๆของนทีสัมผัสเส้นผมของเขาอย่างแผ่วเบาอยู่อย่างนั้นแต่มันก็ไม่ได้ทำให้รัตติกาลรู้สึกเคลิบเคลิ้มแต่อย่างใด ร่างโปร่งปัดมันออกอย่างนึกรำคาญจนนทีหัวเราะออกมาเพราะกวนเขาได้ ชายหนุ่มขมวดคิ้วในความมืด พยายามไม่ต่อกรอะไรเพราะเขาเองก็เหนื่อยล้าไม่แพ้กัน รัตติกาลค่อยๆจมสู่ห้วงนิทราปล่อยให้นทีทำตามใจตัวเองอยู่แบบนั้นก่อนที่จะกลับไปล้มตัวลงนอนบนโซฟาตัวยาวเช่นเดิม

 

.

.

.

.

.

 

 

 

“โอ้ย กูอยากเปลี่ยนเมเจอร์!”

 

คณิตที่ขอบตาคล้ำขึ้นตะโกนดังลั่นก่อนจะหันไปซบไหล่ลาดของนิลอย่างหาที่พึ่ง ชายหนุ่มที่มีสภาพไม่ต่างกันมาหยิบเอาสารนุกรมเล่มหนาขึ้นมาฟาดหัวฟูๆของเพื่อนอย่างไม่ปรานีก่อนจะแย่งเอากระทิงแดงในมือของรัตติกาลไปดื่มจนเกือบหมด

 

“บ่นเหี้ยอะไรนักหนา คะแนนดีกว่าเพื่อนแล้วมาทำรวนนะมึง”

 

“เยอะกว่าแค่ศูนย์จุดห้าไม่ได้ทำให้ชีวิตกูดีขึ้นเลย คะแนนช่องอื่นกูแม่งยังกับหญ้าคา เป็นฐานให้ไอ้พวกยอดเหยียบย่ำจนตายห่าไปหมดแล้ว”

 

ชายหนุ่มโอดครวญก่อนจะบุ้ยหน้าไปทางพวกยอดที่ว่าอย่างนึกหมั่นไส้ รัตติกาลหัวเราะน้อยๆกับท่าทางของเพื่อนทั้งสอง ก่อนจะแย่งเครื่องดื่มชูกำลังจากนิลคืนมาเพื่อพบว่ามันหมดไปแล้ว

 

“เชี่ยนิลแม่ง...กูกลับห้องก่อนนะ”

 

นิลโบกมือลารัตติกาลที่บ่นกระปอดกระแปดอย่างไม่รู้สำนึก ร่างกายสูงโปร่งภายใต้ชุดนิสิตสะอาดสะอ้านเดินผ่านลานหน้าคณะไปยังรถมอเตอร์ไซด์คู่ใจโดยมีสายตาของเหล่ารุ่นน้องที่มองมาทางรัตติกาลด้วยสายตาที่มีทั้งชื่นชมและไม่ชอบใจในภาพลักษณ์ที่แสนจะเย้อหยิ่งนั้น

 

ร่างโปร่งใช้เวลาไม่นานนักเพื่อกลับมายังห้องพักไม่เล็กไม่ใหญ่ที่รัตติกาลมักจะมาคลุกตัวอยู่เป็นประจำหากไม่ต้องไปทำธุระที่อื่น รัตติกาลวางกระเป๋าสะพายคู่ใจลงบนโซฟาที่นทีเคยอาศัยนอนเมื่ออาทิตย์ก่อนก่อนจะหายตัวไปโดยไม่แม้แต่จะโผล่หัวมากวนใจเขาอย่างเคย ร่างโปร่งปลดชุดนิสิตออกก่อนจะสวมชุดลำลองง่ายๆ หยิบงานที่อาจารย์ประจำวิชาตรวจเสร็จพร้อมกับชี้จุดที่ต้องแก้ไขขึ้นมาดู เขาใช้เวลากับมันอยู่สักพักจนล่วงเข้าบ่ายคล้อย แรงสั่นจากโทรศัพท์มือถือที่ปิดเสียงไปตั้งแต่เข้าชั้นเรียนแรงขึ้นจนทำให้รัตติกาลต้องละสายตาแล้วยิ้มออกมาแล้วรีบกดรับเมื่อเห็นว่าปลายสายนั้นคือใคร

 

“แม่!”

 

“ว่าไงเจ้ากาล ทำอะไรอยู่ลูก”

 

รัตติกาลถอดแว่นสายตาของตัวเองออกก่อนจะมองใบหน้าของตัวเองที่คล้ายกับรัตนาผู้เป็นมารดาผ่านทางกระจกเงาที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ

 

“แก้งานที่อาจารย์ตรวจมาอยู่ครับ แล้วแม่ทำอะไรอยู่ กินข้าวรึยัง”

 

“กินเรียบร้อยแล้วจ๊ะ นี่แม่กับพ่อกำลังจะลงไปดูงานทางใต้พอดีเลยโทรมาหากาลก่อน กลัวลูกจะโวยวายถ้ากลับบ้านงวดนี้ไม่เจอพ่อกับแม่”

 

รัตนาพูดถึงโรงงานแปรรูปน้ำยางที่เธอและกนกผู้เป็นสามีไปลงทุนไว้ในหลายจังหวัดทางภาคใต้ ด้วยเพราะความสามารถและความต้องการที่จะช่วยอุดหนุนเกษตรกรสวนยางที่มักจะประสบปัญหาด้านการเงินเพราะราคายางตกต่ำ ทำให้กนกที่เป็นอาจารย์สอนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยเข้าไปลงทุนไว้เพื่อหากำไรและให้ความรู้กับชาวบ้านเรื่องการเพิ่มมูลค่าของยางไปพร้อมๆกัน

 

“ไปนานหรอครับ”

 

“อาทิตย์กว่าจ๊ะ พ่อเขาต้องลงมาสัมมนามหาวิทยาลัยแถวนี้ด้วยเลยอยู่ยาวเลย ว่าจะชวนกาลลงมาดูงานด้วยก็ใกล้จะสอบปลายภาคแล้วนิ ใช่ไหม”

 

“ครับ...”

 

“กาลเป็นอะไรไป คิดมากหรอลูก”

 

รัตนาพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยจนคนเป็นลูกทั้งรู้สึกสบายใจและลำบากใจในคราวเดียวกัน ตั้งแต่เด็กรัตติกาลนับถือทั้งพ่อและแม่เป็นแบบอย่างโดยเฉพาะหลักในการดำเนินชีวิตที่ทั้งสองสอนให้ลูกชายเพียงคนเดียวเรียนรู้ที่จะทำเพื่อคนอื่นอยู่เสมอ รัตติกาลตัวน้อยเติบโตขึ้นมาภายใต้ความภาคภูมิใจของพ่อแม่แต่กลับมีเพียงสองเรื่องเท่านั้นที่ร่างโปร่งทำให้ไม่ได้...นั่นคือการมีทายาทและการสานต่อธุรกิจที่เขาไม่เคยให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย

 

“กาล...ขอโทษนะแม่”

 

“อ่า...แม่สิต้องขอโทษที่เผลอเร่งรัดกาลอีกแล้ว”

 

รัตติกาลส่ายหัวทั้งที่ไม่มีทางที่ปลายสายจะมองเห็น ร่างโปร่งได้ยินเสียงพ่อและแม่คุยกันอยู่สักพัก ก่อนที่เสียงทุ้มของบิดาจะดังขึ้นแทน

 

“กาล นี่พ่อนะ”

 

“ครับพ่อ...”

 

“อย่าเข้าใจผิดคิดว่าพ่อแม่จะบังคับฝืนใจแก แกมีความฝันขอแก และพ่อกับแม่ก็เป็นกำลังใจให้แกเสมอ กาลรู้ใช่ไหม”

 

“ครับ ขอบคุณนะครับพ่อ”

 

“จริงอยู่ที่โรงงานยางมันคือธุรกิจแต่นอกเหนือจากนั้นพ่อกับแม่ก็หวังให้มันเป็นเหมือนโรงเรียนที่จะถ่ายทอดความรู้ให้ชาวบ้าน ให้เขาพึ่งพาตัวเองได้ ไม่ต้องเสียรู้นายทุนหน้าเลือดพวกนั้น”

 

“...”

 

“มันคือความฝันของพ่อและแม่ที่ไม่อยากเห็นชาวบ้านต้องลำบาก แต่พ่อก็ไม่เคยคิดจะให้แกทิ้งความฝันของตัวเอง ขอแค่สักวันหนึ่งเมื่อแกได้ทำความฝันของตัวเองจนสำเร็จแล้ว ถ้าแกเข้าใจความฝันของพ่อก็ค่อยกลับมา...พ่อรอแกได้เสมอ”

 

“กาลน่าจะมีลูกสักคน พ่อกับแม่จะได้ยกมันให้หลานแทน”

 

รัตติกาลพูดติดตลกด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูร่าเริงขึ้นจนคนเป็นพ่อยิ้มได้ เช่นเดียวกับมารดาที่นั่งฟังบทสนทนาทั้งหมดอยู่เช่นกัน

 

“โอ้ยอย่าพูดเลย อย่างกับแกจะหามาให้พ่อกับแม่ได้”

 

“หาได้สิพ่อ กาลก็ผู้ชายนะ”

 

“ผู้ชายที่หาเขยเข้าบ้านล่ะสิไม่ว่า เรื่องหลานพ่อกับแม่ทำใจนานแล้ว ต่อให้มีแล้วนิสัยเหมือนแกก็ไม่ไหวเหมือนกัน”

 

“โห่ พูดงี้กาลน้อยใจนะ”

 

“ไม่ต้องมาทำน้อยใจ พ่อรักแกนะเว้ยไอ้ลูกชาย เอ้า คุยกับแม่แกไป”

 

“ตาคนนี้นิ จะบอกรักลูกก็ทำเป็นเขิน...กาล แม่ก็รักกาลนะลูก”

 

“ครับแม่ กาลรักพ่อกับแม่นะ”

 

“จ้า กาลเป็นลูกที่พ่อกับแม่ภูมิใจเสมอนะไม่ว่าลูกจะเป็นยังไง ดูแลตัวเองดีๆ อย่าโหมอ่านหนังสือมากไปล่ะ เดี๋ยวกลับมาแม่จะผัดสะตอให้กิน”

 

“ครับกาลจะรอนะ”

 

รัตติกาลวางสายไปด้วยรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า เขาแหงนมองแผ่นที่โลกซึ่งติดอยู่บนข้างฝา หมุดเล็กๆถูกปักไว้ตามเมืองที่เขาเคยได้มีโอกาสเดินทางไปเรียนรู้เรื่องราวของผู้คนที่มีทั้งสุขสบายและลำบากปะปนกัน มันทำให้รัตติกาลเข้าใจว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงอยากช่วยเหลือคนพวกนั้น เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา...รัตติกาลยังต้องการรู้จักโลกใบนี้ให้กว้างกว่าเดิมจนถึงวันที่เขาจะสานต่อเจตนารมณ์ของบิดามารดาด้วยความสมัครใจอย่างแท้จริง

 

“รอกาลหน่อยนะพ่อ...”

 

 

 

 

 

ก๊อกๆๆ

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ณ เวลาสองนาฬิกาหลังจากที่รัตติกาลไม่ได้ยินมันมานานกว่าหนึ่งอาทิตย์ ร่างที่เหนื่อยล้าของนทียังคงยืนยิ้มให้เขาอยู่เบื้องหลังประตูบานนั้นเหมือนอย่างเคยโดยไม่มีคำอธิบายใดๆถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา

 

“ยังไม่นอนอีกหรอ”

 

“ผมควรจะเป็นคนถามพี่มากกว่า ดึกป่านนี้ทำไมถึงไม่กลับห้อง”

 

“ก็กลับมาแล้วไง...ห้องของกาล”

 

ชายหนุ่มรูปงามว่าดังนั้นก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตจากเจ้าของห้องเช่นเคย รัตติกาลถอนหายใจ ถึงแม้จะเคยชินกับนิสัยเอาแต่ใจของอีกฝ่ายแล้วแต่ก็อดที่จะเบื่อหน่ายไม่ได้ ชามสองใบถูกวางลงบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กที่เคยมีหนังสือของรัตติกาลวางอยู่ก่อนมันจะถูกย้ายไปวางบนพื้นแทน นทีลงมือแกะบะหมี่เกี๊ยวลงในชามทั้งสองใบโดยมีร่างโปร่งมองดูอยู่ห่างๆ

 

“กินดิ พี่ซื้อมาฝาก”

 

“กินเสร็จแล้วพี่จะกลับไปไหม”

 

“อย่าถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้วสิ”

 

รัตติกาลส่ายหน้าอย่างจนปัญญาจะไล่ เขาทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับนทีก่อนจะคว้าเอาบะหมี่ชามโตมากินอย่างไม่ขัดศรัทธา เส้นบะหมี่สีเหลืองนวลและหมูแดงที่หั่นจนบางยิ่งกว่ากระดาษทำให้เขาอดที่จะคิดถึงการพบกันครั้งแรกไม่ได้

 

“คราวนี้ทะเลาะอะไรกันมาอีกล่ะครับ”

 

ร่างโปร่งเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบก่อนจะคีบเกี๊ยวแบนๆเข้าปากอย่างสบายใจ ผิดกับคนโดนถามที่ขมวดคิ้วมุ้ยขึ้นมาทันที

 

“พูดแบบนี้พี่กินไม่ลงขึ้นมาจะทำยังไง”

 

“ก็ไม่ยังไง ผมกินแทนก็ได้”

 

นทีเลื่อนชามบะหมี่หลบตะเกียบของรัตติกาลที่เกือบจะคีบเอาหมูแดงแผ่นบางของเขาไปได้อย่างหวุดหวิด

 

“โหดร้ายเกินไปแล้ว ทั้งวันพี่ยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ”

 

“เฮ้อ เลิกเฉไฉแล้วตอบมาสักที ผมจะได้ทำงานต่อ”

 

รัตติกาลมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง แต่นทีก็ทำแค่ยักไหล่อย่างไม่รู้สึกรู้สา คีบกวางตุ้งเข้าปากแล้วตอบด้วยท่าทางราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

 

“ก็เหมือนเดิม พี่ไปกินเหล้ากับพี่เลี้ยงฝึกงานมาแพงเลยไล่ออกจากห้อง”

 

“ไม่ใช่เพราะพี่ไปกินเหล้าหรอกครับ ปกคอเสื้อข้างในน่ะ มีลิปสติกติดอยู่”

 

นทีดึงคอเสื้อของตัวเองดูแล้วหัวเราะออกมาเมื่อเห็นรอยแดงที่ว่า รัตติกาลมองรอยยิ้มร้ายเดียงสานั้นถอนหายใจกับสันดานที่ไม่เคยเปลี่ยนของอีกฝ่ายและการดึงดันที่ไร้ความหมายของพี่รหัสตนเอง

 

“ถ้าพี่ไม่คิดจะเลิกทำแบบนี้ อย่างน้อยก็ไปเช่าหอไว้อีกสักห้องเถอะครับ มานอนนี่ทุกวันมันรบกวนผม”

 

“ไม่เอาล่ะ อยู่กับกาลแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

 

“ไม่ดีครับ ผมรำคาญ”

 

“นี่ไง อยู่ให้กาลด่าแบบนี้ทุกวันดีจะตาย”

 

“ถ้าอยากโดนด่าก็เชิญกลับไปง้อพี่แพงที่ห้องเถอะครับ ร้องรองพี่ได้สำลักความสุขจนตายแน่”

 

“เหมือนกันซะที่ไหน กาลก็คือกาล พี่ชอบให้กาลด่าแต่กับแพงพี่ไม่ชอบ...”

 

น้ำเสียงขี้เล่นฟังดูกระด้างขึ้นในประโยคหลัง รัตติกาลสังเกตเห็นดวงตาคมเข้มคู่นั้นแสดงความไม่พอใจออกมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นแฝงด้วยความร่าเริงจอมปลอมเหมือนอย่างเคย ทำให้อดที่จะขนลุกกับความปลิ้นปล้อนของอีกฝ่ายไม่ได้

 

“นั่นมันเรื่องของพี่สองคน แต่อย่ามาทำให้ผมเดือดร้อนด้วยจะได้ไหม”

 

“เดือดร้อนยังไง? ที่แพงโทรมาด่าพี่ให้กาลฟังน่ะหรอ”

 

 “ในเมื่อรู้อยู่แล้วก็ช่วยไปเกาะคนอื่นแทนผมสักทีเถอะครับ”

 

นทีแสยะยิ้มก่อนจะเท้าคางมองใบหน้าหวานคมของรัตติกาลที่แสดงออกถึงความเบื่อหน่ายอย่างไม่ปิดบัง

 

“ถ้ารำคาญขนาดนั้น...ทำไมไม่ยุให้แพงเลิกกับพี่ไปซะล่ะ”

 

“เพราะมันไม่ใช่เรื่องของผม...”

 

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมกับนำชามบะหมี่ที่เหลือแต่น้ำไปล้างตรงมุมครัว แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลงฟอง รัตติกาลก็ถูกร่างของนทีกักขังไว้จากทางด้านหลัง ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดพวงแก้มจนร่างโปร่งรู้สึกได้ แต่ถึงอย่างนั้นรัตติกาลก็ไม่ได้แสดงท่าทางตระหนกตกใจอะไรออกมา

 

“ก็ทำให้เป็นเรื่องของกาลซะสิ...”

 

“เชิญตกนรกไปคนเดียวเถอะครับ เจอพี่แค่ชาติเดียวผมก็เอียนจะแย่”

 

“ถ้าได้อยู่กับกาล ต่อให้เป็นสวรรค์หรือนรก พี่ก็จะไป”

 

ริมฝีปากสีเข้มจดจูบบริเวณไหปลาร้าขาว นทีสูดหายใจเอากลิ่นหอมสบู่อ่อนๆเข้าไปจนชุ่มปอดก่อนจะเลื่อนมือที่เท้าอยู่กับเคาน์เตอร์มาโอบรัดร่างที่เล็กกว่าตนไม่มากไว้ รัตติกาลเอนคอหลบหนีสัมผัสพลางแกะมือของอีกฝ่ายออกไป ไม่สนใจแม้แต่เสียงหัวเราะทุ้มๆของชายหนุ่มที่ดูท่าจะถูกใจการขัดขืนของรัตติกาลอยู่ไม่น้อย

 

ในจังหวะนั้นเองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นแต่กลับไม่ใช่เครื่องของนทีอย่างเคย ร่างสูงยอมเบนตัวออกให้รัตติกาลไปรับโทรศัพท์ของตัวเองโดยที่มีเขายืนมองร่างกายสมส่วนนั้นด้วยสายตาอ่านยาก ร่างโปร่งพยายามไม่แสดงอาการอะไรออกไปมากกว่านี้โดยหวังให้นทีหยุดท่าทางคุกคามนั้นไปเอง เขาหยิบโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาดูก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อปรากฏเบอร์ของลุงนเรศทนายความส่วนตัวของบิดาปรากฏขึ้นมา

 

“สวัสดีครับลุงนเรศ”

 

“คุณกาลครับ ตอนนี้คุณกาลอยู่ที่ไหน”

 

 “ผมอยู่ที่หอครับ ลุงมีอะไรรึเปล่า”

 

“...ทำใจดีๆนะครับคุณกาล”

 

“...”

 

 

 

 

“คุณกนกกับคุณรัตนาประสบอุบัติเหตุ...

 

 

“...!!!”

 

 

“ทั้งสองคน...เสียชีวิตแล้วครับ”

 

 

รัตติกาลคิดว่าตนหูฝาด เสียงที่เคยฟังดูนุ่มนวลจากปลายสายกลับก้องกังวานจนเขาไม่อาจทรงตัวไว้ได้หากไม่มีโซฟาให้ยืนพิง มือที่ถือโทรศัพท์อยู่กำลังสั่น เขารู้แต่เขาหยุดมันไม่ได้เช่นเดียวกับแรงบีบรัดในอกที่รุนแรงราวกับมีใครกำลังจะพรากหัวใจออกไปจากเขา

 

ตุ๊บ!

 

“กาล!”

 

นทีรีบเข้ามาพยุงร่างที่ทรุดลงไปกองกับพื้น ดวงตาที่เคยหรี่มองเขาอย่างไม่ชอบใจเบิกกว้างราวกับไม่รู้ว่าควรจ้องไปทางไหน ตัวของรัตติกาลสั่นและไร้กำลังที่จะยืดหยัดขึ้นยืนด้วยตัวเอง ชายที่เคยเย้อหยิ่งเอาแต่ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับพึมพำซ้ำๆ

 

“ไม่...ไม่จริง...โกหก...ไม่จริง”

 

“กาล กาลเป็นอะไร กาล!”

 

“ไม่ใช่เรื่องจริง...พ่อกับแม่...ไม่ใช่...ต้องไม่ใช่พ่อกับแม่...โกหก”

 

นทีที่เริ่มคาดเดาเหตุการณ์ได้หยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่ปลายสายยังไม่วางไปขึ้นมาคุยเองอีกครั้งโดยมืออีกข้างหนึ่งพยายามกดใบหน้าซีดเผือกของรัตติกาลไว้กับอก ร่างสูงนิ่งไปเมื่อได้ยินรายละเอียดจากคนปลายสายที่อธิบายเขาฟังอีกครั้ง ชายหนุ่มกำมือถือในมือแน่น เขาตอบรับคำขอร้องของนเรศด้วยสีหน้าปวดร้าวไม่แพ้ลูกชายแท้ๆของคนที่เพิ่งจากไป

 

นทีวางสายก่อนจะหันมาประคองคนที่ควบคุมสติไม่ได้ให้หันกลับมามองตน แต่ก็ไร้ประโยชน์ ดวงตาของรัตติกาลไม่มีอะไรสะท้อนอยู่ในนั้นนอกจากความหวาดกลัวจับใจจนคนมองรู้สึกปวดรัดไปทั้งอก

 

“กาล...ตั้งสติไว้กาล”

 

“ไม่จริง เขาโกหก... พ่อกับแม่ไม่ได้เป็นอะไร มันโกหก!!!!”

