Yours and Mine EP.13 [100%]ผมรู้สึกว่าลำคอตัวเองแห้ง ดวงตาสีเขียวอมน้ำตาลของฌอนมองผมอย่างสงสัย ผมสีแดงของเขาตัดสั้นกุด ใบหน้าของเขาดูเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน ผมจำสภาพเขาก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้ว นอกจากความดุร้ายในดวงตาเวลาที่จ้องมอง และความป่าเถื่อนตอนที่ทำร้ายร่างกายผม พอนึกได้แบบนั้นผมก็ตัวสั่นน้อยๆ มองเขาด้วยความหวาดกลัว
“กลัวฉันเหรอ” เขาถามด้วยท่าทีตื่นกลัว ก่อนจะขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าว นั่นทำให้ผมเผลอสะดุ้ง ก่อนจะย่นคิ้วมองเขาด้วยความสับสนเล็กๆ ที่เริ่มเกิดขึ้นในหัว
“ฉันขอโทษที ถ้าทำให้นายกลัว แต่…” เขาขมวดคิ้ว ท่าทางกำลังนึกตรึกตรอง
“…ฉันรู้สึกคุ้นหน้านาย คุ้นว่าน่าจะรู้จักนายน่ะ เลยจะเข้ามาทักทาย” ผมคลายคิ้วออก เปลือกตาขยับกว้างขึ้นอีกนิด มองฌอณด้วยความรู้สึกตกใจเล็กๆ
“คุณ…” ผมกลืนน้ำลายลงคอเพื่อให้อาการคอแห้งดีขึ้น “…คุณชื่ออะไร”
เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ผมจะไม่มีทางได้เห็นตอนก่อนหน้านี้เด็ดขาด “ฉันชื่อฌอณ”
คิ้วผมกลับมาขมวดอีกครั้ง และมองเขาด้วยความหวาดระแวงและระวังตัว เขาก็รู้ชื่อเขานี่ แต่ทำไมทีท่าของเขาถึงเหมือนคนจำอะไรไม่ได้
“คุณมีอะไรรึเปล่า” ผมลองถามหยั่งเชิง ฌอณคลี่ยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นลูบหัวตัวเองด้วยทีท่าเขินๆ ผมยิ่งขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีก
“ฉันแค่อยากเข้ามาดูหน้านายชัดๆ มันติดอยู่ในความทรงจำ นายชื่ออะไรเหรอ” นี่ถ้าไม่เคยมีเรื่องราวกันมาก่อนหน้านี้ ผมจะคิดว่าเขาจีบผมอยู่
“แมท ผมชื่อแมท” ฌอณกะพริบตาปริบๆ ทำหน้านึก แล้วสักแปบเขาก็ขมวดคิ้วก่อนที่หน้าจะเหยเก มือขวายกขึ้นกุมหัวตัวเอง ผมเบิกตากว้างมองเขาด้วยความตกใจ อยากจะกระเถิบเข้าไปดูเขาใกล้ๆ แต่ก็ไม่กล้า
“คุณเป็นอะไรมั้ย” ผมถามเสียงเบา ฌอณส่ายหัวน้อยๆ และเหมือนกำลังพยายามคุมสติตัวเองให้อยู่กับที่ ผมยังคงมองเขาด้วยความสับสน เห็นท่าทางปวดหัวจนตัวงอแบบนั้นก็นึกสงสาร แต่ผมก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้เขามากอยู่ดี