 

รัตติกาลที่เหมือนสติหลุดรอยระเบิดอารมณ์ออกมาก่อนจะกรีดร้องอย่างทรมาน นทีไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากกอดคนที่ร้องไห้จนสั่นไปทั้งร่างเอาไว้แบบนั้น จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของจันทร์และสิทธิที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและตกใจไม่แพ้กัน

 

“คุณกาลค่ะ ฮึก เข้มแข็งไว้นะคะคุณหนูของป้า”

 

ชายหนุ่มปล่อยให้รัตติกาลที่สติเลื่อนลอยอยู่ในความดูแลของหัวหน้าแม่บ้านที่เอาแต่พร่ำเรียกหาคุณหนูของตัวเองด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ รัตติกาลซุกตัวลงกับเบาะหลังเอามือกุมหัวตัวเองไม่พูดจากับใคร ปล่อยให้น้ำตารินไหลปล่อยให้หยดน้ำจมหายไปกับเบาะ นทีที่รับหน้าที่ขับรถแทนได้แต่มองทุกอย่างผ่านทางกระจกมองหลังไม่สามารถแม้แต่จะมอบคำปลอบใดๆตลอดทางไปจนถึงสนามบิน




:katai4:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :katai4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-08-2015 10:32:55 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

นิลมองดูเพื่อนรักที่ซูบผอมลงไปมากแม้เพิ่งจะผ่านการสูญเสียมายังไม่ทันครบเจ็ดวัน รัตติกาลเอาแต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ไม่สนใจแม้แต่คนเก่าคนแก่อย่างจันทร์ที่ร้องไห้แทบขาดใจตอนร้องขอให้นายคนเดียวที่เหลืออยู่ยอมกินอาหารประทังชีวิต แต่ร่างกายที่อ่อนล้าก็ไม่เหลือแรงมากพอที่จะประคองสติไว้ได้ รัตติกาลถูกหามตัวส่งโรงพยาบาลหลังจากทรุดไปกลางพิธีสวดศพที่เต็มไปด้วยลูกศิษย์ลูกหาของทั้งกนกและรัตนาที่ต่างเดินทางมาบอกลาทั้งคู่เป็นครั้งสุดท้าย

 

“นิล...พี่สงสารกาล”

 

พะแพงพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือจนรุ่นน้องคนสนิทต้องคอยกระชับมือที่จับกันไว้อยู่ให้แน่นขึ้น ไม่แปลกหรอกที่พะแพงจะร้องไห้ แม้แต่ผู้ชายอย่างเขาก็ไม่อาจสกัดกั้นมันไว้ได้เช่นกัน รัตติกาลในตอนนี้แทบไม่หลงเหลือเค้าเดิมให้เห็น ดวงตาที่บอบช้ำลอยคว้าง ร่างที่เหมือนพร้อมจะแตกสลายนอนนิ่งไม่ขยับ รัตติกาลเอาแต่มองไปข้างหน้า ทั้งที่ความจริงแล้วตัวเองกลับจมอยู่กับที่ไม่ยอมไปไหน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรได้...ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ว่าต่อให้เข้มแข็งแค่ไหนก็พังทลายได้เช่นกัน

 

“นิล...พาแพงไปส่งที่ห้องเถอะ ดึกมากแล้ว”

 

นทีที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องพูดขึ้น โดยไม่ละสายตาไปจากร่างว่างเปล่าบนเตียงนั่น หญิงสาวหันมามองคนรักของตนด้วยความปวดร้าว เธอหันมาซุกกายลงในอ้อมแขนของนทีที่เปิดรับอยู่ก่อนแล้วพร้อมกับร้องไห้ออกมาอีกครั้งด้วยความเวทนาสุดหัวใจ ชายหนุ่มไม่พูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่ลูบเบาๆบนแผ่นหลังเล็กนั้นอย่างปลอบโยนก่อนจะพยักหน้าให้รุ่นน้องที่หันมาสบตากับตน

 

“แล้วพี่ล่ะ ไม่กลับด้วยกันหรอ”

 

“...เราทิ้งกาลเอาไว้คนเดียวไม่ได้”

 

“ถ้าอย่างนั้นผมจะอยู่เอง”

 

“นิล...มันใช่เวลาที่จะมาเถียงกันเรื่องนี้ไหม”

 

นทีพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำจนคนในอ้อมแขนเผลอสั่นด้วยความกลัว พะแพงผละออกมามองหน้าคนรักที่ดูเรียบนิ่งไม่มีทีท่าขี้เล่นอย่างเคย เธอรู้ข่าวการจากไปของพ่อและแม่น้องรหัสพร้อมๆกับนิล พวกเขาทั้งคู่รีบเดินทางไปยังวัดที่ตั้งอภิธรรมทันทีที่ศพถูกลำเลียงมาถึงกรุงเทพ วินาทีแรกที่เธอเห็นรัตติกาลที่เคยดูดีกลายเป็นเหมือนคนไร้วิญญาณที่แทบทรงตัวไว้ไม่ไหวแต่ยังดีที่มีคนรักของเธอคอยยืนอยู่ใกล้ๆด้วยท่าทางเงียบขรึมเหมือนกับตอนนี้

 

“กลับกันเถอะนิล ให้ทีอยู่คงช่วยกาลได้มากกว่าเรา”

 

พะแพงไม่ได้พูดประชด เธอจูงมือนิลแล้วพากันเดินออกไปจากห้องทั้งที่หนุ่มรุ่นน้องดูท่าไม่อยากจะทิ้งเพื่อนของตนไว้กับคนรักของเธอตามลำพัง นิลสบตากับนทีอย่างไม่ชอบใจนักแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาถอนหายใจพร้อมกับมองไปยังร่างบนเตียงนอนนั้นด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะยอมผละออกไปพร้อมกับหญิงสาวที่ไม่เคยรู้เลยว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั้นเป็นแบบไหน

 

“กาล”

 

นทีเรียกชื่อคนที่นอนไม่รับรู้อะไรด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขาลูบเบาๆตามลำแขนที่ซูบผอม รอยแผลจากการให้น้ำเกลือยังคงไม่หายดี มันทั้งแดงช้ำและยังมีเลือดซึมแต่ดูเหมือนความเจ็บปวดทางกายจะไม่สามารถทำอะไรรัตติกาลได้อีกแล้ว

 

“อยากกินอะไรไหม”

 

“...”

 

“พี่ถามว่าเราอยากกินอะไรไหม”

 

“...ออกไป”

 

“...”

 

“กูบอกให้ออกไปไง...”

 

รัตติกาลพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งและว่างเปล่าเช่นเคย นทีที่ย้ายร่างลงมานั่งบนเตียงนั้นพยายามจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของร่างโปร่งแต่ทว่าไร้การตอบสนอง

 

“ไม่ไปหรอก กาลไล่ยังไงพี่ก็ไม่ไป”

 

“ออกไป...ออกไปซะ”

 

“ไม่”

 

“ออกไป ได้โปรด...ผมอยากอยู่คนเดียว”

 

ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มคล้ายจะเอ็นดู เขาเอนตัวลงนอนข้างๆกันแล้วจับร่างของรัตติกาลให้ตะแคงข้างหันมาเผชิญหน้ากับตน

 

“โกหก”

 

“...”

 

“พูดความจริงออกมาสิ”

 

ดวงตาที่เคยว่างเปล่าเริ่มมีน้ำเอ่อคลอก่อนจะพังทลายลงมาเช่นเดียวกับความเข้มแข็งที่พยายามหลอกทุกคนแม้กระทั่งตัวเอง เสียงกรีดร้องราวกับมีใครมาพรากดวงใจออกไปจากอกดังก้องจนคนฟังรู้สึกสะท้าน แต่นทีก็ยังคงยิ้มแล้วลูบแผ่นหลังนั้นเบาๆปล่อยให้รัตติกาลได้อ่อนแอเท่าที่อยากจะทำ

 

“อย่าทิ้งผมไป ฮือ พ่อ ฮึก ผมไม่อยากอยู่คนเดียว”

 

“...”

 

“ฮึก ทำไมไม่พากาลไปด้วย...กาลไม่อยากอยู่แล้ว ฮือ...แม่พากาลไปที”

 

“ไม่ได้หรอกกาล...กาลยังไปไม่ได้”

 

“ไม่ ฮึก กาลจะไปอยู่กับแม่...กาลไม่อยากอยู่แล้วพี่...กาลไม่ไหวแล้ว”

 

นทีปาดน้ำตาให้รัตติกาลและปิดปากที่ร้องขอความตายนั้นด้วยปากของตนเอง ก้อนลิ้นนุ่มดันเอายาเม็ดเล็กเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่ายโดยไม่สนใจรัตติกาลที่เอาแต่ดิ้นคลุกคลักแล้วร้องขอให้เขาหยุดการกระทำนั้น จุมพิตที่เกลื้อไปด้วยน้ำตามันทั้งขมและทรมานแต่ในขณะเดียวกันมันกลับทำให้หัวใจที่เจ็บแปลบของรัตติกาลเต้นรัวขึ้น นทีประคองท้ายทอยของอีกฝ่ายไว้ด้วยสองมือเขากดจูบซ้ำๆ ส่งปลายลิ้นเข้าเกี่ยวรัดรัตติกาลให้รู้สึกถึงชีวิตของตนเองไว้ จนกระทั่งฤทธิ์ยาค่อยๆฉุดสติของรัตติกาลให้จมดิ่งลงทั้งที่ยังกำชายเสื้อของอีกฝ่ายแน่น

 

ภาพรอยยิ้มของพ่อและแม่

 

คำบอกรักและคำสัญญาว่าจะกลับมายังก้องอยู่ในหัว

 

แต่วันนี้...ต่อให้ร้องหาแค่ไหน...ก็คง...ไม่มีทางได้ยินอีกแล้ว

 

 

 

พ่อรักแกนะเว้ยไอ้ลูกชาย...

 

แม่ก็รักกาลนะลูก...


 

.

.

.

.

.

.

 

 

“ไอ้นิล มึงว่าช่วงนี้สองคนนั้นสนิทกันมากไปหน่อยป่าววะ”

 

คณิตถามขึ้นพลางยกน้ำสีอำพันขึ้นดื่มก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางหัวโต๊ะอีกด้านที่รัตติกาลและนทีกำลังนั่งดื่มอยู่ด้วยกัน ร่างสูงของเพื่อนสนิทผู้ซึ่งรู้สึกเช่นเดียวกันเหลือบไปมองสองคนที่ว่านั่นด้วยสายตาอ่านยาก

 

“เมื่อวานไอ้เพรียวมาเล่าให้ฟังว่าไอ้กาลมันไปงานเลี้ยงสายพี่ที แถมช่วงนี้กูก็เห็นมันมากินเหล้าด้วยกันบ่อยๆ...ตกลงระหว่างกาลกับพี่ทีมันยังไงกันแน่วะ”

 

“ไม่รู้ดิ...

 

“เอ้า แล้วทำไมมึงไม่ถามมันอะ”

 

“แล้วทำไมกูจะต้องถามมัน...ถ้ามันอยากเล่าเดี๋ยวก็พูดออกมาเอง”

 

“พูดซะกูนึกว่ามึงน้อยใจมัน แต่ว่านะเว้ย...กูว่าไอ้กาลมันแปลกๆว่ะ”

 

“แปลก? แปลกยังไง”

 

คิ้วเข้มๆของคณิตขมวดกันเป็นปม ชายหนุ่มทำสีหน้าลำบากใจอยู่สักพักขณะที่มองไปเห็นรัตติกาลกำลังโน้มหน้าไปต่อไฟจากรุ่นพี่ต่างคณะแบบมวนต่อมวนไม่พึ่งไฟเช็ค เขาถอนหายใจก่อนตัดสินใจพูดสิ่งที่กังวลออกมาให้เพื่อนฟัง

 

“ตั้งแต่พ่อแม่เสีย กูว่ามันทำอะไรไม่ค่อยคิดว่ะ อย่างบุหรี่เมื่อก่อนมันไม่เคยเอามาสูบที่มอแต่เดี๋ยวนี้แม่งหยิบบ่อยกว่าโทรศัพท์อีก ไหนจะเรื่องผู้ชาย คราวก่อนแม่งไปล่อเด็กไอ้โต้งมา ไอ้ห่านั่นไม่ตามมากระทืบกาลมันก็บุญแล้ว”

 

“มันคงสับสนนั่นแหละ...ให้เวลามันหน่อยเถอะ”

 

“เรื่องนั้นมันไม่ใช่ปัญหา กูกลัวแค่มันจะทำอะไรรุนแรงกว่านี้ กูกลัวพี่ทีมันจะพาไอ้กาลไปเสียคน”

 

“ดูท่ามึงจะอคติกับพี่แกน่าดูเลยเนอะ”

 

คณิตยิ้มแหย ถึงจะผ่านมาเกือบปีแต่ชายหนุ่มก็ยังคงไม่ลืมเรื่องที่ตนได้ยินในห้องน้ำวันนั้น จริงอยู่ที่เขาไม่เคยเข้าไปยุ่งแต่คณิตก็แอบสังเกตท่าทีของทั้งสองคนมาตลอด เขาเคยมั่นใจว่ารัตติกาลจะไม่มีทางหักหลังพี่รหัสตัวเองมาคบกับนที แต่ตอนนี้คณิตไม่สามารถพูดได้เต็มปากอีกแล้วว่ารัตติกาลจะไม่เล่นด้วย...

 

“กูแค่ไม่อยากเห็นมันเจ็บ”

 

“เราทำอะไรไม่ได้หรอก...สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับว่าไอ้กาลมันจะเลือกอะไร”

 

“มึงไม่เป็นห่วงมันบ้างหรอวะไอ้นิล...”

 

ดวงตาเรียวมองไปยังก้อนน้ำแข็งที่ค่อยๆละลายเพราะเครื่องดื่มรสร้อนแรง เช่นเดียวกับสิ่งรอบตัวที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ไม่ใช่แค่รัตติกาลที่เสียหลัก แม้แต่นที พะแพง และตัวเขาเองก็กำลังยืนอยู่ในจุดที่ต้องตัดสินใจเช่นกัน

 

“ห่วง...แต่ชีวิตกูไม่ได้มีแค่มันคนเดียวให้แคร์”

 

“...พวกมึงแม่งเข้าใจยากเกินไปป่าววะ”

 

นิลยิ้มให้เพื่อนที่กำลังเกาหัวตัวเองเพราะจนปัญญาที่จะเข้าใจ เสียงแก้วกระทบกันดังขึ้นอีกครั้งก่อนบทสนทนาทั้งหมดจะถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่นแทน ในขณะที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าชายสองคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอีกด้านได้หายไปตั้งแต่วงดนตรีสดยังไม่เริ่มขึ้นแสดง

 

“อื้อ กาล เบาๆหน่อย”

 

เสียงฝาชักโครกดังเป็นจังหวะคลอกับลมหายใจหอบต่ำของทั้งสองคนที่กำลังโยกกายเข้าหากันอยู่ภายในห้องแคบๆ นทีเหม่อมองควันบุหรี่สีเทาที่ลอยฟุ้งโดยไม่คิดจะสนใจประตูห้องน้ำที่สั่นไหว เขาเปลี่ยนมายืนพิงกำแพงอีกด้านแทนแต่ก็ยังปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น นทียืนฟังอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเสียงคราวหวิวของรัตติกาลจะกระชั้นขึ้นแล้วหยุดลง เขาส่งยิ้มให้ชายหนุ่มเจ้าของสีหน้าแดงระเรื่อที่เพิ่งเดินออกมาโดยไร้เงาของคนที่นทีกำลังเฝ้ารอ

 

“อ้าวที มายืนทำอะไรตรงนี้เนี่ย”

 

“มายืนฟังคนเอากัน”

 

“บ้า หึหึ ที่หลังไม่ต้องแอบฟังนะ บอกตรงๆเดี๋ยวเราทำให้”

 

“สัส ขนลุก มึงจะไปไหนก็ไปไป”

 

เขาเบ้หน้าพลางโบกมือไล่เกย์สาวที่คุ้นเคยกันดีโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้คิดโกรธเคืองการกระทำหยาบคายนั้นหนำซ้ำยังหัวเราะร่าออกมาอย่างชอบใจเมื่อได้แหย่เสือร้ายอย่างนทีที่ช่วงนี้เอาแต่ตามติดรัตติกาลจนเขาลือกันไปทั่วถึงความสัมพันธ์อันเป็นปริศนาของทั้งสองคน

 

“สบายตัวรึยังล่ะ”

 

ชายหนุ่มเอ่ยกับคนที่กำลังนั่งไขว้ห้างอยู่บนฝาชักโครกโดยที่ยังไม่ได้รูดซิปกางเกงให้เรียบร้อย นทีชำเลืองมองกลางกายสีแดงกล่ำที่ยังคงมีร่องรอยความเปียกชื้นหลงเหลืออยู่ด้วยสายตาขี้เล่น

 

“ไอ้โรคจิต”

 

รัตติกาลลุกขึ้น เขาเดินผ่านนทีไปก่อนจะหยุดลงตรงหน้าอ่างล้างมือแล้วจัดการทำความสะอาดคร่าวๆโดยมีเจ้าโรคจิตคนที่ว่าจดจ้องอยู่ทุกอิริยาบถ ร่างโปร่งรับผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินที่อีกฝ่ายอื่นมาให้เช็ดมืออย่างไม่อดออด แม้แต่การหลบเลี่ยงปลายคางแหลมที่กำลังเกยอยู่บนไหล่เขาก็ไม่คิดจะทำ

 

“ให้พี่ยืนรอตั้งนาน เมื่อยจะแย่”

 

“ใครใช้ให้รอ ถ้าว่างนักก็กลับไปหาพี่แพงซะ โทรจิกขนาดนั้นไม่สงสารเขาบ้างรึไง”

 

“เดี๋ยวก็กลับแล้ว แต่ต้องพากาลไปส่งห้องก่อน”

 

“ผมกลับเองได้ เลิกตามประคบประหง่มผมสักที แค่นี้คนเขาก็คิดว่าพี่เปลี่ยนมาชอบประตูหลังกันหมดแล้ว”

 

นทีหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินเข้าไปกอดคออีกฝ่ายแล้วถือวิสาสะลากออกมาจากร้าน เขานั่งลงประจำที่คนขับในขณะที่รัตติกาลเอนกายลงบนเบาะข้างๆกัน กลิ่นเมทอลที่หลงเหลืออยู่จางๆแม้ตอนนี้จะไม่มีใครจุดบุหรี่ขึ้นสูบไม่เป็นปัญหาต่อสิงห์อมควันอย่างรัตติกาลแต่อย่างใด ผิดกับแฟนสาวที่มักจะทนไม่ได้เสมอเมื่อต้องโดยสารรถคันนี้จนหลังเบาะคนขับนั้นเต็มไปด้วยสเปรย์ดับกลิ่นที่หญิงสาวจัดหาเอาไว้ให้แต่นทีกลับไม่เคยคิดใช้มัน

 

“เรื่องโรงงานยางตอบลุงนเรศไปรึยัง”

 

สิ่งที่นทีเอ่ยขึ้นไม่เพียงแค่ทำลายความเงียบแต่มันกลับทำลายอารมณ์ที่ดีขึ้นนิดหน่อยของรัตติกาลลงด้วยเช่นกัน

 

“ถ้าจะพูดเรื่องนี้ก็ช่วยจอดป้ายหน้าให้ด้วย”

 

“ก็ไม่อยากจะพูดหรอกแต่ลุงแกฝากให้พี่มาถามกาล”

 

“หึ ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

“ก็ตั้งแต่คนแถวนี้ไม่ยอมกลับบ้านแถมไม่รับโทรศัพท์จนเขาต้องโทรมาหาพี่แทน ให้ตายสิ แค่แพงคนเดียวก็จะบ้าอยู่แล้ว ทนายบ้านกาลนี่น่ารำคาญใช้ได้เลยนะ”

 

“งั้นที่หลังก็ไม่ต้องรับ บล็อคเบอร์ไปเลยก็ได้”

 

“อยากจะทำอย่างนั้นอยู่หรอกแต่กลัวว่าคราวนี้จะโดนบุกมาถึงห้องแทน ยิ่งใกล้วันเปิดพินัยกรรมแล้วทางนั้นไม่ยอมปล่อยกาลไปแน่ๆ”

 

“...”

 

“เลิกหนีได้แล้วมั้ง”

 

ริมฝีปากสีแดงช้ำเม้มเข้าหากันแน่น รัตติกาลมองออกไปนอกหน้าต่างไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำแนะนำที่คนข้างๆให้มาเพราะตัวเขาเองก็รู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำมันไร้สาระแค่ไหน ร่างโปร่งขบคิดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเสียงปิดประตูห้องดังขึ้นเรียกสติ เขาหมุนตัวกลับไปมองแขกผู้มาเยือนถือวิสาสะหยิบน้ำในตู้เย็นมาดื่มโดยไม่ใช้แก้วก่อนจะหันมายื่นมันให้กับรัตติกาลโดยไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย

 

“ผมถึงห้องแล้ว พี่จะไปไหนก็ไปเถอะ”

 

“คืนนี้จะนอนนี่ กลับห้องไปตอนนี้โดนแพงเขวี้ยงรองเท้าใส่แน่ๆ”

 

“พรุ่งนี้ฝึกงานวันสุดท้ายไม่ใช่รึไง ถนนหน้าหอผมรถโคตรติดเดี๋ยวก็ไปไม่ทัน”

 

“ก่อนหน้านี้ยังไปได้เลยไม่ต้องมาอ้าง คิดจะออกไปนอนกับคนอื่นอีกอย่าคิดว่าพี่ไม่รู้”

 

รัตติกาลมองหน้าคนรู้ทันที่ส่งยิ้มมาให้แต่ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยเลย นทีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา มือหยาบที่แข็งดังคีมเหล็กบีบลงบนไหล่ลาดเบาๆแต่ร่างโปร่งรู้ดีว่าคนคนนี้กำลังอารมณ์เสีย...มันคือคำเตือนว่าเขาสมควรหยุดพยศแล้วตั้งใจฟังในสิ่งที่นทีกำลังจะพูด

 

“ต่อให้พินัยกรรมเปิดไม่ได้เพราะกาลไม่ยอมไปฟัง ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อกับแม่ของกาลยังมีชีวิตอยู่”

 

นทีไม่มีอ้อมค้อม คำพูดที่เปรียบได้กับหมัดฮุคกระแทกใจคนฟังเข้าอย่างจังจนนัยน์ตาที่ดูเย็นชาเปลี่ยนเป็นสั่นไหวเหมือนกับคืนที่รัตติกาลกอดผู้ชายคนนี้ร้องไห้

 

“ผมไม่อยากได้...ทั้งเงิน ทั้งความฝันที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้...ผมเกลียดมันจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”

 

“...”

 

“สานต่อแล้วยังไง มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าสุดท้ายพ่อกับแม่ไม่ได้อยู่ดูความสำเร็จของผม ผมเคยคิดจะรักษามันเพื่อเขา...แต่ไม่มีแล้วพี่ เหตุผลที่ผมจะเดินต่อไปน่ะ...มันไม่มีแล้ว”

 

รัตติกาลพูดด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวดระคนกับสมเพชตัวเอง เขายังจำคำที่ให้สัญญากับตัวเองได้ว่าสักวันเขาจะสานต่อรอยเท้านั้นแต่สุดท้ายมันกลับพังลงมาจนเขาไม่อยากเดินต่อ รัตติกาลไม่เข้มแข็งพอที่จะยิ้มรับมันได้อย่างหน้าชื่นตาบานแล้วใช้ชีวิตทั้งหมดที่เหลือไปกับซากความฝันอันปรักหักพังของพ่อแม่

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ทิ้งมันไป”

 

“...!”

 

“ถ้าความฝันของพ่อแม่ที่ว่ามันขวางทางจนกาลเดินต่อไปไม่ได้ ก็แค่หันหลังแล้วเดินออกมาซะ สานต่อแทนพ่อแม่หรอ หึ บ้ารึเปล่า”

 

ร่างสูงคลายมือที่บีบหัวไหล่ออกก่อนจะเปลี่ยนมากอบกุมมือทั้งสองข้างของรัตติกาลไว้แน่น ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน มันไม่ใช่ความมั่นคงหรือจริงจังที่ทออยู่ในนั้น แต่เป็นความอ่อนโยนในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนจากชายผู้นี้ ความอ่อนโยนที่สั่นไหวได้แม้กระทั่งภูเขาสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ในหัวใจของรัตติกาล

 

“ชีวิตที่ต้องพยายามเพื่อคนอื่นน่ะ...น่าเบื่อจะตาย”

 

“...”

 

“มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองสิกาล จนกว่าลมหายใจของเรามันจะหมดลง จนกว่าจะถึงวันนั้น...จงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า เหมือนกับที่พ่อแม่ของกาลทำ”

 

 

 

“พ่อไม่เคยคิดจะให้แกทิ้งความฝันของตัวเอง ขอแค่สักวันหนึ่งเมื่อแกได้ทำความฝันของตัวเองจนสำเร็จแล้ว ถ้าแกเข้าใจความฝันของพ่อก็ค่อยกลับมา...พ่อรอแกได้เสมอ”


 

 

คำพูดของพ่อที่เขาหลงลืมมันไปดังขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินอาบหน้า นทีประคองกอดรัตติกาลที่ร้องไห้งอแงเหมือนเด็กๆ แต่เขารู้ดีว่ารัตติกาลเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อแล้ว

 

“ขอบคุณนะพี่ ฮึก ขอบคุณที่อยู่กับผม”

 

:hao7:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :hao7:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

 

รัตติกาลแหงนหน้ามองโรงพิมพ์ที่ทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลาแต่กลับเต็มไปด้วยคุณค่าและความทรงจำ เขาลูบเบาๆไปเคาน์เตอร์ไม้ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยยืนอยู่ในฝั่งของลูกค้าเพื่อตกลงเรื่องราคากับเถ้าแก่ที่เพิ่งเสียไปได้ไม่นาน

 

“คุณแน่ใจหรอครับว่าจะซื้อมันต่อ”

 

ลูกชายของเถ้าแก่คนนั้นถามขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนมาให้ ดวงตาที่ยังไม่คลายความเศร้ามองตรงมาทางเขาด้วยความไม่มั่นใจในแบบที่รัตติกาลเองก็เคยเป็นตอนตัดสินใจขายธุรกิจที่พ่อแม่สร้างมากับมือให้กับนายทุนคนอื่นที่เขามั่นใจว่าจะไม่เอาเปรียบชาวสวนยางมากจนเกินไป รัตติกาลเคยกังวลไม่ต่างจากชายคนนี้ ความรู้สึกที่ทั้งอยากจะรั้งไว้และปล่อยมันทิ้งมีอยู่เท่าๆกันจนแทบแยกไม่ออกแต่เขาก็ผ่านมันมาได้เช่นเดียวกับชายคนนี้ที่สักวันหนึ่งจะทำมันได้เช่นกัน

 

“ครับ แต่คงต้องปรับปรุงใหม่อีกมาก”

 

ร่างโปร่งปล่อยให้ทนายนเรศจัดการเรื่องเอกสารทั้งหมดโดยที่ตัวเองปลีกตัวมานั่งดื่มกาแฟในร้านข้างทางที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เขาเปรยตามองขนมปังลูกเกดที่ตัวเองไม่ชอบกินบนมือของหุ้นส่วนคนใหม่ด้วยสายตาไม่ชอบใจก่อนจะดันมันไปให้คนที่ยังคงกวนประสาทเหมือนเคย

 

“มาสายแล้วยังทำเล่นอีกนะครับ”

 

“เอาน่า ปล่อยให้ลุงจัดการไปเถอะ อดีตวิศวะอย่างพี่ไม่รู้เรื่องกฎหมายพวกนั้นหรอก เข้าไปเกะกะเปล่าๆ”

 

“ไม่เข้าใจก็เริ่มศึกษาได้แล้วครับ ผมไม่อยากให้บริษัทเจ๊งทั้งที่เพิ่งเซ้งมันมาหรอกนะ”

 

“อย่าดูถูกกันซิ ปั่นหุ้นจนมีตังมาช่วยกาลตั้งบริษัทได้ก็เก๋าพอตัวอยู่นะ”

 

“ขี้โกงล่ะสิไม่ว่า ถ้าไม่ได้คุณนเรศช่วยพี่คงได้เข้าไปนอนในคุกไม่ก็ต้องจ่ายค่าปรับจนหลังอาน”

 

“ว่าแต่พี่...อย่าคิดนะว่าพี่ไม่รู้ว่ากาลไปทำอะไรกับคณิตมา”

 

รัตติกาลยิ้มกริ่ม เขาไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นแม้แต่น้อย หลังจากเอกสารทุกอย่างถูกจัดการจนเสร็จพวกเขาทั้งสองคนก็เดินทางมาฉลองการเปิดบริษัทใหม่ที่ร้านอาหารย่านทองหล่อโดยมีนิลและพะแพงร่วมแสดงความยินดีด้วย

 

“ยินดีด้วยนะกาล ขอให้ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำนะ”

 

พี่รหัสที่ยังคงสวยไม่ต่างจากวันวานเพียงแต่ใบหน้าที่เคยไร้เครื่องสำอางตอนนี้ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันต่างๆพอประมานทำให้ดูน่ามองกว่าเดิม แชมเปญขวดใหญ่ถูกยื่นให้พร้อมกับอ้อมกอดเล็กๆที่อบอุ่นเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน พะแพงผละออกมาก่อนจะหันมาสวมกอดคนรักที่ยืนอยู่ข้างๆกันพร้อมกับอวยพรให้นทีประสบความสำเร็จด้วยอีกคน

 

“นักเขียนไส้แห้งอย่างกูไม่มีตังซื้อของแพงๆให้นะเว้ย เอานี่ไปแทนแล้วกัน”

 

ร่างโปร่งขมวดคิ้วก่อนจะรับเอาซองเอกสารที่นิลยื่นให้มาถือไว้ ดวงตาเรียวเล็กเบิกโพลงเมื่อต้นฉบับนิยายที่เพิ่งได้รางวัลจากงานประกวดมาอยู่ในมือเขาพร้อมกับคำอวยพรสั้นๆที่เจ้าของผลงานเขียนไว้ในมุมหนึ่งของซองกระดาษ

 

“มึงแน่ใจแล้วหรอ”

 

“แน่สิวะ แต่ขอส่วนแบ่งเยอะกว่าในสัญญาที่จะเซนต์แล้วกัน”

 

“ฮ่าๆ หน้าเลือดนะมึงน่ะ”

 

พวกเขากอดกัน รัตติกาลยิ้มกว้างเมื่อคนที่เขาเรียกว่าเพื่อนรักกำลังอวยพรด้วยเสียงที่อ่อนโยนกว่าทุกที บรรยากาศบนโต๊ะเต็มไปด้วยความปิติยินดีและเรื่องตลกในที่ทำงานของพะแพงที่หญิงสาวหยิบยกขึ้นมาเล่าจนคนฟังต่างก็หัวเราะจนท้องแข็งไปตามๆกัน

 

“กาล นิล พี่กับทีมีเรื่องจะบอกแหละ”

 

พะแพงเอ่ยขึ้นขณะที่รัตติกาลกำลังตักของหวานเข้าปาก หน้าพี่รหัสของเขาขึ้นสีแดงระเรื่อชวนมองอาจจะเพราะแชมเปญที่เพิ่งจะหมดไปหรือความประหม่าที่ทำให้เธอต้องกุมมือคนรักไว้แน่น นทียกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มเงียบๆเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแต่กระชับมือเล็กๆของพะแพงไว้ให้แน่นกว่าเดิม

 

 

 

 

“ปลายปีนี้ พี่กับที...เราจะแต่งงานกันจ๊ะ”

 

 

 

 

แกร๊ง!

 

นิลเผลอปล่อยช้อนในมือจนตกลงไปทันทีที่ได้ยิน โชคดีที่รัตติกาลไม่ได้ถืออะไรไว้ไม่อย่างนั้นอาจจะมีอะไรแตกก็ได้ นิลที่ตั้งสติได้ก่อนลุกขึ้นสวมกอดทั้งคู่พร้อมกับอวยพรเสียยกใหญ่ พะแพงกำลังยิ้มเช่นเดียวกับนทีที่ยืนอยู่ข้างๆ ทุกคนกำลังยิ้ม มีเพียงแต่รัตติกาลที่ได้แต่แสดงสีหน้าเรียบเฉยพร้อมรู้สึกถึงความเจ็บในอุ้งมือ

 

“ไม่ยอมบอกกันก่อนเลยนะครับ เซอร์ไพร์สจริงๆ”

 

หลังจากเงียบอยู่นาน รัตติกาลก็เลือกที่จะพูดกับนทีเป็นคนแรก หุ้นส่วนคนใหม่และว่าที่เจ้าบ่าวก้มหน้าลงมองเขาก่อนจะส่งยิ้มขี้เล่นมาให้อย่างเคย

 

“เพิ่งตัดสินใจขอเมื่อคืนนี้เอง”

 

“รีบแต่งแบบนี้...พี่แพงท้องหรอครับ”

 

“ฮ่าๆได้แบบนั้นก็ดีสิ แต่ก็แค่รู้สึกว่าควรแต่งได้แล้วมั้ง”

 

รัตติกาลเค้นยิ้มทั้งที่ในอกปวดร้าว เขาสวมกอดนทีแน่นๆทั้งที่หัวใจเต้นรัวจนเจ็บ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่กอดกัน แต่เป็นครั้งแรกที่รัตติกาลกอดนทีไว้ด้วยความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่ทั้งสวยงามและทรมานไปพร้อมๆกัน

 

“ยินดีด้วยนะครับ”

 

“จะร้องไห้หรอ”

 

“คงจะเพราะสงสารพี่แพงมากกว่ารู้สึกยินดี”

 

“ตัดรอนแบบนี้ทำเอาใจหายเหมือนกันแฮะ”

 

นทีลูบหลังของรัตติกาลเบาๆ หลับตาลงทำเป็นมองไม่เห็นไหล่ที่กำลังสั่นอยู่ตรงหน้า ปล่อยให้เสียงดนตรีและเสียงพูดคุยลอยผ่านไปแล้วรับรู้ถึงคำพูดทุกคำของคนในอ้อมแขน

 

“นิสัยกินไม่เลือกเลิกซะนะครับ...อย่าทำให้พี่แพงร้องไห้อีก”

 

“อืม...พูดยากแฮะ”

 

“นะครับ ผมเชื่อว่าพี่ทำได้”

 

“เฮ้อ เก่งจริงๆนะเรื่องบังคับคนอื่นเนี่ย”

 

ร่างสูงหัวเราะพร้อมกับโยกตัวไปมา รัตติกาลยิ้มรับก่อนจะผละไปแสดงความยินดีกับว่าที่เจ้าสาวบ้าง คืนนั้นพวกเขาเมามายจนต้องเปิดห้องของโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆแทนการขับรถกลับ แล้วคืนนั้นนิลก็นอนกอดรัตติกาลที่กำลังร้องไห้เอาไว้จนกระทั่งพล่อยหลับไป

 

.

.

.

.

.

 

 

นที กวีวิมนตร์…คือผู้ชายที่ไม่สมควรเชื่อใจ

 

รัตติกาลเปรยตามองร่างที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นบุหรี่กำลังจับจองโซฟาตัวยาวของเขาอย่างถือสิทธิ กระเป๋าเอกสารกองอยู่ในมุมหนึ่งของห้องไม่ต่างจากรองเท้าหนังมันแปลบที่ดูไม่เข้ากับคนอย่างนทีเอาเสียเลย ร่างโปร่งถอนหายใจแล้วเดินไปปิดไฟจนทั้งห้องตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง เขากลับไปซุกตัวลงในผ้านวมอุ่นๆหลังจากที่ต้องฝืนจากมันมาเพราะเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นในเวลาสองนาฬิกาหลังจากที่เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นซ้ำซากเมื่อสองปีที่แล้ว...และมันกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง

 

“ราตรีสวัสดิ์นะกาล”

 

เสียงทุ้มของนทีดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ รัตติกาลยังคงลืมตาอยู่และไม่รู้สึกอยากนอนอีกเลยตั้งแต่ชายคนนี้ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง นี่เป็นครั้งที่สามในรอบสัปดาห์ที่หุ้นส่วนคนสำคัญมาเคาะห้องเขากลางดึก นทีอาศัยนอนอยู่บนโซฟาที่ใหญ่กว่าตัวเดิมในห้องแคบๆสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย และเพราะที่นี่คือคอนโดหรูใจกลางเมืองกรุงรัตติกาลจึงไม่มีโอกาสรับรู้ว่าคนที่นอนอยู่ในห้องรับแขกกำลังทำอะไรหรือได้รับโทรศัพท์จากใคร

 

‘นทีมีคนอื่น’

 

คำพูดที่เต็มไปด้วยความรวดร้าวต่างจากวันนั้นทำให้รัตติกาลรู้สึกใจหาย ทั้งที่เพิ่งผ่านมาได้เพียงเดือนกว่าที่เขาต้องตัดใจจากคนที่ไม่สมควรจะรัก แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้และคำบอกเล่าของพะแพงกลับกลายเป็นว่าความรู้สึกเก่าๆถูกกวนให้ลอยฟุ้งขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความผิดหวังต่อทั้งนทีและตัวเขาเอง

 

“เขา...ไม่มีวันเปลี่ยน”

 

รัตติกาลบอกตัวเองด้วยประโยคเดียวกับที่เขาพูดเตือนพะแพงไป มันทั้งเจ็บปวดและน่าสมเพชที่เขาผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยพูดมันออกไปด้วยความรู้สึกเวทนาต่อความโง่งมของผู้หญิงคนนั้น แต่ตอนนี้เขาผู้ซึ่งรู้สันดานของนทีดีกลับหลงลืมมันแล้วตกลงในวังวนนั่นเสียเอง

 

ร่างโปร่งพยายามข่มตานอน อยากจะทำตัวประชดรักแบบวัยรุ่นดูบ้างเหมือนกันแต่เพราะหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบทำให้เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ โชคดีที่ก่อนนอนรัตติกาลได้ทานยาแก้ปวดไปทำให้เขาใช้เวลาไม่มากที่จะกลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งก่อนจะตื่นเช้าขึ้นมาพบว่าแขกผู้มาเยือนได้หายไปแล้วเหมือนเช่นทุกครั้ง ทิ้งไว้เพียงจดหมายขอบคุณและขนมปังปิ้งแห้งๆที่อีกฝ่ายทำไว้ให้ดูต่างหน้า

 

บริษัทกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดีเพราะความสามารถของผู้บริหารทั้งสองและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่นทีติดต่อไว้ให้ ของขวัญวันเปิดตัวบริษัทจากนิลสร้างกระแสได้เป็นอย่างดีจนสำนักพิมพ์น้องใหม่นี้เริ่มกลายเป็นที่รู้จักตามท้องตลาด

 

แต่ความสำเร็จที่ได้มาต้องแลกด้วยเวลาที่เสียไป รัตติกาลชำเลืองมองนทีที่เอาแต่ก้มหน้าอ่านเอกสารในมือโดยไม่สนใจโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอย่างบ้าคลั่ง ชื่อของพี่รหัสเขาปรากฏขึ้นมาแล้วดับไปวนเวียนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรัตติกาลทนไม่ไหว ร่างโปร่งสาวเท้าไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่ใกล้ๆกัน ชายหนุ่มถือวิสาสะหยิบมือถือของนทีขึ้นมาก่อนยื่นให้คนเป็นเจ้าของที่มองมาที่เขาด้วยสายตาไม่พอใจ

 

“อย่างน้อยก็บอกเขาหน่อยเถอะครับว่าไม่สะดวกจะคุยด้วย”

 

“...ปล่อยมันไปอย่างนั้นแหละ”

 

“พี่เคยสอนผมไม่ให้หนี”

 

“แต่พี่ไม่เคยบอกว่ามันทำไม่ได้...ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวก็เลิกโทรไปเอง”

 

‘ถ้าเป็นอย่างนั้นได้มันก็ดี’ รัตติกาลพูดตอบเพียงในใจก่อนจะวางโทรศัพท์คืนแล้วกลับไปทำงานของตัวเองต่อ ร่างโปร่งสัมผัสได้ว่าการทะเลาะกันครั้งนี้แตกต่างจากที่เคย แม้ว่าจะโต้เถียงกันแรงแค่ไหนแต่ตลอดเวลาที่เขามองดูสองคนนี้คบกันไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่นทีจะทำกับพี่รหัสเขาแบบนี้

 

 

มันเป็นโอกาส...

 

 

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว รัตติกาลสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านนั้นออกไปแม้มันจะน่าเย้ายวนแต่เขาก็ยังรู้ผิดชอบชั่วดีมากพอที่จะไม่คล้อยไปกับมันเหมือนอย่างที่ทำมาตลอดสองปีนับตั้งแต่วันที่รู้ใจตัวเอง

 

นทีและเขาใช้เวลาเกือบทั้งอาทิตย์อยู่ในออฟฟิศไม่แม้แต่จะกลับไปนอนที่คอนโดอย่างเคย หลังจากตัดสินใจสร้างบริษัทรัตติกาลก็ปลีกตัวออกมาอาศัยอยู่ที่คอนโดแทนที่จะเป็นบ้านหลังใหญ่ที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้ แต่ก็เพราะนึกห่วงใยว่าคนเก่าคนแก่อย่างจันทร์จะเหงาอย่างน้อยจึงต้องมีสักหนึ่งวันในหนึ่งอาทิตย์ที่รัตติกาลจะกลับมาพักที่บ้านเหมือนอย่างในวันนี้

 

“ทานอีกสิคะคุณกาล ซูบไปเยอะเลย”

 

“ซูบอะไรครับป้า กาลน้ำหนักขึ้นมาตั้งสองโลเลยนะ กางเกงคับไปหมดแล้ว”

 

“สองกิโลเองค่ะ ยังไม่พอๆต้องทานไปอีกเยอะๆ มาค่ะ ป้าเติมข้าวให้”

 

หญิงแก่ไม่ฟังคำทัดทานจากผู้เป็นนาย มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยตักข้าวสวยทัพพีใหญ่ใส่จานให้ทั้งที่ของเดิมยังพร่องไปแค่นิดเดียว รัตติกาลส่ายหน้าให้ความเป็นห่วงเกินพอดีของจันทร์แต่ก็ลงมือทานต่อไปจนหมดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจ

 

ปรี๊นๆ

 

เสียงแตร์รถดังขึ้นจากหน้าบ้านทั้งที่ตอนนี้ล่วงมาถึงหัวค่ำและฝนก็ตกอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่บ่าย รัตติกาลลุกขึ้นไปดูด้วยตัวเองโดยบอกให้จันทร์ไม่ต้องเดินตามมา เขามองออกไปยังด้านนอกก่อนจะเห็นรถยนต์สีดำคุ้นตาที่ผู้เป็นเจ้าของยังขังตัวเองอยู่ด้านใน

 

รัตติกาลสังหรณ์ใจแปลกๆเขาเดินฝ่าสายฝนไปยังรถคันนั้นโดยไม่สนใจเสียงห้ามของสาวใช้คนหนึ่ง ร่างโปร่งเคาะกระจกอยู่สองสามครั้งก่อนทีประตูฝั่งคนขับจะเปิดออกพร้อมกับร่างของนทีที่ลุกออกมาให้เห็น

 

“พี่...”

 

ชายหนุ่มครางเสียวแผ่วเมื่อเห็นสีหน้าของนที ใบหน้าที่เคยร่าเริงกลับไม่เหลือเค้าของความสุขใดๆแม้แต่ดวงตาขี้เล่นก็ถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวด รัตติกาลก้าวออกไปหานทีทั้งที่ฝนโปรยปราย ฝ่ามือเย็นจัดยกขึ้นลูบเบาๆบนใบหน้าอมทุกข์นั้นด้วยความรู้สึกที่แย่ไม่ต่างกัน นทียกมือขึ้นจับมือเขาตอบแต่แรงที่บีบกลับมาทำให้รัตติกาลรับรู้ถึงความอัดอั้นที่กำลังระเบิดออกมา

 

“พี่เลิกกับแพงแล้ว”

 

“...!”