“คุณแมท!” เสียงออสตินดังมาพร้อมกับที่เจ้าตัววิ่งมาทางผมอย่างว่องไว ออสตินดึงปืนออกมาจากกระเป๋าเสื้อกันหนาวที่สวมใส่อยู่ ผมอ้าปากค้าง รีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันที
“ไม่! ออสติน อย่า อย่าทำเขา!” ผมดันแขนขวาของออสตินลง ผมหันไปมองฌอณที่กระเถิบถอยหนีด้วยความหวาดกลัว เขายกสองมือขึ้นด้วยท่าทางว่ายอม ผมเห็นแบบนั้นก็ยิ่งรู้สึกตระหนกมากกว่าเดิม เลยรีบหันกลับไปหาออสติน
“ออสติน เก็บปืนก่อน”
“แน่ใจเหรอครับ”
“ถ้าเขาจะทำร้ายผมจริงๆ ผมคงไม่ยืนอยู่แบบนี้” ออสตินมองฌอณตาแข็ง แต่ก็ยอมเก็บปืนกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ผมหันกลับไปมองฌอณอีกครั้ง เขามีท่าทีตื่นตกใจไม่ต่างจากผม สองมือของเขายังคงยกขึ้นค้างไว้แบบนั้น
“ไม่มีอะไรแล้วฌอณ เอามือลงเถอะ” กลายเป็นฌอณที่มองผมกลับมาด้วยสายตาระแวดระวังจนผมสับสน เขาค่อยๆ ลดแขนลงข้างตัว ผมมองรูปร่างของเขา ฌอณอวบขึ้น แต่ก็ไม่ได้อ้วน เรียกว่ามีน้ำมีนวล เสื้อผ้าที่ใส่ก็ไม่ใช่ว่าอัตคัด ดูปกติดี เอาจริง ผมนึกว่าเขาจะตกต่ำไปแล้ว
“ฉันขอโทษ ถ้าฉันทำให้นายกลัว” เขามองผมด้วยสายตาสลด ผมหันไปมองออสติน ขนาดออสตินยังขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“ไม่หรอก คือผม แค่ตกใจ…” ผมบอกติดๆ ขัดๆ ก่อนจะพยายามคลี่ยิ้มให้เขา
“…ยินดีที่ได้รู้จักนะฌอณ” จากที่มีทีท่าหวาดกลัวนิดๆ ฌอณเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มดีใจ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะแมท” ผมยิ้มตอบ แต่ก็ยังเป็นยิ้มที่ไม่เต็มที่นัก ภาพสายตาแข็งกร้าวในตอนนั้น กับสายตาอ่อนโยนในตอนนี้มันช่างคอนทราสกันเหลือเกิน
“แล้วคุณมาที่นี่ได้ยังไงฌอณ”
“ฉันมากับพ่อน่ะ” ผมขมวดคิ้ว ถ้าจำไม่ผิด พ่อของฌอณแยกทางกับแม่ไปแล้วรึเปล่านะ แต่ผมก็ใช่ว่าจะสนิทกับชีวิตเขาขนาดนั้น
“เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะฌอณ กลับบ้านดีๆ ล่ะ” ฌอณยิ้ม ยกมือบ๊ายบาย ผมยกมือโบกตอบ หนุ่มผมแดงเดินผ่านเราสองคนไปโดยที่ไม่ได้หันกลับมามอง ผมมองตามด้วยความรู้สึกไม่สบายใจและแปลกใจ
“มันไม่ได้ทำอะไรคุณแมทแน่ๆ ใช่มั้ยครับ” ผมหันกลับไปมองออสตินแล้วสั่นหัว
“เปล่าเลย ตอนแรกผมคิดแบบนั้นแหละ แต่เขาแค่เข้ามาทักทาย…” ผมยกสองแขนกอดอก ขมวดคิ้วเพราะกำลังใช้ความคิด