 

“แพงมีคนอื่น...แพงทำ...เหมือนที่พี่เคยทำ น่าสมเพชนะว่าไหม พี่ไม่สมควรจะร้องไห้ด้วยซ้ำ”

 

“ร้องเถอะครับ...ร้องออกมาเท่าที่พี่อยากร้อง...ผมจะอยู่กับพี่เอง”

 

สิ้นสุดคำนั่นใบหน้าเศร้าโศกของนทีก็ซบลงบนไหล่ของรัตติกาล คนที่เคยเข้มแข็งกว่าใครกำลังร้องไห้ราวกับจะขาดใจพร้อมกับเรียกชื่อของผู้หญิงคนนั้นไม่หยุด รัตติกาลโอบกอดร่างที่อ่อนล้าของอีกฝ่ายไว้หวังให้ความอบอุ่นของตัวเองทำให้นทีเศร้าใจน้อยลง ทั้งที่สงสารและอยากให้เขามีความสุขแต่ในขณะเดียวกันความรู้สึกที่เขากักเก็บมันไว้มาตลอดก็ไม่อาจฝืนมันไว้ได้แล้วเช่นกัน

 

 

 

“พี่ครับ...ผมรักพี่”

 
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

เฮ้ยยาววววววว >< (ในเล้านี่แยกเป็น3เม้นต์เลยทีเดียว)น่าแยกเป็นสองตอนนะว่าไหม แต่ยาวขนาดนี้พาร์ทอดีตก็ยังไม่จบแหละ แต่อุบไว้ก่อน เป็นยังไงกันบ้างคับ เป็นอย่างที่คาดกันไหวไหม หุหุ งงล่ะสิ แม้แต่นทีที่ว่าเลวยังมีมุมแบบดีๆกับเขาเหมือนกัน นั่นเป็นคำตอบที่เช่หาให้ตัวเองคับที่ถามว่าทำไมคนบางคนถึงรักคนเลว เช่ว่าสุดท้ายแล้วไม่มีใครอยากรักคนเลวหรอก เพียงแต่เราไม่อาจห้ามใจไม่ให้รักด้านดีๆในตัวคนเลวๆคนนั้นได้ อย่างนทีถึงมันจะมั่วขนาดไหนแต่มันก็เป็นคนที่อยู่กับกาลในวันที่ลำบาก ทำให้กาลก้าวเดินต่อไปได้เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่กาลหลงรักคนที่ไม่สมควรจะรัก พาร์ทหลังๆดูห้วนไปบ้าง แต่คิดว่าพอประมานแล้วสำหรับตอนนี้ ถ้าปมไหนต้องขยายเป็นพิเศษเดี๋ยวมันก็งอกมาอีกคับไม่ต้องคิดมาก หุหุ (แอบวางระเบิดไปลูกนึง...จะมีใครสังเกตเห็นไหมหนอ) :hao7:

 

ตอนหน้ารัณย์กาลมาแน่!!!! ใครที่น้อยใจว่าคู่หลักมันช่างลูกเมียน้อยเหลือเกินนี่เข้าใจเช่หน่อยนะคับ คือกาลอดีตดราม่าขนาดนี้จะให้รัณย์จับกดแล้วรักกันเลยก็ไม่ได้ ขนาดนทีกว่ากาลจะรักยังผ่านต้องผ่านเรื่องราวเยอะแยะ พอเป็นรัณย์ที่กาลปิดตายตัวเองไปแล้วก็คงจะฟู่ฟ่าไม่ได้ ค่อยๆมีความสุขกับรักที่เริ่มเติบโตขึ้นมาของทั้งคู่กันดีกว่านะคับ^^ :mew1: :mew1:

 

เหมือนเดิม ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวต หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับนิยายเรื่องนี้นะคับ สำหรับคนที่อยากจับจองหนังสือเก็บตังตั้งแต่เนิ่นๆนะ เช่กลัวเหลือเกินว่ามันคง3เล่มเป็นแน่ TwT ร้องไห้หนักมาก  :hao3: :sad4:

 

ออฟไลน์ blur

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
อ่านจุใจมาก ดำเนินเรื่องไม่รู้สึกขัดเลยครับ

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โห ไม่รู้จะเม้นอะไรก่อนดี หลายอารมณ์มาก
สงสารกาลอะ ทั้งที่เสียพ่อแม่ไปแล้วก็เรื่องนที
ไม่รู้ว่านทีรักกาลบ้างไหม ทำดีกับกาลไปทำไม

แต่ที่ข้องสุดคือนิลอะ ทำไมไม่ช่วยกาลเลย
เหมือนจะปล่อยให้กาลตัดสินใจเองนะ
แต่เราว่าเหมือนไม่ได้เป็นเพื่อนกันเลยอะ
มันแลห่างๆไงไม่รู้

ยาวมากค่ะตอนนี้ จุใจสมกับการรอคอยจริงๆ
ีอะาร์ทรัณย์กาลต่อนะ

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ตอนนี้มาแบบจุใจมากๆๆๆเลยครับ.....

...ยังไงก็มาแบบยาวๆได้ใจแบบนี้อีกนะครับ...ชอบๆๆๆๆๆ :L1:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เหัออ อออ

ออฟไลน์ PK13

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สงสารกาลที่สุดแล้ว

ออฟไลน์ iiduckii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เฮ้อออออออออออออออออออออ ถึงขั้นเหนื่อย ปวดใจแทนกาล :ling2: :ling2: :ling2:


ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

27th Night

…Normal...

 

รัตติกาลกำลังขีดฆ่าวันที่บนปฏิทินทิ้ง เหลือเวลาอีกแค่วันเดียวเท่านั้นภาคเรียนใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการสิ้นสุดของช่วงเวลาสั้นๆที่พวกเขาทั้งสองถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องมาอยู่ร่วมกัน พี่เลี้ยงหนุ่มที่รับหน้าที่ตามประกบเขากำลังจัดการกับเอกสารตรงหน้าด้วยท่าทางเคร่งเครียด นิ้วมือเรียวยาวไล่ไปตามรายละเอียดแต่ละบรรทัดไม่ปล่อยให้หลุดรอด อารัณย์ที่กำลังทำงานอย่างจริงจังเป็นภาพที่รัตติกาลไม่เคยเห็นมาก่อนและเขาไม่อาจละสายตาจากมันไปได้

 

“กาล ดูเหมือนตัวเลขตรงนี้จะมีปัญหา”

 

อารัณย์ลุกขึ้นจากโซฟาตัวยาวมาพร้อมกับใบกำกับภาษีปึกใหญ่ ร่างสูงแจกแจงตัวเลขเหล่านั้นอย่างคล่องแคล่วแล้วชี้ไปยังจุดที่ตัวเลขไม่ตรงกัน ซึ่งถ้าไม่อ่านให้ละเอียดจริงๆคงไม่มีใครให้ความสนใจกับใบสั่งซื้อรายการย่อยๆพวกนี้เป็นแน่

 

“จริงด้วย...ขอบใจมาก เดี๋ยวผมจะติดต่อให้ฝ่ายนั้นเอง”

 

“ไม่ต้องหรอก มึงอยู่เคลียร์งานของตัวเองไปเถอะ จะได้กินข้าวสักที”

 

ชายหนุ่มว่าดังนั้นแล้วถือวิสาสะเดินไปหาฝ่ายการเงินด้วยตัวเองทิ้งให้รัตติกาลมองตามแผ่นหลังนั้นไปพร้อมกับนึกสงสัยในความสามารถของอารัณย์และตัวเขาเองที่ยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาช่วยเหลือ

 

รัตติกาลถอนหายใจ ดวงตาคมกริบมองจดหมายลาที่ส่งตรงถึงเขาเมื่อเช้านี้ โดยเพื่อนของธิชาที่ทำงานอยู่แผนกอื่นนำมันมาส่งให้พร้อมกับคำยืนยันว่าแม่ของเลขาสาวป่วยหนักจนต้องหามส่งเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืนทำให้เธอจำเป็นต้องลางานเพื่อดูแลแม่ซึ่งเป็นครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์

 

แน่นอนว่ามันสร้างความลำบากให้รัตติกาลไม่น้อยแต่เขาก็ไม่คิดจะรั้งไว้ ตะกอนความทรงจำเกี่ยวกับพ่อและแม่ของรัตติกาลทำให้เขาเข้าใจดีว่าเวลาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้ ธิชามีความสามารถและเป็นคนทำงานหนักมาตลอด ดังนั้นต่อให้เป็นช่วงเวลาที่เขาต้องการเธอที่สุดรัตติกาลก็ยินดีจะให้เธอได้ตอบแทนคุณบุพการีซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำมันได้อีกแล้ว

 

“ถ้าแค่ตรวจเอกสาร กูก็พอจะช่วยได้”


 

อารัณย์บอกกับรัตติกาลเช่นนั้นในขณะที่เขากำลังหัวหมุนกับใบกำกับภาษีที่ตัวเองเป็นคนขอให้ฝ่ายการเงินนำมาให้ตรวจ มันคงไม่เป็นปัญหาอะไรถ้าเกิดไม่บังเอิญว่าเอกสารสำคัญจากบริษัทคู่ค้าก็เพิ่งส่งมาถึงในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน

 

รัตติกาลนึกลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากคนนอกที่ทั้งไม่มีประสบการณ์และความรู้ทางด้านนี้โดยตรง แต่สุดท้ายเพราะไม่อยากเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เขาจึงยอมให้อารัณย์ตรวจดูใบเสร็จในส่วนที่เขานึกสงสัยโดยสอนงานอีกฝ่ายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที และมันช่างน่าตกใจที่นักเรียนคนนี้ทำได้ดีเกินคาด

 

 

‘ก็ดีแล้วนี่ ให้มันช่วยงานซะบ้าง ปล่อยให้นอนเปื่อยอยู่ได้เป็นอาทิตย์’

 

นิลส่งข้อความตอบกลับมาเมื่อรัตติกาลได้โอกาสเล่าให้เพื่อนฟัง ชายหนุ่มถอนหายใจ ความจริงรัตติกาลก็เคยบอกให้อีกฝ่ายเลิกตามประกบเขาอย่างที่ฤทธิชาติขอแต่อารัณย์ก็ยังคงยืนยันที่จะทำแม้ว่าจะเป็นการปล่อยให้วันหยุดอันน้อยนิดเสียไปกับการอ่านหนังสือจนหมดทั้งชั้น รวมไปถึงจัดการเรื่องอาหารการกิน และคอยบังคับให้เขาเข้านอน จนรัตติกาลอดคิดไม่ได้ว่าอารัณย์คงมองว่าเขาเป็นหนึ่งในนักเรียนที่ตัวเองต้องดูแลเหมือนกับรพีก็เป็นได้

 

“เขาบอกว่าขอเวลาเช็คอีกครึ่งชั่วโมงจะเอาขึ้นมาให้ใหม่”

 

ร่างสูงกลับเข้ามาในห้องหลังจากหายไปได้สักพักใหญ่ ใบหน้าที่ดูจริงจังกว่าทุกครั้งทำให้อารัณย์ดูภูมิฐานผิดจากที่เคย อารัณย์ที่เขารู้จักถ้าหากไม่นับช่วงเวลาที่อ่อนโยนเมื่ออยู่กับเด็กๆแล้วก็เป็นเพียงคนหนุ่มที่มุทะลุและทำตัวห่ามไม่เกรงกลัวใครโดยเฉพาะกับรัตติกาล ถึงอย่างนั้นอารัณย์เองก็ยังมีมุมที่ชอบดูแลคนอื่น พอพึ่งพาได้บ้าง แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ร่างสูงดูเป็นผู้ใหญ่เหมือนกับตอนนี้

 

“ขอบใจมาก...ยังไงก็ช่วยตรวจเอกสารต่อไปด้วยแล้วกัน”

 

“อืม”

 

ทั้งสองคนต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไปโดยมีรัตติกาลคอยชำเลืองมองอารัณย์อยู่ไม่ห่าง เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะสามารถอยู่ร่วมกับคนที่ตัวเองคิดว่าเกลียดได้นานขนาดนี้ ห้องทำงานที่เงียบงันกลับถูกแทนที่ด้วยเสียงเพลงเบาๆที่ดังลอดออกมาจากหูฟังของอารัณย์ โซฟาตัวยาวที่นานๆจะมีแขกมาใช้งานถูกจับจองอย่างถาวรโดยร่างสูงใหญ่ของคนที่ดูท่าจะพอใจในความนุ่มสบายของมันแม้ว่าเวลานอนขาจะยาวเลยออกมาก็ตามที ความว่างเปล่าในห้องๆนี้ถูกทดแทนด้วยสิ่งที่เขาไม่ชอบใจ ทั้งที่น่ารำคาญ ทั้งที่วุ่นวาย แต่ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รัตติกาลเลิกคิดว่าอารัณย์ไม่ควรอยู่ที่นี่...

 

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”

 

อารัณย์ที่กำลังสะพายเป้ขึ้นบ่าหันกลับมาสบตากับคนที่จู่ๆก็พูดประโยคนี้ขึ้นมาทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาหมอนี่ไม่เคยพอใจที่มีเขามาอยู่ด้วยเลยสักครั้ง รัตติกาลไม่ได้ยิ้ม ร่างโปร่งเพียงแค่พูดมันด้วยท่าทางเย้อหยิ่งเช่นเดิมแต่มันกลับไม่ดูขัดตาเหมือนทุกครั้ง อารัณย์ยิ้มมุมปากพลางคิดว่าความเคยชินนั้นช่างน่ากลัวอย่างที่ใครเขาว่า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เผลอมองห้องนี้พร้อมกับรู้สึกวูบโหวงในอก เป็นอาการเดียวกันกับที่เขากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้

 

“ไม่เป็นไร ถึงแม้ว่ากูจะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายก็เถอะ”

 

ชายหนุ่มเกาท้ายทอยไม่รู้ว่าควรจะวางมือไว้ตรงไหน ตามปกติถ้าคนเป็นเพื่อนกันเขาคงเข้าไปกอดแล้วตบบ่าอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง แต่สำหรับคนตรงหน้ามันคงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่

 

“กินข้าวกันไหม”

 

“...!”

 

คราวนี้อารัณย์ยกมือค้างไว้กลางอากาศเมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ออกมาจากปากของรัตติกาล คนที่ถูกบังคับให้กินข้าวด้วยกันกับเขามาเกือบสองอาทิตย์โดยเจ้าตัวไม่เคยเต็มใจ ถึงแม้ระยะหลังๆจะไม่แอบชักสีหน้าใส่เหมือนแรกๆ แต่เขาก็ไม่คิดว่ารัตติกาลจะชอบให้เขานั่งร่วมโต๊ะอาหารอยู่ดี

 

“กินข้าว? กับกูเนี่ยนะ”

 

“อืม ตกใจอะไรนักหนา แค่เลี้ยงขอบคุณ”

 

“...”

 

“อีกอย่างเราคงไม่ต้องร่วมโต๊ะกันอีกแล้ว งานนี้ต้องฉลองหน่อยว่าไหมล่ะ”

 

รัตติกาลแสร้งยิ้มร้ายเขาถือกุญแจรถแล้วเดินนำออกไปจากห้องในขณะที่อารัณย์ได้แต่หัวเราะในลำคอแล้วเดินตามไปพลางจ้องแผ่นหลังของอีกฝ่ายไม่วางตา รู้อยู่หรอกว่าโดนรัตติกาลพูดแกล้งแต่มันน่าโมโหน้อยเสียเมื่อไหร่

 

พวกเขาทั้งสองคนเดินมายังที่จอดรถผู้บริหารซึ่งมีรถยนต์หรูของรัตติกาลจอดรออยู่ ชายหนุ่มหยุดมือที่กำลังควงกุญแจแล้วกดมันเพื่อปลดล็อค แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดประตูเข้าไปนั่งอารัณย์ที่เดินตามมาก็คว้าแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน

 

“เดี๋ยวก่อน”

 

“มีอะไร?”

 

“มึงบอกว่าจะเลี้ยงขอบคุณกู งั้นกูจะรีเควสอะไรก็ได้ใช่ไหม”

 

“...ก็ใช่”

 

“งั้นก็อยู่เงียบๆแล้วเป็นเด็กดีเดินตามกูมา”

 

ร่างโปร่งขมวดคิ้วเป็นปมเมื่ออารัณย์กำลังแสยะยิ้ม คนตัวสูงแย่งกุญแจในมือมาถือเอาไว้เองก่อนจะกดมันอีกครั้งเพื่อล็อครถไว้ตามเดิม อารัณย์ออกแรงลากให้รัตติกาลเดินตามกันมาโดยไม่สนใจเสียงที่ร่างโปร่งร้องโวยวายให้หยุด พนักงานออฟฟิศทั้งของบริษัทรัตติกาลเองและของที่อื่นมองมายังทั้งสองคนขณะที่เดินไปยังป้ายรถเมล์หน้าบริษัทอย่างสนใจ โดยเฉพาะบรรดาลูกน้องของรัตติกาลที่จำเจ้านายตัวเองได้ รวมไปถึง ‘คุณอารัณย์’ ชายหนุ่มปริศนาที่คอยเฝ้าเช้าเฝ้าค่ำนักบริหารใหญ่จนเป็นที่นินทากันไปทั่ว

 

“อารัณย์หยุด! คุณจะพาผมไปไหน!”

 

“ขึ้นรถไง”

 

“รถผมจอดอยู่ข้างใน!”

 

“เราจะไปรถเมล์กัน”

 

อารัณย์หันมายักคิ้วให้โดยที่ไม่ยอมปล่อยข้อมือที่เล็กกว่าของรัตติกาล ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ทันทีที่รู้ว่าอารัณย์กำลังคิดอะไร คนคนนี้กำลังคิดว่าเขาเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อเหมือนกับที่คนอื่นๆเห็นเขาเป็นอย่างนั้น ใบหน้าของรัตติกาลบูดบึ้งขึ้นมาทันทีจนอารัณย์นึกขำ เขารู้อยู่แล้วว่ารัตติกาลไม่ใช่พวกคนรวยที่ไม่เคยปล่อยให้เท้าเปื้อนดิน แต่สีหน้าไม่สบอารมณ์แบบนี้ต่างหากล่ะที่เขาอยากจะเห็น

 

“คุณนี่มัน!...ได้! ไปรถเมล์ก็รถเมล์!”

 

อารัณย์ลากแขนของรัตติกาลให้เดินไปยังรถเมล์ปรับอากาศที่กำลังเทียบป้ายพอดี แต่ร่างโปร่งออกแรงรั้งไว้เขาเปลี่ยนเป็นคนนำแล้วพาอารัณย์ไปยังรถอีกคันที่จ่อคิวอยู่ด้านหลัง ร่างสูงมองสิ่งที่คล้ายกับเศษเหล็กตรงหน้าแล้วหัวเราะร่าจนคนฟังยิ่งไม่สบอารมณ์ ทั้งสองคนพากันขึ้นไปยังรถมินิบัสที่กระเป๋ารถกำลังร้องเรียกผู้โดยสารทั้งๆที่ตอนที่เขาเดินขึ้นไปก็แทบไม่มีที่ว่างให้ยืน

 

“หึ เด็กชะมัด”

 

นักบริหารหนุ่มได้ยินเสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลังแต่รอบตัวกลับไม่มีที่ว่างมากพอให้เขาหันไปต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายได้ ร่างโปร่งบ่นงึมงำอย่างไม่พอใจมันไม่ดังพอที่คนอื่นจะได้ยินจะมีก็แต่คนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังนั่นแหละที่กำลังยืนยิ้มมีความสุขเมื่อเห็นว่าตัวเองแกล้งยั่วรัตติกาลได้สำเร็จ

 

“ค่าโดยสารด้วยครับพี่!”

 

เด็กวัยรุ่นผิวคล้ำร้องบอกผู้โดยสารทั้งคันรถที่ต่างเตรียมเงินพร้อมกันอยู่แล้ว รัตติกาลชะงัก เขาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาขึ้นโดยสารแบบนี้เลยไม่ได้เตรียมเศษเงินมาเลยสักบาท กระเป๋าสตางค์บางๆของร่างโปร่งมีเพียงแค่พวกเอกสารสำคัญ บัตรเครดิตและแบงก์พันสองสามใบที่พกไว้ติดตัวเท่านั้น

 

“สองคนน้อง”

 

ช่วงแขนยาวยื่นข้ามหัวเขามาจากทางด้านหลังพร้อมกับยื่นแบงก์ยี่สิบให้เด็กรถที่เพิ่งเดินมาถึงที่ที่เขายืนอยู่ รัตติกาลไม่พอใจแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธเงินของอารัณย์ได้เหมือนกัน ร่างโปร่งสบถเบาๆอย่างไม่พอใจก่อนจะสะบัดหน้าหันไปมองนอกรถเลยไม่ทันได้เห็นสายตาล้อๆของกระเป๋ารถเมล์ที่มองมายังทั้งสองคน

 

“มึงออกค่าข้าว กูออกค่ารถ แบบนี้ก็แฟร์ดีออก”

 

ร่างสูงพูดขึ้นเห็นสีหน้าบูดบึ้งของรัตติกาลจนพอใจ เขาพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆหวังให้อีกคนได้ผ่อนคลายมากกว่านี้ทั้งที่ตัวเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายทำให้ควันออกหู อารมณ์ดีๆที่มีมาตลอดทั้งวันรวมถึงทัศนคติที่มีต่ออีกฝ่ายถูกพังลงไปทันตา อารัณย์น่ะหรอดูน่าเกรงขามพึ่งพาได้ ดูยังไงก็แค่ไอ้เด็กปีนเกลียวคนหนึ่งเท่านั้นแหละ!