“…เขาดูจำอะไรไม่ได้เลย เขาถามชื่อผม แต่เขาจำชื่อตัวเองได้นะ และอย่างที่คุณได้ยิน เขาบอกว่ายินดีที่ได้รู้จัก ผมงงอะ” ออสตินหน้านิ่ง แต่แววตากำลังคิดคำนวณ
“มันโผล่มาที่นี่ได้ยังไง อันนี้น่าสงสัยมากกว่านะครับ”
“เขาก็บอกอยู่ไงว่ามากับพ่อ” ออสตินหรี่ตาลงแว้บหนึ่ง
“มากับพ่อ แต่มาในจังหวะที่คุณแมทอยู่ที่นี่พอดี” ผมเม้มปาก คิดตามที่ออสตินพูด ก็จริงของเขานะ แต่ว่า ท่าทางฌอณผิดกับแต่ก่อนเยอะมาก มันมากเกินไป จากคนแข็งกระด้าง กลายเป็นอ่อนยวบเลยนะนั่น
“อาจจะบังเอิญก็ได้นะ…” ออสตินยังคงมีสีหน้าไม่ไว้ใจทาง ไม่วางใจคนไหนทั้งนั้น
“…เขาก็ไม่ได้ทำร้ายผมนะออสติน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมไว้ใจเขา หรืออยากอยู่ใกล้เขานะ”
“ดีแล้วครับ” ผมพยักหน้าเบาๆ
“อ้อ ไม่ต้องบอกวิคเตอร์ได้มั้ยเนี่ยเรื่องเนี้ย” ออสตินทำหน้าเซ็งนิดๆ
“คุณแมท คุณขอแบบนี้ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง แต่ผมก็บอกทุกครั้ง มันคือหน้าที่ของผม เมื่อไหร่…” ผมยกสองมือขึ้นเบรคออสติน
“…โอเค บอกก็ได้” ผมยิ้มแว้บหนึ่งแล้วก็ทำหน้าบึ้งตึง ก่อนจะหมุนตัวเดินนำออสตินกลับที่ร้านตามเดิม
ภาพแววตาใสซื่อของฌอณค้างอยู่ในสมองของผมไปแล้ว
ผมกลับมาถึงบ้านตอนอีกสิบกว่านาทีจะสามทุ่ม ไฟหน้าบ้านเปิดสว่างทำให้ตัวบ้านสว่างสวยงาม ผมเดินขึ้นบันไดหน้าบ้าน กดกริ่งหนึ่งครั้งเพื่อกะจะพุ่งตัวเข้าไปกอดวิคเตอร์ แต่พอประตูเปิดออกผมก็ชะงักตัวที่กำลังจะพุ่งเข้าไปหา เพราะว่าคนที่มาเปิดประตูคือสเตฟาเนีย หนึ่งในทีมโฆษกของวิคเตอร์
ที่ผมถามวิคเตอร์เล่นๆ ว่าจะแอบเอาใครเข้าบ้านหรือเปล่า ในใจผมนึกถึงคนนี้แหละ
“สวัสดีค่ะคุณแมท” เธอยิ้มกว้างโชว์ฟันเรียงตัวสวย ผมกระตุกยิ้มแหยนิดหน่อย สเตฟาเนียเป็นผู้หญิงสวย แบบที่เป็นสไตล์ฝรั่งชอบ ชีคโบนชัด กรอบหน้าชัด จมูกสวย ตาสีดำสุกใส ผมสีดำยาวสลวยดุจแพรไหม ลักษณะท่าทางของเธอสง่าผ่าเผย ผมยังเคยคิดเลยว่าเธอสวยขนาดนี้ ทำไมไม่ไปเป็นนางแบบหรือนางงาม และเธอก็ไม่ทำให้ความคิดผมผิดหวัง สเตฟาเนียเคยเป็นนางงามในรัฐๆ หนึ่งของสหรัฐอเมริกามาก่อนเมื่อสมัยผมยังเป็นเด็กหัวโปกวัยประถม แน่นอนว่านานขนาดนั้นอายุเธอไม่ใช่เพิ่งยี่สิบปลายๆ หรือสามสิบต้นๆ
“สวัสดีครับเซฟ” เธอพยักหน้า ผมมองหน้าเธอแล้วยิ้มนิดหน่อยก่อนก้าวเท้าเดินเข้าไปในบ้าน อายุขนาดนี้แต่เธอยังดูแลตัวเองดีมาก
“ฉันแวะมาคุยงานกับเซล่าน่ะค่ะ” ผมส่งเสียงอ้อเบาๆ แล้วยิ้ม เธอเป็นคนสุภาพมาก พูดจาดี พูดจาไพเราะ
“อยู่ในห้องโถงกันใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ เดินเข้าไปได้เลย” ผมยิ้มรับนิดหน่อยแล้วก็เดินไปห้องโถง ได้ยินออสตินกับเสตฟาเนียทักทายกันที่ด้านหลัง ผมเดินเข้าด้านในห้องโถง เซล่ากำลังนั่งคุยอยู่กับวิคเตอร์ ไอ้ยักษ์คลี่ยิ้ม
“สวัสดีครับเซล่า” เธอปรายตามองผมเล็กน้อยแล้วก็ยกยิ้มให้แบบเสียมิได้ วิคเตอร์เบะปากใส่เธอทันที เซล่าทันเห็น เธอเลยกลอกตาน้อยๆ ทุกวันนี้ยัยป้านี่ก็ยังไม่ญาติดีกับผม
“ไปทำอาหารรอเถอะ เดี๋ยวฉันก็เสร็จแล้ว ไม่ต้องทำเผื่อเซล่านะ เธอไม่อยู่กินหรอก”
“ย่ะ!” เซล่ากระแทกเสียง ก้มหน้าลงเลื่อนไอแพดต่อ ผมยิ้มขำ วางกระเป๋ากับบอร์ดไม้และซองเงินค่าตัวครึ่งสุดท้าย ไว้บนโซฟา เดินออกไปนอกห้องโถง ออสตินเดินกลับไปทางห้องนอนตัวเองพร้อมไมเคิลที่ลุกวิ่งตามเขาไป
“ไปไหนเหรอคะคุณแมท”
“อ๋อ เอ่อ ผมจะไปทำอาหารให้วิคเตอร์กินอะครับ”
“ให้ฉันช่วยมั้ยคะ” ผมสั่นหัว
“ไม่เป็นไรครับ คุณไปคุยงานกับเขาต่อเถอะ” สเตฟาเนียยิ้ม เดินกลับเข้าไปนั่งคุยกับสองคนนั้น ผมหันไปมองก็เห็นวิคเตอร์หันมายิ้มให้เธอและหันกลับไปคุยกับเซล่าต่อ ผมสลัดความคิดมากออกไปและเดินไปทำอาหารในครัว
ระหว่างที่ทำอาหารผมก็คิดถึงตอนที่เจอกับฌอณ จะว่าเขาเปลี่ยนไปมันก็ใช่เลย ท่าทาง แววตา สีหน้า มันคนละคนกับที่ผมเคยรู้จักและเคยทำร้ายผม ท่าทีที่ดูซอฟต์ลงเมื่อมีสีพาสเทลทำให้เขาเป็นผู้ชายละมุนนุ่มนิ่มไปเลย แต่ผมกำลังนึกสงสัยว่า มันคือการเสแสร้งแกล้งทำมั้ยหรือยังไง ระหว่างที่ไม่เจอกัน เขาได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองหรือเปล่านะ เลยทำให้ความทรงจำของเขาไม่เหมือนเดิม
ถ้าเขาจำไม่ได้จริงๆ ผมว่ามันก็เป็นเรื่องดีต่อตัวผมที่เขาจะไม่คิดทำร้ายผมอีก
ปิก้าปี้ ปิก๊าจู๊ ปิก้าปีก๊า ปิ๊กะ ปิก่าจู๊~ ผมหันไปล้างมือแล้วเช็ดผ้าให้แห้ง ก่อนจะหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมมองด้วยความงงปนประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเป็นพีทโทรมา
“ฮัลโหล” ผมรับสายด้วยความไม่มั่นใจว่าใช่เขาแน่มั้ย