 

“แล้วมึงลากกูขึ้นสายนี้มาตั้งใจจะพาไปไหน”

 

เพราะอารัณย์ทักมารัตติกาลจึงเพิ่งนึกได้ เขามองไปยังด้านหน้ารถพอให้เห็นหมายเลขสาย ร่างโปร่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกเมื่อจุดหมายปลายทางของรถคันนี้นั้นห่างจากร้านอาหารเดิมที่เขาตั้งใจจะพาไปชนิดอยู่คนละฟากฝั่ง

 

“ไม่รู้ มันไปคนละทางกับร้านที่จองไว้ต่อรถกลับไปคงไม่ทัน หึ กวนตีนจนได้เรื่อง...กินอาหารตามสั่งไปแล้วกัน”

 

“อาหารตามสั่งก็ได้นะ กูไม่ถือ”

 

“แต่ผมถือ”

 

“ไหนบอกให้กูรีเควสได้ไง”

 

รัตติกาลถอนหายใจ เขาเบื่อหน่ายที่จะต้องเถียงกับอีกฝ่ายเลยได้แต่พยักหน้าส่งๆไป อารัณย์เห็นดังนั้นก็ยิ้มกริ่ม ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกดกริ่งให้รถหยุดลงตรงป้ายหน้า เขาพูดขอทางคนที่ยืนขวางตัวเองอยู่ก่อนจะจับมือรัตติกาลให้เดินตามกันออกมา ร่างโปร่งอยากจะขัดขืนแต่อากาศร้อนๆบวกกับคนที่อัดแน่นจนเต็มคันทำให้คนที่ไม่ได้นั่งรถมินิบัสมานานอย่างเขาแทบทนไม่ไหวเหมือนกัน

 

 

 

ร่างโปร่งเงยหน้ามองป้ายไม้ที่เขียนว่า ‘อ้วน ข้าวต้มโต้รุ่ง’ ลืมสังเกตไปเหมือนกันว่ารถสายนั้นต้องขับผ่านแถวหอพักที่อารัณย์และปูนอาศัยอยู่ พี่เลี้ยงหนุ่มแตะข้อศอกรัตติกาลเบาๆแล้วเดินนำไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหน้าร้าน

 

แม้เวลาจะเพิ่งล่วงเข้าสู่หัวค่ำแต่ผู้คนต่างก็พากันมานั่งกินกันจนแน่นเหมือนเช่นทุกครั้งที่รัตติกาลคอยสังเกตยามมีโอกาสได้มาส่งปูนที่หอ การจัดร้านที่ดูโล่งโปร่งสบายบวกกับการให้พ่อครัวมาจัดการปรุงอาหารกันตรงหน้าร้านทำให้รัตติกาลอยากจะมาลองชิมดูสักครั้งเหมือนกัน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เขาได้มานั่งกินด้วยจะกลายเป็นอารัณย์แทนที่จะเป็นปูนอย่างที่ควรจะเป็น

 

“เอายำไข่เค็ม ผัดกระเฉด ไข่เจียว กะเพราไข่เยี่ยวม้า ต้มจืดหมูเด้ง แล้วก็ข้าวสวยกับข้าวต้มอย่างละสอง”

 

อารัณย์จัดการสั่งอาหารโดยไม่ต้องดูเมนู แต่รัตติกาลก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เขามองไปรอบๆตัว พลางนึกถึงบรรยากาศเก่าๆสมัยมหาวิทยาลัยที่มักจะมาฝากท้องกับร้านริมทางแบบนี้เสมอ

 

“ร้านแบบนี้กินได้ใช่ไหม”

 

“อย่ามาหลอกถาม คุณจัดข้าวให้ผมกินมาสองอาทิตย์น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าผมไม่เรื่องมากเรื่องกิน”

 

“ก็ใช่อยู่ แต่เรื่องมินิบัสนี่คาดไม่ถึงแฮะ”

 

“สมัยเรียนผมก็นั่งประจำ ถ้าวันไหนไม่ได้ขับมอเตอร์ไซด์แล้วไม่อยากไปสายก็ต้องนั่งรถเขียวนั่นแหละ”

 

“ขับมอเตอร์ไซด์ด้วย? บ้านก็รวยทำไมไม่เอารถไปใช้”

 

“แล้วทำไมต้องเอารถใหญ่ไปใช้ ที่จอดรถก็ไม่มี ขืนเอาไปก็ต้องจอดไว้ไกลๆเสียเวลาเดินเข้าตึกอยู่ดี”

 

อารัณย์พยักหน้าอย่างเห็นด้วยในสิ่งที่รัตติกาลพูด นักธุรกิจหนุ่มขยับตัวเพื่อถอดเอาเสื้อสูทสีเทาออกมาวางพาดไว้บนเก้าอี้ว่างอีกตัวเพราะเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาของลูกค้าในร้านที่มองมา ไม่รู้เหมือนกันว่ามันแปลกตรงไหนที่คนแต่งตัวดีอย่างเขาจะมานั่งกินข้าวในร้านบ้านๆแบบนี้เหมือนกับคนอื่น ต่อให้รวยล้นฟ้าแค่ไหนก็เถอะ คงไม่มีใครทนกินร้านอาหารแพงๆได้ทุกวันหรอก

 

“เห็นไอ้นิลบอกว่ามึงเรียนที่เดียวกับมัน”

 

“อืม เรียนอยู่เมเจอร์เดียวกัน สนิทกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งนั่นแหละ ว่าแต่คุณเถอะ รู้อยู่ว่าพวกผมแก่กว่าไม่คิดหน่อยหรือว่าไม่ควรจะพูดจาแบบนี้ด้วย”

 

“ที่พูดกูพูดมึงแบบนี้เนี่ยนะ? ไม่เห็นเป็นไรเลย ไอ้นิลไม่เห็นว่าสักคำ”

 

“ถ้าอย่างนั้น ถ้าผมว่าคุณ คุณจะหยุดพูดไหม”

 

“อืม...ไม่”

 

รัตติกาลทำหน้าบึ้งใส่คนที่ยิ้มกวนประสาทมาให้อย่างไม่รู้สึกรู้สา ก็ไม่ใช่ว่าอยากให้อารัณย์มาเคารพนับถืออะไรกันหรอก แค่รู้สึกขัดหูเวลาได้ยินเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาอยากจะเอาชนะเจ้าเด็กอวดดีนี่บ้างเหมือนกัน

 

“ต้องทำยังไงคุณถึงจะเลิกพูด”

 

“แล้วทำไมมึงถึงอยากให้กูเลิกพูดนัก อยากดูแก่กว่ามากนักรึไง”

 

“ถึงจะไม่ใช่เหตุผลหลักแต่ผมก็แก่กว่าจริงๆ อย่างน้อยเมื่อเทียบกับเด็กเพิ่งจบแบบคุณ ผมคงเป็นรุ่นทวดของคุณได้มั้ง”

 

“ปีนี้มึงอายุเท่าไหร่”

 

“ยี่สิบเก้า”

 

“ปีนี้...กูยี่สิบเจ็ด แก่กว่าแค่สองปีไม่เรียกว่ารุ่นทวดหรอกนะ”

 

“ยี่สิบเจ็ด?”

 

อารัณย์ยิ้มมุมปากเมื่อเห็นรัตติกาลทำหน้างงใส่ เขารับน้ำแข็งเปล่ามาจากเด็กเสิร์ฟแล้วจัดแจงรินน้ำชาจางๆจากเหยือกที่ทางร้านบริการให้ฟรี ร่างสูงยื่นให้คนที่ยังงงอยู่หนึ่งแก้วแล้วหยิบอีกแก้วที่เหลือขึ้นมาดื่มผ่านหลอดด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนที่จะตอบกลับไปราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่น่าตกใจนัก

 

“ตอนเด็กๆมีปัญหานิดหน่อยเลยได้เรียนมัธยมช้ากว่าคนอื่น”

 

“ปัญหาอะไรทำไมถึงช้าขนาดนี้”

 

ตามปกติส่วนใหญ่เด็กที่เพิ่งจบจากรั้วมหาวิทยาลัยจะอยู่ในช่วงอายุประมานยี่สิบสองปีถ้าไม่นับเด็กซิ่วหรือคณะที่เรียนนานกว่าปกติอย่างหมอหรือพยาบาล แต่นี่กลับอายุมากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันถึงห้าปี หมายความว่าในขณะที่อารัณย์เข้าเรียนชั้นมอหนึ่งเพื่อนรุ่นเดียวกันก็ขึ้นมอหกกันหมดแล้ว

 

“เรื่องที่บ้านน่ะ ไม่น่าฟังนักหรอก เอาเป็นว่ามึงแก่กว่ากูแค่สองปีคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมถ้ากูจะไม่คิดจะเรียกมึงว่าพี่”

 

อารัณย์ยังคงยียวนได้อย่างหน้าตาเฉยแล้วปล่อยให้เขาสงสัยอยู่แบบนั้น รัตติกาลอยากรู้แต่ก็ไม่อยากจะถาม ช่วงเวลาที่หายไปกว่าห้าปีของเด็กคนหนึ่งเหตุผลที่ทำให้มันเป็นอย่างนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่

 

“เอาเถอะ อยากเรียกอะไรก็เรียก ให้ผมทำใจคงง่ายกว่าเปลี่ยนใจคุณ”

 

“หึหึ”

 

ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ กับข้าวต่างๆก็ถูกทยอยมาเสิร์ฟเสียจนเต็มโต๊ะ ข้าวต้มร้อนๆควันลอยฉุยถูกวางลงเป็นอย่างสุดท้าย รัตติกาลจัดแจงหยิบทั้งช้อนส้อมและตะเกียบให้อารัณย์อย่างรู้งาน ร่างโปร่งตักผัดกระเฉดทานเป็นอย่างแรก เต้าเจี้ยวเม็ดกลมๆเป็นหนึ่งในของโปรดของรัตติกาลที่บังเอิญถูกปรุงมาพร้อมกับผักกระเฉดที่เขาชอบมากเช่นเดียวกัน

 

ในจังหวะที่รัตติกาลกำลังตักอาหารเข้าปาก ไข่ที่ถูกหมักจนกลายเป็นสีดำเข้มก็ถูกวางลงบนจานพร้อมกับหมูสับที่ส่งกลิ่นร้อนแรงของใบกะเพรา ยังไม่ทันที่ร่างโปร่งจะได้กล่าวขอบคุณ ลมหายใจที่ร้อนไม่แพ้กันก็เป่ารดเข้าที่ใบหูนิ่มของเขาจนเผลอวางช้อนในมือลงทั้งอย่างนั้น

 

“กะเพราไข่เยี่ยวม้าร้านนี้อร่อยมาก กินเยอะๆนะครับ...พี่กาล”

 

ร่างโปร่งนั่งนิ่งเหมือนโดนสาปในขณะที่อารัณย์กลับลงไปนั่งที่ของตัวเองแล้วลงมือทานทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แถมยังมีการยักคิ้วเข้มๆนั่นใส่เขาอีกต่างหาก ถึงร้านนี้จะไม่ติดแอร์แต่ก็ไม่ได้อบอ้าวจนน่าอึดอัด แต่ตอนนี้รัตติกาลกลับกำลังรู้สึกทั้งร้อนและอึดอัดจนต้องรีบยกน้ำดื่มเพื่อให้ทั้งตัวและใจเย็นลงก่อนที่เหตุการณ์นองเลือดจะเกิดขึ้น

 

“ไอ้เด็กเวร!”

 

รัตติกาลกัดฟันพูดแล้วตักข้าวคำโตเข้าปาก แต่แทนที่คนถูกด่าจะสำนึก อารัณย์กลับหัวเราะออกมาดังๆจนคนทั้งร้านหันมามองครู่หนึ่งแล้วค่อยหันกลับไปเมื่อเห็นว่าโต๊ะนั้นมีเพียงผู้ชายหน้าตาดีสองคนกำลังฟาดฟันกันทางสายตาเท่านั้น

 

 

หนึ่งคนกำลังก้มหน้าก้มตากินข้าว

 

แล้วช้อนตาขึ้นมองฝั่งตรงข้ามเขม็งเป็นพักๆ

 

ในขณะที่อีกหนึ่งคนกำลังมองฝั่งตรงข้ามกันด้วยรอยยิ้ม

 

ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวเป็นพักๆเช่นเดียวกัน

 

.
:o8:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :-[
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-08-2015 00:17:37 โดย vivacestory »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

 

“อะ กูเลี้ยง”

 

รัตติกาลก้มมองลอดช่องสิงค์โปรที่อีกฝ่ายยื่นมาให้พร้อมกับถุงที่มีกุยช่ายและก๋วยเตี๋ยวหลอดชุดใหญ่อยู่ในนั้น อารัณย์จัดการยัดมันใส่มือรัตติกาลที่ไม่รับมันไปสักทีก่อนจะลงมือกินลอดช่องอีกแก้วที่ซื้อให้ตัวเอง ร่างโปร่งมองคนที่บอกให้เขายืนรออยู่หน้าร้านข้าวต้มที่เพิ่งทานกันเสร็จแล้วเดินหายไปพักใหญ่ก่อนจะกลับมาพร้อมกับขนมและของว่างมากมายพวกนี้ทำให้รัตติกาลรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เลี้ยงขอบคุณอารัณย์จริงๆจังๆอย่างที่ตั้งใจไว้

 

“กุยช่ายกับก๋วยเตี๋ยวหลอดฝากให้ป้าจันทร์กับรพี เจ้านี้เขาอร่อยกูกินประจำ”

 

“ขอบใจ”

 

รัตติกาลยอมรับของฝากพวกนั้นแต่โดยดี เขาก้มลงดูดลอดช่องจากหลอดขนาดใหญ่พอที่จะนำเส้นแป้งสีเขียวเหนียวนุ่มนั่นลงคอได้อย่างไม่ลำบาก รสชาติที่หวานมันกำลังดีทำให้รัตติกาลนึกติดใจ อดนึกเสียดายไม่ได้ว่าเขาน่าจะมาเดินหาของกินแถวนี้ดูบ้างไม่ใช่แค่มองดูเหมือนอย่างก่อนหน้า

 

ร่างโปร่งพาลนึกถึงคนบางคนที่ห่างหายกันไปตั้งแต่เกิดเรื่องวุ่นวายทั้งหมด นอกจากการติดต่อกันผ่านโทรศัพท์และโปรแกรมแชทก็เกือบเดือนแล้วที่เขาไม่ได้เจอกับปูน เด็กหนุ่มที่ตัวเองได้สานสัมพันธ์ไว้  รัตติกาลถือถุงของว่างและแก้วลอดช่องไว้ในมือเพียงข้างเดียวก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาคนที่กำลังคิดถึงโดยมีอารัณย์แอบชำเลืองมองอยู่ไม่ห่าง ร่างโปร่งรออยู่สักพักก่อนที่ปลายสายจะกดรับ เสียงที่แหบพร่าราวกับคนไม่สบายดังขึ้นทำให้รัตติกาลอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

 

“ครับ พี่กาล”

 

“เสียงแย่เชียว ไม่สบายหรอปูน”

 

อารัณย์ที่ได้ยินร่างโปร่งเรียกชื่อนั้นเผลอบีบแก้วพลาสติกในมือแรงขึ้นจนน้ำกะทิไหลออกมาเลอะมือของตนแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ เขามองไปยังรัตติกาลที่มองตรงไปข้างหน้า คิ้วเข้มขมวดกันเป็นปมด้วยความเป็นห่วงขนาดที่คนฟังยังรู้สึกได้

 

ภายในตัวของอารัณย์กำลังรู้สึกอึดอัด ชายหนุ่มแปลกใจ เขาไม่ได้กินมากไปกว่าปกติ ทุกครั้งที่ออกมาหาของกินยังถนนเส้นนี้ เขาจะแวะกินข้าวที่ร้านข้าวต้ม แล้วตามด้วยลอดช่องเจ้าอร่อยตบท้าย วันนี้เขาก็กินเหมือนเดิมเพียงแค่เก้าอี้ตัวตรงข้ามไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนเช่นทุกครั้ง อาแปะที่ขายลอดช่องเผลอทำให้เขาเพียงแก้วเดียวทั้งที่วันนี้เขาสั่งถึงสองแก้วเลยทำให้เขาเดินกลับมาหารัตติกาลช้า

 

อาแปะบอกว่าโทษแกไม่ได้เพราะปกติเขาสั่งลอดช่องแค่แก้วเดียว

 

ใช่...มันเป็นเรื่องปกติที่เขาควรจะต้องเดินบนทางสายนี้เพียงลำพัง

 

และมันก็เป็นเรื่องปกติเหมือนกัน...ที่รัตติกาลจะห่วงใยคนของตัวเอง

 

มันเป็นเรื่องปกติ...ที่ไม่ปกติเอาเสียเลย

 

 

 

 

 

“พี่อยู่แถวหอปูน อยากกินอะไรไหมพี่จะแวะเอาไปให้”

 

“ไม่ดีกว่าครับ...ปูนกำลังจะนอนแล้ว”

 

“นอน? ตอนนี้เนี่ยนะ ไม่สบายหรอครับ”

 

“...ครับ ปูนปวดหัวมากเลย”

 

“ปวดมากไหม ให้พี่ขึ้นไปดูเราดีกว่า”

 

“ไม่เป็นไรครับ ปูนกินยาแล้วแค่นอนพักเดี๋ยวก็หาย พี่กาลไม่ต้องมาหรอก”

 

“แน่ใจนะ”

 

“ครับ”

 

รัตติกาลยอมพยักหน้าอย่างจำใจทั้งที่เป็นห่วง เขาบอกลาเด็กหนุ่มอยู่สักพักก่อนจะวางสายแล้วหันกลับไปมองคนที่เดินเยื้องอยู่ด้านหลัง อารัณย์ยังคงเดินตามเขามาเช่นเดิมเพียงแต่ใบหน้าคมเข้มนั้นเสหันไปมองที่อื่นไม่ยอมสบตา

 

ชายหนุ่มมองแก้วลอดช่องในมือใหญ่ๆนั่น มันยังคงไม่พร่องไปจากเดิมทั้งที่แต่กลับมีคราบสีขาวไหล่เลอะจนอดคิดไม่ได้ว่าอารัณย์ถือมันประสาอะไร เขาเก็บมือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงเช่นเดิมแล้วหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีเดียวกับเสื้อสูทออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ช่วงขายาวหยุดลงรอจังหวะให้คนตัวสูงก้าวมาทันกัน รัตติกาลเอื้อมรั้งอารัณย์ไว้ เขาใช้ผ้าผืนเล็กของตัวเองเช็ดไปยังมือของอีกฝ่ายที่เปรอะเปื้อนโดยไม่เสียดายราคาที่เทียบกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

 

“ถือไม่ระวังเอาซะเลย แบบนี้น่ะหรอจะไม่ให้คิดว่าคุณเด็กกว่า”

 

“...”

 

“แล้วก็รีบๆกินไปได้แล้ว ขืนรอน้ำแข็งละลายหมดก็ไม่อร่อยกันพอดี”

 

“มึงทำแบบนี้ให้ทุกคนรึเปล่า”

 

“...!?”

 

รัตติกาลชะงักเมื่อสบเข้ากับแววตาที่ทอด้วยความสงสัยของอีกฝ่าย เขาไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่เข้าใจในสิ่งที่อารัณย์ตั้งใจจะถาม แต่รัตติกาลไม่คิดว่าอารัณย์จะหมายความว่าแบบนั้น มันไม่มีเหตุผลอะไรที่อารัณย์จะตัดพ้อเขา คนที่ชิงชังเขามาตลอดอย่างอารัณย์ไม่มีทางจะสนใจหรอกว่าเขาทำแบบนี้ให้กับทุกคนรึเปล่า รัตติกาลเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบนิ่ง เขาพยายามไม่หลบสายตาของอีกฝ่ายที่มองมา แผ่นหลังกว้างเหยียดตรงเหมือนอย่างที่เป็นมาตลอด รัตติกาลที่เย้อหยิ่งและเย็นชา...จะต้องไม่หวั่นไหวจนคิดเข้าข้างตัวเองอย่างน่าสมเพช

 

“หมายถึงอะไรล่ะ กินข้าว เดินถนน หรืออะไร”

 

“ทุกอย่าง”

 

“...ผมทำมัน กับทุกคนที่พอใจ”

 

“...”

 

“แต่อย่าห่วงไป กับคุณผมแค่เลี้ยงขอบคุณ...ไม่ได้มีเจตนาแฝงอะไรทั้งนั้น”

 

อารัณย์มองรอยยิ้มของรัตติกาลด้วยความรู้สึกแปลกไปกว่าทุกครั้ง เขาเคยคิดว่ามันสวยงามจนไม่อยากละสายตา แต่ตอนนี้เขากลับไม่อยากเห็นมัน ไม่อยากให้รัตติกาลยิ้มให้เขาด้วยความรู้สึกแบบนี้ อารัณย์คว้าเอาผ้าเช็ดหน้าในมือของอีกฝ่ายมาถือไว้เอง เขากำมันจนแน่นขณะที่ไม่แม้แต่จะเปรยตามองผู้เป็นเจ้าของ ชายหนุ่มเดินตรงไปข้างหน้าไม่อยากจะเป็นผู้เดินตามหลังอย่างที่เคยเป็นมา เขายกลอดช่องดูดกินรวดเดียวจนหมดก่อนจะโยนแก้วเปล่าทิ้งไป

 

“แยกกันตรงนี้แล้วกัน ผมจะเดินไปขึ้นรถที่ถนนใหญ่”

 

“เดี๋ยวกูไปส่ง”

 

“ไม่ต้องหรอก จะย้อนไปย้อนมาทำไม”

 

“กูคิดถึงรพี...อยากเจอหน้า”

 

“...”

 

“ก็แค่กูจะไปส่ง...ไม่ได้มีเจตนาแฝงอะไรทั้งนั้น...ไม่มี”

 

รัตติกาลมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายที่ยังคงไม่หันมามองเขา ก่อนจะยอมเดินตามอารัณย์ไปโดยปล่อยให้ความเงียบเป็นสิ่งเชื่อมโยงระหว่างเขาสองคน ร่างสูงสตาร์ทมอเตอร์ไซด์คันโปรดที่ถูกจอดทิ้งไว้กว่าสองอาทิตย์โดยไม่ได้ใช้งาน อารัณย์นำกระเป๋ามาสะพานด้านหน้าเพื่อให้รัตติกาลสามารถนั่งซ้อนได้อย่างสบายทั้งที่ควรจะนำสัมภาระไปเก็บก่อนแต่พี่เลี้ยงหนุ่มกลับบอกเขาว่ามันเสียเวลา

 

สายลมเย็นที่พัดกระทบใบหน้าทำให้รัตติกาลรู้สึกดี เช่นเดียวกับกลิ่นโคโลญอ่อนๆที่พอมาใกล้ชิดกันแบบนี้ร่างโปร่งถึงเพิ่งสัมผัสได้ เพราะมีหมวกกันน็อคแค่ใบเดียวรัตติกาลจึงไม่สามารถเห็นใบหน้าของอารัณย์ได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันก็ดีแล้ว การมองไม่เห็นมันดีกว่าการเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น

 

เขาคิดถึงใบหน้าโกรธจัดของอารัณย์ในวันแรกที่พบกัน เขาคิดถึงใบหน้าชิงชังของอารัณย์ที่มองมายังเขายามที่อีกฝ่ายต้องการปกป้องรพี เขาคิดถึงใบหน้าคาดคั้นของอารัณย์ที่ถามถึงอดีตของเขา เขาคิดถึงใบหน้าเป็นห่วงของอารัณย์ที่พูดสั่งให้เขาพักผ่อน...เขาคิดถึงใบหน้าที่แสนสับสนของอารัณย์...และคิดว่าเขาไม่น่าเห็นมันเลย

 

“หลับหรอ”

 

เสียงอู้อี้ของอารัณย์ดังขึ้นปะทะกับสายลมแต่ก็ยังฟังชัดเจน

 

“เปล่า”

 

“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งดีๆ เดี๋ยวตก”

 

“...อืม”

 

“...”

 

“นี่อารัณย์...วันนี้ขอบใจมากนะ”

 

“...”

 

“สองอาทิตย์ที่ผ่านมา...ขอบคุณมาก”

 

“...”

 

“ต่อจากนี้เราสองคนก็...จะได้ใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองสักที”

 

“หึ...ปกติงั้นหรอ”

 

 

รัตติกาลไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาหลับตาลงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลืมตามองแสงไฟสีส้มที่ส่องเป็นทางยาว เส้นทางที่คุ้นเคยกับเพื่อนร่วมทางที่ไม่คุ้นเคย ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เส้นทางสายนี้จะเหลือเพียงแค่เขาเช่นเดิม จะเหลือเพียงแค่เขาที่ต้องเดินไปเพียงลำพังเหมือนเช่นทุกครั้ง มันดีแล้ว สิ่งที่ปกตินั้นหมายถึงสิ่งที่ไม่สามารถทำลายเราได้ เพราะมันเป็นปกติเขาถึงยังได้ดำรงอยู่ เพราะความเดียวดายอย่างที่เคยเป็นมาทำให้เขายังไม่ล้มลงไป เพราะฉะนั้น...เขาจึงควรปล่อยสิ่งที่ไม่ปกติให้หายไปซะ

 

 

 

เครื่องยนต์สองล้อเลี้ยวเข้ามายังปากทางเข้าหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยร้านรวงเช่นเดียวกับหมู่บ้านอื่นๆก่อนความวุ่นวายจะค่อยๆหายไปเมื่อเข้าสู่โซนที่พักอาศัย ไฟข้างทางที่มีอยู่เป็นระยะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มอบแสงสว่างให้ถนนที่มืดมน รัตติกาลนั่งหลังตรงเมื่อคลายความเมื่อยล้า เขาจะกลับไปนอนพักยังบ้านของตัวเองตามที่รับปากกับรพีไว้แลกกับการออกมาเลี้ยงส่งอารัณย์จนต้องเบี้ยวมื้อเย็นกับทางบ้าน

 

เขามองตรงไปข้างหน้าก่อนจะก้มลงไปมองกระจกมองข้างที่สะท้อนให้เห็นหมวกกันน็อคใบใหญ่ที่ปกคลุมหน้าของอารัณย์จนมิด ก่อนที่หางตาของรัตติกาลจะสังเกตเห็นเงาตะคุมที่เคลื่อนที่ตามมาด้วยความเร็วพอๆกัน

 

“อะไรน่ะ...”