[เจมส์บอกฉันว่าถ้านายอยากมาดูการตัดต่อก็มาได้] ผมอ้าปากค้างนิดหน่อย ก่อนจะรีบตอบรับเขา
“โอเคครับ ขอบคุณมาก” พีทตอบรับสั้นๆ แล้ววางสายไป ผมยังคงรู้สึกงงๆ อยู่สักแปบก่อนจะวางมือถือไว้บนโต๊ะหินอ่อน แล้วกลับไปทำอาหารต่อ ผมนึกถึงบทสนทนาของผมกับผู้กำกับก่อนจะแยกกันที่ร้านอาหาร
“ขอบใจนายมาก ฉันนับถือในความอดทนและความตั้งใจของนายจริงๆ” ผมคลี่ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“ขอบคุณคุณมากเช่นกันครับเจมส์ที่ช่วยสอนงาน ช่วยสอนอะไรหลายๆ อย่างให้ผม” เจมส์หัวเราะเบาๆ ยกมือขวาตบบ่าขวาของผมดังตุบๆ เขาค่อยๆ หุบยิ้มแล้วพ่นลมหายใจออกยาวๆ มองผมด้วยสายตามีแววกังวลเล็กๆ
“เดวิดเคยบอกฉันก่อนที่จะฝากนายมาทำงานด้วยว่าเด็กคนนี้เป็นคนทะเยอทะยานมาก” ผมอมยิ้ม นึกถึงเดวิดแล้วก็อยากจะไปขอบคุณเขาอีกทีที่ทำให้ผมได้เดินมาเส้นทางนี้อย่างที่หวัง
“แต่เดวิดฝากความกังวลมาถึงนาย” ผมคลี่ยิ้มประหลาดใจเล็กน้อย
“เขาฝากบอกว่าอะไรเหรอครับ” เจมส์ยิ้มนิดหน่อยก่อนจะว่าต่อเสียงห้าวปนแหบ
“สิ่งที่นายมีในตัว มันดีมากสำหรับคนทำงาน แต่ว่านะ…” เขาปล่อยมือออกจากบ่าผม ยืดตัวขึ้นตรงอีกนิด ท่าทางของเขาทำเอาระทึกไปด้วยเลย
“…รับมือกับความทะเยอทะยานของตัวเองให้ดี” ผมพยายามแปลความหมายประโยคนั้นตั้งแต่นั่งอูเบอร์กลับมาบ้านจนกระทั่งถึงตอนนี้ มีเมื่อกี้ที่เลิกคิดไปแปบนึง เดวิดต้องการจะฝากบอกว่าอะไรกันแน่ แล้วเจมส์หมายถึงอะไรกับประโยคนั้น มันคงเป็นการเตือนอะไรสักอย่างนั่นแหละ แต่ผมก็คิดว่ามันมีอะไรตรงไหนเสียหายงั้นเหรอ
“กลับก่อนนะคะ” ผมหลุดจากห้วงความคิดของตัวเองแล้วหันไปมองด้านหลัง สเตฟาเนียส่งยิ้มมาให้ เซล่าเดินนำไปที่ประตู วิคเตอร์เดินตามหลังทั้งสองคน
“ไว้เจอกัน” วิคเตอร์โบกมือให้สเตฟาเนียหนึ่งทีก่อนจะปิดประตูแล้วเดินมาทางผมที่กำลังเตรียมอาหารใกล้เสร็จแล้ว
“ทำอะไรน่ะ” เขาถามอย่างอารมณ์ดี ความคิดชั่วร้ายผมเริ่มทำงานทันทีว่าเขาอารมณ์ดีด้วยเหตุใด เพราะผมทำอาหารให้หรือเพราะเพิ่งได้เจอกับสเตฟาเนีย
“ผัดกะเพราะกุ้ง” วิคเตอร์เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะคลี่ยิ้มและพยักหน้าหงึกๆ ผมพ่นลมหายใจ บอกตัวเองให้เลิกคิดไม่ดีระหว่างเขากับโฆษกสาวอายุคราวแม่คนนั้น เดี๋ยวมันจะทำให้การทำงานของเขาลำบาก
“วิคเตอร์ ฌอณออกจากวงการไปเลยเหรอหลังจากเกิดเรื่อง”
“ถามทำไม” เขาเลิกคิ้วขึ้นงงๆ
“ผมอยากรู้อะ ว่าเขาไปทำอะไรที่ไหนอยู่”
“ตอนอยู่ในคุกมันก็ไม่ได้ทำงานหรอก พอออกมาก็ไม่มีใครจ้าง เขาแบนมันกันทั้งนั้นละ”
“แล้วเขาใช้ชีวิตยังไงต่อ” วิคเตอร์ยกไหล่ทั้งสองข้างขึ้น ท่าทางไม่สนใจ
“ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้ตามข่าวมัน” ผมชั่งใจอยู่สักพักว่าจะเล่าให้เขาฟังดีมั้ย แต่ออสตินบอกว่ายังไงเขาก็ต้องบอกเรื่องนี้กับวิคเตอร์
“วันนี้ผมเจอเขา” สีหน้าวิคเตอร์เปลี่ยนเป็นเข้มเครียดทันที แววตาสบายๆ เมื่อกี้เปลี่ยนเป็นแววตากระด้าง
“มันทำอะไรนายรึเปล่า” น้ำเสียงของเขาแข็งกว่าเมื่อกี้นี้มาก ผมยิ้มน้อยๆ แล้วสั่นหัวเบาๆ พลางตักกะเพราะกุ้งตัวใหญ่ใส่จาน
“เปล่า ออสตินอยู่ด้วย ผมคิดว่าเขาน่าจะความจำเสื่อม” วิคเตอร์ขมวดคิ้ว
“ความจำเสื่อมเหรอ” ผมพยักหน้า วางจานกุ้งไว้บนโต๊ะ หันไปตักข้าวที่เหลือจากเมื่อเช้าใส่จานให้เขา พอหันกลับไปมองก็เห็นเขากำลังเอามือลูบคางท่าทางครุ่นคิด
“แน่ใจมั้ยว่ามันความจำเสื่อม มันไม่ได้แกล้งใช่รึเปล่า” ผมเดินถือจานข้าวไปวางบนโต๊ะ แล้วกระเถิบก้นขึ้นนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่เยื้องกับเขา
“เขาเป็นอีกคนไปเลย ท่าทางหวาดกลัวง่าย จำผมไม่ได้ ถามชื่อผม และบอกกับผมว่ายินดีที่ได้รู้จัก”
“มันจำนายไม่ได้แล้วมันเข้ามาทักนายได้ไง” วิคเตอร์ถามเสียงห้วน ยังไม่ยอมตักข้าวเข้าปาก
“เขาบอกว่าเขาไปแถวบรูคลินกับพ่อพอดี แล้วพอเห็นผมเลยเข้ามาทัก เขาบอกเขาคุ้นหน้าผม”
“อะไรของมัน” วิคเตอร์หน้านิ่วคิ้วขมวด
“นั่นสิ อะไรของเขา ผมก็งง แต่ท่าทีเขาเปลี่ยนไปจริงๆ นะ ไม่ใช่ฌอณคนเดิมคนนั้นเลย” วิคเตอร์เงียบ ใบหน้าเขาเครียด แววตากำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด ผมยื่นมือไปแตะแขนเขาเบาๆ
“ผมปลอดภัย เขาไม่ได้ทำร้ายอะไรผมเลย ตอนออสตินยกปืนขู่ เขายกมือขึ้นยอมแบบกลัวๆ ด้วย” วิคตอร์หันมามองผมทั้งที่คิ้วยังขมวดเข้าหากัน
“เกิดอะไรขึ้นกับมัน” ผมเอามือออกจากต้นแขนเขาแล้วส่ายหัว
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ผมคิดว่ามันก็ดีนะ ถ้าเขาลืมไปแล้วจริงๆ เขาจะได้ไม่มาวุ่นวายกับผมอีก”