 

รัตติกาลรำพันกับตัวเองก่อนจะหันหลังกลับไปมอง รถมอเตอร์ไซด์สีดำสนิทเช่นเดียวกับเงาของคนสองคนที่ซ้อนกันอยู่บนนั้น ร่างโปร่งขมวดคิ้วเมื่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเปิดไฟหน้าทั้งที่ถนนแถวนี้มืดมากแม้จะมีไฟทางคอยส่อง ในขณะที่รัตติกาลกำลังสงสัยในท่าทางมีพิรุธเหล่านั้น เขากลับต้องเบิกตาขึ้นเมื่อเห็นแสงแวววับสะท้อนมาจากฝั่งนั้น เขาภาวนาให้มันไม่ใช่ แต่จู่ๆรถคันนั้นก็เร่งความเร็วขึ้นจนเกือบตามมาทัน รัตติกาลเห็นสิ่งที่อยู่ในมือคนพวกนั้นชัดขึ้นและสิ่งที่เขากลัวก็เป็นจริง

 

“อารัณย์หนีเร็ว มีคนตามเรามา!!!”

 

“ห๊ะ!!?”

 

“มันมีปืน เลี้ยวเข้าซอยข้างหน้าเร็ว!!!”

 

 

 

 

ปัง!!!!

 

 

 

 

เสียงดังราวกัมปนาทดังขึ้นทำให้อารัณย์เผลอสะดุ้งจนหน้ารถส่าย เขารีบตั้งสติแล้วหักเลี้ยวไปยังซอยตามที่รัตติกาลบอกโดยที่ผู้ที่มอบคำเตือนให้กับเขากำลังกำชายเสื้อของเขาแน่น

 

“กาลเป็นอะไรไหม!! กาล!!!”

 

“ผมไม่เป็นไร เราต้องรีบออกไปจากที่นี่!!!”

 

อารัณย์มองกระจกมองหลัง เขายังเห็นเงาตะคุมขับตามมาด้วยความเร็วที่ไม่ต่างกันมากจึงยังพอทำให้สามารถรักษาระยะได้อยู่แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ เขาบิดเร่งความเร็วให้มากขึ้นเพื่อให้ไปถึงบ้านของรัตติกาลก่อนที่อีกฝ่ายจะตามทัน แต่มือที่เคยกำชายเสื้อของเขาไว้เปลี่ยนมาเป็นคว้าเข้าที่คอเสื้อด้านหลังของเขาจนเต็มแรงก่อนรัตติกาลจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดันและเด็ดขาด

 

“อย่าไปทางนั้น จะกลับไปบ้านผมไม่ได้!!!”

 

“ทำไม อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว ตอนนี้เราต้องเข้าไปหลบก่อน!!!”

 

“ไม่ได้!!! รพีอยู่ที่นั่น เราจะปล่อยให้พวกนี้ตามไปถึงบ้านไม่ได้!!!”

 

“...!!!!”

 

“ที่บ้านมีแต่ผู้หญิง คนแก่ กับเด็ก มันอันตรายเกินไป เราต้องไปที่อื่น...”

 

รัตติกาลหยุดนิ่งไปแต่ในขณะเดียวกันระยะห่างกับรถของคนร้ายก็สั้นลงเรื่อยๆ เพราะปืนของมันไม่เก็บเสียงอารัณย์จึงหายห่วงว่ามันคงไม่คิดยิ่งมั่วซั่วจนชาวบ้านต้องแจ้งตำรวจ เขารู้ว่ารัตติกาลกำลังคิดอะไร ร่างโปร่งคงกำลังคิดหาสถานที่ที่พวกเขาจะสามารถหลบหนีจากดงกระสุนนี้ไปได้โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

 

“กูมีอยู่ที่หนึ่ง...เราต้องหลบไปที่นั่นก่อน”

 

“จะที่ไหนก็ได้ขับไปซะ เดี๋ยวผมจะโทรบอกชาติเอง”

 

“ดี เอาตามนั้น แล้วบอกมันด้วยว่า...กาล!!! ก้มหัวลง!!!”

 

 

 

ปัง!!!! ปัง!!!!!

 

 

 

รัตติกาลก้มตัวลงอย่างที่อารัณย์ว่าพร้อมกับยกมือปิดหูไว้แน่น พวกเขาคิดผิดว่าคนร้ายจะไม่กล้ายิงพวกเขาทั้งที่ระยะห่างยังไม่ใกล้พอแต่ดูเหมือนพวกมันจะไม่อยากรออีกแล้ว รัตติกาลตัวสั่นเทา เขาห้ามความรู้สึกกลัวในใจตนเองไม่ได้แต่ก็พยายามข่มมันเพื่อไม่ให้สติที่หลงเหลืออยู่หายไป ร่างโปร่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวที่คุ้นเคยดี กลิ่นที่เขาแสนเกลียดเพราะความทรงจำร้ายๆที่ตามหลอกหลอนเขามาตลอด และบัดนี้มันกลับฉุนราวกับจ่ออยู่ที่ปลายจมูก

 

“อารัณย์! คุณโดนยิง!!”

 

“กูไม่เป็นไร!”

 

ทำเป็นปากเก่งแต่อารัณย์กำลังทรมานจนต้องกัดฟันของตัวเองไว้แน่น เขารู้สึกได้ถึงสัมผัสเปียกชื้นแถวแขนของตัวเองแต่บริเวณที่คิดว่าลูกตะกั่วเข้าไปฝั่งอยู่มันชาจนเขาไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกอะไรได้อีก ชายหนุ่มพยายามประคองรถไว้ไม่ให้ล้มถ้าหากพลาดขึ้นมาพวกมันคงไม่ปล่อยให้เขาแก้ตัวเป็นครั้งที่สอง

 

“เลือด...คุณเลือดออก...รัณย์ เลือดคุณ!!!”

 

“ตั้งสติกาล!!! กูไม่เป็นอะไร!!!”

 

“อะ อืม แต่แขนคุณ..เราต้องห้ามเลือด มันไหลใหญ่แล้ว!”

 

“...กอดกูไว้แน่นๆ”

 

อารัณย์ตัดสินใจดับไฟหน้ารถของตัวเองเช่นเดียวกับรถของคนร้าย กว่าจะรู้ตัวเขาก็สังเกตได้ว่ารถของเขาขับเข้ามาใกล้ไซต์ก่อสร้างที่รพีเคยโดนจับตัวมา ร่างสูงอาศัยความชินทางจากตอนที่มักจะใช้เส้นทางนี้เดินลัดไปยังหลังหอพัก แต่เขาจะไม่กลับไปที่นั่น...

 

ร่างสูงเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด ถ้าเกิดมีใครสักคนหรืออะไรตัดหน้าตอนนี้พวกเขาคงตายกันทั้งคู่แต่อารัณย์ก็ไม่สามารถผ่อนคันเร่งได้ ความชาบริเวณแผลที่โดนยิงเริ่มหายไปกลายเป็นความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่ เขารู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่เต้นตุบๆมันเหมือนว่าแขนของเขาจะปริออก ทรมานจนอยากร้องออกมาดังๆแต่ก็ทำไม่ได้

 

ถ้าเขาสติแตกตอนนี้ รัตติกาลคงประคองตัวเองต่อไปไม่ได้

 

 

“อีกนิดเดียวกาล อีกนิดเดียว...”

 

เขาเลี้ยวเข้าไปยังทางลัดอีกทางที่ทั้งรกร้างและไร้แสงไฟ มันเสี่ยงและไม่รู้เลยว่าคนร้ายจะมีพวกอื่นแอบซุ้มดักพวกเขาอยู่อีกรึเปล่า แต่อารัณย์ต้องไป เขาต้องพารัตติกาลไปให้พ้นจากที่นี่ให้ได้ เขาหรี่ตาเมื่อเห็นแสงไฟจากถนนใหญ่ใกล้เข้ามาทุกที อารัณย์ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองข้างหลังว่าอีกฝ่ายยังขับตามมาอีกไหม สิ่งเดียวที่ทำให้เขายังคงตรงไปข้างหน้านั่นก็คืออ้อมแขนที่สั่นระริกของคนที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง รัตติกาลกำลังสั่นแต่ถึงอย่างนั้นร่างโปร่งก็ไม่คิดจะปล่อยเขาไป

 

“เราต้องปลอดภัยกาล เราต้องปลอดภัย”

 

“...”

 

“เชื่อใจกูนะ...”

 

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!!

ตอนนี้ความยาวปกติ แต่ครบรสเลยค้าบบบ  :oo1: ปรับอารมณ์กันทันใหม่หลังจากที่ดราม่ามาเมื่อตอนที่แล้ว ^^ พักนทีไปก่อนให้อารัณย์มีบทบ้าง โดนแซะจะแย่แล้ว แต่กลับมาที่กลายเป็นต้องเสียเลือดเซ่นเช่ซะอย่างงั้น แหม เข้าพล็อตละครไทยจริงๆเนอะ แต่เอาเถอะ เช่แม่งก็เป็นพวกที่โตมากับละครไทยนี่แหละ (ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ได้ดูเลย ดูแต่วายจีน วายยุ่น คิคิ) ติดตามกันต่อไปนะคับ!

ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวต มีความสุขมากคับ เพิ่งครบรอบสองเดือนของไนท์แมร์ไปหมาดๆ เราอยู่ด้วยกันมาถึงสองเดือนแล้วนะให้ตายสิ เช่รู้สึกเหมือนคนที่ตามอ่านเหมือนผู้กล้าเลย ต้องทนกับความดาร์กของเช่ไปเพื่อพบกับแสงสว่าง โฮกกกก โคตรเท่ Survivor สุด!!! แต่ไม่ต้องห่วง ความมุ้งมิ้งเล็กๆกำลังรอเราอยู่คับ ขอบคุณทุกคนเลยนะที่ติดตามกันมา แล้วก็ช่วยติดตามกันต่อไปด้วยนะ^^


 :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-08-2015 00:19:29 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ PK13

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อารัณย์ดูเท่ห์เลยยยยยยยยยยยย
ค้างเลยอ่ะ รออ่านตอนต่อไปน้าาาาา
รอความมุ้งมิ้งของกาลลลลลล  555555

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อารัณย์มุ้งมิ้งกว่ากาลอีกอะ ขี้แกล้งตลอด
คนเขียนแต่งฉากของกินเก่งจริงๆนะคะ
เรานี่ลุกไปเปิดตู้เย็นเลย

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ง๊าาา!! อารายเนี่ย

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เข้ามารอตอนต่อไป ค้างๆๆๆ

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

28th Night

 
…I’m not joking...


 

 

 

เสียงลมหายใจถี่หอบของนิลดังก้องไปทั่วทางเดินที่เงียบสงัด นักเขียนหนุ่มที่เพิ่งทิ้งงานของตัวเองสาวเท้าพาร่างกายอันเหนื่อยล้าวิ่งไปยังรถยนต์คันคุ้นตาซึ่งกำลังจอดเทียบฟุตบาทอยู่ไม่ไกลจากคอนโดส่วนตัวของเขา

 

 

“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าไอ้กาลโดนดักยิง!!!”

 

 

นิลตะคอกถามนายตำรวจหนุ่มที่มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกันด้วยเสียงอันดัง แต่ฤทธิชาติไม่มีแม้แต่เวลาที่จะหยุดตอบ ชายหนุ่มเปลี่ยนเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งพารถส่วนตัวไปยังงสน.ที่ตัวเองประจำอยู่ เขาหยุดรอให้คนที่รีบออกมาทั้งที่สวมใส่ชุดอยู่บ้านได้พักหายใจครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายให้นิลได้รับรู้

 

 

“เมื่อประมานชั่วโมงที่แล้วมีชาวบ้านโทรมาแจ้งว่าได้ยินเสียงปืนแถวบ้านพัฒนเดชา สายตรวจที่อยู่แถวนั้นเลยเข้าไปดูแล้วเจอรอยเลือดอยู่บนพื้นถนนในซอยใกล้ๆกับบ้านคุณกาล”

 

 

“ไอ้กาลบอกว่าวันนี้จะกลับบ้าน...มันถูกยิงงั้นหรอ!”

 

 

ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะหันไปถามคนข้างๆซึ่งยื่นมามากอบกุมมือของเขาไว้หวังปลอบให้อีกคนใจเย็นลงสักหน่อย

 

 

“ผมโทรเข้าไปถามที่บ้านนั้นแล้ว ป้าจันทร์บอกว่าคุณกาลยังไม่กลับบ้าน เห็นว่าพารัณย์ไปเลี้ยงขอบคุณ”

 

 

“แล้วคุณติดต่อสองคนนั้นรึยัง”

 

 

“สายติดแต่ไม่มีคนรับทั้งสองเบอร์”

 

 

ความจริงที่ได้รับฟังยิ่งทำให้นิลแทบคุมสติไว้ไม่อยู่ ทั้งที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเสียงปืนที่ชาวบ้านได้ยินนั้นเกี่ยวข้องกับเพื่อนของตนไหม หรือแม้แต่เลือดที่ตำรวจพบจะเป็นเลือดของใครแต่เขาก็ห้ามความคิดแง่ร้ายของตนเองไม่ได้อยู่ดี

 

 

“ตอนนี้ตำรวจกำลังทำเรื่องของตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากร้านสะดวกซื้อและบ้านพักแถวนั้นแต่ก็ต้องใช้เวลา ระหว่างนี้เราต้องพยายามติดต่อสองคนนั้นให้ได้”

 

 

“...คุณได้บอกป้าจันทร์เรื่องเสียงปืนรึเปล่า”

 

 

“ไม่ครับ...”

 

 

“ดีแล้วแหละ”

 

 

นิลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทั้งคู่ต่างนั่งเงียบจนเดินทางมาถึงยังที่หมายที่มีนายตำรวจบางส่วนยังคงปฏิบัติงานอยู่ทั้งที่เวลาล่วงมาเกือบค่อนคืน นิลเดินเข้าไปนั่งพักในห้องทำงานของชายหนุ่มที่ตัวเองกำลังดูใจด้วยตามคำบอกของฤทธิชาติที่ขอตัวไปติดต่อกับสายตรวจคนที่ว่า เขานั่งกุมขมับด้วยความกังวลแต่ก็ไม่อาจปล่อยตัวเองให้อ่อนแอในสถานการณ์แบบนี้ได้ นิลพยายามตั้งสติแล้วเริ่มต่อสายหาเพื่อนรักอีกครั้ง เสียงสัญญาณเป็นจังหวะดังขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

 

 

“รับสิวะกาล...”

 

 

เขาลองสลับไปโทรเข้าเบอร์ของพี่เลี้ยงหนุ่มที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของรัตติกาลมากเหลือเกินในระยะหลัง เสียงสัญญาณเป็นจังหวะดังขึ้นไม่ต่างจากเบอร์ของรัตติกาลจนรู้สึกท้อใจ นิลต่อสายไปซ้ำๆเกือบสิบครั้งแต่ก่อนที่เขาจะกดตัดสายทิ้งเพื่อลองโทรใหม่ เสียงแผ่วที่แทรกเข้ามาก็ทำให้เขาหยุดชะงักแล้วรีบพูดกลับไปโดยไม่ทันฟังว่าปลายสายพูดว่าอะไร

 

 

“อารัณย์ มึงได้ยินกูรึเปล่า!!!”

 

 

“นิล นี่กูกาลเอง”

 

 

“ไอ้กาล! ทำไมมึงไม่รับสาย แล้วนี่มึงอยู่ไหน!!!”

 

 

นิลทั้งดีใจและตกใจเมื่อได้ยินเสียงของรัตติกาลดังขึ้นมาแทนที่ เขารีบลุกขึ้นแล้วสืบเท้าไปหาฤทธิชาติที่นั่งคุยกับนายตำรวจคนอื่นอยู่อีกห้อง ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมาเมื่อนิลถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตแต่เมื่อได้ยินว่านิลกำลังพูดอยู่กับใครเขาก็รีบรุดหน้าเขาไปหาด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน

 

 

“ตอนนี้กูมาหลบอยู่แถวพระรามสอง มึงรู้เรื่องที่มีคนดักยิงพวกกูแล้วใช่ไหม”

 

 

“เออ ตอนนี้กูอยู่สถานีตำรวจตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าเป็นมึงเหมือนกัน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่วะ อย่าบอกนะว่ามันเกี่ยวกับเรื่องในบริษัท”

 

 

“นิลครับ ผมขอพูดกับกาลหน่อยได้ไหม”

 

 

ผู้หมวดหนุ่มเอ่ยขัดขึ้นเมื่อคนข้างๆเริ่มสันนิษฐานไปเอง ถึงแม้จะมีความคิดที่คล้ายๆกันแต่เขาก็ไม่สามารถที่จะตัดประเด็นอื่นทิ้งได้หากยังไม่มีการสืบสวน นิลมองหน้าคนที่เข้ามาขัดจังหวะอย่างไม่เข้าใจ แต่พอเห็นแววตาจริงจังของอีกฝ่ายเขาก็เริ่มมีสติแล้วยินยอมที่จะยื่นโทรศัพท์ของตัวเองไปให้แม้ว่าจะยังไม่คลายกังวลก็ตาม

 

 

“กาล นี่ผมชาตินะครับ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน มีใครบาดเจ็บอะไรรึเปล่า”

 

 

“ผมมาหลบอยู่ที่ปั้มแถวพระรามสอง ผมไม่เป็นอะไรแต่อารัณย์โดนยิง!”

 

 

รัตติกาลไม่อาจหยุดเสียงที่สั่นของตัวเองได้ อารัณย์พยายามประคองทั้งรถและคนที่เริ่มสติหลุดเมื่อเห็นเลือดอย่างเขาไว้จนมาถึงที่นี่ก่อนจะทรุดตัวลงไปทันทีที่ลงจากรถ ใบหน้าที่เคยมีสีสันกลับซีดขาว ร่างโปร่งนึกตำหนิตัวเองในใจที่ควบคุมความกลัวไม่ได้จนทำให้อารัณย์ต้องลำบาก

 

 

ชายหนุ่มไม่กล้าแตะต้องปาดแผลเหวอะหวะบนต้นแขนขวา จึงได้แต่ใช้อุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่พอจะหาซื้อได้จากร้านค้าใกล้ๆมาเช็ดทำความสะอาดปากแผลเท่าที่ทำได้ในมุมเล็กๆของปั้มน้ำมันที่ไม่มีใครเดินผ่านเพราะทั้งกลัวและหวาดระแวงว่าอาจจะยังมีคนตามฆ่าเขาอยู่ รัตติกาลจึงไม่กล้ากระโตกกระตากขอความช่วยเหลือจากใครหรือแม้แต่พาอารัณย์ไปส่งโรงพยาบาล

 

 

“ใจเย็นๆนะครับกาล อารัณย์โดนยิงที่ไหน แล้วยังมีสติอยู่รึเปล่าครับ”

 

 

“โดนยิงที่ต้นแขนข้างขวาครับ ผมปฐมพยาบาลไปแล้วแต่ไม่รู้ว่าหัวกระสุนมันฝังอยู่ด้วยรึเปล่า แถมตอนนี้อารัณย์ยังสลบไปอีก”

 

 

รัตติกาลมองใบหน้าไร้สีของร่างที่เขาประคองให้นอนลงบนม้านั่ง เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวกับที่ยื่นให้อารัณย์เมื่อตอนหัวค่ำมาล้างน้ำให้สะอาดบิดให้หมาดแล้วเช็ดตามใบหน้าของร่างสูงหวังให้อีกคนรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง

 

 

“กาลห้ามเลือดให้เขาแล้วรึยังครับ”

 

 

“ผมทำแล้วครับ...อยากพาเขาไปโรงพยาบาล แต่ผมก็ไม่กล้า ไม่รู้ว่าจะยังมีใครตามเรามาอีกรึเปล่า”

 

 

ร่างโปร่งพยายามมองฝ่าความมืดสังเกตไปรอบๆ ในเวลาปิดทำการของปั้มน้ำมัน นอกจากสุนัขจรจัดแล้วก็ไม่มีแม้แต่เงาของพนักงานสักคน เหลือไว้เพียงแสงไฟเพียงไม่กี่ดวงที่ยังพอให้แสงสว่างได้บ้าง

 

 

รัตติกาลกำลังสั่นไม่ว่าด้วยความกลัวหรืออะไรก็ตามแต่ ร่างโปร่งพยายามบอกตัวเองว่าให้เข้มแข็งไว้ ชายหนุ่มมองใบหน้าของคนที่พยายามปกป้องเขาจนตัวเองล้มพับไปด้วยความเป็นห่วง คำพูดที่มอบให้กันยามที่ความกลัวครอบงำหัวใจยังคงก้องอยู่ในหัว รัตติกาลจับมือของอารัณย์ไว้ให้แน่นขึ้นอีก มันเป็นครั้งแรกที่เขาอยากจะให้อีกฝ่ายตื่นมาเถียงกับเขาอีกไวๆ

 

 

“รอผมกับนิลอยู่ที่นั่นนะครับ อย่าเพิ่งออกไปไหน”

 

 

“ครับ แต่เดี๋ยวชาติ ผมขอถามอะไรหน่อย...”

 

 

“ครับ?”

 

 

“...พวกคนร้ายไม่ได้เข้าไปที่บ้านผมใช่ไหม”

 

 

ใบหน้าของรพีและจันทร์ลอยขึ้นมาเช่นเดียวกับตอนที่ตัดสินใจบอกให้อารัณย์เลี้ยวรถหนีไปที่อื่น เขาหยุดความกังวลที่ไม่ควรมีอยู่ของตัวเองไว้ไม่ได้ พยายามปลอบใจว่ามันเป็นเพราะคนเก่าคนแก่ของบ้านแต่ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับนทีก็ทำให้เขาเจ็บในอกไปพร้อมๆกัน

 

 

“คนที่บ้านคุณปลอดภัยครับ แต่ยังไม่มีใครทราบเรื่องนี้”

 

 

“...งะ งั้นหรอ”

 

 

“ครับ ยังไงกาลก็ช่วยซ่อนตัวไว้จนกว่าพวกผมจะไปถึง อย่าปิดมือถือนะครับ”

 

 

รัตติกาลมองมือถือที่สัญญาณถูกตัดไป เขาหยิบเครื่องของตัวเองที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาเช่นกัน แต่เพราะต้องปฐมพยาบาลให้อารัณย์ทำให้ก่อนหน้านี้เขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะรับโทรศัพท์จากใครทั้งนั้น

 

 

“อือ...”

 

 

“อารัณย์!”

 

 

คนเจ็บร้องครางเบาๆออกมาอย่างไม่ได้สติ รัตติกาลจัดแจงเปลี่ยนผ้าพันแผลที่ชุ่มเลือดทิ้งไปแล้วนำผืนใหม่มาจัดการพันไว้อย่างประณีตเพื่อให้กระทบน้อยที่สุดแม้ว่าขณะนี้มือของเขาก็ยังคงสั่น

 

 

“บ้าชะมัด...ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองแท้ๆ”

 

 

เขาพูดกับคนที่ไม่แม้แต่จะได้ยินน้ำเสียงสั่นเครือที่เจือด้วยความไม่เข้าใจ รัตติกาลลูบเบาๆตามใบหน้าของคนที่บอกให้เขาหลบกระสุนกลับเป็นฝ่ายรับมันไว้เองทั้งที่จะทิ้งกันไว้แล้วเอาตัวรอดก็ยังได้ เพราะมันแน่ชัดอยู่แล้วว่าสิ่งที่คนพวกนั้นต้องการคือชีวิตของรัตติกาลไม่ใช่อารัณย์ แต่ถึงอย่างนั้นหมอนี่ก็ยังชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอยู่เรื่อย ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยแท้ๆ

 

 

“ผมขอร้องล่ะ...อย่าทำอะไรให้ผมมากไปกว่านี้เลย”

 

 

รัตติกาลเค้นยิ้มให้ชายตรงหน้าก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกอดเข่ากับพื้นแล้วรอคอยความช่วยเหลือที่กำลังเดินทางมาถึง ในขณะที่เปลือกตาสีไข่ของอารัณย์ขยับเบาๆก่อนจะนิ่งไปอีกครั้งพร้อมกับสติที่หลุดลอยไปโดยที่ยังไม่ทันได้ตอบกลับคำพูดสุดท้ายของรัตติกาล

.

.

.

.

.

.

.

 

 

 

“กาล ไอ้กาล ตื่น...”

 

 

“อือ...”

 

 

แรงที่เขย่าร่างของเขาอยู่ปลุกรัตติกาลที่เผลอหลับให้หลุดจากภวังค์ก่อนจะสะดุ้งแล้วหันกลับไปมองคนที่ยังนอนอยู่ข้างหลังแต่เขากลับไม่เห็นใครนอกจากเพื่อนรักที่มองเขาอยู่ก่อนแล้วด้วยความเป็นกังวล

 

 

“อะ ไอ้นิล”

 

 

“กูเอง อย่าเพิ่งพูดอะไร มานี่ก่อน”

 

 

นิลว่าดังนั้นก่อนจะออกแรงดึงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้นแล้วเดินตามกันไปยังรถที่จอดหลบมุมไว้ไม่ไกลจากปั้มน้ำมันมากนัก รัตติกาลมองย้อนกลับไปข้างหลังด้วยความเป็นกังวลเพราะคนที่สมควรจะนอนสลบอยู่กลับหายไป ร่างโปร่งพยายามยื้อแขนของตัวเองไว้ แล้วร้องบอกนิลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

 

 

“เดี๋ยวนิล อารัณย์หายไป!”

 

 

“ไม่ต้องโวยวาย รีบตามกูมาก่อน”

 

 

“แต่หมอนั่นโดนยิง แล้วนี่มันหายไปจะไม่ให้กูโวยวายได้ยังไงวะ!”

 

 

“กาลใจเย็นดิวะ มึงจะตะโกนให้ชาวบ้านชาวช่องเขาตื่นมาด่ามึงรึไง”

 

 

“มึงนั่นแหละใจเย็นเกินไปแล้วไอ้นิล อารัณย์หายไปมึงไม่เข้าใจหรอ!”

 

 

“ถ้ามันหายไปแล้วยังไง อย่าบอกนะว่ามึงเป็นห่วงมัน”

 

 

เสียงเรียบนิ่งของนิลพูดขึ้นขณะที่ทั้งคู่หยุดลงตรงหน้ารถตู้สีดำคันใหญ่ รัตติกาลไม่อยากสบดวงตาที่ราวกับจะบีบเค้นความจริงจากเขาของนิล ร่างโปร่งเสหน้าหันไปมองทางอื่นพร้อมกับเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นขณะที่เพื่อนตัวสูงคอยสังเกตอาการที่เปลี่ยนแปลงไปของรัตติกาลทุกอย่าง

 

 

“เขา...ช่วยกูไว้”

 

 

“มึงเลยเป็นห่วงมัน?”

 

 

“...”

 

 

“มึงเปลี่ยนไปนะกาล...แต่ไม่ใช่ในทางที่ไม่ดี”

 

 

ร่างสูงยกยิ้มก่อนจะหันไปเลื่อนเคาะบานประตูแล้วเลื่อนมันออกทำให้รัตติกาลเห็นคนที่นั่งอยู่ด้านใน นัยน์ตาสีดำเบิกกว้างเมื่อเห็นคนที่ตัวเองกำลังร้องหานั่งนิ่งให้ฤทธิชาติทำแผลให้ใหม่อยู่บนรถคนนั้น นายตำรวจหนุ่มยิ้มรับทั้งสองคนด้วยสีหน้าที่รัตติกาลรู้สึกได้ว่ามันดูอารมณ์ดีกว่าทุกครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่อยากก้าวขึ้นรถตามไปมากที่สุดเห็นจะเป็นคนเจ็บซึ่งกำลังมองมาที่เขานิ่งๆด้วยสีหน้าแปลกใจ

 

 

“รีบขึ้นมาสิวะกาล เดี๋ยวมีคนมาเห็น”

 

 

นิลพูดเรียกสติเพื่อนรักขณะที่พยายามไม่หัวเราะออกมาดังๆเมื่อรัตติกาลผู้เงียบขรึมเผลอแสดงสีหน้าอ้ำอึ้งออกมาเพราะคิดไม่ถึงว่าคนเจ็บที่มันเป็นห่วงนักหนากำลังนั่งอยู่บนรถแล้วดูท่าว่าจะได้ยินบทสนทนาที่มันพูดกับเขาทุกคำ

 

 

ร่างโปร่งขึ้นมาบนรถอย่างเสียไม่ได้ ภายในรถตู้คันใหญ่ถูกดัดแปลงให้ห้องโดยสารข้างในโล่งว่าง มีเพียงเบาะนั่งยาวที่ถูกติดตั้งไว้ทั้งสองฝั่งเท่านั้น รัตติกาลทรุดนั่งลงตรงข้างเพื่อนรักโดยไม่คิดจะหันไปสบตากับคนที่ยังคงจ้องมองเขาไม่หยุด ภายใต้สีหน้าที่ถูกเปลี่ยนให้กลับมาเรียบนิ่งอีกครั้งมันเต็มไปด้วยความกังวลและไม่มั่นใจว่าอารัณย์จะได้ยินคำพูดของเขาหรือไม่ นึกแล้วก็อยากหันไปแพ่นกบาลเพื่อนตัวดีให้สาแก่ใจ คิดหรอว่าเขาจะไม่เห็นมันแอบขำเมื่อกี้นี้

 

 

“ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะครับ ตอนพวกเรามาถึงกาลก็หลับไปแล้ว มีแต่อารัณย์ที่ตื่นอยู่ผมเลยให้เขาเข้ามาทำแผลก่อนให้นิลไปปลุกคุณ”

 

 

ผู้หมวดพูดอธิบายให้คนมาใหม่เข้าใจ โดยละในส่วนที่ว่าในตอนที่พวกเขามาถึงก็เห็นคนเจ็บที่หน้าแทบไร้สีเลือดลงทุนลงมานั่งเคียงข้างคนที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราทั้งที่สังขารไม่เอื้ออำนวย รัตติกาลพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะเหลือบมองต้นแขนที่ถูกทำแผลจนเรียบร้อยดีแล้ว นายตำรวจหนุ่มอธิบายเพิ่มอีกว่าแผลของอารัณย์ไม่สาหัสมากเพียงแต่ร่างกายอ่อนเพลียเท่านั้น ถือว่าโชคดีที่หัวกระสุนไม่ฝังเข้าเนื้อในไม่อย่างนั้นเรื่องทุกอย่างคงแย่กว่านี้

 

 

“ผมอยากให้คุณกาลกับอารัณย์ไปกบดานอยู่ที่อื่นสักพัก อย่างน้อยก็จนกว่าที่ตำรวจจะหาตัวมือปืนพบ”

 

 

“ผมไม่อยากหนี เรื่องมันใหญ่โตขนาดนี้ผมคงชิงเอาตัวรอดคนเดียวไม่ได้”

 

 

รัตติกาลพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังไม่แพ้กัน เขาไม่รู้ว่าคนร้ายคือใครและต้องการอะไร แต่การที่ชีวิตเขาต้องมาวุ่นวายเพราะมันถึงขั้นต้องหนีการตามล่าหัวซุกหัวซุนยิ่งทำให้รัตติกาลไม่อยากปล่อยให้เรื่องมันดำเนินต่อไปอย่างที่เคย เขาจะต้องจบมันให้เร็วที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเขาหนีไปหลบอย่างที่ฤทธิชาติว่าคงไม่ได้ประโยชน์อะไรนอกจากเป็นการซื้อเวลา

 

 

“ผมว่าการที่คุณกลับบ้านต่างหาก...ยิ่งจะทำให้ทุกคนตกอยู่ในอันตราย”

 

 

“...!”

 

 

“มันไม่บังเอิญมากไปหน่อยหรอครับ ที่คนร้ายเลือกที่จะลงมือในวันนี้ทั้งๆที่คุณเองก็กลับบ้านทุกวัน ทำไมถึงต้องเป็นวันที่อารัณย์จะได้ดูแลคุณเป็นวันสุดท้าย”

 

 

“คุณจะบอกว่า...”

 

 

“เรื่องอารัณย์ควรมีแค่เราสี่คนที่รู้...มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆอีกต่อไปแล้วครับ”

 

 

อีกสามชีวิตบนรถนั่งนิ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่สะกิดใจนายตำรวจหนุ่มให้สังเกตเห็นความผิดปกติที่เริ่มปรากฏ นิลยกมือขึ้นจับปลายคงยามต้องใช้ความคิดในขณะที่รัตติกาลรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องจนต้องเงยหน้าขึ้นสูงๆแล้วหายใจเขาเพื่อเรียกสติ

 

 

“ผม...ควรทำยังไง”

 

 

“มันแน่ชัดแล้วว่าคนร้ายต้องการเอาชีวิตคุณ เพราะฉะนั้นจนกว่าจะรู้ว่าตัวการคือใครผมคงต้องขอกันคุณออกจากคนใกล้ชิดไปก่อน ผมจะให้ลูกน้องบางส่วนคอยเฝ้าที่บ้านและบริษัทให้ และคุณกับอารัณย์จะต้องกบดานอยู่ที่อื่น”

 

 

“ผมไม่มีปัญหาอะไร...แต่อย่าลากอารัณย์เข้ามาเกี่ยว”

 

 

ไม่ใช่แค่คนถูกอ้างชื่อเท่านั้นที่มีสีหน้าตกใจ แม้แต่นิลหรือชาติต่างก็ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินรัตติกาลพูดถึงอารัณย์ด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ร่างโปร่งหลับตาลง กลิ่นคาวเลือดและเขม่าปืนยังไม่จางหายไปจากปลายจมูก เขายังจำความรู้สึกตอนที่เห็นอารัณย์ถูกยิงได้และไม่อยากจะเห็นมันอีก

 

 

“คุณบอกว่าผมควรอยู่ห่างจากทุกคน ดังนั้นก็ไม่สมควรมีใครอยู่กับผมทั้งนั้น โดยเฉพาะคนนอกอย่างเขา...”

 

 

รัตติกาลเงยหน้าขึ้นสบตากับอารัณย์ด้วยแววตาที่จริงจังและเย็นชาเช่นเดิม เขารู้ดีว่าอารัณย์คงจะยินดีช่วยเขาเหมือนอย่างที่เป็นมาแต่เขาจะปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้ ไม่ใช่แค่เพียงเพื่อตัวอารัณย์เอง แต่ก็เพื่อไม่ให้เขาเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้

 

 

 “กูจะอยู่”

 

 

อารัณย์พูดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่ตีรวนอยู่ในอก คำว่าคนนอกที่รัตติกาลมักบอกว่าเขาเป็นไม่เคยสร้างความอึดอัดให้เขามากขนาดนี้มาก่อน แขนข้างที่เจ็บคว้าเข้าที่ข้อมือบางโดยไม่สนใจว่าใครจะว่ายังไง

 

 

“คุณไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”

 

 

“อย่ามาอ้างแบบนี้กาล! มึงจัดการเรื่องทั้งหมดนี้คนเดียวไม่ได้”

 

 

“ไม่ว่าผมจะจัดการได้หรือไม่มันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”

 

 

“เกี่ยวสิ! ร่วมหัวจมท้ายกันมาขนาดนี้ยังบอกว่ากูไม่เกี่ยวอีกหรอ!”

 

 

“ต่อให้มากกว่านี้ก็ไม่เกี่ยว...พอเถอะอารัณย์ อย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้อีก”

 

 

รัตติกาลไม่ได้สะบัดมันมือของอารัณย์ทิ้ง เขาทำเพียงแค่จับสิ่งที่กำลังพันธนาการเขาไว้เพียงแผ่วเบาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกถึงความต้องการอันแรงกล้าของคนที่ไม่มีวันเปลี่ยนใจ

 

 

“คุณ...จะต้องไป”

 

 

“...”

 

 

“ได้โปรด...ไปจากชีวิตผมสักที”

.
:ling2:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :ling2:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1



เช้าวันนี้รัตติกาลตื่นขึ้นเพราะเสียงของชาวบ้านที่เริ่มออกมาทำงานตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน พื้นไม้แข็งและฟูกแผ่นบางทำให้เขานอนไม่สบายตัวนักแต่เมื่อเทียบกับการต้องแอบไปนอนตามปั้มแล้วบ้านพักริมคลองแบบนี้นับว่าดีกว่ามากโข

 

 

“พ่อกาลจ๊ะ ลงมากินข้าวด้วยกันมา”

 

 

ยายพิศเจ้าของบ้านเช่าส่งเสียงเรียกรัตติกาลที่กำลังยืนชมวิถีชีวิตชาวบ้านอยู่เงียบๆเพียงลำพัง ชายหนุ่มในชุดสบายๆที่นิลจัดหามาให้ก่อนเขาจะมาหลบอยู่ที่นี่ยิ้มบางให้หญิงแก่ที่อายุพอๆกับจันทร์อย่างเป็นมิตร ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนแคบๆที่ไร้เครื่องอำนวยความสะดวกใดๆแม้แต่ไฟฟ้าไว้ให้ใช้สอยก็ยังมีจำกัด

 

 

เสียงพื้นไม้ที่ลั่นทุกจังหวะการเดินเป็นสิ่งที่เขาชอบมากที่สุดในบ้านหลังนี้ ความทรงจำวัยเด็กที่เจ้าตัวมักจะติดสอยห้อยตามบิดาไปยังต่างจังหวัดแล่นกลับเข้ามาให้คิดถึง กลิ่นแกงกะทิหอมๆลอยอบอวนไปทั่วใต้ชั้นล่างของบ้านที่อยู่ติดกับลำคลองทำให้สามารถลงนั่งให้เท้าสัมผัสน้ำได้อย่างสบายๆ แต่เพราะความหิวและกลิ่นยั่วน้ำลายนั้นก็ทำให้รัตติกาลเลือกที่จะเดินไปหายายพิศแทนที่จะนั่งลงเล่นน้ำอย่างที่เขาชอบทำ

 

 

“อรุณสวัสดิ์ครับยาย”

 

 

“จ๊ะ ยายเอาข้าวมาให้ เหลือจากเอาไปใส่บาตรพระ พ่อกาลกินได้ไหม”

 

 

แกงกะทิสายบัวถูกใส่ไว้จนเต็มหม้อใบเล็กดูน่าทานคล้ายกับที่จันทร์เคยทำให้กิน ร่างโปร่งพยักหน้ารับก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณอย่างมีมารยาท

 

 

“ขอบคุณมากนะครับ ของโปรดผมเลย”

 

 

“ดีแล้วล่ะจ๊ะ งั้นกินเยอะๆนะ ยายเจียวไข่มาเผื่อด้วย”

 

 

“ที่หลังยายไม่ต้องหาข้าวให้ผมก็ได้นะครับ ตลาดอยู่แค่นี้เองเดี๋ยวผมออกไปหาของมาทำกินก็ได้”

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ดีซะอีกได้พ่อกาลมาช่วยกันกิน ปกติยายกับตาก็กินกันไม่หมดอยู่แล้ว ดีกว่าเหลือทิ้งให้บูดคาหม้อ”

 

 

รัตติกาลยิ้มรับอย่างไม่อาจหาคำปฏิเสธใดๆ เขานั่งลงกินข้าวที่เจ้าของบ้านเช่าจัดหามาให้อยู่เพียงลำพังแต่กลับไม่รู้สึกเหงา เสียงเด็กๆกระโดดลงน้ำดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะสลับกับเสียงเรือหางยาวที่นานๆทีจะแล่นผ่านทำให้รัตติกาลไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบากแต่อย่างใด

 

 

วันนี้เป็นวันที่สองแล้วที่เขามาอาศัยอยู่ที่บ้านริมคลองแถวบางขุนเทียนตามที่ฤทธิชาติจัดหาไว้ให้แล้วทิ้งโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ไว้ให้ใช้ติดต่อกันแทนเครื่องเดิมที่อาจจะถูกคนร้ายติดตามได้ นิลบอกให้เขาพักให้สบายใจ โดยที่เจ้าตัวอาสาเข้าไปดูแลบริษัทให้ในตอนที่เขาไม่อยู่ซึ่งรัตติกาลรู้ดีว่านอกจากเก่งงานเขียนแล้วเขาก็สามารถไว้วางใจนิลให้ดูแลบริษัทได้เช่นกัน

 

 

อารัณย์กับเขาไม่ได้พูดคุยกันอีก หลังจากที่รัตติกาลพูดขอให้อีกฝ่ายออกไปจากชีวิตเขา สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงแววตาที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อและผิดหวังจากอารัณย์เท่านั้น

 

 

รัตติกาลกำลังนึกถึงวันแรกที่เขาและอารัณย์ได้พบกัน ความเข้าใจผิดและความขาดสติคงทำให้อีกฝ่ายไม่ชอบหน้าเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแต่นั่นคงไม่มากเท่าการลงมือทำร้ายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกของตัวเองและนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้ามาของอารัณย์ที่ทำให้รัตติกาลรู้สึกถึงความเปลี่ยนไปของตัวเองในตอนนี้

 

 

เขากำลังรู้สึกกลัว...

 

 

รัตติกาลก้มลงมองมือของตัวเองที่บัดนี้ไร้กลิ่นคาวเลือดเหมือนดังเช่นคืนนั้น ในตอนที่เขาซุกหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างของอารัณย์มือของเขาก็สัมผัสได้ถึงความเปียกชื้อที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดไปจนหัวใจบีบรัดไปหมด

 

 

เขาไม่อยากถามตัวเองว่าอารัณย์สำคัญมากพอที่จะทำให้เขารู้สึกกลัวการสูญเสียได้จริงๆหรอ เพราะลึกๆแล้วเขาเองนั่นแหละที่ไม่อยากได้ยินคำตอบนั้น รัตติกาลสัมผัสได้ถึงตัวตนที่บิดเบี้ยวไปตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ช่วงเวลาที่มีทั้งความเกลียดชัง ความอยากเอาชนะ และความห่วงใยทำให้รัตติกาลสับสนจนไม่อยากจะคิดอะไรเกี่ยวกับอารัณย์อีกแล้ว

 

 

เขาไม่อยากเปลี่ยนไป

 

 

รัตติกาลที่อ่อนแออย่างในอดีตน่ะ...เขาไม่อยากเป็น

 

 

ร่างโปร่งมองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนเป็นเงาอยู่บนผิวน้ำ มันชัดเจนอยู่เพียงครู่ก่อนจะค่อยๆแตกออกไปเมื่อใบไม้ใบเล็กปลิวมาตามลมแล้วหล่นลงสัมผัสพื้นน้ำนั้นเพียงแผ่วเบา รัตติกาลเค้นยิ้ม ตัวเขาในยามนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับรูปสะท้อนบนผิวน้ำที่พร้อมจะพังทลายลงเพียงแค่ได้พบใบไม้ไหว มันช่างสวยงามแต่กลับอ่อนแอจนนึกสังเวชอยู่ในใจ หากเขาไม่เคยเจ็บมาก่อนคงยินดีกับความสวยงามเพียงชั่วครู่นี้ก่อนจะทรมานเหมือนตายในภายหลัง

 

 

“เราจะต้องไม่กลับไปเป็นแบบนั้นอีกรัตติกาล”

 

 

 

 

 

 

หลังจากกินข้าวเสร็จรัตติกาลก็ใช้เวลาครึ่งวันไปกับการจัดการทำความสะอาดบ้านในส่วนที่ยังทำไม่เสร็จต่อจากเมื่อวาน เขานึกเสียดายที่ไม่มีหนังสือสักเล่มไว้ให้เขาอ่านแก้เหงา จะออกไปหาซื้อก็ไม่ควรเขาจึงเลือกที่จะสวมใส่รองเท้าแล้วเดินลัดไปตามทางเดินเล็กๆจนปรากฏเงาของบ้านหลังขนาดเท่าๆกันกับบ้านเช่าแต่กลับมีสภาพที่ดีกว่าเพราะไม่ถูกปล่อยให้ร้างผู้ใช้งาน

 

 

“ยายพิศครับ อยู่ไหมครับ!”

 

 

“ใครมาโวยวายอยู่หน้าบ้าน...อ้าวพ่อกาล มาทำอะไรเนี่ย!”