“แมท มันจะดีกว่านี้ ถ้ามันไม่บอกว่ามันรู้สึกคุ้นหน้านาย คนเราถ้าคุ้นหน้าใครสักคน ไม่คุ้นเพราะชอบก็คุ้นเพราะเกลียดจนฝังกระดูกดำ” จากที่ผมมองโลกสวยมาก ผมเริ่มใจไม่ดีมากละ
“เอ๊า แล้วจะพูดให้กลัวทำไมล่ะ!” ผมงอแงใส่เขา วิคเตอร์ที่กำลังหน้าเครียดเปลี่ยนเป็นหัวเราะ
“โอ๋ กลัวเหรอ มานี่มา” เขาดึงให้ผมเข้าไปหา ผมลงจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปในหว่างขาของเขา วิคเตอร์จูบหน้าผากผมหนึ่งทีแล้วเอาแขนขวาโอบเอวผม
“ฉันไม่ให้มันทำอะไรนายได้หรอกน่า นายก็รู้” ผมทำปากยื่น แล้วก็ยื่นหน้าไปหอมแก้มเขาหนึ่งที วิคเตอร์ยิ้มจนร่องแก้มขึ้น
“ผมขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะ”
“ล้างก้นด้วยนะ” ผมแลบลิ้นใส่เขา
“ฉลองที่นายจบงานสักที คืนนี้จะเอายันเช้าเลย” เขายกมือขวาตีก้นผมเน้นๆ หนึ่งที ผมย่นจมูก แต่ก็ไม่ปฏิเสธ ก็นับจากวันที่กลับมาคุยกัน ก็ครบเดือนแล้วที่ยักษ์น้อยไม่ได้ออกรบ
ให้เขาหน่อยละกัน ตัวผมก็ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก อืมๆ
เม้าท์เม้าท์เม้าท์กะขุ่นเจ้ 
ฌอณเปลี๊ยนไป๋ ทำเอาตกอกตกใจ แต่ฌอณจำไม่ล่ายยยย อะไรยังไงคะนี่ อู๊ว มายยยย
น้องแมทปลอดภัยดีก๊าาา บุญรักษานะลูกนะ ไม่โดนอีฌอณดักทุบ แต่ก็ทำเอาใจหล่นไปตาตุ่มกันเลยทีเดียว
พี่ยักษ์ก็ปลื้มใจที่เอเลี่ยนจะไม่มีงานทำ 555555 มีผัวรวยมันดีงี้อะเนาะ ไม่ต้องลำบากทำงาน ผัวจ้างอยู่บ้าน เออ เริ่ดดด
บางคน อ่านๆ ไป อาจจะรู้สึกว่า อีเรื่องนี้มันจะไม่มีหวาน มีฉ่ำๆ บ้างเลยเหรอ 5555 คืออย่างที่เคยบอกไปเนิ่นนานนนว่าเรื่องนี้ก็พยายามอิงชีวิตจริงเข้ามา สลับสับเปลี่ยนกันไปเนอะ หวานบ้าง ขมบ้าง รสชาติชีวิตที่แท้ทรู ความหวานยังไงต้องมา จะมาขมต่อเนื่องไม่ด้ายยยย ติดตามกันต่อน้ออออ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นจากคนอ่านทุกคนที่คอมเม้นให้กันนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ มันเป็นกำลังใจดีๆ สำหรับคนเขียนมากๆ มันคือแรงขับเคลื่อนและกำลังใจในการเขียนมากเลยค่ะ รู้ว่ามีคนรออ่านและรอมีอินเนอร์ร่วมไปด้วยกันทุกครั้งที่ลงเนื้อเรื่องก็ปริ่มใจ ขอบคุณค่ะ และขอบคุณโหวตที่มอบให้ด้วยค่ะ ได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร แต่พอได้ก็ดีใจ ฮ่าาา และขอบคุณยอดวิวจากนักอ่านเงานะคะ