 

 

ร่างคุ้มงอของตาไทยเดินออกมาจากฉากไม้ด้านหลัง นัยน์ตาฝ้าฟางเบิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะควักมือเรียกเด็กหนุ่มที่อายุห่างกับตนหลายรอบให้เดินเข้ามาใกล้ รัตติกาลยกมือไหว้ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาร่างที่โงนเงนไปตามวัยด้วยรอยยิ้ม

 

 

“สวัสดีครับตา พอดีผมอยู่ว่างๆเลยว่าจะมาของานทำตอบแทนค่าแกงกะทิสายบัวสักหน่อย”

 

 

“โอ้ยไม่ต้องหรอกพ่อคุณ ปกติพิศมันก็ทำแจกอยู่แล้ว นี่เดินเอาไปให้ยายเพียงที่บ้านอยู่ฝั่งโน้นตั้งแต่เที่ยงยังไม่กลับมาเลย”

 

 

“ไม่เป็นไรไม่ได้หรอกครับ อีกอย่างอยู่เฉยๆผมก็ไม่รู้จะทำอะไร”

 

 

“แต่คุณเป็นแขกของไอ้เจ้าชาติมัน ตาไม่กล้าใช้งานหรอก”

 

 

คนแก่พูดติดตลกพลางคิดว่าคนหนุ่มผิวกายขาวสะอาดอย่างรัตติกาลจะทำงานอะไรได้นอกจากนั่งโก้เก๋เหมือนในละคร

 

 

“แขกอะไรกันครับ ผมก็คนเช่าคนหนึ่งเท่านั้น อย่าเกรงใจเลย”

 

 

“เอ้า! ดื้อจริงอย่างที่มันว่า งานที่นี่มีแต่ต้องลงแรงทั้งนั้น จะทำไหวหรอ”

 

 

“ไหวครับ เห็นอย่างนี้สมัยพ่อกับแม่ยังอยู่ผมก็เคยช่วยงานในสวนยางมาบ้างเหมือนกัน”

 

 

รัตติกาลอวดอ้างสรรพคุณของตัวเองที่เคยผ่านงานหนักมาไม่น้อยสมัยยังเด็กๆที่เคยเข้าไปช่วยงานในสวนยางตอนที่ตามพ่อแม่ลงไปทางใต้ ตาไทยได้ฟังอย่างนั้นก็ทำหน้าครุ่นคิดใจหนึ่งก็ไม่อยากเชื่ออีกใจก็อยากจะลองฝีมือของชายหนุ่มตรงหน้าดูสักหน่อย นัยน์ตาที่เริ่มจะมองไม่ค่อยเห็นพินิจร่างกายของรัตติกาลอย่างถี่ถ้วน จะให้ลงไปช่วยจับปลากับเรือประมงเห็นท่าจะไม่ไหว แต่แล้วชายแก่ก็เริ่มยิ้มออกก่อนจะหันมาพูดกับรัตติกาลด้วยน้ำเสียงติดสนุก

 

 

“ชอบกินหอยแครงไหมล่ะพ่อกาล”

 

.

.

.

.

.

.

 

 

 

“ไหวไหมพ่อ! ทำไม่ได้ก็ขึ้นมาเถอะ!”

 

 

ตาเฒ่าส่ายหัวเมื่อชายหนุ่มที่แสนจะดึงดันอย่างที่ไอ้ชาติมันว่าเกือบหัวทิ่มปักเล่นอีกครั้งจนเขาเริ่มนับไม่ถ้วน

 

 

“ไหวครับตา!ผมขอลองอีกหน่อย!”

 

 

รัตติกาลว่าดังนั้นก่อนจออกแรงแผ่นไม้ยาวคล้ายกระดานโต้คลื่นที่ตัวเองนั่งทับอยู่ให้ไถลไปตามดินเลนนิ่ม พลางมองหารูหอยที่มีลักษณะเป็นหลุมเล็กๆมีน้ำขังอยู่เล็กน้อยพอให้เห็นอยู่ใกล้ๆ ร่างโปร่งเริ่มมองเห็นรูหอยอย่างที่ตาไทยว่า เขาหยุดมือที่ดันแผ่นไม้ก่อนจะพาตัวเองลงไปยืนบนดินเลนที่พอแค่เท้าได้สัมผัสก็ทำให้เขาจมไปเสียครึ่งขา เพราะความที่ไม่เคยมาก่อนทำให้รัตติกาลหวิดเสียหลักเกือบหัวทิ่มไปหลายครั้งจนชาวบ้านคนอื่นที่กำลังหาหอยหาแมงดาอยู่แถวนั้นต่างหัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกสนาน

 

 

“พาใครมาน่ะตา ดูทำเข้าสิ ตลกจังเลย”

 

 

ชาวบ้านผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถามตาไทยที่นั่งดูรัตติกาลอยู่บนสะพานไม้ไม่ไกลนัก ชายแก่คายหมากที่เคี้ยวอยู่ทิ้ง ก่อนจะหันกลับไปตอบ

 

 

“เพื่อนไอ้ชาติมัน มาจากในเมือง”

 

 

“อ่อ ไม่น่าล่ะดูไม่คุ้นเลย แล้วนี่ตาคิดยังไงให้เขาลงมางมหอยแบบนี้”

 

 

“มันดื้อจะทำ ข้าห้ามแล้วก็ไม่เชื่อเลยปล่อยให้ลองดู พวกเอ็งก็คอยช่วยๆมันหน่อยแล้วกัน”

 

 

ชาวบ้านแถวนั้นพยักหน้ารับ ก่อนจะพากันเดินไปหารัตติกาลอย่างกล้าๆกลัวๆแต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของคนเมืองทักทายมาก่อนก็ทำให้ต่างก็คลายความเกร็งไปได้กันมากโข

 

 

“สวัสดีครับ”

 

 

“สวัสดีจ๊ะพ่อคุณ ชื่ออะไรล่ะเรา เห็นตาแกบอกว่าเป็นเพื่อนเจ้าชาติหรอ”

 

 

“ครับ ผมชื่อรัตติกาล”

 

 

“ชื่อเพราะเชียวจ๊ะ รูปก็หล่อ แล้วพ่อมาทำอะไรที่นี่จ๊ะ มาเที่ยวหรอ”

 

 

“ครับ พอดีเหนื่อยๆชาติเขาเลยแนะนำมาให้พักผ่อนที่นี่”

 

 

ร่างโปร่งโกหกออกไปเพื่อไม่ให้ใครต้องเป็นกังวล แต่ความจริงแล้วที่บอกว่ามาพักผ่อนก็ถือว่าผิดจากความจริงนัก

 

 

“อ้าว มาพักแล้วมาหาเรื่องงมหอยทำไมให้ตัวเปื้อน ไม่เดินไปเที่ยวในตลาดล่ะ เวลาคนเมืองมาเที่ยวเขาก็ไปเดินกัน”

 

 

“ผมอยากลองทำอะไรเหมือนที่ชาวบ้านทำน่ะครับ สนุกดี”

 

 

“โถ่พ่อคุณ สนุกเสียจนหน้าเปื้อนดูไม่ได้เลย มาๆ ป้าเช็ดให้”

 

 

รัตติกาลยิ้มรับก่อนจะยื่นหน้าไปให้หญิงมีอายุเช็ดใบหน้าที่เปื้อนดินเลนให้อย่างไม่อิดออด หลังจากนั้นชาวบ้านต่างก็พากันมาช่วยสอนรัตติกาลงมหอยกันยกใหญ่ ชายหนุ่มค่อยๆใช้มือจ้วงลงไปในเลนนิ่มๆก่อนจะจับเอาสิ่งที่คล้ายก้อนหินเล็กๆขึ้นมาแล้วยื่นไปให้พวกชาวบ้านดู

 

 

“อันนี้ใช่หอยแครงไหมครับ”

 

 

“ใช่จ๊ะ แต่ตัวมันเล็กอย่าไปจับมันเลย ปล่อยให้มันโตกว่านี้หน่อย”

 

 

ร่างโปร่งร้องอ่อแล้วปล่อยหอยแครงตัวน้อยให้กลับลงสู่ธรรมชาติตามเดิมแล้วลงมือหาใหม่อีกครั้ง ตาเฒ่ามองดูคนหนุ่มที่ลงมือจับหอยอย่างสนุกสนานแล้วได้แต่ยิ้มตาม เสียงโหร้องอย่างดีใจในตอนที่รัตติกาลจับหอยตัวใหญ่ได้ครั้งแรกพาให้ผู้คนที่อยู่แถวนั้นต่างก็หัวเราะยินดีไปด้วยทั้งที่มันเป็นสิ่งที่พวกเขาเคยชินกันอยู่แล้ว

 

 

เวลาผ่านไปจนบ่ายคล้อย รัตติกาลที่เริ่มจับจังหวะก้าวบนดินเลนได้แล้วออกแรงลากไม้กระดานที่มีถังบรรจุหอยแครงและสัตว์น้ำอื่นไว้จนเต็มถังไปตามทางก่อนจะปีนขึ้นแคร่ไม้ที่มีตาไทยยืนรอรับอยู่

 

 

“ไปล้างตัวที่บ้านตาก่อนไป แล้วหอยพวกนี้จะให้พิศมันทำกับข้าวให้กิน”

 

 

“ได้เลยครับ ขอบคุณนะครับลุงๆป้าๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้กาลจะมาจับด้วยอีกนะ”

 

 

รัตติกาลหันไปบอกลาเหล่าชาวบ้านที่ต่างก็กำลังจะแยกย้ายกลับบ้านของตนเอง ชายหนุ่มเดินช้าๆตามการก้าวเดินของตาเฒ่าอย่างไม่รีบร้อนอะไร เขาระบายยิ้มรู้สึกอิ่มเอมอย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกมานาน ความอ่อนล้าที่สะสมมาตลอดเดือนคลายลงไปทั้งที่วันนี้เขาได้ออกแรงมากกว่าทุกครั้ง แต่เพราะสิ่งที่ได้กลับมาต่างหากที่ทำให้รัตติกาลรู้สึกเหมือนได้วางสิ่งที่ต้องแบกรับไว้มาตลอดลง

 

 

“เมื่อตอนที่พ่อกาลลงไปงมหอย พิศมันเดินมาหาด้วย”

 

 

“อ้าวหรอครับ ผมไม่ทันได้สังเกต”

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก มันแวะมาบอกเฉยๆว่าวันนี้จะมีคนมาอยู่ที่บ้านกับพ่อกาลด้วย เห็นว่าจะมาพักผ่อนเหมือนกัน”

 

 

รัตติกาลพยักหน้ารับ บ้านริมคลองที่สองตายายเปิดให้เช่าเป็นบ้านหลังใหญ่พอสมควรที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนเพื่อสัมผัสบรรยากาศแบบชาวบ้าน โดยเปิดรับทั้งพวกที่มาเป็นครอบครัวและพักคนเดียวแบบเขา จึงไม่น่าใช่เรื่องที่แปลกนักหากจะมีคนอื่นมาอาศัยอยู่ในชายคาเดียวกับเขาด้วย

 

 

 

 

ร่างโปร่งลากขาที่หนักอึ้งเพราะเนื้อเลนที่เริ่มจับตัวกันเป็นก้อนแข็งมาถึงยังบ้านของสองตายาย ที่ตลบอบอวนด้วยกลิ่นถ่านไม้โกงกางที่ตั้งอยู่มุมหนึ่ง ชายแก่ชี้บอกให้เขาเดินไปล้างตัวล้างขาที่ก๊อกน้ำซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล รัตติกาลวางถังใส่หอยลงก่อนจะเปิดน้ำพลางถูไปตามแข้งขาเพื่อล้างดินออก ก่อนจะรับเอากางเกงเลสีตุ๋นที่ตาไทยยื่นมาให้ใช้เปลี่ยนแทนกางเกงตัวเดิมที่เปื้อนจนไม่เหลือสภาพ

 

 

“กลับมาแล้วหรอพ่อกาล เป็นอย่างไงบ้างจ๊ะ ได้หอยกลับมาเยอะไหม”

 

 

เสียงของยายพิศดังขึ้นเรียกสายตาของรัตติกาลที่เพิ่งผูกเชือกกางเกงเสร็จให้หันไปมอง ชายหนุ่มรีบรุดเข้าไปช่วยหญิงแก่ถือหม้อซึ่งมีหน่อไม้ใส่อยู่เต็มมาถือให้แทน

 

 

“พอสมควรเลยครับ ผมวานยายช่วยทำอะไรให้กินหน่อยนะ”

 

 

“ได้เลยจ๊ะ ดีเลยจะได้ไม่ต้องทำกับแกล้มเพิ่มให้ตามัน”

 

 

“งั้น เดี๋ยวผมช่วยนะครับ”

 

 

หญิงแก่พยักหน้ารับแล้วบอกให้รัตติกาลนำหม้อไปวางไว้ในครัวก่อนที่เขาจะเดินย้อนไปนำถังใส่หอยเข้ามาล้างทำความสะอาดตามคำบอกของยายพิศที่ยืนกำกับอยู่ไม่ห่าง ในขณะที่ร่างโปร่งกำลังตั้งหน้าตั้งแต่ใช้แปรงเล็กๆขัดขี้ดินออกจากเปลือกหอย เขาก็ได้ยินเสียงถ่านติดไฟดังเปรี้ยะๆขึ้นมาจากด้านหลัง

 

 

“ถ่านติดไฟแล้วยาย ให้ผมตั้งเตาเลยไหม”

 

 

“ตั้งเลยๆ หุงข้าวแบบนี้เป็นไหมพ่อรัณย์”

 

 

จ๋อม!

 

 

รัตติกาลเผลอปล่อยหอยตัวที่ขัดเสร็จแล้วลงกลับไปในถังอีกครั้ง เขาหันหน้ากลับไปมองด้านหลังก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นอารัณย์กำลังพยายามโกยถ่านที่ติดไฟแดงแจ๋ลงในเตาที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้วด้วยมือเพียงข้างเดียว

 

 

“มาพอดีเลย พ่อกาลจ๊ะ หนุ่มคนนี้ชื่ออารัณย์นะ จะมาอยู่ที่บ้านกับพ่อกาลตั้งแต่คืนนี้เลย”

 

 

หญิงแก่แนะนำคนที่เขาไม่อยากเจอหน้าให้รู้จักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างเคยแต่รัตติกาลกลับรู้สึกว่ามันช่างไม่น่าฟัง ชายหนุ่มลุกขึ้นทั้งๆที่ทำงานค้างไว้อย่างนั้นก่อนจะสาวเท้าก้าวออกมาจากครัวโดยไม่สนใจเสียงเรียกของยายพิศและอารัณย์ที่ดังไล่หลังมา

 

 

“กาล หยุด! รัตติกาล โอ้ย!!”

 

 

ตุ๊บ!

 

 

 

 

รัตติกาลกำลังจะออกวิ่งแต่เขาก็ต้องหันหลังกลับไปเมื่อได้ยินเสียงร้องของอารัณย์ดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระแทกกับพื้นไม้ ร่างโปร่งไม่ทันยั้งคิดเขารีบเดินกลับไปหาอารัณย์ที่ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นพร้อมกับจับแขนข้างขวาที่เจ็บอยู่ของตัวเองไว้แน่น รัตติกาลหน้าเสียเมื่ออีกฝ่ายแสดงทีท่าเหมือนกับว่าเจ็บปวดเสียจนเขาต้องรีบพยุงร่างที่ใหญ่โตกว่าให้ลุกขึ้นมานั่งดีๆแล้วถือวิสาสะสำรวจแขนที่มีผ้าสีขาวพันไว้ให้เห็น

 

 

“คุณเป็นไงบ้าง เจ็บแผลหรอ!”

 

 

“เออดิ อู้ยยย”

 

 

“เลือดออกไหม ผมขอดูหน่อย”

 

 

“ไม่ต้องๆ ผมไม่เป็นอะไร”

 

 

อารัณย์รีบหยุดมือของรัตติกาลที่กำลังจับแขนข้างที่เจ็บของเขาอย่างแผ่วเบา ร่างสูงจับมือที่กำลังสั่นนั่นไว้แทนก่อนจะออกแรงบีบเพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวลพลางนึกโทษตัวเองที่ซุ่มซ่ามสะดุดขอบไม้ที่เผยอขึ้นเพียงเล็กน้อยจนล้มไปนอนกลิ้งหมดท่าอยู่แบบนี้ ในขณะรัตติกาลมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งเมื่อได้ยินสรรพนามแทนตัวที่เปลี่ยนไปจากเดิมและสายตาที่มองมาของอารัณย์

 

 

“ผมไม่เป็นไรแล้วกาล ไม่เป็นไร”

 

 

ร่างสูงใช้แขนข้างที่เจ็บยกขึ้นก่อนจะลูบเบาๆไปบนกลุ่มผมสีเข้มของรัตติกาล สายตาที่ทอด้วยความอ่อนโยนถูกส่งไปให้อีกฝ่ายอย่างไม่ปิดบังแม้ว่าสิ่งที่สะท้อนกลับมาจะเป็นเพียงความตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นการหลบตาหันไปมองที่อื่น

 

 

“...ถ้าคุณไม่เป็นไร ก็กลับไปได้แล้ว”

 

 

รัตติกาลสะบัดมือของอารัณย์ออกแล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่คิดจะช่วยคนที่ล้มลงให้อีกฝ่ายเดินตามมาทัน แต่เพราะช่วงขาที่ยาวกว่ารัตติกาลก็ถูกหยุดไว้อีกครั้ง

 

 

“กาล อย่าเพิ่งไป!”

 

 

“...”

 

 

“เรามาคุยกันดีๆก่อนได้ไหม”

 

 

“...ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณอีกแล้ว”

 

 

“แต่ผมมี”

 

 

“...”

 

 

“ขอร้องเถอะกาล อย่าทำแบบนี้ เป็นห่วงผมจนต้องถอยตัวเองออกมา แบบนี้น่ะไม่สมกับเป็นรัตติกาลที่ผมรู้จักเลยนะ”

 

 

รัตติกาลเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่มองอยู่ก่อนแล้วด้วยความไม่เข้าใจ อารัณย์ระบายยิ้มก่อนจะยื่นมือไปคว้ามือที่อีกฝ่ายสะบัดมันทิ้งไปจากเขานับครั้งไม่ถ้วนมากอบกุมไว้อีกครั้งให้แน่นกว่าเดิม

 

 

“ แล้วที่บอกว่าไม่ให้ผมทำอะไรเพื่อกาลไปมากกว่านี้น่ะ...ผมทำไม่ได้”

 

 

สิ้นคำนั้นริมฝีปากสีเข้มก็โน้มเข้ามาประทับรอยไปบนกลีบเนื้อนุ่มของรัตติกาลด้วยสัมผัสอันแผ่วเบา รัตติกาลเบิกตากว้างพยายามผลักอีกฝ่ายออกไปแต่อ้อมแขนดั่งกรงเหล็กของอารัณย์ก็ตามมากักขังเขาไว้พร้อมกับความวาบหวามที่ถูกป้อนให้อย่างไม่รู้จักอิ่ม ร่างสูงไม่ได้ล่วงล้ำ เขากดริมฝีปากบดคลึงอยู่แบบนั้นตอกย้ำให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงตัวตนของเขาที่กำลังยืนอยู่ตรงนี้ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ก่อนที่จะค่อยๆละออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบนแก้มที่ถูกถ่ายทอดมาจากอีกคน

 

 

 

“คุณทำอะไรลงไปรู้ตัวรึเปล่า”

 

 

“...”

 

 

“เผื่อคุณจะไม่รู้ ถึงผมจะชอบผู้ชายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะยินดีจูบกับใครก็ได้โดยเฉพาะกับคนที่ชอบปั่นหัวคนอื่นเล่นแบบคุณ!”

 

 

“กาล...”

 

 

“คุณอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ คุณไม่เหมือนกับผม...เพราะฉะนั้นเลิกทำตัวแบบนี้สักที”

 

 

 

รัตติกาลผละออกมาพร้อมกับพยายามข่มน้ำตาไม่ให้ไหล เขายิ้มเยาะตัวเองที่สั่นไหวอย่างง่ายดายเพียงแค่เพราะใบไม้เล็กๆที่ร่วงหล่นลงบนผิวน้ำจนภาพข้างหน้ามันพร่าเลือน แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินพ้นไป ร่างทั้งร่างของรัตติกาลก็กลับมาอยู่ในอ้อมกอดของอารัณย์ที่ยังคงแข็งแกร่งมั่นคงไม่สั่นไหว ชายหนุ่มลูบผมของรัตติกาลเบาๆก่อนจะประทับจุมพิตลงบนหน้าผากใสโดยที่มีรัตติกาลมองการกระทำดังกล่าวอย่างตื่นตะลึง

 

 

 

“ผมยอมรับว่าเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก”

 

 

 

“...”

 

 

 

“แต่ตอนนี้...มันชักจะไม่ตลกแล้ว”

 

 

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!!

ตู้มมมมม!! ระเบิดเป็นโกโก้ครันช์กันเลยยยย ตกใจไหมมม  :z2: :z2: :z2: เช่ก็ตกใจ55555 อย่าเพิ่งงงว่าทำไมอยู่ดีๆอารัณย์ก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้าแบบนี้ พาร์ทหน้าจะมีย้อนส่วนของอารัณย์ก่อนพี่แกจะมาตามกาลถึงบ้านริมคลองกันให้หายสงสัยนะคับ

ช่วงนี้เช่ยุ่งมากกกกกก เทอมนี้แบบเล่นเอาอ้วกเลยทีเดียว ต้องวาดการ์ตูน1เรื่อง จัดexhibition2งาน หนังสั้น1เรื่อง วิจัย1เรื่อง และมันจะยังมีมาอีก ปวดตับโฮกคับ นี่เปิดเทอมมาสองอาทิตย์หรือสองเดือนงานทับถมกันชนิดเหมาะแก่การเพาะเห็ดมาก ดังนั้นช่วงนี้เช่อาจจะอัพช้ากว่าที่เคยอย่าว่ากันนะ แต่ไม่หายไปไหนแน่นอน ยังไงก็ต้องอาทิตย์ละอย่างต่ำ1ตอนแน่นอนเป็นมาตรฐาน ไม่งั้นคนหายหมด =w=

ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ เริ่มมีบทมุ้งมิ้งมาแก้อาการปวดตับกันบ้างแล้วก็หวังว่าทุกคนจะชอบใจ (ยิ้มมุมปาก) :z1:


 

ออฟไลน์ PK13

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อูยยยยยยยย  รัณย์รุกกาลแล้วจ้าาาาาาาา
นี่ไม่ต้องซื้อบทให้อารัณย์เพิ่มแล้วใช่มั้ย มาเต็มซะขนาดนี้  5555555

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
อูยยยยยยยย  รัณย์รุกกาลแล้วจ้าาาาาาาา
นี่ไม่ต้องซื้อบทให้อารัณย์เพิ่มแล้วใช่มั้ย มาเต็มซะขนาดนี้  5555555

ไม่ต้องแล้วคับบบบ เดี๋ยวจะกลายเป็นไม่มีพระเอกซะเปล่าๆ ผ่านมาครึ่งเรื่องแล้ว  :hao3:

ออฟไลน์ mayuree

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 443
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-4
เริ่มเห็นความน่ารักของพี่กาลรำไรๆ โมเม้นท์นี้ฟินจ้า :-[

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด