:Love ♥ no boundaries: ตอนพิเศษส่งท้าย บ๊ายบาย [END] 22.09.18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: :Love ♥ no boundaries: ตอนพิเศษส่งท้าย บ๊ายบาย [END] 22.09.18  (อ่าน 799490 ครั้ง)

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 10.1-15:: 21.06.58
«ตอบ #60 เมื่อ21-06-2015 13:37:34 »



พอคิดถึงคำว่า แกล้ง ก็ใจแป้ว เมื่อกี้นี้ผมแกล้งเขาแรงไปรึเปล่านะ จริงๆ ผมว่าผมรู้คำตอบแล้วล่ะ ก็ดูได้จากสีหน้าอันหงุดหงิด แววตาที่เกรี้ยวกราด และการขว้างขวดครีมอาบน้ำในองศาที่หมายให้โดนหัวผมแบบนั้น ผมว่าเขาคงโมโห แต่ยังดีนะที่เขาไม่ โคตรโมโห ใส่ผม ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเขาระเบิดขึ้นมาจริงๆ สภาพผมจะเป็นยังไง คิดแล้วก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอตัวเองหนักๆ พร้อมกับถอนหายใจเน้นๆ แล้วคนน้ำซุปที่กำลังเดือดปุดๆ คล้ายกับอารมณ์วิคเตอร์ในหม้อสเตนเลสสีเงินต่อไป


ตอนที่ผมตักน้ำซุปขึ้นมาเพื่อจะชิมรสชาติ ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านหลัง พอหันไปมองก็เห็นคนที่เพิ่งหมายจะทำร้ายผมด้วยครีมอาบน้ำเดินเข้ามาหน้าตาเรียบนิ่งจนไหล่ผมแอบกระตุกด้วยความหวาดหวั่น ช้อนที่ตักน้ำซุปไว้ในมือแทบหก แต่พอเขาเห็นเจ้าฟอกซ์ที่นอนอยู่บนเค้าน์เตอร์ครัวเขาก็ยิ้มอ่อนๆ แล้วอุ้มมันขึ้นมาจุ๊บที่หน้าผากเบาๆ แล้วปล่อยมันลงกับพื้นไปยืนคลอเคลียกับไมเคิล ก่อนที่รอยยิ้มเขาจะหายวับไปทันทีที่เห็นหน้าผม รอยยิ้มรู้สึกผิดที่ผมกะจะส่งไปให้เขาในตอนแรกค่อยๆ สลายตัวไปจากใบหน้า จนรู้สึกว่าได้ยินเสียงเพล้งเบาๆ ที่ใบหน้า ผมกระแอมในลำคอเล็กน้อย รู้สึกเก้อเลยทีเดียวที่ยิ้มไปแล้วแต่อีกฝ่ายกลับหน้านิ่งสนิท ผมเลยค่อยๆ ยกช้อนน้ำซุปขึ้นชิมก่อนจะแอบเหลือบตามองเขาที่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ทรงสูงตรงหัวโต๊ะ วันนี้เขาใส่เสื้อยืดคอกลมสีดำที่แนบหุ่นแน่นๆ กับกางเกงขาสั้นสามส่วนทรงกระบอกสีน้ำตาลเข้ม เส้นผมยังคงเปียกชื้นนิดๆ เขากำลังก้มลงเล่นโทรศัพท์เลื่อนดูอะไรบางอย่าง แล้วเขาคงรู้ตัวว่าถูกแอบมองอยู่ เลยเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาแข็งๆ จนผมเกิดอาการลนลาน ปากที่กำลังชิมน้ำซุปร้อนๆ  อย่างช้าๆ ก็เปลี่ยนเป็นสูดเข้าปากอย่างเร็วโดยไม่สนความร้อนว่ามันจะลวกปากขนาดไหน


“ซู๊ดดด~ แค่ะ…”


“มองอะไร?! มองหน้าฉันแล้วอาหารมันจะเสร็จรึไง?!” ผมที่กำลังจะสำลักเพราะรีบซดน้ำซุปมากเกินไปถึงขั้นต้องเม้มปากกลั้นเสียงไอตัวเองเอาไว้เมื่อเขาแทรกเสียงดังลั่นขึ้นมาพร้อมใบหน้าที่ถมึงทึง ผมตาโต ส่ายหน้าระรัว เอามือปิดปากกลั้นเสียงไอและพยายามกลืนเสียงไอเข้าไปในลำคอจนรู้สึกว่าทรมานอยู่ในอกและช่วงคอหอย พอจะปล่อยมือออกเพื่อไอค่อกแค่กก็ต้องฝืนตัวเองเอาไว้จนน้ำตาปริ่มที่ขอบตาเมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องด้วยแววตากร้าว


“ยืนนิ่งหน้าโง่อีกแล้ว รีบๆ ทำสิโว้ย! ฉันหิวข้าวแล้วนะ!” ผมเบิกตากว้างกว่าเดิมแล้วพยักหน้ารัวๆ หันหลังกลับไปที่หม้อซุปทันที ก่อนจะปล่อยมือออก แล้วค่อยๆ แอบไอเสียงเบาๆ โอ๊ย… โคตรทรมาน เวลาไอเพราะสำลักน้ำ ไม่ว่าจะน้ำอะไรก็ตาม แล้วพยายามห้ามไม่ให้ไอ มันจะทรมานเป็นสองเท่าเชียวล่ะ ผมเอาหลังมือเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว และแอบไอไปด้วยจนไหล่ไหวเบาๆ มือก็คนน้ำซุปไป รสชาติที่ชิมไปเมื่อกี้เตลิดเปิดเปิงหายไปหมดละ รู้สึกว่าด้านหลังตัวเองจะเกร็งเป็นพิเศษเพราะมีสายตาของพ่อพระเอกจ้องมองอยู่ ให้ความรู้สึกเหมือนตอนเด็กๆ ที่ผมไม่ยอมทำการบ้านแล้วพ่อจับตีจนร้องไห้ ก่อนจะบังคับให้ผมทำการบ้านให้เสร็จโดยนั่งเฝ้า นั่งจ้องตลอดเวลา


พ่อผมมีแฝดรึเปล่า ทำไมถึงได้เหมือนกันแบบนี้ ทั้งหน้าตาที่ไปทางคมเข้ม ผิวสองสี  ตาคมสองชั้นเรียวคมแต่เวลายิ้มจะดูขี้เล่นและมีเสน่ห์เพราะดวงตาเป็นสีน้ำตาลน้ำผึ้งข้น จมูกโด่ง ริมฝีปากหยักหนา ตัวสูงใหญ่ นิสัยดุแต่ใจดี เอ่อ… ผมกล้าพูดได้ว่า พ่อผมดุ แต่จริงๆ ใจดีและอบอุ่น แต่ผมยังสัมผัสความใจดีและอบอุ่นนั้นจากวิคเตอร์ไม่ได้ อันที่จริงก็ใช่ว่าจะหาไม่เจอล่ะนะ อย่างตอนที่ผมนอนตากลมหน้าบ้านเขาทั้งคืนจนไม่สบาย เขาก็อุ่นเกี๊ยวกุ้งให้กิน หายาให้กิน และทำแผลที่แขนให้ด้วย และตอนที่ผมวิ่งเข้าไปในกองไฟเพราะคิดว่าเขายังติดอยู่ในนั้น เขาก็อุ้มผมออกมาและทายาให้ด้วยนะ


อืม… เอาเป็นว่าเขาก็ใจดีและอบอุ่นแหละ แม้จะไม่เท่าพ่อผม แต่ก็ทำให้ผมนึกถึงพ่อได้เสมอเลย ยิ่งเวลาดุๆ แบบเนี้ย ส่วนเรื่องความหล่อขอไม่เข้าข้างพ่อนะ ยกให้ไอ้หนวดนี่ไปละกัน มันหล่อกว่าเยอะ


“จะคนจนพระจันทร์เวียนขึ้นมาบนฟ้าอีกรอบเลยรึไง?!” เสียงเข้มๆ แม้ไม่ตะคอกแต่ก็ทำเอาผมสะดุ้ง ก่อนจะหันไปมองเขาพร้อมยิ้มยิงฟันแห้งๆ


“เกือบเสร็จละครับ ขออีกห้านาที” เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่รู้หงุดหงิดเพราะโมหิวหรือโมโหผมกันแน่ ผมหุบยิ้มฉับเมื่อเขายังคงหน้านิ่งไม่เปลี่ยนแล้วรีบหมุนตัวกลับไปคนน้ำซุปเร็วๆ ก่อนจะใช้ช้อนตักน้ำซุปขึ้นมาเป่าสองสามทีแล้วชิม พอรู้สึกว่ารสชาติมันน่าจะโอเคที่สุดแล้วก็รีบตักใส่ถ้วยแล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหันกลับไปตักข้าวในหม้อใส่จานแล้วเสิร์ฟให้เขากิน วิคเตอร์ขมวดคิ้วนิดๆ มองอาหารบนโต๊ะ เหลือบตามามองผมนิดหน่อยก่อนจะหยิบช้อนแล้วลงมือกิน ผมเม้มปากมองเขาอย่างลุ้นๆ แต่ก็ไม่แสดงออกมากว่ามองเขาอยู่ เดี๋ยวจะหันมาด่าผมอีก แต่พอเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรและตักกินต่อเงียบๆ ผมก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันไปจัดการล้างช้อน ล้างทัพพีที่ใช้คนซุป และเก็บของที่เหลือใส่ตู้เย็นเก็บเอาไว้ทำอาหารมื้อต่อไป


“กินข้าวมารึยัง” ผมเอี้ยวคอไปมองเขา ส่งยิ้มแหยๆ ให้เขาแล้วส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปยัดเนื้อหมูติดกระดูกไว้ในตู้เย็น


“แล้วไม่กินรึไง” เขาถามเสียงห้วนตอนที่ผมปิดตู้เย็น 


“เอ่อ… คุณกินเถอะ เดี๋ยวผม…”


“กิน!!” เขาแทรกขึ้นมาเสียงเข้ม ผมชะงักไปก่อนจะรู้สึกว่าทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะไปหยิบไปจับอะไรตรงไหนก่อนดี


“เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะขึ้นมาก็มาโทษฉัน หาว่าฉันใจดำอำมหิตอีก” เขาบอกเสียงห้วน หน้าตาไม่พอใจ แต่บอกได้เลยว่านั่นไม่ใช่ความพอใจที่ผมจะไม่กินข้าว มันไม่ใช่ไม่พอใจเพราะเป็นห่วงแล้วผมเล่นตัวอะไรทำนองนั้น แต่มันเป็นการไม่พอใจที่ว่าถ้าผมเป็นอะไรขึ้นมา ก็จะเหมือนว่าเขากลายเป็นต้นเหตุนั่นแหละ


ผมยิ้มแห้งๆ อย่างน้อยก็ยังดีล่ะนะที่เขานึกถึงผมว่าผมยังไม่ได้ทานข้าว


“เอ่อ… คุณเรย์มอนด์…” ผมเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก หลังจากตักข้าวและต้มจืดมาวางบนโต๊ะแล้ว คนถูกเรียกตวัดสายตามามองจนไหล่ผมกระตุกนิดๆ


“What? (อะไร?)” เขาถามเสียงห้วนสั้น และหันไปสนใจอาหารต่อทันทีหลังจากมองผมแค่แว้บเดียว ผมเม้มปากแล้วบดริมฝีปากไปมาเบาๆ


“คือ… คุณโกรธรึเปล่า” ผมถามเสียงอ้อมแอ้ม ยิ้มแหยๆ กับแววตาดุที่จ้องมองกลับมาอย่างกับว่าคำถามที่ผมถามมันเป็นคำถามก่อการร้ายงั้นแหละ


“แล้วหน้าฉันดูเป็นไง” เขาถามกลับมานิ่งๆ ขณะที่ตักเนื้อหมูเข้าปาก เคี้ยวช้าๆ แล้วมองผมกลับมาด้วยสายตาไม่สั่นไหวใดๆ


“ก็… ก็ดูนิ่ง นิ่งเกินไป เหมือนกำลังไม่พอใจเลย” ผมว่าเสียงอ่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ เขยิบตัวเองขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่เยื้องๆ กับเขา


“แล้วคิดว่าฉันไม่พอใจเรื่องอะไร” นี่เขากำลังเล่นเกมส์โชว์ตอบคำถามชิงเงินล้านรึเปล่าเนี่ย ผมเริ่มหน้าเสีย คิ้วย่นด้วยความหวั่นใจ


“ก็เรื่องที่ผมไปดึงขนรักแร้คุณไง”


“แล้วคิดว่าฉันควรทำหน้าดีใจเหมือนถูกล็อตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่งมั้ย” เขาถามเสียงประชดอย่างชัดเจน ผมหน้าหงอลงอย่างรู้สึกผิด


“ก็ไม่…” ผมตอบเสียงอ่อย แววตาหงอยลงอย่างรู้สึกตัวเองได้


“เออ! รู้แล้วยังจะมาถามอีก เครื่องกรองน้ำยังทำหน้าที่ของมันได้ดีกว่าสมองนายซะอีก!” อึก! สะอึกเต็มอกเลยครับ ผมอ้าปากหวอ กระพริบตาปริบๆ มองไอ้หนวดที่แววตาดุดันอีกครั้งราวกับกำลังตอกย้ำให้ผมรู้ว่า กูไม่พอใจโว้ย!


“แหม… ทีคุณยังดีดหู ตีหัวผมจนสมองแทบไหล ผมยังไม่โกรธเลยนะ” ผมว่าเสียงงุ้งงิ้ง ทำปากยื่นน้อยๆ แล้วกระพริบตามองอีกฝ่ายเหมือนน้อยใจ แต่จริงๆ ผมไม่ได้น้อยใจอะไรหรอก ทำไปงั้นแหละ เผื่อจะทำให้เขาใจอ่อนได้บ้าง
แต่ผมคิดผิด…


“ยังจะมีหน้ามาพูด มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ! มันเจ็บเท่าที่ฉันโดนมั้ย พูดแบบนี้เดี๋ยวก็สาดน้ำซุปในหม้อใส่หน้าซะหรอก!” จากที่จะทำหน้าอ้อนๆ ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นเหวออย่างฉับพลัน เพราะไม่คิดว่าเขาจะพูดแบบนั้น และผมจะไม่บอกว่าเขาไม่คิดจะทำงั้นหรอก เพราะผมรู้ว่าถ้าเขาจะทำ เขาทำแน่ อย่าได้เอ่ยปากท้าทายไปเด็ดขาด ผมตาโต อ้าปากกว้างกว่าเดิม มองเขาด้วยความอึ้ง แต่ก่อนที่ผมจะโดนเขาสาดน้ำซุปร้อนๆ ในหม้อใส่หน้าหรือว่าโดนด่าไปมากกว่านี้ เสียงกริ่งที่หน้าบ้านก็ดังขึ้นมาเบรคสถานการณ์ที่ชวนเหวอและหวาดหวั่นนี้


“นั่งอ้าปากกว้างเป็นชักโครกอยู่ได้ ไปเปิดประตูสิ ต้องเอาช้อนเคาะหัวก่อนมั้ยถึงจะรู้สึกตัว” โอ๊ยยย! ด่าได้ด่าดี ด่าไม่มีวันเบื่อ ผมหุบปากลงอย่างไว ใช้ฟันกันริมฝีปากล่างไว้ แล้วมองค้อนเขาอย่างเอาเรื่อง อีกฝ่ายยกช้อนขึ้นมาขู่ด้วยหน้าตาที่บอกว่าจะทำจริงๆ ผมเลยเบะปากใส่เขาเล็กน้อย แล้วเดินตรงไปที่ประตู


ปึก!


“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลงแล้วหันหลังกลับไปมองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ก่อนที่สายตาจะหันไปมองผลส้มที่กลิ้งหลุนๆ ไปทางเจ้าไมเคิลที่ตอนนี้เอาเท้าหน้าด้านขวาขึ้นมาแตะส้มเพื่อเบรกให้มันหยุดกลิ้ง


“นี่แค่เตือน ถ้ายังกล้าทำหน้าท้าทายใส่ฉัน ต่อไปฉันจะขว้างหม้อน้ำซุปใส่หัวนายแทน” เขาบอกเสียงเบา แต่เน้นๆ ทั้งประโยค และยืนยันว่าเอาจริงด้วยสายตาวาววับพร้อมใบหน้าโหดๆ นั่น  ผมกัดฟันแน่น ถลึงตามองไอ้ฝรั่งยักษ์ที่นั่งกินข้าวสบายใจต่อไป ต้องพยายามข่มใจไม่ให้วิ่งไปหยิบมีดมาเสียบหูเขา


ผมสะบัดหัวและตัวหนีเขาก่อนจะเดินเร็วๆ ไปที่ประตูบ้าน ยืนหลับตาสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มนิดๆ ให้กับตัวเองเพื่อสร้างภาพ เอ้ย! เพื่อให้อารมณ์อยู่ในภาวะที่ปกติก่อนจะเปิดประตูรับใครก็ไม่รู้ที่มากดออด นี่จะเป็นหนึ่งในกิ๊กของอีหน้าหนวดนั่นรึเปล่านะ


แกร๊ก~


ผมดึงประตูเปิดออกแล้วก็พบกับผู้หญิงดูท่าทางมีอายุ แต่ก็ไม่ได้ดูแก่มาก เธอมีผมบลอนด์เข้มหยิกหยอย รูปร่างท้วมๆ อยู่ในชุดกางเกงเลคกิ้งสีดำ ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าตัวใหญ่ หน้าตาไม่ยิ้มแย้ม ดูแล้วไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่


“นี่บ้าน วิคเตอร์ เรย์มอนด์ รึเปล่า” เธอเอ่ยถามเสียงห้วนๆ จนผมที่ฉีกยิ้มให้ต้องค่อยๆ หุบยิ้มลง แล้วมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ไม่ได้มองด้วยสายตาดูถูก ผมแค่มองแล้วลองเดาว่าเธอน่าจะเป็นใครได้บ้าง ซึ่งจากการเดาของตัวเอง เธอไม่น่าใช่กิ๊กหรือแฟนสาวคนไหนของวิคเตอร์แน่นอน


แน่สิ ตานั่นมันมีแต่สาวเอ๊าะๆ อกอึ๋มๆ ในคอลเลคชั่นทั้งนั้น


“ใช่ครับ คุณมีธุระอะไรกับเขารึเปล่า” ผมเอ่ยถามเสียงสุภาพ ถึงเธอจะดูไม่ค่อยเป็นมิตร แต่ตามมารยาทของคนไทย ถึงจะไม่ค่อยชอบผู้ใหญ่คนไหนเท่าไหร่ก็ต้องแสดงกิริยาสุภาพไว้ก่อน นอกจากจะเป็นกำนันหรือนายก อบต. อันนี้แสดงกิริยาไม่ดีได้เลย


เอ่อ… เดี๋ยวนะ ผมว่ามันผิดละ


“แน่ล่ะว่าฉันมี ถ้าไม่มีฉันจะมายืนอยู่ตรงนี้ทำไม” เธอพูดเหมือนกำลังหงุดหงิดกับคำถามของผม ผมยิ้มแหยๆ ให้เธอเพราะไม่รู้จะทำหน้ายังไงกับใบหน้าบึ้งตึงที่มากับน้ำเสียงหงุดหงิดนั่น


“แล้วคุณมีธุระอะไรกับเขาครับ ผมจะได้ไปบอกเขาให้” คราวนี้คุณป้าหน้าตาหงุดหงิดเป็นฝ่ายมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าบ้าง นี่ป้าแกคิดจะเอาคืนผมรึไง


“แล้วเธอเป็นใคร” เธอถามเสียงห้วนอีกครั้ง ผมพยายามทำใจเย็นแล้วค่อยตอบคำถามเธอ


“ผมเป็นคนดูแลเขาครับ” ผมตอบนิ่งๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมากนักว่าไม่พอใจอยู่


“ฉันขอพบเขาหน่อย” เธอเอ่ยเสียงที่อ่อนลง แต่ฟังแล้วก็ยังไม่เป็นมิตรอยู่ดี


“เดี๋ยวผมขอถามเขาก่อนนะครับ ที่นี่ไม่ใช่บ้านผม ผมคงให้ใครเข้ามาเลยไม่ได้” ผมดันประตูเพื่อจะปิดเอาไว้ระหว่างที่เดินกลับไปถามวิคเตอร์ แต่คุณป้าแกเอามือมาดันไว้


“ไม่ต้องปิด ฉันไม่เข้าไปขโมยของอะไรหรอกย่ะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ และส่งแววตาไม่พอใจมาให้ ผมขมวดคิ้วมองป้าแกอย่างงุนงง จะให้ผมไว้ใจคนแปลกหน้าได้ไง


“ใครมา?!” ในขณะที่ผมกำลังงัดประตูกับป้าแกอยู่ เสียงทุ้มและห้าวก็ดังขึ้นข้างหลัง ผมหันไปมองก็เห็นวิคเตอร์ยืนมองมาหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความสงสัยและอาจปนความหงุดหงิดเล็กๆ


“ไม่รู้ครับ เธอบอกว่ามาหาคุณ ผมกำลังจะไปถามคุณว่าให้เธอเข้ามามั้ย แต่คุณดันเดินมาซะก่อน”


“เธอเหรอ?” เขาเลิกคิ้วขึ้นทั้งที่คิ้วยังย่นอยู่ ผมพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะดึงประตูให้เปิดกว้าง เผยให้เห็นคุณป้าหน้าตาบึ้งตึงคนเดิม เธอกำลังมองวิคเตอร์ด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะเดินเข้ามาด้านในอย่างที่ไม่มีใครอนุญาต


“คุณคงเป็นวิคเตอร์” เธอเอ่ยเสียงเรียบ ผมหันไปมองวิคเตอร์ที่กำลังมองป้าแกกลับมาด้วยสายตาและใบหน้างงๆ


“คุณเป็นใครครับ” เขาถามเสียงเรียบ แต่ผมรู้ว่าเขากำลังไม่พอใจที่จู่ๆ ยัยป้าก็เดินเข้ามาในบ้านโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตก่อน


“ฉันเป็นแม่บ้านที่คุณนายลิซ่าส่งมาดูแลคุณค่ะ” สิ้นประโยคของยัยป้าผมหยิกสีบลอนด์เข้ม ใบหน้านิ่วคิ้วขมวดในตอนแรกของวิคเตอร์ก็แปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนเป็นโมโหแทน เขาขบกรามแน่น จ้องมองยัยป้านั่นด้วยสายตาเกรี้ยวกราด แต่ยัยป้ายังคงยืนมึนเหมือนไม่รู้สึกอะไร ส่วนผมนี่สิรู้สึกหนาวเย็นกับสายตานั้นเหลือเกิน


“Get-out! (ออก-ไป!)” วิคเตอร์บอกเสียงเย็นแต่เน้นคำอย่างพยายามสะกดอารมณ์ตัวเอง



“แต่คุณนายลิซ่าสั่งให้ฉันมาดูแลคุณนะคะ คุณวิคเตอร์” โธ่ป้า! ป้าจะใจกล้า หน้าหนาที่ไหนมาก่อนผมไม่รู้หรอกนะ แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่


ผมอ้าปากหวอนิดๆ มองวิคเตอร์ที่หายใจเข้าอย่างหนักหน่วงและปล่อยออกมาอย่างหนักหน่วงเช่นกัน บอกได้เลยว่าอารมณ์ของวิคเตอร์ตอนนี้พร้อมระเบิดลง


“ไม่ต้องมาดูแลผม ผมมีคนดูแลแล้ว ซึ่งก็คือ ไอ้เตี้ย ที่ยืนข้างๆ คุณ ส่วนคุณ! ออก-ไป-จาก-บ้าน-ผม! เดี๋ยวนี้!!” เขาส่งเสียงดังลั่นบ้านจนไมเคิลที่นอนอยู่กับฟอกซ์ถึงขั้นผงกหัวขึ้นมาดูด้วยความตกใจ ยัยป้าที่ตอนแรกว่านิ่งๆ พอเจอวิคเตอร์จ้องอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้และส่งเสียงดังสนั่นนิวยอร์ค (เว่อร์) ยังแอบหน้าเสีย


แต่เหนือสิ่งอื่นใด… ไอ้เตี้ย ที่ว่านั่น เขาด่าจริงจังไปมั้ย   


“ฉันไปก็ได้ แต่คุณช่วยบอกคุณนายลิซ่าด้วยก็แล้วกันว่าคุณไม่ตอบรับกับการมาเยือนของดิฉัน” ยัยป้าที่ดูท่าจะตั้งสติสู้ได้แล้วก็กลับมาทำหน้านิ่งตามเดิม แถมรอบนี้แอบมีเชิดสู้ขึ้นเล็กน้อย


“เออ!! ผมพูดแน่ ไม่ต้องห่วง ยุ่งไม่เข้าเรื่อง วุ่นวายไม่จบไม่สิ้น!!!” วิคเตอร์สีหน้าหงุดหงิดสุดขีด เขายกมือเสยผมด้วยความโมโห หน้าตาดูพร้อมอาละวาดแล้ว ส่วนยัยป้าผมหยิกหันมามองหน้าผมด้วยสายตาขวางๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากบ้านไป ทิ้งให้ผมงงว่ามามองผมด้วยสายตาแบบนั้นทำไม


ผมย่นจมูกไล่หลังป้าแกไปแล้วปิดประตู ก่อนจะหมุนตัวเดินตามหลังวิคเตอร์ที่เดินกลับเข้าไปในครัว เขาหยิบมือถือขึ้นมาด้วยใบหน้าตึงเครียด เลื่อนลงอยู่พักหนึ่งก่อนจะกดโทรออก รอสัญญาณอยู่สักพักแล้วทอร์นาโดก็เริ่มพัดไปทั่วบ้าน


“เมื่อไหร่จะเลิกวุ่นวายกับชีวิตฉันสักที!!! ฉันรำคาญโว้ยยย!!!!... ยังจะมีหน้ามาถาม ก็เธอแส่ส่งใครมาบ้านฉันอีกล่ะ ฉันบอกหลายครั้งแล้วนะว่า ฉัน-ไม่-ต้อง-การ!!!... ไม่ต้องมายุ่ง!! ฉันขี้เกียจพูดเรื่องนี้หลายๆ รอบแล้วนะ… แม่ง!!! ไม่จบไม่สิ้น! อยากลองดีใช่มั้ยวะ?!... ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ!... หึ! อย่ามาพูดคำนั้น ฉันได้ยินแล้วจะอ้วก!!… เธอก็รู้ว่าฉันทำอะไรได้บ้าง อยากลองมั้ย คุณแม่เลี้ยง!... เออ! บอกเลย ฉันเชื่อว่าครั้งนี้พ่อต้องเข้าข้างฉัน!!”  เขากดวางสายอย่างแรง หน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน แววตาคมคู่นั้นแข็งกร้าวแทบไม่กระพริบเปลือกตา  เขากำโทรศัพท์แน่นจนมือสั่นก่อนจะปาไอโฟนสีทองไปกระแทกกับผนังครัวฝั่งตรงข้ามกับเขาจนมันแตกกระจาย


เฮือก!


ผมสะดุ้งอย่างแรงเลยรอบนี้ แม้แต่ไมเคิลกับฟอกซ์ยังลุกขึ้นยืนตกใจกับเสียงโทรศัพท์ที่กระจัดกระจายไปทั่วครัว  เท่านั้นยังไม่พอ วิคเตอร์ปัดจานข้าวและถ้วยซุปตกลงพื้นแตกกระจายเสียงดังเคร้งคร้างเป็นการระบายอารมณ์โกรธของเขา ผมมองเขาด้วยความหวาดหวั่น ใจสั่นอยู่ในอก รู้สึกตัวชาไม่กล้าขยับไปไหน


เขาสะบัดสายตาเกรี้ยวกราดคู่นั้นมามองที่ผมจนผมสะดุ้งด้วยความตกใจ ในอกวูบเหมือนใจหล่นหายเมื่อเจอสายตานั้น แม้จะรู้ดีว่าเขาไม่ได้อาละวาดเพราะผมก็ตาม แต่บอกได้เลยว่าอารมณ์ที่พุ่งของเขาในตอนนี้มันมีต้นเหตุมาจากผมด้วยแน่ๆ


“เอ่อ… วะ…วิค…คุณเรย์มอนด์…” ผมขยับปากที่แห้งปากเรียกเขา เกือบเผลอเรียกชื่อจริง ดีที่พลิกลิ้นได้ทันไม่งั้นอาจทำให้เขาระเบิดมากกว่านี้ก็ได้


“…” เขาไม่พูดอะไร เอาแต่จ้องหน้าผมจนผมรู้สึกกลัว ผ่านไปครู่หนึ่งแววตาเขาอ่อนลง แต่ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี เขาพ่นลมหายใจแรงๆ แล้วเดินเร็วๆ ออกจากห้องครัวไป ทิ้งให้ผมยืนคว้างทำอะไรไม่ถูก


ผมยืนเอ๋ออยู่กลางห้องครัวที่สงบลงแล้วจากเหตุการณ์ทอร์นาโดถล่มเมือง ผมก้มลงไปมองเจ้าไมเคิลกับเจ้าฟอกซ์ สองพี่น้องมองกลับมาอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น


“พ่อพวกแกกริ้วจนฉันเป็นตะคริวไปทั้งตัวแล้วเนี่ย” ผมพูดเป็นภาษาไทยใส่เจ้าสองตัว เจ้าฟอกซ์หันไปเลียอุ้งเท้าซ้ายตัวเอง ส่วนเจ้าไมเคิลเอียงคอมองผมด้วยความไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าไม่เข้าใจภาษาไทยหรือไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกันแน่


ผมเรียกสติที่วิ่งหนีหายไปตอนวิคเตอร์อาละวาดกลับมา แล้วจัดการเก็บซากโทรศัพท์ที่แสนแพงในเมืองไทย แต่ราคาธรรมดาในอเมริกา ผมวางซากไอโฟนไว้บนโต๊ะ แล้วหันไปจัดการกับเศษซากอาหาร เศษจานและถ้วยที่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ผมมองอาหารด้วยความเสียดาย ทำตั้งนานกว่าจะได้ ถึงมันจะไม่อร่อยที่สุดแต่ก็ดีที่สุดเท่าที่คนทำอาหารไม่เป็นคนหนึ่งจะทำได้ล่ะนะ
ผมปัดความเสียดายออกไปแล้วเริ่มจัดการความเลอะเทอะบนพื้นหลังจากเก็บเศษผัก เศษหมู เศษจานและเศษถ้วยออกไปหมดแล้ว ไอ้ของพวกนี้น่ะเก็บง่าย ทำความสะอาดง่ายไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรือเรื่องยากหรอก


แต่อารมณ์วิคเตอร์ตอนนี้สิเรื่องยาก ผมไม่รู้ว่าจะต้องเข้าหาเขายังไงเลยทีนี้ ผมรู้ว่าอารมณ์เขาในตอนนี้ต้องมีเรื่องที่โกรธผมผสมอยู่ด้วย นั่นแหละปัญหาหลัก ถ้าต้นเหตุเป็นเพราะแม่เลี้ยงเขาคนเดียว มันคงไม่หนักหนาเท่าไหร่ แต่นี่ดันมีเรื่องผมก่อนหน้านี้ แถมตอนกำลังจะง้อและขอโทษ ดันมีนังป้าผมหยิกหยอยมาขัดจังหวะซะได้


ผมถอนหายใจด้วยสีหน้าหงอยๆ เพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อกับวิคเตอร์ที่กำลังอารมณ์ไม่ดี จริงๆ ไม่ใช่ว่าไม่รู้นะ แต่ผมไม่กล้ามากกว่า ยอมรับเลยว่ากลัวเขาอาละวาดใส่ เพราะตอนนี้ผมเป็นคนเดียวที่อยู่กับเขาแถมยังมีประเด็นทำให้เขาโกรธมาก่อนแล้วด้วยอีก


แต่อย่างที่ผมเคยบอกเขาไปก่อนหน้านี้ ว่าผมไม่ชอบเขาตอนโกรธหรือมีเรื่องไม่สบายใจ เพราะหน้าตาเขาจะดูอมทุกข์ หงุดหงิด ดูขี้โมโหเพิ่มเป็นสองเท่าจากปกติที่เป็นอยู่ ถึงเขาจะชอบด่า ชอบว่า ขี้บ่นใส่ผมเยอะแยะ แต่แบบนั้นมันทำให้ผมสบายใจและไม่กลัวที่จะอยู่ใกล้เขา ถ้าให้เลือกผมไม่เอาอารมณ์เขาตอนนี้หรอก


แล้วผมจะทำไงให้อารมณ์เขากลับมาปกติวะเนี่ย ถึงจะนิ่ง จะขรึม เข้ม โหดและดุ แต่เอาวิคเตอร์คนนั้นกลับมาเถอะ ไม่เอาวิคเตอร์ ทอร์นาโดคนนี้อ่ะ



ผมจัดการเก็บกวาดเช็ดถูพื้นจนสะอาดเหมือนเดิม และเริ่มคิดหาวิธีเข้าหาวิคเตอร์ ซึ่งจริงๆ ผมไม่ต้องเข้าหาก็ได้ แค่รอให้เขาอารมณ์เย็นลงก็คงกลับสู่ภาวะปกติเอง แต่ก็นะ ผมเองก็มีส่วนทำให้เขาอารมณ์พุ่งปรี๊ดขนาดนี้นิดหน่อย (นิดหน่อย?) ก็ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของผมด้วยละกัน


ผมยืนเกาหัวงงๆ พร้อมสีหน้ายุ่งเหยิงเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี ก่อนจะตัดสินใจเปิดตู้เย็นอีกรอบแบบมึนๆ มองหาขนมหวานช็อคโกแล็ตแล้วเลือกที่มีเม็ดอัลมอนด์ผสมอยู่ด้วยออกมาสองกล่อง ผมปิดประตูตู้เย็นแล้วเดินออกจากห้องครัว ขึ้นไปตามหาเขาบนห้องนอนซึ่งผมคิดว่าเขาน่าจะขึ้นไปอยู่บนนั้น ผมหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้เนื้อแข็งสีขาวที่มีลวดลายเส้นสีทองขดคล้ายเป็นรูปซุ้มประตู ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องสามครั้งแล้วยืนรอสักพักแต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ ผมเลยลองเคาะอีกสามครั้ง


“คุณเรย์มอนด์…” ผมเอ่ยเรียกเขา เผื่อเขาจะนั่งเหม่อจนไม่รู้เรื่อง หรืออาจนั่งนิ่งๆ เป็นหิ่งห้อย ไม่ยอมตอบรับการร้องเรียกจากผม หลังจากยืนรอการตอบรับอยู่เป็นนาที เสียงก็ยังคงเงียบอยู่ ผมเลยถือวิสาสะบิดลูกบิดประตูเปิดเข้าไปในห้อง แล้วกวาดตามองไปรอบๆ ก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าฝรั่งยักษ์วิคเตอร์


ผมย่นคิ้วด้วยความงงและสงสัยว่าเขาหายไปไหน ปิดประตูเบาๆ หมุนซ้ายหมุนขวาไปมาอยู่หน้าห้องเขาอย่างไม่รู้จะไปทางไหน หรือเขาจะขึ้นไปบนชั้นสาม ซึ่งเป็นชั้นที่ผมไม่เคยขึ้นไปและไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปเด็ดขาด ได้ขึ้นมาห้องนอนเขานี่ก็ถือเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ชีวิตแล้ว


ผมเดินกลับลงมาข้างล่าง ก็เจอกับเจ้าไมเคิลที่นั่งรออยู่ที่ตีนบันได มันมองหน้าผมเหมือนกำลังจะสื่อสารอะไรบางอย่าง


“ฉันตามหาเจ้านายแกไม่เจอ รู้มั้ยว่าเขาอยู่ที่ไหน” ไมเคิลเอียงคอมองหน้าผมกลับมาแล้วทำหน้าตาสงสัย ผมถอนหายใจกับความไม่สมประกอบทางสติของตัวเองที่ไปถามหมา ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงซุ้มประตูกว้างที่เป็นทางเข้าไปห้องนั่งเล่นของบ้าน แล้วมองซ้ายขวา กำลังจะตัดสินใจว่าจะนั่งรอเขาอยู่ตรงห้องครัวเนี่ยแหละ


“โฮ่ง!!!” เสียงเจ้าไมเคิลมาดึงสติที่กำลังลอยละล่องไปมาให้หันกลับไปมอง มันลุกขึ้นยืนแล้วเดินนำผมไปทางห้องซักรีด ผมขมวดคิ้วงงๆ แต่ก็เดินตามมันไป เพราะครั้งที่แล้วมันยังพาผมไปปลุกเจ้านายมันบนห้อง ครั้งนี้มันก็อาจจะพาผมไปหาเจ้านายมันก็ได้ เจ้าไมเคิลพาผมเดินไปทางห้องซักรีด เดินเลยตรงไปยังประตูสีน้ำตาลที่อยู่หลังฉากไม้ที่กั้นเอาไว้ไม่ให้เห็นประตูหลังบ้านเมื่อเปิดประตูหน้าบ้านเข้ามา ตรงโซนที่กั้นหลังฉากไม้ฝั่งขวามือที่ผมยืนอยู่มีห้องซักรีดห้องใหญ่ ห้องน้ำและอีกห้องอยู่ริมสุดที่ผมเคยแอบเปิดไปดูคือห้องสมุดขนาดย่อมที่มีหนังสือมากมายพอสมควร ส่วนด้านซ้ายมือมีห้องนอนของแขกที่อยู่ติดกับห้องนั่งเล่น


“เขาอยู่นี่เหรอ?” ผมถามเจ้าไมเคิลเมื่อมันมาหยุดยืนอยู่หน้าประตู เอี้ยวคอหันมามองผมเหมือนเป็นคำตอบ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เตรียมตัวเตรียมใจรับอารมณ์เขาไม่ว่าจะอยู่ในโหมดใดก็ตาม ผมเปิดประตูหลังบ้านที่ผมไม่เคยมายุ่งย่ามออกไป ภาพที่ผมเห็นตอนเปิดประตูทำเอาชะงักไปเล็กน้อยกับภาพสวนหลังบ้านของเขาที่ผมไม่เคยเห็น และไม่เคยรู้ว่ามีด้วย ผมไม่รู้ว่ามันกี่ตารางวา กว้างเท่าไหร่ ยาวเท่าไหร่ แต่คิดว่าถ้ามีคนมาอัดเป็นสิบคน ก็ยังไม่อึดอัด สามารถจัดปาร์ตี้เล็กๆ ได้ที่นี่เลยล่ะ


ผมกวาดตามองไปรอบสวนที่ชวนมอง รั้วไม้สีน้ำตาลขนาดสูง (แบบที่บดบังสายตาของคนที่อยู่ชั้นสองของบ้านข้างๆ ได้) ล้อมรอบบริเวณหลังบ้านเอาไว้ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ที่สูงเกินรั้วไปเล็กน้อย สนามเป็นพื้นหญ้า แต่ตรงบริเวณฝั่งซ้ายมือที่อยู่ใกล้ๆ ห้องนอนของแขก เป็นพื้นหินขรุขระและมีเตาพร้อมตะแกรงวางอยู่ด้านบนไว้สำหรับทำอาหารปิ้งย่างตั้งอยู่บนพื้นหิน คาดว่าตรงนั้นน่าจะเอาไว้สำหรับยืนปิ้งย่าง แถมยังมีบาร์ไม้เล็กๆ สำหรับทำเครื่องดื่มอีก



[มีต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 10.1-15:: 21.06.58
«ตอบ #61 เมื่อ21-06-2015 13:40:43 »


“มีอะไร” เสียงทุ้มนิ่งๆ ดังขึ้น จนผมตัวกระตุกเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันนี้แล้วก็ไม่รู้ ผมชะโงกตัวออกไปมองซ้ายขวา ก่อนจะเจอร่างสูงนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ชิงช้าไม้ตัวยาวสีน้ำตาลเข้มทางด้านขวามือผมที่ซึ่งอยู่ใกล้ๆ หน้าต่างกระจกของห้องสมุด มีดอกไม้หลากสีในกระถางสีน้ำตาลวางเรียงรายอยู่สองข้างเสาชิงช้าที่เป็นไม้รูปสามเหลี่ยม บนกำแพงด้านหลังมีไม้เลื้อยสีน้ำตาลแก่เป็นฉากหลัง เป็นมุมน่ารักๆ ในสวนไม่ใหญ่แห่งนี้ ผมขมวดคิ้วนิดๆ ที่เห็นเขาสูบบุหรี่ เพราะไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะสูบ


“คุณสูบบุหรี่ด้วยเหรอเนี่ย” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ ความรู้สึกคือยังไม่อยากเชื่อ มันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ผมแค่ไม่คิดว่าวิคเตอร์จะสูบด้วยก็เขาดูเป็นนักรักสุขภาพ เห็นออกกำลังกายทุกเช้า


“แล้วในมือฉันมีใครเรียกอมยิ้มรึไง” เขาบอกแล้วสูดควันเข้าปากก่อนจะพ่นควันฟุ้งออกมา ผมเดินลงบันไดไปยืนบนพื้นหญ้า มีเจ้าไมเคิลเดินตามลงมาไปนอนหมอบลงข้างๆ เสาชิงช้า ใกล้ๆ กับขาวิคเตอร์ ผมยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู ไม่ยอมเดินเข้าไปหาเขา ส่วนเขาก็ไม่ได้ว่า หรือถามอะไร ยังนั่งสูบบุหรี่นิ่งๆ ต่อไป


จนผ่านไปอึดใจหนึ่งผมก็เริ่มรู้สึกว่ากลิ่นบุหรี่มันพัดผ่านมาทางที่ผมยืนอยู่ ผมย่นจมูกยกมือปัดควันจางๆ ที่ลอยมา ไอ้คนที่ปล่อยควันหันมามองนิ่งๆ แต่ก็ยังสูบต่อไป ยิ่งเห็นผมทำท่าปัดแรงๆ เบ้ปากและย่นจมูกจนหน้าย่น เขาก็ยิ่งพ่นควันมาทางผม


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ!


“แอะๆ” ผมโบกมือไล่ควันไปมา และส่งเสียงเหมือนจะไอ  ทำหน้าเบ้เพราะเหม็นกลิ่นบุหรี่ ไอ้ฝรั่งหน้าหนวดหน้าเครายังคงพ่นควันมาทางผมอย่างจงใจ


“นี่! มันเหม็นนะ!” ผมแหวออกมา และพยายามถลึงตาใส่เขา แต่ควันบุหรี่ก็พวยพุ่งไปมาจนไม่กล้าแหกตากว้างนัก


“หึๆ” เสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้น ผมปัดควันจนมันเริ่มจางลง พอมองไปที่พ่อฝรั่งก็เห็นเขากำลังยิ้มกริ่ม แววตาดูซุกซน ใบหน้าเริ่มคลายความตึงออกไปบ้างแล้ว ผมที่กำลังจะอ้าปากด่าเลยต้องหยุดเอาไว้ ความรู้สึกโล่งใจเกิดขึ้นในอก


“ถ้าแกล้งผมแล้วคุณอารมณ์ดี คุณแกล้งผมอีกก็ได้นะ” ผมมองมองเขาตาแป๋ว ยิ้มที่มุมปากทั้งสองข้างนิดๆ วิคเตอร์ที่กำลังยิ้มขำ ค่อยๆ หุบยิ้มลง ใบหน้ากลับมาเรียบเฉย ก่อนจะหรี่ตามองกลับมา ผมตาโต รีบส่ายหัวและโบกมือที่ไม่ได้ถือช็อคโกแล็ตเมื่อรับรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


“ผมเปล่าประชดนะ ผมพูดจริงๆ ถ้าแกล้งผมแล้วมันทำให้คุณยิ้มได้ คุณก็ทำเถอะ แต่… อย่าแกล้งแรงนะ” ท้ายประโยคผมบอกเสียงอ่อย แล้วส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้เขา อีกฝ่ายมองกลับมานิ่งๆ แต่แววตาเขาดูเหมือนกำลังครุ่นคิด


แกล้งได้ แต่อย่าให้ทำอะไรแปลกๆ นะ เช่น ให้แก้ผ้าแล้วไปวิ่งรอบเซ็นทรัลปาร์คห้ารอบอะไรแบบนี้ ถ้าแบบนั้นผมยอมกินขี้ไมเคิลดีกว่า (เอ่อ…เอาจริงเหรอ)


“ไหนลองเล่าเรื่องตลกให้ฉันฟังซิ” เขาเอ่ยออกมานิ่งๆ หลังจากสูบบุหรี่ที่อยู่ในมือจนหมดมวนแล้ว ผมรู้สึกอึนและหน้าตาคงมึนๆ ด้วย เอาอีกละ คำสั่งลูกผีลูกคนอีกละ แล้วฉันจะเอาเรื่องตลกที่ไหนมาเล่าให้แกฟังเนี่ย


“ให้เล่าอะไรล่ะ ผมไม่รู้ว่าจะเล่าอะไร” เขายักคิ้ว ยักไหล่ ท่าทางสบายๆ ก่อนจะว่า


“เล่าอะไรก็ได้ที่ทำให้ฉันขำ”


“มันไม่ตลกแน่ๆ”


“แต่หน้านายออกจะตลก ฉันว่านายน่าจะทำได้” ผมทำตาปรือมองเขา ถามเสียงติดจะเหวี่ยงๆ เล็กน้อย


“นั่นเป็นคำชมหรือเปล่า”


“ถ้าไม่ได้มีนิสัยหลงตัวเองก็อย่าคิดว่ามันเป็นคำชมเลย” ผมแอบจิกตาใส่เขาอย่างขุ่นเคืองที่กัดผมได้ทุกเม็ด ทุกช่องไฟไม่ว่างเว้น


“แล้วถ้าคุณไม่ขำล่ะ”


“ก็ไม่ตลกไง”


“ก็นั่นไง ผมทำไม่ได้หรอก สั่งให้หมายิ้มยังง่ายกว่าเลย” พอพูดไปแล้ว ผมก็ต้องไหล่กระตุกแล้วรีบเอามือมาปิดปากตัวเองเอาไว้ จ้องเขาตาแทบไม่กระพริบ


ปากหนอปาก โพล่งไม่รู้เวลา เขากำลังจะอารมณ์ดีอยู่แล้วเชียว วิคเตอร์จ้องหน้าผมนิ่ง แต่ไม่ได้มีแววความโกรธหรือพร้อมอาละวาดใส่ ผมค่อยๆ ดึงมือออกแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว


“ขะ… ขอโทษครับ”


“Let cricket—twenty rounds. (ปั่นจิ้งหรีด ยี่สอบรอบซิ)”ผมตาโตฉับพลัน ลูกตาแทบเด้งออกมาจากเบ้าตาเมื่อได้ยินคำสั่งของเขา


“ยี่สิบรอบ! คุณกะให้ผมหมุนจนน้ำในหนูแห้งเลยรึไง” ผมร้องออกมาเสียงหลง เขาเบ้ปาก ยักไหล่น้อยๆ ทำหน้าตาว่าไม่สนใจคำพูดของผม


“ไหนว่ายอมให้แกล้งไง”


“กะ… ก็…”


“ไม่ทำก็ไม่ต้องทำ ไม่ได้บังคับ ไม่ทำ ฉันก็แค่อยู่แบบนี้ทั้งวัน” เขาบอกเสียงเรียบ แล้วหยิบบุหรี่ออกมาจากซองอีกตัว


“แต่วันนี้คุณมีถ่ายซีรีย์ที่สตูดิโอนะ”


“ก็แค่สามฉาก…” เขาบอกง่ายๆ แล้วเริ่มจุดไฟแช็ค ผมเห็นแบบนั้นก็รีบโพล่งทันที


“ก็ได้! ผมจะทำ แต่คุณต้องหยุดสูบบุหรี่นะ” เขาชะงักมือที่กำลังจะจุดบุหรี่ตัวใหม่ แล้วหันมามองผมนิ่งๆ ผมเดินเข้าไปใกล้เขาแล้วยื่นช็อคโกแล็ตให้เขาหนึ่งกล่อง


“ถ้าอารมณ์ไม่ดีก็กินนี่ไปดูผมปั่นจิ้งหรีดไปก็ได้ หยุดสูบเถอะ มันช่วยทำให้ปอดคุณเย็นและรู้สึกหายเครียดได้ มันก็ทำให้ปอดคุณเป็นมะเร็งได้เหมือนกัน” ผมบอกเขาอย่างจริงจังด้วยความเป็นห่วง เขามองหน้าผมอยู่สักพัก ก่อนจะลดไฟแช็คและบุหรี่ในมือลง ผมฉีกยิ้มกว้างทันทีที่เขายอม


“ทำสิ” เขาบอกหลังจากคว้ากล่องช็อคโกแล็ตไป ผมยิ้มดีใจที่เขายอมถึงแม้จะยอมเพราะอยากเห็นผมโดนแกล้งก็เถอะ ผมวางอีกกล่องไว้บนชิงช้าไม้ แล้วเดินไปอยู่ตรงหน้าเขา วิคเตอร์แกะช็อคโกแล็ตพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนจะกัดเข้าปากหนึ่งคำ เขาเอนหลังกับพนักพิงของชิงช้า พาดแขนซ้ายไปตามความยาวของพนักพิงด้านหลัง ท่าทางดูผ่อนคลายราวกับจะดูโชว์อะไรสักอย่างในโรงละคร


“Do it! (เอาสิ!)” ผมพ่นลมหายใจแล้วเอาแขนขวาไพ่แขนซ้าย ใช้มือขวาจับหูซ้ายไว้ ส่วนแขนซ้ายเหยียดตรงแล้วก้มหน้าลง ก่อนจะเริ่มหมุนช้าๆ


“One… two… three… four… five…” ผมหมุนช้าๆ แบบไม่เร่งรีบ และนับช้าๆ พยายามรักษาระดับการหมุนเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองมึนจนเกินไป แต่เหมือนผมจะโลกสวยไปหน่อย เพราะรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ต่างจากการหมุนเร็วเลยสักนิด ยังไงมันก็มึน ก็โลกเหวี่ยงเหมือนกัน


“ห้ามล้ม! ถ้าล้มเริ่มใหม่หมด!” เสียงดุๆ ของวิคเตอร์ดังขึ้นเมื่อผมทำท่าจะล้มในตอนที่นับถึงรอบที่สิบสาม ผมเลยต้องพยามแข็งใจหมุนต่อไปโดยที่ต้องประครองตัวเองไม่ให้ล้ม รู้สึกว่าพอยิ่งใกล้หมุนครบรอบ ทำไมมันดูยาวนานจัง


“Seventeen… eighteen… nineteen… twenty!!” พอครบยี่สิบรอบผมก็ตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจ ปล่อยแขนอันอ่อนแรงสองข้างที่ไพ่กันไว้ แล้วใช้มือยันหัวเข่าไว้สักพัก ก่อนจะค่อยๆ ดันตัวและหัวขึ้นมาด้วยอาการมึน


“ยืนนิ่งๆ ให้ครบสองนาที ถ้าโงนเงนหรือล้มลง ฉันจะให้นายเริ่มใหม่!” สมองผมรับรู้คำสั่งของเขานะ แต่ตอนนี้ภาพตรงหน้ามันเบลอและเหวี่ยงหวือๆ ไปหมด ผมสะบัดหัวเพื่อเรียกสติแต่ยิ่งสะบัดกลายเป็นว่ายิ่งมึน ภาพวิคเตอร์ที่ยิ้มกริ่มด้วยความขำมันดูไหลไปซ้ายทีขวาที


“บอกให้ยืนนิ่งๆ ไง อยากเริ่มใหม่ใช่มั้ย?!” น้ำเสียงเหมือนตะคอกแต่ก็ไม่ได้น่ากลัวดังขึ้นเมื่อตัวผมเริ่มเอียง เท้าที่พยายามยืนให้มั่นมันก็เริ่มขยับเป๋ไปเป๋มา


“โอ๊ยยย ไม่ไหวล้าววว…” ผมร้องเสียงอ้อแอ้เป็นภาษาไทย อาการมึนจากการปั่นจิ้งหรีดผสมกับฤทธิ์แอลกอฮอล์เมื่อคืนที่มันยังมีคั่งค้างอยู่เล็กน้อย พอเจอแบบนี้มันเลยเป็นส่วนผสมที่ลงตัวยิ่งกว่าโซดากับแสงโสม


ตุบ!


“เฮ้ย!” ภาพเหมือนดับวูบไปชั่วขณะ รับรู้ได้ถึงความมืด แต่ก็พอมีแสงแดดยามบ่ายแทรกเข้ามาในลูกตา กลิ่นอุ่นๆ ของเนื้อหนังชิดอยู่ที่จมูก ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมสูดกลิ่นหญ้าเข้าไปเต็มปอดหรือยัง


“บอกให้ยืนครบสองนาทีก่อนไง นี่ยังไม่ถึงนาทีเลยนะ!”


“โอยยย… ผมไม่อ้วกก็วิเศษสุดๆ แล้วนะ” ผมบอกเสียงยาน รู้สึกพะอืดพะอมอยู่เหมือนกันแต่ยังไม่ถึงกับจะพ่นอ้วกออกมา รู้สึกดีจังที่ได้นอนสูดกลิ่นหญ้า แม้ว่ากลิ่นหญ้ามันจะมีกลิ่นเหมือนเนื้ออุ่นๆ ของคนก็เถอะ มันมีมั้ย? หญ้ากลิ่นนี้ หรือผมเบลอจนคิดไปเอง ตอนนี้ไม่อยากลืมตาเลย เพราะรู้สึกว่าโลกภายนอกมันยังหมุนคว้างอยู่


“นายจงใจล้มมาที่ฉันรึเปล่า” เขาถามเสียงนุ่มทุ้ม ผมย่นคิ้ว และพยายามยกเปลือกตาขึ้น พอปรับโฟกัสม่านสายตาให้เข้าที่ ภาพเริ่มไม่หมุนรุนแรง ผมก็นั่งเอ๋ออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นว่าวิวแรกที่เห็นคือหนวดเคราครึ้มของพ่อฝรั่ง ผมไม่ได้ทำท่าตกใจอะไรหรอก เพราะมันเบลอและมึนอยู่หน่อยๆ เลยได้แต่ย่นคิ้วหรี่ตาแล้วเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่อยู่ห่างกันแค่นิดเดียว เขากำลังก้มมองผมด้วยสายตาแพรวพราวพร้อมรอยยิ้มขำขัน จมูกผมอยู่ตรงริมฝีปากสีแดงหม่นของเขา ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงเพื่อไล่ความมึนที่ยังมีอยู่นิดหน่อย


“คุณยิ้มแล้ว…” ผมพูดออกมาได้แค่นั้น เพราะโลกภายนอกของผมตอนนี้มันยังหมุนอยู่นิดๆ แต่คิดว่าอีกสักพักน่าจะหายดี


“ใช่…” เขาบอกเสียงนุ่ม ผมเงยหน้ามองเขา ตอนนี้ภาพต่างๆ รอบๆ ตัวเริ่มไม่โคลงไปมา และผมก็เริ่มรับรู้ได้อย่างเต็มสติว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนตักของอีกฝ่าย ผมเบิกตากว้าง กระพริบตาปริบๆ ก็เป็นจังหวะที่วิคเตอร์ยิ้มกริ่มราวกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่


“แต่ถ้านายใช้วิธีที่ทำให้ฉันผ่อนคลายแบบที่ฉันชอบ ฉันอาจจะยิ้มกว่านี้ และอารมณ์ดีกว่านี้ก็ได้นะ” เขาบอกเสียงแผ่วอย่างเซ็กซี่ แววตาอันพร่ามัวของเขาจ้องกลับมาอย่างร้ายกาจ ผมขมวดคิ้วมุ่นไม่ทันครุ่นคิดในสิ่งที่เขาบอก


“วิธีไหน?” เขายิ้มอ้าปากน้อยๆ แล้วดันปลายลิ้นออกมาแล้วเลียริมฝีปากล่าง ก่อนจะบอกเสียงทุ้ม


“บนเตียง…” ผมแบะปากเมื่อรับรู้ความหมายที่เขาสื่อมา ทำตาปรือแบบเซ็งๆ แล้วดันหัวตัวเองออกห่างจากใบหน้าเขา


“ได้สิ เดี๋ยวผมไปตามยัยสองแมลงสาบเพื่อนซี้กลับมาให้นะ”


“เสียเวลาตามน่า นายก็ทำได้” เขาบอกแล้วกระชับอ้อมแขนซ้ายที่โอบไหล่ผมไว้แน่นขึ้น ผมยกมือขวาไปตีมือซ้ายเขาดัง เพี๊ย! แต่คนหน้าด้านที่ไม่รู้ว่าด้านเพราะหนังหน้าหรือเพราะหนวดที่เริ่มดกครึ้มกว่าอาทิตย์แรกที่เจอกันกลับยิ้มไม่รู้สึกรู้สา


“ถึงคุณจะหล่อ มีเซ็กส์แอพเพียลจนอาจจะทำให้ผมเกิดอารมณ์ แต่ผมก็ไม่ทำหรอก” เขายกยิ้มมุมปากอย่างขำๆ ไม่รู้ว่าขำประโยคที่ผมพูด หรือขำที่ผมเบะปาก ทำหน้ายู่ใส่เขากันแน่


“นายไม่กลัวรูตันรึไง” โอ๊ย! ประสาทจะเสีย ผมกลอกตาแว้บหนึ่งกับความลามกของเขา นึกจะพูดถึงรูก็พูดออกมาหน้าตาเฉย


“ไม่กลัว ผมอึทุกวัน รูมันไม่ตันหรอก”


“อันนั้นมันเอาออก นายไม่อยากลองเอาอะไรเข้าไปบ้างหรอ” เขาถามน้ำเสียงและสีหน้าทะเล้น จนผมต้องกลั้นยิ้มที่จะยิ้มตามเขา


ชอบจริงๆ เวลาเห็นเขามีรอยยิ้มซุกซนและแววตาขี้เล่นแบบนี้


“ผมรู้นะว่าคุณก็พูดเล่นไปงั้น แต่ผมเป็นผู้ชาย ซึ่งคุณชอบผู้หญิง แล้วอย่ามองว่ามันก็แค่เซ็กส์ ผมเคยบอกแล้วไง ว่าผมจะทำกับคนที่ผมรักเท่านั้น ถ้าไม่ได้รักผมก็ไม่ทำ” วิคเตอร์ขมวดคิ้วคล้ายกับงงและไม่เข้าใจในประโยคที่ผมพูดไป


“พอมีอะไรกัน นายอาจรักฉันก็ได้ ใครจะไปรู้” ผมทำหน้าเอือม แล้วเอานิ้วจิ้มจมูกเขาเบาๆ วิคเตอร์ทำหน้ายู่ แล้วเอามือขวามาวางพาดบนตักผมไว้


“วิคเตอร์ เอ่อ… คุณเรย์มอนด์ คุณอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ไม่ใช่วัยรุ่นที่ฮอร์โมนเพิ่งพุ่งพล่านนะ คุณจะมาใช้เซ็กส์ตามหารักได้ยังไง คุณต้องใช้ใจตามหาสิ…” ผมจิ้มนิ้วชี้ลงไปที่อกซ้ายอันอวบอิ่มของเขาเน้นๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา คราวนี้วิคเตอร์นิ่งไป นิ่งไปเหมืนว่าเขาสะดุดหรือฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง แววตาที่เขามองผมกลับมานั้นดูสับสน และดูเหมือนสนใจในสิ่งที่ผมพูด


“ทำไมนายพูดแบบนั้น” เขาถามสีหน้างงๆ เหมือนไม่เข้าใจ ผมเลยขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจตามไปด้วย
เริ่มงงตามเขาไปด้วยละ


“ก็คุณพูดแบบนั้นจะให้ผมเข้าใจคุณว่ายังไงล่ะ คุณบอกว่าเราอาจรักกันหลังจากมีอะไรกัน งั้นคุณไม่รักผู้หญิงทุกคนที่คุณมีอะไรมาด้วยหมดเลยเหรอ” วิคเตอร์กระพริบตามองกลับมา ผมย่นคิ้วมองเขา ผมว่าเขาเหมือนคนงงๆ เหมือนคนหลงทางที่หาไปทางไปไม่เจอจริงๆ นะ แล้วขาก็ย่นคิ้วบ้าง เหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าให้เดาอาจกำลังนึกหน้าผู้หญิงที่เขาเคยมีอะไรมาด้วยล่ะมั้ง
จะนึกหมดมั้ยน่ะ อย่างวันนี้ก็ล่อเข้าไปตั้งสองคน


“ก็อาจมีมั้ง…” เขาบอกออกมาหลังจากทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แววตามองไปข้างหน้าเหมือนกำลังมองภาพเหตุการณ์อะไรบางอย่างอยู่


“นี่อย่าบอกนะ ที่คุณเงียบไป คุณกำลังนึกถึงบรรดาสาวๆ ที่คุณเคยมีเซ็กส์มาด้วย” เขาเลื่อนสายตากลับมามองผมนิ่งๆ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง


“Not quit. (ก็ไม่เชิง)” สีหน้าเขาดูสลดลงไปเล็กน้อย แววตาเขาดูหมองลงไป นี่ผมปั่นจิ้งหรีดจนเพี้ยนหรือเปล่า ถึงได้มองเห็นว่าแววตาเขาเป็นแบบนั้น


“ฉันไม่ได้รักผู้หญิงทุกคนที่ฉันเคยนอนมาด้วยหรอก” เขาเอ่ยออกมาเสียงเบา ผมเม้มปากขยับตัวเล็กน้อย วิคเตอร์กระชับแขนซ้ายที่โอบไหล่ผมอยู่ ก่อนจะเลื่อนมือขวามาจับที่เอวซ้ายผมไว้ เหมือนกับกันไม่ให้ผมตกลงไปจากตักเขา ผมนิ่งไป เงยหน้าขึ้นมองคางเขา เขาไม่ได้มองผมอยู่แต่กำลังมองไปข้างหน้า เหมือนกับว่าที่เขากระชับอ้อมแขนทั้งสองข้าง เขาจะทำไปโดยไม่รู้ตัว


“ไม่ทุกคน แสดงว่าก็ต้องมีหนึ่งในนั้นที่คุณรู้สึกรัก” เขาก้มลงมามองผมอีกครั้งด้วยสายตาเรียบนิ่ง ผมมองตอบกลับไป ตอนแรกไม่ค่อยอยากรู้อยากเผือกเท่าไหร่ แต่พอพูดมาแบบนี้ ก็เริ่มอยากรู้ภูมิหลังเขาเหมือนกัน


“ไม่รู้เหมือนกันว่านั่นเรียกว่ารักมั้ย”


“แล้วกับคนนั้น เซ็กส์กับความรู้สึกรัก อันไหนเกิดขึ้นก่อนกันล่ะ” ยอมรับเลยว่าผมกำลังหลอกถามเขา และถ้าเขาตอบไปมากกว่านี้ ก็ถือว่าการเผือกของผมเป็นไปได้ด้วยดี


“เซ็กส์…” เขาตอบเสียงเรียบ แล้วยักไหล่น้อยๆ


ผมมองหน้าเขาแล้วทำปากยื่นเหมือนเป็ดก่อนจะพยักหน้าเข้าใจเบาๆ เขามองกลับมานิ่งๆ และนั่นก็ทำเอาผมนิ่งตามไปด้วย เกิดความนิ่งสงบขึ้นรอบตัวเราสองคน มีเพียงดวงตาสองดวงของคนสองคนที่จ้องมองกันอย่างเงียบๆ ในท่าที่ผมนั่งอยู่บนตักเขา แล้วเขาก็โอบไหล่ผมไว้ด้วยแขนซ้าย กอดเอวซ้ายผมไว้แน่นด้วยแขนขวา ท่าทางแบบนี้ที่จริงๆ แล้ว มันควรเป็นท่านั่งของคนที่เป็นคู่รักกันหรือเปล่า พอคิดแบบนั้นผมก็รู้สึกรุมๆ ที่หน้า ค่อยๆ หดคอลง แต่ไม่กล้าหลบสายตาของวิคเตอร์ เหมือนดวงตาทรงเสน่ห์คู่นั้นตรึงผมไว้


แล้วมันก็เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน


 :hao7:



[อ่านตอนต่อไปที่ด้านล่างได้เลยค่ะ]

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 10.1-15:: 21.06.58
«ตอบ #62 เมื่อ21-06-2015 13:45:08 »


CHAPTER 13 :: He is...


ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่าที่คิดว่ามีแรงดึงดูดนั่นเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน มันอาจจะไม่ได้ดึงดูดให้พุ่งเข้าหากัน แต่ก็ไม่สามารถละสายตาหนีไปจากกันได้ จนกลายเป็นนั่งมองหน้ากันนิ่งๆ เหมือนกับกำลังเล่นเกมส์จ้องตา ข้างนอกนิ่งแต่ใจผมมันกำลังกระแทกผนังอกอีกครั้ง มันไม่ใช่อาการที่ว่าโดนเนื้อต้องตัวกันแล้วเหมือนมีไฟฟ้าแล่นไปทั่วร่าง แต่มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่กระจายไปทั่วหัวใจและอาจจะอุ่นเกินไปที่ใบหน้าจนจะกลายเป็นร้อน


ผมเริ่มรู้สึกหายใจติดขัดยังไงชอบกล เหมือนหายใจไม่คล่อง หายใจเข้าออกติดๆ ขัดๆ  รู้สึกอยากหลบสายตาของอีกฝ่าย แต่มันเหมือนมีแรงดึงผมเอาไว้ไม่ให้หันหนีไปไหน และมีแรงดูดที่ตอนนี้มันเริ่มทำให้ใบหน้าของเราสองคนเข้าใกล้กันมากขึ้นจนปลายจมูกเราแทบจะทนกัน ผมรู้สึกเหมือนว่าสามารถขยับได้แค่เปลือกตา กระพริบขึ้นลงช้าๆ ดวงตาก็กวาดมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างไม่เร่งรีบ ลมหายใจของเราสองคนแทบจะกลายเป็นลมหายใจเดียวกันเพราะตอนนี้ไม่รู้ว่าลมหายใจไหนเป็นของใครเมื่อตอนนี้ลมหายใจเราสองคนมันใกล้กันและปนกันไปหมด


วิคเตอร์ยังคงใช้ดวงตาสีน้ำตาลของเขาก้มลงมองผมด้วยความรู้สึกที่ผมก็บอกตัวเองยากว่ามันเป็นแบบไหน ถ้าผมไม่มองโลกในแง่ดีจนเกินไป ผมรู้สึกว่าเขากำลังมองราวกับว่า ผมเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่เขาจะมองด้วยสายตาแบบนี้ มองอย่างจดจ้อง ราวกับเขากลัวว่าถ้าละสายตาไปเขาอาจจะไม่ได้มองอีก


นี่ผมเข้าข้างตัวเองมากไปหรือเปล่า หรือจริงๆ เขาอาจจะกำลังมองด้วยสายตาและความคิดที่ว่า ผมแปลกประหลาด ผมดูประสาท หรือพอมองๆ แล้ว หน้าตาเหมือนกับเอเลี่ยนที่เขาชอบเรียก


โฮ่ง!!!


เสียงไมเคิลดังขึ้นจนผมสะดุ้งด้วยความตกใจ มือซ้ายเผลอขยุ้มชายเสื้อเขาไว้ ไหล่ผมกระตุก (อีกแล้ว) ใบหน้าเด้งไปด้านหน้าเลยทำให้หน้าผากผมชนกับริมฝีปากอุ่นๆ ของวิคเตอร์ ความรู้สึกแว้บแรกคืออยากจะดันตัวหนีเพราะกลัวเขาด่าที่เอาหน้าผากไปกระแทกปากเขา ถึงจะเบาๆ ก็เถอะ


แต่พอเขากดจมูกมาสูดดมตรงช่วงไรเส้นผมเบาๆ ผมก็รู้สึกถึงความอ่อนโยนจากเขา และมันทำให้ผมรู้สึกอยากโอนอ่อนไปกับเขาเช่นกัน ผมเลยนั่งเหมือนเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดผู้ใหญ่ที่กำลังหอมหน้าผากเรา ราวกับกำลังปลอบประโลมอาการสะดุ้งตกใจเมื่อครู่นี้


ผมนึกถึงวันที่ตัวเองป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสเมื่อตอนมอปลาย แล้วรู้สึกเหมือนจะตาย ร่างกายอ่อนแออย่างที่แม้กระทั่งจะนั่งตัวตรงๆ ก็ยังทำยาก พ่อก็อุ้มผมขึ้นไปนั่งตักแล้วกอดไว้ในท่าทางแบบนี้ หอมหน้าผากเบาๆ แต่กดแช่อยู่นาน ราวกับจะปลอบให้ผมเงียบจากอาการร้องไห้สะอื้นเพราะความรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย


ผมนั่งยิ้มอยู่ใต้คางวิคเตอร์ วงแขนทั้งสองข้างกระชับร่างผมแน่นอีกครั้ง และคราวนี้ผมเองก็แอบขยับตัวชิดเข้าหาไออุ่นจากเขา ยอมรับเลยว่า… ผมรู้สึกดีที่ได้นั่งอยู่แบบนี้กับเขา


“มันเห่าผีเสื้อน่ะ…” เสียงทุ้มนุ่มๆ ดังขึ้นเบาๆ ที่หน้าผาก เป็นเหมือนเสียงปลอบประโลมให้คลายอาการตกใจ ริมฝีปากและจมูกของเขายังคงคลอเคลียอยู่ที่บริเวณหน้าผากและไรผม เขากดจมูกลงบนหน้าผากสลับหนักสลับเบา ผมพยักหน้ารับรู้น้อยๆ ด้วยรอยยิ้มที่เขาไม่เห็น ตอนนี้ผมรู้สึกเคลิ้มจริงๆ นะ ผมไม่มีความรู้สึกแบบนี้มานานมากแล้ว นานจนคิดว่าตัวเองจะรู้สึกดีแบบนี้กับใครได้อีกหรือปล่า นับตั้งแต่วันที่ตัวเองเสียใจจนใจแทบพังกับรักข้างเดียวที่มีมาหกปีแต่กลับสลายไปในพริบตาเดียว จนทำให้ผมไม่กล้าที่จะรู้สึกอะไรกับใคร เพราะกลัวตัวเองจะเสียใจ


แต่ตอนนี้… ผมไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรกับหัวใจที่เคยบอบช้ำที่ตอนนี้น่าจะทิ้งไว้เพียงรอยช้ำจางๆ เท่านั้น ผมรู้แค่ว่าตอนนี้ มันเป็นความรู้สึกดีๆ ที่รู้สึกดีจริงๆ


“อยากทำมากกว่านี้มั้ย” เขาถามเสียงแหบพร่า ริมฝีปากยังคงไล่เลาะไปตามไรผมเบาๆ จมูกก็สูดดมเนื้อหน้าผากไปมา ผมที่กำลังรู้สึกอบอุ่นหัวใจถึงกับอารมณ์สะดุด รอยยิ้มบนใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเบ้ปากแทบจะทันที ผมดึงใบหน้าตัวเองออกจากริมฝีปากและปลายจมูกของเขา แล้วเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่งเพื่อมองใบหน้าอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังยิ้มกรุ้มกริ่ม ผมหรี่ตามองกลับไปอย่างจิกกัด


ทำลายบรรยากาศดีๆ ด้วยเรื่องโสมมอีกแล้วไอ้ฝรั่งยักษ์


“ผมนึกสงสัยนะ ว่าสมองของคุณมันคิดเรื่องดีๆ อย่างอื่นเป็นบ้างมั้ย นอกจากเรื่องแบบนี้ แล้วก็ยังนึกสงสัยในอารมณ์ใคร่ของคุณมากด้วย ว่ามันมีมากนักหรือไง ถึงได้อยากปลดปล่อยนักแม้กระทั่งกับผู้ชายด้วยกัน ไมเคิลมันยังไม่มีอารมณ์กามเท่าคุณเลย” ผมบอกด้วยความหมั่นไส้ คนอะไรทำไมมันหมกมุ่นได้ขนาดนี้


วิคเตอร์เหมือนจะอึนไปชั่วขณะที่ได้ยินประโยคยาวๆ ที่ผมพ่นใส่หน้า อ้อมแขนที่กระชับไหล่ผมไว้เมื่อกี้คลายออกอย่างที่เขาไม่รู้ตัว สักพักเขาก็กลับมามีสีหน้าขรึมตามเดิมแต่ก็ยกยิ้มที่มุมปากขวา


“เป็นหมาเหมือนกันสินะถึงได้รู้ว่าไมเคิลมันรู้สึกยังไง”


เอี๊ยดดด!


ความรู้สึกเหมือนขับรถที่นำเขาไปแล้วแต่ต้องเบรกกะทันหันจนแทบชนเสาไฟฟ้าข้างทางเมื่อเจอเขาว่ากลับคำเดียวกับที่ตัวเองว่าเขาไป ผมแบะปากใส่เขาเล็กน้อย


“ด่าฉัน แต่ก็ไม่ยอมลุกออกจากตักฉันเลยนะ” เขายกยิ้มมุมปากอย่างหล่อร้ายกาจพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างเท่จนผมชะงักไป ก็รู้ตัวแต่แรกแล้วล่ะว่านั่งอยู่บนตักของเขา แต่ไอ้ความรู้สึกที่ว่านั่งแล้วรู้สึกอบอุ่น รู้สึกปลอดภัยที่เกิดขึ้นในใจมันทำให้ผมเคลิ้มนั่งเพลินๆ แบบที่ลืมตัวไปเลย


 “เอิ่ม… เออ… ก็…” ง่ะ… พูดไม่ออกอ่ะ


วิคเตอร์ยิ้มุมปากอย่างกรุ้มกริ่ม ดวงตาเขามีแววล้อเลียน ผมทำแก้มพองลมใส่เขา ย่นคิ้วใส่เขาน้อยๆ กระพริบตาปริบๆ มองอย่างหมดทางสู้ พอสู้ไม่ได้และเหมือนรู้ว่าถ้าคิดสู้ต่อไปผมต้องแย่แน่นอน ผมเลยขยับตัวเพื่อลงจากตักเขา เรื่องการใช้ฝีปากผมอาจจะชนะเขา แต่ถ้าเรื่องใช้ร่างกายข่มกันแบบนี้ ผมยอม


ฟึบ!


“มานั่งตักฉันฟรีๆ แล้วก็คิดจะลุกหนีไปเฉยๆ งั้นเหรอ” เขาถามเสียงนุ่ม ริมฝีปากเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มซุกซน แววตาเขาดูพราวไปด้วยความสุขขณะที่ใช้แขนทั้งสองข้างรัดร่างผมไว้ในท่าเดิมแต่ออกแรงรัดแน่นขึ้น


“ต้องจ่ายเงินชดเชยรึเปล่าล่ะครับ” ผมทำหน้าเอือมนิดๆ ใส่เขา แล้วยกมือขึ้นมาเหมือนทำท่ากันไว้ ไม่รู้ล่ะว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แต่ยกมือมากันไว้ก่อน เขายิ้มขำทันทีที่เห็นผมทำท่าแบบนั้น


“ไม่ต้องใช้เงินหรอก ฉันสงสาร ค่านั่งตักฉันแพง นายอาจหมดตัวได้ถ้าต้องจ่าย อืม…” เขามองหน้าผมแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างใช้ความคิด ก่อนจะตอบเสียงยั่ว


“เอาตัวนายมาจ่ายแทนเงินก็แล้วกัน” ผมหรี่ตาปรือมองเขาด้วยความเอือมที่เพิ่มระดับ ไอ้ยักษ์ลากมก!


“แบบนั้นผมว่า ผมน่าสงสารกว่าเดิมอีก”


“น่าสงสารตรงไหน ได้ลองแล้วนายติดฉันงอมแงมแน่” ผมแยกเขี้ยวและถลึงตาใส่เขา ส่วนเขาก็นั่งยิ้มหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้


“คุณเป็นอะไรนักหนาถึงอยากได้ผมจัง ผมมันน่าเอาขนาดนั้นเลยรึไงครับ” ผมไม่ได้ถามด้วยความสงสัยหรือคาใจอะไรทั้งนั้น แต่ผมด้วยความเหนื่อยใจ และประชด


“เห็นนายเล่นตัว ฉันเลยอยากลอง หนีรอดมาหลายครั้งแล้ว โดนจริงๆ สักทีเถอะน่า”


“ลอง? ผมล่ะเกลียดคำนี้จริงๆ ผมไม่ใช่วิทยาศาสตร์นะ ถึงจะต้องมาทดลองผมเนี่ย” คิ้วผมขมวดแน่นด้วยความไม่ชอบใจ แต่ไม่ได้นึกโกรธอะไรเป็นจริงเป็นจัง


“ฉันเรียนวิทยาศาสตร์ไม่เก่งหรอกนะ แต่ตอนนี้ฉันอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์จัง” เขาบอกด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ถึงผมจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ไอ้คำเสี่ยวๆ ของเขานั้นมันทำให้ใจผมกระตุกวูบเหลือเกิน เล่นเอาใจสั่นหวิวๆ


แต่อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ ห้ามแสดงว่าหวั่นไหวหรือใจสั่นเด็ดขาด ไม่งั้นล้ม แล้วถ้าได้ล้มปุ๊บ ไอ้ฝรั่งยักษ์นี่คร่อมทับผมแน่นอน ต้องยืนหยัดสู้ให้ถึงที่สุด!


“แล้วถ้าเกิดคุณลอง แล้วติดใจผมขึ้นมา คุณจะมาว่าผมไม่ได้นะ” ผมยิ้มมุมปากอย่างท้าทายและยักคิ้วสู้สองที วิคเตอร์ไม่ชะงักหรือผงะใดๆ แต่กลับบิดริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างร้ายกาจแต่ก็ชวนมอง


“ถ้านายทำฉันติดใจนายได้จริงๆ ฉันจะไม่ว่าอะไรนายเลย” เขาบอกด้วยรอยยิ้มยั่ว มือขวาที่กอดเอวผมอยู่เลื่อนลงต่ำไปบีบเค้นสะโพกหนักเบาสลับกัน เล่นเอาผมเสียววาบตรงง่ามขาซ้าย


แสร้งทำน้ำเสียงว่ากำลังเบื่อหน่ายเขาเต็มทน พร้อมกับมองเขาอย่างพยายามทำให้ดูหงุดหงิดเข้าไว้ แต่อีกฝ่ายดูจะมึนและหน้าด้าน หรืออาจจะอยากเอาผมจัดก็ไม่ทราบได้ ถึงได้มีท่าทีไม่สะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น


“นั่งไปเถอะ ไม่เป็นไร ฉันไม่ว่า แต่ถ้าจะให้ดี…” เขาส่งสายตาวิบวับน่าจับปล้ำมาให้ ก้มลงมาใกล้ๆ หูขวาของผมก่อนจะกระซิบเสียงแผ่ว ลมที่เป่ารดที่รูหูผมนั้น…


“…ลองนั่งอย่างอื่นนอกจากตักฉันมั้ย” เล่นเอาผมขนคอลุกชัน ผมรู้สึกสั่นเทิ้มน้อยๆ ไปทั้งตัว วิคเตอร์เหมือนจะรู้สึกถึงอาการสั่น เขาเลยกระชับวงแขนซ้ายที่โอบไหล่ทั้งสองข้างของผมอยู่ในแน่นขึ้น แล้วลูบมือขึ้นลงตรงช่วงต้นแขนซ้ายผมราวกับปลอบให้ผมหยุดสั่น มือขวาเขาบีบคลึงสะโพกผมหนักๆ ไม่รู้จะปลอบหรือจะปลุกอารมณ์ผมกันแน่


“วิคเตอร์ พอเถอะ ผม… ผมหิวข้าว ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย” เสียงที่เปล่งออกมาเริ่มอ่อนลงเมื่อวิคเตอร์เอาจมูกของเขามาซุกที่หลังหูขวา ก่อนจะเกลี่ยและกดไล่ลงมาถึงต้นคอ เขาสูดดมและกดจมูกหนักๆ ในบางจุด เหมือนรู้ว่าจุดไหนจะทำให้ผมยอมนิ่งและสยบต่อเขาได้ ผมรู้สึกว่าขนมันลุกไปทั้งตัว มันทั้งเสียว และสุขสมในอารมณ์ไปพรอมกัน


“วะ…วิค…”


“กินฉันแทนสิ อิ่มกว่าข้าวเยอะ…” เขาบอกในขณะที่ริมฝีปากและจมูกไล่ลงมาตรงเนื้อคอใต้คาง สมองผมสั่งให้ฝืนแต่ร่างกายและใจกลับตอบรับเขาด้วยการแหงนหน้าขึ้นเพื่อเปิดทางให้เขาสะดวก


“เพราะฉันก็กำลังอยากกินนายเหมือนกัน” เขาบอกเสียงพร่า กดจมูกลงบนซอกคอผมแล้วลากมาที่ต้นคอด้านซ้าย ช่วงเวลาที่เขาลากผ่าน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองจะละลาย ร่างกายมันอ่อนปวกเปียกแต่ก็ร้อนรุ่ม
แม้สติจะเริ่มพร่าเบลอ แต่ผมรู้เลยว่าตัวเองกำลังจะปล่อยใจไปกับการเร้าอารมณ์ของเขา


“ผมว่า…” ผมยกมือซ้ายอันสั่นเทาขึ้นไปดันหน้าเขาที่กำลังไซ้คอผมอย่างเมามันส์จนผมสะท้านไปทั้งร่าง วิคเตอร์ส่งเสียงคำรามฮึ่มๆ ในลำคอราวกับกำลังไม่พอใจที่ผมไปขัดเขา ไอ้ฝรั่งยักษ์ละมือขวาที่บีบสะโพกผมไว้แน่นขึ้นมาจับมือผมที่ดันหน้าเขาไว้อยู่ออก ก่อนจะดึงหน้าตัวเองออกจากซอกคอผม ผมกดหน้าลงในองศาปกติ มองใบหน้าหล่อเข้มด้วยหนวดที่กำลังดูร้อนรุ่ม ดวงตาเต็มไปด้วยความต้องการ


“อย่าขัดใจฉันสิ ไหนว่าชอบเห็นฉันอารมณ์ดีไง” เขาบอกเสียงเหมือนไม่พอใจ ผมรู้สึกว่าในหัวมันกลวงๆ ไปชั่วขณะ ลมหายใจหอบกระเส่า


ฟึ่บ!


เขาไม่พูดอะไรต่อแต่ดันตัวผมให้ออกจากตัวอย่างแรงจนผมแทบตัวปลิว พอเห็นว่าเขาดันตัวผมให้ออกห่างจากตัวเอง ผมก็รู้สึกโล่งใจที่เห็นว่าเขาน่าจะไม่ทำอะไรต่อแล้ว แต่เปล่าเลย…


เขาจับผมหมุนตัวให้ยืนตรงๆ ตรงหน้าเขาแล้วดึงร่างผมเข้าไปใกล้เขาจนเข่าเราสองคนชนกัน ผมมองหน้าเขาที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความหยาบกร้าน แข็งขืน แต่มันคือการแสดงออกว่าเขากำลังหื่นเต็มที่ ดวงตาเขาดูแข็งกระด้างแต่กลับดูเร่าร้อนชวนให้ร้อนตาม


“นั่งคร่อมตักฉัน” เขาบอกเสียงกดต่ำ แววตาเริ่มลุกโชน ผมอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็แทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


“เร็วสิ ไม่งั้นฉันจะไม่ยิ้ม ไม่พูดอะไรทั้งวัน แล้วฉันก็จะทำงานไม่ได้” เขาบอกเสียงขู่ แต่แววตาและรอยยิ้มพร้อมคุกคามร่างกายผมเต็มที่ ใจผมสั่น ไม่รู้ด้วยความกลัวหรือความตื่นเต้น


หลังจากที่หนีรอดมาได้หลายครั้ง ครั้งนี้ผมกับเขาเราต้อง… เอ่อ กันจริงๆ หรอ


“วิคเตอร์… ไม่…” ผมบอกเสียงสั่นแล้วเริ่มทำท่าจะดึงแขนตัวเองออกจากการจับของเขา วิคเตอร์ที่กำลังยิ้มแบบตาแก่หื่นกาม แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้านิ่งอย่างน่ากลัว


“อยากโดนข่มขืนรึไง” เขาถามเสียงกดต่ำและทำหน้าตานิ่งจนน่ากลัว ผมส่ายหัวรัวๆ และเขยิบเท้าจะหนี เขารีบกระชากตัวผมเข้าไปใกล้จนผมล้มลงไปเกยไหล่ขวาเขา แล้ววิคเตอร์ก็จัดการจับขาผมแยกด้วยตัวเขาเอง และดึงตัวผมให้นั่งคร่อมตักแบบหันหน้าเข้าหาเขา ผมรีบดันหน้าตัวเองออกจากไหล่เขา ยกมือสองข้างขึ้นมาดันอกเขาไว้ วิคเตอร์ยิ้มมุมปากทั้งสองคนอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะรวบมือทั้งสองข้างของผมไปไว้ด้านหลังตรงข่วงบั้นท้าย เขาล็อคมือผมสองข้างไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้างของเขา ใบหน้าเราสองคนอยู่ใกล้กันจนปลายจมูกเกลี่ยกันไปมา สายตาที่เขามองมามีทั้งความซุกซน สนใจใคร่รู้ และดูมีความสุข


ผมชอบเวลาที่เขามีความสุข แต่ไม่เอาสุขแบบนี้ได้มั้ย แบบที่ผมโดนกระทำชำเราเนี่ย ฮือออ~


“ครั้งนี้ฉันไม่ปล่อยนายไปง่ายๆ แน่” ผมกลืนน้ำลายลงคอ แล้วเริ่มสอดส่องสายตาไปมองรอบๆ สวน เขาจะทำที่หลังสวนเนี่ยนะ อีกฝ่ายยิ้มอย่างขำขันก่อนจะบอกเสียงไม่เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ


“ไม่มีใครเห็นหรอกน่า ถ้าบังเอิญเขาไม่ได้อยู่ชั้นสามของบ้านหรือดาดฟ้าน่ะนะ” ผมตาโตมองเขาด้วยความหวั่นใจ แต่อีกฝ่ายดูจะชอบอกชอบใจเหลือเกิน


“ไม่… ไม่เอา…” ผมบอกเสียงสั่น พลางส่ายหัวรัวๆ


“น่าตื่นเต้นจะตายไป ทำไปลุ้นไปว่าจะมีใครเห็นมั้ย ฉันยังไม่เคยแบบนั้นเลยนะ” เขากัดริมฝีปากล่างไว้แล้วยิ้มอย่างเย้ายวน ผมตั้งสติและเรียกขวัญกำลังใจให้สู้กับไอ้ยักษ์จอมหื่นนี่ ผมอ้าปากเตรียมด่า แต่วิคเตอร์รีบโน้มหน้าเข้ามางับริมฝีปากล่างผมไว้ด้วยฟันและขบกัดเบาๆ จนรู้สึกเสียววูบ ก่อนที่จะค่อยๆ ปล่อยริมฝีปากผมออกช้าๆ อย่างเร้าอารมณ์จนผมเริ่มปล่อยสติหลุดไปอีกครั้ง


“เว้นช่วงไม่ได้เลยสินะ…” เขาบอกเสียงทุ้มพร้อมริมฝีปากบิดโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างร้ายกาจ


วิคเตอร์ไม่รอให้ผมพูดอะไรอีก เขาพุ่งเข้ามาซุกซอกคอขวาของผม เขาไม่ได้ซุกไซ้ไปมาเบาๆ แต่มันเป็นการซุกไซ้ที่แรงกดของปลายจมูกนั้นแนบแน่นไปกับเนื้ออย่างรุนแรง เขากดจมูกและริมฝีปากลงบนเนื้อคอผมอย่างแรง ราวกับจะฝังเข้าไปในนั้น ผมหมดแรงจะต่อต้าน เลยเชิดคางขึ้นอย่างจำยอม พอเห็นว่าผมเปิดทางให้ วิคเตอร์ก็ส่งเสียงครางอย่างพอใจออกมา แล้วกวาดดมเนื้อรอบคออย่างลำพองใจที่เห็นผมไม่ตอบโต้อะไร


“อ๊ะ…” ผมร้องเสียงแผ่วเมื่อเขาไล่จมูกขึ้นไปที่ใบหูซ้ายก่อนจะใช้ฟันขบเบาๆ ที่ปลายหู กัดและดึงหยอกล้ออยู่นานสองนานก่อนจะปล่อยแล้วกลับมาสูดดมซอกคอผมอีกครั้ง


“ฮื่อ… อา…” ผมร้องออกมาด้วยความเสียวซ่านอย่างเกินที่จะห้ามแล้วจริงๆ อารมณ์ตอนนี้กระเจิดกระเจิง มันเกินจะควบคุม หลังจากที่หนีรอดจากการโดนเขากดมาหลายรอบของวันนี้ ผมว่ารอบนี้ผมคงไม่รอดแน่ๆ


“อืม… เหมือนกำลังจิบนมอยู่เลย” วิคเตอร์พูดเสียงแตกพร่า เขากำลังสนุกกับการใช้ลิ้นเลียชิมเนื้อที่คอ ตวัดลิ้นย้ำๆ ตรงร่องกึ่งกลางของไหปลาร้าทั้งสองอัน ผมหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเสียวซ่าน หลับตาแน่นอย่างไม่สามารถควบคุมอารมณ์และความร้อนในกายได้ ลมหายใจกระเส่าพ่นแผ่วออกมาจากริมฝีปากที่อ้าออกเล็กน้อย


ออดดด!!! ออดดด!!!



เสียงออดของบ้านดังขึ้น วิคเตอร์ที่กำลังใช้ลิ้นเลียเนื้อที่คอผมไปมาจนรู้สึกถึงความเปียกชุ่มหยุดกะทันหัน สงสัยจะด้วยความตกใจ เพราะเขากำลังเพลิน ผมถึงขั้นเกือบหมดแรง แม้กระทั่งจะตั้งคอตัวให้ตรงยังรู้สึกว่าทำยาก เลยซบหน้าผากลงไปที่ไหล่ขวาของเขา โดยที่วิคเตอร์ยังคงจับข้อมือผมล็อคไว้ด้านหลังไม่ยอมปล่อย


“ใครอีกวะ?!” เขาสบถเสียงเข้มด้วยความไม่พอใจ ไม่ต้องมองหน้าก็รู้ว่าเขาหงุดหงิดแค่ไหนที่โดนขัด พอผมเริ่มปรับลมหายใจที่หอบหนักๆ ของตัวเองได้แล้ว ก็ค่อยๆ ยกหน้าตัวเองออกจากไหล่เขาแล้วเลื่อนสายตาไปสบแววตาหงุดหงิดของพ่อพระเอกที่กำลังจ้องมองผมเหมือนกำลังโกรธ


อ้าว… ตูผิดอะไรเนี่ย


“มะ… มีคนมาหา คุณไปเปิดประตูสิ” ผมบอกเสียงสั่นด้วยความกลัวกับสายตาของเขา เลยก้มหน้าหลบสายตาดุๆ นั่น ผมได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ของอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะยอมปล่อยมือที่ล็อคผมไว้


ออดดด!! ออดดด!!


“เออ!!! รู้แล้วโว้ย!!!” ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงตะโกนคำรามของเขา รีบดันตัวเองออกจากตักเขาทันทีแล้วพยายามรวบรวมแรงให้ยืนอยู่บนพื้นให้มั่นคงแม้ขาจะสั่นเล็กน้อยก็ตาม ผมกระเถิบถอยห่างจากร่างเขา วิคเตอร์ที่หน้าบูดบึ้งลุกขึ้นยืนอย่างเร็วด้วยความหัวเสีย ผมกลืนน้ำลายลงคอแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก


“ฉันไม่ปล่อยให้นายหายใจคล่องได้นานหรอก” เขาบอกเสียงข่มขู่ แววตาวาววับราวกับจะบอกว่าเขาพูดจริง ผมทำหน้าตาเลิ่กลั่ก ก่อนจะย่นจมูกใส่เขา


“คุณนี่มันหาคำมาด่ายากจริงๆ” ผมบอกอย่างจิกกัด ส่งสายตาจิกๆ ไปให้ อีกฝ่ายทำหน้าว่าไม่แคร์ ผมแบะปากก่อนจะหมุนตัวเพื่อจะเดินออกไปก่อน แต่ก็ต้องแทบหงายหลังเมื่อถูกไอ้ฝรั่งคว้าที่มือซ้ายไว้แน่น ผมหันไปมองด้วยความตกใจเล็กน้อย


“ฉันยังไม่จบกับนายนะ และฉันก็ไม่ยอมให้ไอ้นี่ค้างคาอยู่แบบนี้แน่…” เขาดึงมือผมไปจับเข้าที่เป้ากางเกงของเขา ผมเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึงเมื่อมือสัมผัสความเป็นชายของเขาที่ตื่นตัวเต็มที่ แถมเขายังจับมือผมให้รูดขึ้นลงตามความยาวของวิคเตอร์ยักษ์ขนาดย่ออีก ผมเผลอกำมือตามสัญชาตญาณเลยคว้าหมับเข้ากับแก่นกายขนาดใหญ่และยาวของเขา ผมเงยหน้าที่กำลังตื่นตกใจขึ้นมองเขาก็เห็นอีกฝ่ายกำลังยิ้มเจ้าเล่ห์ด้วยความพึงพอใจ ผมรีบปล่อยมือและจะชักมือกลับ แต่เขากลับไม่ยอมปล่อย


“คุณก็ช่วยตัวเองสิ!” ผมบอกเสียงแหว ทำหน้ายู่ใส่เขา วิคเตอร์ยิ้มมุมปากนิดๆ ก่อนจะส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธว่าไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ๆ


“เดี๋ยวเรากลับมาต่อกัน ถ้าไม่ใช่คนสำคัญอะไร ฉันจะไล่ให้มันกลับไป” เขาพูดแค่นั้นด้วยรอยยิ้มและแววตาหื่นกระหาย ก่อนจะออกแรงดึงมือผมให้เดินตามเขาไป ไมเคิลที่กำลังกระโดดโลดเต้นไล่ผีเสื้อที่ริมกำแพงไม้หมุนตัววิ่งตามเราสองคนที่กำลังจะเดินผ่านพ้นประตูหลังบ้าน ผมปล่อยให้เขาเดินดึงมือไปเรื่อยๆ ท่าทางของวิคเตอร์ดูรีบร้อน เขาเร่งฝีเท้าเดินไปที่ประตูหน้าอย่างรวดเร็วจนผมที่ขาสั้นกว่าเขาแทบจะเดินขาพันกัน ผมรู้สึกว่าที่เขาเดินมาที่ประตูเหมือนจะมาไล่คนที่มากดออดมากกว่าที่จะต้อนรับเข้ามาในบ้าน


ออดดด!!   


“Fuck!! (โว้ยยย!!)” เขาสบถด้วยความหัวเสียเมื่อเสียงออดดังขึ้นอีกครั้งในขณะที่เราสองคนกำลังจะถึงประตูแล้ว วิคเตอร์บีบมือขวาที่ข้อมือซ้ายผมไว้แน่นเมื่อผมบิดข้อมือเพื่อจะให้เขาปล่อย เขาหันกลับมามองด้วยสายตาดุๆ ก่อนจะหันกลับไปที่ประตูแล้วกระชากประตูเปิดกว้างออก


“What the…?! (มีห่าอะ…)” วิคเตอร์กำลังจะส่งเสียงด่าคนที่มากดออด แต่พอเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเขาก็หยุดคำพูดกะทันหัน


“วิคเตอร์!!” เธอเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงที่สดใสพร้อมรอยยิ้มที่ฉีกกว้างอย่างน่ามอง วิคเตอร์ดูมึนไปชั่วขณะ ก่อนจะเปล่งเสียงเหมือนคนสติลอยๆ ออกมา


“Natasha? (นาตาชา?)” ตอนแรกเขาขมวดคิ้วเหมือนจะงงๆ แต่สักพักเขาก็คลายปมที่คิ้วออกแล้วคลี่ยิ้มออกมา ก่อนจะปล่อยมือผมที่เขากำไว้ทันที



[มีต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 10.1-15:: 21.06.58
«ตอบ #63 เมื่อ21-06-2015 13:49:06 »



ตอนที่เขาปล่อยมือผมแล้วเอื้อมมือไปจับมือนาตาชาที่ยื่นมาหาเขา วินาทีนั้นผมรู้สึกว่าหัวใจตัวเองกระตุกแปลกๆ เหมือนมีช่องโหว่ในอกที่กระตุกลมเข้าไปจนทำให้รู้สึกเย็นๆ ไปทั่วร่าง ผมยืนคว้างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเฟดตัวเองออกห่างจากสองคนนั้นเดินเข้าไปในครัวด้วยความรู้สึกหวิวๆ ที่ใจ


“ฉันโทรหาคุณ แต่โทรไม่ติดน่ะค่ะ ฉันเลยมาหาที่บ้าน หวังว่าคุณจะไม่ว่าอะไรนะคะ” ผมรีบเดินกลับเข้าไปให้ถึงในครัว รู้สึกใจเต้นระรัวแปลกๆ


“ไม่ว่าหรอกครับ พอดีโทรศัพท์ผมเสียเลยติดต่อไม่ได้” วิคเตอร์บอกเสียงนุ่มปกติ เดาว่าหน้าตาคงจะยิ้มมีความสุขแน่ๆ พอนึกแบบนั้นผมก็ต้องย่นคิ้วกับตัวเองกับความหวิวในอกและความมวลท้องแปลกๆ


“อ้าว พังได้ยังไงกันคะ”


“ช่างเถอะครับ ว่าแต่คุณมาหาผมถึงบ้านมีอะไรรึเปล่า”


“มีสิคะ นี่ใกล้ถึงเวลาไปสตูดิโอแล้ว พอฉันโทรหาคุณไม่ติดก็คิดว่าคุณเป็นอะไรรึเปล่าเลยมาตามที่บ้าน” ผมเม้มปาก พยายามข่มใจไม่ให้สั่นแปลกๆ แบบนี้ มันสั่น… คล้ายว่ากำลังอ่อนแอ


“ผมไม่เป็นไร กำลังจะออกไปที่สตูดิโอเหมือนกัน” ผมพยายามทำตัวให้วุ่นวายด้วยการตักข้าว ตักอาหาร พยายามไม่สนใจฟังในสิ่งที่สองคนนั้นพูด


“เอเลี่ยน!” เขาส่งเสียงเรียก ผมหันไปมองและพยายามทำสีหน้าท่าทางให้ปกติที่สุด นาตาชายืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ เขา ผมยกยิ้มมุมปากเพียงนิดเดียวกลับไปให้


“เขาอยู่ที่นี่ด้วยเหรอคะ” นาตาชาถามด้วยความสงสัย วิคเตอร์หันไปมองหน้าเธอแล้วยิ้มนิดๆ ก่อนจะหันกลับมามองผมแล้วตอบเสียงทุ้ม


“เปล่าหรอก คนรับใช้ไม่ได้รับอนุญาตให้นอนที่นี่” ผมทำหน้าเอือม นึกอยากเอากระบวยตักซุปที่ถืออยู่ฟาดหัวเขาสักทีสองทีให้กับความปากไม่ดีของเขา


“มีอะไรครับ” ผมตัดบทเสียงเรียบ ก่อนที่ยัยนาตาชาหน้าเหลี่ยมผู้ขี้สงสัยจะซักถามนั่นนี่จนน่ารำคาญอีก


ตอนนี้ผมกำลังงงตัวเอง ว่ารู้สึกว่ายัยนาตาชาคนนี้มันน่ารำคาญอยู่แล้วหรือมันเพิ่งน่ารำคาญกันแน่


“ฉันจะออกไปสตูดิโอแล้ว”


“ผมกำลังจะทานข้าว” ผมบอกเสียงราบเรียบ ชูจานข้าวในมือให้เขาเห็น ก่อนจะทำเป็นไม่มองเขาแล้วเขยิบก้นขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้


“แต่ฉันจะไป ถ้าเจ้านายไป คนใช้ก็ต้องไปด้วย” เขาบอกเสียงกดต่ำราวกับกำลังจะบอกให้รู้ว่าผมต้องไป ผมพ่นลมหายใจเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความเซ็ง วิคเตอร์ถลึงตามองกลับมาเมื่อเห็นผมทำหน้าตาแบบนั้นใส่ ผมขี้เกียจจะเถียงเขาโดยมียัยนาตาชานี่ยืนมองอย่างสงสัยใคร่รู้ ผมเลยต้องเอาจานอีกใบมาปิดจานข้าว และถ้วยอีกใบมาปิดถ้วยต้มจืด ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ตัวเอง


“ไปสิครับ” ผมบอกเสียงนิ่ง ตอนมายืนอยู่ตรงหน้าเขากับนาตาชา เขาขมวดคิ้วมองผมกลับมาเหมือนกำลังงงอะไรสักอย่าง อาจจะงงที่เห็นผมทำหน้าทำตาเฉยชาใส่ล่ะมั้ง


เออ… ละทำไมผมต้องทำหน้าตาเหมือนไม่พอใจด้วยวะ หรือผมหงุดหงิดที่เขาทำท่าจะไม่กลับไปต่อให้จบตามที่เขาบอก อ๊ะ! จริงหรือเปล่าไอ้แมท อ้ากกก! เป็นงั้นจริงเหรอวะ?!


“ไปกันเถอะ” เขาหันไปบอกว่าที่แฟนสาวของเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ แล้วหันกลับมามองผมอย่างไม่พอใจ พอเห็นเขามองแบบนั้นผมก็มองกลับตาขวางอย่างไม่ชอบใจเหมือนกัน ที่เขาบอกว่าถ้าไม่ใช่คนสำคัญอะไรจะไล่กลับไป ตอนนี้ผมว่าเขาคงรู้แล้วมั้งว่าควรจะไล่คนๆ นี้ไปรึเปล่า


ผมเดินเลี่ยงออกไปจากเขาทั้งสองคน ตรงไปที่ประตูบ้านก่อนจะเปิดออกแล้วเดินลงบันไดบ้านมายืนอ้อยอิ่งรอสองคนนั้นที่ตีนบันได สักพักทั้งสองคนก็เดินตามออกมา ผมไม่ได้หันไปมองว่าใครมีสีหน้ายังไง


“แนท คุณมาที่นี่ยังไงครับ” ผมก้มหน้าก้มตาเลื่อนโทรศัพท์เร็วๆ เห็นไม่ชัดหรอกว่าฟีดเฟซบุ๊คใครอัพเดตอะไรบ้าง เพราะจริงๆ ผมแค่หาอะไรทำไม่ให้สนใจสองคนนั้น


“ฉันมาแท็กซี่น่ะค่ะ กะว่าจะไปพร้อมคุณ” ผมรู้สึกว่าวิคเตอร์หันมามอง ผมเลยเงยหน้าขึ้นมาจากจอมือถือ แล้วมองเขากลับนิ่งๆ เขามองกลับมานิ่งๆ เช่นกัน ผมเห็นแบบนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นแว้บหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินหนีเขาสองคนไปทันที ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะต้องมารั้งตัวผมไว้หรืออะไรทั้งนั้น


แต่ใจผมมันกระตุกอีกละ รู้สึกเหมือนตัวเบาๆ ผมเม้มปากแน่นแล้วถอนหายใจหนักๆ ระหว่างก้าวเดินเร็วๆ ทบทวนความรู้สึกตัวเองไปพลางๆ ว่าคิดอะไรอยู่ กำลังเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นในใจ เพื่อที่จะได้บอกตัวเองได้ว่าควรรู้สึกยังไง และควรจัดการกับอาการใจสั่นแปลกๆ นี้ยังไง เพราะไม่งั้นหน้าผมก็จะนอยด์อย่างนี้ทั้งวัน ซึ่งผมไม่อยากเป็น ไม่เอาหรอก อารมณ์เสียทั้งวันแบบนั้น เสียเวลาชีวิตจะตายไป


ผมหยุดเดินเมื่อเดินออกมาไกลจากบ้านวิคเตอร์มากพอแล้ว หลับตาลงแล้วพยายามจัดระบบความคิดที่ไหลวนไปมาในหัวไม่รู้จบ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ และพยายามปลอบใจตัวเองว่า เดี๋ยวมันจะต้องสงบลง จะไม่ใจสั่นหรือรู้สึกหวิวๆ ในอกแบบนี้


เสียงรถดังกระหึ่มมาจากด้านหลัง ผมหันไปมองก็เห็นแลมโบกินีสีเทาเงางามของวิคเตอร์วิ่งฉิวผ่านไป ผมเม้มปากเบาๆ ยกมือขึ้นมาจับอกซ้ายที่ตอนนี้ก้อนเนื้อในอกกำลังเต้นตุบๆ แต่แม้จะเต้นตุบๆ จนรู้สึกได้ ผมก็รู้สึกหวิวๆ เหมือนว่ามันมีช่องกลวงๆ ในอก แต่ก็ออกแรงก้าวเท้าเดินต่อไปจนถึงสถานี เดินขึ้นรถไฟไปอย่างลอยๆ นั่งลงแล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนเกือบเลยสถานีที่ตัวเองจะต้องลง


ผมส่ายหัวแล้วเดินออกจากรถไฟเมื่อถึงสถานีปลายทางของตัวเอง เรี่ยวแรงที่หายไป รู้สึกจะกลับมาอย่างปกติ สติที่หลุดไปก็เหมือนจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ผมจะไม่ยอมให้ไอ้ยักษ์นั่นทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้อีกแน่ พอคิดมากๆ ผมก็รู้สึกกลัวใจสั่น ยากที่จะห้ามความคิดที่ว่าถ้าเกิดนาตาชาไม่กดออดตอนนั้น ผมกับเขาเราคงมีอะไรกันไปแล้ว และก็แค่คงมีอะไรด้วยเท่านั้นแหละ ก็แค่เรื่องทางเพศล้วนๆ ไม่มีความรู้สึกทางใจใดๆ มาปน


หึ แล้วผมก็จะไร้ค่าทันทีเมื่อเวลาปกติ แต่ผมจะมีค่ามากขึ้นมาทันทีเมื่อเวลาอยู่บนเตียง หรืออาจจะไร้ค่าไปตลอดเลยก็ได้ และผมไม่นิยมให้ราคาตัวเองในรูปแบบนั้นด้วย


“แมท!” เสียงคุณเดวิดทักขึ้นพร้อมกับแรงสะกิดที่หัวไหล่ที่ทำให้ผมตกใจเล็กน้อย ผมหันไปมองเขาแล้วคลี่ยิ้มให้คุณลุงซานต้าผู้กำกับใจดีของซีรีส์ที่วิคเตอร์แสดงนำอยู่


“หวัดดีครับคุณเดวิด”


“นี่เธอไม่ได้มาพร้อมวิคเตอร์หรอกเหรอ” ผมยิ้มนิดๆ แล้วส่ายหัวน้อยๆ ก่อนจะตอบเสียงโทนปกติ


“รถเขานั่งได้แค่สองคนครับ ผมเลยต้องมาเอง” คุณเดวิดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะทำท่าว่านึกขึ้นได้ว่าผมสื่อถึงอะไร


“เธอเลยต้องลำบากมาเองเลยสินะ” ผมยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะตอบเขากลับด้วยน้ำเสียงปกติ


“ไม่หรอกครับ ผมชินแล้ว ชอบซะอีกที่เดินทางไปไหนมาไหนคนเดียว” คุณเดวิดมองผมด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ


“นี่เขาคิดจะคบกับนาตาชาจริงๆ ใช่มั้ย” ผมยิ้มแหยๆ แล้วส่ายหัวเบาๆ


“ไม่รู้สิครับ แต่ดูท่าทางแล้วก็น่าจะตกลงคบกันเร็วๆ นี้ หรือบางทีเขาอาจจะคบกันไปแล้วก็ได้” คุณเดวิดพยักหน้าช้าๆ อย่างเข้าใจ แต่ผมมีความรู้สึกว่าเขาดูเหมือนกำลังกังวลอะไรอยู่


“มีอะไรรึเปล่าครับ”


“เปล่าหรอก ฉันก็แค่ แบบว่า ฉันก็รู้จักทั้งวิคเตอร์และนาตาชาน่ะนะ” ผมขมวดคิ้วงงด้วยความไม่เข้าใจ รู้จักกัน? มันแปลกตรงไหน รู้จักกันแล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่ทั้งสองคนจะคบกัน คุณเดวิดที่เห็นผมทำคิ้วย่น แววตาเอ๋อๆ ก็ยิ้มขำ


“ไม่มีอะไรมากหรอก ยังไงมันก็เป็นเรื่องของคนสองคน” ผมรู้สึกกระตุกอีกครั้งตรงช่วงอกซ้าย ก่อนจะพยายามปั้นยิ้มขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปในสตูดิโอ


พอเข้าไปในสตูดิโอ ผมก็เห็นซีจีสกรีนสีเขียวขนาดใหญ่ที่ขึงเป็นฉากหลัง และมีอุปกรณ์เข้าฉากวางไว้ตามจุดต่างๆ เดี๋ยวคงถ่ายทำและเอาไปตัดต่ออีกที เห็นโล่งๆ ดูไม่มีอะไรแบบนี้แต่พอเข้าห้องตัดต่อ ใส่เทคนิคภาพเข้าไป ไอ้ฉากเขียวกว้างๆ ใหญ่ๆ ที่ขึงไว้เป็นพื้นหลังนี้จะกลายเป็นอะไรก็ได้ตามใจเรา แม้แต่ฉากถนนคนเดินเต็มไปหมดก็ยังทำได้


ผมเดินแยกไปนั่งตรงมุมห้องที่มีโต๊ะยาวสีขาววางอยู่ มีเก้าอี้วางระเกะระกะรอบๆ อยู่สามสี่ตัว ผมเลือกลากมาตัวหนึ่งแล้วนั่งลงตรงนั้นกะจะจับจองพื้นที่ตรงนี้เพื่อนั่งรอวิคเตอร์ทำงาน ผมถอนหายใจเมื่อนึกได้ถึงตรงนี้ จริงๆ เวลาเขามาถ่ายทำส่วนใหญ่ที่ผมทำคือนั่งรอ ไม่ก็เดินดูรอบๆ กองถ่ายไปเรื่อย มันก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อนะจะว่าไปแล้ว แต่ที่ผมยังอยู่ได้เพราะผมชอบงานด้านนี้ด้วยแหละ ผมชอบดูเวลาเขาถ่ายทำ ชอบเห็นนักแสดงผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกเบื่อ รู้สึกหน่าย ทั้งๆ ที่วันนี้เป็นการถ่ายถ่ายทำในสตูดิโอที่ใช่ว่าจะมีโอกาสเข้ามาเห็นกันได้ง่ายๆ


แล้วผมก็เห็นสาเหตุการเบื่อของตัวเองกำลังยืนยิ้มหน้าบานอยู่กับว่าที่แฟนสาวของเขา วิคเตอร์กำลังปล่อยให้ช่างผมกับช่างหน้าเก็บรายละเอียดตัวเอง ผมหน้าตึงแล้วถอนหายใจ นั่งกอดอกแล้วเบนสายตามองไปรอบห้องสตูดิโอแทนที่จะมองหน้าไอ้หนวด แต่พอเลื่อนสายตากลับไปที่วิคเตอร์อีกครั้งก็เห็นเขากำลังมองมาด้วยสายตาและท่าทางนิ่งสงบ ผมมองนิ่งๆ ตอบกลับไป ก่อนจะหันหน้าหนีแล้วแกล้งมองไปทางอื่นแทน


กับผมล่ะชอบทำหน้านิ่ง หน้าโหดใส่ ชิ! ไอ้ฝรั่งยักษ์ ผมตัดสินใจลุกขึ้นกะจะเดินออกไปหาอะไรกินนอกสตูดิโอ เมื่อกี้ตอนเดินเข้ามาก็คิดอะไรเพลินๆ ไปหน่อยเลยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเท่าไหร่ แต่คิดว่าเดินไปอีกสามสี่บล็อกจากสตูดิโอ น่าจะมีร้านอาหารให้หาอะไรกินอยู่บ้าง ต้องมาเสียเงินอีกรอบแท้ๆ เพราะไอ้ยักษ์หน้าหนวดเอาแต่ใจ ผมไม่เข้าใจ จะให้ผมรีบมาทำไม ในเมื่อผมก็ต้องมานั่งรออยู่ดี


ผมเดินตรงไปที่ประตูสตูดิโอ กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดแต่ประตูถูกเปิดเข้ามาก่อน ผมชะงักทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาคือฌอณ เราสบตากัน แต่แววตาต่างกัน อีกฝ่ายมองผมด้วยสายตารังเกียจอย่างเห็นได้ชัด ผมขมวดคิ้วมองกลับไปด้วยความไม่เข้าใจและเริ่มจะไม่พอใจที่ถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น


“คุณมีอะไรกับผมก็พูดมา มองด้วยสายตาแบบนั้นผมไม่รู้หรอกว่าคุณคิดอะไรอยู่” ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงห้วนอย่างไม่ชอบใจกับสายตาของเขา อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปากอย่างหยันๆ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ผมด้วยท่าทางน่ากลัว


“ฉันเพิ่งเห็นข่าวว่า คนอย่างพวกแก ถูกฆ่าตาย แกสนใจอยากเป็นศพตามพวกมันไปมั้ย” เขาถามเสียงเย็นจนผมขนลุก แววตาเขาน่ากลัว รอยยิ้มเหมือนคนโรคจิต แต่ผมก็ทำใจแข็งสู้ต่อ


“เคยบอกแล้วไง ถ้าไม่ชอบผม ก็อยู่ห่างๆ กันไว้”


“ฉันก็ไม่ได้อยากเข้าใกล้แกนักหรอก ไอ้พวกน่าขยะแขยง” ผมรู้สึกหน้าชาที่ถูกด่าแบบนั้น คนอย่างพวกผม น่าขยะแขยง แต่ล่ะคำที่พูดออกมา ราวกับเขาคิดว่าผมไม่ใช่คน


“ฌอณ ทีมเสื้อผ้ารอนายอยู่” เสียงของใครบางคนดึงสติของผมกลับมา ผมหันไปมองแล้วก็เห็นว่าวิคเตอร์กำลังยืนมองอยู่ด้วยท่าทีนิ่งๆ คนถูกถามยิ้มนิดหน่อยก่อนจะเบี่ยงตัวเดินออกไป ผมหันไปมองตามอย่างไม่เข้าใจในท่าทีที่เขามีต่อผม กำลังงงว่าตัวเองไปทำให้อะไรเขาไว้รึเปล่า


“แล้วนั่นนายจะไปไหน” วิคเตอร์ถามเมื่อเห็นผมทำท่าจะเปิดประตูสตูดิโอแล้วเดินออกไป ผมหันกลับไปมองด้วยท่าทางเงอะๆ งะๆ เพราะยังรู้สึกสับสนกับอาการชองไอ้ชอนไชอยู่


“จะออกไปหาอะไรกิน ผมหิว” ผมตอบกลับไปเสียงเรียบ มองเขาอย่างเอื่อยเฉื่อย


“ไม่ต้องไป” เขาบอกเสียงเข้ม ผมแสดงอาการหงุดหงิดใส่เขาทันที


“มันจะเกินไปหน่อยมั้ย แม้กระทั่งข้าวก็จะไม่ให้ผมกิน”


“แล้วฉันบอกรึยังว่าจะไม่ให้นายกิน” เขาถามกลับมาเสียงนิ่งแต่สีหน้าเขาดูก็รู้ว่ากำลังไม่พอใจที่ผมพูดเสียงสะบัดใส่


“แล้วที่บอกว่าไม่ต้องไปนี่คืออะไร ผมเป็นคนดูแลคุณนะคุณเรย์มอนด์ ไม่ใช่คนใช้อย่างที่คุณบอกคุณนาตาชา” ผมเริ่มเสียงดังเพราะความโมโห ไหนจะโมโหหิว โมโหไอ้ฌอณ แล้วยิ่งเห็นหน้าไอ้ยักษ์นี่ ผมยิ่งรู้สึกโมโหกับท่าทีของเขา


“อย่ามาเสียงดังแถวนี้นะ” เขาบอกเสียงต่ำ แววตาข่มผมเต็มที่ ผมมองเขากลับไปอย่างน้อยใจ แต่ก็ทำท่าว่ายังนิ่ง ผมหมุนตัวแล้วกระชากประตูสตูดิโอเปิดออก เตรียมตัวพุ่งตัวออกไปแต่ก็ยังไม่ไวเท่าวิคเตอร์ที่คว้าแขนขวาผมแล้วลากไปทางห้องแต่งตัว
เขาก้าวขายาวๆ จนผมต้องรีบก้าวขาสั้นๆ ของตัวเองให้ทัน


“นั่งลง!” เขาสั่งทันทีเมื่อเดินเข้ามาในห้อง ผมเดินไปนั่งลงบนโซฟาตามที่เขาบอกแล้วนั่งนิ่งแต่ไม่ยอมมองหน้าเขา วิคเตอร์เดินไปที่มุมห้องที่มีโต๊ะวางอยู่และมีของวางไว้เต็มไปหมด ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกล่องพลาสติกใบหนึ่ง


“อยากกินก็รีบกิน แล้วกินให้หมดด้วยนะ!” เขากระแทกกล่องพลาสติกลงตรงหน้าผมด้วยความหงุดหงิด ผมเหลือบมองเขานิดหน่อยก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องพลาสติกมาเปิดก็เห็นสปาร์เก็ตตี้หมูราดซอสสีส้มๆ


“คุณเอามาจากไหน” ผมหันไปถามเขาที่มองหน้าผมด้วยความขุ่นมัว


“ของกองถ่าย แต่ฉันกินอาหารที่นายทำมาบ้างแล้วเลยไม่หิว” ผมมองเขาอย่างช่างใจเล็กน้อย รู้สึกว่าข้างในอ่อนลงจากที่แข็งขืนใส่เขา ก่อนจะตัดสินใจหยิบช้อนส้อมพลาสติกขึ้นมาแล้ววางกล่องพลาสติกลงบนตัก แล้วเริ่มตักกินด้วยความหิว


“เมื่อกี้ฌอณทำอะไร” เขาถามตอนที่ผมกำลังเคี้ยวตุ้ยๆ จนแก้มอูม ผมกลืนเส้นสปาร์เก็ตตี้ที่กำลังเคี้ยวลงคอก่อนจะตอบ


“เขาถามผมว่าอยากตายตามคนที่เป็นแบบผมมั้ย”



“อะไรนะ?!” จากสีหน้าที่ยังดูไม่พอใจกับผมเมื่อครู่ แต่พอได้ยินสิ่งที่ผมบอกสีหน้าของวิคเตอร์ก็เปลี่ยนตื่นตะลึงนิดๆ 


“เขาบอกเขาเพิ่งเห็นข่าวว่าคนแบบผมถูกฆ่าตาย” ผมบอกเสียงสลดเมื่อนึกถึงคนที่ถูกฆ่า ไม่ว่าจะถูกฆ่าเพราะอะไรก็ตาม แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า


“เขาหัวรุนแรงกว่าที่ฉันคิดไว้นะ” วิคเตอร์เหมือนพูดกับตัวเอง แต่ก็ดังพอที่ทำให้ผมได้ยิน ผมหันไปมองเขางงๆ ทั้งที่กำลังอ้าปากรับสปาร์เก็ตตี้คำใหม่จากส้อม ผมดูดเส้นเข้าปากก่อนจะหันไปมองวิคเตอร์ด้วยความไม่เข้าใจ


“ถ้าเป็นไปได้ก็อยู่ให้ห่างจากหมอนั่นไว้” ผมกลืนอาหารลงไปก่อนจะตอบประโยคนั้นของเขา


“ผมก็ไม่เคยคิดยากจะอยู่ใกล้คนที่ไม่ชอบผมหรอก แต่ที่ผมกำลังสงสัยคือทำไมเขาถึงไม่ชอบผม ผมไปทำอะไรให้นักหนา” ผมบอกเสียงเครียด หน้าตาก็เครียดเพราะไม่รู้จริงๆ ว่านี่มันเรื่องห่าอะไรกัน


“ไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่เป็นแบบที่นายเป็น ฌอณมันก็ไม่ชอบแล้ว” ผมย่นคิ้ว หันกลับไปมองใบหน้านิ่งของวิคเตอร์อีกครั้งด้วยความมึน


“แบบที่ผมเป็น?” วิคเตอร์มีสีหน้าลำบากใจ มองผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก เหมือนจะสงสารแต่ก็ไม่ถึงขั้นนั้น แต่สุดท้ายเขาก็ยอมพูดออกมา


“He is a Homophobia. (เขาเป็นพวกรังเกียจเพศที่สาม)” ผมอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนหูดับไปชั่วขณะ เหมือนหูตื้อขึ้นมาดื้อๆ


“What? He is—he hates me. (อะไรนะ เขาเป็น เขาเกลียดผม)” ผมถามด้วยความอึ้งผสมความตกใจนิดๆ ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง ไม่เคยคิดว่าจะเจอคนพวกนี้แบบจังๆ ขนาดที่ว่าใกล้ตัวอย่างนี้ อาจจะไม่ใกล้มากแต่ก็ถือว่าใกล้ คำถามที่ผมเคยสงสัยก่อนหน้านี้มีคำตอบแล้ว ผมไม่คาดคิด ไม่ฉุกคิดจริงๆ ว่าสาเหตุที่เขามองผมด้วยสายตาแบบนั้นมันจะคือเหตุผลนี้ ใครมันจะไปคิดว่าจะเจอ เคยอ่านแต่ข่าวและเคยได้ยินมาเท่านั้น


“No, he hates everyone who is the same to you. (เปล่า หมอนั่นมันเกลียดทุกคนที่เหมือนนาย)” ความรู้สึกใดๆ ก่อนหน้านี้ที่มีเหมือนถูกล้างไปจนหมด ตอนนี้ตัวเบาหวิวกับเรื่องใหม่ที่ได้รับรู้ แทบจะลืมเลยว่าก่อนหน้านี้เคยหงุดหงิดใจอะไรกับใครไว้
นี่มันวันอะไร ทำไมจิตใจผมถึงรับเรื่องเยอะขนาดนี้


“อยู่ไกลๆ มันไว้ก็แล้วกัน” วิคเตอร์พูดขึ้นมาเมื่อเห็นผมนิ่งเงียบไป ผมหันไปมองเขาอย่างอึนๆ รู้สึกไม่ถูกเลยที่ถูกเกลียดด้วยสาเหตุนี้ ไม่คิดจริงๆ และคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตัวเองจะถูกเกลียดด้วยสาเหตุนี้


“แล้วคุณล่ะ ไม่รังเกียจผมเหรอ” ผมถามเสียงเบาหวิว ตอนนี้ความรู้สึกคือน้อยใจยังไงไม่รู้ กำลังคิดว่าแค่เกิดมาเป็นแบบนี้มันผิดนักรึไง ถึงได้เกลียดกันขนาดนี้


“ถามคำถามนี้ทั้งๆ ที่ฉันบอกว่าฉันอยากเอานายเนี่ยนะ” วืดดด! เหมือนจะเป็นคำตอบที่ดีที่ให้กำลังใจกันแต่มันก็ไม่ทิ้งลายความลามกของเขาอยู่ดี ผมตาปรือ หันหน้าขวับไปมองหน้าเขา จะบอกว่ารู้สึกดีก็กระดากปาก แต่มันก็ทำให้ผมใจชื้นที่ได้ยินแบบนั้นนะ


“คุณจะมาเอาผมทำไม ไปทำกับคุณนาตาชาสิ แถมเธอยังมีตั้งสองรูให้คุณเลือก ไอ้รูหลังมันก็เหมือนของผมนั่นแหละ”


“นั่นมันแน่อยู่แล้ว อีกไม่นานหรอก”


“ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเอากับเธอ ก็ช่วยโฟกัสไปที่เธอคนเดียว ไม่ต้องเอาผมเข้าไปเกี่ยวด้วย เก็บความอยากรู้ อยากลองไปใช้กับเธอ ไม่ก็ผู้ชายคนอื่น” ผมมองเขาด้วยสายตาจิกกัด ก่อนจะจับส้อมม้วนเส้นสปาร์เก็ตตี้แล้วยัดเข้าปาก


“กินเข้าไปเยอะๆ จะได้มีแรง เพราะไม่แน่คืนนี้นายอาจต้องใช้แรงกายกับฉันทั้งคืน”


พรวด! แค่กๆ!


[มีต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 10.1-15:: 21.06.58
«ตอบ #64 เมื่อ21-06-2015 13:53:39 »



ผมถึงกับสำลักเส้นสปาร์เก็ตตี้เมื่อได้ยินประโยคที่เขาพูดออกมา วิคเตอร์หัวเราะชอบอกชอบใจเมื่อเห็นสภาพผมทุเรศ ถูกใจเขาเสมอแหละกับความทุเรศของผมน่ะ ไม่อยากจะเชื่อแต่ผมเชื่อไปแล้วว่าผู้ชายคนนี้หน้าด้านจริงๆ นี่ขนาดผมพูดไปขนาดนั้นเขาก็ยังคงมีปณิธานที่มั่นคงไม่เสื่อมคลายกับการทะลายประตูหลังของผม


“นี่! คุณเรย์มอนด์ เราต้องคุยกันเรื่องนี้อย่างจริงจังนะ” ผมแหวใส่เขาพลางซับทิชชูไปรอบๆ ปาก วิคเตอร์ยิ้มกริ่มก่อนจะว่าเสียงทะเล้น


“จริงจังแล้วเหรอ? ได้สิ คุยอะไรล่ะ อยากคุยว่าคืนนี้จะใช้ท่าไหน หรือใช้อุปกรณ์เสริมอะไรบ้างใช่รึเปล่า เรื่องท่าทางและลีลา นายไม่ต้องห่วง ฉันมีให้เลือกเพียบ แต่อุปกรณ์นี่ ฉันมีแค่ไวเบรเตอร์ กุญแจมือซึ่งเคยใช้กับนายไปแล้วครั้งนึง แต่ก็ใช้อีกได้นะ แล้วก็มีที่หนีบหัวนม บาร์แยกขา…”


“โอยยย! จะอ้วก พอเถอะพ่อคุณ!” วิคเตอร์หัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นผมทำท่าพะอืดพะอมกับสิ่งที่เขาพูดออกมา ไม่ใช่ว่าทำตัวไร้เดียงสานะ แต่ตอนที่เขาพูดว่ามีที่หนีบหัวนม ผมนี่เสียววาบตรงนมตัวเอง รู้สึกจั๊กจี้ชอบกล


“ฉันมีไม้เรียวด้วยนะ ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากใช้ฟาดก้นนายแรงๆ ให้สมกับที่นายชอบเถียงฉัน” เขาพูดแล้วส่งรอยยิ้มร้ายกาจพร้อมแววตาวิบวับที่น่าหวั่นใจมาให้


“เก็บไว้ฟาดหัวคุณเองเถอะ คนอะไรทำไมในหัวมีแต่ความคิดเรื่องพวกนี้”


“งั้นปฏิเสธฉันหน่อยสิว่าตอนที่อยู่บนม้านั่งหลังสวน นายไม่รู้สึกดี” ผมกำลังจะอ้าปากเถียงทันควันแต่ก็เงียบ รู้สึกว่าคำว่า ไม่ มันพูดออกจากปากยากเหลือเกินในเวลานี้ วิคเตอร์ยกยิ้มมุมปากอย่างหล่อแต่ก็ร้ายกาจ จนผมยิ่งรู้สึกอึกอักหนักขึ้นไปอีก


“คุณบังคับผม” นี่แหละ ผมพูดได้แค่นี้แหละ เห็นสายตาและรอยยิ้มชวนปั่นป่วนใจของอีกฝ่ายแล้ว ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ไอ้รอยยิ้มที่กัดปากล่างอย่างเซ็กซี่และแววตากรุ้มกริ่มนั่นมันทำให้ผมสมองตัน


“หึๆ ถ้าออดไม่ดัง เราคงรู้คำตอบว่าฉันบังคับนายจริงๆ มั้ย” ผมเบ้ปากใส่เขา รู้สึกหวั่นใจกับตัวเอง กลัวว่าถ้าออดไม่ดังขึ้นขัดจังหวะ มันจะกลายเป็นว่าเขาไม่ได้บังคับผมอย่างที่เขาว่าเนี่ยแหละ คนไม่เคยอย่างผมเจอแบบนั้นเข้าไป ใจก็สั่นเทิ้มเหมือนกันนะ


“วิคเตอร์ เข้าฉาก” เสียงทีมงานดังขึ้นที่หน้าประตู วิคเตอร์พยักหน้าแล้วยิ้มรับ


“ถ้ายังกลัวอยู่ ก็อยู่ในนี้ไปก่อน จะได้ไม่ต้องเจอหมอนั่น” ผมพยักหน้ารับคำของเขา รู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องฌอณ แม้จะหลบได้แค่วันนี้ แต่ก็ขอเลี่ยงก่อน วันต่อๆ ไปที่ยังต้องเจอกันก็จะพยายามอยู่ให้ห่างไว้ แต่วันนี้สภาพจิตใจผมรับเรื่องต่อๆ กันจนรู้สึกแย่แปลกๆ เลยขอเลี่ยงการเจอดีกว่า


วิคเตอร์เดินออกไป ผมมองตามแผ่นหลังเขา แล้วก็ถอนหายใจออกมา แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรที่มันเป็นการปลอบโยนแต่เขากลับทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นกับการที่เราปั้นปึ่งใส่กันในตอนแรกทั้งก่อนมาถึงสตูดิโอและตอนที่มาถึงสตูดิโอ และทำให้ผมรู้สึกหวั่นใจกับเรื่องฌอณน้อยลง แต่ผมจะรู้สึกดีกว่านี้มากถ้าเขาจะเลิกมองผมเหมือนเป็นตัวทดลองในด้านกามอารมณ์ของเขา ต้องคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจังละว่าจะใช้ท่าไหน เอ้ย!


ผมสะบัดหัวรัวๆ กับความคิดตัวเองที่ดันไปนึกถึงคำพูดของเขา รีบจัดการสปาร์เก็ตตี้อิตาเลี่ยนซอสแสนเลี่ยนในกล่องพลาสติกให้หมด แล้วก็ต้องมานั่งๆ นอนๆ เล่นโทรศัพท์มือถือไปเรื่อยด้วยความเซ็ง อยู่แต่ในห้องก็แสนจะน่าเบื่อ ผมเลยตัดสินใจเดินออกไปดูเขาถ่ายทำ ตอนนี้ไอชอนไชไส้หมามันคงไม่กล้าแสดงออกอะไรมากนักหรอก


ผมเดินออกมาดูการถ่ายทำ แล้วก็เป็นอย่างที่คาดเดาไว้ว่านี่คือฉากถนน เพราะมีรถจอดอยู่ (ช่างขนกันมานะ) สัญญาณไฟจราจรติดตั้งไว้ น่าจะเป็นฉากไล่ล่ากันบนท้องถนนล่ะมั้ง ผมหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปเพื่อทำเดลี่รีพอร์ทส่งคุณเอมิลี่ และเลือกรูปที่วิคเตอร์กำลังออกลีลาบู๊เตะต่อยในโมเม้นต์สวยๆ เพื่อลงไอจี เฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ของเขา ก่อนจะนั่งมองเขาออกแอคติ้งผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ไปเรื่อย และผมยังคงยืนยันคำเดิมว่าวิคเตอร์ไม่ได้เป็นผู้ชายที่หล่อเป๊ะ หล่อเว่อร์วังอลังการ แต่เขาเป็นคนที่มีเสน่ห์และมีเซ็กส์แอพเพียลในตัวเองสูงมหาศาล และสิ่งเหล่านี้มันทำให้การแสดงเขานั้นน่ามองมาก ซึ่งผู้ชายแบบนี้เป็นผู้ชายที่น่าสยบให้ยิ่งกว่าพวกหล่ออย่างเดียวแต่ไร้เสน่ห์ซะอีก


“Thanks for today! See you guys! (ขอบคุณสำหรับวันนี้ แล้วเจอกันนะทุกคน!)” เสียงของคุณเดวิดดังขึ้นเมื่อซีนสุดท้ายของวันนี้จบลงพร้อมกับเสียงปรบมือ ผมเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวแล้วหยิบกระเป๋าออกมารอวิคเตอร์ที่ประตูทางออกสตูดิโอ ตอนนี้เวลาสองทุ่มกว่า ไม่ต้องบอกว่าฟ้าข้างนอกมืดขนาดไหน ผมยืนรอเขา แต่สายตาก็มองอย่างหวาดระแวงเพราะกลัวไอ้ชอนไชไส้หมาจะมารังควานผมอีก พอเห็นว่ามันกำลังเดินมาทางนี้ผมก็ขยับหนีห่างจากประตู ไอ้ชอนไชมองผมด้วยสายตานิ่ง แต่ก็ส่งสัญญาณไม่ชอบมาให้ ผมที่ไม่อยากมีเรื่อง ไม่อยากหาเรื่องก็เลยทำเป็นมองไม่เห็น มันเลยเดินออกไปจากสตูดิโอเงียบๆ ผมถอนหายใจแล้วมองหาวิคเตอร์ก็เห็นว่าเขากำลังเดินมาทางประตูกับนาตาชา


“คุณกลับยังไงครับแนท” เสียงเขาเอ่ยถามนาตาชา ผมได้ยินแบบนั้นก็รู้ตัวทันทีว่าคงต้องไปขึ้นรถไฟกลับเอง ผมเลยหมุนตัวไปเปิดประตูสตูดิโอ แล้วเดินออกไปด้านนอกปะทะเข้ากับลมเย็นๆ ในยามค่ำคืนและแสงไฟจากท้องถนน ผมหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ว้อทแอพไปหาวิคเตอร์ว่าให้เจอกันที่บ้าน พอกดส่งไปได้สักพักเขาก็เดินออกมาพร้อมกับนาตาชา


“แล้วเจอกันนะคะ” เธอบอกเสียงหวานก่อนจะเขย่งปลายเท้าแล้วจูบปากวิคเตอร์ คนโดนจูบก็ตอบรับด้วยการโน้มตัวลงไปจูบอย่างดูดดื่ม ผมเห็นภาพนั้นแล้วก็รู้สึกจุกที่อกแปลบๆ เลยตัดสินใจรีบเดินออกไปจากตรงนั้น ก้าวเท้าเร็วๆ เพื่อไปให้ถึงสถานีรถไฟไวๆ แต่จากสตูดิโอที่ผมอยู่มันก็ค่อนข้างไกลจากสถานีรถไฟพอสมควร ผมชะงักฝีเท้าตัวเองเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจะรีบเดินไปทำไม ค่อยๆ เดินไปก็ได้ ผมถอนหายใจกับความเสียสติของตัวเองที่นึกอยากจะเดินหนีจากตรงนั้นมาเร็วๆ ก่อนจะค่อยๆ ปรับฝีเท้าให้ช้าลง


“เอเลี่ยน!” เสียงอันคุ้นหูดังขึ้น ผมหลับตาแว้บหนึ่งก่อนจะหันไปมองเจ้าของเสียงผู้ชอบออกคำสั่งที่กำลังก้มหน้ามองลอดผ่านกระจกฝั่งผู้โดยสารมาที่ผม ผมเลยต้องก้มลงคุยกับเขา


“คุณอ่านว้อทแอพแล้วใช่มั้ย ก็ตามนั้นละกันนะครับ” ผมตั้งท่าจะยืดตัวกลับไปยืนตรงแต่ก็ต้องค้างเอาไว้เมื่อเขาแทรกเสียงขึ้นมาทันควัน


“ขึ้นรถ!” เขาบอกเสียงเข้ม ผมนิ่งไป เพิ่งได้สติสังเกตเห็นว่านาตาชาไม่ได้นั่งมาด้วย ผมเม้มปากเบาๆ ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วก้าวเดินไปเปิดประตูรถ หย่อนก้นลงไปนั่งบนเบาะหนังแท้สีดำตัดสลับแดงแล้วปิดประตูตามเบาๆ


“คุณนาตาชาไม่ได้กลับด้วยรึไงครับ” วิคเตอร์หันมามองผมหน้าขรึมก่อนจะตอบ


“ถ้ามาด้วย นายจะนั่งอยู่ตรงนี้รึไง” ผมแค่นยิ้มแล้วหันไปมองเขา พยักหน้ารับเบาๆ รู้สึกอึดอัดในอกจนไม่รู้จะพูดอะไร แต่ข้างในมันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นของสำรองที่จะถูกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ ผมสลัดความคิดนั้นทิ้งแล้วหยิบมือถือขึ้นมาในระหว่างที่วิคเตอร์ขับรถออกไปสู่ท้องถนน


“คุณจะเลือกรูปไหนลงโซเชียลครับ” ผมยื่นมือถือไปให้เขาเลือกรูป เขาหันหน้ามามองผมในขณะที่หัวคิ้วทั้งสองข้างของเขาแทบจะชนเข้ากัน


“นายจะถามทำไม ครั้งก่อนๆ นายก็เป็นคนเลือกลง”


“เผื่อคุณอยากลงรูปคู่กับคุณนาตาชาไง” ผมบอกเสียงแผ่ว วิคเตอร์หันมามองด้วยสายตาเรียบนิ่ง ผมเองก็พยายามทำหน้าปั้นยิ้มกลับไป เขามองผมเหมือนกำลังช่างใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองถนน


“ไม่ต้อง” เขาตอบกลับมาสั้นๆ ผมพยักหน้ารับรู้แล้วทำนิ่งนั่งเลือกรูป แล้วสุดท้ายผมก็เลือกรูปที่เขาใส่แว่นตาเรย์แบนด์สีดำกำลังยิ้มมุมปากเท่ๆ ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงสองข้างอยู่ข้างรถที่ใช้เข้าฉาก ผมเลือกใช้แอพในไอจีปรับแสงสีเล็กน้อย ใส่แคปชั่นเก๋ๆ ใส่แฮชแท็กซีรีส์และแฮชแท็กชื่อเขาเพื่อให้แฟนคลับเข้าไปตามดูได้ ก่อนจะอัพลงแบบลิงค์เชื่อมไปยังเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์


หมับ!


เฮือก!


เพี๊ย!


“นี่!” ผมสะดุ้งตกใจเผลอตีมือขวาของเขาที่เอื้อมมาจับแล้วบีบเบาๆ ตรงต้นขาอ่อนผม คนโดนตียิ้มมุมปากอย่างขำๆ เมื่อเห็นผมทำหน้าตาถมึงทึงใส่ แต่เขาก็หน้ามึนจับต้นขาผมไม่ยอมปล่อย แถมยังลูบไปลูบมาจนผมขนลุก


“คุณเรย์มอนด์ อีกแล้วนะ!” ผมแหวใส่และพยามยกมือเขาออก แต่เขาก็เกร็งมือไว้แบบนั้นไม่ยอมปล่อย


ไอ้ฝรั่งยักษ์หื่น ปล่อยนะเว้ย ไม่ได้หน่อมแน้มอะไรนะ แต่รู้สึกอายขนขาตัวเองอ่ะ แง~


“หึๆ ปากเหมือนเดิมแล้วสินะ” เขาว่าแค่นั้นแล้วก็ปล่อยมือออกไปจับพวงมาลัยตามเดิม ทิ้งให้ผมนั่งย่นคิ้วมองกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก่อนจะได้เข้าใจอะไรเขาก็ยื่นมือมาจับที่แก้มก้นซ้ายของผมแล้วบีบเบาๆ ทำเอาผมหน้าเหวอ


“คุณเรย์มอนด์!” ผมดึงมือเขาออกจากก้นตัวเองแล้วใช้สองมือตัวเองกุมมือเขาไว้ไม่ให้มันซุกซนอีก ผมกัดริมฝีปากล่างไว้แล้วแยกเขี้ยวด้านบนใส่ ไอ้ฝรั่งหื่นยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วส่งเสียงหัวเราะในลำคอด้วยความถูกใจ


“ขับไปมือเดียวนั่นแหละ” ผมบอกเสียงเคือง ใช้สองมือกุมมือหนาใหญ่แต่อบอุ่นของเขาไว้ ทำแก้มพองลมและทำตาดุๆ ใส่เขา วิคเตอร์หันมามองแล้วยกยิ้มมุมปากทั้งสองข้าง ทำเอาผมใจกระตุกวูบจนต้องรีบหันหน้าหนีไปมองถนนแทน


“จับไว้ให้ตลอดนะ ปล่อยเมื่อไหร่ฉันจับที่สงวนของนายแน่” ผมทำเสียง จิ๊ ที่ปากแล้วมองค้อนเขาแว้บหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองถนนตามเดิม วิคเตอร์ใช้มือซ้ายบังคับพวงมาลัยอย่างไหลลื่นไม่มีทีท่าว่าจะลำบากอะไรกับการที่ผมจับมือเขาไว้แบบนี้ แถมไอ้มือขวาของเขายังสามารถขยับนิ้วเขี่ยมือซ้ายผมเล่นเพื่อกวนอารมณ์ผมอีก ผมเลยยกมือขวาตีที่หลังมือเขาเบาๆ เป็นการเตือน แต่อีกฝ่ายดูจะชอบอกชอบใจที่เห็นผมต้องมาคอยระแวงว่าเขาจะหยิบจะจับเนื้อหนังมังสาผมตรงไหนและเมื่อไหร่บ้าง


“คอยดูนะผมจะฟ้องกรมแรงงานว่าคุณทำอนาจารผม!” ผมส่งเสียงแว้ดๆ ใส่เขาเมื่อมือเขาหลุดจากการเกาะกุมของผมแล้วสอดเข้าไปในกางกางขาสั้นที่ผมใส่อยู่อย่างรวดเร็วจนเกือบโดนแมทน้อย แต่ผมรีบตะครุบข้อมือเขาไว้ทันก่อนที่จะโดนจุดสำคัญตรงนั้น ไอ้ยักษ์หน้าหนวดนี่มันมือไวจริงๆ


“ขอฉันทำอนาจารนายจริงๆ ก่อนก็แล้วกันนะ แล้วค่อยไปบอก” แน่ะ! พูดหน้าตาย หน้ามึน แถมยังยกมือมาเกาคางผมเบาๆ อีก ผมเลยต้องจับตะครุบไว้อีกรอบ ไอบ้านี่มือมันไหลื่นยิ่งกว่าหนวดปลาหมึกอีกนะ



“อยู่เฉยๆ ได้มั้ยเนี่ย!” ผมพูดเสียงเข้มเมื่อเขาเริ่มเอามือตัวเองหลบหนีการจับกุมของผม ปัดป่ายไปทั่วหน้า ทั่วร่างกายผม พอจะจับเขาก็ชักมือหนีแล้วยื่นกลับมาปัดป่ายไปทั่วตัวผมอีก ดูจะสนุกเหลือเกินนะ ไอ้ยักษ์!


“Giant beard face! (ไอ้ยักษ์หน้าหนวด!)” ผมร้องด่าลั่นเป็นคำศัพท์ใหม่ที่คิดค้นขึ้นเองเมื่อเขาเอามือมาบีบที่หน้าอกซ้ายผมเบาๆ สามที วิคเตอร์เลิกคิ้วขึ้นสูง ทำหน้าตางงๆ ด้วยความสงสัยกับสิ่งที่ผมพูดไป


“What’s that? (อะไรของนาย)” แล้วผมก็คว้ามือเขาได้สำเร็จ และคราวนี้ออกแรงจับไว้แน่น แต่ดูเหมือนเขาจะยอมให้จับไว้มากกว่า ถ้าเขาคิดจะดื้อดึงจริงๆ ยังไงเขาก็ดึงออกได้ง่ายๆ


“ก็คุณไง ตัวใหญ่อย่างกับยักษ์ แถมยังหนวดเคราเฟิ้มไปหมด!” ผมอธิบายให้เขาเข้าใจ อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจแล้วหันมามองผม


“ฉันน่ะปกติ นายต่างหากที่ผิดปกติ เตี้ยแทบติดดินเองยังมาหาว่าคนอื่นตัวใหญ่”เขาบอกสีหน้ามั่นอกมั่นใจจนน่าหมั่นไส้พร้อมน้ำเสียงกวนๆ นี่ถ้าไม่ติดว่ากลัวนะ ผมจะหยิกเนื้อหลังมือให้เขียวเลยคอยดู


“อืม… ส่วนหนวด ฉันก็กะจะโกนอยู่เหมือนกัน…” เขาทำท่าคิดแล้วหันมามองผมก่อนจะว่าพร้อมรอยยิ้มมุมปากอย่างมีแผน “…งั้นพอถึงบ้าน นายก็มาโกนให้ฉันก็แล้วกัน” ผมตกใจตาโตพรึบ! หันไปมองเขาแล้วส่ายหัวเกร็งๆ


“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวเกิดผมทำคุณเลือดออกขึ้นมา ผมก็ซวยสิ”


“จะออกได้ไง ใช้เครื่องโกนหนวดสิ นี่ก็เป็นอีกอย่างที่นายต้องเรียนรู้ว่าควรต้องโกนหนวดให้ฉันแบบไหน โกนยังไงถึงจะถูกใจฉัน”


“ทำไมเดี๋ยวนี้คุณพูดเยอะจัง ไปกินอะไรมาเนี่ย” วิคเตอร์ที่กำลังยิ้มๆ ถึงกับชะงักไป สายตาเขาหันไปมองท้องถนนยามค่ำคืนที่รถกำลังแล่นไป เขานิ่งไปครู่หนึ่งราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ สักพักเขาก็หันกลับมามองผมด้วยท่าทีที่ปกติจนผมงงว่าอะไรของเขาวะ


“ตกลงนายจะโกนหนวดให้ฉันมั้ย”


“ไม่ หนวดของใคร คนนั้นก็โกนเองสิ” ผมยืนยันคำเดิมเสียงแข็ง วิคเตอร์ยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะบอกเสียงทุ้ม ฟังดูนุ่มนวลแต่ก็ชวนหวั่นใจ


“ฉันให้โอกาสตอบอีกครั้ง จะทำมั้ย” เขาเลิกคิ้วขึ้นสูง ส่งรอยยิ้มกริ่มอิ่มใจมาให้ จนผมอ้าปากหวอ รู้ดีว่านั่นไม่ใช่การให้โอกาสแต่มันคืออาการบังคับแบบนุ่มนวลชัดๆ


“กะ… ก็ได้” แพ้อีกแล้ว (TOT)


วิคเตอร์ยิ้มมุมปากอย่างมีชัยแล้วส่งเสียงหัวเราะต่ำๆ ในลำคอ ก่อนจะดึงมือขวาที่ผมกุมอยู่ไปจับพวงมาลัย แล้วขับรถมุ่งหน้ากลับบ้าน ทิ้งให้ผมนั่งหวั่นใจอยู่คนเดียว


ไม่ให้หวั่นใจได้ไง อยู่กับเขาสองคนแบบหน้าชิด ตัวชิด ชิดใกล้กันทีไร มีอันต้องรู้สึกเสียววูบทุกที








ผมเปิดประตูบ้านเข้าไป ยังคงเห็นอาหารที่ผมตักไว้เมื่อเช้าอยู่ที่เดิมในห้องครัวตอนเดินผ่าน ไมเคิลวิ่งไปรับวิคเตอร์ด้วยวามดีใจ ส่วนเจ้าฟอกซ์ก็เดินมาคลอเคลียที่ขาผมจนต้องก้มลงไปลูบหัวมันเบาๆ ผมยืดตัวตรงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้จะสี่ทุ่มแล้ว


“นี่ ถ้าคุณจะโกนหนวด โกนหัว ก็รีบเถอะ มันดึกแล้ว”


“ทำไม? จะรีบกลับไปหาแฟนนายที่มาส่งเมื่อเช้างั้นเหรอ” เขาหรี่ตามองมาอย่างจับผิด ผมแบะปากเล็กน้อยพลางยัดมือถือลงไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะตอบคำถามเขา


“เปล่า! แต่ผมต้องกลับเองนะไม่ได้มีแลมโบกินีเหมือนคุณ”


“แท็กซี่ก็มีนี่” เขาบอกอย่างง่ายๆ ขณะที่กำลังขยี้หัวเจ้าไมเคิลเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน เดินตรงมาที่ผมที่ยืนอยู่แถวๆ ตีนบันไดที่ขึ้นไปชั้นสองของบ้าน


“ผมรู้ครับ แต่ผมอยากกลับที่พักไวๆ พรุ่งนี้ผมก็ต้องตื่นแต่เช้ามาหาคุณอีก” ผมบอกหน้าบูดบึ้ง แต่อีกฝ่ายกลับทำสีหน้าไม่เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ


“นายก็นอนที่นี่สิ” ผมส่ายหัวหน้าตาเหนื่อยๆ


“ไม่เป็นไรครับ… ผมว่าเราไปโกนหนวดคุณกันเถอะ” ผมเขยิบทางให้เขาเดินขึ้นบันได วิคเตอร์เหลือบมองผมเล็กน้อยก่อนจะเดินขึ้นบันไดบ้านไปยังชั้นสอง ผมเดินตามขึ้นไป นึกในใจอย่างเดียวว่าอยากกลับที่พักเร็วๆ อยากกลับไปนอนไม่เกินเที่ยงคืนบ้าง ผมเดินตามวิคเตอร์เข้าไปในห้องน้ำของห้องนอนเขา


“ที่โกนหนวดอยู่ในลิ้นชักอ่างล้างหน้า” เขาบอกพลางถอดเสื้อยืดที่เขาใส่อยู่ออกจนเผยหุ่นอันมีมัดกล้ามน่ากัด เอวคอดสุดเซ็กซี่ กล้ามท้องสามเหลี่ยมทรงคว่ำที่ลึกลงไปในขอบกางเกง ก่อนจะถอดกางเกงลงไปกองกับพื้น ผมตาโตรีบหันหนีสภาพเขาที่ใส่กางเกงใน Calvin Klein สีขาวเพียงตัวเดียว ก้าวเท้าเดินไปที่ลิ้นชัก ดึงออกแล้วมองหาเครื่องโกนหนวดของเขาก่อนจะหยิบออกมาเมื่อหาเจอ เอื้อมมือไปหยิบโฟมโกนหนวดที่วางอยู่หน้ากระจกของอ่างล้างหน้า


“ฮ่ะ!!” ผมสะดุ้งตกใจ เปล่งเสียงลมแผ่วออกมาจากปากเมื่อหันกลับมาแล้วเจอวิคเตอร์ยืนอยู่ใกล้ผมในสภาพกางเกงในตัวเดียวแบบเมื่อกี้นี้ นี่ผมคิดว่าเขาจะไปเอาผ้าขนหนูมาพันตัวซะอีก โอ๊ย! นูนจนเห็นเป็นรูปเป็นแท่ง ก็ยังยืนโชว์หน้าตาเฉย หมอนี่นี่หน้าด้านหน้าทนจริงๆ


“ตกใจอะไร มากกว่านี้นายก็เคยเห็นมาแล้ว ทั้งเคยเห็น ทั้งเคยจับ และทั้งเคยโดนมันสัมผัสที่ขาอ่อนไม่ใช่เหรอ” เขาบอกด้วยรอยยิ้มกริ่ม แววตาซุกซน ผมนิ่งไม่พูดอะไร แต่คอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายหนักๆ พยักหน้ารับส่งๆ ไป แล้ววางเครื่องโกนหนวดสีเทาด้ามจับสีดำไว้บนขอบอ่างล่างหน้า จัดการบีบโฟมโกนหนวดสีขาวลงบนฝ่ายมือซ้ายของตัวเอง เขยิบเดินเข้าไปใกล้เขา แล้วเอามือป้ายโฟมไปตามกรอบหน้าที่มีเคราของเขา ก่อนจะใช้มือขวาแตะๆ โฟมอีกเล็กน้อยไปป้ายตรงหนวดใต้จมูก ใต้คาง และรอบขอบปากของเขา ผมต้องใช้ทักษะการแหงนหน้าและเขย่งเท้าเล็กน้อยถึงจะป้ายโฟมได้ถนัด พอทาโฟมเสร็จผมก็หันไปล้างมือ เหลือบมองเขาผ่านกระจกแล้วก็กระพริบตาปริบๆ เอียงคอมองเขาเล็กน้อยแล้วก็แอบยิ้มขำเพราะเขาดูเหมือนซานตาครอสไม่มีผิด แต่รอยยิ้มก็ต้องหายวับไปเมื่อเขาเดินเอาแผ่นอก แผ่นท้องเข้ามาประชิดติดแผ่นหลังผม ส่วนที่ก้นผมโดนเป้านูนๆ ของเขาบดเบียดจนสัมผัสถึงแท่งร้อนของเขาได้


“ถ้านายไม่อยากโดนข่มขืนในนี้ ก็รีบๆ ทำให้เสร็จ” เขาบอกเสียงแหบ แล้วเอาหน้าที่มีโฟมสีขาวเต็มกรอบหน้ามาแนบกับแก้มผมจนโฟมสีขาวเลอะไปทั้งแก้มขวาและใบหู แววตาที่วิคเตอร์จ้องมองกลับมา มันดูดิบเถื่อน จนผมรู้สึกร้อนในอกรุมๆ จนต้องรีบดึงแก้มตัวเองออกห่างจากหน้าเขา หมุนตัวไปใช้มือดันเขาออกห่างจากผมเบาๆ


“ยืนดีๆ สิครับ” ผมบอกเสียงแห้ง ดันอกเขาให้ออกห่างจากผมเบาๆ เขายอมขยับออกไปหนึ่งก้าว เว้นช่องว่างไว้ระหว่างร่างเราสองคนเล็กน้อย ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเบาๆ แล้วหันไปหยิบเครื่องโกนหนวดขึ้นมา มองหาปุ่มเปิดแล้วกดเปิดให้เครื่องทำงาน ผมเงยหน้าขึ้นไปเผชิญสายตานิ่งที่มองกลับมาอย่างตั้งใจ


“เอ่อ… คุณช่วยก้มหน้าลงมาหาผมหน่อยได้มั้ย ผมเตี้ย ผมไม่ถนัด” วิคเตอร์ยิ้มมุมปากด้วยความขำ ก่อนจะก้มหน้าลงมาหาผม ผมกำลังจะยกเครื่องโกนหนวดที่ส่งเสียงหึ่งๆ ขึ้นไปจัดการหนวดเคราที่หน้าเขาก็ต้องหน้าเหวอและรีบเอื้อมมือไปจับกล้ามแน่นๆ ที่ต้นแขนเขาไว้เมื่อเขาช้อนตัวผมขึ้นไปนั่งบนขอบอ่างล้างหน้าหินอ่อนสีดำ


“ทีนี้เราก็เท่าเทียมกัน” เขาบอกเสียงนุ่ม แววตาชวนร้อนรุ่ม ใบหน้าเราสองคนอยู่ใกล้กัน วันนี้มันเป็นอะไรทำไมเราสองคนถึงได้ใกล้ชิด แนบชิดกันบ่อยเหลือเกิน มันบ่อยเกินไปจนใจผมเริ่มไม่ดีแล้วนะ


“คุณเอาหน้าออกห่างหน่อยก็ได้” ผมบอกเสียงแผ่ว พยายามทำหน้าให้นิ่งเข้าไว้แม้มันจะยาก และหุบขาไว้อย่างแนบแน่นเพื่อไม่ให้เขาเข้ามาใกล้ไปมากกว่านี้ แผ่นท้องอันแข็งแกร่งแต่ไม่แข็งกระด้างของเขาชนหัวเข่าผมอยู่ ก่อนที่เขาจะใช้สองมือจับเข่าผมแยกแล้วแทรกตัวเข้ามายืนหว่างขาผม


โอยยย~ วันนี้ผู้ชายคนนี้ทำหัวใจผมทำงานหนัก หนักมากจริงๆ ให้ตายสิ


“ห่างไปเดี๋ยวนายก็ไม่ถนัดอีก แบบนี้แหละ” เขาบอกเสียงสบายๆ หน้าตาชิวๆ ผมเม้มปากเบาๆ แล้วก็ต้องจำนนต่อสถานการณ์นี้ ผมยกเครื่องโกนหนวดขึ้นมาแต่ก็ชะงักค้างไว้เมื่อวิคเตอร์เท้าแขนสองข้างวางไว้ตรงขอบอ่างล่างหน้า กลายเป็นว่าผมอยู่ในอาณาเขตอ้อมแขนของเขา และเขาอยู่ในอาณาเขตหว่างขาของผม โพสิชั่นอันตรายอีกครั้งของวัน


สงสัยจริงๆ นะว่าวันนี้มันเป็นวันอะไร ทำไมถึงเป็นแบบนี้บ่อยจริง


“เอาออกเยอะมั้ยครับ” ผมถาม โดยพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น พยายามไม่จ้องตาของเขาที่มองมาอย่างจับจ้องแต่ไม่จ้องเขม็ง


“ไม่ต้อง อย่าเอาออกหมดนะ ฉันไม่ชอบ” เขาบอกเสียงขุ่น หน้ามุ่ยเหมือนเด็กขี้งอแงเอาแต่ใจ แต่ไม่ต้องเป็นเด็ก อีตานี่เขาก็เอาแต่ใจได้ และบางทีเอาแต่ใจกว่าเด็กด้วยซ้ำ


“ยิ้มอะไรนักหนา ทำไมนายยิ้มง่าย หัวเราะง่ายจัง” เขาถามเมื่อเห็นผมยิ้มและส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ตอนที่เห็นหน้ามุ่ยๆ ของเขา ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง พลางค่อยๆ จ่อที่โกนหนวดไปที่เคราด้านซ้ายของเขาแล้วถูเครื่องไปมาบนเคราเขาอย่างเบามือ


“มันก็ไม่ใช่เรื่องยากไม่ใช่เหรอครับ แค่ยิ้ม แค่หัวเราะเอง” วิคเตอร์มองผมด้วยสายตาและสีหน้าราวกับกำลังซึมซับกับสิ่งที่ผมพูดไป เขาดูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เก็ทเลย


“ผมว่า เดี๋ยวนี้คุณเองก็ยิ้ม ก็หัวเราะบ่อยขึ้นนะ ผิดจากอาทิตย์ก่อนเยอะเลย” ผมบอกยิ้มๆ พลางถูไถเครื่องโกนหนวดไปรอบๆ กรอบหน้าเขาตามไรเคราที่ทาโฟมไว้ เขากระพริบตามองผมนิ่งๆ ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะพูดประโยคที่ทำเอาเอาผมใจหล่นวูบออกมา


“อาจเพราะนาตาชามั้ง เขาชอบพูดอะไรตลกๆ ให้ฉันฟัง” เขาบอกแล้วยิ้มน้อยๆ ราวกับกำลังนึกถึงช่วงเวลาที่เขาและเธออยู่ด้วยกัน มือผมที่กำลังจับเครื่องโกนหนวดไปตามคางและใต้จมูกเขาเกือบหยุดชะงัก แต่ผมก็สลัดความรู้สึกใดๆ ที่แทรกเข้ามาในอกออกไปและตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองที่กำลังทำอยู่ตอนนี้


“พูดถึงเรื่องนี้… ผมอาจจะพูดซ้ำซาก พูดมาหลายครั้ง แต่… คุณล้มเลิกความคิดที่อยากลองมีเซ็กส์กับผมเถอะ ถึงจะแค่เล่นๆ ผมว่ามันก็ไม่ควร คุณมีคุณนาตาชาอยู่แล้ว ถึงจะยังไม่คบแต่คุณก็ควรนึกถึงเธอไว้ ยังไงวันนึงคุณก็ต้องคบกับเธอ อาจจะเป็นพรุ่งนี้เลยก็ได้ ถ้าอยากมีเซ็กส์ คุณก็มีกับเธอ ความอยากรู้อยากลองกับผู้ชาย คุณทิ้งมันไปเถอะ ผมไม่มีอะไรให้ลองหรอก และอย่าคิดไปลองกับผู้ชายคนไหน มันไม่ใช่เรื่องที่ควรต้องมาทดลองหรือทดสอบ และอย่าไปมีอะไรกับผู้หญิงคนไหนง่ายๆ เลยนะครับ…” ผมบอกเสียงเรียบ วิคเตอร์เองก็นิ่งฟัง แต่ไม่รู้จะซึมซับไปได้มากน้อยขนาดไหน


“คุณจะทำให้ผมใช้ชีวิตยากเวลาอยู่ใกล้คุณ ถ้าคุณยังทำแบบนี้อยู่ ผมอยากทำหน้าที่ของผมให้ครบสามเดือนตามปกติ เราสองคนเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้อง และเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ ถึงผมจะชอบผู้ชาย ก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องอยากให้คุณทำอะไรกับผมแบบนี้  มันไม่เหมาะสม คุณอาจจะบอกว่า เล่นๆ สนุกๆ แต่อย่าเลยครับ คุณอาจใช้เซ็กส์ตามหาอะไรให้ชีวิตคุณจนเคยชิน แต่สำหรับผม ผมไม่ชิน เราเพศเดียวกัน แต่ไลฟ์สไตล์เราสวนทางกัน ฉะนั้นอย่าทำแบบนี้อีกเลยนะครับ คุณเรย์มอนด์” ผมดึงเครื่องโกนหนวดออกจากหน้าเขาเมื่อโกนเสร็จแล้ว เราสองคนสบตากัน ผมมองเขาด้วยความอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ส่วนเขามองกลับมาราวกับกำลังตะลึงกับคำพูดของผมอยู่ ผมหันไปวางเครื่องโกนหนวดไฟฟ้าลงบนขอบอ่างล้างหน้า แล้วเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่พับวางไว้หน้ากระจก หันกลับไปหาเขาเอาผ้าขนหนูสีขาวที่คลี่ออกแล้วเช็ดโฟมที่ยังติดค้างอยู่บนหน้าเขาออกให้จนหมดเกลี้ยง ระหว่างนั้นวิคเตอร์ก็ยังคงมองผมด้วยสายตามีแววทึ่งเล็กน้อย ผมคลี่ยิ้มเมื่อเห็นว่าใบหน้าเขาดูรกรุงรังน้อยลง แต่หนวดเคราก็ยังคงอยู่ไม่ได้ถูกโกนออกไปจนหมด


“It’s done. You should take a shower, now. And then—if there’s nothing to do, I want to excuse myself. (เรียบร้อยแล้ว คุณอาบน้ำเถอะ แล้วก็… ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับเลยนะครับ)” ผมกระเถิบก้นลงจากขอบอ่างล้างหน้าหินอ่อนสีดำ ลงไปยืนที่พื้น วิคเตอร์เขยิบถอยหลังให้ผมเล็กน้อยเพื่อให้ผมยืนได้ถนัด ผมยิ้มอ่อนๆ เป็นการขอบคุณ เขาจ้องมองกลับมาเหมือนคนกำลังว้าวุ่นใจ คิ้วเขาย่นนิดๆ แววตาเหมือนกำลังสับสน


“Good night Mr.Raymond, and see you tomorrow. (ฝันดีนะครับ คุณเรย์มอนด์ แล้วเจอกันพรุ่งนี้)” ผมบอกแค่นั้น แล้วเดินตรงไปยังประตูห้องน้ำด้วยอาการหนักอึ้งในหัวที่พร่าเบลอและในอกที่สั่นไหว



[มีต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 10.1-15:: 21.06.58
«ตอบ #65 เมื่อ21-06-2015 13:55:09 »



ผมเดินถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่ได้นับ รู้แต่ว่าถอนมาตั้งแต่เดินออกมาจากบ้านวิคเตอร์ยันมาถึงหน้าบ้านป้าแมร์รี่ แต่ก็ไม่ได้ถอนถี่ๆ หรอกนะ เว้นช่วงสักพักแล้วค่อยถอนใหม่ ราวกับมันมีจังหวะของมัน


“นี่ไง สุดที่รักมึงกลับมาแล้ว” เสียงแว่วๆ ดังขึ้นเมื่อผมเดินผ่านบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านของป้าแมร์รี่ ผมหันไปมองด้วยความเลื่อนลอยก็เห็นเอิร์ทกำลังเดินตรงมาทางผมหน้าตานิ่ง แต่แววตาดูร้อนรน


“ไอ้ฝรั่งนั่นมันเป็นใครกันแน่แมท” เอิร์ทถามเสียงเหมือนจะดังแต่ก็ไม่ได้ดังลั่น ผมที่กำลังล่อยลอย ถึงกับทำหน้ามึนแล้วนิ่งเงียบใส่เอิร์ท บาสเห็นแบบนั้นก็เข้ามาดึงไหล่เอิร์ทให้ออกห่างจากผมเล็กน้อย


“ใจเย็นไอ้ห่าเอิร์ท มึงยังไม่ใช่ผัวเขานะ” บาสนิ่วหน้าใส่เพื่อน เอิร์ทถอนหายใจหนักๆ แล้วก็ค่อยๆ มีสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้น


“นี่ยังไม่นอนกันอีกเหรอเนี่ย” ผมถามด้วยความงงปนความเอ๋อ มองหน้าสองหนุ่มหล่อต่างสายพันธ์ เอ้ย! ต่างเชื้อชาติ คนหนึ่งไทยแท้ อีกคนก็อาตี๋แต่ตาสองชั้น


“จะนอนได้ไงล่ะ ไอ้เอิร์ทมันง้องแง้งอยากเจอแมททั้งวัน” ผมตาโต หันไปมองเอิร์ทที่ไม่โต้เถียงอะไรกับคำพูดของเพื่อน


“อยากเจอเรา? มีอะไรรึเปล่าเอิร์ท”


“มีดิ ที่ถามไง ไอ้ฝรั่งคนนั้นมันเป็นใครกันแน่ มันไม่ได้เป็นแค่เจ้านายใช่มั้ย” แล้วผมก็ทำหน้าว่า อ๋อ ด้วยความเข้าใจว่าเอิร์ทต้องการเจอผมเพราะอะไร ผมส่ายหัวน้อยๆ ก่อนจะตอบ


“แค่เจ้านายจริงๆ เอิร์ท ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น และก็… ไม่มีวันมีอะไรด้วย” ประโยคท้ายผมพูดเสียงแผ่ว รู้สึกหน่วงๆ ในใจเมื่อพูดไปแบบนั้น


“แต่มันกอดแมท” เอิร์ทบอกเสียงขุ่น หน้าตาก็ขุ่นเคือง


“ก็แค่กอดแกล้งๆ เท่านั้นแหละ เจ้านายเราเขาชอบเล่น ชอบแกล้งแบบนั้นประจำ” ผมบอกแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างอ่อนแรงให้เอิร์ท ใบหน้าวิคเตอร์แว้บเข้ามา ผมรีบสกัดความคิดตัวเองที่เกี่ยวกับเขาออกไปจากหัว


นึกอยากไปเรียนการสกัดใจกับศาสตราจารย์สเนปแห่งแฮร์รี่ พ็อตเตอร์จริงๆ


“เล่นเหี้ยไรแบบนั้นวะ แล้วแมทก็ยอมให้มันเล่นเนี่ยนะ นี่ถ้าเกิดมันอยากเอาแท่งฉี่มันกระแทกก้นแมทเล่นๆ แมทจะทำไง” ผมเบิกตากว้างกับคำพูดของเอิร์ท ที่เบิกตากว้างไม่ได้ตกใจที่เขาพูดแบบนั้นนะ แต่แอบสะดุ้งเบาๆ เพราะที่เอิร์ทว่ามามันก็เกือบเกิดขึ้นแล้ววันนี้ในห้องน้ำและในสวนหลังบ้าน


ป้าบ!


“โอ๊ย! ไอ้เหี้ยบาส มึงตบหัวกูทำไมเนี่ย” เอิร์ทโวยทันทีเมื่อเจอบาสเสยหลังหัวเข้าไปเต็มๆ บาสมองเอิร์ทด้วยความหมั่นไส้


“พูดเหี้ยไร ให้เกียรติแมทหน่อย เขาไม่ได้ถ่อยเหมือนมึงนะ กูรู้ว่ามึงหวง แต่มึงยังไม่ได้เป็นอะไรกับเขานะไอ้สัส”


“เออ กูหวงแมท กูหึงด้วย และกูก็อยากเป็นอะไรกับแมทมากกว่าเพื่อนแล้วด้วย!” เอิร์ทพูดด้วยอารมณ์ที่มาเต็ม หน้าตาเขาดูซีเรียส ท่าทางก็ดูเอาจริงเอาจัง ผมรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนฉ่าเมื่อได้ยินเอิร์ทพูดแบบนั้น บาสเองยังดูอึ้งไปเหมือนกัน


“มันไม่ได้ชอบแมทใช่มั้ย” เอิร์ทถามอีกทีหลังจากที่ดูเหมือนว่าเขาจะสงบสติอารมณ์ตัวเองให้เย็นลงได้บ้าง ผมแค่นยิ้ม เป็นเหมือนรอยยิ้มเยาะหยันตัวเอง ผมมองหน้าเอิร์ทแล้วพูดเสียงแผ่วเบา


“เอิร์ท เจ้านายเราเขาเป็นผู้ชาย เขามีผู้หญิงตั้งมากมายให้เลือก เขาไม่มาเลือกผู้ชายตุ๊ดแตกอย่างเราหรอก”


“ไอ้เอิร์ทมันก็ผู้ชาย และมันก็มีผู้หญิงเป็นฮาเร็มยิ่งกว่าเจ้าเมืองโกสัมพี แต่มันยังชอบแมทเลยนะ” ผมหัวเราะน้อยๆ พร้อมรอยยิ้มกว้าง เอิร์ทหันขวับไปมองบาสด้วยหน้าตายุ่งๆ


“ประโยคมึงจะดีกว่านี้มาก ถ้ามึงไม่พูดว่ากูมีผู้หญิงเป็นฮาเร็ม ไอ้เหี้ยบาส” เอิร์ทยกมือเสยหลังหัวบาสเสียงดัง ผั่บ! ไปหนึ่งที


“อ้าว ไอ้เชี่ยโลกวินาศ กูช่วยมึงอยู่นะเนี่ย” เอิร์ทหันหน้าหนีบาสมาสนใจผมแทน ปล่อยให้บาสยืนหน้าบึ้งอยู่ข้างๆ


“แล้วแมทล่ะชอบมันรึเปล่า” ผมอ้าปากจะตอบ สมองและปากผมพร้อมตอบว่า ‘เปล่า! เราไม่ได้ชอบ’ แต่ใจผมกลับกำลังเต้นระรัวกับคำถามของเอิร์ท และนั่นมันก็ทำให้ผมอ้อมแอ้มอยู่ครู่หนึ่ง


“เปล่า… เราไม่ได้ชอบเขา” ผมตอบเสียงเบาหวิว แล้วเงยหน้าสบตาเอิร์ทที่มองมาหน้านิ่วคิ้วขมวด สายตาเหมือนกำลังจับจ้องหาสิ่งผิดปกติกับท่าทีและคำพูดของผม ผมพยายามยิ้มตอบกลับไปเพื่อให้เอิร์ทเลิกทำหน้าขรึมแบบนั้น


“แมท…”


“ว่า…” ผมยิ้มแล้วเลิกคิ้วขึ้นมองเขาด้วยความสงสัย บาสหันมามองเอิร์ทด้วยท่าทีที่เหมือนรู้ว่าเอิร์ทกำลังจะทำอะไร แล้วเอิร์ทก็พูดออกมาเสียงทุ้มพร้อมกับแววตาแสนอ่อนโยน ทำให้ใบหน้าหล่อเข้มของเขาดูอ่อนลงและแลดูอบอุ่นหัวใจยามที่ได้มอง


“คบกับเอิร์ทได้มั้ย…”


 :hao4:

[อ่านตอนต่อไปได้ที่ด้านล่งเลยค่ะ]




ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 10.1-15:: 21.06.58
«ตอบ #66 เมื่อ21-06-2015 14:00:46 »


CHAPTER 14 :: The first wish from the gift of God.


# 4 สัปดาห์ผ่านไป


“I love you. (ฉันรักคุณค่ะ)” เสียงหัวเราะคิกคักพร้อมเสียงจุ๊บปากดังคลอมาจากทางประตูบ้าน ไม่ต้องบอกว่าตอนนี้กำลังคลอเคลียและนัวเนียแค่ไหน สงสัยเมื่อคืนคงยังไม่หนำใจ เลยกะจะมาต่อกันเช้านี้อีก ผมได้แต่ยืนนิ่ง ขบกรามเบาๆ แล้วเอาจานที่ล้างเสร็จแล้ววางบนตะแกรงเหล็กที่พักจาน


“ฉันไม่อยากไปเลย” เสียงออดอ้อนของนาตาชาดังแว่วมา เสียงหัวเราะทุ้มๆ ของวิคเตอร์ดังขึ้น ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงจุ๊บปากอีกรอบ


“เดี๋ยวตอนเย็นก็เจอกันแล้ว เสร็จงานแล้วโทรบอกผมละกัน เดี๋ยวผมไปรับ” เขาบอกเสียงนุ่มทุ้มน่าฟังที่กับผมแล้วแทบจะนับครั้งได้ที่จะได้ยินแบบนั้น ได้ยินบ่อยคงเป็นช่วงที่เขาคิดอยากจะลองมีเซ็กส์กับผมนั่นแหละ ใช้เสียงนี้ทีไรคือการตะล่อมให้ผมสมยอมนั่นเอง


“งั้นฉันไปนะคะ” ผมหยิบผ้าเช็ดมือสีขาวผืนเล็กขึ้นมาซับน้ำที่มือ แล้วหันกลับไปเก็บอาหารสดที่วางอยู่บนโต๊ะหินอ่อนกลางห้องครัวเข้าตู้เย็น


“นี่ เดี๋ยวนายช่วยซักชุดของนาตาชาให้ด้วยนะ ฉันเอาไปไว้ให้ในห้องซักรีดแล้ว” ผมหน้านิ่งพยักหน้ารับไปเรื่อยเปื่อย มือก็วุ่นวายกับการเก็บของ เพราะขี้เกียจจะพูดต่อปากต่อคำ อีกอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก็แค่ซักเสื้อผ้า


เขายิ้มแล้วยักคิ้วให้ผม ก่อนจะเดินหายไปทางบันไดขึ้นไปชั้นสองของบ้าน ผมเลิกคิ้วขึ้นแล้วคลี่ยิ้มอย่างเอื่อยๆ ให้ตัวเอง ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนใช้บ้านนี้เต็มตัว คือแค่ต้องดูแลวิคเตอร์คนเดียวก็เหนื่อยพออยู่แล้ว นี่ยังต้องมาคอยดูแลเมียใหม่มาดๆ ของเขาอีกด้วย นี่ดีนะที่ผมไม่ต้องคอยรองรับอารมณ์ของเขาคนเดียวแล้ว เพราะมีนาตาชามาร่วมแชร์ด้วย ไม่งั้นผมคงเหนื่อยไม่เสื่อมคลาย และที่สำคัญเขาไม่แสดงอาการความหื่นหรือความอยากลิ้มลองในตัวผมอีก เพราะเอาเวลาไปลิ้มลองกับนาตาชาหมด รู้สึกเสียดาย เอ้ย! รู้สึกขอบคุณยัยนาตาชาหน้าเหลี่ยมมา ณ ที่นี้มาก


หลังจากที่ผมเคลียร์กับเขาในห้องน้ำไปตอนโกนหนวดได้ไม่กี่วัน วิคเตอร์กับนาตาชาก็ตกลงปลงใจคบกัน ไม่อยากจะบอกว่าตอนนี้ความรักกำลังเบ่งบานและดูท่าไม่ใช่แค่ความรักอย่างเดียวที่บาน อย่างอื่นของนาตาชาคงบานด้วย เพราะมานอนค้างที่นี่แทบทุกคืน แน่นอนว่าคนเป็นแฟนกัน พอนอนค้างด้วยกันมันก็ต้องมีซัมติงออนเดอะเบดแน่ๆ (Something on the bed)  วิคเตอร์กับนาตาชาก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว คิดหรอว่าจะแค่นอนเกี่ยวก้อยกันเฉยๆ การันตีได้จากเสียงร้องอย่างถึงอกถึงใจของทั้งสองคนตอนที่ผมบังเอิญเดินขึ้นไปเอาผ้านวมจากห้องนอนของแขกชั้นสอง (ที่เขาเคยพายัยสองแมลงสาบเพื่อนซี้มากินตับนั่นแหละ) มาซักแล้วสองคนนั้นคงอารมณ์พุ่งพล่านมากจนลืมปิดประตู และคงลืมคิดด้วยว่าผมก็ยังอยู่ในบ้านด้วย


ผมปิดประตูตู้เย็นหลังจากยัดของสดที่เหลืออยู่ไปหมดแล้ว เรื่องอาหารผมก็ต้องทำให้มากขึ้นในบางวัน เพราะมีนาตาชามาร่วมทานด้วย ช่วงแรกๆ ผมก็ยังพอหน้าด้านหน้าทนนั่งทานข้าวกับพวกเขาได้นะ แต่สักพักเริ่มรู้สึกเอียนและอึดอัดกับการแสดงความรักที่ล้นอกล้นใจของทั้งสองคนเหลือเกิน จนต้องคอยทานหลังจากพวกเขาทานเสร็จแล้ว ผมล่ะเข้าใจคำว่าข้าวใหม่ปลามันก็จากสองคนนี้นี่แหละ


ส่วนระหว่างผมกับวิคเตอร์ก็มีสถานะและระยะห่างเหมือนเดิม คือทุกอย่างก็ยังคงปกติและเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติม มีลดลงก็คืออาการคุกคามทางเพศผมนั่นแหละ เพราะหลังจากที่ผมบอกไปอย่างจริงจังและจริงใจในห้องน้ำ เขาก็เหมือนจะรู้แล้วว่าผมจริงจังกับคำพูดนั้นแค่ไหน หลังจากวันนั้น ในช่วงแรกๆ ผมก็รู้สึกห่อเหี่ยวอยู่เหมือนกันนะ ก็… แบบว่าเขาชอบบริหารกล้ามเนื้อหัวใจผมให้ได้ออกแร้งเต้นตึกตักอยู่บ่อยๆ หัวใจผมที่มันเคยแห้งแล้งมาก่อน ที่เคยห่อเหี่ยวมาสักพัก มันก็ได้ขยับเพราะเขาเนี่ยแหละ พอเขานิ่งไป หยุดทำจริงๆ ก็ดันรู้สึกแปลกๆ ซะงั้น (อ้าว?!)


คือถามว่าผมชอบมั้ยที่เขาทำแบบนั้น ยอมรับว่ามันก็มีชอบบ้าง หวั่นไหวบ้าง ก็แหม เล่นกอด เล่นซุกไซร้ ใกล้ชิดกันขนาดนั้น ก็ทำเอาผมอดตื่นเต้นไม่ได้ แล้วผมเองซึ่งไม่เคยได้ใกล้ชิดผู้ชายคนไหนเท่าเขามาก่อน ก็มีอ่อนยวบยาบบ้างล่ะ  แต่พอคิดถึงเหตุผลหลักที่เขาทำแบบนั้นเพียงเพราะต้องการลอง ต้องการแกล้ง เห็นเป็นแค่เรื่องเซ็กส์ ผมก็เลิกหน่วงในใจ กลับคืนสภาวะปกติ


แต่… ก็ใช่ว่าจะทำได้ทั้งหมดหรอก เหมือนจะดี เหมือนจะทำได้ดี แต่ก็ยังไม่ดี ยิ่งเวลาเห็นวิคเตอร์อยู่กับนาตาชาแล้วแสดงความรักกัน ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดี ใช่ว่าผมจะโง่ไม่รู้ตัว แต่ผมไม่อยากเจ็บ ไม่อยากถลำลึกอะไรไปมากกว่านี้ เพราะแค่นี้ก็เจ็บจี๊ดๆ ไม่น้อย ไหนจะยังแผลเก่าที่ทิ้งรอยช้ำไว้ในใจ ให้เก็บมาตอกย้ำเสมอๆ ว่า ผมเป็นผู้ชาย ยังไงก็ต้องเจ็บเต็มๆ คนเดียว ถ้าคิดจะชอบจะรักผู้ชายแท้ๆ ด้วยกัน มันไม่มีวันของผมหรอก ยังไงเขาก็ต้องเลือกผู้หญิง ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกสร้างมากับผู้ชาย


ฉะนั้นที่ผมทำได้คือเบรกตัวเองซะตั้งแต่ตอนนี้ ผมบอกใจตัวเองว่า มันดีแค่ไหนแล้ว ที่รู้สึกไปแค่นี้ ที่รู้สึกแค่แรกเริ่ม ดีกว่ามากไปกว่านี้แล้วความเจ็บก็ถาโถมเข้าหาผมคนเดียว เพราะยังไงคำตอบของโจทย์นี้คือ ผมก็ต้องเจ็บแบบเดิมอีก ผมไม่อยากได้ยินแบบที่เคยได้ยินจากปากพี่เอกอีกแล้วที่บอกว่า เป็นผู้ชายกับผู้ชายจะรักกันได้ไง แค่ครั้งเดียวก็ทำเอาผมใจสั่นวูบจนกลายเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ


สู้ทำใจให้เข้มแข็งไว้ดีกว่า อีกสองเดือนนิดๆ ผมก็กลับไทยแล้ว ผมถือว่าตัวเองเก่งมากแล้วนะที่อยู่รอดปลอดภัยมาได้เดือนครึ่งแล้วเนี่ย


“ฮัลโหล… อุ้ย!” ผมกำลังจะเอาโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูเพื่อคุยกับคนในสาย แต่ด้วยความที่สองมือกำลังวุ่นวายคัดผ้าลงเครื่องซัก มันเลยตกลงไปบนกองผ้าน่วม ผมรีบวางเสื้อผ้าในมือลงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับใหม่อีกรอบ


“ฮัลโหลเอิร์ท…เออ โทษที พอดีเมื่อกี้ซักผ้าอยู่…โหย ไม่กล้ารับปากเลยอ่ะ เดี๋ยวขอถามเจ้านายก่อนได้มั้ยว่าถ้าเขาไปรับแฟนเขาแล้ว เราต้องทำอะไรอีกรึเปล่า…โอเค ได้ๆ เดี๋ยวเราโทรบอกนะ…”


[คิดถึงเอิร์ทมั้ย] ผมย่นคิ้วนิดๆ แล้วยิ้มขำๆ ก่อนจะใช้มือขวาที่ว่างหยิบเสื้อเชิ้ตขาวลงไปในเครื่องซัก


“เพิ่งห่างกันเมื่อเช้านี้เองนะ อะไรจะขนาดนั้น” ผมเอ่ยด้วยรอยยิ้มแซวๆ นึกขำกับความมุ้งมิ้งของเอิร์ท ไม่อยากเชื่อว่าคนหน้าเข้มๆ ท่าทางห่ามๆ อย่างเขาจะชอบพูดอะไรแบบนี้ เดี๋ยวนี้เขาชอบแทนตัวเองว่า เอิร์ท กับผม มันก็ดูน่ารักดีนะ แค่จั๊กจี้เล็กน้อยเวลามองหน้าเข้มๆ ของเขา ฮ่าๆๆ


ถ้าจะชอบจะรักผู้ชายด้วยกัน ก็คงต้องมองผู้ชายแบบเอิร์ทนี่แหละ เพราะมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า อีกอย่างเอิร์ทก็เผยตรงๆ แล้วว่าชอบผม ผมว่ามันก็คงจะดีล่ะมั้ง ถ้ามองคนที่เขาชอบเราไว้ก่อน ถ้าเจ็บก็เจ็บน้อยกว่าคนที่เขาไม่ชอบและไม่คิดจะชอบเราเลยด้วยซ้ำ


[เมื่อคืนแมทไม่ให้เอิร์ทนอนกอดอ่ะ ถ้าให้กอดจะไม่บ่นงี้หรอก] ป๊าดดด! ผมหัวเราะเบาๆ พร้อมกับโยนผ้าสีไปไว้อีกตะกร้า


“ทำอย่างกับคืนอื่นๆ ได้นอนกอดงั้นแหละ”


[แล้วเมื่อไหร่จะให้กอดล่ะ]


“ให้เมื่อไหร่เดี๋ยวบอก” ผมกับเอิร์ทหัวเราะพร้อมกัน ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่ามีใครมาอยู่ตรงหน้าประตูห้องซักรีด หันไปมองก็เห็นวิคเตอร์ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดขาว กางเกงนอนสีเทาเนื้อนุ่มขายาวกำลังยืนกอดอกพิงกรอบประตูหรี่ตามองผมจนรู้สึกประหม่า


“แปบนึงนะ…” ผมบอกเอิร์ทแล้วดึงมือถือออกจากหู


“มีอะไรให้ผมทำรึเปล่าครับ” ผมหันไปถามด้วยความหวั่นในอกเล็กๆ เพราะเห็นสายตานิ่งๆ ที่มองมาแล้วรู้สึกว่านั่นไม่โอเค หรือพูดง่ายๆ คือกลัวเขาจะด่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาจะด่าอะไร แต่ทำหน้าตานิ่งจนเกือบดุแบบนั้น ผมคิดว่าจะด่าไว้ก่อน


“มี…” เขาตอบกลับนิ่งๆ แล้วเดินตรงมาที่ผม แต่ก็ไม่ได้เดินเข้ามาใกล้อะไรมาก มีกองผ้าน่วมกั้นกลางระหว่างเราสองคนอยู่


“ รีบจัดการให้เสร็จ อย่ามัวแต่คุยเพลิน นี่มันเวลางาน” ไม่ถึงกับด่า แต่ก็เหมือนกำลังเตือนกลายๆ ว่าที่ผมทำอยู่นั้นมันไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบ ผมเลยดึงโทรศัพท์กลับมาที่เดิม


“เอิร์ท เดี๋ยวตอนเย็นเราโทรหานะ”


[โดนไอ้พระเอกด่าอีกแล้วดิ] เอิร์ทสื่อถึงวิคเตอร์ ตอนแรกเขาไม่รู้จักวิคเตอร์เลย เพราะเขาเป็นคนไม่ดูละคร ไม่ดูซีรีส์ ชอบดูแต่หนัง แต่เขามารู้จักเพราะเอาชื่อวิคเตอร์ไปเสิร์จในกูเกิ้ล แต่ก็รู้จักแค่ผิวเผิน เอิร์ทบอกไม่ได้อยากรู้จัก ไม่ได้รักไม่ได้บ้าดารา และยิ่งเป็นวิคเตอร์เขายิ่งไม่ชอบ ไม่บ้าเลยแหละ


“ตอนนี้ยัง แต่ถ้ายังไม่วาง โดนแน่ แค่นี้ก่อนนะ” เอิร์ทรับคำสั้นๆ ผมกดวางสายแล้วยัดมือถือลงในกระเป๋ากางเกงยีนส์เอวสูงที่ใส่อยู่ ก่อนจะหันไปมองวิคเตอร์พร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ


“ขอโทษครับ” ผมเอ่ยเสียงอ่อยแล้วหันไปยกตะกร้าผ้าสีเทลงไปในถังซักผ้าอีกถังที่อยู่ข้างๆ ถังซักผ้าขาวที่กำลังปั่นอยู่ตอนนี้ จัดการเทผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม เปิดน้ำใส่ถัง แล้วก็ปิดฝา พอหันกลับไปจะเอากองผ้าน่วมไปซักเครื่องใหญ่ ก็ยังคงเห็นว่าเขายืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน


“คุณไปรอข้างนอกก่อนมั้ย เดี๋ยวผมเสร็จตรงนี้แล้วจะตามไป”

“ทำไม? นี่บ้านฉัน ฉันจะยืน จะอยู่ตรงไหน ต้องให้นายสั่งด้วยเหรอ” อ้าว?! ผมทำหน้าเอ๋อแดก เมื่อได้ยินเขาพูดเสียงขุ่น หน้าตาเคืองๆ


นี่มันอะไรวะเนี่ย พูดอะไรผิดอีกล่ะ เมื่อกี้ยังอารมณ์ดีๆ กับเมียรักอยู่เลยปะวะ ไปโดนอไรทุบหัวมาเนี่ยถึงได้หน้าบูดแบบนั้น เริ่มรู้สึกอยากให้นาตาชากลับมาร่วมแบ่งเบาภาวะอารมณ์ของสามีเธอเหลือเกิน


“ปะ… เปล่าครับ ผมแค่ไม่อยากให้คุณมายืนอึดอัดอยู่ในห้องนี้” ผมบอกเสียงอ่อยแล้วก้มหน้าหลบตาเขา ก้มตัวลงไปหยิบผ้านวมผืนแรกออกมาจากกอง


“นายมากกว่ามั้งที่อึดอัด ท่าทางไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวเลยนี่เวลาฉันอยู่ใกล้ๆ ทำไม? คิดว่าฉันจะทำอะไรนายอีกงั้นเหรอ” ผม
ย่นคิ้วมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่พูดอะไร ได้แต่หอบผ้าน่วมผืนแรกไปที่ถังซัก


“หรือว่าอยากให้ฉันทำอะไร ที่พูดๆ ไปตอนนั้นก็แค่เล่นตัวให้ดูยากไปงั้น” ผมหน้าตึงทันที ก่อนจะกระแทกผ้าน่วมลงไปในถังซักแล้วหันกลับไปเผชิญหน้าเขาด้วยหน้าตาที่ไม่สบอารมณ์


“ไม่ทราบว่าผมไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจอีกล่ะครับถึงได้มายืนพูดจากระแนะกระแหนอยู่เนี่ย” ผมตวัดสายตามองค้อนเขา แล้วเดินกลับไปอุ้มผ้านวมอีกสองผืนด้วยความโมโห พยายามจะเอามาทั้งหมดที่เหลืออยู่อีกสองผืน แต่คิดว่าถ้าไม่อยากให้ถังพังก็ไม่ควรซักทีเดียวพร้อมๆ กัน 


วิคเตอร์เงียบไป ผมก็ไม่ได้หันไปสนใจ แต่รีบจัดการผ้าน่วมที่เพิ่งยกไปให้เรียบร้อย พอจัดการเสร็จผมก็หันไปหาเขาที่ยืนทำคิ้วย่นเหมือนคนกำลังสับสนอับจนหนทางไป


“อ้อ ถ้าหลังจากที่คุณไปรับคุณนาตาชาแล้ว ผมขออนุญาตกลับเลยได้มั้ย” ผมเอ่ยขอเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบและยืนรอคำตอบอย่างสงบ วิคเตอร์คลายอาการย่นคิ้วออกแล้วมองผมเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ


“ฉันยังตอบตอนนี้ไม่ได้” เลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วยักไหล่ทั้งสองข้างน้อยๆ แล้วพยักหน้ารับคำเขา ก่อนจะหันสายตาไปมองทางอื่นเพื่อหลบสายตาของเขาที่มองมา แต่ผมก็หันหนีได้แปบเดียวก็ต้องหันกลับไปมองเขาใหม่เพราะเขาเล่นมองผมตาแทบไม่กระพริบ
ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วเอียงคอมองเขาด้วยความข้องใจว่าเขามองอะไร กระพริบตาปริบๆ มองกลับไปอย่างฉงนว่าจ้องอะไรขนาดนั้น แววตาวิคเตอร์เปลี่ยนจากเฉยเมยเป็นวาววับเหมือนเสือที่เจอเหยื่อแล้วพร้อมพุ่งตะครุบเข้าใส่


“ทำไม…” เสียงแหบพร่าของเขาดังขึ้น เขาทำท่าเหมือนอยากจะพูด อยากจะถามอะไรสักอย่าง ซึ่งผมก็รอฟังด้วยความอยากรู้ แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นในกระเป๋ากางเกงนอน เขายืนมองผมด้วยแววตาดิบเถื่อนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยอมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงนอนของเขาแล้วยกขึ้นมาดู เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือถือมาให้ผมที่ทำหน้าเหวอ


“เบอร์แปลก ใครก็ไม่รู้ รับให้หน่อยซิ” เขาดูไม่พอใจที่เห็นว่าเป็นเบอร์ใครก็ไม่รู้โทรเข้ามา ซึ่งผมก็พอเข้าใจกับนิสัยชอบความเป็นส่วนตัวของเขานะ ผมยื่นมือออกไปรับมือถือเขามาแล้วกดรับให้เขา


“Hello? (สวัสดีครับ)” ผมกรอกเสียงใสลงไป เสียงจากปลายสายซึ่งเป็นผู้หญิงตอบกลับมา


“Is that Victor Raymond? (นั่นคุณวิคเตอร์ เรย์มอนด์รึเปล่าคะ)” ผมสบตากับเจ้าของโทรศัพท์ที่ผมกำลังถืออยู่ เขาเลิกคิ้วมองกลับมาราวกับจะบอกให้ผมพูดต่อไป


“He’s not available, now. Could you leave a message to me? I am his artist moderator. (ตอนนี้เขาไม่สะดวกรับสายครับ แต่ผมเป็นผู้ดูแลเขา ฝากข้อความไว้กับผมก็ได้นะครับ)”


“Oh? You are? That’s okay. So, could you tell him that…? (โอ้ งั้นเหรอคะ งั้นก็ได้ค่ะ ช่วยบอกเขาทีค่ะว่า…)” สิ้นเสียงของผู้หญิงปลายสาย ผมก็ตาโต อ้าปากหวอ จนวิคเตอร์ที่ยืนมองอยู่มองกลับมาด้วยความตกใจ ผมรู้สึกว่าเหมือนลมหายใจจะขาดห้วงหายไป ให้ตายสิ!


“Really??!! Oh!! Fuck Yeahhh!!! (จริงหรอครับ??!! โหย!! แม่งเจ๋งสัส!!!)” วิคเตอร์ถึงกับสะดุ้งตาโตด้วยความตกใจเมื่อเห็นผมแหกปากอย่างดัง ก่อนจะหัวเราะอ้าปากกว้างด้วยความสุขใจ แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามตั้งสติคุยกับคนในสายต่อ ผมรู้สึกว่าขอบตาตัวเองฉ่ำไปด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ


“Yes! Yes! I will tell him. Thank you! Thank you so much! See you soon! (ครับ! ได้ครับ! ผมจะบอกเขาให้ ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณจริงๆ แล้วเจอกันเร็วๆ นี้ครับ!)” ผมวางสาย แล้วเงยหน้ามองวิคเตอร์ที่ทำหน้าตางุนงงอยู่ ผมฉีกยิ้มกว้างแล้วพุ่งตัวเข้าไปกอดเขาไว้แน่นอย่างเร็วจนอีกฝ่ายผงะถอยหลังไปเบาๆ แต่เขาก็โอบอ้อมแขนกอดตอบโดยสัญชาตญาณของร่างกาย


“Victor!!! Congratulations! (วิคเตอออร์!!! ยินดีด้วยนะ!)” ผมดันตัวเองออกจากแผ่นอกของเขาที่ผมซบอยู่ เงยหน้ามองหน้าเขาที่ยังคงมีสีหน้าไม่เข้าใจเรื่องราวอยู่ ผมหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นสีหน้านั้น ในอกตื่นเต้นอยากจะพูดในสิ่งที่ตัวเองได้ยินมาจนรู้สึกลนลานไปหมด ผมฉีกยิ้มด้วยความตื่นเต้นและความดีใจ แทบจะเห็นความเป็นประกายในดวงตาตัวเองจากเงาสะท้อนในดวงตาเขา ยิ่งมองหน้าเขาก็ยิ่งรู้สึกดี วิคเตอร์ย่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ผมยิ้มแล้วก็กระชับอ้อมแขนตัวเองที่กอดเขาไว้อยู่ ซบหน้าลงไปกับอกเขาอีกรอบ วิคเตอร์เองก็กระชับอ้อมแขนเขาที่โอบรอบตัวผมอยู่


“นี่ ช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้มั้ยว่ามากอดฉันทำไม หรือนายแค่อยากกอดเฉยๆ” เขาว่าเสียงทุ้มน่าฟังที่ข้างหูซ้าย อ้อมแขนเขากระชับแนบแน่นขึ้น ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วตัวผมจนผมยิ้มแก้มแทบปริ ทั้งดีใจกับเรื่องที่รู้มา ทั้งรู้สึกดีกับอ้อมกอดนี้ โอยยย มันปนกันไปหมด ผมรีบดันหัวตัวเองออกเพื่อจะบอกข่าวดีกับเขา แต่ด้วยความรีบและความอเลิร์ทของผมที่มีมากเกินไปในเวลานี้ ทำให้ผมเสียการทรงตัวตอนดีดหัวออกจากอกเขา รู้สึกว่าจะหงายหลัง วิคเตอร์ที่ใช้อ้อมแขนประครองร่างผมอยู่ถึงกับหน้าเหวอไปด้วยเมื่อเกิดแรงโน้มถ่วงพาร่างเราสองคนล้มลงไปที่พื้น


“เฮ้ย!!” เสียงวิคเตอร์ตะโกนลั่นเมื่อร่างผมโน้มตัวไปด้านหลังแล้วเขาก็โน้มตัวมาด้านหน้าตามมาติดๆ ผมก็หน้าเหวอไปนิด ยกมือคว้าที่ไหล่กว้างของเขา ก่อนที่จะรู้สึกถึงความนุ่มนิ่มที่หลัง


“เพี้ยนอะไรอีกเนี่ย ดีนะมีผ้านวมวางอยู่ ไม่งั้นนายหลังหักแน่!” เขาว่าเสียงดุ หน้าตาก็ดุตามไปด้วย แต่ผมอารมณ์ดีเกินกว่าที่จะมาหวาดกลัวหรือคอหดใส่เขา


“ฮ่าๆๆๆ เย้! วู้ววว!” ผมอ้าปากกว้างส่งเสียงหัวเราะเสียงดัง จนวิคเตอร์ที่คร่อมร่างผมอยู่ด้านบนถึงกับขมวดคิ้วมอง


“บอกได้รึยังว่านายดีใจเรื่องอะไร แล้วฉันมีเรื่องอะไรให้น่ายินดี” เขาถามเสียงทุ้ม ค่อยๆ ดึงลำแขนออกจากหลังผมช้าๆ ก่อนจะใช้ข้อศอกกับช่วงแขนทั้งสองข้างยันตัวเขาไว้เหนือร่างผม โดยที่ผมนอนทับผ้าน่วมอยู่ด้านล่างเขา และใช้ขาเกี่ยวรอบเอวคอดสุดเซ็กซี่ของเขาไว้แน่น ราวกับจะจับเขาล็อคไว้ในท่านี้เพื่อที่จะได้บอกข่าวดีเขาได้ถนัดๆ ผมเลื่อนมือไปจับที่ช่วงต้นลำคอของเขาไว้ ใบหน้าเราสองคนชิดใกล้กันในรอบหนึ่งเดือน


วิคเตอร์กระตุกยิ้มที่มุมปาก ผมก็ยกยิ้มมุมปากทั้งสองข้างตาม ก่อนจะบอกข่าวดีเขาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น


“เมื่อกี้ค่ายหนังโทรมา เขาบอกว่าคุณได้เล่นหนังชุดเรื่อง The Learner! (เดอะ เลินเนอร์) แล้วนะ!” ผมบอกพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง วิคเตอร์หน้านิ่งไป แต่แววตาเขากำลังงุนงง กระพริบตาปริบๆ จ้องมองผมกลับมาราวกับเด็กน้อยที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด จนผมอดยิ้มกว้างไม่ได้กับความน่าเอ็นดูของเขา ผมเลื่อนมือขึ้นไปจับที่กรอบหน้าของเขาทั้งสองข้าง รับรู้ถึงความสากและความหยาบของเคราเขาที่ได้โกนอีกครั้งเดียวหลังจากที่ผมโกนให้รอบนั้น ผมจับกรอบหน้าเขาไว้เบาๆ เราสองคนสบตากัน ปลายจมูกเกลี่ยไล้กันไปมา


“เซ็ทหนังสือที่ผมบอกว่าผมชอบอ่านไง ที่คุณไปแคสติ้งเดือนที่แล้วไงครับ ตอนที่ผมมาถึงนี่ใหม่ๆ ไง! บทพระเอกเลยนะที่คุณได้เล่น บทพระเอก!” ผมบอกจนลิ้นแทบพันกัน เพราะกลัวว่าจะบอกเขาขาดตกบกพร่อง ผมจับใบหน้าเขาโยกซ้ายขวาไปมาเบาๆ วิคเตอร์อ้าปากหวอ ก่อนที่ความดีใจของเขาจะเริ่มแผ่ไปรอบใบหน้าและดวงตา


“จริงเหรอ?!” เขาถามด้วยความตื่นเต้น แววตามีทั้งแววความดีใจและความอึ้ง ผมยิ้มกว้างอีกที แล้วจับหน้าเขาไว้ให้มั่น มองตาเขาอย่างตั้งใจแล้วบอกเสียงดังฟังชัด


“จริงครับ! คุณผ่านการแคสติ้งแล้ว คุณกำลังจะได้เล่นเป็นพระเอกหนังใหญ่แล้วนะวิคเตอร์!” ตอนนี้ผมลืมไปแล้วว่าเรียกเขาว่าวิคเตอร์แทนว่าเรย์มอนด์ ตอนนี้อารมณ์ดีใจพาไปหมดจนลืมเรื่องชื่อเรียกเขาไปละ


วิคเตอร์ค่อยๆ ฉีกยิ้มเป็นรอยยิ้มกว้างเมื่อเขาตั้งสติรับรู้จากการยืนยันของผมอีกรอบ รอยยิ้มที่นานๆ ที่ผมจะเห็น รอยยิ้มที่เห็นฟันเรียงตัวสวยของเขา เวลายิ้มทีก็จะมีร่องแก้มเหมือนลักยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้หน้าเขาดูอ่อนโยน มีเสน่ห์ ทั้งหล่อและน่ารักในเวลาเดียวกัน แถมยังเป็นรอยยิ้มที่เซ็กซี่ขยี้ใจเอามากๆ ด้วย ดวงตาเขาทอเป็นประกายด้วยความดีใจแสนเจิดจ้า ผมยิ้มกว้างตามเมื่อเห็นรอยยิ้มและแววตาเขา รู้สึกอบอุ่นและสุขใจอยู่ในอก



“ไม่อยากจะเชื่อ…” เขายังมีแววอึ้งอยู่เล็กน้อย น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูเลื่อนลอย ผมลูบโครงหน้าเขาเบาๆ ความสากของหนวดเคราถูไถไปตามฝ่ามือ


“เชื่อเถอะครับ! นี่เรื่องจริง อาทิตย์หน้าเขาจะให้คุณไปคุยเรื่องสัญญา” วิคเตอร์กระพริบตามองหน้าผม พร้อมส่งรอยยิ้มอ่อนๆ มาให้ ผมว่าเขาดีใจนะ แต่เขาแค่ไม่ใช่คนที่แสดงออกมากมายอย่างผม ผมเลิกคิ้วขึ้นเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้


“เห็นมั้ย? ผมบอกแล้วไงว่าคุณต้องได้เล่นบทนี้ เชื่อรึยังล่ะว่าพระเจ้าส่งผมมาพร้อมพรวิเศษ!” วิคเตอร์นิ่งไป เหมือนกำลังนึกถึงโมเม้นต์นั้นอยู่ ผมเองก็กำลังนึกๆ ถึงตอนนั้นอยู่เหมือนกัน





“ฉันจะได้บทนี้รึเปล่าก็ยังไม่รู้”

“ผมว่าได้อยู่แล้ว!”

“ผมเป็นของขวัญจากพระเจ้านะ ฉะนั้นพระเจ้าก็ต้องมีพรวิเศษให้ผมติดตัวด้วย อย่างน้อยๆ ก็สามข้อแหละ” เขายิ้มมุมปากแล้วมองผมด้วยความเวทนา หน็อย!

“เพ้อเจ้อ!” ผมเชิดหน้าขึ้น แล้วมองค้อนเขา

“งั้นเดี๋ยวคอยดู คุณเอาไปเลยพรข้อแรก ผมขอให้คุณได้งานนี้ และคุณจะต้องได้ตามที่ผมให้พรไป!”วิคเตอร์ส่ายหัว สีหน้าเบื่อหน่าย เอ๊ะ!






แล้วเราสองคนก็กลับมาสบตากันอีกรอบ ก่อนที่จะหัวเราะพร้อมกัน เป็นเสียงหัวเราะแห่งความดีใจ ผมดีใจกับเขาจริงๆ นะ ดีใจมากด้วย นี่มันหมายถึงว่าเขากำลังจะมีก้าวที่ยิ่งใหญ่ในสายอาชีพของเขา


“ผมดีใจกับคุณด้วยนะครับ ดีใจจากใจจริงๆ ผมชอบหนังสือเซ็ทนี้มาก รักพระเอกเรื่องนี้มากๆ ด้วย” ผมพูดเจื้อยแจ้วพร้อมยิ้มอิ่มเอิบ วิคเตอร์มองผมด้วยสายตาอ่อนโยน ดวงตาเขามองไปทั่วใบหน้าผมอย่างละเมียดละไม รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าเขา


“And—can I make a second wish from the gift of God, now? (งั้นตอนนี้ฉันขอพรข้อที่สองจากของขวัญของพระเจ้าเลยได้มั้ย)” ผมทำสีหน้าประหลาดใจ กระพริบตาปริบๆ มองเขาด้วยความงง วิคเตอร์ส่งรอยยิ้มชวนฝันมาให้ เขาไม่ได้ตอบผมเป็นคำพูด แต่เขาตอบผมด้วยการแนบเป้ากลางลำตัวที่โป่งพองของเขามาที่เป้ากางเกงของผมจนรับรู้ได้ถึงการแข็งตัวของอีกฝ่าย ลมหายใจผมสะดุดทันที และสติผมก็เริ่มตื่นตัวมากขึ้นเมื่อระลึกได้ว่าผมกับเขาเรากำลังนอนทับกันอยู่บนกองผ้านวม ไอ้ที่ว่าทับ คือเขาทับผมนะ


ฝ่ามือผมที่กอบกุมกรอบหน้าเขาอยู่ ค่อยๆ ขยับเลื่อนลงไปที่บริเวณไหล่ ส่วนวิคเตอร์ก็ขยับเหมือนกัน แต่ขยับความเป็นชายของเขาที่แข็งตัวไปมาที่เป้าผมอย่างช้าๆ จนผมเริ่มรู้สึกร้อนๆ ตามไปด้วย ผมรีบบีบไหล่เขาไว้แน่นเพื่อเป็นการเตือน พร้อมส่งสายตาปรามๆ ไปให้ ได้ข่าวว่าเพิ่งส่งเมียแกออกไปทำงานนะไอ้ยักษ์!


“ไม่! พระเจ้าไม่อนุญาตสำหรับพรนี้ พรข้อที่สองไม่สำเร็จนะครับ เสียใจด้วย ฉะนั้นลุกออกไปได้แล้ว” ผมบอกเสียงเข้ม พยายามคุมโทนเสียงให้หนักแน่นเข้าไว้ ผมปล่อยขาที่เกี่ยวรอบเอวเขาไว้ และผมก็รู้สึกร้อนที่หน้าเมื่อไอ้ท่าอ้าขากว้างๆ แล้วมีเขานอนแทรกตัวอยู่แบบนี้มันช่างชวนสยิวกิ้วที่ใจเหลือเกิน


“คุณเรย์มอนด์! เราคุยกันแล้วนะ!” ผมบอกเสียงดุที่เพิ่มเลเวลขึ้น แล้วออกแรงดันที่ไหล่เขาไว้ เมื่อเขาเริ่มสีเป้าเขาที่แข็งจนแน่นไปมาที่เป้าผม เล่นเอาผมจะแข็งตามไปด้วยแล้วเนี่ย !


“ฉันไม่เห็นว่าพระเจ้าจะมาบอกอะไรนายตอนไหน” เขายังคงตีหน้ามึนเนียนๆ พร้อมยิ้มกริ่ม ผมเริ่มรู้สึกว่าประเด็นตอนนี้มันเพี้ยนไปละ นี่มันเป็นการคุยกันเรื่องข่าวดีที่เขาได้เล่นหนังอยู่หรือเปล่าวะ?


“ท่านกระซิบบอกผมเมื่อกี้นี้ ลุกออกไปได้แล้ววว!” ผมออกแรงดันที่ไหล่เขา ตัวเขากระตุกเล็กน้อย แต่ก็ช่างเล็กน้อยจริงๆ


“งั้นฝากบอกท่านด้วยสิ ว่าฉันขอพรพิเศษเพิ่มข้อนึง ว่าขอให้ได้กินนาย” โอ้ยยย! กูพลาดเองสินะ!!


“ท่านไม่ให้ ท่านบอกว่าถ้าหิวก็ไปกินเนื้อหมู เนื้อวัว หรือเนื้อหมาก็ได้ แต่ไม่ใช่ผม!” ผมโวยวาย เริ่มใช้มือผลักหน้าเขาออกห่างจากหน้าตัวเอง วิคเตอร์ขืนหน้าตัวเองไว้ แล้วอ้าปากงับนิ้วโป้งผมไว้เบาๆ ก่อนจะใช้ลิ้นเลียที่ปลายนิ้วจนผมขนลุกวาบ ต้องรีบชักมือหนี ไอ้อาการขนลุกขนพองแบบนี้สงบไปเป็นเดือนๆ บัดนี้มันกลับมาลุกใหม่เพราะคนทำคนเดิม!


“พอแล้ว! คุณได้บทหนังเรื่องนี้เพราะตัวคุณเอง เพราะความสามารถของคุณเอง ไม่ใช่พรจากผมหรือใครทั้งนั้นแหละ!” ผมบอกเสียงเร็วปรื๋อ และทำตาดุใส่เขา อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปากขวาแล้วส่งเสียงหัวเราะต่ำๆ ในลำคอ เสียงหัวเราะชวนหวั่นใจมาพร้อมกับรอยยิ้มและแววตาชวนเสียตัวเหลือเกิน


“ลุกออกไปสิครับ ผมว่าผมคุยเรื่องนี้ชัดเจนแล้วนะ” ผมบอกเสียงจริงจังแบบวันนั้นอีกครั้ง วิคเตอร์มองหน้าผมนิ่งๆ พักหนึ่งก่อนจะหลับตาลง ถอนหายใจเบาๆ แล้วค่อยๆ ดันตัวเองออกจากร่างผม ผมถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วค่อยๆ ดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งตาม วิคเตอร์นั่งคุกเข่ากับพื้น ส่วนผมนี่ยังนั่งอยู่ในสภาพอ้าขา เอามือยันพื้นไว้ อยากจะหุบก็ติดที่วิคเตอร์นั่งขวางอยู่ ผมเลยค่อยๆ ขยับถอยหลังจนสามารถค่อยๆ หุบขาที่อ้าอยู่ได้




[มีต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 10.1-15:: 21.06.58
«ตอบ #67 เมื่อ21-06-2015 14:07:37 »


“ฉันว่าจะจัดปาร์ตี้ฉลอง” อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาหลังจากนิ่งไปสักพัก ผมเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองเขาด้วยความประหลาดใจ


“จัดปาร์ตี้เหรอ?”


“ฉลองไง ไหนๆ ก็ได้บทนี้มาแล้ว ก็ดีใจกับมันให้เต็มที่หน่อย” เขาบอกยิ้มๆ แววตาดูสนุกสนานกับสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ ผมพยักหน้าหงึกหงักกับความคิดเขา


“จัดที่สวนหลังบ้านก็แล้วกัน คืนนี้ฉันจะชวนเพื่อนมาที่บ้าน” เขาบอกอย่างกระตือรือร้น ผมไม่เคยเห็นท่าทีนี้ของเขาเลยนะ เห็นแบบนี้ก็ต้องรีบเก็บไว้ในความทรงจำ ผู้ชายคนนี้น่าจะยังมีอีกหลายมุมที่ผมไม่เคยเห็น วันนี้เห็นสองมุมละ ตอนยิ้มกว้างสุดๆ ที่ได้ยินว่าเขาได้เล่นหนังบทนี้ และกับมุมกระตือรือร้นของเขาตอนนี้นี่แหละ


ว่าแต่จะชวนเพื่อนมางั้นหรอ จะว่าไปผมยังไม่เคยเจอเพื่อนเขาเลยนะ นอกจากคุณเอมิลี่


“นายทำอาหารสำหรับปาร์ตี้คืนนี้ได้รึเปล่า” ผมตาโตขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น


“ให้ผมทำเนี่ยนะ? เดี๋ยวเพื่อนคุณก็อ้วกแตกกันหรอก”


“ทุกวันนี้ฉันยังไม่ตาย ฉะนั้นคนอื่นก็ต้องกินได้เหมือนกัน เอาล่ะ ไปเตรียมเมนูอาหารเร็ว ทำไว้เยอะๆ นะ” เขาบอกด้วยรอยยิ้มเหมือนเด็กๆ ที่กำลังตื่นเต้นกับปาร์ตี้ในสวนหลังบ้าน ก่อนจะเอื้อมไปหยิบมือถือที่ตกอยู่บนพื้น แล้วลุกขึ้นยืนหมุนตัวเดินออกไปพร้อมกับโทรศัพท์ไปด้วย


“เฮ้ย! ชาร์ลี วันนี้มาปาร์ตี้ที่บ้านฉันด้วยนะ ชวนไอ้พวกนั้นมาด้วย… เออน่ะ มาเหอะ จัดเพราะอะไรเดี๋ยวจะบอก…” แล้วเสียงเขาก็ค่อยๆ ไกลออกไป ทิ้งให้ผมนั่งเอ๋ออยู่บนพื้นพร้อมกับความคิดที่ว่า


มันหาเรื่องให้ผมเหนื่อยอีกแล้ววว!


ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืนด้วยอาการมึนๆ เล็กน้อย ความรู้สึกแข็งตัวของเขายังติดค้างอยู่ที่เป้าผมอยู่เลย ไอ้ฝรั่งยักษ์นี่ก็มีอารมณ์ง่ายเหลือเกิน แม้แต่กับผู้ชายด้วยกันยังขึ้นขึงขัง แล้วผมว่าผมก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่มันเป็นการไปปลุกเร้าอารมณ์เขาเลยนะ ก็เอ่อ… อาจจะแนบชิดกันไปบ้าง แต่แค่เอาขาเกี่ยวเอวไว้แค่นี้ถึงกับมีอารมณ์ปึ๋งปั๋งเลยรึ ฮึ! ไม่อยากจะนึกว่าเวลาอยู่กับยัยนาตาชาหน้าเหลี่ยมแล้วเขาจะตั้งบ่อยขนาดไหน นี่คงจัดกันบ่อยยิ่งกว่าอาหารมื้อหลักของแต่ล่ะวันอีกมั้ง


ผมปัดไล่ความคิดที่เวลาสองคนนั้นอยู่บนเตียงด้วยกันออกไปจากหัว ไม่อยากคิดให้เสียอารมณ์ อยากจะจัดอยากจะทำอะไรท่าไหนก็เรื่องของเขา ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับผมนี่เนอะ เฮ้อ! ผมถอนหายใจ พยายามไล่อาการจิตตกเล็กๆ นี่ออกไปแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเอิร์ท


“คงไปไม่ได้แล้วล่ะเอิร์ท…งานด่วนน่ะ…จะมารับหรอ อาจจะดึกหน่อยนะ…ได้ๆ เสร็จแล้วเดี๋ยวโทรหา” ผมวางสายจากเอิร์ทหลังจากโทรบอกเขาว่านัดที่เขาชวนเย็นนี้คงไปไม่ได้แล้วซึ่งพอเอิร์ทเห็นว่าผมน่าจะเลิกดึกเขาก็เลยจะมารับกลับบ้านแทน และท่าทางอาจจะดึกมากด้วย เพราะดูแล้วคงปาร์ตี้กันยาวแน่ๆ


ผมกวาดสายตามองของสดที่ถูกนำเอาออกมาวางไว้บนโต๊ะอีกครั้ง เริ่มคิดคำนวณว่าผมควรทำอะไรเป็นอาหารสำหรับปาร์ตี้เย็นนี้ดี ช่วงนี้ผมไม่ต้องโทรรบกวนแม่บ่อยๆ แล้ว เพราะหลังจากต้องคอยทำอาหารให้วิคเตอร์ทานมาเป็นเดือนๆ ผมก็เริ่มทำคล่องมากขึ้น แต่ถ้าอาหารชนิดไหนที่มันเกินความสามารถผมจริงๆ ก็ต้องโทรหาแม่อยู่ดี


ผมถอนหายใจแล้วยกมือถือขึ้นมาดูเวลา เหลือเวลาอีกไม่มากไม่น้อยในการเตรียมอาหารสำหรับปาร์ตี้เย็นนี้ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว แต่พอนึกถึงความดีใจของวิคเตอร์ก็ทำให้ผมอยากทำอะไรให้เขาบ้างเพื่อเป็นการแสดงความยินดี และนี่คงเป็นสิ่งที่ผมทำได้ ผมยิ้มแล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมากับการที่จะต้องทำอาหารอันมากมายมหาศาลที่เขาสั่ง แต่จะว่าไปเขาต้องการเยอะแค่ไหน แล้วเพื่อนเขามาเท่าไหร่กันนะ


“คุณเรย์มอนด์!!” ผมตะโกนเรียกเขาเพื่อที่จะถามที่กำลังคิดเมื่อครู่นี้ ผ่านไปสักพักผมก็เห็นผู้ชายเรือนผมสีดำยุ่งๆ หน้าตามึนๆ เหมือนคนเพิ่งตื่น ทั้งๆ ที่ตื่นนานแล้วเดินเข้ามาในครัวพร้อมกับอุ้มเจ้าแมวตัวอ้วนสีเทาตาฟ้าเข้ามาด้วย


“มีอะไรรึเปล่า” เขาถามพลางลูบหัวเจ้าฟอกซ์ที่กำลังขดตัวอยู่ในอ้อมแขนเขา ผมแอบยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยกับภาพที่เห็น ผู้ชายหน้าตาเข้มเพราะมีหนวดเครา ตัวใหญ่ ไหล่กว้าง หุ่นแน่น กำลังอุ้มแมวแล้วลูบหัวมันเพลินๆ ดูไม่เข้ากันแต่มันก็ดูน่ารักดี


“ผมจะถามว่าเพื่อนคุณมากี่คน แล้วคุณต้องการให้ผมทำอาหารเยอะขนาดไหน” เขาขยุ้มหัวเจ้าฟอกซ์เบาๆ แล้วเลิกคิ้วขึ้นเหมือนกำลังใช้ความคิด


“มากันห้าคน รวมเอมิลี่ด้วยก็หก นาตาชาก็เป็นเจ็ด ฉันไม่แน่ใจว่าไอ้พวกนั้นจะเอาแฟนมันมากันมั้ย แต่จะว่าไปมันก็ไม่ได้มีแฟนทุกคนหรอกนะ อืม… แต่ฉันคิดว่าไอ้ชาร์ลีน่าจะเอาแฟนมันมานะ เพราะฉันก็รู้จัก ทั้งหมดก็น่าจะแปดคนเนี่ยแหละที่มาชัวร์ๆ” เขาพยักหน้าหงึกหงักเบาๆ กับตัวเอง ราวกับเคลียร์กับตัวเองรู้เรื่องแล้วว่าจำนวนคนที่จะมาวันนี้มีเท่าไหร่และมีกี่คน ผมทำตาโตแว้บหนึ่ง แปดคนก็ไม่ใช่น้อยๆ นะ


“แล้วคุณจะให้ผมทำอะไรบ้าง” เขาเลิกคิ้วอีกทีแล้วส่ายหัวไปมาเบาๆ


“ไม่รู้สิ นายช่วยคิดหน่อยก็แล้วกัน ก็ลองทำอาหารไทยที่นายทำให้ฉันกินก็ได้ ทำๆ มาเถอะ”


“ทำไปแล้วเพื่อนคุณไม่กินขึ้นมาก็เสียดายของน่ะสิ”


“พวกนั้นกินอยู่แล้วน่า” เขาบอกอย่างคนเอาแต่ใจ ผมยกมือสองข้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ว่าไม่เถียงแล้ว ดูท่าว่าเถียงไปยังไงก็ลงเอยด้วยการที่เขาจะออกคำสั่งกับผมตามที่เขาต้องการทุกครั้ง ดีไม่ดีจะกลายเป็นว่าผมกับเขาเราจะทะเลาะกันอีก


“แต่ผมไม่แน่ใจว่าของที่มีอยู่จะพอทำรึเปล่านะครับ” ผมบอกพลางโบกมือเบาๆ ให้เขาดูของบนโต๊ะ เขาทำหน้าตาสบายๆ ก่อนจะตอบ


“ทำเท่าที่มีก็แล้วกัน ยังไงพวกนั้นมันก็ต้องมีอะไรติดไม้ติดมือมาบ้างแหละ” ผมพยักหน้าด้วยความเข้าใจธรรมเนียมปาร์ตี้ของคนอเมริกัน คนที่นี่เวลาจัดปาร์ตี้เจ้าภาพก็จะมีอาหาร เครื่องดื่มรอไว้อยู่แล้ว แต่คนที่มาร่วมปาร์ตี้ส่วนใหญ่ก็มักจะมีอะไรติดไม้ติดมือมาด้วยเสมอ มันเหมือนเป็นมารยาทด้วยกลายๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นกฎเกณฑ์บังคับตายตัว แต่ก็เป็นอารมณ์ว่าเป็นธรรมเนียมที่ทำๆ กันมานานแล้ว และก็เหมือนว่าส่งผลมายังปัจจุบันด้วย


“แล้วเครื่องดื่ม คุณแน่ใจนะว่าจะไม่ซื้ออะไรเพิ่ม”


“เดี๋ยวฉันค่อยออกไปซื้อมาเพิ่มตอนไปรับนาตาชา” ผมยิ้มฝืดๆ ให้เขา แล้วเริ่มจัดการทำอาหาร ในหัวก็ผุดเมนูอาหารขึ้นมาเพียบ แต่ก็คงไม่เลือกทำอะไรยากนักหรอก เดี๋ยวจะวุ่นวายเสียเวลา


“ฉันต้องช่วยมั้ย” เขาถามเมื่อเห็นว่าผมวุ่นวายกับการเลือกผักไปล้างในซิงค์อ่างล้างจาน ผมหันกลับไปมองเขาที่ยืนมองตาใสอยู่


“ก็ถ้าคุณเกิดมาจากครอบครัวที่สอนเรื่องมารยาทที่ดีมาบ้าง คุณก็ไม่ควรปล่อยให้ผมทำคนเดียวนะ” ผมยิ้มใสซื่อให้เขา แล้วดึงพลาสติกที่ห่อเนื้อหมูไว้ออก ผมเหลือบตาขึ้นมองเขา วิคเตอร์เลิกคิ้วแล้วแบะปากเล็กน้อยก่อนจะว่า


“เขาก็สอนฉันนะ แต่ฉันก็ดันเลือกใช้กับแค่บางคนด้วยสิ…” เขาเบ้ปากเล็กน้อย ทำหน้าตาเหมือนเสียดายมาก ผมแอบเบะปากนิดๆ


“…งั้นฉันนั่งดูนายทำก็แล้วกัน” เขาบอกก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ทรงสูงสีขาวมีพนักเล็กๆ ไปตรงที่เขายืนอยู่แล้วเขยิบขึ้นไปนั่งโดยที่ยังกอดเจ้าฟอกซ์ไว้ ผมแอบส่งสายตาอาฆาตไปให้ซึ่งเขาก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใดๆ ใส่ เห็นแล้วอยากจะขว้างมีดไปปักกลางหน้าผากจริงๆ


“ที่บ้านคุณสอนหรือคุณสอนตัวคุณเองกันแน่” ผมอดจะแขวะเขาไม่ได้เมื่อเห็นเขานั่งอมยิ้มดูผมสาละวนกับกองอาหารสดตรงหน้า เขาไม่ตอบแต่กลับยักไหล่สองข้างเบาๆ แล้วยื่นมือขวามาเป็นเชิงบอกว่าให้ผมดำเนินการทำอาหารต่อไป


ผมจัดการเตรียมของทุกอย่างเสร็จก็เริ่มลงมือทำอาหารตามที่นึกไว้ในหัว ทำให้ฝรั่งกินก็คงต้องไม่เผ็ดมาก ไม่งั้นเดี๋ยวกินยากอีก แต่ผมก็ทำต้มยำกุ้งเผื่อไว้ด้วย กินอาหารไทยทั้งทีก็คงต้องกินอาหารที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศเนี่ยแหละ ตอนแรกกะจะทำแกงเขียวหวานด้วย แต่พอนึกถึงขั้นตอนที่ต้องทำก็รู้สึกว่าแค่ต้มยำกุ้งก็วุ่นวายพอแล้ว งั้นขอวุ่นวายแค่อย่างเดียวก็แล้วกัน นอกนั้นก็ทำที่มันง่ายๆ


“ทำไข่เจียวด้วยนะ” ผมเลิกคิ้วมองเขาด้วยความแปลกใจในขณะที่กำลังหมักเนื้อหมูสำหรับที่จะทำสเต็ก


“มันไม่ธรรมดาไปหน่อยหรอครับ ผมว่าเพื่อนคุณคงอยากกินอะไรที่มันพิเศษๆ รึเปล่า” วิคเตอร์มองกลับมานิ่งๆ แต่เขาเล่นมองแบบจับจ้องจนผมต้องเป็นฝ่ายก้มหน้าหลบสายตาที่มองมาจนแทบทะลุตัวผม


“ธรรมดา… แต่ฉันชอบ” เขาตอบเสียงทุ้มนุ่มลึกพร้อมกับที่ผมรู้สึกว่าเขายังคงมองอยู่ไม่ได้ละสายตาไปไหน มือผมที่กำลังจับเนื้อหมูคลุกเคล้ากับซอสหมักถึงกับหยุดชะงักไป ผมเกือบจะเงยหน้าขึ้นมองเขา แต่ก็เบรกหน้าตัวเองไว้ไม่ให้มองเขาแล้วจับจ้องเนื้อหมูต่อไปก่อนจะพลิกมันไปมาอีกครั้ง แล้วตอบกลับเสียงเรียบ


“Okay. (โอเคครับ)” ผมตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารต่อไปโดยมีสายตาของวิคเตอร์คอยมองตลอดเวลา มันก็ไม่ถึงขั้นประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก ก็ยังคงหยิบจับมีดมาใช้ได้อย่างที่ไม่บาดมือล่ะนะ แต่ถูกมองแบบนี้มันก็แอบอึดอัดเหมือนกัน มันชวนให้จิตใจกระอักกระอ่วนในอกน่ะ เออ… ก็ได้ ผมกำลังรู้สึกเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกแล้วเนี่ย เริ่มวางไม้วางมือไม่ถูกที่ถูกทางแล้ว


“คุณไม่เบื่อหรอ มานั่งอยู่แบบเนี้ย” ผมเอ่ยปากและมองเขาแค่แว้บเดียว ไม่อยากมองหน้าเขานานๆ รู้สึกเหมือนสติจะหายวับไปได้ทุกเมื่อถ้าไปจ้องตาตอบกับเขา


“ไม่ ก็เพลินดี” เขาตอบง่ายๆ น้ำเสียงสบายๆ หน้าตาดูชิวกับการมองผมทำอาหาร ผมยิ้มเฝื่อนๆ ให้แล้วพยายามเพ่งสมาธิกับ
การทำอาหารต่อไป ตอนที่ผมเผลอเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาชั่วขณะหนึ่งที่กำลังเจียวไข่ ผมก็เห็นว่าเขากำลังนั่งยิ้มขำอยู่คนเดียวจนผมย่นคิ้วเพราะนึกงงว่ามันมีอะไรให้น่าขำ นี่กำลังทำอาหารนะ ไม่ได้เล่นตลก


“ทำต่อไปสิ มายืนมองฉันอยู่ได้” เขาบอกเสียงดุแต่ไม่จริงจัง เมื่อเห็นว่าผมยืนมองเขาด้วยอาการงุนงง ผมพยักหน้าหงึกๆ แล้วจัดการหั่นเนื้อกุ้งเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อใส่ลงไปในไข่ ตอนนั้นเองที่เจ้าไมเคิลเดินลิ้นห้อย โบกสะบัดหางเข้ามาในครัวแล้วนั่งยองๆ ข้างเก้าอี้วิคเตอร์ ผมส่งยิ้มให้มัน ส่วนมันก็โบกหางพวงๆ ของมันราวกับตอบรับรอยยิ้มของผม


“ไง ไมเคิล ทักทายเพื่อนแกอยู่ล่ะสิ” ผมตวัดสายตาจิกกัดไปให้ไอ้ยักษ์ปากเสียทันที เขากำลังยื่นมือไปขยี้หัวไมเคิลแล้วยิ้มกว้างอย่างสนุกสนานที่ได้จิกกัดผม เขามองผมแล้วยิ้มเบ้ปาก ผมถลึงตามองเขาด้วยความหมั่นไส้ แกล้งออกแรงสับกุ้งบนเขียงเพื่อส่งสัญญาณขู่เขา แต่อีกฝ่ายดูจะไม่ใส่ใจ เขาทำหน้าตายแล้วปล่อยให้เจ้าฟอกซ์ลงไปคลอเคลียกับไมเคิลพี่ชายของมันบนพื้นครัว


“นี่ เอาอาหารให้ไมเคิลกินหน่อยสิ” ผมเงยหน้าจากไข่เจียวกุ้งของตัวเองที่กำลังเติมนมข้นลงไป แล้วก็ต้องนึกประหลาดใจจนต้องเช็ดมือกับผ้าขนหนูผืนเล็กแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา


“ยังไม่ถึงเวลาอาหารเย็นของมันไม่ใช่หรอครับ นี่เพิ่งจะสี่โมงเย็นเอง”


“ก็ฉันอยากให้มันกินตอนนี้” เขาว่าง่ายๆ สีหน้ามีแววดื้อเล็กน้อย จนผมต้องพยักหน้ารับคำสั่งของเขาอย่างไม่เข้าใจ แล้วหมุนตัวก้มลงไปที่ตู้ใต้อ่างล้างจาน เปิดออกแล้วก็หยิบอาหารเม็ดของไมเคิลออกมาเทลงใส่ถาดอาหารของมัน เจ้าหมาขนฟูสีทองน้ำตาลเห็นผมถือถุงอาหารก็ลุกขึ้นแล้วมองมาทางผมอย่างตื่นเต้น หางพวงๆ ของมันโบกสะบัดพลิ้วไหวอย่างเร็วราวกับดีใจที่จะได้กินอาหาร


“อ่ะ วันนี้พ่อแกใจดีให้กินก่อนเวลา รีบกินเร้ว!” ผมฉีกยิ้มกว้างแล้วกำลังจะยื่นถาดอาหารไปให้มัน แต่เสียงวิคเตอร์ก็มาเบรกเอาไว้ก่อน


“ให้มันเห่าก่อนสิ” ผมองหน้ามุ่ยๆ ของเขาด้วยความเหวอก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าผมชอบสั่งให้ไมเคิลเห่าก่อนจะกินอาหาร ผมยิ้มเก้อๆ แล้วก้มลงมองไมเคิลที่ยืนมองดวงตาเป็นประกายรออาหารอยู่


“เห่าก่อนไมเคิล เห่าแล้วจะได้กินนะ โฮ่ง!!” ผมส่งเสียงเห่านำร่อง ไมเคิลยืนมองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง ผมมองมันแล้วยิ้มเชิญชวน เจ้าหมาโกลเด้นท์เหมือนจะเข้าใจเลยส่งเสียงเห่าดังลั่นครัว


โฮ่ง!! โฮ่ง!! โฮ่ง!!


ผมส่งเสียงหัวเราะคิกคักด้วยความถูกใจเอื้อมมือไปขยี้หัวมันแรงๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว ก่อนจะวางถาดอาหารลงตรงหน้ามัน เจ้าไมเคิลรีบก้มหัวจัดการอาหารของมันทันที ผมมองมันแล้วฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองวิคเตอร์ที่กำลังยืนยิ้มกว้างด้วยความขำ แต่พอเห็นว่าผมมองอยู่เขาก็ค่อยๆ ลดรอยยิ้มลงจนแทบจะหายไปจากใบหน้า


“มองอะไร” เขาถามกลับแล้วตีหน้ายักษ์ใส่ ผมส่ายหัวเป็นคำตอบ ก่อนจะกลับไปประจำที่เดิม ล้างมือก่อนจะเริ่มทำอาหารอีกครั้งโดยที่ยังมีวิคเตอร์ส่งสายตามามองอยู่เป็นระยะๆ แต่รอบนี้เขาไม่ได้จับจ้องแล้ว เขากำลังมองเจ้าไมเคิลสลับกับมองเจ้าฟอกซ์ที่นั่งแหงนหน้ามองเขาด้วยสายตาสีฟ้ากลมโต แล้วเขาก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินมาหยิบอาหารแมวที่อยู่ในตู้เหนือที่เก็บจาน เขาแกะเปิดฝากระป๋องอาหารออกแล้วยื่นให้เจ้าฟอกซ์ที่กำลังรออาหารอยู่


“เดี๋ยวฉันจะออกไปรับนาตาชา” ผมยิ้มอ่อนๆ ให้เขา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำอาหารต่อเพื่อให้เสร็จทันเวลา วิคเตอร์เดินออกจากห้องครัวไปทิ้งให้ผมอยู่กับความเงียบและความกลวงในอกจนรู้สึกหวิวๆ ในหัวใจ







“คืนนี้ต้องสนุกแน่ๆ เลยค่ะ” เสียงอ่อนเสียงหวานของนาตาชาดังขึ้นมาจากทางประตูบ้าน ผมที่กำลังหั่นผักเตรียมไว้สำหรับอาหารล็อตใหม่เผื่อไม่พอเงยหน้าขึ้นไปมองทั้งสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้าน วิคเตอร์เดินโอบเอวนาตาชาเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะก้มลงจุ๊บปากเธอเบาๆ หนึ่งที นาตาชาส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ผมรีบก้มหน้าลงจัดการกับงานตัวเองต่อเพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นภาพอะไรแบบนั้นอีก


“ชุดที่ฉันฝากซักเมื่อเช้าอยู่ไหนหรอคะ พอดีฉันต้องใช้สำหรับวันพรุ่งนี้น่ะค่ะ”


“อยู่ในห้องซักรีดครับ จัดการให้เรียบร้อยแล้ว” วิคเตอร์ตอบเสียงทุ้มหล่อ แล้วผมก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นไปทางห้องซักรีด


“เพื่อนฉันใกล้มาถึงแล้ว อาหารพร้อมแล้วใช่มั้ย” เขาหันมาถามผมหลังจากนาตาชาเงียบไปหายไปในห้องซักรีด ผมเงยหน้าขึ้นมองเขานิ่งๆ แล้วพยักหน้าแทนคำตอบ


“ดี ฉันอยากให้นายพร้อมที่ห้องครัวตลอด เผื่อใครอยากกินอะไรเพิ่ม” ผมยิ้มเหนื่อยๆ แล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบเสียงเฉื่อย


“ครับ”


“วิคเตอร์!” เสียงนาตาชาดังมาจากห้องซักรีด พร้อมกับเสียงส้นสูงกระทบพื้นไม้เนื้อหนาของบ้านรัวๆ ผมเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเธอถือชุดแสคสั้นสีดำเนื้อผ้าเหมือนไหมพรมของเธอออกมาพร้อมด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก


“ว่าไงครับ”


“มีคนเอาชุดนี้เข้าตู้อบรึเปล่าคะ” ผมมองทั้งสองคนสลับไปมา วิคเตอร์หันมามองผมแว้บหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองเธอ


“มีอะไรรึเปล่า”


“ชุดนี้เวลาซักแล้วต้องปล่อยให้แห้งเองค่ะ ห้ามเอาเข้าตู้อบเพราะจะทำให้เนื้อผ้าเสีย แล้วตอนนี้มันก็เสียหายไปแล้ว” ผมรู้สึกหน้าเสียพอๆ กับเนื้อผ้าของหล่อน ยิ่งวิคเตอร์หันมามองด้วยสายตาดุๆ ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี


“ทำไมนายไม่ดูให้ดีก่อน” ผมรู้สึกตัวชาเมื่อทั้งสองคนหันสายตามามองที่ผมเป็นตาเดียว มือที่กำมีดไว้เผลอกำแน่นขึ้นด้วยความไม่พอใจที่ถูกมองเหมือนว่าผมทำผิดอย่างมหันต์ ผมขบกรามแน่นอย่างพยายามสะกดกั้นอารมณ์


“นี่ความผิดผมงั้นเหรอ?” ผมถามกลับเสียงนิ่ง หน้าตาก็ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ผมเลื่อนสายตาไปมองนาตาชาที่มองกลับมาด้วยสีหน้าไม่ดี ดูแล้วเธอน่าจะกังวลเพราะชุดเธอพังมากกว่าที่จะมัวแต่โทษผม


“คุณก็น่าจะบอกผมสักนิดว่าชุดนี้มันต้องซักยังไง ไม่ใช่จู่ๆ คิดจะโยนมาให้ซักอย่างเดียว แล้วพอชุดเสียหาย มันก็กลายเป็นความผิดของผมไปซะอย่างนั้นน่ะหรอ” ผมเอ่ยเสียงเย็น มองทั้งสองคนอย่างเย็นชา หน้าตาไร้อารมณ์ อารมณ์ใดๆ ที่มีก่อนที่นาตาชาจะมานั้นหายไปหมด ทั้งความยินดี ความดีใจที่มีให้วิคเตอร์ หายไปหมดนับตั้งแต่เขามองผมด้วยสายตาเหมือนว่าผมทำผิดมาก


หึ ปกป้องเมียจนหน้ามืดตามัว


 วิคเตอร์เหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังพูดในสิ่งที่ไม่เข้าท่า เขาหลับตาลงแล้วขบกรามเบาๆ ก่อนจะลืมตาแล้วหันไปหานาตาชาแล้วว่าเสียงเบา


“ผมขอโทษครับ ผมลืมบอกเขา” ผมไม่สนใจสีหน้าของทั้งสองคนอีก ก้มหน้าก้มตาหั่นผัก หั่นเนื้อของผมไปเรื่อย


“ช่างมันเถอะค่ะ มันพังไปแล้วก็คงทำอะไรไม่ได้” ผมพอจะเดาได้ว่าเธอเองก็อารมณ์เสียอยู่ไม่น้อยที่ชุดไม่รู้ว่าสุดโปรดของเธอรึเปล่ามาพังไปเพราะความไม่รู้ของผม


“ขอโทษจริงๆ นะครับแนท ไว้ผมจะซื้อใช้ให้ใหม่ก็แล้วกันนะ” ผมทำหน้าตานิ่ง พยายามตั้งใจทำงานของตัวเองต่อไป


“ขอบคุณค่ะ คุณน่ารักจังเลย” โอ๊ย! เบื่อจริ๊ง! ก็รู้นะว่าฝรั่งมันอยากจะจูบ จะลูบจะคลำกันที่ไหน ตอนไหน มันก็ทำหมดถ้าอยากทำ แต่ช่วยเกรงใจคนที่อยู่ด้วยหน่อยเถอะ ไม่เกรงใจผมก็เกรงใจหมากับแมวที่มันนั่งมองอยู่บ้างก็ได้ 


ออดดด!!


“สงสัยพวกนั้นจะมากันแล้ว” วิคเตอร์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แล้วเดินจูงมือนาตาชาไปที่ประตูบ้าน ผมมองตามไปอย่างเอื่อยเฉื่อย ความตื่นเต้นที่อยากเจอเพื่อนเขาหายไปหมดแล้ว


“Hey!!! What’s up, man?! (เฮ้ย! ว่าไงไอ้เพื่อนยาก!)” เสียงโหวกเหวกโวยโวยดงขึ้นที่หน้าประตู ผมโกยผักที่หั่นไว้ใส่จานแล้ววางแยกไว้ตามชนิด ก่อนจะเริ่มลงมือทำน้ำซอสหมักเนื้อหมูสเต๊ก เสียงโวยวายของเหล่าบรรดาผู้ชายฝรั่งยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แล้วผมก็รู้สึกว่าเสียงของทุกคนมากองอยู่ที่แถวๆ หน้าเค้าน์เตอร์ของครัว


“แหม! หายหัวไปตั้งนานที่แท้มาอยู่กับสาวนี่เองนะไอ้วิคเตอร์!” เสียงเพื่อนของเขาคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมเสียงโห่เป็นแบ็คอัพของคนอื่นตามมา


“อะไร? พวกแกกับฉันเพิ่งเจอกันเมื่อเดือนก่อน ไม่ได้หายไปไหนนานซะหน่อย” วิคเตอร์เถียงกลับพร้อมเสียงหัวเราะน้อยๆ เดาว่าคงยิ้มแป้นหน้าบ้านอยู่ข้างนาตาชา


“แต่ฉันนัดทีไร แกก็บ่ายเบี่ยงตลอด เพราะสาวสวยคนนี้สินะ!” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง ผมยังคงยืนหันหลังให้พวกเขาเหล่านั้น ไม่ได้หันไปมอง เพราะผมไม่รู้จะทำหน้าตายังไง แล้วไม่รู้จะทักอะไร อีกอย่างถ้าเขาถามว่าผมเป็นใคร คงไม่พ้นต้องตอบว่าเป็นคนใช้แน่นอน


“เออ นี่นาตาชา ฉันว่าพวกแกก็อาจจะรู้จักบ้าง แนทครับ นี่ ไอ้ชาร์ลี…” เสียงวิคเตอร์แนะนำเพื่อนเขาให้นาตาชารู้จักดังลอดผ่านโสตประสาทผมไปอย่างที่ผมก็ไม่คิดจะจำ ไม่ใช่ว่าผมไร้มารยาทนะ แต่ผมกำลังเซ็ง วิคเตอร์ยิ้มได้ ส่งเสียงหัวเราะได้แล้ว หลังจากที่ว่าผมในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำ ยัยนาตาชาก็คงยิ้มแป้นจนหน้าบานทั้งที่ชุดหล่อนเพิ่งพังไป ส่วนผมที่ไม่ได้ทำอะไรผิด กลับต้องมายืนนอยด์ ผมไม่อยากนอยด์หรอก แต่ว่า มันก็อดไม่ได้ แม่งเจอแบบนี้แม่งโคตรเซ็ง



“แมท!” เสียงคุ้นหูเสียงหนึ่งดังขึ้น ผมหันไปมองก็เห็นคุณเอมิลี่เดินฉีกยิ้มออกมาจากกลุ่มเพื่อนวิคเตอร์ที่กำลังมองผมด้วยความสงสัยอยู่ ผมยิ้มกว้าง รู้สึกดีใจเหลือเกินที่ได้เจอคุณเอมลี่


“คุณเอมิลี่!” ผมสวมกอดกับเธอทันที ใจที่ห่อเหี่ยวรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนกับผมได้มีเพื่อน ได้มีคนรู้จักได้อยู่ใกล้ๆ ในหมู่คนพวกนั้นบ้าง


“เป็นไง ไม่ได้เจอกันตั้งสองอาทิตย์!” เธอบอกด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ครั้งสุดท้ายที่เจอกันก็น่าจะเป็นช่วงที่วิคเตอร์กับนาตาชาคบกันแรกๆ ผมยิ้มให้เธอแล้วก็สังเกตว่าผมสั้นสีทองของเธอนั้นเริ่มยาวขึ้นแล้ว


“ก็เหนื่อยครับ” เอมิลี่ย่นคิ้วเล็กน้อย แล้วหันไปมองวิคเตอร์ที่ยืนคุยเบาๆ อยู่กับเพื่อนของเขา แล้วหันกลับมามองผมอีกรอบ


“เขายังใช้งานเธอหนักไม่เลิกอีกเหรอ”


“หนักกว่าเดิมด้วยซ้ำครับ” ผมบอกยิ้มๆ แล้วก็หันไปมองทางกลุ่มวิคเตอร์แล้วก็แทบจะเบรกอาการเบิ่งตาตัวเองไม่ได้เมื่อได้เห็นหนังหน้าและรูปร่างของแต่ล่ะคน


อื้อหือ!  นึกว่าขนนายแบบในนิตยสารมากองไว้ที่บ้านหลังนี้ แต่ล่ะคนหนังหน้าไม่ต้องพาไปหาหมอศัลยกรรมที่ไหน เพราะพระเจ้าปั้นมาดีแล้ว หุ่นแต่ล่ะคนนี่บ่งบอกได้เลยว่าพวกเขาดูแลตัวเองกันดีมาก มีสองคนที่ตัวล่ำหนากว่าใครปกติ ส่วนนอกนั้นจะเป็นหุ่นนายแบบซะส่วนใหญ่ คือสูงโปร่ง ดูเพรียว แต่ก็มีกล้ามท้อง กล้ามแขนให้ดูแข็งแรง ไม่ดูอ้อนแอ้น ไหล่กว้างเหมาะสำหรับการใส่เสื้อผ้าให้ออกมาดูดี อกเป็นอกและขนาดทั้งห้าคนใส่เสื้อปกปิดอยู่ ก็บอกได้เลยว่าซิคแพ็คต้องแน่นลืมมม! โดยเฉพาะผู้ชายสองคนที่ตัวล่ำหนากว่าใครอื่นในกลุ่ม กล้ามท้องคงเป็นลูกๆ


“หนุ่มน้อยคนนี้เป็นใครกันเนี่ย” ผู้ชายผมสีทองเหมือนรวงข้าว คิ้วเคราก็สีทองที่ขึ้นบนใบหน้าเรียวขาวยาวผ่องเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มนิดๆ หุ่นเขาสูงโปร่ง  ใบหน้าเรียวแบบการ์ตูนญี่ปุ่นนั้นหล่อแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดเยอะ แต่พอเขายิ้มเขากลายเป็นว่าดูน่ารักไปเลย โอ๊ย ดูดีเนอะ


“คนใช้ฉันเอง” เสียงกวนๆ ของวิคเตอร์ดังขึ้น ผมเบ้ปากใส่เขาจนเรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคน ยกเว้นคุณเอมิลี่ที่กำลังทำหน้าตึงใส่วิคเตอร์ ยกเว้นนาตาชาที่ทำหน้าเฉยๆ และเว้นยัยสาวหุ่นสลาตันผมดำมันขลับหน้าตาท่าทางมาดมั่นที่ทำหน้าเชิดเฉย
เออ นาตาชาหล่อนพาใครมาให้ฉันเกลียดแข่งกับหล่อนอีกเนี่ย



“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าแมทไม่ใช่คนใช้…” คุณเอมิลี่มองค้อนวิคเตอร์ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับคนอื่นๆ แล้วแนะนำผมให้ทุกคนได้รู้จัก


“นี่แมท เด็กฝึกงานของโมเดลลิ่ง ฉันเลยส่งมาดูแลวิคเตอร์” ผมฉีกยิ้มกว้างให้ทุกคน กวาดสายตามองแล้วเก็บรายะเอียดคร่าวๆ ของแต่ล่ะคนไว้ในเมมโมรี่ ก่อนจะเผลอตัวยกมือไหว้ ทุกคนถึงกับทำหน้างง แต่มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งรูปร่างสูงไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นๆ ผิวสีแทน รูปหน้าเป็นเหลี่ยมสันคม มีหนวดเคราจางๆ ยิ่งทำให้กรอบหน้าเขาดูหล่อคมชัดแทบจะระดับเอชดี ดวงตาคู่คมสีน้ำตาลจ้องมองมาทางผมอย่างตื่นเต้น


“มาจากประเทศไทยเหรอเนี่ย?!” ผมยกไหว้ค้างไว้ที่อกแล้วยิ้มกริ่มมองหน้าเขาที่ยิ้มตอบกลับมา


“ครับ ผมมาจากประเทศไทย” คราวนี้สีหน้าเขาดูสนอกสนใจในตัวผมมากยิ่งขึ้น แทบจะแหวกวงเดินตรงมาหาผม ดีที่ได้เพื่อนเขาคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนคนญี่ปุ่น แต่ผมเดาว่าน่าจะเป็นลูกครึ่งอเมริกัน-ญี่ปุ่นฉุดรั้งไว้


“Keep calm, Andrea! (ใจเย็นไอ้อันเดร)” หนุ่มลูกครึ่งบอกพร้อมรอยยิ้มขบขัน คนที่ชื่ออันเดรเหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังกระตือรือร้นมากไปเลยหยุดแหวกกลางวงแล้วส่งเสียงหัวเราะ ก่อนจะหันมามองที่ผม


“นายทำอาหารไทยเป็นรึเปล่า ฉันเคยไปเที่ยวมา ฉันชอบมาก!” เขาบอกด้วยความตื่นเต้น มองผมอย่างลุ้นๆ ผมยิ้มขำ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปยกถ้วยต้มยำกุ้งขึ้นมาก่อนจะเลื่อนไปข้างหน้า


“ต้มยำกุ้งครับ” อันเดรตาโต รีบเดินเข้ามาดูต้มยำกุ้งในถ้วย ก่อนจะหันกลับไปหาเพื่อนๆ ที่มองเขาด้วยความขำ


“เฮ้ย! นี่ไง ที่ฉันบอกว่าตอนฉันไปไทยแล้วได้กินมา โคตรอร่อยเลยนะเว้ย พวกแกต้องลองกินให้ได้สักครั้งในชีวิต!” อันเดรบอกอย่างตื่นเต้นจนทุกคนหัวเราะ


“ฉันกินแทบทุกวัน ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นตรงไหน” เสียงห้วนๆ ของวิคเตอร์ดังแทรกขึ้นมา ผมหันไปมองเขาด้วยสายตาเบื่อหน่าย ส่วนเขากำลังทำสีหน้าเหมือนเบื่อโลกอยู่ข้างเมียรักที่กำลังปั้นยิ้มสวยมองอันเดร


หึ ไม่ตื่นเต้น แต่อยู่ในลิสต์ทอปทรี (Top three) อาหารที่แกชอบแดก เอ้ย! กินเชียวนะไอ้ยักษ์


“โห! แกนี่โชคดีว่ะไอ้วิคเตอร์!” อันเดรบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและเหมือนจะปนอิจฉาเล็กๆ แต่ผมว่าเขาแกล้งทำมากกว่า ผมมองเขายิ้มๆ แต่พอหันไปเห็นสีหน้าเฉยเมยและแววตานิ่งสงบของวิคเตอร์มองมาที่ผม ผมก็หุบยิ้มแล้วหันกลับมามองอันเดรที่กำลังตักน้ำต้มยำขึ้นมาซด พอซดเสร็จเขาก็ทำหน้าว่าฟินมาก


“สุดยอด อร่อยมาก!” เขาบอกด้วยความปิติยินดีจนผมอดยิ้มกว้างไม่ได้ และก่อนที่อันเดรจะตื่นเต้นไปมากกว่านี้ เพื่อนเขาคนหนึ่งที่หน้าตาดูเป็นผู้ชายเรียบร้อยและสำอางก็เดินเข้ามาดึงๆ แขนเขาไว้


“เฮ้ย ใจเย็น เดี๋ยวก็ได้กินแล้ว” ผู้ชายท่าทางนุ่มนิ่มคนนั้นดึงอันเดรที่กำลังซดน้ำต้มยำอยู่ออกไปจากโต๊ะหินอ่อน


“ไปหลังบ้านเหอะ เดี๋ยวให้เอเลี่ยนยกอาหารไปให้”


“ฮะ?!เอเลี่ยน? เอเลี่ยนอะไรวะ?!” ผู้ชายผมทอง ผิวขาว ถึงกับขมวดคิ้วอย่างเร็ว มองวิคเตอร์สลับกับผมด้วยความไม่เข้าใจ


“เอเลี่ยนไง ก็ต่างด้าวอ่ะ จริงๆ ต้องเรียกว่าเอเลี่ยนตัวเตี้ย” วิคเตอร์ยังคงกระหน่ำใส่ผมไม่หยุด คนอื่นๆ หัวเราะ ผมรู้สึกเซ็งแล้วก็เซ็ง อยากจะเอาเขียงทุบหัวไอ้หนวด


“ฉันว่าเราอย่าเสียเวลาเลยค่ะ เริ่มปาร์ตี้กันเถอะ” ยัยผู้หญิงหน้าเชิดเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งราวกับนางพญา แต่ขอโทษ ยิ่งหล่อนทำท่าทางแบบนั้นหล่อนก็เหมือนนะ เหมือนนางพญานี่แหละ แต่เป็นนางพญาปลวก






[มีต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 10.1-15:: 21.06.58
«ตอบ #68 เมื่อ21-06-2015 14:11:07 »



วิคเตอร์เหลือบหางตามามองผม ส่วนผมก็มองเขากลับไปอย่างเฉยชา แล้วเขาก็เดินจูงมือนาตาชานำไปประตูหลังบ้านที่ออกไปที่สวน คนอื่นๆ เดินตามๆ กันไป ผมขบกรามเบาๆ แล้วหันมาปั้นยิ้มให้กับคุณเอมิลี่ที่ยังยืนอยู่ข้างๆ ผม


“เชิญเถอะครับคุณเอมิลี่ เดี๋ยวผมจะยกอาหารไปให้” คุณเอมิลี่หันไปมองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะหินอ่อนแล้วก็หันกลับมามองที่ผมด้วยความทึ่งเล็กๆ


“เธอทำคนเดียวหมดเลยหรอ” ผมยิ้มอ่อนๆ แล้วพยักหน้ารับคำของเธอ


“แล้วเขาก็ยังจะให้เธอยกไปให้อีกเนี่ยนะ…” เธอมองด้วยความเหลือเชื่อ ผมยิ้มย่นจมูกแล้วยักไหล่น้อยๆ


“แมท… ฉันส่งเธอมาดูแลเขาก็จริง แต่ไอ้สิ่งพวกนี้เธอไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ ฉันว่ามันมากเกินไปแล้ว” ผมฉีกยิ้มบางๆ ให้เอมิลี่ที่กำลังดูหัวเสียกับสิ่งที่เธอเพิ่งพูดไป


“ผมทำได้จริงๆ ครับ มันไม่ได้หนักหนาอะไรเลย อีกไม่เกินสองเดือนผมก็กลับแล้ว ผมไม่อยากมีปัญหาในการฝึกงาน” คุณเอมิลี่มองหน้าผมด้วยความอ่อนใจหรือจริงๆ อาจจะถึงขั้นสงสารเลยด้วยซ้ำ


“วิคเตอร์ต้องคิดถึงเธอมากแน่ๆ ถ้าถึงวันที่เธอกลับไป” ผมยิ้มขำขื่นๆ


“คิดถึงเพราะว่าไม่มีคนใช้ฟรีให้เขาใช้น่ะสิครับ” คุณเอมิลี่ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอื้อมมือมาจับมือผมไว้ก่อนจะบอกเสียงอบอุ่น


“แมท… ถ้าไม่ไหว บอกฉันนะ ฉันจะเป็นคนเซ็นจบการฝึกงานของเธอเอง” ผมรู้สึกใจหายวาบเมื่อได้ยินแบบนั้น ผมมองหน้าคุณเอมิลี่แล้วความคิดมากมายก็ตีกันวุ่นวายในหัว โอกาสที่ผมจะจบการฝึกงานโดยเร็วมันมารออยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าเพียงผมเอ่ยปาก ผมก็จะไปจากวิคเตอร์ได้ทันที จะได้ไม่ต้องมาทำงานหนักงกๆ แบบนี้ จะได้ไม่ต้องมาคอยรับรองอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ และเอาแต่ใจของเขา


“ผม…” ผมเม้มปากเบาๆ มองหน้าเอมิลี่ที่ยิ้มกลับมาเหมือนยืนยันในสิ่งที่เธอพูด ผมยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงแผ่ว


“ผมยังไหวอยู่ครับ…” ความรู้สึกบางอย่างกระตุกขึ้นที่อกซ้ายเบาๆ ก่อนที่ผมจะไล่มันทิ้งไป “…สมัยนี้เวลาผ่านไปเร็ว อีกแปบเดียวก็หมดเวลาฝึกงานของผมแล้ว” เอมิลี่มองหน้าผมแล้วเลิกคิ้วขึ้นพร้อมรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะพยักหน้ารับกับคำตอบของผมเบาๆ


“เอ่อ… ขอโทษทีนะเอ็ม แต่ฉันสองคนมาขัดจังหวะอะไรมั้ย” เสียงทุ้มๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้เราสองคนหันไปมอง ก็เห็นอันเดรและพ่อหนุ่มผมสีทองเหมือนรวงข้าว รูปร่างดีและมีดีที่หน้าตากำลังยืนมองเราสองคนด้วยความไม่แน่ใจ


“ไม่หรอก พวกนายมีอะไรรึเปล่า”


“คือฉันสองคนเพิ่งคิดกันได้ว่าเราควรมาช่วยยกอาหาร โทษทีนะ ความสุภาพบุรุษเพิ่งแล่นขึ้นมาในสมอง” พ่อหนุ่มผมทองร่างโปร่งบอกด้วยรอยยิ้มติดตลก ผมเห็นแบบนั้นก็ยิ้มขำ


“แล้วมากันแค่สองคนเนี่ยนะ อาหารไม่ใช่น้อยๆ นะพ่อหนุ่ม” คุณเอมิลี่ถามพลางวางกระเป๋าถือสีดำของเธอไว้บนเก้าอี้ทรงสูง


“ฉันสองคนไม่ให้มาเองแหละ เดี๋ยวจะกลายเป็นความวุ่นวาย” อันเดรบอกแล้วยกยิ้มก่อนจะเดินเข้ามาด้านในครัว


“อ้อ! ยังไงก็ตาม ฉันอันเดร (Andrea) ส่วนหมอนั่น เบนเนดิคท์ (Benedict) เรียกมันว่าเบนเฉยๆ ก็ได้” อันเดรแนะนำตัวแล้วก็เพื่อนผมทองของเขา ผมส่งยิ้มให้ทั้งสองคนด้วยความเป็นมิตรไมตรี ก่อนที่ผม เอมิลี่และอันเดรจะช่วยกันยกอาหารไปที่สวนหลังบ้านที่คนอื่นๆ กำลังนั่งรออยู่บริเวณบาร์น้ำเล็กๆ หลังสวน ส่วนเบนเนดิคท์นั้นหอบเครื่องดื่มมาเต็มอ้อมแขน เพื่อนคนอื่นๆ ของวิคเตอร์กรูกันเข้ามาช่วยพวกเราถือของ ยกเว้นก็แต่วิคเตอร์ที่นั่งคลอเคลียกับนาตาชาอยู่ตรงชิงช้าม้านั่ง และนังนางพญาปลวกก็นั่งเชิดอยู่บนเก้าอี้ไม้ทรงสูงที่อยู่บริเวณหน้าบาร์ ผมเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อยกอาหารที่เหลือออกมาโดยไม่หันไปมองวิคเตอร์เลยแม้แต่นิด








“เฮ้แมท! ขออันนี้เพิ่มได้รึเปล่า”


“แมท! ฉันอยากกินหมูที่นายหมักอีก ขอเพิ่มได้มั้ย?!”


“ฉันขออันนั้นด้วย!”


“ฉันขอแบบนั้นที่นึง!”


เสียงคำสั่งของเพื่อนๆ วิคเตอร์ดังขึ้นแทบจะต่อเนื่อง ผมแทบไม่ได้ออกไปจากครัว ได้ออกไปเข้าห้องน้ำบ้างนี่ก็ถือว่าเป็นบุญสุดๆ มันก็ไม่ถึงขั้นว่าวุ่นวายจนหัวหมุน มือเป็นระวิงจนทำอะไรไม่ทัน แต่นึกออกมั้ยว่าการทำอาหารมันไม่ใช่ง่ายๆ ที่ว่าสั่งมาแล้วจะทำให้เสร็จในทันที มันต้องมีขั้นมีตอนในการทำ พออย่างแรกสั่งมายังไม่ทันทำเสร็จ อันที่สองสามสี่ก็ตามมา เลยกลายเป็นว่ามันสุมๆ กัน


ตอนนี้สภาพห้องครัวเละพอๆ กับหน้าผมเลยมั้ง พอยิ่งดึกเหมือนทุกคนยิ่งคึก ฤทธิ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เสียงเพลงที่เปิดคลอๆ และเสียงคุยที่สนุกสนานมันยิ่งทำให้ทุกคนมีพลังงานคึกกันยกใหญ่ ช่วงแรกๆ ผมยังมีคุณเอมิลี่ช่วยมันก็ยังไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ แต่พอสี่ทุ่มนิดๆ เธอต้องรีบออกไปทำธุระด่วนเลยกลายเป็นว่าเหลือผมอยู่คนเดียว และแน่นอนว่าไม่มีใครมาช่วยหรอก เพราะทุกคนกำลังกรึ่มและสนุกได้ที่จะมีใครอยากมาช่วยงานในครัวล่ะ


โดยเฉพาะวิคเตอร์ เขาไม่โผล่หน้ามาเลยสักครั้ง ตั้งแต่ออกไปอยู่ในสวน ผมถึงกับก่นด่าตัวเองว่า จะไปหวังอะไร หวังให้เขาเข้ามาถามว่าเป็นไงบ้างอย่างนั้นน่ะหรอ นั่นใคร นั่นวิคเตอร์ ผู้ชายที่นายอยู่ด้วยมาเป็นเดือนๆ เขาจะมาสนใจ มาถามไถ่ผมทำไม โน่นสิ คนที่เขาสนใจ ก็ยัยนาตาชาเมียรักเขานั่นไง


“โอ้ว!” ผมร้องเสียงเบา แล้วชักมือขวากลับเมื่อเผลอไปจับหม้อร้อนๆ ที่ต้มยำกุ้งกำลังเดือด ผมสะบัดๆ มือแรงๆ ราวกับจะไล่ความร้อนบนนิ้วมือและอาการปวดหนึบๆ ออกไป


“แมท ที่ฉันขอได้ยังหรอ” ผมหันไปมองพร้อมกับสะบัดมือไปมาเบาๆ เบนเนดิคท์ยืนยิ้มตาเยิ้ม หน้าแดงก่ำ ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะมองหาไข่เจียวที่เขาสั่งไว้ หยิบจานขึ้นมาแล้วยื่นให้เขา


“ขอโทษทีครับ ตอนแรกผมกะจะเอาไปให้ด้านนอก แต่ยังไม่ว่างออกไปเลย” เบนนาดิคท์โบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร


“ไม่เป็นไรหรอก แล้วนายมีอะไรจะให้ฉันยกออกไปข้างนอกมั้ย”


“เอ่อ… มีแค่อันนี้อีกอันครับ ขอบคุณมากนะครับคุณเบน” เขารับจานเฟรนซ์ฟรายทอดจานใหญ่ไป ผมเอานิ้วโป้งถูไล่นิ้วทั้งสี่ที่เหลือไปมาเพื่อบรรเทาอาการแสบร้อน


“นายทำอาหารอร่อยดีนะ ฉันชอบฝีมือนายจัง” เบนเนดิคท์บอกด้วยรอยยิ้มพริ้มเพรา ผมแอบยิ้มขำนิดๆ เพราะเขาตาเยิ้มมาก แต่ยังไงใบหน้าเรียวหล่อๆ ของเขาก็น่ามองอยู่ดี ยิ่งตอนนี้เขาหน้าแดงยิ่งน่ามองถึงจะเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็เถอะ


“ก็วันนี้มีผมเป็นพ่อครัวคนเดียวนี่ครับ ยังไงคุณก็ต้องชอบอยู่แล้ว ถึงไม่ชอบก็ต้องกิน” ผมบอกพร้อมหัวเราะน้อยๆ เบนนาดิคท์ยิ้มกว้างตามอย่างขำๆ ผมพยายามขยับนิ้วมือที่จับหม้อต้มยำเดือดๆ เมื่อกี้เพื่อให้นิ้วมันมีลมพัดผ่านจะได้ไม่รู้สึกแสบร้อนมาก ไม่กล้ายกขึ้นมาโบกแรงๆ ต่อหน้าคนอื่น


“เอ่อ… โทษทีนะ” เสียงคุ้นหูของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น ยิ่งช่วงนี้ผมยิ่งคุ้น เพราะนั่นคือนาตาชา เธอเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ผมกับเบนนาดิคท์มองไปที่เธอ


“แมท ฉันอยากกินไก่ทอดน่ะ ช่วยทำให้หน่อยได้มั้ย” เธอบอกยิ้มๆ ผมยิ้มนิดๆ ตอบกลับไปก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ นาตายิ้มรับก่อนจะหันไปหาเบนเนดิคท์แล้วบอกว่าเพื่อนๆ รออยู่ ทั้งสองคนเลยเดินออกไปพร้อมกัน ผมหันกลับไปสนใจหม้อต้มยำของตัวเองต่อแล้วก็ต้องตาโตเมื่อเห็นว่ามันเดือดอย่างรุนแรง ผมรีบปิดแก๊ส ยื่นมือไปจับหูหิ้วทั้งสองข้าง ยกลงไปวางไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะตั้งสติแล้วเริ่มคิดว่าควรทำอะไรต่อ ผมหมักหมูค้างไว้เลยหันกลับไปทำให้เสร็จ เสร็จแล้วก็เอาใส่กระทะ ทอดให้สุกอ่อนๆ
ระหว่างนั้นผมก็หยิบกระทะก้นลึกอีกใบขึ้นมาเพื่อจะทอดไก่นาตาชากิน ผมจัดการตั้งรอไว้บนเตาแก๊สอีกฝั่ง แล้วหันไปจัดการหมูอีกกระทะ สายตาก็หันไปมองหม้อต้มยำเป็นระยะ เพราะตอนนี้ในหัวกำลังตีกันวุ่นว่าทั้งให้ตักต้มยำใส่ถ้วยและทอดหมูให้เสร็จก่อน ผมต้องดุตัวเองเบาๆ แล้วทอดหมูสเต๊กต่อจนเสร็จ ตักใส่จานได้ก็จัดการราดซอสที่เตรียมไว้ แล้วหยิบถ้วยออกมาตักต้มยำใส่


ผมจัดการตักต้มยำเสร็จก็ยกใส่ถาดพร้อมกับจานเสต๊กแล้วยกถาดที่ใส่อาหารไว้เดินออกไปทางประตูหลังบ้านที่พาไปสู่สวนที่กำลังมีปาร์ตี้กันอยู่ ผมเปิดประตูด้วยความทุลักทุเล เสียงเพลงเบาๆ ดังคลอไปทั่วงาน เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะดังกระหึ่มแทบจะกลบเพลง ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าข้างบ้านขว้างมีดหรือยิงปืนใส่เนื่องจากส่งเสียงดังกันขนาดนี้


“ว้าว! อาหารมาแล้ว!” ชาร์ลีหนึ่งในเพื่อนที่วิคเตอร์เอ่ยชื่อให้ผมได้ยินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรื่นเริง เขาเป็นคนดูดีแต่ไม่ถึงขั้นหล่อจัดอะไร โครงหน้าเป็นสันกรามเด่นชัด ดวงตาสีอำพันหนังตาสองชั้น ริมฝีปากหนาสีคล้ำตามสีผิวแต่ไม่ถึงกับดำ และที่สำคัญเขาตัวสูงล่ำใหญ่กว่าใครในกลุ่ม และประเด็นหลักของชาร์ลีคือเขาเป็นแฟนของนังนางพญาปลวกจอมเชิดนั่น


“นี่แมท ถ้าฉันจ้างไปทำอาหารให้ฉันบ้าง นายจะไปมั้ย” เอริค หนุ่มลูกครึ่งอมเริกัน-ญี่ปุ่น เอ่ยถามพลางหยิบจานหมูสเต๊กในถาดไปวางไว้บนตัก เอริคเป็นหนึ่งในสองคนที่ตัวล่ำหนามาก ผมรู้สึกสงสารเสื้อเชิ้ตที่เขาใส่อยู่เหลือเกินเพราะดูเหมือนมันอยากจะระเบิดออกมานอกเสื้อ วิคเตอร์ที่ว่าน่าหาเสื้อในมาใส่ให้อาจต้องยกเสื้อในตัวนั้นให้เอริคไม่ก็ชาร์ลีแทน


“ผมทำอาหารญี่ปุ่นไม่เป็นนะครับ” ผมตอบยิ้มๆ แล้วยื่นถ้วยต้มยำกุ้งให้อันเดร เอริคส่งเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจ


“นี่ๆ มาบ้านฉันดีกว่า ไม่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ เอาที่นายทำอยู่ฉันก็กินได้แล้ว” โจนาทาน หนุ่มหล่อละมุน ดูเจ้าสำอาง ดูเป็นผู้ชายสะอาดที่สุดในกลุ่มเอ่ยขึ้น เขาค่อนข้างเป็นคนสุภาพ ผมว่าสุภาพที่สุดในกลุ่มแล้วล่ะ ไม่ตะโกน โหวกเหวกโวยวายและคอยห้ามเพื่อนไว้ด้วยซ้ำ


“ว่าไงวิคเตอร์ คนแย่งตัวจ้างกุ๊กส่วนตัวแกกันขนาดนี้ ยอมให้ไปมั้ยวะ” ชาร์ลีพูดพร้อมยิ้มกว้าง ผมหันไปมองวิคเตอร์ที่นั่งหน้าแดงก่ำอยู่ข้างนาตาชา เขามองผมกลับมานิ่งๆ แต่ก็มีรอยยิ้มที่มุมปาก


“จ้างทำไม เอาไปฟรีๆ เลย” เขาบอกกับเพื่อนๆ ทุกคนส่งเสียงหัวเราะน้อยๆ


“เออ ถ้าเอาไปแล้วอย่ามาขอคืนนะเว้ย!” เบนเนดิคท์บอกพร้อมรอยยิ้มสดใส คนอื่นๆ หัวเราะกันเกรียวกราว ผมมองหน้าเขาแล้วก็ยิ้มน้อยๆ นึกในใจอย่างขำๆ ว่า ถ้ายูเอาไอไปจริงๆ ไอไปกับยูจริงๆ นะเบน บอกเลย ฮ่าๆ หนังหน้าดีขนาดนี้ไม่ไปได้ไง ฟรีก้อไป


“หึ…” ผมหันไปมองเจ้าของเสียงหัวเราะกดต่ำที่ทำหน้านิ่งแต่แววตาเหมือนกำลังหมั่นไส้ใครสักคน ซึ่งจริงๆ ผมไม่ต้องหาใครสักคนหรอก ผมว่ามันหมั่นไส้ผมเนี่ยแหละ


“ถ้าไม่อยากไปกับไอ้เบน มากับฉันก็ได้นะแมท ฉันชอบกินอาหารไทย” อันเดรส่งเสียงออกมาบ้าง ท่าทีเขากระตือรือร้นจนอดยิ้มขำไม่ได้


“พวกแกชอบสะสมของแปลกกันหรอวะ” วิคเตอร์พูดเสียดสีขึ้นมา ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าไอ้คำว่าแปลกของเขานั้นจะสื่อถึงอะไร เพราะอะไรที่ออกมาจากปากเขาแล้วเกี่ยวกับตัวผมมันไม่เคยจะเป็นเรื่องดีหรอก วิคเตอร์ยกยิ้มมุมปากเหมือนพอใจที่ได้กัดผม ผมเบะปากใส่เขาแล้วเหลือบมองนาตาชาที่กำลังก้มหน้าเล่นมือถืออยู่ นึกขึ้นได้ว่าต้องทอดไก่ให้หล่อน ผมเลยหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อจะไปทอดไก่ให้เมียรักของไอ้พระเอกกิน


ผมล่ะไม่อยากทอดเลยจริงๆ ทอดไก่ต้องใช้น้ำมันเยอะ แล้วน้ำมันก็ชอบกระเด็นไปทั่ว ผมเอามือซ้ายถูมือขวาที่โดนหม้อต้มยำร้อนๆ เบาๆ อาการแสบๆ ยังไม่หายไป แต่อาการร้อนดีขึ้น ผมจัดการเทน้ำมันใส่กระทะ เปิดไฟให้น้ำมันเดือด แล้วหยิบไก่ที่วางไว้บนโต๊ะอยู่แล้วมาถือไว้ด้วยอาการทำใจ รอบแรกที่ทอดไปผมโดนน้ำมันกระเด็นใส่นิดหน่อย แต่ไม่มากเป็นแค่ฝอยเล็กๆ เท่านั้น แต่ก็จี๊ดๆ ที่ผิวเหมือนกันนะ ผมรอน้ำมันเดือดก่อนจะหย่อนไก่ลงไป ชิ้นแรกดูปกติดี แต่พอชิ้นที่สองดันพาซวย เมื่อผมตกใจกับเสียงน้ำมันกระเด็นเพราะไก่ชิ้นแรก ผมเลยเผลอโยนไก่ชิ้นที่สองลงกระทะ จนน้ำมันกระเพื่อมพุ่งขึ้นมาโดนที่บริเวณข้อมือซ้าย


“โอ๊ยยยๆ โอ้วววๆ” ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนแล่นพล่านไปทั่วข้อมือและฝ่ามือ ผมกระโดดเหยงๆ สะบัดมือแรงๆ ราวกับจะไล่เอาความเจ็บ ความปวดและความร้อนที่โดนออกไป ผมกัดฟันแน่น หน้าเหยเกด้วยความแสบผิว ก่อนจะรีบปิดแก๊สเพราะเดี๋ยวไก่จะไหม้


ถึงกับน้ำตาคลอเบ้าเลยทีเดียว ผมสูดปากด้วยความปวดหนึบๆ และแสบคันๆ มือขวาก็ยังไม่หายเป็นปกติเพราะจับหม้อร้อนๆ ของต้มยำ มือซ้ายดันมาโดนแบบนี้อีก ผมยกข้อมือซ้ายขึ้นมาดู มันแดงเถือกตั้งแต่อุ้งมือยันถึงข้อมือ แดงเถือกเป็นแนวยาวเกือบถึงกลางแขน ผมรับรู้ได้ถึงอาการสั่นน้อยๆ ของมือซ้าย ผมกัดฟันแล้วหยิบเกลือขึ้นมาเทตรงบริเวณที่โดนน้ำมันกระเด็นใส่ เคยมีตำราบอกว่าเกลือจะช่วยไม่ให้เป็นแผลพลุพองหรือเป็นตุ่มน้ำใสๆ มันจะช่วยสมานแผลและทำให้แผลที่โดนน้ำมันกระเด็นใส่เย็นลง ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีจริงๆ นั่นแหละ ผมหลับตาลงเลยทำให้น้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาไหลออกมา ผมยกหลังมือขวาปาดมันออกอย่างรวดเร็ว แล้วพยายามตั้งสติ


เสียงโหวกเหวกโวยวายของทุกคนดังมาจากทางประตูหลังบ้าน ผมรีบปาดน้ำตาให้แห้ง พยายามข่มความปวดหนึบๆ ที่ข้อมือกับมือเอาไว้ แม้อาการแสบร้อนจะเบาลงเพราะได้เกลือช่วย แต่มันก็ไม่ได้หายไป


“แล้วเราจะไปคลับไหนกัน” เสียงของอันเดรดังขึ้น ที่ผมรู้ว่าเป็นเขาไม่ใช่เพราะเสียงนะแต่เป็นอาการกระตือรือร้นในน้ำเสียงนั้นต่างหากที่ทำให้ผมรู้ว่าเป็นเขา


“ไปคลับ X กันดีมั้ยคะ” เสียงของยัยนางพญาปลวกถามขึ้นมา ทุกคนส่งเสียงตอบรับกลับไป


“มันก็ดีนะ แต่ฉันขี้เกียจไปต่อคิวว่ะ เวลานี้คนเยอะแน่ๆ”


“ไอ้เบน แกอย่าลืมสิว่าวิคเตอร์มันไปด้วย แค่เอาหน้ามันไปให้การ์ดเห็น พวกนั้นก็ปล่อยเราเข้าไปแล้ว” เสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้น ผมเปิดน้ำในอ่างล้างจานล้างเอาเกลือออกจากข้อมือ เสียงพูดคุยยังคงดังแต่ผมแสบแขนจนไม่สนใจจะฟังว่าเขาพูดอะไรกันต่อบ้าง


“แมท! ไปด้วยกันมั้ย” เสียงของใครสักคนเอ่ยถามขึ้น ผมหลับตาลงวูบหนึ่งก่อนจะหันไปปั้นยิ้มให้กับทุกคนที่กำลังมองมาโดยเอามือซ้ายไพ่หลังเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นรอยแดงที่โดนน้ำมันกระเด็นใส่ 


“ไปกันเถอะครับ ผมต้องเก็บของ”


“ไม่เอาน่า ค่อยมาเก็บพรุ่งนี้ก็ได้ ไปสนุกด้วยกันดีกว่า” อันเดรตื๊อให้ผมไปกับเขา ผมไม่ได้หันไปมองวิคเตอร์ว่าเขาทำสีหน้าและสายตาแบบไหน แต่ผมก็ส่ายหัวปฏิเสธไป ไม่ใช่เพราะเขาจะด่าว่าหรือมองด้วยสายตายังไง แต่เป็นเพราะตัวผมเองที่ไม่อยากไป สภาพเยินแบบนี้ใครจะอยากไปไหนต่อ


อันเดรและเบนเนดิคท์บ่นเสียดายที่ผมไม่ยอมไป ผมได้แต่ยิ้มอ่อนๆ ไปให้แล้วยืนมองพวกเขาเดินออกไปทางประตูบ้าน วิคเตอร์รั้งท้ายขบวน เขาหันมามองผม เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอนนั้นเองที่ผมก็รู้สึกว่าหัวใจผมอ่อนแอจังเลย ผมรู้สึกเจ็บที่แผล รู้สึกแสบร้อน แล้วขอบตาผมก็ร้อนผ่าว น้ำตาทำท่าจะไหล ผมเลยรีบหันหนีวิคเตอร์ที่มองกลับมาด้วยสายตาที่จับจ้องใบหน้าผมราวกับจะสื่ออะไรบางอย่าง แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาจะสื่ออะไร เพราะตอนนี้ใจผมมันอ่อนแรงเหลือเกิน อ่อนจนทำให้ผมไม่อยากจะคิด ไม่อยากจะทำอะไรให้หัวสมองและใจวุ่นวายไปมากกว่านี้


ผมเอื้อมมือขวามาลูบที่รอยแดงจากน้ำมันกระเด็นเบาๆ เพื่อปลอบใจตัวเองให้สงบ เมื่อไม่มีใครก็มีแต่ตัวเราเนี่ยแหละ พอคิดแบบนั้น น้ำตาผมก็ไหลออกมา ถ้าอยู่บ้านพ่อกับแม่คงดูแลผมอย่างดี ไม่ปล่อยให้ผมยืนเจ็บอยู่แบบนี้


“วิคเตอร์ มาสิคะ ทุกคนรออยู่นะ” เสียงนาตาชาดังขึ้น เดาว่าวิคเตอร์คงยังไม่ได้เดินออกจากประตูบ้านไป เธอเลยเดินมาตาม


เสียงประตูบ้านปิดลงพร้อมกับเสียงพูดคุยของทุกคนจางหายไป ทุกคนออกไปจากบ้านแล้ว เหลือเพียงผมกับข้าวของมากมายที่ต้องเก็บกวาดทั้งในครัวและในสวน และเหลือเพียงผมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม น้ำตา… ที่ผมไม่รู้ว่ามันไหลเพราะอะไรกันแน่ เพราะมันหลายความรู้สึกเหลือเกินที่อยู่ในอกผมตอนนี้ มันเกิดอะไรกับหัวใจผม…



[อ่านตอนต่อไปด้านล่าง]

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 10.1-15:: 21.06.58
«ตอบ #69 เมื่อ21-06-2015 14:15:00 »



CHAPTER 15 :: I did my best.



ผมเก็บเศษขยะที่อยู่ในสวนหลังบ้านใส่ถุงดำใบโต ก้มๆ เงยๆ อยู่คนเดียวมาครึ่งชั่วโมงแล้ว เศษขยะก็เริ่มลดลงไปตามกาลเวลาที่ผมเก็บ อาการแสบร้อนที่โดนน้ำมันกระเด็นใส่ยังตุ่ยๆ อยู่ที่อุ้งมือและข้อแขน ตอนนี้มันแดงแจ๋ แล้วเหมือนเนื้อจะย่นๆ เล็กน้อยด้วย แต่ผมคิดว่าเกลือช่วยไว้ได้เยอะอย่างที่ตำราบอกไว้นะ น่าจะดีกว่ายาสีฟันที่ผมเคยใช้ตอนเด็กๆ ด้วยซ้ำ หลังจากตั้งสติได้และปาดน้ำตาทิ้งไปพร้อมกับความรู้สึกอ่อนแอในหัวใจ ผมก็เริ่มจัดการเก็บกวาดทำความสะอาดสวนหลังบ้าน อาหารมีเหลือทิ้งไว้บานเบอะ จนผมแอบรู้สึกเสียดายแรงที่ทำไป แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารล็อตหลังสุดก่อนที่ทุกคนจะออกไปปาร์ตี้ต่อกันมากกว่า


ผมลากถุงขยะสีดำใบใหญ่สองใบไปไว้ที่มุมบาร์ไม้ที่มีขวดเครื่องดื่มวางระเกะระกะเต็มไปหมด ผมจัดการเก็บขวดพวกนั้นลงถุง ขวดกระทบกันเสียงดังเคร้งคร้าง พอจัดการพวกขวดเสร็จ ผมก็จัดการเก็บแก้ว เก็บจานที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ใกล้ๆ ชิงช้าม้านั่ง แล้วเอาเข้าไปเก็บไว้ในครัวทีล่ะครึ่งจนหมด ผมกลับออกมาในสวนอีกครั้งหลังจากเก็บแก้ว เก็บจานอาหารหมดแล้ว เพื่อจัดการกับถุงสีดำใบใหญ่ด้วยความทุลักทุเล สุดท้ายผมก็ยกออกไปไม่ไหว เพราะพอออกแรงมากๆ ผมรู้สึกว่าแขนมันสั่นๆ ทั้งสองข้าง ข้างขวาก็ยังบวมๆ พองๆ เพราะโดนหม้อต้มยำ ส่วนข้างซ้ายก็โดนน้ำมันกระเด็นใส่ซะแดงเถือก ผมเลยทิ้งเอาไว้กะว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาจัดการอีกที



ผมเดินกลับเข้ามาในบ้าน เพื่อจัดการล้างจาน ล้างแก้วให้สะอาด ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้ปาไปเที่ยงคืนกว่าแล้ว อันที่จริงอีกไม่กี่นาทีก็จะตีหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ ผมหยิบมือถือมาพิมพ์ว้อทแอพแล้วส่งไปหาเอิร์ทบอกว่าไม่ต้องมารับแล้ว ก่อนจะวางมือถือไว้บนเค้าน์เตอร์ในครัว ผมถอนหายใจแล้วเดินไปจัดการจานชามหม้อไหกะละมังทั้งหลายแหล่ เพื่อที่จะได้รีบกลับบ้านไปนอน ตอนนี้สภาพร่างกายผมเยินอย่างที่ไม่ต้องส่องกระจกก็ตอบตัวเองได้


ระหว่างที่ล้างจานล้างแก้ว ความคิดมากมายก็ไหลผ่านหัวผมไปด้วย ตอนนี้ผมกลัวใจตัวเอง ผมกลัวว่ามันจะถลำลึกไปมากกว่าที่เคยบอกให้ตัวเองหยุดอยู่ในจุดที่ควรอยู่ ผมรู้ว่าถ้าใจผมมันไปมากกว่านี้ มันต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีกับผมแน่นอน กับการที่ผมน้ำตาไหลออกมาตอนที่มองหน้าวิคเตอร์ ตอนนั้นผมหวั่นใจมากนะว่าผู้ชายคนนี้กำลังจะมีอิทธิพลกับผมรึเปล่า ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น เพราะคนที่แย่ก็คือผมเต็มๆ ผมถอนหายใจพร้อมกับสะดุ้งเมื่อเปิดน้ำแรงเกินไปจนแสบแผลที่โดนน้ำมันกระเด็น ความคิดที่กำลังไหลไปมาเพลินๆ ในหัวกระจัดกระจายไปหมด ผมดึงกระดาษทิชชูออกมาซับน้ำที่แผลให้แห้ง ก่อนจะระมัดระวังในการล้างจานกับแก้วมากขึ้น ผมหน้าเหยเกสูดปากไปตลอดการล้างจานล้างแก้ว เพราะเจ็บทั้งมือขวา อุ้งมือซ้ายยาวไปข้อแขน


จนเวลาผ่านไปได้ชั่วโมงกว่ากับการล้างจานแบบน่าเวทนาเพราะสภาพมือสองข้างไม่เอื้ออำนวย ผมก็คว่ำจานใบสุดท้ายลงบนตะแกรงพักจานที่อัดแน่นไปด้วยจานชาม ส่วนถ้วยผมคว่ำแยกไว้บนผ้าขนหนู มองสำรวจไปรอบๆ ห้องครัว ทบทวนว่าลืมทำอะไรอีกรึเปล่า แต่จากที่ดูๆ ผมคิดว่ามันก็น่าจะหมดแล้วนะ ผมบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวออกไป ถอนหายใจแรงๆ ที่งานเสร็จหมดแล้ว ก่อนจะเดินไปหยิบมือถือ หยิบกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนเค้าน์เตอร์ครัว ปิดไฟดวงใหญ่เหลือแต่ดวงเล็กในครัวเอาไว้ ผมเดินไปที่ประตู จังหวะที่กำลังจะบิดลูกบิดเปิดประตูเสียงออดก็ดังขึ้นพอดี ทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย


“อ้าว คุณเบน?!” ผมเอ่ยถามด้วยสีหน้าเหลอหลาเมื่อเห็นเบนเนดิคท์ยืนประครองร่างวิคเตอร์ที่ดูท่าทางจะเมาหนัก ผมเหลือบสายตาไปมองนาตาชาที่หน้าตาบูดบึ้งอยู่ข้างซ้ายของวิคเตอร์ เธอจับแขนซ้ายเขาไว้เบาๆ และพยายามผลักใบหน้าเขาที่เอนเอียงไปซบกับคอเธอออก


“อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลยนะ ขอฉันพาไอ้ขี้เมานี่เข้าไปข้างในบ้านก่อน” ผมได้สติ รีบเปิดประตูบ้านให้กว้าง หลีกทางให้เบนเนดิคท์กับนาตาชาพาร่างวิคเตอร์เข้ามาในบ้าน ผมมองออกไปนอกประตูเพื่อดูว่ามีใครตามมาอีกมั้ย แต่ดูท่าจะมาแค่เบนเนดิคท์คนเดียว


“วิคเตอร์! ขอร้องล่ะ!” เสียงนาตาชาดังขึ้นเหมือนรำคาญเมื่อวิคเตอร์พยายามซุกไซร้ซอกคอของเธอและเอนน้ำหนักไปหาเธอเต็มๆ เบนเนดิคท์เองก็พยายามช่วยดึงร่างวิคเตอร์เอาไว้ไม่ให้เอนไปหานาตาชาที่มีท่าทีไม่พอใจ


สุดท้ายทั้งสองก็พาร่างวิคเตอร์ไปนอนล้มตึงบนโซฟาสีขาวตัวใหญ่ที่ผมเคยมานอนจนได้ นาตาชาแกะแขนวิคเตอร์ที่โอบรอบร่างหล่อนออกแทบจะทันทีเมื่อร่างเขาแผ่หลาอยู่บนเตียง ส่วนเบนเนดิคท์หายใจหอบเหนื่อยๆ อยู่พักหนึ่งก่อนจะหันไปพูดกับนาตาชา


“แนทครับ ผมว่าเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้มันดีกว่านะ” นาตาชาย่นคิ้ว กอดอกมองร่างวิคเตอร์เล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเหมือนจำใจ แล้วเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น ผมหันไปมองเบนเนดิคท์ด้วยสายตางงๆ อีกฝ่ายเหมือนจะเข้าใจว่าผมต้องการจะพูดจะถามอะไร เขายักไหล่ ยิ้มยิงฟันแหยๆ ก่อนจะตอบ


“ฉลองกันหนักไปหน่อย ทุกคนรุมส่งเครื่องดื่มแสดงความยินดีให้มันทั้ง วอดก้า ค็อกเทลล์ ไวน์ เบียร์ แล้วก็จอนห์นี่วอล์คเกอร์” ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หันไปมองร่างสลบไสลของวิคเตอร์ที่นอนหมดสภาพความเป็นพระเอก หมดภาพลักษณ์ทั้งหมดของเขาเลยทีเดียว ใบหน้าเขามันแผลบและแดงเถือก ตัวแดงนิดๆ กลิ่นเหล้าโชยออกมาจากตัวเขา ขนาดผมยืนอยู่ห่างร่างเขายังได้กลิ่นจางๆ จนต้องแอบย่นจมูกนิดๆ


“เขาคออ่อนขนาดนี้เลยเหรอครับ” ผมหันไปเลิกคิ้วถามกับเบนเนดิคท์ที่ยิ้มขำๆ ที่มุมปาก


“โถ่ แมท ใครเจอแบบมันก็ทรุดทั้งนั้นแหละ ไหนจะบวกกับที่กินตอนอยู่บ้านอีกล่ะ”


“แล้วปกติเขาดื่มเหล้าเก่งมั้ยครับ”


“ก็ไม่ถึงขั้นคอแข็งอะไรมาก มึนๆ เมาๆ แต่อยู่ได้ทั้งคืนยันเช้า มีไม่กี่ครั้งหรอกที่เป็นแบบนี้” ผมทำเสียงว่า อ้อ เบาๆ แล้วพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะถามต่อเมื่อนึกขึ้นได้


“แล้วคนอื่นๆ ไปไหนล่ะครับ”


“ฉันให้กลับไปแล้วล่ะ แบ่งกันไปดูแล ไอ้โจดูไอ้อันเดร ส่วนเอริคดูไอ้ชาร์ลี แฟนมันคนเดียวแบกไม่ไหวหรอก ตัวอย่างกับนักมวยปล้ำขนาดนั้น” ผมพยักหน้าด้วยความเข้าใจ ก่อนจะหันไปมองนาตาชาหน้าตาหงิกงอที่ถืออ่างน้ำเข้ามา มีผ้าขนหนูสีขาวพาดไหล่ เธอวางอ่างน้ำใสๆ ไว้บนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างๆ ร่างวิคเตอร์ก่อนที่เธอจะย่นจมูกด้วยความเหม็นกลิ่นเหล้า คงไม่ต้องบอกว่าพอเข้าไปใกล้ขนาดนั้นกลิ่นเหล้าบวกกับกลิ่นเหงื่อของเขาจะแรงแค่ไหน


“อี๋! ฉันอยากจะอ้วกกลับกลิ่นตัวเขาตอนนี้ซะจริง” เธอบอกเสียงแหลม ผิดกับเวลาปกติที่จะเสียงอ่อนเสียงหวาน ผมเผลอหันไปมองหน้ากับเบนเนดิคท์ที่มองกลับมาอย่างเก้อๆ เช่นกัน


“เอ่อ เดี๋ยวผมช่วยครับแนท” เบนเนดิคท์ละดวงตาสีเทาเข้มของเขาไปจากผมแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างๆ อีกฝั่งของร่างวิคเตอร์ ออกแรงช่วยยกให้ร่างเขานั่งตรงๆ นาตาชาถอนหายใจหนักๆ หยิบผ้าขนหนูไปชุบน้ำ บิดหมาดๆ แล้วเตรียมจะเช็ดหน้าให้วิคเตอร์ แต่พอเธอเห็นเขาทำท่าพะอืดพะอม เธอก็ตาโตแล้วกระเถิบลุกขึ้นหนีทันที ผมรีบวิ่งเข้าไปแทนที่เธอทันทีเช่นกันแล้วเอามือซ้ายปิดปากเขาไว้เพื่อไม่ให้เขาพุ่งอ้วกออกมาจากปาก แต่ก็ยังมีเล็ดลอดออกมาเลอะมือผมเล็กน้อยอยู่ดี


“Oh! Fuck! I can’t—please take care of him. (โอ้! ให้ตายสิ! ฉันไม่ล่ะ ฝากดูแลเขาทีนะ)” เธอบอกอย่างยอมแพ้ ยกมือขึ้นสองข้างว่าไม่เอาแล้ว ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น เดินตรงขึ้นไปบนบันไดบ้าน ทิ้งความเงียบและความเอ๋อไว้ให้ผมกับเบนเนดิคท์ที่กำลังมองหน้ากันอย่างเหลอหลา ก่อนที่เบนเนดิคท์จะพูดเสียงแผ่วพร้อมหน้าตาเหลือเชื่อ


“She is really fucking loves her boyfriend. (เธอแม่งโคตรรักแฟนตัวเองเลยว่ะ)” ผมยิ้มแหยๆ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อวิคเตอร์ปล่อยอ้วกออกมาล้นมือซ้ายผมที่ปิดปากเขาไว้ สุดท้ายผมเลยปล่อยให้เขาอ้วกลงพื้นห้องนั่งเล่น เขาโก่งตัวไปข้างหน้าเพื่ออ้วก ลำตัวพาดผ่านหน้าตักผม ผมใช้มือขวาลูบหลังเขาขึ้นเบาๆ เพื่อให้เขาอ้วกออกมาให้หมด เอื้อมมือซ้ายไปหยิบผ้าขนหนูที่ชุบน้ำไว้มาเช็ดรอบๆ ปากเขาที่เลอะอ้วก


“แมท มือนายเลอะอ้วกหมดแล้วนะ” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเบนเนดิคท์ที่มองกลับมาด้วยแววตาทึ่งน้อยๆ แต่ก็มีแววยิ้มของนัยน์ตาอยู่ด้วย ผมยิ้มแหยๆ ให้เขา มือขวาก็ลูบหลังวิคเตอร์เบาๆ ต่อไป จนเขาเริ่มนิ่ง แขนซ้ายผมเปื้อนและเปียกอ้วกเขาจนเยิ้มไปหมด และยังเลอะเป็นดวงๆ ตรงขาซ้ายทั้งตรงต้นขาและตรงน่อง ดีที่วันนี้ผมสวมกางเกงยีนส์ ไม่งั้นผมคงได้อาบน้ำอ้วกของเขาเต็มขาแน่นอน


“เอิ่กกก...” วิคเตอร์ส่งเสียงเรอเป็นลมออกมาหลังจากปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในท้องออกมาจนหมด ผมมองพื้นห้องนั่งเล่นก็เห็นกองอ้วกที่ไม่ควรบรรยายอย่างยิ่งว่ามันเป็นสภาพไหน เพราะมันจะทำให้ผมอ้วกตาม เกิดอาการพะอืดพะอมในอกผมเล็กน้อย แต่ผมก็พยายามกลั้นไว้แล้วแข็งใจเอาผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดรอบๆ ปากเขาให้สะอาด ก่อนจะเอามาซับมือซ้ายตัวเองเบาๆ


“เฮ้! แขนนายเป็นอะไร ทำไมแดงแบบนั้น” เบนเนดิคท์ร้องถามเสียงดัง ผมหันไปมองเขาที่ขมวดคิ้วอยู่ด้วยความตกใจกับเสียงของเขา ผมอ้าปากน้อยๆ เพื่อจะตอบคำถามเขา แต่พอจะตอบจริงๆ ก็ดันไม่รู้จะพูดอะไร เลยมองสลับหน้าเขากับแขนตัวเองก่อนจะตอบแบบมึนๆ


“ผมทอดไก่ แล้วน้ำมันกระเด็นใส่น่ะครับ ไม่มีอะไรมากหรอก” เบนเนดิคท์ย่นคิ้วอย่างหนัก ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินอ้อมหลังโซฟามาใกล้ๆ ผม เขาจับแขนผมไปดูแล้วก็ต้องทำตาโต


“ไม่มีอะไรได้ไง เดี๋ยวพอมันเป็นแผล นายได้สยองแน่” ผมยิ้มน้อยๆ แล้วค่อยๆ ดึงแขนตัวเองออกจากมือเขาเบาๆ ก่อนจะก้มลงมองวิคเตอร์ที่นอนเอาแก้มซ้ายแนบไปกับตักผม แล้วเงยหน้ามองเบนเนดิคท์ที่มองกลับมาด้วยสายตาจริงจัง


“เดี๋ยวฝากเขาไว้แปบนึงนะครับ ผมจะไปเอาผ้าขนหนูผืนใหม่มาเช็ดตัวให้เขา เสร็จแล้วจะได้พาเขาขึ้นไปส่งที่ห้องนอน” เบนเนดิคท์มองหน้าผมเหมือนไม่อยากจะเชื่อ เขาทำปากยื่นน้อยๆ ก่อนจะทำสีหน้าปลดปลง


“ให้มันนอนตรงนี้แหละ ขึ้นไปนอนข้างบนคงไม่พ้นนาตาชาคงถีบลงมานอนพื้น นายไม่เห็นที่เธอแสดงความรักต่อมันเมื่อกี้นี้รึไง” ผมอดจะหัวเราะกับคำพูดคำจาประชดประชันแต่หน้าตานิ่งๆ หล่อๆ ของเขาไม่ได้ ผมจัดการยกหัวของไอ้ยักษ์หน้าหนวดออกจากตักเพื่อจะได้ลุกออกไปเอาผ้าขนหนูมาให้เขา เบนเนดิคท์ขึ้นไปยืนบนโซฟาแล้วเดินอ้อมหลังผมไปข้างวิคเตอร์อีกฝั่ง ก่อนจะช่วยพยุงร่างวิคเตอร์เอาไว้ ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินก้าวข้ามกองอ้วกออกไปจากห้องนั่งเล่น ตรงไปที่ห้องซักรีด หยิบผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็ก มองหาเสื้อยืดใส่นอนพร้อมกับกางเกงนอนให้เขา ก่อนจะหอบเอาผ้าน่วมพร้อมหมอนที่เก็บไว้ในห้องออกไปด้วย
ผมเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่น เอาผ้านวมกับหมอนวางไว้ที่โซฟาตัวยาวอีกตัวโดยมีชุดนอนเขาวางทับอยู่บนนั้น เบนเนดิคท์กำลังนั่งอยู่ข้างๆ วิคเตอร์ที่นอนเอาหัวพิงพนักโซฟาตัวกว้างเหมือนเตียงขนาดเล็กไว้ พ่อหนุ่มผมทองเหมือนรวงข้าวสุกตาสีเทาเข้มมองผมแล้วยิ้มน้อยๆ ผมยิ้มตอบกลับไป เอาผ้าชุบน้ำในอ่างใส บิดผ้าให้หมาดๆ แล้วยื่นผ้าให้เบนเนดิคท์ที่ทำหน้าเหลอหลา


“เช็ดตัวให้เขาหน่อยได้มั้ยครับ เดี๋ยวผมจะเช็ดอ้วกที่พื้น”


“เหวอ! ไม่เอาล่ะ ถึงฉันจะเป็นเกย์ แต่ฉันไม่พิศวาสไอ้วิคเตอร์หรอกนะ” คราวนี้เป็นผมที่หน้าเหวอ อ้าปากหวอ จ้องมองเบนเนดิคท์จนลูกตาแทบเด้งออกจากเบ้า อีกฝ่ายเห็นแบบนั้นก็หัวเราะด้วยความขำออกมา


“คุณ… โอ้ว… เอ่อ คือไม่อยากจะเชื่อ คุณดูเป็นผู้ชายมากครับ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี คือเขาดูเป็นผู้ชายปกติมาก ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ และไม่คิดด้วยว่าเขาจะเป็น คือเขาหล่อ เขาน่ารัก จนไม่ควรเป็นเกย์ เขาดูเหมาะกับผู้หญิงมากกว่า


“ก็ยังเป็นผู้ชายทางกายภาพนะ แค่ฉันชอบผู้ชายด้วยกันเท่านั้นเอง” เขาตอบแล้วยิ้มกริ่ม ผมยิ้มเอ๋อๆ ตอบกลับไปก่อนจะตั้งสติเพื่อพูดในสิ่งที่ค้างไว้อยู่ต่อ


“เอ่อ… ถ้าคุณไม่เช็ดตัวให้เขา งั้นผมวานคุณทำความสะอาดพื้นได้รึเปล่าครับ” เบนเนดิคท์เลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง พลางทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะลุกขึ้นยืน


“ฉันยอมเช็ดอ้วกดีกว่าเช็ดตัวมัน” ผมยิ้มขำๆ แล้วเดินไปนั่งแทนที่เขา ส่วนเขาเดินออกไปนอกห้องนั่งเล่นเพื่อไปเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดพื้น


ผมนั่งชันเข่าแล้วโน้มตัวไปเช็ดหน้าให้วิคเตอร์ เขาส่งเสียงครางในลำคอเมื่อโดนผ้าชุบน้ำเย็นๆ สัมผัสที่หน้า ผมต้องคอยจับหน้าเขาที่พยายามเบี่ยงหนีไว้ แล้วเช็ดผ้าไปตามสันกรอบหน้าและคางเรียวแต่ไม่แหลมของเขา กดผ้าแช่ไว้เบาๆ ตรงดวงตาทั้งสองข้างเพื่อให้เขาหลับสบายมากขึ้น ผมช่างใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะดึงชายเสื้อยืดสีขาวคอวีของเขาออกจากตัวด้วยความทุลักทุเล เพราะเขาพยายามปัดมือผมออก กว่าผมจะดึงเสื้อยืดเขาให้หลุดออกจากแขนและหัวเขาได้ก็เป็นจังหวะที่เบนเนดิคท์เดินกลับเข้ามาพร้อมกับถังน้ำและไม้ถูพื้นพอดี


“ตอนเมา มันก็ยังแผลงฤทธิ์ใส่นายอีกนะ” เขาบอกยิ้มๆ พร้อมวางถังน้ำไว้แถวๆ โต๊ะกระจก ผมยิ้มตอบกลับไป เอาผ้าขนหนูชุบน้ำอีกรอบ บิดให้หมาดๆ ก่อนจะเริ่มเช็ดตรงช่วงลำคอของเขา ไล่มาจากปีกไหล่ขวา เช็ดตรงกล้ามแขนลากยาวมาถึงมือ ก่อนจะโน้มตัวไปทำแบบเดียวกันกับแขนซ้ายของเขา พอเสร็จก็เปลี่ยนมาเช็ดช่วงหน้าอกกับลำตัวเขาแทน ชั่วโมงนี้ผมไม่มีคำว่าเขินละ เพราะกลิ่นเหล้ากลิ่นตัวเขาฟุ้งมาก ผมพยายามจะช่วยเช็ดให้กลิ่นมันจางลง


“Fuck…(โว้ย…)” เขาส่งเสียงครางเบาๆ มือไม้ปัดป่ายไปมาราวกับรำคาญที่ผมกำลังเช็ดตัวเขาอยู่ ผมแอบตีมือเขาด้วยความหมั่นไส้จนเบนเนดิคท์หัวเราะเบาๆ ผมออกแรงดันร่างหนักๆ และหนาของเขาให้นั่งตรงๆ ก่อนจะรีบเช็ดช่วงหลังของเขาก่อนจะปล่อยให้เขานอนพิงพนักตามเดิม ผมยกแขนขวาเขาขึ้นแล้วเช็ดใต้รักแร้อันเป็นแหล่งสะสมกลิ่นชั้นดี


“อืมมม…” เขาส่งเสียงครางเบาๆ เมื่อผมลากผ้าขนหนูไปมาสองสามทีใต้รักแร้ขวาของเขา ก่อนจะเปลี่ยนไปเอื้อมยกแขนซ้ายเขาขึ้นแล้วเช็ดแบบเดียวกัน วิคเตอร์ส่งเสียงครางกระเส่าออกมาจากปาก จนเบนเนดิคท์ที่กำลังเช็ดพื้นให้สะอาดอยู่ถึงกับหัวเราะก๊าก


“ไอ้บ้านี่เมาก็ยังจะมีอารมณ์นะ” ผมหันไปยิ้มขำๆ กับเบนเนดิคท์ ก่อนจะปล่อยแขนซ้ายของวิคเตอร์ทิ้งลงข้างตัวตามเดิม พอหันกลับไปมองหน้าเขา ก็เห็นว่าเขาปรือตามองผมอยู่


“Are you okay, mr.raymond? (คุณเรย์มอนด์ คุณโอเคนะครับ)” ผมถามพลางดันตัวกลับไปนั่งคุกเข่าตามเดิม วิคเตอร์เอียงหน้าและสายตาปรือๆ มามองผม ผมเอียงคอมองเขาแล้วยิ้มน้อยๆ วิคเตอร์ไม่ได้ตอบอะไร แต่สักพักเขาก็พุ่งตัวเข้ามาหาผมจนผมล้มลงตัวเอียงขวาติดกับโซฟาเพราะว่านั่งอยู่ในท่าคุกเข่า ผมหน้าเหวอ แล้วรีบเอามือดันไหล่เขาไว้


“เฮ้ยๆๆ ไอ้วิคเตอร์! แกเพี้ยนไปแล้วรึไงวะ นั่นมันแมทนะเว้ย ไม่ใช่นาตาชา” เบนเนดิคท์เอาไม้ถูพื้นทิ่มไว้ในถังน้ำแล้วเข้ามาช่วยดึงวิคเตอร์ที่คร่อมร่างผมอยู่ออกไป ตอนแรกวิคเตอร์ฝืนร่างเอาไว้ไม่ยอมไปตามแรงของเบนเนดิคท์ แต่ผมผมช่วยดันอีกแรง ร่างเขาก็เลยลอยไปตามแรงดันและแรงดึง ผมดันตัวเองลุกขึ้น แล้วเหวี่ยงขาลงไปยืนบนพื้นอย่างเร็ว เปลือกตาเขาปิดสนิทอีกครั้ง


“เมาแล้วจะปล้ำไปเรื่อย” เบนเนดิคท์บ่นพลางขยับร่างวิคเตอร์ให้อยู่ในท่านอนสบายๆ ผมอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่า ตอนมันไม่เมา มันก็จะปล้ำผม


“ขอหมอนกับผ้าห่มหน่อยสิแมท” ผมหันหลังไปหยิบชุดนอนวิคเตอร์ออกไปวางบนโต๊ะ แล้วอุ้มผ้านวมผืนใหญ่สีขาวกับหมอนใบโตสีเดียวกันไปให้เบนเนดิคท์จัดแจงให้กับวิคเตอร์ เบนเนดิคท์ยกหัววิคเตอร์ให้นอนบนหมอนสบายๆ ส่วนผมคลี่ผ้าน่วมออกแล้วห่มร่างเปลือยท่อนบนของเขา ส่วนท่อนล่างเขาใส่กางเกงยีนส์อยู่ ชุดนอนคงลำบากที่จะเปลี่ยนแล้วล่ะ


“พื้นเรียบร้อยดีมั้ยครับคุณเบน” เบนเนดิคท์พยักหน้า ผมเขยิบไปมองก็เห็นว่าพื้นที่เปื้อนอ้วกก่อนหน้านี้ ตอนนี้สะอาดเป็นปกติแล้ว ผมเงยหน้ายิ้มให้เบนเนดิคท์ก่อนจะเดินไปตรงซุ้มประตูโค้งของห้องนั่งเล่น เปิดเครื่องปรับอากาศและปรับอุณหภูมิให้เย็นพอเหมาะ


“นายเลอะอ้วกอยู่นะแมท” เบนเนดิคท์บอกพลางถือถังน้ำด้วยมือซ้ายและถือไม้ถูพื้นด้วยมือขวา ผมก้มลงมองตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าตอบเขา


“นิดเดียวเองครับ ไม่ได้มากมายอะไร” เบนเนดิคท์มองผมแล้วยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะเดินมาทางผม


“แล้วนายกลับยังไง”


“รถไฟใต้ดินครับ”


“กลับพร้อมฉันก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันไปส่ง” ผมมองเขาอย่างเงอะงะ ยิ้มออกมาอย่างงงๆ


“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองได้” เบนเนดิคท์ทำหน้าเอือมเล็กๆ แล้วส่ายหัวน้อยๆ ก่อนจะว่าเสียงดุๆ


“ไม่ไว้ใจฉันรึไง” ผมตาโต รีบยกมือโบกปฏิเสธเขาทันควัน


“เปล่า เปล่าครับ ผมแค่ไม่อยากให้คุณลำบาก ผมอยู่ตั้งบรู๊คลินเลยนะ”


“แล้วบรู๊คลินมันอยู่ในนิวยอร์คมั้ย ถ้าตราบใดที่มันยังไม่ย้ายไปแคนาดา ฉันก็ยังไปส่งนายได้” เขายักคิ้วแล้วเดินถือของออกไปเก็บ ผมมองตามแผ่นหลังของร่างโปร่งไปก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆ พอหันกลับไปมองร่างของไอ้ยักษ์ขี้เมาที่หลับสนิทไปแล้วก็ได้แค่ถอนใจว่าทำไมเขาไม่ใจดีกับผมแบบคนอื่นๆ บ้าง แล้วผมก็ได้ตอบกลับมาว่า เพราะผมไม่ใช่เมียเขาไง ผมไม่ใช่นาตาชา ผมเป็นลูกน้อง เป็นขี้ข้าของเขา


“ไปกันเถอะ” เสียงเบนเนดิคท์ดังขึ้น ผมหันไปมองแล้วยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะหันกลับไปมองวิคเตอร์อีกครั้งด้วยความเป็นห่วง


“มันหลับปุ๋ยไปแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก” ผมหันกลับไปมองเบนเนดิคท์ด้วยรอยยิ้มเหลอหลา


“เอ่อ… ครับ กลับกันเถอะ” เบนเนดิคท์หมุนตัวเดินออกไป ผมก้าวเท้าเดินตามเขาไป แต่ก็ไม่วายหันกลับไปมองวิคเตอร์อีกครั้ง มองดูภาพที่เขาหลับสนิทและส่งเสียงกรนเบาๆ ด้วยความห่วง ผมสลัดความห่วงใยใดๆ ที่มีให้เขาทิ้งไป ก่อนจะรีบก้าวเท้าตามเบนเนดิคท์ออกจากห้องนั่งเล่นไป พอเดินผ่านมาที่ครัวผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้


“เอ่อ… คุณเบนเนดิคท์ครับ” คนถูกเรียกหันกลับมามองด้วยความสงสัย ผมอ้อมแอ้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะว่าต่อ


“ผมขอเวลาสักครู่ได้มั้ยครับ” เขามองหน้าผมด้วยสายตาไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบ


“ได้สิ”



[มีต่อด้านล่าง]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 10.1-15:: 21.06.58
« ตอบ #69 เมื่อ: 21-06-2015 14:15:00 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 10.1-15:: 21.06.58
«ตอบ #70 เมื่อ21-06-2015 14:19:03 »



“นั่งนิ่งมานานแล้วนะ เป็นอะไรรึเปล่า” ผมเหมือนหลุดจาภวังค์ หันไปมองหน้าเบนเนดิคท์ที่มองกลับมาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ผมกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย มือขวายังคงลูบที่แผลโดนน้ำมันกระเด็นใส่ไปมาเบาๆ


“ห่วงไอ้วิคเตอร์หรอ” ผมเกือบสะดุ้งแต่ก็เบรกตัวเองไว้ทัน ก่อนจะปั้นยิ้มให้ดูเป็นปกติที่สุด


“ก็… เขาดูเมามากน่ะครับ”


“ไม่ต้องห่วงมันหรอก ตื่นเช้ามาเดี๋ยวมันก็หายแล้ว วันนี้มันโดนจัดหนักไปหน่อยเลยหมดสภาพ แต่ปกติมันอึดจะตาย”  ผมยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้ารับรู้เบาๆ พลางนึกถึงภาพสุดท้ายของวิคเตอร์ที่นอนหลับสนิทอยู่บนโซฟา


“แมท… ห่วงตัวเองก่อนมั้ย สภาพนายตอนนี้แย่มากนะ เลอะอ้วก ไหนจะแผลที่แขน มือที่พองนั่นอีก” เบนเนดิคท์บอกเหมือนกำลังอ่อนอกอ่อนใจในตอนที่เขาตีไฟเลี้ยวซ้ายแถวๆ ถนนใกล้เซ็นทรัลปาร์คในยามค่ำคืนที่มีไฟประดับไปตามต้นไม้อย่างน่ามอง


“ผมแค่… เป็นห่วง เพราะผมดูแลเขา”


“ที่ฉันเห็น นายก็ดูแลอย่างดีที่สุดแล้วนะ ดีกว่าแฟนมันเองอีก”


“นาตาชาเขาคงไม่ชอบกลิ่นเหล้ามั้งครับ” เบนเนดิคท์ยิ้มเยาะที่มุมปาก


“นั่นเป็นเหตุผลที่โคตรปัญญาอ่อน คนกินเหล้าจะให้มีกลิ่นน้ำหอมของปราด้าติดตัวรึไง ฉันว่ายัยนั่นรับสภาพไอ้วิคเตอร์ตอนไม่ปกติไม่ได้มากกว่า” ผมขมวดคิ้วมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ อีกฝ่ายยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะว่าต่อ


“วิคเตอร์มันคบกับผู้หญิงคนนี้ไปได้ยังไง มาคบกับนายฉันว่าจะยังดีซะกว่า” ผมเลิกคิ้วฉับ ตาโตด้วยความตกใจกับประโยคนั้นของเขา


“เอ่อ… เพราะคุณนาตาชา เขาเป็นผู้หญิงไงครับ แล้ววิคเตอร์ก็เป็นผู้ชาย ฉะนั้นเขาคบกันก็ถูกต้องแล้วนี่ครับ” เบนเนดิคท์หัวเราะ ผมยิ้มตามเมื่อเห็นรอยยิ้มอันสดใสของเขา


“ก็ถูกต้องตามกฎธรรมชาติและกฎทางสังคมของคนบางพวกเท่านั้นแหละ ที่ฉันสงสัยคือ มันมองผู้หญิงคนนั้นในมุมไหนถึงได้ตกลงคบกัน”


“เขาก็คงมีมุมดีๆ ที่รู้กันอยู่สองคนมั้งครับ ไม่งั้นเขาจะคบกันทำไม”


“มุมดีๆ ที่ว่าก็คงเป็นเรื่องเซ็กส์นั่นแหละ คงตอบสนองต่อกันดีล่ะมั้ง เลยคบกัน” ผมคิดตามแล้วก็เห็นความเป็นไปได้ คนที่ใช้เซ็กส์นำหน้าก่อนความรู้สึกอื่นๆ อย่างเขา ก็คงไม่ยากที่จะคบกับนาตาชา


“แต่ว่า ก่อนที่จะคบกัน วิคเตอร์กับนาตาชาเขาคุยกันมาสักพักแล้วนะครับ ถ้าเขาคบกันเพราะเซ็กส์จริงๆ ผมว่าวิคเตอร์คงคบกับผู้หญิงไปเป็นร้อยแล้ว” เบนเนดิคท์หัวเราะเสียงดังกังวานห้องโดยสารรถบีเอ็มดับเบิลยูตาเหยี่ยวสีดำของเขา


“นี่นายปกป้องใครอยู่เนี่ย วิคเตอร์หรือนาตาชา…” เบนเนดิคท์มองผมแล้วยิ้มขำที่มุมปากทั้งสองข้าง ก่อนจะว่าต่อ “…ก็อาจจะมีล่ะเนอะ ฉันก็พูดในมุมมองที่ฉันมองเขาสองคน ก็จริงอย่างที่นายว่า มันคงมีอะไรดีๆ ที่รู้กันอยู่สองคน” ผมระบายยิ้มอ่อนๆ ตอบกลับไป


“แล้วนายล่ะ มีมุมดีๆ กับวิคเตอร์บ้างมั้ย ฉันเห็นนายกับเขาดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่” ผมขำพรืด นึกขำที่เบนฯ พูดประเด็นนี้ขึ้นมา


“มุมดีๆ ก็มีครับ แต่มุมไม่ดีน่าจะเยอะกว่า” ผมหัวเราะน้อยๆ อยากจะบอกเหลือเกินว่ายิ่งมุมหื่นๆ นี่ยิ่งเด่นชัด นึกแล้วก็ได้แต่ปลดปลงในใจว่า จบฝึกงานไปผมคงแกร่งเพราะผู้ชายที่ชื่อวิคเตอร์ขึ้นเยอะ เบนเนดิคท์ยิ้มขำๆ ก่อนจะบอกเสียงล้อๆ


“จากที่เห็นวันนี้ก็น่ายืนยันคำตอบของนายได้…” เขายิ้มให้ผม ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองที่แขนซ้ายผมที่ตอนนี้อาการดีขึ้น แต่ทิ้งร่องรอยแดงคล้ำเป็นแนวยาวตั้งแต่อุ้งมือพาดยาวเฉียงขวาตรงข้อแขนเกือบถึงกลางแขน


“ดูแลตัวเองด้วยนะแมท นายอาจจะเต็มใจทำในสิ่งที่นายกำลังทำอยู่ แต่ดูแลตัวเองด้วย และไม่ใช่แค่ตัว ดูแลหัวใจตัวเองให้ดีๆ เจอแบบนี้มากๆ ฉันกลัวว่าใจนายจะช้ำซะก่อน อ้อ แล้วขอโทษด้วยนะ ถ้าวันนี้ฉันมีส่วนให้นายเป็นแบบนี้” ผมตาโต ยกมือโบกพัลวันพร้อมส่ายหัวรัวๆ


“ไม่เลยครับ นี่มันเป็นเพราะความเซ่อของผมเองต่างหาก พวกคุณไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่ผมทำตัวเองทั้งนั้น” เบนเนดิคท์ยิ้มอย่างอ่อนโยน ดวงตาสีเทาเข้มของเขามองผมด้วยแววตาแห่งความใจดี


“เพราะนายเป็นแบบนี้สินะ ถึงอยู่กับวิคเตอร์ได้” ผมมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ ยิ้มงงๆ กับคำพูดของเขา


“แบบไหนเหรอครับ”


“ก็แบบที่นายเป็นนายนั่นแหละ ไม่รู้จะอธิบายยังไงหมด แต่ที่นายทนนิสัยไอ้วิคเตอร์ได้ขนาดนี้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน” ผมหัวเราะร่า เป็นการหัวเราะที่เหมือนได้ปลดปล่อยความอึดอัด ความเหนื่อยล้าออกจากร่างกายและจิตใจ เราเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเป็นเรื่องทั่วไป ไม่เอาประเด็นวิคเตอร์มากวนใจผมอีก แล้วผมก็ได้รู้ว่าเบนเนดิคท์เองก็เป็นนายแบบเหมือนกัน แต่รับแค่งานถ่ายแบบเดินแบบทั่วไป ไม่มีงานแสดง เพราะรูปร่างหน้าตาเขามาแค่ทางนี้จริงๆ และเขาก็เป็นหนุ่มอเมริกันตัวจริงเสียงจริงที่เกิดและโตที่นี่แต่บ้านอยู่ที่ซานฟรานซิสโก ผมตื่นเต้นใหญ่เพราะเป็นอีกเมืองที่ผมอยากไปหลังจากจบฝึกงาน ซึ่งเขาก็ออกปากชวนให้ไปพักบ้านเขาหากผมแวะไปจริงๆ


“เดี๋ยวฉันเป็นไกด์พานายเที่ยวเอง ฉันจะพาไปทุกซอกทุกมุมของซานฟรานฯ” เบนเนดิคท์บอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง แล้วชะลอรถที่หน้าบ้านป้าแมร์รี่ตามที่ผมบอก ผมยิ้มพลางปลดสายเข็มขัดออกจากตัว


“ขอบคุณล่วงหน้าเลยแล้วกันนะครับ เพราะคิดว่าผมคงต้องไปแน่ๆ” ผมหัวเราะอารมณ์ดี เบนเนดิคท์คลี่ริมฝีปากสีชมพูเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่นมาให้ ก่อนที่เขาจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้ผมเล็กน้อย แต่ไม่ได้ใกล้ประชิดจนชวนประหม่า ดวงตาสีเทาเขามองผมเหมือนจะมีแววชื่นชมอยู่


“รู้อะไรมั้ย ถ้าฉันเป็นไอ้วิคเตอร์ ฉันจะขอนายเป็นแฟน” ผมทำหน้ามึน ยิ้มออกมาอย่างมึนๆ จนเบนเนดิคท์ยิ้มมุมปากด้วยความขำ


“ขอได้ไงล่ะครับ เขาเป็นผู้ชายปกติ เขาไม่ใช่เกย์” เบนเนดิคท์เลิกคิ้วสีทองอ่อน (ที่เมื่อมองใกล้ๆ จะเห็นว่ามีสีน้ำตาลผสมอยู่ด้วย) ขึ้นสูงเหมือนกำลังใช้ความคิด


“บางทีไม่ต้องเป็นเกย์หรอกถึงจะคบผู้ชายด้วยกัน ผู้ชายปกติก็คบกันเองได้ ถ้าใจเขารักกัน มันอยู่ที่ใจมากกว่า เพียงแต่ ถ้าเป็นเกย์ด้วยกันมันก็ไม่ค่อยยากแบบที่นายคิดเท่านั้นเอง เรื่องแบบนี้มันคือเรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่เรื่องของกายภาพและสรีระร่างกาย” ผมพยักหน้าช้าๆ กับคำพูดของเขา


“แต่คงไม่ใช่กับวิคเตอร์หรอกครับ และก็คงไม่ใช่กับผู้ชายหลายๆ คนด้วย” เบนเนดิคท์แบะปากเล็กน้อย


“แต่ฉันว่าถ้าผู้ชายอย่างวิคเตอร์เจอผู้ชายดีๆ แบบนาย ก็ไม่แน่นะ” ผมยิ้มขื่นๆ ก่อนจะบอกเสียงแผ่ว


“คนดีกับคนที่รัก มันคนล่ะคนกันครับ มันทดแทนหรือว่าแทนที่กันไม่ได้ ผมพิสูจน์มาแล้ว ความดีกับความรักมันคนล่ะอย่างกัน” ผมพูดแล้วก็นึกย้อนไปถึงไอ้ความรักหกปีที่ผมมี ยิ่งคิดก็ยิ่งหดหู่ ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตด้านความรักของผมแม่งเป็นไปได้ยากจัง


“ฉันเจอข้อเสียของนายอย่างนึงละ นายชอบดูถูกตัวเอง นายชอบทำลายความหวังในเรื่องความรักของตัวเอง” ผมนิ่งไปนิด ยิ้มมุมปากหน่อยๆ แล้ส่ายหัวเบาๆ


“เพราะผมเคยเจอมาแล้วนี่ครับ”


“มันก็ไม่ได้หมายความว่านายจะยึดความผิดหวังครั้งนั้นมาทำลายความหวังครั้งอื่นๆ นะ” ผมยิ้มอ่อนๆ รู้สึกดีกับคำพูดเขาอยู่เหมือนกัน


“ขอบคุณนะครับคุณเบน” เขายิ้มหล่อ ผมยิ้มตอบกลับไป หันไปเตรียมตัวเปิดประตูรถ แต่เสียงของเบนเนดิคท์ก็ทำเอาผมชะงัก


“ที่ฉันบอกว่าถ้าฉันเป็นวิคเตอร์ฉันจะขอนายเป็นแฟน ฉันไม่ได้พูดแทนมันนะ แต่ฉันพูดถึงตัวฉันเอง ถ้าฉันมีนายอยู่ใกล้ๆ แบบมัน ฉันคงทำใจให้ชอบคนดีๆ แบบนายไม่ได้” ใจผมเต้นตุบๆ หันหน้าไปมองเขาด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ว้าว! มีหนุ่มอเมริกันมาชอบ กรี๊ด! เอ้ย! นี่คืออะไร ดีใจหรืออะไร แต่งงมากกว่า โอ้ย! มาอยู่อเมริกาแล้วขายออกกับผู้ชายตั้งสองคน ทั้งอเมกัน ทั้งไทยด้วยกันเอง


โอนสัญชาติแปบบบ!


“โอ้ว… ดีใจจังที่มีคนพูดแบบนี้ คือ นานๆ ทีจะมีคนพูดแบบนี้กับผม คือหมายถึงเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีคนพูดแบบนี้กับผม แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะมีคนพูดอีกครั้ง ผมว่า… ผมไม่มีอะไรเลย ผมเหมือนแฟชั่นที่เชยตกยุคไปแล้ว” ผมพูดด้วยความสับสน หน้าเอิร์ทก็ลอยเข้ามาในหัวตอนพูด เบนเนดิคท์ยิ้มกว้างด้วยความตลก คงตลกหน้าผมที่เดี๋ยวย่น เดี่ยวคลาย


“แฟชั่นเก่าๆ ก็ถูกเอามาทำใหม่จนน่าสนใจกว่าพวกแฟชั่นใหม่ๆ ตั้งเยอะ…” เขาบอกแล้วบิดริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มน่ามอง


“ฉันเป็นเกย์ ฉันไม่กระดากปากที่จะพูดแบบนี้กับนายอยู่แล้ว เอาเป็นว่าถ้าไอ้วิคเตอร์ไม่สนใจนายจริงๆ ทิ้งมันแล้วมาหาฉันนะ” เขาบอกอย่างขำขัน รอยยิ้มและแววตาเขาดูอิ่มเอิบใจ ผมยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะตอบ


“เขาไม่มีวันสนใจผมหรอกครับ ไม่ว่าจะในฐานะอะไร แค่ขนาดในฐานะคนดูแลเขา เขายังไม่สนใจเลย” พูดแล้วก็กระตุกในอกซ้ายแปลกๆ เบนเนดิคท์กวาดสายตามองใบหน้าผมไปทั่ว


“แต่นายสนใจมันใช่มั้ยล่ะ” ผมที่กำลังนอยด์ๆ ถึงกับเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจฉับพลัน อีกฝ่ายเห็นแบบนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ


“ผมสนใจเพราะเขาเป็นคนที่ผมต้องดูแล แค่นั้นแหละครับ” เบนเนดิคท์ยิ้มที่มุมปากนิดๆ ก่อนดึงตัวกลับไปนั่งพิงเบาะตัวเองเต็มๆ


“ดึกแล้ว นายไปพักผ่อนเถอะ เจอศึกหนักมาทั้งวัน ฝันดีนะแมท” ผมยิ้มบางๆ ตอบกลับไป พลางเปิดประตูรถเตรียมตัวลง


“Good night, Benedict. (ฝันดีครับเบนเนดิคท์)” เราส่งยิ้มให้กันพร้อมกับโบกมือบ๊ายบายก่อนที่ผมจะเปิดประตู ก้าวลงจากรถไปยืนบนพื้นถนนแล้วปิดประตูตามหลัง เบนเนดิคท์ขับรถออกไปทันที ส่วนผมก็เดินไปเปิดรั้วเข้าบ้านด้วยความเมื่อยล้า แต่พอเดินไปถึงหน้าบ้านก็ต้องตกใจที่เห็นเอิร์ทนั่งชันเข่าอยู่บนบันได ข้างๆ มีบาสที่หลับพิงเสาไฟหน้าบ้านอยู่ เอิร์ทมองหน้าผมนิ่งๆ ส่วนผมกำลังรู้สึกผิดที่เห็นเขามานั่งรอแบบนี้


“เอิร์ท ทำไมยังไม่นอน” ผมถามด้วยความร้อนใจ เดินเข้าไปใกล้ๆ เขาที่มองกลับมาด้วยรอยยิ้ม


“เป็นห่วง จะไปรับก็ไม่กล้าไป กลัวว่าจะไปกวนเวลาทำงานของแมทกับไอ้พระเอก” ผมมองหน้าเขาที่กำลังยิ้มน้อยๆ แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ เลื่อนสายตาไปมองบาสที่นั่งพิงเสาหลับอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเมื่อยจนผมหลุดขำออกมา


“แล้วเอาบาสออกมาลำบากด้วยทำไมเนี่ย”


“ตอนแรกมันก็มานั่งเป็นเพื่อนเฉยๆ หันมาอีกทีตอนห้าทุ่ม มันก็หลับสนิทไปแล้ว ไอ้นี่มันหลับง่าย” ผมพยักหน้าด้วยความขำมองหน้าพ่อหนุ่มตี๋ตาสองชั้นที่หลับราวกับนอนบนเตียง


“แมท แขนไปโดนอะไรมา” ผมถึงกับหยุดขำ แล้วหันไปมองเอิร์ทที่จ้องแขนผมหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาไม่รอให้ผมตอบแต่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาดึงแขนผมไปสำรวจดู


“โดนน้ำมันกระเด็นใส่มาหรอ”


“ก็… อือ น้ำมันกระเด็น ทอดไก่แล้วมันกระเด็นใส่”ผมบอกพลางดึงแขนตัวเองออกจากมือเอิร์ทช้าๆ เอิร์ทส่ายหัวไปมาราวกับอ่อนใจ ก่อนจะหันไปปลุกบาสด้วยการใช้เท้าเขี่ยแรงๆ จนบาสตื่นขึ้นมาอย่างสลึมสลือ เขากวาดสายตามองไปทั่วราวกับกำลังงงๆ ก่อนจะมาหยุดที่ผม


“อ้าว…ฮ้าววว… กลับมาแล้วสินะ” เขาบอกพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับบิดขี้เกียจไปด้วย


“เข้าไปในบ้าน กูจะทายาให้แมท” บาสหันตาปรือๆ ที่เพิ่งลืมขึ้นเมื่อกี้หันมามองผมอย่างงงๆ


“อ้าว แมทเป็นไรวะ”


“น้ำมันกระเด็นใส่ ยาวเป็นแถบ อย่าเพิ่งพูดมาก มึงขึ้นไปเอายาในกระเป๋ามึงมาให้หน่อยดิ” บาสเหมือนจะได้สติเต็มตัว เขาพยักหน้าหงึกๆ แล้วหมุนตัวเดินขึ้นบันไดบ้านไป เอิร์ทเดินตามบาสเข้าไปโดยมีผมเดินตามหลังเข้าไปในบ้าน
ผมเดินตามเอิร์ทมานั่งที่โต๊ะทานข้าวในครัว ในบ้านเปิดไฟแสงสีเหลืองนวลๆ เอาไว้ ผมวางกระเป๋าเป้ไว้บนโต๊ะ เอิร์ทที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะเอื้อมมือมาจับแขนผมไปดูอีกรอบ


“ถูกมันใช้งานหนักอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย” ผมยิ้มน้อยๆ ด้วยความขำ เอิร์ทมองกลับมาด้วยความไม่ชอบใจ แต่ไม่ใช่ไม่ชอบใจผมหรอก น่าจะเป็นอีกคนมากกว่า


“เขาใช้งานปกตินั่นแหละ แต่เราดันโง่ทำตัวเอง”


“แล้วมันรู้รึยังว่าแมทเป็นแบบนี้” ผมยิ้มมุมปากนิดๆ แล้วส่ายหัวเป็นคำตอบ เอิร์ทขบกรามแน่นแล้วถอนหายใจหนักๆ แววตามีความไม่พอใจแฝงอยู่


“แม่งหน้าเอาน้ำมันในกระทะสาดใส่หน้ามันบ้าง” ผมยิ้มกว้างแล้วหัวเราะเสียงเพี้ยนทั้งขำและตกใจในเวลาเดียวกัน เอิร์ทลูบแขนซ้ายตรงที่มันแดงคล้ำไปมาเบาๆ สักพักบาสก็เดินกลับเข้ามาพร้อมหลอดยาในมือ


“แม่งต้องมาหาซื้อใหม่ เพราะเอาขึ้นเครื่องไม่ได้ คิดว่ากูจะเอาเจลว่านหางจระเข้มาก่อการร้ายที่นี่รึไงวะ” บาสบ่นงึมงำๆ พลางส่งหลอดยาให้เอิร์ทแล้วไปนั่งลงตรงข้ามกับผม


“มึงยังไม่เลิกบ่นเรื่องนี้อีกหรอไอ้เหี้ยบาส มึงบ่นตั้งแต่ตอนนั้นยันตอนนี้ มึงจะบ่นยันกลับเลยมั้ย” เอิร์ทบอกพลางบีบเจลใสๆ ใส่นิ้วมือแล้วป้ายตามรอยแดงคล้ำบนข้อแขนกับอุ้งมือ ความรู้สึกเย็นๆ แล่นไปทั่วบริเวณที่ถูกทา


“โห แมท ไอ้เอิร์ทดูแลดีขนาดนี้ตอบตกลงเป็นแฟนมันไปเฮอะ! นี่มันมานั่งรอตั้งแต่แมทส่งว้อทแอพมาบอกมันเลยนะ แล้วพรุ่งนี้มันก็เข้างานเช้าด้วย ไม่รักจริงไม่ทำงี้นะเนี่ย” บาสบอกเจื้อยแจ้ว แต่ทำเอาผมกับเอิร์ทชะงัก เงยหน้าขึ้นสบตากัน ความทรงจำในวันที่เขาขอคบผมแล่นวาบเข้ามา


ผมกับเอิร์ท เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน



“คบกับเอิร์ทได้มั้ย…”


ผมนิ่งไป ไม่ได้รู้สึกอึ้งหรือว่าตกใจอะไร มีเพียงอาการใจเต้นตึกตักหนักๆ แต่ไม่รุนแรง ผมมองหน้าเขาที่มองกลับมาอย่างจริงจังในคำพูดของตัวเองจนผมต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาเขาไปมองทางอื่น


“คือ…” ผมเม้มปากเบาๆ กำลังงงตัวเองว่ารู้สึกอะไรอยู่กันแน่ ผมรู้สึกว่าใจผมมันเริ่มควบคุมยากขึ้นเมื่อได้ใกล้ชิดกับวิคเตอร์ (อย่างแนบชิดเกินไป) ในระยะเวลาสองสามวันที่ผ่านมานี้ เริ่มรู้สึกว่ามันเริ่มระส่ำอย่างที่ยากจะควบคุม


“หรือแมทชอบไอ้ฝรั่งนั่น” ผมหันกลับไปมองเอิร์ทด้วยสายตาตื่นๆ เล็กน้อย พยายามควบคุมสติตัวเองให้อยู่กับเนื้อกับตัวก่อนจะตอบคำถามเอิร์ทไม่เต็มเสียง


“เปล่า… ไม่ได้ชอบจริงๆ”   


“แล้วทำไมแมทไม่ตอบตกลงเอิร์ท” ผมกลืนน้ำลายลงคอ มองเอิร์ทอย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะรวบรวมสติแล้วพูดออกไป


“คือมันเร็วไปนะเอิร์ท เอาจริงๆ คือเราสองคนเพิ่งรู้จักกันที่นี่ด้วยซ้ำ โอเค เอิร์ท เอ่อ คือ เอิร์ทอาจจะ…”


“ชอบแมทอยู่แล้ว” บาสต่อประโยคของผมให้จบ ผมไม่กล้าที่จะพูดจริงๆ เพราะพูดแล้วมันรู้สึกเหมือนกำลังหลงตัวเองอยู่


“เอิ่ม… ก็ใช้คำนั้นก็ได้ คือเอิร์ทอาจจะเป็นแบบที่บาสบอก แต่เราสองคนรู้จักกันน้อยมาก เราว่าให้มันค่อยเป็นค่อยไปดีกว่ามั้ย แมทว่ามันกำลังก้าวกระโดดอ่ะ” ผมยิ้มนิดๆ เอิร์ทมองหน้าผมด้วยความตึงเครียด สายตาเขาจับจ้องมองมาราวกับว่ากำลังไม่ไว้ใจในคำตอบของผม ผมก็มองหน้าเขากลับไปอย่างที่พยายามไม่แสดงอาการสั่นไหวเพื่อจะยืนยันในคำตอบอันไม่หนักแน่นของตัวเอง


“ก็ได้ ถ้าแมทว่าแบบนั้น แต่มันคงจะเป็นเพราะเวลาที่เรารู้จักกันใช่มั้ย ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น” ผมเม้มปากเบาๆ แล้วคลี่ยิ้มนิดๆ ก่อนจะพยักหน้าพร้อมกับตอบยืนยันอีกครั้ง


“ไม่ใช่…” ผมตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ แต่ในใจผมนั้นกำลังเต้นตุบๆ กับคำถามของเอิร์ทและคำตอบของตัวเอง คำตอบที่จริงๆ แล้วผมอาจจะรู้ว่าเพราะอะไรกันแน่








เราสองคนสบตากันค้างไว้แบบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เอิร์ทจะหันไปมองหน้าบาสด้วยสายตาดุๆ ส่วนบาสก็ยักไหล่สองข้างตอบกลับมาอย่างไม่ยี่หระ


ผมยังไม่ได้ตอบตกลงเป็นอะไรกับเขา ไม่ใช่ว่าผมเล่นตัวหรือสวยเลือกได้อะไรทั้งนั้น แต่ความรู้สึกผมตอนนั้น ผมไม่พร้อมตอบว่าตกลงปลงใจใดๆ เพราะตอนนั้นใจผมกำลังสับสนปนเปไปเรื่อย


“อ้าว เออ แมทยังไม่ได้อาบน้ำเลยนี่หว่า แต่ทายาไปแล้ว” เอิร์ทบอกพลางดึงมือที่กำลังทาเจลใสๆ เย็นๆ ให้ผมออกจากแขน ผมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบอกเขา


“ช่างมันเถอะ วันนี้เราว่าจะนอนเลยอ่ะ เมื่อยมาก เดี๋ยวพออาบน้ำก็ตาตื่นไม่ได้นอนพอดี” อ้วกเอิ้กช่างมันก่อน เปลี่ยนชุดเอาอย่างเดียว ตอนนี้ผมอยากจะทิ้งตัวลงสลบบนเตียงเหลือเกิน เอิร์ทพยักหน้าเบาๆ แล้วเอาฝาหมุนปิดหลอดเจล


“งั้นขึ้นไปนอนกัน ให้เอิร์ทนอนเป็นเพื่อนมั้ย”


“แน่ะ! ไอ้ห่านี่หาจังหวะแทะเล็มตลอด” บาสเอ่ยแซว เอิร์ทหันไปด่าบาสแบบไม่มีเสียงว่า ไอ้เหี้ย แต่ก็มีรอยยิ้มขำๆ อยู่บนหน้า ผมเห็นแบบนั้นก็อดจะยิ้มขำตามไม่ได้


“ไม่ต้องหรอก วันนี้เราทำงานหนัก เหงื่อออกเยอะ กลิ่นน้ำมันอีก ตัวเหม็นมาก”


“โอ๊ย! ต่อให้แมทไปเกลือกกลิ้งคลุกกองขี้หมามา ไอ้เอิร์ทมันก็กล้านอนด้วย” ผมหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะรีบเอามือมาปิดปากไว้เพราะกลัวไปรบกวนคนอื่น เอิร์ทกับบาสก็หัวเราะตามไปด้วย


“เกินไปๆ ให้โอกาสจมูกกูหายใจสะดวกๆ บ้าง” เอิร์ทบอกพร้อมรอยยิ้ม บาสเบ้ปากใส่เล็กน้อย


“ป่ะ ขึ้นนอนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้วไม่ใช่เหรอ” ผมพยักหน้าแล้วยิ้มด้วยความเหนื่อยอย่างที่เขาว่า ก่อนจะลุกขึ้นยืนตามเอิร์ทกับบาส พ่อตี๋ตาสองชั้นเดินนำไปก่อน ส่วนพ่อหน้าไทยใจห้าวหาญเดินจูงมือขวาผมไป เอิร์ทลูบมือขวาผมไปมา แล้วก็หันกลับมามองสีหน้านิ่วคิ้วขมวด


“แล้วที่มือนี่เป็นอะไรอีกเนี่ย” ผมทำปากยื่นเป็นเป็ดก่อนจะตอบ ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยสาระร่างเหลือเกิน


“เอามือไปโดนหม้อต้มย้ำร้อนๆ มา” เอิร์ทมองหน้าผมด้วยความอ่อนใจก่อนจะถอนหายใจหนักๆ แล้วพูดประโยคที่ทำเอาผมหน้าเหวออ้าปากหวอ


“เชื่อละว่าโง่จริงๆ” ผมอ้าปากหวอด้วยความอึ้งที่โดนเอิร์ทด่า เอิร์ทยิ้มขำจนตาเขาหวานน่ามอง


“โอ๋ๆ ล้อเล่นๆ ไปๆ ไปนอนกัน” ผมยอมเดินตามแรงลากเขาไป แล้วก็หัวเราะเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว นึกในใจว่าอย่างน้อยวันนี้ก็ยังมีคนดีๆ ที่ให้กำลังใจเราอยู่นะ ทั้งเบนเนดิคท์และเอิร์ท ไหนจะยังมีเพื่อนดีๆ แบบบาสอีก


แต่ก็นะ… ใจมนุษย์เรานี่ก็แปลก ชอบอยากให้คนที่ไม่สนใจเรา หันมาสนใจเราอยู่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่หันมาหรอก แต่ก็ยังจะคิดจะหวัง ทั้งๆ ที่คนที่สนใจเรามีตั้งมากมายแต่กลับมองข้าม ไม่สิ ไม่ได้มองข้าม เพียงแค่ไม่ได้จ้องมองแบบที่เรามองคนที่ไม่สนใจเราเท่านั้นเอง ใจหนอใจ จะเอาเท่าไหร่ถึงจะเชื่อฟังที่สมองมันบอกบ้างว่าอย่าทำร้ายตัวเอง



[มีต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 10.1-15:: 21.06.58
«ตอบ #71 เมื่อ21-06-2015 14:22:04 »



#Morning


ผมกำลังเดินขึ้นบนไดเพื่อออกจากสถานีรถไฟใต้ดินใกล้ๆ กับบ้านของวิคเตอร์ ในมือก็ถือถุงพลาดสติกที่มีกล้วยอยู่ข้างในที่ขอมาจากป้าแมร์รี่เมื่อตอนเช้าตรู่มาด้วย ระหว่างทางที่เดินเท้ามุ่งตรงไปยังบ้านของไอ้พระเอกขี้เมา ในหัวผมก็คิดทบทวนเรื่องเมื่อคืนที่ทำเอานอนแทบไม่หลับไปด้วย กว่าจะถึงบ้านก็ตีสี่จะตีห้าละ แล้วยังจะต้องมานอนคิดมากมายกับเรื่องไอ้ฝรั่งยักษ์นั่นอีก ทำเอานอนน้อยไปตามระเบียบ จริงๆ ผมบอกตัวเองว่าอยากตื่นสายๆ แต่พอนึกสภาพวิคเตอร์ที่ติดตาเมื่อคืนก็เป็นอันว่าตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า เท่ากับว่าผมนอนไปไม่ถึงชั่วโมง เอางี้ดีกว่าผมนอนไปกี่นาทีเถอะ ได้แต่นั่งถอนหายใจบนเตียงหนักๆ ให้ตัวเองว่าจะห่วงไอ้ยักษ์หน้าหนวดนั่นทำไมนักหนา เพราะเดี๋ยวเมียเขาตื่นมาก็คงปรนนิบัติกันเอง แต่พอผมนึกถึงภาพที่นาตาชาสะบัดก้นงอนๆ ของหล่อนหนีเขาไป ก็ทำเอาใจผมกระวนกระวาย รีบอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมง


ผมเบะปากให้ตัวเอง นึกสมเพชตัวเองจริงๆ ที่ต้องมาทำตัวเป็นนางเอกผู้แสนดี ทั้งๆ ที่ผมไม่อยากจะเป็นหรอกไอ้คนดีแบบนี้ เพราะถ้าเป็น คนที่รับบทนี้ส่วนใหญ่จะต้องเจอชะตากรรมที่น่าสงสาร ซึ่งผมไม่อยากเจอ แต่ผมว่าผมเจอไปแล้วนะ ยิ่งเมื่อคืนนี่ยิ่งต้องย้ำเลยว่าผมกำลังรับบทนางเอกแสนรันทดอยู่ โอ้โหเว้ย! ไม่เอาได้มั้ยเนี่ย


ผมนึกด้วยความหงุดหงิด หน้านิ่วคิ้วย่น จริงๆ ไม่มีใครบังคับผมเลยนะ วิคเตอร์เคยให้โอกาสผมไปแล้ว แต่ผมก็เลือกที่จะอยู่ต่อเพราะตอนนั้นศักดิ์ศรีในการทำงานมันค้ำคอ เมื่อทำแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด แต่ตอนนี้ผมว่าตัวเองเลือกอยู่ต่อเพราะอย่างอื่นละ แล้วไอ้เพราะอย่างอื่นเนี่ยแหละมันถึงทำให้ผมอยู่ในสภาพแบบนี้ ผมรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขในการทำงานกับเขาน้อยลง เริ่มรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารกว่าปกติ ยิ่งมองแผลที่แขนที่ตอนนี้มันเป็นสีคล้ำเตรียมลอก ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองดูต่ำต้อยเหลือเกิน แต่ไอ้เรื่องแผลนี่จะไปโทษวิคเตอร์ก็ไม่ได้ เขาไม่ได้มาจับมือผมไปจุ่มลงในกระทะสักหน่อย ถ้าเป็นงั้นค่อยด่ามัน แต่อันนี้ผมว่าผมยังด่าได้ไม่เต็มปาก แต่ผมแค่รู้สึกเหนื่อย แบบว่าเหนื่อยมากๆ กับไอ้ยักษ์หน้าหนวด


ผมถอนหายใจหนักๆ ตอนที่เดินมาถึงหน้าบ้านเขาแล้วเดินขึ้นบันไดไปไขประตูเปิดเข้าไป ภายในบ้านเงียบสงบ แต่สักพักเสียงกุกกักๆ บนพื้นก็ดังขึ้นเมื่อผมเดินเข้ามาในบ้าน เจ้าไมเคิลเดินส่ายหางพร้อมทำหน้าหมายิ้มมาหาผม ผมขยี้หัวมันเบาๆ เป็นการทักทาย ก่อนที่มันจะเดินเบี่ยงตัวออกไปนอกประตู สงสัยคงออกไปวิ่งเล่นและขับถ่ายตามที่มันชิน เมื่อกี้มันเดินออกมาจากห้องนั่งเล่น แสดงว่าคงไปดูเจ้านายมันมา แต่เขาคงยังไม่ตื่น


ผมถอดกระเป๋าเป้วางไว้ที่เค้าน์เตอร์ครัว แล้วเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อดูน้ำส้มคั้นที่ผมทำทิ้งไว้ให้เขาเมื่อคืนก่อนออกจากบ้านไปพร้อมเบนเนดิคท์ มันยังคงอยู่ในเหยือกตามเดิม ผมปิดตู้เย็นแล้ววางกล้วยไว้บนโต๊ะหินอ่อนกลางห้องครัว ก่อนจะเดินออกไป เดินไปที่ห้องนั่งเล่นที่กลายเป็นที่นอนของวิคเตอร์ไปเมื่อคืนนี้ เขายังคงนอนอยู่ที่เดิม แต่ผ้านวมล่นลงไปอยู่ที่เอวจนเผยให้เห็นหุ่นช่วงบนอันอัดแน่นด้วยกล้ามท้อง กล้ามอก กล้ามแขน มีเจ้าฟอกซ์นอนขดตัวอยู่บนอกเขา มันหลับตาพริ้มราวกับกำลังสบายอกสบายใจที่ได้นอนอยู่บนอกอันแน่นหนาของวิคเตอร์ ผมยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นภาพนั้น แล้วก็ต้องรีบหุบยิ้ม นึกอยากด่าตัวเอง เห็นแค่นี้ก็ยิ้มละ ผมส่ายหัวไปมาไล่อาการใจง่ายของตัวเองทิ้งไป เดินเข้าไปใกล้วิคเตอร์ ค่อยๆ เอื้อมมือไปอุ้มเจ้าฟอกซ์ขึ้นมาจากอกเขาอย่างเบามือ เพราะไม่อยากให้มันรบกวนการนอนของเขา


“อืมมม…” เสียงวิคเตอร์ครางออกมาเบาๆ ตอนที่ผมอุ้มเจ้าฟอกซ์ไว้ในอ้อมแขนแล้ว สักพักเขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา พร้อมกับยกมือขยี้เรือนผมสีดำของตัวเองไปมาจนมันยุ่งเหยิง แต่ด้วยความที่เขาหนังหน้าดีแล้วมีชัยไปเกินครึ่ง ไอ้ท่าทีแบบนั้นมันเลยยิ่งทำให้ให้เขาดูเซ็กซี่ บวกกับการเปลือยท่อนบนแบบนี้ยิ่งทำให้เขาดูน่าขย้ำจริงๆ


โว้ยยย! เข้มแข็งหน่อยเถอะไอ้แมท ไหนบอกกับตัวเองว่าจะไม่ถลำลึกอะไรไปมากกว่านี้ไง


“อือออ…” วิคเตอร์ย่นคิ้วเอามือขวาจับหน้าผากไว้ ดูท่าทางเขาจะปวดหัวแฮะ ผมหันรีหันขวางก่อนจะวางเจ้าฟอกซ์ไว้บนพื้น ยืดตัวขึ้นมามองเขาอีกทีก็เห็นเขาหรี่ตามองผมอยู่


“ตัวไรวะ…” ผมเบะปากยื่น กลอกตากับคำทักทายของเขาในยามเช้า น่าหยิบเอาฟืนในเตาผิงมาฟาดหน้าให้ดั้งโด่งๆ นั่นหักซะจริง


“ผมเอง” ผมตอบเขาพลางทำหน้ามุ่ยใส่ อีกฝ่ายหยีตามองมา ก่อนจะยิ้มขำที่มุมปากนิดๆ แล้วค่อยๆ พยุงร่างใหญ่ๆ ของเขาให้ลุกขึ้นนั่ง เขายกเข่าขวาขึ้นมาชันไว้กับศอกขวา เอามือลูบหัวไปมาเบาๆ ก่อนจะหันมามองที่ผมด้วยสีหน้าเบลอๆ


“ขอยาแก้ปวดหน่อยได้มั้ย” ผมหมุนตัวเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น ไปหยิบยาตรงตู้ยาของบ้านที่อยู่บนผนังด้านนอกของห้องน้ำชั้นหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องครัว หยิบน้ำส้มในตู้เย็นออกมา มองหาแก้วหนึ่งใบและไม่ลืมหยิบกล้วยที่เอาติดมือมาด้วย ผมเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น เขานั่งอยู่ในท่าปกติเวลานั่งโซฟา ห้อยขาเอาศอกยันเข่าแล้วใช้สองมือกุมหัวตัวเองไว้


“กินกล้วยก่อนนะครับ มันช่วยได้ อีกอย่างรองท้องก่อนกินยาสักหน่อย” ผมบอกแล้วยื่นกล้วยสุกขนาดใหญ่ให้หนึ่งลูก เขามองหน้าผมเรียบเฉยครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบกล้วยไปปลอกกิน ระหว่างนั้นผมก็จัดการเทน้ำส้มใส่แก้วและถือยารอเขาไว้ พอเขากินหมด เขาก็วางเปลือกกล้วยไว้บนโต๊ะ แล้วแหวกถุงพลาสติกหยิบกล้วยออกมาอีกหนึ่งลูก ปลอกเปลือกนั่งเคี้ยวตุ้ยๆ ผมก็ปล่อยให้เขาเคี้ยวไป สงสัยจะหิวถึงได้กินเอากินเอา พอลูกที่สองหมด เขาก็นั่งนิ่งๆ สักพัก ผมยื่นแก้วน้ำส้มให้เขา เขารับไปดื่มจนเหลือครึ่งแก้ว ก่อนที่เขาจะแบมือมาขอยา ผมส่งให้เขา วิคเตอร์ดื่มน้ำส้มแล้วกรอกยาตามลงไป ก่อนจะจัดการเทน้ำส้มดื่มอีกแก้ว


“คุณจะทานอาหารเช้ามั้ย” ผมเอ่ยถามเขาในขณะที่เขากระดกน้ำส้มอึกสุดท้ายลงคอ เขาวางแก้วไว้บนโต๊ะ ยกมือเช็ดปาก มองหน้าผมด้วยสายตาปรือ แล้วส่ายหัวน้อยๆ ท่าทางเหมือนหนักหัวตัวเอง


“ฉันอยากนอน” เขาล้มตัวลงนอน แต่สักพักเสียงมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของเขาก็ดังขึ้น เขาเอนตัวไปพิงพนักโซฟา ดันตัวให้ตรงเพื่อจะได้หยิบมือถือในกางเกงยีนส์ได้ถนัด


ฮึ่ม! กล้ามท้อง กล้ามอก โอ้ย! ล่อใจตูแท้ ยิ่งใส่กางเกงยีนส์แล้วเปลือยท่อนบนนี่มันยิ่งยั่วใจกันซะจริงๆ เข้มแข็งหน่อยได้มั้ยไอ้แมท!


“ฮัลโหล… เออ… แต่ฉันว่ากำลังจะนอนต่อ… แวะมาทำไม… เออ เรื่องของแกเหอะ” เขาว่าแล้วโยนโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะกระจกเบาๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอน ในขณะที่เขากำลังจะหลับตา เสียงของนาตาชาก็ดังขึ้น


“เฮ้… คุณตื่นแล้วหรอ” ผมหันไปมองหญิงสาวที่อยู่ในชุดแสคสั้นสีดำรัดรูป ผมหยักศกที่ย้อมเป็นสีแดงเข้มของเธอปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง เธอเดินฉีกยิ้มเข้ามาหาวิคเตอร์ที่ดันตัวลุกขึ้นแล้วฉีกยิ้มตอบกลับไป ผมได้แต่ขบกรามเบาๆ แล้วตีสีหน้าเฉยเมื่อทั้งคู่จูบปากทักทายกันยามเช้า ก่อนที่นาตาชาจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เขา


“ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้พาคุณขึ้นไปนอน แต่ฉันแบกคุณขึ้นไปไม่ไหว แบกมานอนตรงนี้ได้ ฉันว่าฉันก็เก่งแล้วล่ะค่ะ” เธอหัวเราะน้อยๆ พลางใช้มือลูบใบหน้าของวิคเตอร์ที่ยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน ผมกำลังงงกับตัวเองว่าจะยืนดูอยู่ทำไม แต่ใจผมสั่งให้ยืนดู ผมอยากรู้ว่านาตาชาจะพูดว่ายังไงบ้างเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืน


“นี่คุณแบกผมมานอนตรงนี้หรอเนี่ย” วิคเตอร์ถามด้วยสีหน้าหน้าเหมือนจะแปลกใจอยู่ไม่น้อย นาตาชายิ้มกริ่มก่อนจะพยักหน้าเบาๆ


“ก็ช่วยเบนเนดิคท์แบกมาน่ะค่ะ คุณเมามาก แถมยังจะอ้วกใส่ฉันอีก” วิคเตอร์เบิกตากว้างเล็กน้อยเหมือนจะตกใจกับคำพูดของนาตาชา


“แล้วผมได้อ้วกใส่คุณรึเปล่า” ผมนั่งนิ่ง ตอนนี้เหมือนกลายเป็นธาตุอากาศไปแล้ว


“ยังหรอกค่ะ ฉันหลบทัน” เธอหัวเราะคิกคัก จนวิคเตอร์ยิ้มกว้างตามก่อนจะดึงต้นคอเธอลงไปหาเขาเพื่อจูบที่ริมฝีปากเบาๆ แล้วปล่อย


“ขอบคุณนะครับที่ช่วยแบกผมมานอนที่นี่ ไม่ปล่อยให้ผมนอนข้างถนน” พอได้ยินคำพูดนั้น จากที่นิ่งๆ ผมเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดทันที ขบกรามแน่นมองทั้งสองคนด้วยสายตาไม่พอใจ ไม่พอใจทั้งผัวทั้งเมียเนี่ยแหละ อีเมียก็ไม่มีขยายความบอกต่อ เอาแต่พูดถึงส่วนดีที่ตัวเองทำ นี่ยังดีที่หล่อนไม่พูดว่าตัวเองเป็นคนปรนนิบัติผัวตัวเอง ส่วนอีผัวก็ไม่ถามอะไรเพิ่มเติมแต่รีบตัดสินจากคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ของเมียตัวเองทันทีว่าทำดีแล้ว


ผมไม่ได้อยากได้ความดีความชอบ แต่พอได้ยินแบบนั้น ผมแม่งไม่โอเคจริงๆ


“ฉันไปทำงานก่อนนะคะ วันนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับมานอนที่นี่รึเปล่า ยังไงเดี๋ยวฉันโทรบอกนะ” เธอบอกด้วยรอยยิ้ม วิคเตอร์พยักหน้าแล้วยิ้มกว้างรับกับคำพูดเธอ ก่อนที่นาตาชาจะโน้มหน้าลงไปจูบปากเขา แช่ไว้อยู่พักใหญ่ก่อนจะผละออก แล้วลุกขึ้นเดิน หันมายิ้มให้ผมเล็กน้อย ส่วนผมก็ได้แต่ทำหน้าตึงตอบกลับไป แต่เหมือนเธอจะไม่ใส่ใจ เดินออกจากห้องนั่งเล่นไปอย่างสบายใจเฉิบ พอผมได้ยินเสียงปิดประตูบ้าน ผมหันไปมองวิคเตอร์ด้วยสายตาว่างเปล่า เขากำลังจะหลับตาลง ผมรีบโพล่งขึ้นเสียงเรียบ


“คุณไม่คิดจะถามเธอต่อหรอว่าหลังจากแบกคุณมาไว้ตรงนี้แล้ว เธอทำอะไรต่อ” วิคเตอร์ลืมตาขึ้นมามองผมด้วยสายตางงๆ ก่อนจะย่นคิ้วนิดๆ


“อะไรของนาย ถามอะไร” ผมยิ้มเยาะๆ ที่มุมปาก รู้สึกอัดอั้นอยู่ในใจ ผมลุกขึ้นยืน มองไปรอบๆ ห้องเพื่อหาจุดยืนให้กับสติตัวเอง แล้วเลื่อนสายตากลับไปปะทะกับเขาที่ตอนนี้ค่อยๆ ดันตัวเองลุกขึ้นมานั่งด้วยท่าทีงงๆ


“You know what? Taking care of you is the extremely-completely-fucking hard job! (รู้อะไรมั้ย การดูแลคุณแม่งเป็นงานที่โคตรยากเหี้ยๆ!)” คราวนี้วิคเตอร์เด้งตัวขึ้นมานั่งเต็มตัว เขากำลังมองผมด้วยความตื่นตะลึง พอผมได้พูดออกมาประโยคหนึ่ง มันเหมือนเป็นกุญแจไขความอึดอัดที่อยู่ในอกผม ทำให้ผมอยากจะพูดต่อ


“นายเป็นอะไรของนาย” เขาถามหน้านิ่ว ดูไม่เข้าใจในอาการที่ผมกำลังเป็นตอนนี้ ผมยิ้มกว้างด้วยความประชดก่อนจะตอบเสียงดังฟังชัดแต่ไม่ใช่ตะโกนและบอกด้วยน้ำเสียงประชดตามรอยยิ้มของตัวเอง


“What am I? I am your servant! (ผมเป็นอะไรงั้นเหรอ คนใช้ไงครับ!)” ผมต้องพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธกรุ่นๆ ที่อยู่ในอก ไม่ให้ตะโกนใส่หน้าเขา วิคเตอร์อ้าปากน้อยๆ มองกลับมาอย่างไม่เข้าใจ ผมพูดต่อทันทีไม่รอให้เขาพูดอะไรกลับมา


“ผู้หญิงคนเมื่อกี้เขาแบกคุณมาก็จริง แต่เขาก็ทิ้งคุณไว้ที่นี่กับผมและคุณเบนเนดิคท์ คุณอาจไม่เชื่อเพราะเมื่อกี้นี้เธอเพิ่งแสดงให้คุณเห็นถึงความอ่อนหวาน ความเป็นผู้หญิงแสนดี” วิคเตอร์ขมวดคิ้วเข้าหากัน หน้าตาดูสงสัยกับสิ่งที่ผมพูด


“นี่นายต้องการจะพูดอะไร”


“ไม่ต้องกังวลว่าผมจะพูดเอาดีเข้าตัวแล้วเอาชั่วให้คนอื่นหรอก ผมไม่ทำ เพราะบังเอิญโชคดีที่นาตาชาเธอไม่ได้ทำแบบนั้น เพียงแต่สิ่งที่เธอบอกคุณ มันเป็นแค่สิ่งดีๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่เธอทำให้…” ผมต้องพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ใช้อารมณ์อย่างมาก เพราะแค่นี้อกผมก็กระเพื่อมขึ้นๆ ลงๆ แล้ว


“การที่คุณจะชื่นชมเธอ ผมไม่แปลกใจหรอก แต่คุณชื่นชมเธอจากการฟังแค่ไม่กี่คำศัพท์ตามที่เธอบอก…” ผมมองหน้าเขาที่มองกลับมาด้วยสายตามีแววเครียด


“…คุณตัดสินใจไวดีเนอะ” ผมเม้มปากแล้วมองหน้าเขากลับพร้อมคลี่รอยยิ้มขื่น ยอมรับอย่างหมดหนทางแถว่าผมกำลังน้อยใจเขา


“แล้วถ้าฉันจะขอบคุณนาตาชา กับสิ่งที่เขาทำ มันผิดตรงไหน” เขาว่าเสียงเรียบ สีหน้าตึงเครียดตามแววตาของเขาเมื่อครู่


“ไม่ผิดหรอกครับ คุณจะชื่นชมเธอมากกว่านี้ก็ได้ เพราะไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ถูกใจคุณไปหมด ผิดกับผมที่ทำอะไรนิดหน่อยก็โดนกัด โดนด่า โดนว่า โดนประณาม…” ผมยิ้มด้วยความเวทนาตัวเอง พอพูดออกมาแล้วยิ่งรู้สึกว่าตัวเองน่าเวทนาซะจริง


“เมื่อวานนี้ กับคำพูดทั้งหลายแหล่ที่คุณพูดถึงผมต่อหน้าเพื่อนคุณ และการกระทำทั้งหลายของคุณ ถ้ามันคือการบีบบังคับให้ผมลาออกจากการดูแลคุณ ผมขอบอกว่าคุณโคตรทำได้ดีเลย เพราะมันทำให้ผมเริ่มหมดหวัง…” ผมยิ้มอย่างอ่อนล้า พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตามันเอ่อล้นที่ขอบตา แค่เอ่อล้นผมก็จะไม่ให้มันทำได้


“ที่ผ่านมา ผมหวังว่าจะเปลี่ยนใจคุณให้ยอมรับผมได้ แล้วร่วมงานกันอย่างปกติไปตลอดจนครบสามเดือน แต่ผมคงคิดผิดและหวังมากไป สุดท้ายผมคงทำให้คุณยอมรับในตัวผมไม่ได้สินะ…” ผมยังคงพูด เมื่อได้พูดมันก็ยิ่งได้เหมือนระบายออกมา ยิ่งพอเห็นใบหน้าตึงเครียดผสมกับแววตาสับสนของวิคเตอร์ที่มองมา ผมยิ่งอยากพูดต่อ


“คุณเอมิลี่บอกผมว่า เธอพร้อมจะเซ็นใบจบฝึกงานให้กับผม ถ้าคุณยังยืนยันคำเดิมว่าไม่อยากให้ผมเป็นผู้ดูแลคุณ ผมขอให้คุณบอก แล้วผมจะไป…” วิคเตอร์นิ่งไป แววตาเขาเหมือนถูกให้ตรึงมองมาที่ผม เขาเหมือนมีแววตกใจในสีหน้า


“I did my best. (ผมทำดีที่สุดแล้วจริงๆ)” ผมพูดออกมาแค่นั้น รู้สึกถึงความร้อนของน้ำตาที่ขอบตา แต่ก็กลั้นมันไว้ไม่ให้ไหล วิคเตอร์มองกลับมาเหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เขาคงกำลังทั้งงงและตกใจที่เห็นผมพูดอย่างนี้ เราสบตากันนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สายตาวิคเตอร์จะเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า


“Then go. (งั้นก็ไปเถอะ)” ผมใจกระตุกวูบ แต่ก็ค่อยๆ ฝืนยิ้มออกมาด้วยความลำบากผสมกับความเศร้าที่เกิดขึ้นในใจแล้วพยักหน้าน้อยๆ น้ำตาปริ่มที่ขอบตาตั้งท่าจะร่วงแหมะทันที


“I got it. (ผมเข้าใจแล้วครับ)” วิคเตอร์มองกลับมาด้วยสายตาที่อ่อนลง ผมส่งยิ้มอ่อนๆ ให้เขาตั้งท่าจะหมุนตัวเดินออกไป


“And then you go to the hell if you let him go, dude! (แล้วแกก็ไปลงนรกซะไอ้เพื่อนยาก ถ้าแกปล่อยให้แมทไป)” เสียงๆ หนึ่งทำให้ผมที่กำลังจะหมุนตัวเดินออกไปชะงักอยู่ตรงหน้าวิคเตอร์ที่กำลังย่นคิ้วด้วยความงงว่านั่นเสียงใคร ผมหมุนตัวไปมองทางเข้าของห้องนั่งเล่นก็เห็นเบนเนดิคท์เดินยิ้มหล่อเข้ามาพร้อมเจ้าไมเคิล รู้สึกงงๆ เล็กน้อยที่เห็นเขาที่นี่


[มีต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 10.1-15:: 21.06.58
«ตอบ #72 เมื่อ21-06-2015 14:23:49 »



“ประตูไม่ได้ล็อค ฉันเลยเปิดเข้ามา ไม่อยากจะกดออด และฉันคิดว่าดีแล้วที่ตัวเองไม่กดออด เพราะไม่งั้นฉันคงด่าแกแบบเมื่อกี้ไม่ได้แน่ๆ ไอ้วิคเตอร์” เบนเนดิคท์เดินเข้ามากอดคอผมที่ยังคงทำหน้าเอ๋อ จับตัวผมให้หมุนกลับมายืนหันหน้าเข้าหาวิคเตอร์อีกครั้ง เขาส่งรอยยิ้มบางๆ ไปให้วิคเตอร์ที่นั่งทำหน้าเหมือนเซ็งๆ


“มารยาทแกนี่ยังทรามกับฉันเหมือนเดิมเลยนะ” วิคเตอร์ว่าแล้วมองค้อนเบนเนดิคท์ แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าตาย


“คนอย่างแกจะมารยาทดีไปด้วยทำไม ทีแกยังชอบทำนิสัยทรามๆ ใส่แมทเลย” วิคเตอร์ขมวดคิ้วมองเบนเนดิคท์เหมือนกำลังไตร่ตรองกับคำพูดของเขาอยู่ ผมรู้สึกอึ้งและแอบถูกใจกับคำพูดเขาอยู่ไม่น้อยที่พูดต่อหน้าวิคเตอร์แบบนั้น เบนเนดิคท์ปล่อยแขนจากลำคอผม แล้วพูดต่อน้ำเสียงสบายๆ


“แกมาทำไมเนี่ย” วิคเตอร์ถามแล้วเอามาลูบหน้าตัวเองด้วยท่าทีเนือยๆ ก่อนจะเลื่อนสายตามามองผมที่ยืนงงๆ อย่างไม่รู้จะทำอะไรต่อ นั่นอาจจะเป็นสัญญาณให้ผมออกไปตามที่เขาบอก ผมเลยทำท่าจะหมุนตัวเดินออกไป แต่เบนเนดิคท์รีบคว้าต้นแขนผมไว้


“เดี๋ยวๆ นายจะไปไหนแมท” ผมอ้าปากค้างน้อยๆ รู้สึกเลือกคำพูดที่จะตอบเขาไม่ถูก ผมชี้ไม้ชี้มือไปตรงทางเข้าของห้องนั่งเล่น ก่อนจะบอกเสียงเงอะงะ


“คือ… ผม…” เบนเนดิคท์ยิ้มที่มุมปากทั้งสองข้าง


“อย่าเพิ่งไป ใจเย็นก่อน”


“เขาอยากไป แกจะไปรั้งเขาไว้ทำไม” วิคเตอร์บอกเสียงทื่อ ผมไม่ได้หันไปมองเขา แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่แล้วก้มหน้าหลบสายตาที่มองมา


“รั้งไว้ให้คนขี้เมาอย่างแกไง” เบนเนดิคท์ตอบกลับเสียงใส ผมได้ยินวิคเตอร์พ่นลมหายใจสั้นๆ คล้ายกับเซ็งที่โนว่าเรื่องนี้


“ต้องบอกก่อนว่าฉันมาที่นี่ ฉันไม่ได้มาทำตัวเป็นพระรองที่แสนดี แต่ฉันมาในฐานะพระเอก” เบนเนดิคท์ยิ้มกวนๆ ไปให้วิคเตอร์แล้วหันมาขยิบตาให้ผมที่ตอนนี้พยายามกระพริบตาไล่น้ำตาที่เอ่อออกมาเมื่อกี้นี้ ก่อนจะหันกลับไปมองวิคเตอร์ที่นั่งทำหน้าอึนอยู่แต่แววตาเขาเหมือนติดรำคาญเล็กน้อย ผมว่าเขาคงกำลังทั้งง่วงและปวดหัว แต่มาเจอผมระเบิดย่อมๆ ใส่ซะก่อน แล้วดันต่อด้วยเบนเนดิคท์อีก


“เออ แกมีอะไรก็ว่ามาไอ้พระเอก” วิคเตอร์บอกพลางเอนหลังพิงกับพนักโซฟา สีหน้าปลงรับกับเหตุการณ์ตรงหน้า ประมาณว่าจะนอนก็ไม่ได้นอนแม่งแล้ว


“ฉันจะไม่บังคับแกนะว่าแกจะให้แมทไปรึเปล่า แต่แกช่วยฟังในสิ่งที่ฉันจะเล่าก่อน เพราะฉันคิดว่าแมทยังไม่ได้พูด และคงไม่พูดแน่ๆ” วิคเตอร์เหลือบสายตามามองผมอย่างว่างเปล่า ก่อนจะยิ้มเยาะที่มุมปาก


“ขนาดไม่พูด เมื่อกี้ยังกระหน่ำใส่ฉันไม่หยุด” เบนเนดิคท์หัวเราะน้อยๆ ก่อนจะว่าต่อ


“ฉันมาไม่ทันฉากนั้นหรอกนะ แต่ฉันว่านั่นยังไม่ใช่ฉากสำคัญ…” เบนเนดิคท์หันมามองที่ผม ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองที่เหยือกน้ำส้มคั้น แล้วเขาก็ทำหน้าคล้ายว่านึกอะไรขึ้นได้ เขาชี้ไปที่เหยือกน้ำส้มแล้วพูดวิคเตอร์


“เริ่มจากตรงนี้ก็แล้วกัน นี่ แกเห็นนี่มั้ย น้ำส้มที่แกดื่มไป แมทเป็นคนทำให้แก เพราะเขากลัวว่าแกตื่นมาแล้วจะมึนหัว เขาบอกฉันว่าวิตามินซีจะช่วยให้แกหายเมาค้างได้ เลยขอเวลาฉันในการทำน้ำส้มคั้นให้แก ทั้งที่ตอนนั้นตีสามแล้ว และสภาพแมทก็แย่ยิ่งกว่าแกเมาซะอีก อ้อ! แล้วถ้าไม่ต้องเดาเยอะ ฉันคิดว่ากล้วยที่อยู่บนโต๊ะ แมทก็คงเอามาให้แก เพราะมันช่วยอาการแก้เมาค้างได้” เบนเนดิคท์ร่ายออกมายาวเหยียดด้วยสีหน้าท่าทางสบายใจ ผมยืนค้างอยู่แบบนั้น ไม่รูจะขยับไปไหน เลื่อนสายตาไปมองวิคเตอร์ก็เห็นเขามองกลับมาอย่างกำลังพิจารณา


“ถ้าแกยังสงสัย แกดูนี่…” เบนเนดิคท์ดึงแขนซ้ายผมที่โดนน้ำมันกระเด็นใส่ไปข้างหน้า ผมอ้าปากหวอนิดๆ ด้วยความตกใจ


“แมทโดนน้ำมันกระเด็นใส่ตอนทอดไก่เมื่อวานนี้ แขนเขาเป็นแผลเปื้อนน้ำมันไม่พอ แต่ยังต้องมาเปื้อนอ้วกแกที่อ้วกใส่เขาจน
เละไปหมด…” วิคเตอร์ละสายตาตะลึงของตัวเองที่มองแผลผมอยู่มามองหน้าผมสลับกับเบนเนดิคท์ด้วยความตกใจ


“แนทบอกว่าฉันเกือบอ้วกใส่เขา” เบนเนดิคท์หัวเราะอารมณ์ดี แต่ผมว่ามันเป็นเสียงหัวเราะที่แฝงความประชดเอาไว้นิดๆ ด้วย


“ใช่ แกเกือบอ้วกใส่ยัยนั่น แต่เธอลุกหนี แล้วแมทก็วิ่งเอามือไปอุดปากแกไว้ไม่ให้แกอ้วกเรี่ยราด ส่วนแฟนแกก็เดินหนีแกขึ้นไปนอน ทิ้งแกไว้ให้ฉันกับแมทดูแล ฉันเช็ดอ้วกแกที่พื้น ส่วนแมทนั่งลูบหลังแก เช็ดตัวให้แก แล้วก็ปล่อยให้อ้วกแกเลอะแขน เลอะกางเกงเขาไปหมดโดยที่เขาไม่ว่า ไม่ด่าอะไรแกสักคำ แถมยังพยายามกลั้นอ้วกตัวเองตอนที่เห็นอ้วกแกด้วย” ผมตาโต หน้าเกร็ง รู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมาฟังความเป็นแม่พระของตัวเอง แต่เบนเนดิคท์ดูจะสนุกมากที่ได้พูดออกมา ผมเลื่อนลูกตา (แค่ลูกตาจริงๆ) มองไปทางวิคเตอร์ที่มองกลับมาด้วยสายตาทึ่ง ใบหน้าเขาดูตึงเครียดกว่าตอนแรกที่เป็นซะอีก


“เอ่อ… คุณเบนฯ ครับ ผมว่า…”


“อีกอย่างนะ ตอนที่ฉันไปส่งแมท ตอนนั้นเกือบจะตีห้าแล้ว แต่ตอนนี้แปดโมงเช้า ซึ่งเขาคงมาก่อนแปดโมงแน่ๆ ฉันไม่รู้ว่าเขามาถึงนี่กี่โมง แต่เขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าแกแต่เช้า นั่นแสดงว่าเขาแทบไม่ได้นอนหรือบางทีอาจไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ ฉันแค่อยากรู้ว่าตอนที่แกลืมตาขึ้นมา แกเห็นใครคนแรก” วิคเตอร์นั่งนิ่งไป เขาทำน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะตอบเสียงมึนๆ


“ฟอกซ์” เบนเนดิคท์ทำหน้าเอือมกลอกตาด้วยความเซ็งทันที


“A human not a creature. (คนเว้ยคน ไม่ใช่สัตว์)” วิคเตอร์เหลือบตามองผมด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้ม


“เจอเอเลี่ยน” ผมแอบทำหน้าเอือมนิดๆ ตามเบนเนดิคท์ หนุ่มผมทองสีรวงข้าวสุกและตาสีเทาเข้มส่งเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี


“เออ ก็นั่นแหละ ทีนี้แกรู้รึยังว่าทำไมถึงไม่ควรให้แมทไป แกมีคนดูแลที่โคตรดีขนาดนี้ แกยังจะให้เขาไปอีกหรอวะ เขาห่วงแกมากกว่าตัวเองซะอีก ขนาดฉันเมา เขายังไม่สนใจฉันเลย” ผมสะดุ้งหน้าสั่นตาโต หันไปมองเบนเนดิคท์ที่หัวเราะด้วยความขำ


“เอ่อ… เมื่อคืนคุณดูเมาน้อยกว่าเขา ผมเลย… ผมขอโทษด้วยครับถ้าลืมใส่ใจคุณไป” เบนเนดิคท์ตบไหล่ผมเบาๆ พร้อมหัวเราะไม่หยุด


“โอ๊ย! ฉันพูดเล่น ฉันปกติดี นายจะมาดูแลฉันทำไมล่ะ ถ้าฉันสภาพเหมือนไอ้วิคเตอร์เมื่อคืนแล้วนายไม่ดูแลนี่สิ มันน่าน้อยใจยิ่งกว่า” ผมยิ้มแห้งๆ รู้สึกผิดที่ลืมถามไถ่อาการเขาบ้าง เบนเนดิคท์ยิ้มกริ่ม หันกลับไปมองวิคเตอร์ที่นั่งสีหน้าว้าวุ่นอยู่คนเดียว


“ฉันไม่ได้มาพูดให้แกกับแมทรักกันถึงขั้นแต่งงานกันหรอกนะ แต่ฉันแค่มาพูดเพื่อให้แกใจดีกับเขาบ้าง ใจดีให้ได้สักครึ่งนึงที่แกทำกับนาตาชาก็ยังดี หรือจริงๆ ควรให้มากกว่าด้วยซ้ำ เพราะถ้าเป็นฉัน ฉันอาจจะขอแมทแต่งงานไปเลยแหละ…” เบนเนดิคท์หัวเราะร่าอยู่คนเดียว ผมได้แต่ยิ้มกว้างอย่างเอ๋อๆ กับคำพูดเขา ส่วนวิคเตอร์มองเบนเนดิคท์ด้วยสายตาคล้ายกับชินชาอาการแบบนี้แล้ว


“อยากแต่งก็คุกเข่าตรงนี้เลยสิ เดี๋ยวฉันเป็นพยานให้” วิคเตอร์บอกเสียงหน่ายใจ ยกมือกอดอกตัวเองไว้แล้วจ้องมองผมกลับมาจนผมต้องหลบสายตาไปมองเสี้ยวหน้าเบนเนดิคท์แทน


“วันนี้ไม่ได้พกแหวนมาซะด้วยสิ ไม่งั้นฉันทำไปละ” เบนเนดิคท์บอกน้ำเสียงกวนๆ กลับ ก่อนจะมีท่าทีที่สงบมากกว่าเดิม แล้วพูดเสียงทุ้ม


“สำหรับฉันนะ คนที่ไม่ทิ้งฉัน ไม่ว่าฉันอยู่ในสภาพไหน ฉันไม่ปล่อยให้หลุดมือหรอก…” วิคเตอร์ช้อนสายตาขึ้นมองเบนเนดิคท์ด้วยท่าทีนิ่งๆ และสายตานิ่งสงบ เบนเนดิคท์ยักคิ้วขวาเท่ๆ ให้สองที แล้วเดาะลิ้นเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะหันมามองผม เอื้อมมือมาจับแขนผมไว้


“แผลเป็นไงบ้าง”


“เอ่อ… ก็ไม่แสบแล้วครับ กลับบ้านไปผมก็ทายาไปแล้ว อีกวันสองวันคงเริ่มลอก” ผมบอกยิ้มๆ เบนเนคดิคท์บีบมือผมเบาๆ แล้วส่งยิ้มให้กำลังใจมาให้


“You’re as tough as old boots—little alien. (อึดมากเอเลี่ยนตัวน้อย)” เขายกมือขึ้นขยี้หัวผมเบาๆ แล้วหันไปมองวิคเตอร์ที่กำลังนั่งหน้าดำคร่ำเคร่งอยู่คนเดียว


“ว่าแต่ ตั้งแต่มาฉันยังไม่เห็นสุดที่รักผู้ห่วงใยแกเลย ไปไหนล่ะ” เบนเนดิคท์ไม่ได้ใช้น้ำเสียงประชด หรือทำหน้าตาประชดใดๆ แต่ฟังแล้วก็รู้สึกว่าเขากำลังเสียดสีอยู่ดีนั่นแหละ


“ไปทำงาน” วิคเตอร์ตอบสั้นๆ ด้วยอาการหน้าตึง


“อ้อ งั้นเหรอ เดาว่าก่อนออกไปคงมามอร์นิ่งคิสกับแกแล้วสินะ” วิคเตอร์พยักหน้าขึ้นรับหนึ่งที เบนเนดิคท์ยิ้มขำๆ


“ฉันกลับก่อนดีกว่า ฉันมาเพื่อพูดแบบนี้แหละ เพราะฉันนึกแล้วว่าคนโลกมืดอย่างแกต้องตาบอดมองไม่เห็นความดีของเอเลี่ยนตัวน้อยคนนี้” วิคเตอร์ส่งสายตาขวางๆ ไปให้เบนเนดิคท์ แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่อย่างไม่แคร์


“ได้ทีแล้วทับทมฉันไม่เลิกนะไอ้เบน” เบนเนดิคท์ยิ้มกริ่มแล้วหันหน้ามาหาผม


“ฉันกลับก่อนนะแมท แล้วไว้เจอกัน” พอเขาบอกจะกลับผมก็ดันรู้สึกประหม่าที่จะต้องอยู่กับวิคเตอร์สองคน


“อยู่ทานข้าวก่อนมั้ยครับคุณเบน เดี๋ยวผมกำลังจะทำอาหาร” เบนเนดิคท์โบกมือเป็นการปฏิเสธ


“ไม่ล่ะ แล้วนายก็ไม่ควรทำงานหนักนะ เดี๋ยวก็ได้แผลอีกหรอก ซื้ออาหารแช่แข็งมาให้มันกินไปพลางๆ ก่อนก็ได้ ฉันไปล่ะ” เขาว่าแล้วก็หันไปยักคิ้วให้วิคเตอร์ที่ยักคิ้วตอบกลับมา ก่อนจะส่งยิ้มให้ผมแล้วหมุนตัวเดินออกไป ผมมองตามแผ่นหลังเขาไปด้วยอาการใจเต้นตุบๆ เพราะตอนนี้เหลือผมกับวิคเตอร์สองคน ถึงจะมีหมามีแมวอยู่ด้วย แต่มันจะช่วยให้บรรยากาศอันอึดอัดนี้บรรเทาลงรึไงล่ะ


“เอิ่ม… ไมเคิล ไปกินข้าวกันเถอะ” ผมหาเรื่องแถไปเรื่อย คือตอนนี้ก็ยังไม่เคลียร์เลยว่าสรุปเขาจะให้ผมไปไม่ไป แต่ตอนนี้หาทางแถออกจากห้องนั่งเล่นนี้ก่อนก็แล้วกัน


“เดี๋ยวก่อน” เสียงทุ้มผสมห้าวอันคุ้นหูดังขึ้น ทำให้ผมหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวออกจากห้องนั่งเล่นไปแล้วหันกลับไปมองเขาด้วยท่าทีนิ่งเฉย


“มานั่งนี่ซิ” ผมกลอกตา ยังไงเขาก็คือเขาผู้ชอบออกคำสั่ง และเอาแต่ใจ ผมไม่อยากมีปากเสียงหรือมีเรื่องอะไรกับเขาเพิ่มเติม เลยเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ เขาทางด้านขวาของเขา แต่ก็เว้นระยะห่างไว้ประมาณหนึ่ง วิคเตอร์นิ่วหน้ามองหน้าผม ส่วนผมก็นั่งหน้าเนือยๆ และหันหน้าไปมองทางอื่น ไม่มองหน้าเขา


“เขยิบมาใกล้ๆ ฉันหน่อย” เขาออกคำสั่งเสียงแข็งอีกครั้ง ผมถอนหายใจแล้วลุกขึ้นเพื่อจะเขยิบไปนั่งใกล้เขา แต่ในจังหวะที่ผมกำลังจะหย่อนก้นลงนั่งข้างๆ เขา วิคเตอร์ก็คว้าเอวผมไว้แล้วลากให้ผมขึ้นไปนั่งบนตักเขาจนผมหน้าเหวอ รีบหันข้างเข้าหาเขาแล้วเอาสองมือดันปีกไหล่ทั้งสองข้างของเขาไว้ วิคเตอร์ใช้วงแขนขวารัดรอบเอวผมไว้แน่น ใช้แขนซ้ายจับขาผมไว้ไม่ให้ผมเหวี่ยงขาหนี


“ผมนั่งบนโซฟาก็ได้” ผมบอกเสียงเร็วหวือ ดันใบหน้าตัวเองให้ออกห่างจากใบหน้าคมเข้มด้วยหนวดของเขา วิคเตอร์ใช้สายตาที่อ่อนลงสำรวจใบหน้าผมไปทั่วจนผมรู้สึกเก้อเขิน พยายามไม่สบตากับเขา แต่สักพักผมก็ถูกสายตาคู่คมสีน้ำผึ้งเข้มทรงเสน่ห์ของเขาดึงดูดให้ผมเลื่อนสายตากลับมามองจนได้
อัตราการเต้นจังหวะของหัวใจของผมตอนนี้ บอกเลยว่าเต้นหนักจนน่าเป็นห่วง


ตุบๆ ตุบๆ ตุบๆ


 :hao5:


ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 16-18:: 22.06.58
«ตอบ #73 เมื่อ22-06-2015 17:03:13 »



CHAPTER 16 :: A man who has a wound in his mind.


ใจผมเต้นตึกๆ จนรับรู้ว่าก้อนเนื้อในอกซ้ายกำลังกระทบกับผนังอกอย่างช้าๆ แต่หนักหน่วงและเน้นจังหวะอย่างชัดเจน ผมกับวิคเตอร์ยังคงสบตากัน แววตาของเขาที่มองกลับมาทำเอาผมใจอ่อนยวบ เพราะมันเป็นเหมือนแววตาที่กำลังรู้สึกผิด ผมคิดไปเองหรือว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ นะ


“ไหน… ฉันขอดูแขนหน่อย” เขาบอกเสียงแผ่วอย่างอบอุ่น สายตาก็ไม่ละไปจากดวงตาผม ผมค่อยๆ ยื่นแขนซ้ายให้เขาดูอย่างว่าง่าย วิคเตอร์ยอมละสายตาไปจากหน้าผม ก้มลงมองมือพร้อมกับดึงมือซ้ายที่รั้งขาขวาผมไว้มาจับแขนผมแล้วลูบไปมา จนผมสะดุ้งนิดๆ วิคเตอร์เงยหน้าขึ้นมองผมนิ่งๆ ครู่หนึ่ง แล้วเขาคงรู้ตัวว่าทำให้ผมเจ็บ เขาเลยค่อยๆ ลูบที่แผลเบาๆสักพักเขาก็ขมวดคิ้ว แววตาเหมือนกำลังคิดหรือนึกถึงอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ คลายคิ้วของเขา แล้วส่งเสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบา


“เหนื่อยมั้ย…” เขาเอ่ยถามเสียงเบา แววตาอบอุ่นจ้องมองมาที่ผม เพียงแค่คำถามสั้นๆ แต่มันกลับทำให้ผมจุกที่คอหอยคล้ายว่าก้อนสะอื้นตีตื้นขึ้นมา ผมรู้สึกว่าขอบตากลับมาร้อนอีกครั้ง ผมกัดปากล่างแน่นเพื่อระงับอาการสะอื้นที่อาจเกิดขึ้นได้ สบตาเขาด้วยแววตาไหวระริก เขาจ้องมองกลับมาอย่างอ่อนโยน ผมหลุบตาต่ำทำหน้านิ่งอย่างที่พยายามไม่แสดงอาการอ่อนแอให้เขาเห็นชัดเจนนักแต่ผมว่าเขาก็น่าจะมองออกอยู่บ้าง ผมก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่ยอมสบตากับเขาและไม่ได้ตอบคำถามที่เขาถามมาด้วย เพราะผมไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไรดี อยากตอบว่าเหนื่อยก็รู้สึกเหนื่อยที่จะขยับปากพูดเหลือเกิน มันเหนื่อยไปทั้งกายและใจ จะตอบว่าไม่เป็นไรก็คงจะแสนดีเกินไปหน่อย สรุปคือเงียบแทนก็แล้วกัน


“อยากไปอย่างที่เอมิลี่บอกรึเปล่า” เขาเอ่ยถาม ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาเขานิดๆ ก็เห็นสายตาเขาดูอ่อนไหวกับคำถามนั้น ผมคลายริมฝีปากจากฟันบน จ้องมองตาเขากลับ ในหัวก็กำลังคิดพิจารณาไปต่างๆ นาๆ


“ถ้าคุณบอกให้ไป ผมจะไป เราจะได้ไม่ต้องมีความทรงจำที่ไม่ดีร่วมกัน ถึงยังไงผมก็อยากจะมีความทรงจำที่ดีกับคุณและทุกคนที่นี่ ผมมาแค่สามเดือน ผมอยากได้ประสบการณ์ดีๆ กลับไป เพื่อที่เวลานึกถึงแล้วจะได้ยิ้มได้” ผมบอกเสียงเบา ก่อนจะก้มหลบสายตาของเขาอีกครั้ง แล้วเอามือขวาไปลูบแผลที่แขนซ้ายเบาๆ นั่งมองมือตัวเองที่ลูบไล้ไปมาอย่างเหม่อๆ


จุ๊บ~


สัมผัสนิ่มๆ ของริมฝีปากแตะลงตรงไร้เส้นผม ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นลมหายใจอุ่นๆ ที่กระทบกับผิวเนื้อตรงหน้าผากแล้วเขาก็…


ฟอด~


เขากดจมูกลงบนหน้าผากผมแล้วสูดลมหายใจเหมือนเป็นการหอมเบาๆ ผมนิ่งค้างอยู่แบบนั้น ผนังอกกำลังรับแรงกระแทกของหัวใจที่เพิ่มจังหวะเต้นรัวขึ้น จนรู้สึกกลัวว่าตัวเองจะเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า แม้ใจจะเต้นแรง หน้าจะอุ่นแค่ไหน แต่ผมก็ยังคงก้มหน้านิ่ง ยิ่งเขาทำแบบนี้ผมยิ่งไม่กล้าเงยหน้ามองเขา และกำลังคิดอยู่ในหัวว่าเขาทำแบบนี้ทำไม ยิ่งเขาทำแบบนี้ เขาจะรู้มั้ยว่ามันไม่ดีต่อใจผม เพราะมันอาจจะทรยศสมองที่สั่งนักสั่งหนาว่าอย่ารู้สึกอะไรเยอะแยะไปมากกว่านี้ อย่าถลำลึกไปมากกว่านี้ แต่ยิ่งเขาทำแบบนี้ผมว่ามันยิ่งจะเขยิบไปเรื่อยๆ ทั้งที่ผมพยายามเบรกตัวเองเอาไว้


“ถ้าอยากกลับไปแล้วยิ้มได้เวลานึกถึงที่นี่ นายก็ต้อง อยู่กับฉัน ต่อนะ รู้รึเปล่า” ผมขยับริมฝีปากเป็นเส้นบางๆ แล้วขบเม้มนิดๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาที่มองกลับมาด้วยแววตาใจดีผสมกับอบอุ่น ที่มองแล้วรู้สึกละมุนหัวใจ ผมนิ่งค้างไป ราวกับถูกเขาสะกดเอาไว้ให้มองแค่ที่เขาคนเดียว ผมมองเขาอย่างไม่แน่ใจว่าที่ได้ยินนั้นถูกต้องหรือเปล่า


“ทำไม? มองหน้าฉันแบบนั้น ผิดหวังเหรอที่จะไม่จบฝึกงานเร็วๆ ขี้เกียจดูแลฉันแล้วงั้นเหรอ อยากได้ลายเซ็นเอมิลี่แล้วใช่มั้ย” เขาถามหน้านิ่ง เลิกคิ้วขึ้นสูงเป็นเชิงถามย้ำกับประโยคของเขา ผมก้มหลุบตาลงต่ำ เม้มปากปากเบาๆ แล้วส่ายหัวไปมา วงแขนขวาที่โอบรอบเอวผมอยู่เพิ่มระดับความรัดแน่นขึ้นเมื่อผมทำท่าจะลงจากตักเขาไปนั่งบนโซฟา ผมย่นคิ้วเล็กน้อยแล้วมองหน้าเขาด้วยสายตาประหม่า สายตั้ทำหัวใจละลายในตอรแรกกลายเป็นสายตานิ่งดุ จ้องมองกลับมาเหมือนไม่พอใจ


“ไหนว่าถ้าฉันบอกไม่ให้ไป ก็จะไม่ไปไง แล้วนี่จะไปไหน” เขาถามเสียงห้วนแขนขวารั้งเอวผมเข้าไปหาเขาจนปลายจมูกชนกันเบาๆ แขนซ้ายก็เอื้อมมาจับขาขวาผมไว้แล้วดึงให้ขาสองข้างนั่งพาดตักเขาแน่นไม่ยอมปล่อย ผมใช้มือดันหัวไหล่ทั้งสองข้างของเขาเอาไว้เพื่อให้มีพื้นที่ว่างระหว่างเราสองคนบ้างแม้จะแค่นิดเดียวก็ตาม


“คือผมจะลงไปนั่งบนโซฟา…”


“เกลียดฉันมากเลยรึไง” เขาถามแทรกเสียงเข้ม หน้าตาเคร่งขรึม ผมขมวดคิ้วแล้วรีบตอบกลับทันที


“เปล่า! คุณจะได้นั่งสบายๆ ผมไม่อยากให้คุณลำบาก” ผมมองตาเขากลับติดมีแววอ้อนวอนให้เขาเข้าใจ แต่อีกฝ่ายยังคงทำหน้าตาดุดันไม่เปลี่ยน เขาเหลือบตาไปมองแผลที่อุ้งมือกับข้อมือซ้ายของผมก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองที่ผมตามเดิมด้วยสายตาเหมือนเดิม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสั้นๆ ทื่อๆ


“ทีนายยังลำบากเพราะฉันเลย แค่นี้ฉันไม่เป็นแผลกดทับที่ ’ดอหรอก” เขาบอกหน้าตามึนเฉย แต่ผมนี่สิอ้าปากค้าง คือพอแปลเป็นไทยจากคำพูดเขาแล้ว มันก็จั๊กจี้ในใจไง (อันนี้แปลน่ารักสุดๆ แล้วนะ แต่รู้ใช่มั้ยจริงๆ มันคืออะไร)


“เอ่อ… คือ… ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นขนาดนั้นเหมือนกัน” ผมพูดเสียงงึมงำในลำคอ ก้มหน้าลงด้วยความเขิน รู้สึกว่าหน้าตัวเองต้องเริ่มแดงเปล่งแล้วแน่ๆ


“ถ้านั่งนิ่งๆ นั่งเฉยๆ มันก็จะยังนอนหลับอยู่เหมือนเดิม แต่ถ้านายขยับตัวไปมามันอาจจะตื่นมาทักทายนาย และถ้ามันตื่นขึ้นมา มันจะไม่ยอมหลับง่ายๆ ทางเดียวที่มันจะหลับก็คือ…” ผมไม่รอให้เขาพูดจบ แต่ค่อยๆ ขยับให้ตัวเองนั่งสบายๆ บนตักเขาแล้วนั่งตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยุกขยิกไปมา วิคเตอร์มองงงๆ อยู่ครู่หนึ่งแต่พอเห็นว่าผมจัดท่าจัดท่าจัดทางให้ตัวเองนั่งสบายๆ เขาก็ยิ้มกว้าง มองผมด้วยสายตาขบขัน


“นั่งให้นิ่งไปตลอดนะ อย่าเผลอไปปลุกมันตื่นขึ้นมาล่ะ” เขาบอกสีหน้าล้อๆ น้ำเสียงสนุกสนาน ผมย่นจมูก ย่นคิ้วใส่เขา แล้วว่าเสียงขุ่นๆ


“แล้วถ้ามันตื่นขึ้นมาเพราะคุณเองล่ะ คุณยิ่งแข็งง่ายๆ อยู่ด้วย” ผมบอกแล้วแบะปากใส่เขา วิคเตอร์เอียงคอไปด้านซ้ายแล้วมองหน้าผมด้วยสายตากรึ่มๆ


“พูดกันตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อม…” เขาพูดเสียงพร่ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมอีกนิดจนผมต้องผงะหน้าตัวเองถอยห่างออกไป วิคเตอร์แช่สายตาหื่นๆ ของเขาไว้ที่หน้าผมสักพักก่อนจะพูดต่อ


“ฉันอยากรู้ว่านายใช้น้ำหอม กลิ่นยาปลุกเซ็กส์ รึเปล่า” ผมเริ่มตัวเกร็ง มือที่จับหัวไหล่เขาไว้ บีบแน่นด้วยความตื่นเต้น แต่พอทวนคำพูดเขาดีๆ ผมก็ขมวดคิ้วงงๆ กระพริบตาปริบๆ มองอีกฝ่ายที่ยิ้มอ้าปากน้อยๆ ให้เห็นลิ้นของเขาที่เกลี่ยไล้ไปมาตามแนวฟันล่างอย่างเซ็กซี่


“บ้าหรือเปล่า?! น้ำหอมกลิ่นนั้นมันมีที่ไหนกัน” ผมขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีกเมื่อหัวกำลังคิดว่าน้ำหอมกลิ่นนี้มันมีแบรนด์ไหนผลิตขึ้นมารึเปล่า แต่พอคิด ไปแล้วว่ามันไม่น่าจะมีใครทำนะ ที่ได้ยินว่าฮ็อตสุดๆ ก็คงเป็นน้ำหอมฟีโลโมนที่ใช้ต่อมเสน่ห์ทางเพศของมนุษย์มาทำนั่นแหละ แล้วผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะ หึๆ ในลำคอของวิคเตอร์ ผมหันไปมองเขาอย่างเอ๋อๆ ก่อนจะค้างกับสายตาแผดเผาที่เขาจ้องมามองมา ผมหลบสายตาเขาหันไปมองทางเจ้าไมเคิลที่หนอนหงายกางแขนกางขาสบายใจเฉิบโดยมีเจ้าฟอกซ์นอนเลียหน้าให้อยู่ สักพักผมก็หันไปหาเขาแล้วยกกำปั้นทุบไหล่ขวาเขาเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้


“แล้วนี่เราจะคุยเรื่องนี้ทำไมกันเนี่ย” ผมบอกหน้ามุ่ย วิคเตอร์หัวเราะน้อยๆ แล้วยิ้มกว้าง ก่อนจะยกมือซ้ายของเขามาดึงมือซ้ายผมที่จับหัวไหล่เขาไว้อยู่ไป เขามองมันครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าผมอีกรอบ


“เช้านี้ทายาไปรึยัง”


“เมื่อเช้าผมรีบมาก็เลยยังไม่ได้ทา” เขามองผมนิ่งๆ แต่แววตายังคงส่งความอบอุ่นมาให้


“งั้นเดี๋ยวฉันทาให้” ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ ด้วยความประหลาดใจ นึกถึงวันที่เขาทายาให้ตอนที่ผมเป็นแผลแดงๆ จากการที่วิ่งเข้าไปช่วยเขาในกองไฟ


กำลังคิดอะไรเพลินๆ ผมก็ต้องตาค้าง เมื่อวิคเตอร์กดจมูกลงบนหลังมือผมหนักๆ แช่ไว้สักพัก ก่อนที่เขาจะพรมจูบไปตามความยาวของแผลสีคล้ำเบาๆ ผมตกใจจะกระตุกมือหนีแต่เขาบีบมือผมไว้ไม่ให้ดึงออก พลิกแขนผมให้หงายขึ้นแล้วพรมจูบไปตามแนวเฉียงของแผลจนถึงจุดสิ้นสุดของแผลบนแขน ผมรู้สึกเบลอไปหมด มันเหมือนกับการตัดสัญญาณรับรู้ในสมอง คล้ายกับภาพทีวีที่ฉายอยู่ดีๆ จอก็ดับวูบลง หัวใจก็เต้นจังหวะผิดเพี้ยนไปหมด เขาพรมจูบกลับมาตามทางเดิมจนถึงหลังมือแล้วก็กดจมูกแช่ไว้แบบนั้นอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผมที่สีหน้าอึนไปแล้ว วิคเตอร์ยิ้มมุมปากทั้งสองข้างนิดๆ


“ดีขึ้นมั้ย” ไม่ดี ไม่ดีเลยสักนิด มันไม่ช่วยทำให้แผลหายไป แถมยังทำให้ใจผมเต้นจนอกจะร้าวแล้ว แต่ถึงแม้จะไม่ทำให้แผลหายไป แต่ความอบอุ่นในอกและบริเวณที่เขาพรมจูบนั้น มันกำลังทำให้ผมรู้สึกดี
ดีอย่างที่ผมคิดว่าเบรกที่ผมเบรกใจตัวเองไว้อาจกำลังจะแตก


“ดี ดีก็ได้” ผมตอบเหมือนคนคุมสติตัวเองไม่อยู่ หน้าตาเหลอหลาจนวิคเตอร์ยิ้มกว้างด้วยความขำ มือไม้ผมเริ่มอ่อนแรง มือขวาที่จับหัวไหล่เขาไว้เริ่มคลายอาการบีบลงอย่างไม่รู้ตัว


“ทำไมนายถึงไม่ลุกหนีไปตอนที่ฉันอ้วก ปล่อยให้ตัวเองเลอะอ้วกทำไม” เขาถามเสียงทุ้ม ริมฝีปากอยู่ห่างจากริมฝีปากผมเพียงปลายจมูกกั้น ผมปิดปากแล้วกลืนน้ำลายลงคอก่อนตั้งสติตอบคำถามเขา


“ก็คุณอ้วก เวลาที่คนอ้วก ต้องลูบหลัง จะได้อ้วกไม่ลำบาก”


“ให้ไอ้เบนมันทำก็ได้ ไม่ก็ปล่อยให้แนททำไป” ผมแอบเบ้ปากนิดๆ ก่อนที่จะพูดต่อ


“สำหรับคนแรก คือผมวิ่งถึงตัวคุณก่อนคุณเบน แล้วคุณเบนก็แบกคุณมาเหนื่อยแล้ว ส่วนคนที่สอง ผมไม่มีความคิดเห็น เพราะนั่นคือนางฟ้าของคุณ ต่อให้เธอมีเขางอกออกมาจากหัว คุณก็จะมองแต่ปีกของเธอ” ผมอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมนังนาตาชาหน้าเหลี่ยมจอมแอคติ้ง หล่อนคิดว่าหล่อนเข้าครอสแอคติ้งอยู่มั้งเมื่อเช้า ถึงได้ผิดเพี้ยนไปกับคนล่ะคนเมื่อคืน
วิคเตอร์ยิ้มกริ่มตอนที่เห็นผมทำหน้าบูด ผมหันไปมองค้อนเขาเล็กน้อยแต่ก็ไม่กล้าจิกอะไรมาก อีตาคนนี้ยิ่งเดาอารมณ์ยากๆ อยู่


“อืมมม ก็อาจจะจริง” ผมทำหนานิ่ง ขบกรามเบาๆ แล้วก้มหน้าเบี่ยงหน้าหนีเขา ไม่อยากมองหน้าไอ้คนหลงเมียจนโง่งมงาย


“ที่คุณเบนพูดไปก็อย่าไปเชื่อเลยครับ จริงๆ คุณก็คงไม่เชื่ออยู่แล้ว คุณคงเชื่อคุณนาตาชามากกว่า” ผมค่อยๆ ดึงมือซ้ายที่เขากุมเอาไว้ออกช้าๆ เอามาวางไว้บนตักตัวเอง นั่งเอานิ้วเขี่ยตักตัวเองไปเรื่อย ผมยกแขนขวาไปแกะมือเขาที่โอบเอวผมอยู่ออก แต่เขาก็ไม่ยอม เขาปัดมือผมทิ้งเบาๆ แล้วกระชับวงแขนแน่นขึ้น ผมนั่งก้มหน้านิ่ง รั้นหรือเถียงเขาไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก


“ไอ้เบนมันเป็นเพื่อนฉันมาตั้งแต่ไฮสคูล ฉันรู้นิสัยมันว่าคนอย่างมันไม่พูดอะไรลอยๆ หรอก…” ผมยังคงก้มหน้านิ่งไม่ยอมเงยหน้ามองเขา แต่ก็รับรู้ได้ว่าเขามองผมอยู่ตลอด


“ฉันยังไม่ได้พูดเลยนะว่าฉันเชื่อนาตาชา นายคิดว่าฉันรักเธอจนหัวปักหัวปำเลยรึไงกัน” ผมกัดริมฝีปากล่างเบาๆ แล้วปล่อยออก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขาที่มีแววเกร็งๆ เล็กน้อย เขาขมวดคิ้วหน่อยๆ หน้าตาดูซีเรียสกับสิ่งที่ถาม


“เมื่อเช้าคุณขอบคุณใคร จูบใครล่ะครับ” วิคเตอร์สบตานิ่งๆ ของผม ก่อนจะพ่นลมหายใจเบาๆ


“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันขอบคุณแนท กับสิ่งที่เธอทำ ฉันขอบคุณที่เธอบอกฉันว่าเธอแบกฉันมานอนตรงนี้”


“คุณเบนแบกคุณเยอะกว่าเธออีก” ผมบอกเสียงเรียบ วิคเตอร์มองกลับสายตานิ่งจนผมนิ่งตามไปอย่างเอ๋อๆ


“นายพูดปกป้องไอ้เบนหรือพูดเพราะอยากให้ฉันรู้เฉยๆ” ผมย่นคิ้วน้อยๆ ก่อนจะตอบ


“ผมแค่พูดอ่ะ แค่พูดตามที่ผมเห็น ก็คุณเบนแบกคุณมา ส่วนคุณนาตาชายืนจับไหล่คุณไว้เฉยๆ แถมยังผลักหัวคุณออกอีกตอนที่คุณเอนไปหาเธอ” พอได้พูด กูก็ขอพูดละกันนะ! ผมไม่ได้อยากพูดอย่างนี้หรอก แม่งโคตรดูขี้ฟ้อง พูดเหมือนผมอยากได้หน้า ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้อยากได้ แค่อยากให้เขาขอบคุณผมบ้าง


วิคเตอร์มองหน้าผมนิ่ง คิ้วยังเป็นปมแน่น สายตาที่มองมาก็ดูดุ ผมเม้มปาก หันหน้าไปมองทางเข้าของห้องนั่งเล่น ก่อนจะหันกลับมามองเขาด้วยความรู้สึกผิด


“ผมขอโทษที่พูดถึงคุณนาตาชาไม่ดี คุณคงไม่พอใจเท่าไหร่” เขามองผมอยู่แบบนั้นอีกสักพัก ก่อนจะค่อยๆ คลายสีหน้าจนดูผ่อนคลายมากกว่าเดิม


“ฉันขอบคุณแนท ก็แค่ในส่วนนั้น แล้วที่ฉันจูบเขา ฉันก็ทำไป เพราะคำว่าแฟน” ผมใช้ฟันขบริมฝีปากเบาๆ แล้วพยักหน้าหงึกหงักไปส่งๆ ไม่อยากจะเถียงกับเขาประเด็นนี้อีก


“ช่างมันเถอะครับ ผมว่าเราจบเรื่องนี้เถอะ” ผมบอกด้วยความอ่อนล้า


“ไม่ได้ ยังจบไม่ได้” ผมย่นคิ้ว เอียงคอมองหน้าเขา แล้วกระพริบตาปริบๆ มองอย่างงงๆ ว่าเขาจะพูดอะไรอีก แต่สักพักผมก็รับรู้ถึงแรงบีบแน่นที่สะโพก แล้วร่างผมก็ขยับเข้าไปใกล้ตัวเขามากขึ้นจนแทบจะเป็นร่างเดียวกันอยู่แล้ว เนื้อแนบเนื้อจนจะเป็นเนื้อเดียวกัน วิคเตอร์ขบกรามแน่นจนกรอบหน้าขึ้นเป็นสันชัดเจน ผมเอามือขวาดันเนื้ออกซ้ายเขาไว้ ตอนนี้จมูกเราชนกัน ริมฝีปากก็แทบจะปิดสนิทเข้าหากันอยู่แล้ว ผมเริ่มประหม่า ท่าทางเริ่มเงอะงะ ยิ่งเห็นสายตาดิบๆ ของวิคเตอร์ที่จ้องมองผมกลับมามันยิ่งทำให้รู้สึกผวา แต่ในความผวานั้น มันก็แฝงความร้อนแรงเอาไว้จนใจผมสั่นไม่หยุด


“ไอ้เบนบอกนายเช็ดตัวให้ฉัน” ผมรีบพยักหน้าเร็วๆ ยกมือขวาขึ้นมาดันคางเขาไว้ไม่ให้มันใกล้หน้าผมเกินไป วิคเตอร์ใช้มือซ้ายของเขาดึงออกอย่างแรงจนแทบจะเป็นการกระชาก แล้วก็จับมือผมไว้แน่นแบบนั้นไม่ยอมปล่อย ส่วนแขนซ้ายผมมันแนบติดไปกับตัวเขาจนขยับไม่ได้ ผมกับเขาจ้องตากันแต่แววตาต่างกัน ผมมองอย่างประหม่าออกจะติดกลัวๆ ด้วยซ้ำ ส่วนอีกฝ่ายมองกลับมาด้วยสายตาทั้งดิบและเถื่อนจนผมรู้สึกว่าลมหายใจผมเริ่มติดขัด วิคเตอร์เองพอเห็นว่าผมลมหายใจติดขัดเขาก็เริ่มหายใจหอบหนักๆ แล้วเขาก็ยื่นหน้ามาที่แก้มขวาผม กดจมูกลงไปเน้นๆ สูดลมหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง ผมอ้าปากพ่นลมออกมาด้วยความสยิว เขากดแช่และยิ่งกดหนักขึ้นจนผมรู้สึกเจ็บที่แก้ม แต่ก็ไม่ร้องให้เขาปล่อยเพราะว่า
มันรู้สึกดี ดีจนผมแทบละลาย


วิคเตอร์กดจมูกอยู่อย่างนั้น สักพักก็ใช้ปากกดจูบลงไปบนแก้มแรงๆ  แล้วเขาก็เลื่อนขึ้นไปกดตรงจุดอื่นบนเนื้อที่แก้มขวา กดจมูกลงย้ำๆ ไล่ขึ้นไปถึงขมับ ไล่กลับลงมาถึงกรอบคาง แต่เขากดย้ำตรงเนื้อแก้มบ่อยกว่าตรงอื่นจนผมรู้สึกว่ามันจะช้ำรึเปล่า ผมรู้สึกระคายผิวเล็กน้อยเพราะหนวดของเขาโดนแก้ม ผมปล่อยให้เขากดจมูก กดจูบ และหอมแก้มผมโดยไม่ขัดขืนอยู่ครู่ใหญ่ จนผมรู้สึกว่าเขาระดมกด ระดมหอม ระดมจูบไปทั่วแก้มแล้ว เขาถึงดึงใบหน้าออก ลมหายใจผมหอบกระเส่า แทบจะหายใจไม่ทันเลยด้วยซ้ำ วิคเตอร์หายใจหนักหน่วง แววตาที่จ้องมองกลับมานั้นแทบจะแผดเผาผมให้ไหม้ตรงนี้ เขาอ้าปากน้อยๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออกเสียงแผ่วแต่ชัดเจน ผมรู้สึกแห้งไปทั้งลำคอจนต้องกลืนน้ำลายหนักๆ


“นอนเถอะ ฉันง่วงแล้ว” ผมจ้องหน้าเขาแทบไม่กระพริบ ปิดริมฝีปากลง  แล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วยอย่างช้าๆ วิคเตอร์คลายมือซ้ายที่จับมือขวาผมไว้ออก ค่อยๆ คลายมือขวาที่บีบสะโพกผมไว้แน่น ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แต่วิคเตอร์ที่ยังมองผมด้วยสายตาแผดเผา กลับจับผมกลับไปนั่งตักตามเดิมแล้วถามเสียงห้วน


“จะไปไหน?!” ผมกลืนน้ำลายลงคออีกครั้งก่อนจะตอบเสียงแหบ


“ให้คุณนอนไง คุณจะนอนไม่ใช่เหรอ”


“นายก็ต้องนอนด้วย…” เขาบอกเสียงพร่า แววตาดุดัน ผมตะลึงไปนิดที่ได้ยินแบบนั้น “…นายเองก็ยังไม่ได้นอน”


“ผมไปนอนที่โซฟาอีกตัวก็ได้”


“ไม่ต้อง นอนกับฉัน ขอร้องเถอะ อย่าขัดใจฉันตอนนี้ เวลานี้” เขาบอกพร้อมลมหายใจที่หนักหน่วง อ้าปากพ่นลมหายใจออกแรงๆ พอเห็นสายตาดิบเถื่อนพร้อมขย้ำของเขาแล้ว ผมก็รีบพยักหน้าตอบรับทันที ผมว่าตอนนี้เขาดูเหมือนคนฝืนตัวเองมาก
วิคเตอร์ค่อยๆ ปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ก่อนจะดึงให้ผมลุกขึ้นแต่มือขวาเขาไม่ยอมปล่อยมือซ้ายผมไว้ในขณะที่หัดไปถลกผ้านวมออก เขาล้มตัวลงทำท่าจะทิ้งหัวลงหมอนแล้วดึงผมเข้าไปหา ผมชันเข่าไว้กับโซฟาตัวใหญ่ วิคเตอร์ยื่นวงแขนขวามารัดเอวผมอีกรอบแล้วจับผมพลิกหันหลัง เขายื่นแขนซ้ายออกมาวางบนหมอน ใช้มือขวากดหัวผมลงนอนบนต้นแขนซ้ายล่ำๆ ของเขา ก่อนจะงอแขนยกมือมาจับหัวผมไว้ มือขวาก็ดึงร่างผมให้ด้านหลังแนบชิดไปกับแผ่นอกและแผงกล้ามท้องของเขา  ผมรู้สึกสมองหยุดสั่งการไปชั่วขณะ วิคเตอร์คลายวงแขนขวาที่โอบรัดหน้าท้องผมไว้ เอื้อมไปดึงผ้านวมผืนใหญ่ขึ้นมาคลุมร่างเราสองคนแล้วก็กลับมากอดผมไว้ตามเดิม มือซ้ายเขาลูบหัวผมไปมาเบาๆ


พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง วิคเตอร์ก็นอนนิ่ง ลมหายใจเขารดอยู่เหนือหัวผม ใจผมเต้นตึกตักเป็นจังหวะเบาๆ ไม่รุนแรงมาก เหมือนกับว่ามันเริ่มอยู่ตัว สักพักเขาขยับตัวเล็กน้อยแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามากดจมูกลงบนแก้มขวาอีกครั้ง เขาแช่อยู่แบบนั้นสูดลมหายใจดังฟอด สูดดมจนผมนึกว่าเขาจะสูบวิญญาณผมออกไปจากร่าง พอสูดดมหนำใจเขาก็กดริมฝีปากจูบลงมาหนักๆ ก่อนจะปล่อยออก


“แมท… ขอบใจนะ แล้วก็ขอโทษ…” ผมหันหน้าไปมองสบตากับเขาที่จ้องมองมาด้วยสายตาดิบๆ ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ รู้สึกดีในใจที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น ผมยิ้มออกมาน้อยๆ ตั้งแต่รู้จักกันมานี่คือครั้งที่สองที่เขาเรียกชื่อผม


“ตอนนายเช็ดตัวให้ฉัน ฉันรับรู้นะว่าเป็นนาย…” เขาบอกเสียงนุ่มแต่ก็ยังติดแหบเล็กๆ ผมยิ้มกริ่มที่ได้ยินแบบนั้น ใจเต้นรัวด้วยความดีใจ


“นอนเถอะ…” เขาบอก แล้วก้มลงมากดจมูกลงบนหน้าผากผมหนึ่งที ก่อนจะทิ้งตัวและศีรษะไปนอนตามเดิม วงแขนขวาก็กระชับเอวและหน้าท้องผมไว้แน่น แผ่นหลังผมแนบชิดกับด้านหน้าเขาอย่างชิดใกล้จนแทบจะรวมร่างกัน มือซ้ายเขาก็ลูบหัวผมไปมาเบาๆ ราวกับจะกล่อมให้ผมหลับ ผมยิ้ม ยิ้มด้วยความรู้สึกดีอย่างมหาศาล รู้สึกอบอุ่นที่ได้อยู่ในอ้อมกอดเขาแบบนี้ อ้อมกอดที่เวลาโดนกอดกี่ครั้งก็มักจะอบอุ่นเสมอ


แต่ว่า…


“คุณเรย์มอนด์…” ผมลองเรียกเขา


“หืมมม…” เขาส่งเสียงกลับมือซ้ายยังลูบหัวผมเบาๆ ช้าๆ


“คือ… คุณไม่หิวหรอ


“ไม่…” เขาตอบกลับทันที


“แต่…ไมเคิลกับฟอกซ์ยังไม่ได้ทานอาหารเลยนะครับ”


“ไม่เป็นไร ตื่นมาค่อยให้มันกิน มันรอกันได้ นายนอนเถอะ” เขาบอกแล้วกอดผมแน่นขึ้นจนรู้สึกจะหายใจลำบาก แต่ผมกลับชอบที่ได้อยู่แบบนี้


“เรานอนแบบนี้ ถ้าคุณนาตาชากลับมา เธอจะเข้าใจผิดนะครับ” ผมบอกอย่างเป็นกังวล วิคเตอร์ถอนหายใจหนักๆ เหมือนกำลังเซ็ง เขาดันตัวลุกขึ้นเล็กน้อย ผมจะลุกตามแต่เขาก็ใช้มือซ้ายกดหัวผมไว้ เขาเอื้อมมือขวาไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากโต๊ะกระจก กดหาเบอร์ด้วยใบหน้าตาบึ้งตึง ก่อนจะกดโทรออก รอสัญญาณสักพักอีกฝ่ายก็รับสาย


“ไอ้เบน ตอนแกออกไปเมื่อกี้นี้ แกได้ล็อคบ้านให้ฉันมั้ย… เออ ขอบใจมาก แค่นี้แหละ…” เขากดวางสายแล้วยื่นมือขวาออกไป เอาโทรศัพท์ไปวางไว้ที่เดิม ก่อนจะดึงตัวกลับมานอนในท่าเดิม แขนขวาเขาโอบรัดผมไว้ ก่อนจะบอกเสียงแผ่ว


“ไอ้เบนล็อคบ้านไว้แล้ว แนทกลับมาก็เปิดไม่ได้หรอก เขาไม่มีกุญแจ…” ผมชะงักไป แอบแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เขาไม่ได้ให้กุญแจบ้านเธอไว้ ผมแอบยิ้มนิดๆ ด้วยความสุขใจที่เขาไม่ได้ให้กุญแจเธอไว้ แต่เขาให้ไว้กับผม ถึงจะเพราะผมเป็นคนดูแลก็เถอะ แต่แค่นี้ก็มำให้ดีใจแล้ว


แต่เดี๋ยวก่อน…


“คุณเรย์มอนด์…”


“ฮืมมม…” วิคเตอร์ตอบรับแต่เสียงเริ่มกดต่ำน่าอันตราย ขาขวาเขาเริ่มยกมาทับสะโพกผมราวกับจะเตือนว่าถ้ายังถามอะไรอีกเขาจะไม่ทนแล้ว


“คุณทำแบบนี้ทำไมเหรอ…” ผมถามเสียงเบา รู้สึกเพลินที่เขาลูบหัวผมไปมาอย่างเบามือ วิคเตอร์กระชับอ้อมแขนขวาที่กอดเอวผมไว้ ขาขวาขยับขึ้นมาเกยทับสะโพกผมไว้เยอะกว่าเดิม


“If you do not stop asking me right now. (ถ้ายังไม่หยุดถามตอนนี้)”


“…”


“I will eat you on this sofa. (ฉันจะ กิน นายบนโซฟาแล้วนะ)” ผมยิ้มขำน้อยๆ กับตัวเอง ก่อนจะปล่อยตัวปล่อยใจไปกับช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาในอ้อมกอดของเขา นี่ผมอยู่ในอ้อมกอดของพระเอกเลยนะ ผมยิ้มแล้วก็ยิ้ม ปล่อยให้วิคเตอร์ใช้แขนขวากอดเอวไว้ มือขวาเขาก็ลูบเบาๆ ไปมาที่พุงน้อยๆ ของผม ส่วนมือซ้ายก็ขยุ้มเส้นผมไปมาเบาๆ จนผมเริ่มเคลิ้ม
ถ้าตอนนี้ผมจะปล่อยเบรกที่เบรกใจตัวเองไว้สักพัก มันจะถลำไปไกลขนาดไหนกันนะ


V
v
v

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 16-18:: 22.06.58
«ตอบ #74 เมื่อ22-06-2015 17:07:56 »



ภาพเบลอๆ ตัดไปตัดมาอยู่ในหัวเหมือนเรียกสติให้ตื่น ผมรู้สึกตัวแล้ว แต่ยังนอนหลับตาหนุนแขนวิคเตอร์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือทางเข้าห้องนั่งเล่นที่เป็นซุ้มใหญ่โตและบันไดที่เดินขึ้นไปชั้นสองของบ้าน มือวิคเตอร์ที่ขยุ้มเส้นผมบนหัวเบาๆ คลายออกแล้วตกลงนาบไปกับหมอน ไม่รู้ว่าป่านนี้แขนเขาจะชาจนไร้ความรู้สึกไปแล้วรึยัง ส่วนมือขวาและวงแขนขวาของเขายังคงอยู่ที่เอวและพุงผมเหมือนเดิม แต่คลายความแน่นในตอนแรกลงบ้างแล้ว ผมยิ่งตัวแน่นๆ อยู่ ตอนโดนเขากอดแน่นๆ ไอ้ชอบมันก็ชอบนะ รู้สึกดีก็รู้สึกดี แต่ โห บางจังหวะโคตรอึดอัดอย่างกับโดนงูรัด แต่ก็ดัดจริตไม่ยอมบอกเขาว่ารัดแน่นไป เพราะใจกำลังแรดหลั่นล้ามากที่โดนผู้ชายกอด ก็นะ ผมไม่เคยมีประสบการณ์การใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนเท่าเขามาก่อน (พ่อไม่นับ)


ผมนอนนิ่งอยู่อีกสักพัก ก่อนจะหันหน้าไปมองเสี้ยวหน้าของวิคเตอร์ที่กำลังหลับสบาย ผมสีดำสนิทของเขายุ่งเหยิงปรกหน้าผาก ลมหายใจของเขาแผ่วเบาเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เวลาที่เขาสงบๆ ไม่ชวนผมรบ ชวนออกศึก ก่อกวน กวนประสาท เขาช่างดูเป็นผู้ชายในฝันของผู้หญิงหลายๆ คน แต่จะมีกี่คนกันที่จะรู้ว่าอีพ่อพระเอกคนนี้ ปากอเวจี เอ้ย ปากปีจอที่แปลว่าหมาแค่ไหน


ผมผ่อนลมหายใจเบาๆ ขยับบิดตัวให้นอนตรงๆ ไม่กล้าขยับตัวแรงมากเพราะกลัวเขาจะตื่น ผมนอนมองหน้าเขา ใบหน้าอันหล่อละมุน ผมว่าหน้าเขามองแล้วไม่น่าเบื่อ โดยส่วนตัวแล้ว กับพวกที่หล่อเป๊ะไปหมดทุกอย่าง ผมจะมองค้างอยู่พักหนึ่ง แต่สักพักก็จะเบื่อที่จะมองไปเอง (แหม สวยเชียว)


ผมยิ้มน้อยๆ อยู่คนเดียวตอนเขาขยับศีรษะน้อยๆ เหมือนหามุมนอนให้สบายหัว เขาน่ารักจัง หลับปุ๋ยเลยแฮะ ผมละสายตาจากหน้าเขาแล้วมองแขนเขาที่พาดอยู่บนลำตัวผม ก่อนจะค่อยๆ ยกมือซ้ายขึ้นมาจับมือขวาเขาเพื่อยกออก แต่พอแขนเขาลอยห่างจากตัวผมนิดเดียว เขาก็กดแขนลงมาทับไว้บนตัวผมใหม่ เขาพ่นลมหายใจรดแก้มผมแรงๆ เหมือนรำคาญที่ไปกวนการนอนของเขา ผมเม้มปาก กลอกตาแว้บไปแว้บมาอย่างหาทางออก ก่อนจะลองยกแขนขวาเขาอีกครั้ง รอบนี้เขาไม่ต่อต้านอะไร ผมเลยค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วเอาแขนขวาเขาไปวางไว้บนสะโพกเขา แต่สักพักก็ต้องชะงักเพราะที่ขาผมโดนเขาก่ายเอาไว้
โอ้โห กอดกูเป็นหมอนข้างเลย


ผมค่อยๆ ดันขาเขาออกอย่างช้าๆ จนผมสามารถยกขาหนีเขาได้ ผมเบี่ยงขาลงโซฟา หันไปมองเขาที่หลับสบาย สงสัยจะเพลียจากเมื่อคืนและบวกกับฤทธิ์ยาเลยหลับนาน ผมดึงแขนซ้ายเขาที่วางราบไปกับหมอน ให้มาอยู่ตรงๆ เพราะกลัวเขาจะเมื่อยแขน ผมว่าตะคริวกินแขนเขาไปแล้วล่ะ ให้ผมนอนทับตั้งนานขนาดนั้น ผมล้วงหยิบมือถืออกมาจากกระเป๋ากางเกงขาสั้นสีขาวของตัวเอง กดหน้าปุ่มโฮมเพื่อดูเวลา ตอนนี้บ่ายสองแล้ว นี่เราหลับกันไปนานเหมือนกันนะเนี่ย


ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นเพื่อที่จะทำอาหารให้เขาทาน ออกมาที่ห้องครัวผมก็เห็นเจ้าสองศรีพี่น้องกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ในครัว พอเจ้าสองตัวนั้นเห็นผมก็แทบจะพุ่งตัวเข้ามาหา ผมก้มลงขยี้หัวทั้งสองตัวเบาๆ แล้วรีบเดินไปเอาอาหารมาให้มันกิน ไม่ได้สั่งให้ไมเคิลเห่าอย่างที่ชอบทำ แต่เหมือนมันจะชินที่ว่าเวลาผมให้อาหารจะต้องเห่าก่อนมันเลยเห่าซะดังลั่นบ้าน จนผมทั้งตกใจและขำก่อนจะรีบยกมือจุ๊ปากให้มันเงียบ


“ชู่ววว… เงียบหน่อย พ่อแกหลับอยู่” มันย่นคิ้วแล้วเอียงคอมองด้วยความงง แต่พอผมยื่นถาดอาหารให้มันก็ก้มหน้าก้มตากินไม่สนโลกอีกต่อไป ส่วนเจ้าฟอกซ์ยืนกินเงียบๆ ของมันไป ผมเปิดตู้เย็นและเตรียมทำอาหารมื้อไหนสักมือเนี่ยแหละให้เขา ตื่นขึ้นมาจะได้ไม่โวยวาย


ระหว่างทำอาหารผมก็คิดเรื่องเขาไปด้วย ผมรู้สึกเหมือนเป็นภรรยากำลังทำอาหารให้สามีหลังจากหลับนอน เอ่อ หลังจากนอนกอดกัน เอ่อ ไม่สิ นั่นแหละ นอนด้วยกัน ใช้คำนี้ก็แล้วกัน แต่ก็ได้แค่รู้สึกไปเองเท่านั้นแหละ เพราะยังไงซะ ผมก็ไม่ได้มีสถานะเป็นอะไรกับเขาทั้งนั้น นอกจากเจ้านายกับลูกน้อง ถ้าได้มากที่สุดก็คงเป็นพี่ชายกับน้องชาย


ที่เขาทำอาจเป็นเพราะคุณเบนบอกให้ใจดีกับผมบ้าง เขาถึงได้ทำแบบนี้ แต่ผมว่าไอ้ความใจดีที่เขาทำกับผมนี่มันจะไม่ดีต่อใจผมอย่างที่ผมกลัวๆ อยู่ แบบนี้ใจดีไป๊! ดีจนใจจะพังเพราะเต้นรัวๆ แล้วก็อีกอย่างที่เขาทำก็คงเพราะเขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำกับผม


แต่ก็อีก… รู้สึกผิด แค่ขอโทษก็พอแล้วมั้งพ่อพระเอกเอ๊ย เล่นกอด เล่นหอม แบบนี้ ไอ้แมทใจ่บ่อดี๊เน่อ~


ผมถอนหายใจในตอนหั่นเนื้อหมูติดกระดูก แล้วก็คิดไปถึงนาตาชา ยังไงซะตอนนี้เธอก็เป็นแฟนกับวิคเตอร์ ผมไม่รู้ว่าเขาคบกันเพราะอะไร ทำไมวิคเตอร์ถึงคบกับเธอ ทั้งที่เขามีผู้หญิงตั้งมากมาย แต่ทำไมถึงเลือกคบคนนี้ ผมไม่ได้จะบอกว่านาตาเลวร้ายหรือร้ายกาจ แค่เพียงเพราะเธอไม่ยอมดูแลวิคเตอร์ตอนเมา เธออาจมีมุมดีๆ ต่อกันแต่ผมไม่เห็นอย่างที่บอกกับคุณเบนเนดิคท์ไป แต่ที่คุณเบนเนดิคท์พูดก็ถูก นาตาชาทิ้งวิคเตอร์เพราะสภาพเขาย่ำแย่ ทั้งๆ ที่เธอไม่ควรทิ้งเขาไปไม่ว่าเขาจะเป็นไงก็ตาม แค่นี้ยังทิ้งกัน ไม่อยากจะคิดว่าถ้าวิคเตอร์ชีวิตตกต่ำ เธอคงไม่เสียเวลากับเขา


แต่ผมว่ายากที่เธอจะทิ้ง ตอนนี้วิคเตอร์ได้บทพระเอกหนังใหญ่ ชื่อเสียงเขาก็ต้องเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ผมคิดว่าวันนี้ข่าวที่เขาได้เล่นเป็นพระเอกหนังระดับฮอลลีวูดคงเริ่มแพร่กระจายไปสู่โลกโซเชียลแล้วล่ะ และเพียงแปบเดียวเขาก็จะกลายเป็นที่รู้จักวงกว้างกว่าเดิม และยัยนาตาชาหน้าเหลี่ยมผู้มีผมสีแดงตอนนี้ก็คงไม่ยอมสลัดเขาทิ้งชัวร์


ผมถอนหายใจเมื่อคิดๆ แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนโซฟา มันก็คงเป็นแค่คำขอโทษ คำปลอบโยนจากวิคเตอร์เท่านั้น มันไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านี้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ดีใจ และใจผมก็รู้สึกดีมากๆ ด้วย ถ้านี่เป็นคำขอโทษ คำปลอบโยน ผมขอบอกว่าผมยกโทษให้ มันดูใจง่าย ซึ่งก็ง่ายจริงๆ แต่ถามว่าผมจะต้องโกรธเขาไปเพื่ออะไร เสียเวลาคิดแค้นเคืองเขาไป มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะยังไงมันก็จะอยู่เท่านี้ อยู่แค่นี้ ไม่เขยิบไปไหน สู้เอาเวลามาทำทุกวันให้ดี เพื่อที่จะได้สิ่งดีๆ กลับไปอย่างที่บอกเขา นั่นน่าจะดีกว่า ที่สำคัญอย่างอนมากเล้ย ผมไม่ใช่แฟนเขา ไม่ได้เป็นอะไรกับเขา แค่เท่านี้ที่เขาให้มาก็ดีมากแล้ว


นึกถึงตรงนี้ก็แปลบๆ ที่อกซ้าย ไม่ได้เป็นอะไรกัน นั่นคือเรื่องจริงแบบที่ไม่ต้องหารีเฟอร์เรนซ์ (reference) ใดๆ มาการันตี แต่มันเป็นสิ่งที่ผมต้องยอมรับ มีอีกหลายอย่างที่ผมต้องยอมรับ หนึ่งในนั้นคือ ผมกับเขา เป็นไปไม่ได้หรอก ด้วยหลายๆปัจจัยน่ะนะ ได้แต่หวังว่าพอผมกลับไทยไป เขาจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีของผมก็แล้วกัน


“เอเลี่ยน!” เสียงตะโกนดังมาจากห้องนั่งเล่น ผมหันไปมองก็เห็นผู้ชายถอดเสื้อโชว์หุ่นอันเย้ายวนชวนเสียตัวเดินออกมาด้วยท่าทางตื่นๆ และหน้ามุ่ยๆ เขามองซ้ายมองขวาก่อนจะหันมาสบตากับผมที่ยืนยิ้มเก้อๆ มองเขาอยู่ เขาทำหน้าโล่งใจก่อนจะเดินมาที่ครัว ผมหันกลับมาสนใจต้มแซ่บกระดูกอ่อนหมูที่กำลังทำอยู่ต่อ


“ตื่นนานรึยัง” เขาเอ่ยถามเสียงทุ้ม ผมหันไปมองเขาที่กำลังยกก้นขึ้นนั่งบนเก้าอี้ทรงสูงในห้องครัว ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะตอบ


“ไม่นานครับ ก่อนคุณสักครึ่งชั่วโมงได้” เขายกมือสองข้างขึ้นมาเท้าคางไว้มองผมทำกับข้าว แล้วมองผมด้วยสายตาพราวระยับ ยกยิ้มมุมปากหน่อยๆ


อ่อย! อ่อยอีกละ ถอดเสื้อทีไร มันอ่อยทุกที


“ฉันนึกว่านายอพยพหนีกลับประเทศไปแล้วซะอีก” ดู! ดูมันใช้คำ ใช้คำว่า อพยพ ผู้ชายคนนี้ไม่ควรตื่นนะ ตื่นแล้วความน่ารักหายไปหมด ผมกลอกตาแว้บหนึ่งก่อนจะตอบเขาหน้าหงิกนิดๆ


“ด่านตรวจคนเข้าเมืองยังไม่มีหมายเรียก ผมยังไม่หนีกลับง่ายๆ หรอกครับ นอกจากซะว่าเขาจะมาตรวจค้นบ้านคุณแล้วเจอผม” ผมบอกอย่างประชดแต่ริมฝีปากก็บิดเป็นรอยยิ้มนิดๆ แบบที่พยายามฝืนยิ้ม ยิ่งเห็นว่าเขายิ้มน่ารักๆ มาให้ พร้อมส่งสายตาขำๆ มาพร้อมกัน มันยิ่งทำให้ผมกลั้นยิ้มยาก จนต้องหันหน้าหนีมามองหม้อต้มแซ่บแทน


“อืมมม… ถ้ามาตรวจค้นแล้วเจอก็คงถูกจับส่งกลับประเทศสินะ…” เขาพูดเสียงนุ่มลึก ฟังแล้วเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างมาก ผมแอบยิ้มเบ้ปากในขณะที่คนทัพพีในหม้ออย่างช้าๆ


“แต่ก็มีวิธีรอดอยู่นี่” ผมยิ้มขำๆ แล้วหันไปมองเขาที่นั่งเอามือกุมกันไว้แล้วใช้ดันคางให้แหงนขึ้นนิดๆ เขาสิ่งยิ้มกริ่มพร้อมสายตาละมุนมาให้


“วิธีไหนล่ะครับ” ผมถามแล้วเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ พร้อมกับยิ้มมุมปากทั้งสองข้างหน่อยๆ  วิคเตอร์เอามือลงวางบนโต๊ะใช้แขนยันตัวเองเอาไว้ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มน่ารัก


“แต่งงานไง” ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงกว่าเดิม จ้องตาแป๋วกลับไปที่เขา ก่อนจะยกมุมปากขึ้นอีกหน่อย วิคเตอร์ยักคิ้วให้ผมหนึ่งที
แน่ะ! มันพูดให้ชวนคิดอีกละ เดี๋ยวก็ได้เป็นชู้จริงๆ ละมั้งตู


“แล้วแต่งกับใครล่ะครับ” ผมแกล้งถามหน้าตาย วิคเตอร์ทำปากยื่น เลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย ก่อนจะตอบเสียงเฉื่อย


“ไม่รู้สิ แล้วนายอยากแต่งกับใครล่ะ”


“แล้วคุณจะให้ผมแต่งกับใครล่ะ”


“ก็นายอยากแต่งกับใครล่ะ” เอ๊ะ! ไอ้นี่!


แล้วเราก็มองตากันด้วยสายตาขำๆ สักพัก ก่อนที่เราจะคลี่ยิ้มกว้างด้วยความขำพร้อมกัน ผมพยายามไม่หลบสายตากรุ้มกริ่มของเขาที่มองมา เดี๋ยวจะหาว่าไม่แน่จริง วิคเตอร์เหมือนรู้ว่าผมสู้สายตาเขา อีกฝ่ายเลยมองกลับมาด้วยสายตากรุ้มกริ่มที่เพิ่มระดับ เรื่องแอคติ้งอย่าได้ห่วงผู้ชายคนนี้ เพราะเขามีดีกรีเป็นถึงพระเอก ส่งสายตามาทีเก้งกวางบ่างชะนีพร้อมพลีกายให้ ผมรีบหุบยิ้มแล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงมั่น


“Maybe with Benedict? (แต่งกับคุณเบนเนดิคท์มั้ง)” วิคเตอร์หยุดยิ้มและหยุดส่งสายตากรุ้มกริ่ม ก่อนจะหรี่ตามองผมด้วยความสงสัย


“นายเป็นอะไรกับผู้ชายที่มีรอยสักรึเปล่า ตั้งแต่อดัม มารูนไฟว์ ไอ้อดัมช่างภาพ แล้วยังจะมาไอ้เบนอีก ทำไม? ผู้ชายมีรอยสักนี่มันกระชากใจนายมากเลยรึไง เห็นแล้วมันโดนใจ เห็นแล้วอยากพลีกายให้เลยว่างั้น” ผมทำตาโตด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะแสร้งทำสีหน้าตื่นเต้น


“Ooh! Wow! Does he have a tattoo, too? (อู้ววว! ว้าววว! เขามีรอยสักด้วยเหรอเนี่ย)” วิคเตอร์ยิ้มุมปากหน้าเหี้ยม ก่อนจะตอบเสียงแข็ง


“มี มันสักที่ต้นขา” ผมแสร้งทำตาโตด้วยความมีจริตนิดๆ ยกมือซ้ายขวาที่ถือทัพพีไว้มาทาบอกเบาๆ


“That’s so hot! (เป็นอะไรที่ร้อนแรงมาก!)” ผมบอกแล้วกัดริมฝีปากเบาๆ แล้วปล่อยออกช้าๆ ขยิบตาให้วิคเตอร์หนึ่งที อีกฝ่ายยิ้มมุมปากพร้อมส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาให้ สักพักเขาก็ขยิบตากลับมาให้พร้อมกัดริมฝีปากอย่างเซ็กซี่ แบบที่เซ็กซี่จริงๆ จนผมที่กำลังล้อเขาเล่นถึงกับอ้าปากหวอน้อยๆ ตาค้างกับสิ่งที่เขาทำ


โอยยย เขาช่างเป็นผู้ชายที่ร้อนแรงตัวพ่อ!


Jeez! He’s really completely fucking hot man that I have ever met before! 


ผมหุบปากฉับ แต่หน้าตายังคงเหลอหลาอยู่ วิคเตอร์เห็นแบบนั้นก็หัวเราะชอบใจเบาๆ ไอ้ห่า! ไอ้บ้า! ขนาดหัวเราะยังเสียงเซ็กซี่เลย ผมรีบหันกลับไปดูหม้อต้มแซ่บที่เดือดปุดๆ แล้วใช้ทัพพีคนๆ เหมือนคนสติหลุด ผมหลับตาแน่นพักหนึ่ง ลืมตาขึ้นมาพร้อมสติที่เรียกกลับมาได้น้อยนิด ก่อนจะตั้งใจคนต่อไปจนเสร็จแล้วก็ปิดแก๊ส หมุนตัวหันไปจะตักข้าวให้เขา


ตุบ!


“ห่ะ!” ผมเปล่งเสียงลมหายใจออกจากปากเมื่อหันไปแล้วหน้าซุกเข้ากับร่องอกของวิคเตอร์ที่มายืนตอนไหนก็ไม่รู้ ผมก้มหน้าไว้แบบนั้น ปล่อยให้เขายืนหายใจรดหัวผมเบาๆ ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาตอนนี้ เลยได้แต่มองผิวอกสีน้ำตาลเหมือนผงโกโก้ของเขาแทน


เอาอีกละ หน้าร้อนอีกแล้ววว! ใจเริ่มออกสเต็ปการเต้นอีกละ ผู้ชายคนนี้นี่มันยังไง จะให้ผมยอมเป็นชู้ให้ได้เลยใช่มั้ย


“มายืนอะไรตรงนี้ ไปนั่งรอสิครับ เดี๋ยวผมตักข้าวให้ก็ได้กินแล้ว” ผมบอกเสียงงึมงำ แล้วกลืนน้ำลายลงคอ ไอ้ที่ทำบนโซฟานั่นยังทำให้ผมคอแห้งไม่พอใช่ปะ


“กินกับฉันนะ” ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาทันทีด้วยความประหลาดใจ เขากำลังก้มหน้ามองผมด้วยสายตายิ้มๆ ยิ้มพราวพอๆ กับรอยยิ้มที่ปาก ผมเม้มปากนิดๆ ให้น้ำลายโดนปากเพื่อความชุ่มฉ่ำ วิคเตอร์ย่นคิ้วหรี่ตามอง พร้อมกับเปลี่ยนรอยยิ้มเป็นรอยยิ้มล้อๆ


“เป็นอะไร ทำไมดูแห้งๆ ขาดน้ำหรอ ฉันฉีดน้ำให้เอามั้ย…” ผมขยับริมฝีปากไปมา มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความอึน พูดอะไรไม่ออก วิคเตอร์โน้มหน้าลงมาใกล้ผมแล้วพูดเสียงกระซิบอย่างยั่วยวน


“…รับรองนายจะชุ่มฉ่ำไปทั้งคืน” พูดไม่เท่าไหร่ ไอ้การที่เอาริมฝีปากมางับหูซ้ายผมเบาๆ นี่เขาต้องการอะไร ต้องการอะไรจากสังคมนิวยอร์ครึเปล่าไอ้พระเอกกก!


“อื้อ… อย่าทำแบบนี้สิ…” ผมเบี่ยงหน้าหนีเขา อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ แล้วดึงหน้ากลับขึ้นไปเต็มความสูง แต่ก็ยังก้มหน้ามองผมอยู่ ผมแอบหน้ามุ่ยเล็กน้อย ก่อนจะว่า


“คุณมี…”


“…นาตาชาอยู่แล้ว นายจะพูดแบบนี้ใช่มั้ย” ผมพยักหน้านิ่งสงบ วิคเตอร์ยกมือเสยผมเบาๆ แล้วผ่อนลมหายใจหนักๆ


“ตักข้าวเถอะ” เขาบอก แล้วเดินกลับไปนั่งรอที่เก้าอี้ตามเดิม แต่สายตาก็ยังมองผมอยู่ แต่ครั้งนี้เขามองด้วยสายตาครุ่นคิดนิ่งๆ


ผมจัดการตักต้มแซ่บใส่ถ้วยใหญ่ และตักข้าวที่หุงไว้ระหว่างรอต้มเดือดใส่จานสีขาวสองใบ ผมยกถ้วยต้มแซ่บไปวางไว้บนโต๊ะ ตามด้วยจานข้าวให้เขาและผม วิคเตอร์ดึงจานข้าวเข้าหาตัวก่อนจะเริ่มตักอาหารกิน เขาพยักหน้าด้วยความพอใจเมื่อกินเข้าไปคำแรก ผมแอบยิ้มที่อาหารถูกปากเขา


“ห้ามเปิดร้านอาหารนะ” ผมขมวดคิ้วงงกับประโยคของเขา ปกติคนเราถ้าชื่นชมคนทำอาหารดี ต้องบอกว่า น่าจะเปิดร้านอาหารนะ อะไรแบบนี้


“คือ… ผมก็ไม่คิดจะเปิดอยู่แล้วครับ คงไม่มีใครชอบอาหารฝีมือผมไปซะทุกคน…”


“…ฉันชอบคนเดียวพอ ไม่ต้องทำให้ใครกินนอกจากฉัน” เขาบอกสีหน้าดื้อดึง แววตาเอาแต่ใจเหมือนเคยเวลาที่เขาอยากได้อะไร ผมกระตุกยิ้มเก้อเขินเล็กน้อย


“แต่เมื่อวานผมก็ทำให้พวกเพื่อนๆ คุณกินนะ” วิคเตอร์มองหน้าผมนิ่งนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ


“ต่อไปก็ไม่ต้องทำให้ใครกินแล้ว ถ้าฉันไม่ได้สั่ง” ผมพยักหน้าน้อยๆ รู้สึกดีใจอยู่ในอกเบาๆ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้แล้วถามเขาเสียงแผ่ว


“แล้ว… รวมถึงคุณนาตาชาด้วยรึเปล่าครับ” วิคเตอร์ที่ก้มหน้า กำลังจะตักข้าวทานคำต่อไปเงยหน้าขึ้นมอง ผมหลบสายตาเรียบเฉยของเขาไปมองทางอื่น ก่อนจะแสร้งใช้ช้อนตักต้มแซ่บมาใส่จาน เริ่มรู้สึกตัวว่าถามอะไรไม่ดีออกไป


“ผมแค่ถาม ไม่ได้คิดจะไม่ทำให้หรอก” ผมก้มหน้าบอกอย่างรู้สึกผิด


“แค่ฉันคนเดียว…” เขาตอบเสียงเบาแต่ก็ฟังหนักแน่น ผมแอบช้อนสายตามองเขาก็เห็นเขามองมาด้วยสายตาอ่อนโยนเบาๆ


“…นายเป็นคนของฉัน ฉะนั้นทำให้ฉันคนเดียวพอ” โอเค ถ้าเขาจะจู่โจมหัวใจผมด้วยประโยคชวนคิดไกลแบบนี้อยู่เรื่อยล่ะก็ ผมว่าผมอาจใจอ่อนยอมเป็นชู้เขาแน่ๆ


ผมทำนิ่งแต่จริงๆ ในใจแม่งนิ่งไม่ไหวแล้ว มันเต้นตุบๆ สั่นไหวไปตามคำพูดเขา นึกโมโหตัวเองที่แม้กระทั่งคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ของเขาแบบนี้ยังทำผมสติแทบหาย


“ครับ ผมเข้าใจแล้วว่าผมเป็นคนใช้ของคุณคนเดียว” ผมแกล้งพูดแก้คำพูดเขาใหม่ เพื่อให้เขารู้ตัวว่าตัวเองอาจกำลังพูดอะไรผิดไป และเป็นการย้ำตัวเองว่าที่เขาพูดนั้นหมายถึงอะไร


วิคเตอร์ยิ้มน้อยๆ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนที่เราสองคนจะนั่งทานอาหารกันต่อไปเงียบๆ ผมพยายามไม่มองเขาแล้วนะ แต่เคยเป็นกันมั้ยสายตามันไปเอง มีสตินะแต่คุมไม่ค่อยอยู่ ชอบเหลือบมองเขาอยู่เรื่อย มองจนบางครั้งสายตาเราปะทะกัน แล้วก็เป็นผมทุกครั้งที่หลบสายตาเขา


“มองหาของหวานหลังอาหารคาวหรอ…” ผมตาโตเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองเขาในขณะที่กำลังเคี้ยวข้าวคำใหม่อยู่ วิคเตอร์ยิ้มเซ็กซี่ก่อนจะว่าต่อ


“I’m not sure that my sperm is sweet or not. It might be fishy than food you eating. (ฉันไม่แน่ใจว่าน้ำฉันมันจะหวานรึเปล่านะ อาจจะคาวกว่าอาหารที่นายกินอยู่ด้วยซ้ำ)” ผมถึงกับสำลักข้าว แต่ไม่ได้สำลักอะไรรุนแรงหรอก แค่ไอเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ถึงขั้นตาเหลือกติดคออะไร วิคเตอร์หัวเราะเบาๆ คนเดียว ก่อนจะพูดต่อหน้าตาเฉย


“แต่ถ้านายอยากกินจริงๆ เดี๋ยวฉันขอกินผลไม้ให้มันเข้าไปเปลี่ยนรสชาติก่อน รอสักครึ่งชั่วโมงก็น่าจะได้ของหวานแล้วล่ะ” ผมกลืนข้าวที่เคี้ยวอยู่ลงคอด้วยความยากลำบาก ตั้งสติหันกลับไปพูดกับไอ้ยักษ์หน้าหนวดที่ยิ้มกว้างด้วยความซุกซน


“ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักอย่างเลยนะ!” ผมแหว แล้วเดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นที่ใส่เหยือกเอาไว้มาเทใส่แก้วน้ำแล้วยกดื่ม


“อ้าว ใครจะไปรู้ ก็เห็นนายแอบมองฉันบ่อยๆ ฉันก็นึกว่าอยากจะกินฉัน” ผมเบ้ปากย่นจมูกใส่เขา ก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ตามเดิม อีกฝ่ายเอาสองมือขึ้นมากุมไว้แล้วเท้าคางอีกครั้ง เชิดหน้าขึ้น เหลือบมองผมทางหางตาแล้วยิ้ม


“ผมเดินไปซื้อขนมที่ซูเปอร์มาร์เก็ตได้ ไม่ต้องกินส่วนไหนของร่างกายคุณหรอก” เขาหรี่ตาแต่ปากยังยิ้มมีลูกเล่น ก่อนจะบอกเสียงระรื่น


“กินแล้วจะติดใจนะจะบอกให้” ผมขบฟันนิ่ง แสร้งตีหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่เขา ก่อนจะแกล้งว่าเสียงฟึดฟัด


“ไม่กินหรอก!” วิคเตอร์มองหน้าผมด้วยสายตาเศร้าๆ ที่เขาแกล้งทำขึ้นมา ก่อนจะแอคติ้งถอนหายใจหนักๆ แล้วว่าเสียงอ่อยเหมือนคนน้อยใจ


“ใช่สิ ฉันไม่มีรอยสักแบบไอ้เบนใช่มั้ยล่ะ นายเลยไม่อยากกิน นายคงชอบแบบมีลวดลาย ไม่ชอบของสะอาดๆ สินะ”
หูยยย เล่นดีกว่าตอนถ่ายซีรีส์ที่มันเล่นอีก หน้าตาเศร้าสร้อยน้อยใจ กรรมการออสการ์มาเห็นนี่คงรีบเขียนชื่อเขาเข้าชิงนำชายยอดเยี่ยมแน่ๆ


“แค่คุณเบนบอกให้ใจดีกับผม ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้” ผมบอกอย่างสุดจะทน ไม่ได้รำคาญเขานะ แต่เจอไอ้ท่าทีมุ้งมิ้งกิงก่องแก้ว คำพูดกระแซะแทะเล็ม เต็มไปด้วยลูกเล่นแพรวพราวของเขาแบบนี้แล้วมันทำให้ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
วิคเตอร์ยิ้มกว้างด้วยความขำ ลุกออกจากเก้าอี้แล้วเดินมาหาผมที่รวบช้อนเตรียมเก็บจาน ผมมองเขาด้วยความไม่ไว้ใจ วิคเตอร์เดินเข้ามาใกล้จนผมต้องรีบยื่นสองมือออกไปดันอกอันเปลือยเปล่าของเขาไว้ อีกฝ่ายจับมือผมไว้แล้วดึงออก จ้องหน้าผมแล้วย้อมน้อยยิ้มใหญ่


“เราก็รู้จักกันแล้วนะ ทำไมนายยังไม่มีอารมณ์อยากกินฉันสักทีล่ะ” ใครว่าล่ะ?! มันมีมานานแล้วโว้ยยย!


“ก็เพราะผมรู้จักคุณดียังไงล่ะครับ ผมถึงไม่อยากกินคุณ กินเข้าไปก็ท้องเสียเปล่าๆ”



V
v
v

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 16-18:: 22.06.58
«ตอบ #75 เมื่อ22-06-2015 17:12:13 »



“แน่ใจได้ยังไงว่ารู้จักฉันดีจริงๆ” เขาเลิกคิ้วแล้วถามสีหน้ากวนๆ ผมพยายามดึงมือตัวเองออกแต่เขาก็จับไว้ไม่ยอมปล่อย
นี่มันจะอ่อยผมไปถึงไหน แค่นี้ใจผมยังไม่ยวบยาบพอใช่มั้ย


“เจ้าชู้ มักมากในกาม เอาแต่ใจ ขี้หงุดหงิด ปากไม่ดี โดยเฉพาะกับผม” ผมแบะปากใส่เขาที่ยิ้มขำกลับมา เห็นแล้วก็หมั่นไส้ พอจะยกมือตี เขาก็จับเอาไว้ ผมเลยใช้หน้าผากพุ่งกระแทกไปที่กลางอกเขาดัง ปึ่ก!


“โอ้ย!” อีกฝ่ายร้องเสียงดัง ผมรู้ว่าเขาแกล้งร้อง มันไม่ได้เจ็บขนาดนั้นสักหน่อย ผมดึงหัวกลับเตรียมตัวพุ่งกระแทกอกเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้วิคเตอร์ปล่อยข้อมือผมทั้งสองข้างแล้วเอาแขนสองข้างโอบหัวผมไว้ ก่อนจะกดหน้าผมให้จมไปกับเนื้อหน้าอกเขา


“อ้ากกก!” ผมร้องเสียงดัง พยายามใช้มือดันหัวตัวเองออก แต่วิคเตอร์รัดหัวผมไว้แน่น จนจมูกผมสูดกลิ่นเนื้ออุ่นๆ ของเขาเข้าไปเต็มปอด


“ชนฉันหรอ ชนฉันใช่มั้ย ฮึ่มๆๆๆ” เขาว่าเสียงห้าวแล้วกดปลายคางลงมาบนกลางกระหม่อมผม แล้วขยี้หัวผมแรงๆ จนผมเจ็บจี๊ดๆ ที่หนังหัว


“อ๊า! แงงง!” ผมร้องโวยวายเสียงหลง พยายามยื่นมือไปดันคางเขาออกแต่เขาหลบและรัดหัวผมไว้แน่น ก่อนจะใช้เข่าแยกขาผมออกแล้วแทรกตัวเข้ามากลางหว่างขาผม ทีนี้เลยกลายเป็นว่าผมเลยแนบชิดอกเขากว่าเดิม จะยกแขนปัดป้องก็ลำบาก เขาก็ยิ่งได้ใจ คราวนี้กดจมูกลงกลางกระหม่อมผมกดสูดจมูกหนักๆ แล้วก็ย้ายไปกดทั่วๆ บนหัว


ฟืด! ฟืด! ฟอด! ฟอด!


โอ๊ยยย! หนังหัวฉันมันจะน่าสูดดมอะไรขนาดน้าน! ดมอย่างกับจะสูบสมองไปกิน หนังหัวจะหลุดแล้ววว


“Victorrr!” ผมเรียกชื่อเขาเสียงดังเมื่อรู้สึกมึนหัวเพราะทั้งโดนรัด โดนขยี้ โดนกดจมูกแรงๆ วิคเตอร์หยุดการกระทำแล้วหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะค่อยๆ ดึงหัวผมออกจากอกเขา ผมรู้สึกมึนหัวไปหมด โลกหมุนติ้วๆ ผมอ้าปากหวอ หน้าตาเบี้ยวๆ เพราะโดนกดทับกับหน้าอกเขามา ผมเงยหน้าขึ้นมองวิคเตอร์ด้วยสีหน้าเอ๋อๆ ที่ยิ้มกว้างและหัวเราะชอบอกชอบใจอยู่คนเดียว


“ฮ่าๆๆๆ” อารมณ์ดี ฮึ! อารมณ์ดี ได้ทำให้ผมอยู่ในสภาพทุเรศๆ นี่ชอบนัก เขายกมือซ้ายขึ้นมาขยี้เส้นผมที่มันคงยุ่งอยู่แล้วให้ดูยุ่งไปอีก หน้าผมเองก็คงยุ่งไม่แพ้เส้นผมเช่นกัน


“ไอ้วิคเตอร์! ไอ้ห่า!” ผมเผลอด่าเขาเป็นภาษาไทยด้วยคำศัพท์ที่ค่อนข้างแรงจนตัวเองยังแอบตกใจ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนไปวิ่งมาเป็นกิโล แค่พยายามหายใจให้สะดวกๆ ก็ยากละ เรื่องคำด่าเมื่อกี้เดี๋ยวเอาไว้ค่อยเคลียร์ อีกอย่างมันเป็นภาษาไทยเขาคงไม่เข้าใจหรอก สู้รบปรบมือกับผู้ชายคนนี้นี่เหนื่อยยิ่งกว่าสู้กับสิ่งใดในโลกนี้


“What? What did you say? (อะไร นายพูดว่าอะไร)” เขาถามอย่างจับผิด คงกำลังคิดว่าที่ผมพูดออกไปมันต้องไม่ใช่คำดีๆ แน่นอน


“I said ไอ้ห่า!” (ผมพูดว่าไอ้บ้า!)” ผมบอกเสียงขู่ฟ่อ เขาขมวดคิ้วงงๆ ผมปรับลมหายใจให้เป็นปกติ เอามือลูบหัวให้เส้นผมมันดูเข้าที่เข้าทาง


“What does it means? (แปลว่าอะไร)” ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนจะยิ้มขำหน่อยๆ แล้วตอบเขาเสียงกลั้วหัวเราะ


“It’s means LOVELY! (แปลว่าน่ารัก!)” วิคเตอร์หรี่ตามองกลับมา เขากัดปากอย่างใช้ความคิด


“Lovely? Are you sure? (แปลว่าน่ารักเหรอ แน่ใจนะ?)” ผมพยักหน้า ตีสีหน้านิ่งๆ ไม่ให้เขาจับพิรุธได้ วิคเตอร์เลิกคิ้วขึ้นหน่อยๆ ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ


“How do you say—I หา? (พูดว่าไงนะ ไอหาเหรอ)” ผมกัดปากล่างไว้ พยายามกลั้นขำไม่ให้หัวเราะก๊ากออกมา เขาดูจริงจังมากที่จะเรียนรู้คำนี้


“ไอ้…”


“ไอ้…” เขาออกเสียงตามที่ผมบอกช้าๆ สีหน้าเหมือนเด็กที่กำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ


“Yes, and then…ห่า (อย่างนั้นแหละ แล้วก็ ห่า)”


“ห่า” ผมยิ้มแก้มอิ่มแล้วพยักหน้าเร็วๆ เมื่อเห็นเขาพูดได้


“ทีนี้ก็พูดรวมกันว่า ไอ้ห่า!” ผมบอกให้เขาทวนอีกที โดยเน้นย้ำเสียงหนักๆ วิคเตอร์สีหน้าอยากรู้อยากเห็นสุดพลัง ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ แล้วออกเสียงดัง


“ไอ้ห่า!”


“Great! Way to go! (เยี่ยม! อย่างนั้นแหละ!)” ผมหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นเขาพูดเสียงดังฟังชัด หน้าตามีแววดีใจที่พูดได้ เห็นแล้วก็ขำ ขำทั้งเขาและตัวเองที่มาสอนคำศัพท์ทุเรศๆ แบบนี้ให้ นี่ถ้าเกิดเขาเอาไปพูดกับคนไทยโดยเข้าใจว่าความหมายเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมว่าเขาโดนตบกลับมาแน่


“Matt, ไอ้ห่า! (แมท ไอ้ห่า!)” ผมที่กำลังหัวเราะชะงักกึกแทบหงายหลังตกจากเก้าอี้ วิคเตอร์ยิ้มหน้าซื่อตาใส ผมมองเขาตาค้างเมื่อประสาทหูรับรู้เสียงที่เขาเรียกชื่อผมแล้วตามด้วยคำที่ผมสอนชัดๆ


คือจะเขิน จะดีใจก็รู้สึกได้ไม่เต็มที่ ไม่รู้ว่าเขาอยากชมแบบนั้นจริงๆ หรือว่าเขาหลอกด่าผมกันแน่ ผมอ้าปากหวอกระพริบตาปริบๆ มองอีกฝ่ายที่ยิ้มกว้างถูกอกถูกใจกลับมาให้ แววตานี่เป็นประกายเชียว เดี๋ยวก่อนนะ ที่มันเป็นประกายเพราะมันได้ใช้คำที่ผมสอนมาด่าผมใช่มั้ย


“W—wait. (ดะ เดี๋ยวก่อน)” วิคเตอร์ยิ้มกว้างขึ้นไปอีก ก่อนจะเปล่งเสียงดังอีกครั้ง


“Matt, ไอ้ห่า! ไอ้ห่า, Matt! You’re so ไอ้ห่า! (แมท ไอ้ห่า! ไอ้ห่าแมท! นายมันไอ้ห่ามาก!)” ผมอ้าปากหวอเมื่อโดนเขารัวออกมาเป็นชุด เขายิ้มหน้าตาระรื่น เมื่อตัวเองพูดได้ชัดขึ้น ยกมือขึ้นมาบีบแก้มผมเบาๆ แล้วหัวเราะสนุกสนานอยู่คนเดียว เขาปล่อยมือก่อนจะหันไปมองเจ้าไมเคิลที่นั่งลิ้นห้อย โบกหางเป็นพวงของมันไปมา


“Michael! From now on when you want to applaud him, you have to say ไอ้ห่า! You know? (ไมคิล จากนี้ไปถ้าแกคิดจะชมหมอนั่น นายต้องพูดว่า ไอ้ห่า! รู้มั้ย)” ไมเคิลโบกหางมันแรงขึ้น ก่อนจะตอบรับนายมันด้วยการเห่าเสียงดัง


โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!


มันเห่าเสียงดังพร้อมกับสีหน้าระรื่นไม่แพ้พ่อมัน ผมรู้สึกเหมือนโดนทุบหน้ายุบไปแล้ว ไม่คิดว่าที่สอนเขาขำๆ จะโดนเขาเอามาใช้กับตัว ไม่ต้องไปห่วงคนไทยคนไหนละ ห่วงกูเนี่ยแหละ


“ภาษาไทยสนุกจัง สอนฉันอีกนะ” ผมยิ้มรับแห้งๆ ยกมือเกาต้นคอ แล้วพยักหน้ารับเอื่อยๆ วิคเตอร์ยิ้มกว้างก่อนจะ…


“ไอ้ห่า ไอ้ห่า ไอ้ห่า…” พอพูดได้ ทีนี้เขาก็พึมพำไปมา นี่เขาไม่รู้จริงๆ ใช่มั้ย เขาเชื่อจริงๆ ใช่รึเปล่าว่านั่นมันแปลว่าแบบนั้น แล้วไอ้การที่เขาชมผมว่า น่ารัก ด้วยการบอกว่า ไอ้ห่า นี่ผมควรดีใจมั้ยหรือว่ายังไง


“วิคเตอร์คือว่า…” ผมกำลังจะอ้าปากแก้ความหมายจริงๆ ของคำนั้น แต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงออดที่หน้าประตูบ้านดังขึ้น


“ใครมา” เขาหันไปมองทางประตูบ้าน เขยิบออกห่างจากผมเล็กน้อย ผมนี่ใจแป้วเลย เพราะคิดว่าเป็นนาตาชากลับมาแล้วแน่ๆ และนั่นหมายถึงช่วงเวลาแบบนี้ของผมก็จะหมดลง


“คุณนาตาชามั้งครับ” ผมบอกเสียงหงอยๆ วิคเตอร์หันมามองนิ่งๆ สักพัก ก่อนจะเขยิบเข้ามาใกล้ผมอีกหน่อยแล้วก้มหน้าลงมาเอาจมูกกดลงบนหน้าผากผมหนักๆ


“ฉันวานไปเปิดประตูที ขอไปใส่เสื้อก่อน” เขาบอกแค่นั้นแล้วผละจากผมไป ผมกำลังสับสนกับการกระทำของเขา แต่ผมก็ไม่กล้าคิดอะไรไปเอง เพราะกลัวว่านั่นจะเป็นแค่ลูกเล่น ลูกง้อ ขอโทษจากเขาสำหรับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา แล้วถ้ามันเป็นแค่นั้น มันก็จะเป็นอยู่ไม่นาน


ผมถอนหายใจหนักๆ เลื่อนก้นลงจากเก้าอี้ที่นั่งทีเท้าผมก็ลอยจากพื้น เดินไปที่ประตูบ้าน ผมส่องตรงตาแมวก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่ไม่ใช่นาตาชา เป็นสาวผมทองสลวยสวยเก๋ หน้าตาสะสวยดูมีอายุ และก็ดูคุ้นตา ผมย่นคิ้วนิดๆ แต่ก็ดึงประตูบ้านเปิดออกกว้าง พอเห็นเธอเต็มๆ ตา ผมก็จำได้ว่านี่คือแม่เลี้ยงของวิคเตอร์ ผมกำลังจะอ้าปากทักทาย ก็เหลือบสายตาไปเห็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้มเหมือนคนมีเชื้ออเมริกาใต้ เส้นผมสีขาวคละเคล้าเส้นผมสีดำบ่งบอกได้ว่าเขามีอายุแล้ว หน้าตามีริ้วรอยตามวัย แต่ไม่ได้ทำให้เขาดูแก่น่าเกลียดเลย ตรงกันข้าม เขากลับดูดี ดูเป็นผู้ชายสูงวัยที่ดูก็รู้ว่าสมัยหนุ่มๆ ต้องหล่อมากแน่ๆ แม้ตอนนี้จะอายุเยอะ แต่เขาก็ดูดีมีภูมิฐาน ยิ่งใส่ชุดสูทสีเทาเข้มกับเชิ้ตขาวด้านใน ยิ่งทำให้เขาดูดีมากๆ


“นายนั่นเอง” คุณลิซ่าเอ่ยทักเสียงเรียบ และส่งรอยยิ้มน้อยๆ มาให้จนผมต้องยิ้มตอบกลับไป แต่ก็ยิ้มด้วยความเกร็ง เพราะสายตาของผู้ชายอีกคนที่มองมานั้นทำเอาผมประหม่า ดวงตาเขาคมและวาววับราวกับพญาราชสีห์


“สวัสดีครับคุณลิซ่า” สาวผมทองสูงวัยแต่ยังดูเซ็กซี่และคล่องแคล่วยิ้มตอบกลับมาให้ผมอย่างมีมาดผู้ดีอังกฤษ


“จำชื่อฉันได้ด้วย… วิคเตอร์อยู่รึเปล่า”


“เอ่อ… อยู่ครับ เดี๋ยวเชิญเข้ามาข้างในก่อน”


“เด็กคนนี้ใคร” เสียงนุ่ม สุขุมแต่ฟังแล้วมีอำนาจถามขึ้น ผมหันไปสบตาเรียวคมๆ ของผู้ชายสูงวัยร่างสูงใหญ่ด้วยอาการรู้สึกกลัวนิดๆ


“คนดูแลของวิคเตอร์น่ะค่ะ” ชายคนนั้นมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ไม่ได้มองด้วยสายตาเหยียดหยามดูถูกแต่อย่างใด เหมือนเขามองสำรวจธรรมดาๆ มากกว่า ผมยิ้มเกร็งๆ ก่อนจะหลบให้ทั้งสองคนเดินเข้ามาในบ้านแล้วปิดประตูตามหลังพวกเขา


“รอสักครู่นะครับ วิคเตอร์ไปหาเสื้อใส่อยู่” ทั้งสองคนหันมามองผมเป็นตาเดียว จนผมตาโตด้วยความงง


“หาเสื้อใส่? นี่นายกับมันทำอะไรกัน” ผมเบิกตากว้างกว่าเดิม แล้วรีบโบกไม้โบกมือไปทางคุณผู้ชายผู้แสนจะภูมิฐาน


“เปล่าครับ คือ เขาแค่ไม่ได้ใส่เสื้อเท่านั้นเอง” ผมบอกเสียงร้อนรน ทั้งสองคนมองผมนิ่งๆ อีกพักหนึ่งก่อนจะหันไปเพราะเสียงของวิคเตอร์


“Dad! (พ่อ!)” วิคเตอร์ที่ใส่เสื้อยืดสีขาวแล้ว เดินออกมาจากห้องซักรีดด้วยสีหน้าตาตื่นตะลึง ผมเองก็ตะลึงไม่น้อยเมื่อรับรู้ว่าผู้ชายหล่อๆ มีอายุคนนี้คือพ่อของเขา ทั้งสองคนตัวสูงพอๆ กัน แต่พ่อของวิคเตอร์แอบเตี้ยกว่าลูกชายเขานิดหน่อย จริงๆ พอได้มองหน้าทั้งสองคนแบบเทียบเคียงกันก็พอจะเห็นเค้าโครงว่าเขาเป็นพ่อลูกกันอยู่นะ ความหล่อนี่ถ่ายทอดถึงกันและกันมาพอสมควร แต่บุคลิกต่างกันเยอะ!


“What are you doing here? (มาทำไม?!)” เขาถามเสียงฉุนๆ ผมหน้ากระตุก เปลือกตาเบิกกว้างแล้วหันไปมองวิคเตอร์ที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนกำลังไม่พอใจมองมาทางพ่อของเขาที่มองเขากลับไปอย่างนิ่งสงบ


อ้าว เขาควรจะดีใจแล้ววิ่งเข้ามากอดพ่อปะวะ ทำไมเป็นงี้อ่ะ


ก็ตั้งแต่ผมมาอยู่กับเขาเป็นเดือนๆ นี่คือครั้งแรกที่ผมเห็นพ่อเขา คือผมรู้สึกว่าถ้าการที่ไม่ได้เจอกันนานเป็นเดือนๆ นี่มันต้องมีความคิดถึงกันบ้าง แต่สิ่งที่วิคเตอร์แสดงออกดันตรงกันข้ามจนผมงงแดก แต่จริงๆ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องครอบครัวเขาหรอก รู้แค่ว่าแม่เขาเสียแล้ว และก็มีคุณลิซ่าเป็นแม่เลี้ยง ซึ่งผมก็เคยเจอมาแล้ว และแค่นั้นแหละที่ผมรู้ ทุกวันนี้ผมยังสงสัยอยู่เลยว่า ทำไมเขาดูรวยจัง ทั้งๆ ที่หน้าตาไม่น่ารวย


อ้าว ไอ้นี่


“ฉันจะมาหาลูกชายตัวเองไม่ได้รึไง” พ่อของเขาตอบกลับเสียงนิ่ง แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มหน่อยๆ วิคเตอร์ยิ้มเยาะ ท่าทางฉุนกึก เขาเดินเข้ามาใกล้ๆ ทั้งสองคน ส่งสายตาวาววับไปให้ลิซ่าเป็นคนแรกและตามด้วยพ่อของเขา โห นี่ถ้าเป็นผมมองพ่อแบบนี้นะ ผมโดนพ่อจับตีก้นลายแน่ๆ


“คำตอบฟังดูดีขัดกับตัวพ่อจังนะ” วิคเตอร์บอกเสียงห้วน เสียงทื่อ หน้าตาไม่สบอารมณ์ ผมอ้าปากหวอ กระพริบตาปริบๆ มองสองพ่อลูกกลับไปกลับมาด้วยความงง พ่อของวิคเตอร์ไม่ได้แสดงอาการโกรธใดๆ ออกมา ผิดกัน เขาทำท่าทีเฉย และยิ้มมุมปากนิดๆ ราวกับชินกับการแสดงออกของลูกชายในรูปแบบนี้แล้ว


“ฉันได้ยินว่าแกได้รับบทพระเอกหนังเรื่องใหม่…” พ่อเขายังคงมีท่าทีสุขุมนุ่มลึก แถมยังเดินเข้าไปใกล้ลูกชายแล้วยกมือขวาวางไว้บนบ่าซ้ายแล้วบีบเบาๆ วิคเตอร์ยังคงทำหน้านิ่ง แววตาที่มองพ่อเขานั้นสงบจนคล้ายเยือกเย็น


“…ฉันเลยจะมาแสดงความยินดีกับแก”


“พ่อรีบๆ พูดจุดประสงค์จริงๆ ของพ่อมาเร็วๆ ดีกว่า อย่าเสียเวลาอยู่ในบ้านผมนานเลย” เขาบอกเสียงเรียบ แล้วยกมือพ่อตัวเองออกจากบ่า


“นี่แกกำลังไล่ฉันออกจากบ้านแม่ตัวเองนะ” พ่อของวิคเตอร์ว่ายิ้มๆ ส่วนคนเป็นลูกชายขบกรามแน่น ก่อนจะบอกเสียงสะบัด แววตาดื้อดึงตามนิสัยของเขา


“แต่ตอนนี้มันเป็นของผม!”


“ไม่ต้องโมโหขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่มาขอคืนหรือแย่งแกหรอก ใครจะกล้ากับหลานรักของแม่ฉันกันล่ะ”  วิคเตอร์ยิ้มมุมปากอย่างถากถาง ก่อนจะว่าเสียงเรียบๆ แต่แฝงความจิกกัดไว้


“เพราะผมเกิดจากเมียพ่อที่เป็นภรรยาตัวจริงไง” ผมแอบเห็นกล้ามเนื้อบนใบหน้าของคุณลิซ่ากระตุก เธอเชิดปลายคางขึ้นเล็กน้อยแล้วขบกรามแน่น ส่วนคนพูดสีหน้าไม่สะทกสะท้านใดๆ


“ไอ้วิคเตอร์…” พ่อของวิคเตอร์ส่งเสียงกดต่ำมาพร้อมกับสายตาวาวโรจน์ด้วยความไม่พอใจ แต่คนเป็นลูกชายกลับยักคิ้วกวนๆ อย่างไม่ใส่ใจในท่าทีของพ่อตัวเอง


“ถ้าพ่อไม่อยากได้ยินอะไรแบบนี้ ก็อย่ามาที่นี่สิ”


“Luke, you promised me. (ลุค คุณสัญญาแล้วนะคะ)” คุณลิซ่ายกมือจับต้นไหล่ซ้ายของสามีไวเบาๆ พ่อของวิคเตอร์ที่ผมเพิ่งรู้ชื่อว่าชื่อ ลุค ถอนหายใจหนักๆ สีหน้าเหมือนกำลังข่มอารมณ์เต็มที่ เขาดึงมือภรรยาออกเร็วๆ และแรงจนผมมองด้วยความตกใจ เธอหน้าเสียไปนิดแต่ก็ไม่แสดงอาการใดๆ ต่อ สักพักเธอก็เลื่อนสายตามามองที่ผมเมื่อสองพ่อลูกยังเอาแต่จ้องตากันไปมา


“เธอ มาคุยกับฉันหน่อยได้มั้ย” ผมหันไปมองงงๆ แล้วพยักหน้ารับแบบเอ๋อๆ รู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์แบบนี้จนอยากออกห่างอยู่เหมือนกัน คุณลิซ่าเดินนำผมไป ผมเหลือบสายตาไปมองวิคเตอร์ที่มองกลับมานิ่งๆ แต่ก็พยักหน้าขึ้นราวกับให้เดินตามแม่เลี้ยงของเขาไป ผมเดินตามคุณลิซ่าไปทางห้องสมุดของบ้าน เธอเปิดประตูเข้าไปด้านในแล้วเดินไปนั่งรอตรงโซฟาตัวยาวที่เห็นแล้วชวนนึกถึงยุคพระนางวิคตอร์เรียที่ทุกอย่างดูดีมีสกุลรุนชาติไปหมด ยิ่งคุณลิซ่าที่หน้าตาท่าทางผู้ดีนั่งไขว่ห้างรออยู่บนนั้นมันยิ่งทำให้โซฟาขอบเหล็กทรงโค้งสีทองบุนวมสีครีมไว้นั่งนั้นน่ามองเข้าไปอีก ผมปิดประตูตามหลังแล้วเดินไปนั่งตรงโซฟาตัวเล็กสองตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโดยเลือกนั่งที่อยู่ฝั่งขวามือของเธอ ผมยิ้มเก้อๆ ให้เธอ ส่วนเธอยิ้มอ่อนๆ กลับมาให้ผม


“ดูแลวิคเตอร์เป็นยังไงบ้าง”


“เอ่อ… ก็ดีครับ ช่วงแรกๆ ก็จะเหนื่อยหน่อยเพราะผมยังไม่ค่อยรู้จักเขา แต่พอผ่านมาสักพักผมก็เริ่มรู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไรบ้าง” ผมตอบพร้อมรอยยิ้มนิดๆ คุณลิซ่าพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะหรี่ตาลงนิด เส้นผมสีทองสลวยของเธอนั้นทอแประกายกับแสดงแดด


“เขาเอาแต่ใจกับเธอบ่อยมั้ย” ผมยิ้มกว้างขำๆ ก่อนจะตอบคุณลิซ่าที่ยิ้มกว้างอย่างเข้าใจในรอยยิ้มของผม


“บ่อยเหมือนกันครับ” คุณลิซ่าผ่อนลมหายใจออกทางจมูกเบาๆ ก่อนจะว่าเสียงเป็นการเป็นงานขึ้นมานิด


“ช่วยพยายามทำความเข้าใจเขาหน่อยนะ อย่างที่เธอได้ยิน วิคเตอร์เป็นหลานรักของแม่ลุคซึ่งก็คือย่าของเขา คุณย่าท่านรักและตามใจหลายชายคนนี้มาก ไหนจะแม่ของเขาอีกคน”


“ผมว่าย่ากับแม่เขาคงตามใจเขามากแน่ๆ” คุณลิซ่ายิ้มสวยๆ แล้วเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งก่อนตอบ


“การันตีได้จากบ้านหลังนี้และรถที่เขาขับ และอีกหลายอย่างที่เธอยังไม่รู้ที่ย่ากับแม่เขาทุ่มให้หลานชายและลูกชายคนนี้” ผมอ้าปากค้างนิดๆ กระพริบตาปริบมองคุณลิซ่าด้วยความทึ่ง คำตอบที่ผมเคยสงสัยว่าทำไมเขาดูรวยจังน่าจะได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว


“โอ้… แบบนี้นี่เอง” คุณลิซ่ายิ้มบางๆ กลับมาให้ แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่า ผมมาแค่เดือนกว่าๆ ยังเจอนิสัยเอาแต่ใจเขาขนาดนี้ แล้วคุณลิซ่าล่ะ จะโดนไปขนาดไหน ไม่ต้องบอกก็พอจะนึกออกอยู่บ้างจากการที่เขาคุยโทรศัพท์ เอ่อ จริงๆ เรียกว่าคุยก็ไม่ได้ เพราะวิคเตอร์เล่นตะคอกและตะคอกกลับตลอดๆ แถมวันที่เธอมาหาวิคเตอร์ที่บ้านแล้วเจอเข้ากับกิ๊กเก่าที่วิคเตอร์ยังกินไม่เสร็จ (เพราะผมเข้ามาขัดจังหวะแบบไม่ได้ตั้งใจ) เธอก็ยังโดนเขาตอกหน้ากลับไปตั้งมากมาย


“ขอโทษที่พูดนะครับ แต่… คุณคงโดนเยอะกว่าผม” ผมถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ อีกฝ่ายถอนหายใจ แต่ก็ระบายยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า แววตาที่เธอมองมานั้นดูไม่มีแววโกรธวิคเตอร์เลย ดูอ่อนโยนด้วยซ้ำ เหมือนสายตาของคนเป็นแม่


“นี่คือเหตุผลที่ฉันอยากคุยกับเธอ…” ผมมองหนาเธอด้วยความประหลาดใจ เธอยกขาขวาที่นั่งไขว้ทับขาซ้ายออก ก่อนจะนั่งยืดตัวแล้วพูดต่อ


“ช่วยคอยบอกฉันหน่อยว่าวิคเตอร์เป็นยังไงบ้าง เขาไม่เคยติดต่อกลับไปที่บ้านที่อังกฤษเลย นับตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่ที่นี่…” เธอทำสีหน้าเศร้านิดๆ ก่อนจะว่าต่อ


“ฉันส่งคนมาดูแลเขา แต่เขาก็ไล่ตะเพิดไปหมด จนมามีเธอที่อยู่กับเขาได้นานกว่าใคร ฉันไม่ได้หวังว่าจะต้องรู้ทุกความเคลื่อนไหวของเขา แค่ให้รู้บ้างว่าเขาเป็นตายร้ายดียังไง ไม่ใช่ขาดการติดต่อไปเลย”


“ขอโทษอีกครั้งที่ต้องพูดตรงๆ นะครับ แต่จากที่ผมเห็นๆ มา เอิ่ม… เขาดูเหมือนไม่อยากให้ทางบ้านมายุ่งกับเขาสักเท่าไหร่” ผมบอกเสียงอ่อย กลัวว่าเธอจะโกรธ แต่คุณลิซ่ากลับมีท่าทางนิ่งๆ ปกติ


“ยังไงเขาก็เป็นคนในครอบครัวฉัน ถึงฉันจะมาทีหลังและเขาอาจจะมองว่าฉันเป็นคนนอก แต่สำหรับฉันเขาคือคนในครอบครัวเสมอ” ผมมองเธอด้วยความเห็นใจ ดูแล้วเธอจะเป็นห่วงลูกเลี้ยงคนนี้ไม่น้อย แม้ว่าอีกฝ่ายจะคอยกีดกันตัวเองออกจากทางบ้าน ถ้าให้ผมเดาตั้งแต่แม่เขาเสียเขาคงไม่อยากกลับบ้านอีก แต่เอ๊ะ…


“เขาไม่กลับบ้าน แล้วเขาไม่เป็นห่วงย่าเขาเหรอครับ สำหรับแม่เขาผมเข้าใจว่าเธอเสียไปแล้ว แต่เขาไม่กลับบ้านไปหาย่าเขาบ้างเหรอครับ"


“เธอคิดว่าถ้าคุณย่าเขายังอยู่ เขาจะทิ้งที่นั่นมารึไง” ผมเบิกตากว้างขึ้น แล้วภาพผู้หญิงผมหงอกสีขาวหน้าตาใจดีที่อยู่ในห้องนอนเขาก็ผุดเข้ามาในหัว ภาพของย่าเขาตั้งอยู่ข้างๆ แม่ นั่นแสดงว่า…


“คุณย่าเขาเสียแล้วเหรอครับ”


“เธอจากไปหลังจากแม่วิคเตอร์ตายไปได้หนึ่งปี” ผมใจกระตุกวาบในอก แล้วก็เหมือนมันหล่นหายไปจากอกซ้าย นี่เขาสูญเสียทั้งแม่และย่าในเวลาไล่เลี่ยกันเลยหรอเนี่ย หูผมได้ยินเสียงแว่วๆ อะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้สติผมเหมือนดับลงชั่วขณะหนึ่ง มันเบลอๆ วิ้งๆ อยู่ในหัว


“เขาไม่เคยกลับไปบ้านที่อังกฤษอีกเลยหรอครับ” คุณลิซ่าขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะชะโงกหน้าไปมองทางประตู ผมหันไปมองตามเธองงๆ เสียงแว่วๆ ที่ได้ยินเมื่อครู่เริ่มดังมากขึ้น


“ก็ใช่ว่าเขาไม่เคยกลับหรอก แต่นับครั้งได้ และที่เขากลับไป เพราะเขากลับไปหา…” ผมหันกลับมาเพื่อจะฟังคุณลิซ่าพูดต่อ แต่เธอหยุดพูดไป และผมเองก็หันหน้ากลับไปทางประตูเมื่อเสียงข้างนอกเริ่มดังชัดขึ้น

V
v
v

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 16-18:: 22.06.58
«ตอบ #76 เมื่อ22-06-2015 17:14:18 »



“พ่อนั่นแหละที่ฆ่าแม่! พ่อฆ่าแม่ทั้งเป็น! ตั้งแต่ก่อนผมเกิดด้วยซ้ำ!”


“ถ้าไม่มีฉัน แกก็ไม่ได้เกิดมาหรอก ไอ้วิคเตอร์!!” ผมรีบลุกขึ้นพรวด แล้วเดินเร็วไปเปิดประตูห้องสมุดก่อนจะก้าวเดินออกไปยังห้องโถงของบ้าน วิคเตอร์กับพ่อกำลังยืนหน้าตึงใส่กัน


“ผมก็ไม่ได้เต็มใจเกิดมาในสภาพแบบนั้นหรอก!” วิคเตอร์พูดด้วยความกราดเกี้ยว เขาหายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ขบกรามแน่นจนใบหน้าเป็นสันชัดเจน


“แต่เสียใจด้วยนะที่แกดันเกิดมาจนโตมาจนมายืนด่าฉันได้แบบนี้!” ผมกับคุณลิซ่าเดินเข้าไปใกล้ทั้งสองคนที่กำลังอารมณ์ดุเดือด ราวกับผมได้ดูฉากในละครไทยที่พ่อลูกทะเลาะกัน แต่ผมอยากจะบอกว่าจริงๆ แล้ว ไม่ว่าคนชาติไหนแม่งก็มีมุมขมขื่น มุมดราม่าแบบนี้กันได้ทั้งนั้น เคยได้ยินมั้ยว่าชีวิตจริงๆ ของคนเรามันยิ่งกว่าละคร


ว่าแต่ว่า สองพ่อลูกคู่นี้เขาดราม่าอะไรกันอยู่


“ที่ผมทำได้ก็มีแค่นี้แหละ ใครจะไปเหมือนพ่อล่ะ ที่ทำอะไรได้ตั้งมากมาย รวมถึงเอาผู้หญิงคนนั้นมาแทนที่แม่ผม!” ผมพอจะเดาได้ว่าเขาคงหมายถึงคุณลิซ่า ผมหันไปมองเธอก็เห็นว่าเธอกำลังยืนมองทั้งสองคนนิ่งๆ ด้วยสายตาไม่แสดงอาการตกใจอะไร ผมหันกลับมามองที่สองพ่อลูกอีกครั้ง พ่อของวิคเตอร์แสยะยิ้มน่ากลัว และพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“ทำอย่างกับแกไม่เห็นด้วยกับฉันงั้นแหละ” วิคเตอร์ขบกรามมองพ่อเขานิ่ง แววตาเขาเปลี่ยนเป็นคมกริบด้วยความโกรธ


“ว่าแต่ฉันฆ่าแม่แกตายทั้งเป็น แกเองก็ด้วยไม่ใช่รึไง ไอ้ลูกชาย”


“Luke!” คุณลิซ่าแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่พอใจ  ผมเริ่มใจเต้นแรงด้วยความหวาดกลัวว่าจะเกิดการปะทะกันรุนแรง รับรู้ถึงบรรยากาศความกดดันที่มีมากขึ้นในชั้นบรรยากาศรอบๆ ห้องโถงของบ้าน ใจผมเต้นตึกๆ ยิ่งเห็นสายตาที่เย็นชาแต่ว่าน่ากลัวของคุณลุค ผมยิ่งรู้สึกกดดัน


“Why? As always, right? (ทำไม เหมือนเดิมทุกครั้งล่ะสิ ใช่มั้ย)” คุณลิซ่าขบกรามแน่น คราวนี้ดวงตาเธอวาววับด้วยความโกรธ มือเธอกำแน่นจนสั่นไปหมด


“You deserve it, Daddy. (ก็สมควรแล้วนี่ครับ คุณพ่อ)” วิคเตอร์พูดกลับเสียงเยือกเย็นไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ จนคุณลุคที่กำลังยิ้มถากถางถึงกับหุบยิ้ม เปลี่ยนเป็นใบหน้าตึงเครียดเหมือนเดิม


“ไอ้วิคเตอร์!” เขาตะเบ็งเสียงและเงื้อมมือขึ้นทำท่าจะตบวิคเตอร์ ผมตาโต ลมหายใจสะดุด เท้าขวาผมเตรียมก้าวเข้าไปห้ามคุณลุคไม่ให้ตบลูกชายตัวเอง แต่วิคเตอร์พูดดักไว้ด้วยเสียงนิ่งราบเรียบจนน่ากลัว


“ผมไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกแล้วนะ” เขาพูดแค่นั้น แต่จ้องตาพ่อเขาไม่กระพริบ คุณลุคหายใจถี่แรงๆ ด้วยความโกรธ แล้วลดมือลงด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่เขาจะหลับตาลง ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออกอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับจะระงับความโกรธที่กำลังปะทุอยู่ข้างใน แล้วเขาก็ลืมตาขึ้นแต่แววตายังคงมีแววกราดเกรี้ยวอยู่นิดๆ


“She told that she miss you (เธอบอกว่าเธอคิดถึงแก)” คุณลุคพูดเสียงห้วน หน้าตาไร้อารมณ์ วิคเตอร์ดูจะอ่อนลงบ้าง แต่ก็ยังมีความโกรธกรุ่นๆ ให้เห็นอยู่ ผมแอบขมวดคิ้วนิดๆ กับสิ่งที่ได้ยิน


She ไหนอีกล่ะ ชีวัดไหนอีกกก~


“I will fly to see her soon. (ผมจะบินไปหาเธอเร็วๆ นี้แหละ)” คุณลุคไม่ตอบอะไรแต่มองลูกชายตัวเองนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่ประตูบ้าน คุณลิซ่ายืนถอนหายใจวูบหนึ่ง เธอหันไปมองวิคเตอร์ที่มองกลับมาสีหน้าเฉยก่อนจะเดินตามสามีเธอออกจากบ้านไปและปิดประตูตามหลังให้


บรรยากาศภายในบ้านคลายความอึดอัดลงไปได้เยอะหลังจากที่ทั้งคู่ออกไป ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมา อาการใจเต้นด้วยความตื่นเต้นและกดดันเมื่อกี้นี้สงบลง ผมหันไปมองวิคเตอร์ที่ยังยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่คนเดียว แล้วก็เกิดความลังเลในใจว่าจะเอายังไงกับเขาดี


“คุณเรย์มอนด์…”


“Leave me alone! (อย่ามายุ่งกับฉัน!)” เขาตะเบ็งเสียงดังจนผมตกใจ หน้าแทบสั่นตามคลื่นเสียงที่เขาส่งมา (นี่ก็เว่อร์ตลอด) ผมอ้าปากหวอนิดๆ รู้สึกมึนๆ ที่โดนเขาตะคอกใส่เสียงดังทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำห่าอะไรเลย


“Ummm… okay. I’m sorry. (เอิ่ม… โอเค ผมขอโทษครับ)” ผมหมุนตัวจะเดินหนีไปหามุมหลบๆ เพื่อที่เขาจะได้ไม่เห็นหน้าผม แต่พอผมหมุนตัวและก้าวเท้าออกได้ก้าวเดียว เสียงเขาก็ดังขึ้นลั่นบ้านอีกครั้ง


“Where the hell are you going?! (แล้วนั่นนายจะไปไหน?!)” ผมสะดุ้งตกใจ รีบหันกลับไปหาเขาที่ขมวดคิ้วมองหน้าผมกลับมา แววตาดุดันที่จ้องมาทำเอาผมกลัวไม่กล้าสบตาเขา เลยต้องมองไปที่คางเขาแทน


“เอ่อ… ผมจะออกไปข้างนอก ไม่ก็ไปที่ไหนสักที่ คุณจะได้อยู่คนเดียว สงบสติอารมณ์…” ผมพูดวกไปวนมาด้วยความลนลานเพราะกลัวกับอารมณ์ของเขาตอนนี้


“ไม่ต้องไป!” ผมเบิกตากว้างด้วยความงงปนตกใจ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาที่ยังหน้านิ่วคิ้วขมวดแต่กำลังเดินเข้ามาใกล้ผม ด้วยความกลัวสีหน้าเขาตอนนี้ ผมเลยเผลอเดินถอยหลัง วิคเตอร์รีบยื่นมือซ้ายมาคว้าข้อมือขวาผมไว้ไม่ให้ขยับหนีไปไหน


“Stay with me. Don’t leave me. (อยู่กับฉัน อย่าไปไหน)” เขาบอกเสียงเครียด หน้าตาก็เครียดไม่แพ้เสียง ผมถึงกับกระตาปริบๆ ด้วยความงงกับอารมณ์เขา


“อะไรของคุณเนี่ย เมื่อกี้บอกว่าอย่ายุ่งกับคุณ มาตอนนี้บอกว่าอย่าไปไหน ผมงงนะ” ผมบอกเสียงเคืองหน้าตามุ่ยๆ อีกฝ่ายคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ออกช้าๆ แววตาก็อ่อนลงจนแทบจะกลายเป็นความเศร้า เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้


“I’m sorry. I just— forget it. (ฉันขอโทษ ฉันแค่ ช่างมันเถอะ)” เขาบอกด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า แววตาอ้างว้าง เห็นแบบนั้นผมก็ใจอ่อนยวบ ไม่กล้าฉุนเฉียวใส่เขา


“It’s okay. It’s gonna be fine. (ไม่เป็นไรนะครับ เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น)” เขามองหน้าผมด้วยสายตาและท่าทางที่อ่อนแอ และเขาคงรู้สึกอ่อนแรงกายด้วย ผมเลื่อนมือซ้ายมาแตะหลังมือซ้ายของเขาที่จับข้อมือผมอยู่ แล้วตบหลังมือเขาเบาๆ พร้อมกับยิ้มบางๆ เป็นการส่งกำลังใจให้ แววตาของเขาเปลี่ยนจากความอ่อนล้าเป็นแววตาที่อ่อนโยน


“Could I hug you? (ขอกอดหน่อยได้มั้ย)” เขาว่าด้วยน้ำเสียงนุ่มน่าฟัง ผมอึ้งไปนิด ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ยังงงๆ อยู่ที่อยู่ดีๆ เขาก็มาขอกอด เขายิ้มอ่อนๆ แล้วปล่อยข้อมือผมก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วรวบร่างผมเข้าไปกอดไว้ ด้วยความที่ผมเตี้ยกว่าเขาเลยทำให้หน้าผมซุกอยู่กับหน้าอกเขา ผมขยับหน้าหันข้างเอาแก้มซ้ายแนบไปกับอกซ้ายของเขาจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายกำลังเต้นตุบๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ 


เขากอดผมแน่นขึ้นตอนที่ผมโอบวงแขนของตัวเองรอบเอวสอบของเขา แล้วสัมผัสอุ่นๆ ก็แตะลงบนกลางกระหม่อนผมหนักๆ ก่อนจะที่เขาจะยกริมฝีปากออก


“I missing my mother. (ฉันคิดถึงแม่)” เขาบอกเสียงทุ้ม ผมลูบหลังเขาเบาๆ ก่อนจะส่งเสียงเบาๆ ตอบกลับไป


“ผมรู้ครับ แต่สิ่งหนึ่งที่คุณต้องทำคือยอมรับว่าเธอจากคุณไปแล้ว…”


“…I don’t want to do that. (ฉันไม่อยากทำแบบนั้น)” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดและเพิ่มแรงรัดของวงแขนที่กอดผมไว้จนผมรู้สึกเจ็บนิดๆ แต่ก็ไม่คิดจะโวยวายอะไร


“งั้นเดี๋ยวค่อยทำก็ได้” วิคเตอร์หัวเราะเบาๆ แล้วกดจูบลงบนขมับขวาผมหนึ่งที ผมยิ้มน้อยๆ รู้ดีว่าพูดขัดใจอะไรไปตอนนี้มันไม่น่าจะดีเท่าไหร่ นิสัยเอาแต่ใจอย่างเขาต้องคล้อยตามไปสักพักก่อน


“อาบน้ำมั้ยครับ เผื่อคุณจะได้รู้สึกสบายตัวขึ้น เดี๋ยวผมนวดให้”


“นวดเป็นด้วยเหรอ” เขาถามทั้งที่ยังกอดผมไว้และเอาคางเกยบนหัวผมไว้เบาๆ


“ก็เป็นนิดหน่อย เคยนวดให้พ่อกับแม่บ้าง” ผมตอบยิ้มๆ แล้วนึกถึงกระบวนท่าทางการนวดที่เคยนวดให้พ่อกับแม่เวลาสองคนนั้นบ่นเมื่อย ซึ่งจริงๆ ผมก็ใช่ว่าจะทำจนได้รางวัลลูกดีเด่นอะไรหรอก พ่อกับแม่ต้องตะล่อมอยู่นานมากกว่าผมจะยอมทำ (โห ทีกับผู้ชายเสนอตัวนวดเองเลยอ่ะ)


“งั้นไปอาบน้ำกัน” เขาบอกแล้วดันตัวผมออกเบาๆ ผมพยักหน้ายิ้มๆ ตอนนี้อยากตามใจเขา ให้เขาสบายใจจะได้ไม่ต้องไปจมปลักเคร่งเครียดกับเหตุการณ์เมื่อกี้นี้


“ถ้านวดดีฉันมีรางวัลให้” เขาบอกแล้วยิ้มลามกกลับมาให้ ผมทำหน้าเอือมๆ แล้วถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะโคลงหัวเบาๆ ด้วยความอ่อนใจกับนิสัยหื่นชื่นมื่นของเขา อีกฝ่ายยิ้มกว้างแล้วหัวเราะน้อยๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกสบายใจที่ได้เห็นเขาเป็นแบบนี้มากกว่าตอนที่เขาอยู่กับพ่อล่ะนะ


แต่จากที่ผมแทบไม่รู้จักเขา เจอเหตุการณ์ที่เขาอยู่กับพ่อเขาเข้าไป ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้จักเขากว่าเดิมอีก ซึ่งอันที่จริงก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักขนาดนั้น อยู่ด้วยกันมาเดือนนึงไม่รู้จักกันเลยก็อยู่กับผีแล้วล่ะ ต้องเปลี่ยนเป็นบอกว่า จากที่ไม่ค่อยอยากเผือกเรื่องครอบครัวเขา ตอนนี้ต่อมเผือกทำงานยิกๆ แต่ก็แน่นอนอีกว่าผมไม่มีวันรู้หรอก ก็ได้แต่คันต่อมเผือกไปเรื่อย


[อ่านตอนต่อไปได้ที่ด้านล่าง]


ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 16-18:: 22.06.58
«ตอบ #77 เมื่อ22-06-2015 17:20:00 »



CHAPTER 17 :: When she comes that is the time I should go.


ผมก็รู้นะว่าเขาเป็นคนเอาแต่ใจ แต่บางทีเขาก็ดูงี่เง่าไม่เข้าท่ากับเรื่องบางเรื่อง


“ไหนว่านายจะนวดให้ฉันไง คิดจะผิดสัญญางั้นเหรอ?!”


“ผิดสัญญาอะไร ผมยังไม่ได้สัญญาอะไรสักอย่าง ผมแค่พูดว่าจะนวดให้ ไม่ได้บอกว่าสัญญาจะนวดให้!”


“อย่างน้อยนายก็น่าจะรักษาคำพูดตัวเองสิ!”


“ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่นวดให้ แต่ผมจะไม่เข้าไปนวดให้คุณในห้องน้ำ ผมจะนั่งรออยู่ตรงนี้ คุณอาบเสร็จแล้วก็ค่อยเดินออกมาให้ผมนวดไง!”


“แต่ฉันอยากนวดไปด้วยอาบน้ำไปด้วย”


“คุณเพี้ยนรึเปล่า นวดไปด้วยอาบน้ำไปด้วย เอาสมองที่ไหนมาแยกแยะความรู้สึก ฟินทีล่ะอย่างสิ อาบน้ำก่อน แล้วค่อยนวด”


“ไม่! ฉันจะนั่งในอ่างอาบน้ำ แล้วนายก็นวดไปสิ”


“โอ๊ยยย! ไม่เอาหรอก มันลำบาก ผมรอนวดอยู่ข้างนอกเนี่ยแหละ”


วิคเตอร์จ้องเขม็งกลับมาด้วยความไม่พอใจที่ผมขัดใจเขา เรายืนเถียงกันประเด็นเรื่องนวดไม่นวดในห้องน้ำนี่มาห้านาทีได้แล้วมั้ง ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนสักที ผมกอดอกแน่น จ้องเขากลับหน้ามุ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ หลังจากที่ยืนปลอบ ยืนกอดให้เขาสงบจากอารมณ์พายุที่เพิ่งพบพ่อกับแม่เลี้ยงไป เขาก็พาผมขึ้นมาที่ห้องนอนเพื่อที่จะอาบน้ำ และหวังจะให้ผมเข้าไปนวดในระหว่างที่เขานั่งแช่น้ำไปด้วย แต่ผมไม่เอาด้วยหรอก ช่วงจังหวะเวลานี้มันอันตรายต่อใจผม เดี๋ยวเกิดโมเม้นต์ให้ตัวเองฟิน เบรกที่เบรกใจตัวเองไว้ก็แตกพอดี นี่ก็พยายามหักห้ามใจอยู่นะเว้ยยย! ยังจะมาชวนให้ใจเต้นอยู่เรื่อย


“เข้าไปในห้องน้ำกับฉัน” เขาสั่งเสียงเฉียบด้วยหน้าตาดุดัน ผมสะบัดแขนที่กอดอกตัวเองไว้ออกเบาๆ แล้วมองหน้าเขาด้วยอาการเอือมระอาเล็กน้อย


“คุณเรย์มอนด์ จะนวดตรงไหนก็คือนวดเหมือนกันครับ”


“แต่ฉันอยากให้นายเข้าไปนวดข้างใน” เขาบอกอย่างไม่ยอม ผมถอนหายใจพรืด หน้านิ่วน้อยๆ ก่อนจะถามเขาเสียงติดรำคาญ


“ในนั้นมันมีอะไรดีนักหนา ทำไมถึงจะนวดข้างนอกไม่ได้”


“ในนั้นมีอ่างอาบน้ำ” เขาตอบหน้าตาย หน้ามึน ตอบแบบกำปั้นทุบดิน จนผมต้องปรือตาและกลอกตากับความแถ ความดื้อด้านของเขา


“แต่ข้างนอกมีเตียง นอนสบายกว่าตั้งเยอะ” วิคเตอร์ขบกรามแน่น แววตาเขามีแววหงุดหงิดอย่างปิดไม่มิด ผมว่าตอนนี้เขากำลังอยากเอาชนะผมอยู่


“ก็ได้! บนเตียง แต่ไม่นวดนะ ฉันจะทำอย่างอื่น อย่างอื่นที่จะทำให้นายปากเก่งกับฉันไม่ได้อีก!”
แล้วเขาก็ชนะตามที่เขาต้องการ จนได้สินะ!


“Okay! Fine! I will go to inside with you. Mr.Control freak! (โอเค! ก็ได้! ผมจะเข้าไปข้างในกับคุณ คุณผู้ชายจอมบงการ!)” ผมบอกอย่างเหลืออดเหลือทนกับนิสัยของเขา ภาพที่เขาโดนประคบประหงม เอาอกเอาใจตั้งแต่เด็กๆ โดยแม่และย่าของเขาแทบจะชัดเจนในหัว นี่คงจะอาละวาดแทบบ้านแตกเลยมั้งถ้าโดนขัดใจเนี่ย อยากจะรู้นักว่าพ่อเขาทนลูกคนนี้มาได้ยังไง อ้อ ถึงไม่อยากทนแต่ก็ต้องทนล่ะมั้ง ก็มีแม่และย่าเป็นแบ็คชั้นดี ผนึกกำลังทีพ่อเขาคงสู้ไม่ไหว


วิคเตอร์ที่กำลังทำหน้าหงุดหงิด ค่อยๆ คลายอาการนั้นออกจากใบหน้า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างเหมือนเด็กน้อยที่กำลังดีใจเมื่อได้ของตามเล่นตามที่ใจต้องการ ผมมองค้อนขวักแล้วเดินนำเขาเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเตรียมน้ำให้เขาอาบด้วยอาการหงุดหงิดใจเล็กๆ ยิ่งเห็นรอยยิ้มของเขาก็ยิ่งหงุดหงิด


ยิ้มแป้นเชียวนะไอ้ยักษ์หน้านวด!


ผมจัดการเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำทรงกลมสีขาวขนาดกลาง เทครีมอาบน้ำกลิ่นดอกไม้หอมๆ ของวิคตอเรียนซีเครท อ๊ะๆ อย่าคิดว่าผู้ชายแมนๆ จะใช้ไม่ได้นะ ครีมอาบน้ำเขาไม่ได้จำกัดเพศสักหน่อย แล้วกลิ่นนี้ผมก็เลือกมาให้เขาเพราะเวลาเขาอาบกับกลิ่นนี้จะได้รู้สึกผ่อนคลาย ผมเทเจลใส่อ่างและตีน้ำจนเกิดฟองพร้อมให้เขาลงไปอาบ ผมหันไปมองวิเตอร์เพื่อที่จะเรียกเขามาอาบ แต่ก็แทบล้มหน้าทิ่มขอบอ่างอาบน้ำเมื่อเห็นเขายืนกอดอกเปลือยกายโชว์ความเป็นชายอย่างไร้ยางอาย ก็รู้นะว่ามันหน้าด้าน แต่ไม่ต้องด้านทุกครั้งหรอก


“เสร็จแล้ว มานั่งในอ่างสิครับ” ผมบอก แล้วทำเป็นมองน้ำในอ่างไปเรื่อย ไม่กล้าหันไปมองเขาตอนนี้ เสียงฝีเท้าเดินดังขึ้นตอนเขาก้าวเท้าตรงมาที่อ่างน้ำ ผมรีบก้มหน้ากดลงต่ำเพื่อไม่ให้เห็นอะไรที่มันกำลังห้อยโตงเตง ผมได้ยินเสียงคล้ายว่าเขานั่งลงในอ่างน้ำแล้วเลยเงยหน้าขึ้นเพื่อจะพูดกับเขา


“เดี๋ยวนั่ง… คุณเรย์มอนด์!!!” ผมส่งเสียงดังลั่นแล้วรีบก้มหน้าลงตามเดิม เมื่อเขายังยืนอยู่เหมือนเดิมแถมยังยิ้มขำรอผมอยู่ก่อนแล้ว พอผมโวยวายเขาก็หัวเราะเสียงดังลั่นห้องน้ำด้วยความชอบใจที่เห็นผมหน้าเหวอและออกอาการเงอะงะๆ


“โวยวายซะอย่างกับเจอผี นี่ของดีนะเนี่ย ฉันไม่ได้เปิดของดีของฉันให้ใครเห็นง่ายๆ แบบนายหรอกนะ” เขาว่าเสียงกลั้วหัวเราะพลางนั่งลงช้าๆ โดยหันแผ่นหลังมาให้ผม


“โอ้โห เป็นเรื่องที่ผมควรภูมิใจงั้นสินะ” ผมว่าพลางนั่งขัดสมาธิ กระเถิบก้นเข้าไปนั่งใกล้ๆ แผ่นหลังเขาแล้วเริ่มจากจับๆ เนื้อหนังตรงช่วงไหล่ก่อน


อืมมม… แน๊นแน่น


“เก็บไว้เป็นหนึ่งความภาคภูมิใจในชีวิตนายได้เลยล่ะ”


“เดี๋ยวผมจะใส่เอาไว้ในโปรไฟล์เวลาที่ไปสมัครงานก็แล้วกันนะครับ”


วิคเตอร์ไม่ได้พูดอะไรต่อแต่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ผมยิ้มเบ้ปากกับลูกเล่นลามกของเขา ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือนวดไล่ไปที่ต้นคอ เมื่อตอนที่เขาเถียงกับพ่อ เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ผมล่ะกลัวไมเกรนขึ้นหัวเขาจริงๆ ผมบีบๆ จับหาจุดเส้นแข็งๆ ตรงต้นขอเขาแล้วใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างกดหนักๆ ย้ำๆ ตรงต้นคอกับท้ายทอย วิคเตอร์ผ่อนลมหายใจหนักๆ อย่างเชื่องช้าราวกับปลดปล่อยความเหน็ดเหนื่อยที่เขามีออกไป


ผมใช้มือขยุ้มจากหลังศีรษะของเขาไปด้านหน้า แล้วขยุ้มกลับมาด้านหลังโดยใช้นิ้วกดไปตามหนังหัวของเขาตามจุดที่ผมจำๆ มาจากตำราการนวดของแม่ที่ซื้อมาติดบ้านไว้ แต่เอาจริงๆ จากใจ ผมไม่รู้หรอกว่าจุดไหนเป็นจุดไหน ที่ทำอยู่ตอนนี้คือทำตามใจตัวเองทั้งนั้น เหลือบมองดูเสี้ยวหน้าเขา เห็นเขาทำหน้าฟินๆ ก็ติ๊ต่างได้ว่าที่เราทำอยู่นั้นมันดีแล้ว


“คุณเอนหัวมาด้านหลังหน่อยสิ” ผมบอกเขาหลังจากกดขยุ้มหนังหัวเขาไปมาอยู่พักหนึ่ง วิคเตอร์หันหน้ามามองงงๆ คิดว่าเขากำลังรู้สึกสบายหัวน่าดู เขาพยักหน้าหงึกๆ แล้วหันหน้ากลับไปก่อนจะหงายศีรษะมาด้านหลัง ผมนั่งชันเข่าขึ้นเพื่อจะนวดให้เขาได้ถนัดๆ แต่ก็ยังรู้สึกไม่ถนัดอยู่ดี ผมนั่งนวดเก้ๆ กังๆ ท่าทางดูไม่สมประกอบ ขยับมือไม่ถนัดเลยสักนิด


“มานั่งตรงขอบอ่างสิ จะได้ถนัด” ผมชะงักมือที่กำลังลูบวนตรงขมับทั้งสองข้างของเขา ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ กดหน้าลงมองหน้าเขางงๆ วิคเตอร์ยกหัวกลับไปตั้งตรงแล้วหมุนตัวหันมาทางผม เขาลุกขึ้นยืน ผมใจหายวาบคิดว่าเขาจะยืนขึ้นเต็มตัว แต่เขายืนแค่ครึ่งตัวแล้วเอาเข่าชันกับที่นั่งในอ่างน้ำไว้ ทำให้ท่อนล่างเขาซ่อนอยู่ในฟองของครีมอาบน้ำที่ลอยวนอยู่ในอ่าง ท่อนบนที่เปลือยเปล่าตอนนี้กำลังมีฟองสีขาวติดตามตัวเป็นหย่อมๆ ภาพตรงหน้าทำเอาผมสติจะพังแต่ก็ยังพอจะต้านทานไหว เขาเอื้อมมือมาจับแขนผมแล้วดึงให้เข้าไปใกล้อ่างน้ำมากขึ้น


“นั่งบนขอบอ่างแล้ววางเท้าไว้ตรงที่นั่ง” ผมพยักหน้ามึนๆ เพราะกำลังอึนกับภาพร่างกายท่อนบนอันหนาและแน่นของเขาที่ฟองสีขาวและน้ำกำลังไหลไปตามผิวลื่นๆ มันๆ ของพ่อพระเอก


ผมคลานเข่าเข้าไปใกล้ขอบอ่างโดยมีวิคเตอร์จับมือพยุงเอาไว้ ผมนั่งพับเพียบวูบหนึ่งจากนั้นก็เหวี่ยงขาลงไปในอ่างอาบน้ำ เอาเท้าที่เปลือยเปล่าวางลงบนที่นั่งในอ่าง วิคเตอร์ปล่อยมือผมแล้วก็ทรุดตัวลงจมลงไปในน้ำอีกครั้งจนเห็นแค่ช่วงอกขึ้นไปที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา เขาขยับเข้ามาใกล้ผมแล้วแหวกขาผมที่นั่งติดกันอยู่ออกพร้อมรอยยิ้มซุกซนที่เหมือนกำลังคิดเรื่องสนุกอยู่คนเดียว ผมมองเขาอย่างค้างๆ เขาจับเข่าทั้งสองข้างผมไว้เพื่อไม่ให้ผมหุบขาหนี เขาแทรกตัวเข้ามากลางหว่างขาแล้วหันหน้ากลับไปก่อนจะเอนหัวลงตรงเป้ากางเกงของผม เท่ากับว่าตอนนี้เขาแหงนหน้ามองหน้าผมอยู่ ผมตีหน้านิ่ง เม้มปากเบาๆ แล้วพยายามข่มใจให้สู้กับดวงตาสีน้ำผึ้งข้นที่จ้องมองมาราวกับอยู่ในอาการสนอกสนใจ


ผมพยายามไม่สบตาเขาที่มองมาราวกับเด็กซื่อๆ คนหนึ่งที่ไม่รู้เลยว่าการจ้องมองทั้งที่หน้าอยู่ห่างกันนิดเดียวแบบนี้ มันสามารถทำลายภูมิคุ้มกันทางใจของอีกฝ่ายได้ ผมกระแอมในลำคอนิดๆ แล้วใช้สองมือกดที่ขมับทั้งสองข้างของเขา นวดเบาๆ แล้วลากนิ้วไปหลังหู ก่อนจะกลับมานวดวนๆ ตรงขมับอีกครั้ง ทำแบบนี้ซ้ำๆ ไปเรื่อยจนเขาเริ่มปิดเปลือกตาลง นั่นทำให้อาการเกร็งกับสายตาของเขาที่ผมมีลดลงตามไปด้วย ผมเลื่อนไปนวดตรงกระบอกตาโดยงอข้อนิ้วชี้ แล้วกดลากตั้งแต่หัวคิ้วแล้วลากไปทิ้งตรงขมับเบาๆ


“อืมมม…” วิคเตอร์ส่งเสียงครางพึงพอใจในลำคอเบาๆ ตอนที่ผมเอาสองมือขยุ้มตรงกลางศีรษะเขาโดยผ่อนเบาผ่อนหนักเป็น
จังหวะ ผมยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์ของเขา ค่อยๆ เลื่อนมือไปนวดที่ขมับ ลงไปที่แก้มสากทั้งสองข้างที่มีเคราขึ้นครึ้ม ตำราจีนบอกว่านวดตรงนี้จะทำให้มีเลือดฝาด เลือดจะไหลเวียนตรงนี้ทำให้แก้มแดงนิดๆ เหมือนคนสุขภาพดี


แต่อย่าเชื่อผม ผมมั่ว…


ผมเผลอหัวเราะพรืดออกมาเมื่อนึกขำตัวเองที่เอาตำราจีนมาโยงมั่วกับการนวดแก้มของเขา ไม่รู้ว่าที่นวดๆ อยู่เนี่ย อยากนวดให้เขาจริงๆ หรืออยากจับแก้มเขากันแน่


วิคเตอร์ที่กำลังหลับตาพริ้ม และมีสีหน้าสุขสมอารมณ์หมาย ลืมตาขึ้นมามองเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะ เขาจ้องมองด้วยสายตาละมุนที่เห็นแล้วรู้สึกอุ่นหัวใจ มันไม่ใช่แววตาแข็งกระด้างหรือแววตาที่อ่อนโยนจนหวานแหวว แต่มันเป็นสายตาที่สุกใสเห็นแล้วใจยุบหนอพองหนอโดยไม่ต้องกำหนดลมหายใจแต่อย่างใด


คราวนี้ผมไม่ได้รู้สึกเกร็ง แต่รู้สึกว่ากล้ามเนื้อในร่างกายคล้ายจะหยุดทำงานไปเลย เหมือนเหลือแต่หัวใจที่ยังเต้นตุบๆ แต่ไม่ได้เต้นรุนแรงอะไร แค่เต้นให้รู้ว่า ผมยังมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความละมุนละไมที่อบอวลไปรอบตัว  รอบๆ ตัวผมดูจะนิ่งสงบ มือผมที่กำลังนวดแก้มเขาอยู่เริ่มวนช้าลงๆ และแรงกดก็เริ่มเบาลงๆ เช่นกัน สายตาเราสองคนประสานกัน ดวงตาเขาขยับไปมานิดๆ เหมือนกำลังสำรวจใบหน้าของผมอยู่ ผมกลืนน้ำลายลงคอที่เริ่มจะแห้งๆ แล้วค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นมา ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางดันเปลือกตาของเขาให้ปิดลงตามเดิมเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเกิดอาการเงอะงะ


แต่พอผมยกปลายนิ้วออกจากเปลือกตา เขาก็ลืมตาขึ้นมามองหน้าผมอีกครั้ง จนผมยิ้มขำน้อยๆ พอเขาเห็นผมยิ้มเขาก็ยิ้มตาม นี่การยิ้มเป็นโรคติดต่อไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


“หลับตาก็ได้ครับ จะได้รู้สึกผ่อนคลาย”


“…” เขาไม่ตอบอะไร แต่เอาแต่มองหน้าผมด้วยสายตาละมุนเหมือนเดิม ผมก็เลยทำเป็นมองคางที่มีหนวดของเขาแทน เลื่อนมือ
ขึ้นมานวดที่ขมับทั้งสองข้างช้าๆ ตามเดิม และเขาก็ยังคงเอาแต่นอนมองหน้าผมโดยที่เปลือกตาแทบไม่ขยับ


“นี่… ไม่ปวดตารึไงครับ มองจนตาแห้งแล้วมั้ง” ผมว่า เมื่อเริ่มจะเขินกับสายตาที่มองมาไม่หยุดพักของเขา


“ทำไมหน้านายไม่เห็นเหมือนเอเลี่ยนเลย” ผมยู่หน้าใส่เขาแทนคำตอบ วิคเตอร์คลี่ยิ้มเมื่อเห็นผมทำหน้ามู่ทู่ใส่


“ก็ผมเป็นมนุษย์ ผมไม่ได้เป็นเอเลี่ยน” ผมว่าเสียงเบาในขณะที่ออกแรงกดเบาๆ ไปตามใบหูของเขา วิคเตอร์ก็ยังคงมองหน้าผม
ไม่ขยับเยื้อนสายตาไปไหน ผมก็แก้เขินด้วยการมองแต่คางเขาอย่างเดียว


“ไม่ นายคือเอเลี่ยน เอเลี่ยนของฉันคนเดียว มีแค่ตัวเดียวในโลก” ผมเกือบจะชะงักด้วยความรู้สึกดีละ แต่การระบุว่ามีแค่ตัวเดียวในโลกนี่มันก็ยังดูแปลกประลาดอยู่ดี


“ผมต้องเปิดแชมเปญฉลองกับตำแหน่งนี้มั้ยครับ” ผมถามยิ้มๆ พลางจับหน้าเขาเอียงไปทางซ้าย แล้วใช้นิ้วโป้งวนที่ขมับเขาเบาๆ ลากยาวมาทิ้งแรงกดของนิ้วที่กกหู ก่อนจะกลับไปกดบนขมับเขาอีกรอบ ทำซ้ำๆ อยู่ห้าหกรอบ ก่อนจะจับหน้าเขาเอียงมาทางด้านขวาแล้วทำแบบเดียวกันกับอีกข้าง วิคเตอร์ยิ้มเพลิดเพลิน สีหน้าเขาดูผ่อนคลายจนผมรู้สึกดีที่ทำให้เขารู้สึกปล่อยวางความเครียดได้


“คุณควรให้คุณนาตาชาทำให้บ่อยๆ นะ มันจะช่วยทำให้คุณผ่อนคลายเวลาเหนื่อยๆ” ผมพูดปกติ ธรรมดาๆ ไม่ได้พูดด้วยความเศร้าอกเศร้าใจหรือคิดน้อยใจอะไร แค่อยากบอกเขาเฉยๆ เท่านั้นจริงๆ วิคเตอร์เอียงหน้ากลับมามองหน้าผมตรงๆ ด้วยสายตาใสซื่อเหมือนเด็กน้อย


“ทำไมต้องเป็นนาตาชาทำล่ะ เป็นนายไม่ได้เหรอ”


“ไอ้ได้น่ะมันได้ครับ แต่เป็นผมบ่อยๆ มันก็ไม่ดี มันดูไม่ดีน่ะ ไอ้แบบนี้ควรให้คนที่เป็นแฟนทำให้” แค่นี้ก็จะหัวใจวายแล้ว จะให้มาทำให้บ่อยๆ ได้ไงล่ะ


“แล้ว… ไม่เป็นแฟนกัน ทำให้กันไม่ได้หรอ” ผมยิ้มอ่อนๆ ใช้นิ้วชี้สอดไปตรงไรผมด้านหลังคอ แล้วกดๆ นวดๆ เบาๆ


“ก็บอกแล้วไงครับว่าทำให้ได้ แต่…” ใกล้ชิดแนบชิดกันซะขนาดนี้ จะไม่ให้คิดอะไรเลย มันก็ยากนะ… ผมอยากจะบอกเขาแบบนี้ แต่ก็เลือกที่จะหยุดเอาไว้ไม่กล้าพูดออกมา บางทีบางประโยคก็ไม่ควรพูด เพราะผมกลัวว่าถ้าพูดออกไป อะไรๆ มันอาจจะพลิกไปเป็นอีกแบบ แล้วไอ้การที่เราสองคนแนบชิดกันขนาดนี้ มันก็เพิ่งเกิดขึ้นวันนี้วันแรก มันไม่สามารถการันตีอะไรใดๆ ได้หรอก


“แต่? แต่อะไร” เขาถามเมื่อเห็นผมเงียบไป


“แต่มันจะเป็นการเพิ่มภาระหน้าที่ให้ผมน่ะสิครับ” ผมแสร้งพูดติดตลกเพื่อเบี่ยงความสนใจของเขาแล้วยิ้มกริ่ม  วิคเตอร์ระบายยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะว่าเสียงทุ้มเบาๆ


“เอเลี่ยนขี้เกียจ” ผมยิ้มขำหน่อยๆ นิ้วก็กดวนๆ ตรงเส้นหลังคออยู่พักหนึ่งก่อนจะยกมือมาลูบคิ้วเขา ออกแรงไม่หนักมากไป ลากข้อนิ้วตามแนวยาวของคิ้วเข้มๆ บนหน้าหล่อๆ หมุนๆ วนตรงขมับอีกสองสามทีก็ปล่อย


"รู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ยครับ” วิคเตอร์เหมือนหลุดออกจากภวังค์แห่งความเพลิดเพลิน เขาเลื่อนดวงตามามองหน้าผมด้วยสายตาเหมือนจะเหม่อๆ เล็กน้อย


“ก็โล่งดี…”


“โอเค งั้นเดี๋ยวคุณล้างตัวนะ ผมจะออกไปรอข้างนอก” ผมทำท่าจะดันหัวเขาออกจากหว่างขา แต่เขายกมือขวามาจับแขนขวาผมไว้ พร้อมส่งสายตาคล้ายจะอ้อนนิดๆ มาให้


“ไม่เอา… ฉันอยากนอนอยู่แบบนี้ เป็นหมอนให้ฉันก่อน”


“คุณไม่คิดว่าผมจะเมื่อยบ้างเหรอ”


“ทีฉันยังให้นายหนุนแขนจนแขนชาไปหมดเลยนะ” เบาบอกแล้วทำปากยื่นน้อยๆ ดูแล้วช่างน่ารักน่าชัง น่าบี้ให้ตายคามือ(ฮะ?) เขาเอื้อมมือซ้ายมาจับแขนผมอีกข้างไว้เบาๆ ราวกับจะไม่ยอมให้ผมลุกออกไป ผมยิ้มน้อยๆ แล้วเอามือขวาเกาคางเขาเบาๆ เขายิ้มกริ่มเหมือนเวลาแมวโดนเกาคาง


“คุณบังคับให้ผมนอนด้วยเองนะ” เปลือกตาวิคเตอร์ขยับขึ้นลงช้าๆ คล้ายจะหลับไม่หลับแหล่ สงสัยเพราะเพลินที่โดนเกาคาง ผมเกาเบาๆ อยู่พักหนึ่ง แล้ววิคเตอร์ก็เปิดเปลือกตาขึ้นเต็มกรอบตา จ้องมองมานิ่งๆ ก่อนจะบอกเสียงทุ้มนุ่มลึก


“บรรยากาศแบบนี้เราควรจูบปากกันนะ รู้รึเปล่า” ผมขำพรืดแล้วยิ้มกว้าง นึกขำกับสีหน้าซื่อๆ ตาใสๆ ที่มองกลับมาราวับจะบอกว่าที่พูดนั่นเราควรทำจริงๆ นะ


“คิดไปเองรึเปล่าครับ”


“ถ้าเป็นบทซีรีส์ นายกับฉันต้องอยู่บนเตียงแล้ว”


“งั้นขอโทษที พอดีว่านี่ไม่ใช่ซีรีส์ แต่เป็นชีวิตจริง โอเคมั้ยครับ”


เขาอาจจะพูดเล่น พูดแซวๆ ไปงั้น แต่มันก็ทำให้ผมแอบรู้สึกดีไปเองคนเดียวซะงั้น เห็นสายตาที่เชิญชวนมองมา ยอมรับเลยว่าอยากจะก้มลงไปประกบปากกับริมฝีปากสีแดงหม่นนั่นจริงๆ แต่ความผิดชอบชั่วดีที่ผมยังมีอยู่บ้างในจิตใจ กำลังส่งสัญญาณเตือนว่ามันอาจจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการลักลอบเป็นชู้อย่างแท้จริง ซึ่งผมไม่ต้องการแบบนั้น และคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นได้ แม้กระทั่งชู้ผมอาจจะยังไม่มีสิทธิเป็นเลยด้วยซ้ำ ก็ผมกับเขาเราเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ถ้าเขาคิดจะมีชู้จริงๆ เขาไปมีชู้เป็นผู้หญิงย่อมดีกว่าอยู่แล้ว


เฮ้อ… บอกใจให้เข้มแข็งไว้นะแมท อีกไม่นานเราก็กลับบ้านแล้ว พอไกลกัน มันก็จะค่อยๆ จางหายไปจากใจนั่นแหละ


“คุณเรย์มอนด์ ลุกเถอะครับ ผมจะได้ออกไปเตรียมเสื้อผ้าให้” ผมบอกเขาอีกครั้งหลังจากเขานั่งจับแขนผมไว้ทั้งสองข้าง แล้วเอาแต่มองหน้าผมแทบไม่กระพริบตา


“คุณเรย์มอนด์ ถ้าจะนอนก็ออกไปนอนข้างนอก” ผมบอกเสียงอ่อนด้วยความอ่อนใจ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังเอาแต่ใจ หรือกำลังอ้อนอย่างเงียบๆ กันแน่


“นายจะเป็นหมอนให้ฉันรึเปล่า” เหมือนเด็กจังแฮะ เหมือนเวลาที่เด็กถามพ่อกับแม่ว่าจะซื้อตุ๊กตาหรือว่าของเล่นให้ผมมั้ยครับ แนวๆ นั้นเลย น่ารักดีนะ เหมือนเด็กโข่งมีหนวดอ้อนเลย ฮิๆ  ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะตอบ


“ไม่ครับ บนเตียงคุณก็มีหมอนเยอะแยะ”


“ฉันจะเผาหมอนทิ้ง” เขาพูดหน้าตาย พูดหน้าตาเฉยแบบมึนๆ ประหนึ่งว่าเขาจะทำแบบนั้นจริงๆ นะ ผมยิ้มขำกับการพูดมึนๆ พูดง่ายๆ ของเขา


“อย่าทำแบบนี้เลยนะครับ” ผมบอกเขาเสียงเบาพร้อมกับยิ้มที่มุมปากนิดๆ ออกจะเป็นการกระตุกยิ้มด้วยซ้ำ


“เผาหมอนอ่ะหรอ?” เขาถามด้วยอาการงงๆ มองหน้าผมกลับมาด้วยความไม่เข้าใจ


“ไม่ใช่ แต่ทำแบบที่คุณทำอยู่ ผมว่าบางทีที่คุณทำอยู่มันอาจจะเกินคำว่าใจดีอย่างที่คุณเบนบอกไปแล้ว”


“ทำไมล่ะ ก็ฉันอยากทำ ก็แค่อยากทำ ฉันอยากทำอะไรฉันก็จะทำ ทำตามใจที่อยากทำ” เขาพูดด้วยแววตาของคนดื้อนิดๆ


“ทำได้ครับ แต่การทำอะไรที่มันไม่ถูกที่ถูกเวลา มันก็ไม่ควรทำ” ผมบอกแล้วมองหน้าเขาด้วยสายตาจริงจังกับคำพูดของตัวเองและพยายามสื่อให้เขารู้ว่าที่เขาทำอยู่มันเยอะไป เกินคำว่าใจดีไปมากโขแล้ว นี่มันกำลังจะเป็นใจบ่อดีแล้วเน่อ~


“ทำไมนายต้องทำอะไรให้มันยากด้วย”


“เพราะผมไม่ง่ายแบบคุณน่ะสิ” ผมว่าแล้วอาศัยช่วงจังหวะที่เขากำลังเผลอๆ ผลักหัวเขาออกจากกลางตักตัวเอง แล้วรีบยกขาออกจากอ่างอาบน้ำอย่างรวดเร็ว วิคเตอร์กัดริมฝีปากล่างแล้วมองมาด้วยสายตาวิบวับ


“ผมจะเตรียมชุดไว้ให้บนเตียงนะ” ผมยิ้มหวานบางเฉียบไปให้ แล้วรีบหมุนตัวเดินลงขั้นบันไดไปทางประตูห้องน้ำทันที ก้าวเท้าฉับๆ ออกไปนอกห้องน้ำ ตรงไปที่ห้องเสื้อผ้าของเขา เลือกหยิบชุดลำลองเสื้อยืดสีเขียวทหารตัวบางใส่สบายๆ มาให้เขา พร้อมกับกางเกงขาสั้นของผู้ชาย วันนี้เขาไม่ได้ออกไปทำงานที่ไหนก็แต่งเท่านี้ไปนั่นแหละ ผมหยิบชุดออกมาจากตู้พร้อมกับหยิบชุดชั้นในชายสีขาวของแบรนด์ดัง แล้วเดินออกมานอกห้อง เอาชุดไปวางไว้ที่ปลายเตียง เตรียมตัวเดินออกจากห้องไป แต่วิคเตอร์ที่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูพันท่อนล่างไว้ผืนเดียวก็เดินมายืนขวางทางผมไว้ ผมขมวดคิ้วฉับใส่เขา ทั้งงงว่าเขาล้างตัวอะไรจะไวขนาดนั้นและทั้งไม่เข้าใจว่าจะมายืนขวางทางไว้ทำไม


“เดี๋ยวผมจะลงไปเตรียมอาหารเย็นไว้ให้คุณทาน คุณเสร็จแล้วก็ตามลงไปนะครับ”


“เดี๋ยวลงไปพร้อมกัน รอฉันใส่เสื้อผ้าก่อน”


“ให้ผมรอทำไมเนี่ย คุณก็แต่งตัวไปสิ ผมก็จะได้ไปทำงานของผม” วิคเตอร์ไม่ฟังเสียงอะไรผมอีก แต่เขาดึงมือผมกลับไปที่เตียง ฉุดร่างผมให้นั่งลงบนโซฟาสีแดงตัวยาวปลายเตียง ผมพ่นลมหายใจเบาๆ แล้วเลือกที่จะนั่งรออย่างสงบๆ ดีกว่า วิคเตอร์หยิบเสื้อมาใส่ ก่อนจะดึงผ้าขนหนูออกจนผมเกือบจะหันหนีไม่ทัน เริ่มจะรู้สึกชินๆ กับการที่เห็นเขาแก้ผ้าต่อหน้าขึ้นมานิดหน่อย คงเป็นนิสัยผู้ชายที่นึกอยากทำก็ทำ ไม่ได้กะจะยั่วเย้าอะไรผมหรอก


“เสร็จแล้ว ไปกัน” ผมหันไปมองเขาที่อยู่ในชุดที่ผมเตรียมให้ ผมลุกขึ้นยืนแล้วมองไปที่เส้นผมที่ยังเปียกชื้นของเขาอยู่


“ทำไมคุณไม่เช็ดผมให้แห้งก่อนล่ะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอามือจับๆ เส้นผมของตัวเอง ก่อนจะดึงมือออกแล้วไหวไหล่น้อยๆ


“ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก” เขาบอกแล้วทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง ผมรีบฉุดมือเขาไว้แล้วส่งสายตาดุๆ ไปให้


“นั่งลงครับ” ผมบอก เขาทำหน้างงๆ แต่ก็ยอมนั่งลงที่ขอบเตียง ผมหยิบผ้าขนหนูที่เขาถอดทิ้งไว้บนเตียงขึ้นมา จับๆ ดูก็เห็นว่าไม่ได้เปียกอะไรมาก ยังพอใช้ได้ ผมเดินเข้าไปใกล้เขาที่มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะยกผ้าขนหนูปิดหัวเขา แล้วใช้เช็ดผมเปียกๆ ใของเขา วิคเตอร์นั่งนิ่งๆ ปล่อยให้ผมใช้ผ้าขนหนูขยุ้มเส้นผมเขาให้แห้ง แต่สักพักเขาก็เอื้อมมือมาจับมือผมไว้ทั้งสองข้าง แล้วใช้มือผมที่จับผ้าอยู่ดึงขึ้นให้ชายผ้าพ้นหน้าเขา


“เช็ดต่อสิ” ผมงงๆ แต่ก็เช็ดต่อ ใบหน้าที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าขนหนูกำลังมองผมไม่วางตา แววตามีแววดีใจให้เห็น เขายิ้มน้อยๆ ส่วนผมย่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจว่าเขาจะยิ้มอะไร ผมพยายามไม่ใส่ใจแล้วเช็ดผมให้เขาต่อไป


“ฉันคิดถึงความรู้สึกนี้จัง…” เขาเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว ผมเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองหน้าเขา


“ไม่มีใครทำแบบนี้ให้ฉันนานแล้วตั้งแต่แม่จากไป” เขายิ้มเศร้าๆ จนผมใจไม่ดี มือที่ออกแรงเช็ดผมเขาค่อยๆ ช้าลง แต่ก็ยังไม่หยุดเช็ด ผมนิ่งไปไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี แต่ก็พยายามคิดสรรหาคำพูดมาปลอบใจเขา


“ก็นี่ไง ผมทำให้แล้ว” ผมยิ้มบางๆ เป็นการให้กำลังใจเขา อีกฝ่ายยิ้มบางๆ ตอบกลับมา


“อืมมม… ก็จริง” เราสบตากันด้วยสายตาโอนอ่อน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่กัน จนวิคเตอร์ยิ้มกว้างด้วยความขำ ผมก็เลยขำตาม นี่เราสองคนเป็นอะไรกัน มองหน้ามองตากันแล้วก็ยิ้ม ยิ้มแล้วก็ขำ ประเด็นคือเป็นบ่อยด้วยนะ ผมรู้สึกว่าหลังจากนั่งคุยกันบนโซฟา วิคเตอร์ดูอ่อนลงไม่แข็งกระด้างเท่าไหร่ คือก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง อย่างตอนที่ร้องจะให้ผมเข้าไปในห้องน้ำด้วยนั่งไงล่ะ หรือจะตอนที่เขากำลังโมโหแล้วผมถาม เขาก็ตะคอกกลับมาว่าอย่ายุ่งกับเขา สักพักก็บอกว่าห้ามไปไหน


ยังไงผู้ชายคนนี้ก็ยังอารมณ์ไม่คงที่อยู่ดีนะผมว่า


แล้วหลังจากนอนใกล้ชิดกัน พอตื่นขึ้นมา ผมรู้สึกว่าเขาดูสัมผัสได้ ดูจับต้องได้ ไม่ได้หมายถึงเรื่องที่เขากอด เขาลวนลามผมนะ แต่เขาดูลดกำแพงที่เขามีลง ผมไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนั้นรึเปล่า นั่นอาจจะเป็นอาการของคนที่เพิ่งจะทำผิดมาแล้วพยายามทำตัวดีๆ พยายามเอาใจใส่กับคนที่เขาทำผิดด้วย ถ้าแบบนั้น มันก็คงเป็นแค่สัญชาตญาณของมนุษย์ปกติทั่วล่ะมั้ง ที่พอถูกโกรธใส่ก็เลยพยายามเอาใจใส่คนโกรธ เพื่อให้เขาหายโกรธตัวเอง ไม่แน่พอพ้นวันนี้ไป ระหว่างผมกับเขาเราก็คงกลับมาเป็นปกติอย่างเดิม
ก็คงแค่วันนี้แหละที่เป็นวันดีๆ ของผม


“คิดอะไรอยู่” เขาถาม คงเพราะเห็นผมดูเหม่อๆ มั้ง ผมยิ้มเก้อๆ ก่อนจะตอบเขา


“คิดว่าที่คุณดีกับผมแบบนี้ เป็นเพราะคุณเบนพูดหรือเพราะนิสัยคุณกันเอง” เขามองตอบกลับมาด้วยแววตาสุกใส ดวงตาสีน้ำตาลสีน้ำผึ้งข้นมองสำรวจหน้าผมนิดหนึ่ง ก่อนที่เขาจะว่า


“ฉันคงทำนิสัยแย่ๆ ใส่นาย จนนายคิดว่าฉันไม่มีดีเลยสินะ”


“ก็เปล่า คุณก็มีดี แต่ที่ไม่ดีดันเยอะกว่า” ผมบอกแล้วยิ้มกว้างอย่างนึกขำ วิคเตอร์ยกยิ้มมุมปาก


“ฉันมีสมองและฉันก็มีจิตใจ พอบวกกันมันก็ทำให้ฉันพอจะมีความคิดอยู่บ้างนะ” ผมยิ้มเบ้ปากแล้วดึงผ้าขนหนูออกจากหัวเขา เอื้อมมือไปจับเส้นผมที่ไม่ค่อยเปียกแล้ว ก่อนจะถอนหายใจนิดๆ


“ถ้าคุณเบนไม่มาพูด คุณคงให้ผมไปอย่างที่คุณบอกสินะ” ผมเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากเขาออก วิคเตอร์มองหน้าผมด้วยแววตาที่ไม่สามารถอ่านออก เขาเอื้อมมือมาจับแขนซ้ายผมแล้วพลิกดูแผลที่โดนน้ำมันกระเด็น


“ถึงเบนมันไม่พูด ใช่ว่าฉันจะไม่รู้ จะไม่รู้สึก…” เขามองหน้าผม แล้วยิ้มมุมปากน้อยๆ


“ฉันไม่พูด ไม่ได้หมายความว่า ฉันไม่รับรู้กับสิ่งที่นายทำ นายทำอะไรให้ให้ฉันตั้งเยอะ แต่ที่ฉันบอกให้นายไป เพราะฉันคิดว่านายไม่เหมาะที่จะอยู่กับคนอย่างฉัน” มีแววรู้สึกผิดซ่อนอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น  เขายกมืออีกข้างมาลูบที่แผลผมเบาๆ


V
v
v

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 16-18:: 22.06.58
«ตอบ #78 เมื่อ22-06-2015 17:25:18 »



“ผมว่าเราลงไปข้างล่างกันเถอะครับ” ผมตัดบท เพราะไม่อยากให้เกิดบรรยากาศอันน่าอึดอัด วิคเตอร์มองหน้าผมนิ่งๆ สักพักก่อนจะพยักหน้ารับน้อยๆ แล้วลุกขึ้นยืน แต่มือที่จับมือผมไว้ก็ยังไม่ยอมปล่อย เขาเดินนำหน้าและจูงมือผมไป แต่ในขณะที่กำลังจะถึงประตูห้อง เสียงโทรศัพท์มือถือของวิคเตอร์ที่วางอยู่บนโต๊ะทรงสูงหัวเตียงที่มีรูปแม่กับย่าเขาตั้งอยู่ก็ดังขึ้น เขาเดินลากผมไปรับโทรศัพท์ด้วย


ป๊าดดด สวยแท้ว่ะ ผู้ชายไม่อยากอยู่ห่าง ก๊ากกก


“ว่าไงครับแนท…” ผมมองเสี้ยวหน้าเขาอย่างปกติ ไม่ได้รู้สึกว่าใจกระตุกวูบวาบอย่างที่เคยเป็นเวลาที่เขาคุยกับนาตาชาหรือพูดถึงเธอต่อหน้าผม


“เย็นนี้หรอ… อืมมม… ผมยังไม่แน่ใจ… เปล่าครับ แต่เดี๋ยวผมบอกอีกทีก็แล้วกันนะ… ครับ” เขาวางสายไป เอามือถือใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหันมาหาผม


“คุณนาตาชาชวนคุณไปไหนรึเปล่า”


“…” เขานิ่งไม่ยอมตอบ เอาแต่มองหน้าผมจนคนถูกมองเริ่มจะทำสีหน้าไม่ถูก ผมเลยพยายามเบี่ยงประเด็นให้ตัวเองกับเขาไม่ยืนมองหน้ากันนิ่งๆ แบบนี้


“เอิ่ม… คุณไม่แน่ใจอะไรเหรอ วันนี้คุณไม่มีคิวไปทำงานที่ไหนสักหน่อย เธออยากไปไหน คุณก็พาเธอไปสิครับ”


“ไปด้วยกันมั้ย” ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธรัวๆ


“ไม่เอาหรอก นั่นมันเวลาของคุณกับเธอนะ จะให้ผมไปทำไม เอ่อ… ถ้ายังไงคุณก็พาเธอไปหาอะไรกินข้างนอกเลยก็ได้นะ ผมจะได้ไม่ต้องทำอาหารเย็นนี้” ผมบอกแล้วยิ้มแหะๆ เพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะปัดหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง


“แต่ฉัน…”


“คุณเรย์มอนด์ คุณเป็นแฟนกับคุณนาตาชานะ ผมเป็นแค่ลูกน้องคุณ ไม่ต้องให้เกียรติผมด้วยการไปเดทกับคุณสองคนก็ได้ครับ ผมทำตัวไม่ถูก อย่าให้ผมต้องไปเป็นก้างขวางคอเลยนะ” ผมบอกยิ้มๆ ไม่ได้รู้สึกหน่วงหรือรู้สึกใจผิดปกติอะไร
จริงๆ นะ


เฮ้อ… โอเค ก็มีนิดหน่อย ใจมันหวิวเล็กๆ น้อยๆ น่ะ


“แล้วถ้าคุณไม่ว่าอะไร ตอนคุณออกไปหาเธอแล้ว ผมขอกลับบ้านเลยได้มั้ยครับ” ผมยิ้มหวานๆ ออกจะเป็นรอยยิ้มอ้อนๆ ด้วยซ้ำ วิคเตอร์ยิ้มบางๆ ตอบกลับมา ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ ผมนี่ยิ้มแป้นเลยทีเดียว


“You’re ไอ้ห่า very much. (คุณไอ้ห่ามากๆ เลย)” แล้วผมก็หัวเราะคิกคัก ยิ่งนึกถึงความหมายที่แท้จริง ผมยิ่งหัวเราะ นี่ก็ยังไม่ได้แก้ความหมายที่แท้จริงให้เขารู้เลย


“นายชมฉันว่าน่ารักหรอเนี่ย” เขายิ้มแปร่งๆ มองผมเหมือนไม่อยากจะเชื่อ คงไม่ใช่ไม่เชื่อในเรื่องคำศัพท์ที่ผมสอนเขาหรอก แต่เพราะผมไม่เคยชมเขาในลักษณะนี้เลยต่างหาก ผมหัวเราะพรืด ก่อนจะพยักหน้ารัวๆ


“อือฮึ…” ผมส่งเสียงตอบกลับไป วิคเตอร์ยิ้มเบ้ปาก แล้วพยักหน้าหงึกๆ ราวกับรับคำชมนั้น ยิ่งเห็นแบบนั้นผมยิ่งขำ


“ชมแล้วทำไมต้องขำด้วย หรือว่าไอ้ห่าไม่ได้แปลว่าน่ารัก” ผมพยายามกลั้นขำ แต่ก็ยังคงส่งเสียงหัวเราะออกมา


“เปล่า… คึ… แปลว่าน่ารักจริงๆ” เขาหรี่ตามองอย่างจับผิด แต่ผมก็แอ๊บยิ้มหน้าซื่อตาใสตอบกลับไป


“อย่าให้ฉันจับได้นะว่านายหลอกสอนอะไรเพี้ยนๆ ให้ฉัน ไม่งั้นฉันจะฟาดก้นนายให้ลายเลย” เขามองกลับมาด้วยสายตาครุกรุ่น ก่อนจะกัดริมฝีปากล่างไว้ราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรที่มันเร่าร้อนอยู่ ผมหน้าตึง ตาโต รู้สึกไม่ไว้ใจกับสายตานั้นเลยจริงๆ


“ลงไปข้างล่างเถอะครับ คุณจะได้ออกไปรับคุณนาตาชาสักที” ผมกระตุกแขนซ้ายที่เขาจับเอาไว้ วิคเตอร์ปล่อยริมฝีปากล่างออกจากฟันแล้วเลียลิ้นไปตามแนวริมฝีปากล่างเร็วๆ ผมว่าเขาคงทำเพราะอาจจะรู้สึกปากแห้ง แต่ไอ้ท่าทางแบบนั้นมันโคตรเซ็กซี่เลยให้ตายเหอะ


เขาเดินนำผมแล้วจูงมือผมไปด้วย เอาจริง มันไม่ได้ดูเป็นความสวีทเลยนะ ผมเตี้ยกว่าเขา ยืนเทียบกันจริงๆ ผมสูงเหนืออกเขาขึ้นมาหน่อยนึงเท่านั้นเอง มันเลยดูเหมือนผู้ใหญ่จูงเด็กๆ เดินเลยอ่ะ


“งั้นเดี๋ยวผมขอตัวกลับเลยนะครับ” ผมบอก ทันทีที่เราลงมาถึงด้านล่าง วิคเตอร์หันมามองด้วยสายตาหงอยๆ


“จะกลับเลยเหรอ”


“กลับเลยสิครับ คุณเองก็ออกไปได้แล้ว เดี๋ยวคุณนาตาชาจะรอนาน” ผมบอกแล้วบิดแขนออกจากมือเขาเบาๆ เดินไปหยิบกระเป๋าเป้ที่วางไว้ตรงเค้าน์เตอร์ห้องครัว หันกลับไปส่งยิ้มให้เขาอีกที


“ให้ฉันไปส่งมั้ย”


“ไม่ต้องหรอกครับ วันนี้คุณใจดีกับผมเยอะแล้ว ผมกลับเองได้สบายมาก ผมไปแล้วนะครับ” ผมพูดรัวๆ ต่อกันแบบที่รวบรัดหลายประเด็นมาเป็นประโยคเดียวแล้วส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะเดินผ่านเขาไปที่ประตูบ้าน จับที่จับแล้วดึงให้ประตูเปิดออก


“แมท” เสียงเรียกดังขึ้นทางด้านหลัง ผมหันกลับไปมองก็เห็นว่าวิคเตอร์มองกลับมาด้วยสายตาว้าวุ่น เรายืนมองกันเงียบๆ อยู่พักใหญ่ สุดท้ายเขาก็ไม่พูดอะไร ผมเลยยิ้มอ่อนๆ ให้เขาแล้วบอกเสียงเบา


“Good bye. Mr.Raymond. (ลาก่อนนะครับ คุณเรย์มอนด์)” ผมหมุนตัวเตรียมตัวก้าวเท้าออกจากประตูบ้าน แต่สักพักก็รับรู้ถึงแรงกระชากด้านหลังพร้อมกับประตูที่ปิดเสียงดังปัง แล้วผมก็รับรู้ถึงแรงรัดจากอ้อมแขนอันแข็งแกร่งของวิคเตอร์ เขากอดผมจากทางด้านหลัง ย่อตัวลงมาเอาแก้มขวาแนบแก้มซ้ายผมไว้


“Don’t say ‘good bye’ again. I do not allow you to say that word. (ห้ามพูดว่า ‘ลาก่อน’ อีกนะ ฉันไม่อนุญาตให้พูดคำนั้นอีก)” เขาบอกเสียงแหบกดต่ำราวกับมีอารมณ์โกรธนิดๆ ผมกระพริบตางงๆ จะหันไปมองเขาก็จะกลายเป็นว่าจมูกจะไปชนแก้มเขาอีก


“ทำไมล่ะครับมันก็เป็นคำพูดปกติเวลาจะล่ำลากันไม่ใช่เหรอ…”


“…ไม่เอา ไม่พูดคำนี้” เขาแทรกขึ้นมาทันควันจนผมรู้สึกเอ๋อแดก


“ครับๆ ไม่พูดคำนี้ก็ได้” ผมบอกอย่างเอาใจ ยกมือซ้ายขึ้นมาลูบแก้มซ้ายเขาเบาๆ วิคเตอร์กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น และหลับตาพริ้ม


โอยยย อย่างกับโดนงูเหลือมรัด แน่นไปหมด ไม่รู้ว่าแน่นเพราะผมแน่นเนื้อตัวเองหรือแน่นเพราะเขากอดแน่นกันแน่


“แล้วผมควรพูดคำไหนกับคุณดีเวลาจะเลิกงาน”


“…” เขายังคงหลับตาแล้วนิ่งอยู่แบบนั้น สักพักเขาก็ลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยเสียงแหบเบาๆ


“Good boy. (เด็กดี)” ผมยิ้มด้วยความประหลาดใจกับคำศัพท์ที่เขาพูดขึ้นมา


“แหม… แต่คำนี้ไม่เหมาะกับคุณเลยนะ” ผมว่าติดตลก ยิ้มขำกับคำที่เขาอยากให้พูดซึ่งเอาจริงๆ มันก็ขัดกับคนอย่างเขามาก


“ฮึมมม…” เขาส่งเสียงคำรามต่ำๆ ราวกับส่งสัญญาณไม่พอใจมาให้จนผมต้องส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ กับความเอาแต่ใจของเขา


“Okay. So, now I have to say good boy. Mr.Raymond. (ก็ได้ครับ งั้นผมคงต้องบอกว่าเด็กดีนะครับ คุณเรย์มอนด์)” ผมรับรู้ได้ว่าเขากำลังยิ้ม และคงเป็นรอยยิ้มที่พึงพอใจ


“ทีนี้เด็กดีคนนี้จะปล่อยผมได้ยัง กอดผมไว้แบบนี้ ผมไม่ใช่ชู้คุณนะ” เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจทิ้งแรงๆ แล้วซบหน้าผากลงกับไหล่ซ้ายผม อ้อมแขนเขาค่อยๆ คลายออก จนผมสามารถขยับได้ ผมเลยยกมือขวามาดันหัวเขาไว้ แล้วขยับถอยห่างจากเขา วิคเตอร์ยังคงก้มหน้ากับมือผมและออกแรงดันเหมือนอยากจะเล่นด้วย ผมเลยดันกลับ เขาก็ออกแรงดันที่หัวกลับมา ผมหัวเราะแล้วดันกลับไปจนเขาแทบหงายหลังล้มตึง วิคเตอร์เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าตกใจแต่ก็ยังติดมีรอยยิ้มนิดๆ


“คิกๆ”


“เอเลี่ยน!” เขาตะเบ็งเสียงดัง แต่ไม่ได้จงใจตะคอก เหมือนจะข่มผมด้วยเสียงมากกว่า ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วหมุนตัวไปเปิดประตู ก่อนจะวิ่งหนีลงบันไดหน้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว รีบวิ่งหนีให้ห่างจากบ้านเขา


“พรุ่งนี้นายห้ามมาสายนะ!” เสียงตะโกนไล่หลังตามมา ผมหยุดวิ่งแล้วหันไปมองก็เห็นเขายืนมองกลับมาหน้าตาดุแบบไม่จริงจัง ผมยิ้มแป้น แล้วยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์ว่าโอ ก่อนจะหมุนตัวเดินต่อไป


ผมยิ้มอ่อนๆ แล้วถอนหายใจเบาๆ กับตัวเอง เท่านี้ก็ดีแล้ว มันคงไม่ได้ผิดร้ายแรงมากใช่มั้ยถ้าผมจะรู้สึกดีกับสิ่งที่เขาทำในวันนี้ ผมคงไม่ต้องถึงขั้นทำใจแข็งต่อต้านกับสิ่งที่ได้รับมาใช่มั้ย จะต้านทำไม จะแข็งใส่เขาทำไม เราไม่ได้เป็นอะไรกัน มันไม่มีหรอกไอ้อารมณ์ใจแข็งใส่กัน หรือใจอ่อนให้กัน มันมีแต่ความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นระหว่างกันเท่านั้นเอง


ก็อย่างที่ผมบอกเขาว่าผมอยากกลับไปพร้อมกับความทรงจำดีๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่ และสิ่งที่เขาทำในวันนี้ก็คือเรื่องดีๆ ที่ผมจะจดจำไว้เมื่อกลับไทยไป








ผมเดินลงไปในสถานีรถไฟใต้ดิน ใช้บัตรแตะลงบนแท่นแตะบัตรเพื่อเดินผ่านที่กั้น แล้วเดินช้าๆ ไปยังชานชาลาเพื่อไปรอรถไฟขบวนต่อไป ระหว่างทางเดินไปยังชานชาลาก็ได้ยินเสียงดนตรีของวงดนตรีเปิดหมวกดังแว่วให้ได้ยินในทำน้องเพลง What’s my name? ของ Rihanna ประสานเสียงไปกับเสียงร้องทุ้มๆ มีเสน่ห์ของนักร้องชายที่ร้องโคเว่อร์ (Cover) ได้แสนนุ่มหูน่าฟัง จังหวะดนตรีกับเทคนิคการร้องแบบเป็นเอกลักษณ์ของเขา ทำให้เพลงนี้ดูแปลกในแบบฉบับใหม่ ได้ยินแล้วก็น่าสนใจ จนต้องหยุดฟัง กระทั่งมาถึงท่อนที่ทำเอาผมยิ้มเขินกับตัวเอง


~Baby, you got me, aint’ nowhere that I’d be.

(ที่รัก เธอได้ใจฉันไปละ แล้วก็ไม่มีที่ไหนที่ฉันอยากจะอยู่…)

Than with your arms around me~

(…มากไปกว่าอ้อมแขนของเธอที่โอบรอบฉัน~)

Back and forth you rock me…

(แล้วโยกฉันไปมา…)

So I surrender to every word you whisper~

(ฉันยอมกับทุกคำกระซิบที่เธอพร่ำบอก~)

Every door you enter, I will let you in. ♥

(ทุกประตูที่เธอเปิดเข้ามา ฉันยินดีต้อนรับเธอ)





แล้วจากนั้นก็เป็นทำนองดนตรีที่เขาทำขึ้นมาใหม่ เป็นจังหวะสนุกๆ ผมคลี่ยิ้ม ค่อยๆ ยิ้ม จากยิ้มน้อยๆ ก็กลายเป็นรอยยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงหน้าวิคเตอร์ อ้ากกก! แค่นี้หน้าเขาก็ลอยเข้ามาในมโนละ จะเพี้ยนไปใหญ่แล้วมั้งไอ้แมท


แต่มันก็อดไม่ได้อ่ะ เนื้อเพลงมันดันตรงกับสถานการณ์พอดี ทั้งอ้อมกอด อ้อมแขน เสียงกระซิบ ฮู่ววว! เพิ่งเจอมากับตัวทั้งนั้น ไม่ให้ยิ้มเขินได้ไง


ผมย่นคิ้วพร้อมรอยยิ้มขำๆ กับตัวเอง ก่อนจะโคลงศีรษะเบาๆ กับความเพ้อของตัวเอง ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปอย่างเชื่องช้า มุ่งตรงสู่ชานชาลา ระหว่างนั้นเสียงนักร้องชายคนนั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงอันไพเราะนุ่มทุ้มเสียงเดิม และออกจะติดมีน้ำเสียงล้อๆ แซวๆ กลุ่มเด็กหนุ่มผู้ชายที่กำลังยืนมองวงดนตรีด้วยความสนใจพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง


~Hey, boy, I really wanna see…

(นี่ พ่อหนุ่ม ฉันอยากจะรู้ว่า…)

If you can go downtown with a girl like me~

(เธอกล้าไปเดินเที่ยวในเมืองกับผู้หญิงอย่างฉันมั้ย~)

Hey, boy, I really wanna be with you…

(พ่อหนุ่มจ๋า ฉันอยากจะอยู่กับเธอ…)

‘Cause you just my type, oh, na, na, na, na

(เพราะว่าเธอคือสเป๊กของฉัน อู้ววว นั่นยังไงล่ะ)





เขาเว้นช่วงแปบหนึ่ง กลุ่มเด็กหนุ่มกลุ่มนั้นส่งเสียงหัวเราะชอบใจกับการร้องแซวเล่นๆ ของนักร้องมาดเซอร์ เคราครึ้มดก เสียงกีต้าร์ทำนองเก๋ๆ ส่งเสียงแหลมแต่ไม่แสบแก้วหูดังขึ้นแว้บหนึ่ง ก่อนที่พ่อนักร้องจะร้องต่อจนจบด้วยน้ำเสียงดัดคล้ายผู้หญิงแต่ก็ยังคงแพราะอยู่ดี



I need a boy to take it over~

(ฉันต้องการผู้ชายที่จะร่วมใช้ชีวิตด้วย~)

Looking for a guy to put in work…

(กำลังมองๆ หาผู้ชายที่จะทำให้มันน่าจดจำ…)

Oh, whoah, oh, oh~





ผมยิ้มขำ ตอนที่เดินเอื่อยๆ จนเริ่มไกลจากเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะของกลุ่มเด็กหนุ่มที่ถูกนักร้องหนุ่มร้องแซวด้วยเนื้อเพลง ผมค่อยๆ คลายยิ้มออกจากใบหน้า นึกๆ ตามเนื้อเพลงท่อนหลังก็รู้สึกมีคำถามในใจเหมือนกันแฮะ


นั่นสิ เขาจะกล้าไปเดินในเมืองกับเรารึเปล่านะ ไม่ต้องในเมืองหรอก แค่เดินตามปกติเนี่ยเขาจะเดินมั้ย ไม่ใช่เพราะผมเป็นผู้หญิงแบบไหน แต่เพราะผมเป็นผู้ชายต่างหากล่ะ


ผมผ่อนลมหายใจออกจมูกยาวๆ ราวกับปลดปล่อยความว้าวุ่นออกไปทางรูจมูกบ้างระหว่างที่กำลังรอรถไฟขบวนต่อไปที่ส่งเสียงล้อเสียดสีกับรางมาแต่ไกล











ตอนที่ผมเดินใกล้ถึงบ้านป้าแมร์รี่ก็เป็นบรรยากาศยามเย็นแบบที่พระอาทิตย์เริ่มสาดสีส้มไปเต็มท้องฟ้า ผืนน้ำส่องแสงระยิบระยับล้อกับแสงอาทิตย์ในตอนเย็น บรรยากาศยามเย็นแก่ๆ แบบนี้ พร้อมสายลมเอื่อยเฉื่อย เป็นอะไรที่ทำให้หายเหนื่อยกายเหนื่อยใจได้ดีทีเดียว น่าพาตัวเองไปเดินเล่น เอาความคิดมากมายที่วิ่งวนในหัวไปทิ้ง ทิ้งไปกับสายลม ให้มันพัดไปไกลๆ
ผมเดินทอดน่องไปถึงประตูรั้วหน้าบ้านแล้วดันประตูรั้วไม้เข้าไป ผมเงยหน้ามองไปที่หน้าบ้านก็เห็นว่าเอิร์ทกำลังถอดรองเท้าเตรียมตัวเดินเข้าบ้าน ผมยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นเขา ก่อนจะเดินช้าๆ เข้าไปหาอีกฝ่าย เอิร์ทคงจะรู้สึกได้ว่ามีคนเดินมา เขาเลยหันหลังกลับมามอง รอยยิ้มอ่อนๆ ปรากฏบนใบหน้าเขาเมื่อสบตากับผม


“เลิกงานนานแล้วเหรอ” ผมเอ่ยถามพลางมองชุดลำลองเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์สีน้ำเงินที่เขาใส่อยู่ เอิร์ทเดินลงขั้นบันไดมาหนึ่งขั้น มายืนใกล้ๆ ตรงหน้าผมก่อนจะตอบเสียงทุ้มหนักๆ


“ก็สักพักแล้วล่ะ แมทอ่ะ วันนี้กลับบ้านเร็วกว่าปกติมากนะ” เอิร์ทเอ่ยยิ้มๆ ผมยิ้มตอบกลับไปน้อยๆ ก่อนจะตอบ


“ซึ่งเป็นอะไรที่รู้สึกดีมาก ได้เลิกงานไว” ผมหัวเราะคิกคักเบาๆ แล้วเราสองคนก็ยิ้มขำๆ ให้กัน ผมหันหน้าไปมองวิวสะพานบรู๊คลินที่อยู่เฉียงไปจากบ้านในมุมที่กำลังสวยงาม มีแสงพระอาทิตย์พาดผ่าน และมีตึกสูงๆ ฝั่งแมนฮัทตันเป็นฉากหลังที่น่ามอง


“ไปเดินเล่นกันมั้ย” ผมหันกลับมาถามเอิร์ทด้วยรอยยิ้มตื่นเต้น รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมากับการที่จะได้เดินเล่มริมแม่น้ำฮัทสันในบรรยากาศยามเย็นแบบนี้


“เอาดิ เอิร์ทถือว่าแมทชวนออกเดตนะ” เอิร์ทยกยิ้มมุมปากแล้วหันไปหยิบรองเท้าผ้าใบมาใส่ ผมยิ้มกว้างตอบกลับไปอย่างขำขัน พอเอิร์ทใส่รองเท้าเสร็จก็เดินมาโอบไหล่ขวาผมไว้


“ไปกันเถอะที่รัก” ผมยิ้มขำแบบหน้าเอือมๆ ใส่เอิร์ท อีกฝ่ายยิ้มกว้างจนตาหวานกลับมาให้


“อยู่กับเอิร์ททีไรรู้สึกตัวเองหน้าตาดีทุกที”


“ก็ดีแล้วไง หน้าตาดีกับเอิร์ทคนเดียว เอิร์ทจะได้ชอบคนเดียว ไม่มีคนอื่นมาเกี่ยว”


บ๊ะ! ฮ็อตจริงยิ่งกว่าชะนีหลายๆ นาง ผู้ชายบอกว่าไอ้แมทคนนี้เป็นแค่ของเขาคนเดียวมาสองคนเลยนะเว้ยวันนี้อ่ะ


“ฮะๆ คึๆ” ผมอดจะหัวเราะไม่ได้ เมื่อนึกถึงที่ว่าวิคเตอร์ก็บอกกับผมแบบนี้เหมือนกันว่าผมเป็นเอเลี่ยนของเขาคนเดียว คือความหมายคล้ายๆ กัน แต่การพูดจาพาฟินนี่ต่างกันมาก ฝั่งอังกฤษพูดแบบมะนาวไม่มีน้ำ ส่วนฝั่งไทยเอาซะขนมหวานจืดไปเลย


“เฮ้ย… ตลกเหรอ ที่พูดนั่นตลกรึไง เพื่อนเล่นหรอแมท” เอิร์ทว่าแล้วเลื่อนมือขวาที่โอบไหล่ขวาผมไว้มาบีบที่ต้นคอ ผมหดคอหนีเหมือนเต่าเพราะรู้สึกจั๊กจี๋พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะคิกๆ คักๆ


“เอิร์ททท!”


“แมททท!” แล้วเราสองคนก็หัวเราะฮาๆ พร้อมกัน ผมพยายามปัดมือเอิร์ทออก เอิร์ทก็พยายามจะเอามือมาจับคอผมไว้ สุดท้ายผมก็ยอมให้เขาจับๆ บีบๆ ต้นคอผมไว้ แล้วปล่อยให้เขาพาผมเดินไปในท่าที่เขาบีบคอผมไว้แบบนี้


“ทำไมคอตันจัง” เอิร์ทว่าน้ำเสียงกลั้วหัวเราะตอนที่จับๆ บีบๆ เนื้อตรงคอ ผมหันไปมองค้อนแบบไม่จริงจัง


“ไม่ตันมะ” ผมว่าแล้วย่นจมูกใส่เขา เอิร์ทหัวเราะเสียงหนัก และก็ยังคงไม่ยอมปล่อยมือที่บีบหลังคอผมไว้ จนเดินมาได้สักพักเอิร์ทก็ส่งเสียงหัวเราะอีกครั้งเมื่อผมหันมาทำท่าจะกัดมือเขา เอิร์ทหยอกล้อกับคอผมอีกครู่หนึ่งแล้วค่อยปล่อยมือออก ก่อนจะเลื่อนมือมาโอบไหล่ผมไว้อีกรอบแล้วเราก็พากันเดินไปตามฟุตบาท จุดมุ่งหมายคือใต้สะพานบรู๊คลิน


เราเดินคุยเรื่องสัพเพเหระมาระหว่างทาง แอบนินทาฝรั่งคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย แต่ไม่ได้นินทาร้ายแรงหรือวิจารณ์ยับอะไร แค่นินทาช่วงจังหวะขำๆ ของฝรั่งบางคนเท่านั้นเอง ผมปลดปล่อยความรู้สึกที่มันหลากหลายไปกับสายลมและหวังว่าเสียงหัวเราะผมจะบำบัดให้ใจผมกลับมาสดชื่นได้อีกหลังจากที่ต้องห่อเหี่ยวเดียวดายในท้องเลมาสักพัก เอ่อ อันที่จริงมันก็ไม่ได้เหี่ยวขนาดนั้น คือมันสลับสับเปลี่ยนเวียนหมุนกันไปตามแต่อารมณ์ในแต่ล่ะวัน แต่สาเหตุอารมณ์เหล่านั้นน่าจะมาจากพ่อหนุ่มอังกฤษเสี้ยวละติน


“เอิร์ทเคยแอบชอบใครมั้ย” ผมถามในระหว่างที่เดินลงบันไดที่พาลงไปบริเวณลานสนามหญ้าสาธารณะใต้สะพานบรู๊คลิน พระอาทิตย์เริ่มสาดสีส้มหนักๆ บนท้องฟ้า


“ก็แมทไง แล้วก็ไม่ได้เคยนะ แต่ชอบอยู่” ผมรู้สึกพลาดมากที่ถามคำถามนี้กับเขา กลัวว่าจะพาเข้าโหมดดราม่าหรือเปล่า ผมเลยยิ้มยิงฟันแห้งๆ แล้วพยายามนึกหาเรื่องอื่นมาคุยแทน


“เออเนอะ ลืมไป เอ้ย ไม่ใช่ คือจะบอกว่า คือแมทไม่ได้จะให้เอิร์ทพูดอย่างนั้น…” ยิ่งพูดยิ่งงง ยิ่งเหมือนคนหลงตัวเองเข้าไปใหญ่ ผมยกมือเกาหัวแกรกๆ ทำหน้าตาไปไม่ถูกจนเอิร์ทยิ้มขำ ดึงมือขวาที่โอบไหล่ผมไว้ออก เลื่อนมือมาจับมือซ้ายผมไว้แทนในระหว่างที่เรากำลังเดินตัดสนามหญ้าเพื่อตรงไปที่สนามปูนที่มีม้านั่งให้นั่งติดริมแม่น้ำ


“อยู่กับเอิร์ท จะหลงตัวเองบ้างก็ได้ เพราะเอิร์ทก็หลงแมทอยู่”


“โอ้ยตาย… รู้สึกร้อนจัง” ผมว่าแล้วหัวเราะเสียงเพี้ยนขึ้นๆ ลงๆ ยกมือมาเกาแก้มด้วยความเงอะงะ เอิร์ทเห็นแล้วก็ยิ้มขำแล้วออกแรงดึงมือผมเดินไปที่ม้านั่งบนพื้นปูนที่อยู่ติดกับริมแม่น้ำ มองจากมุมนี้จะเห็นสะพานบรู๊คลินพาดเฉียงยาวๆ อยู่ฝั่งซ้ายมือ เห็นตั้งแต่ตีนสะพานฝั่งที่ผมอยู่ พาดไปถึงฝั่งแมนฮัทตันที่มีตึกสูงๆ และสำคัญๆ มากมาย หนึ่งในนั้นก็มีตึกเวิล์ดเทรดที่เพิ่งสร้างเสร็จมาแทนที่ตึกเกาที่โดนเครื่องบินชนไปเมื่อหลายสิบปีก่อน


“มีอะไรรึเปล่าถึงถามเอิร์ทแบบนั้น” เอิร์ทว่าแล้วนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว เสียงแม่น้ำกระทบฝั่งเบาๆ บวกกับบรรยากาศยามเย็นใกล้มืด และสายลมอ่อนที่พัดผ่าน ฟีลแบบนี้มันทำให้รู้สึกดีจริงๆ ผมหลับตาลงช้าๆ แล้วยิ้มรับกับสายลมในเวลายามใกล้ค่ำ ถอนหายใจช้าๆ หนึ่งทีแล้วลืมตาขึ้นมองภาพวิวตึกสูงไล่ระดับจากฝั่งแมนฮัทตันที่ตอนนี้เริ่มเปิดไฟกันแล้ว


“ไม่มีอะไรหรอก คือแมทอยากรู้ว่านอกจาก เอิ่ม… นอกจาก เนี่ย…” ผมชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ไม่กล้าเอ่ยปากออกมาเป็นชื่อตัวเอง รู้สึกเกรงใจเอิร์ทที่จะต้องพูดชื่อตัวเองออกไป


V
v
v

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 16-18:: 22.06.58
«ตอบ #79 เมื่อ22-06-2015 17:27:24 »


“นอกจากแมทเอิร์ทเคยแอบชอบใครมั้ยอ่ะหรอ” ผมอ้าปากหวอแว้บหนึ่งก่อนจะหุบปากลง แล้วทำแก้มป่องนิดๆ ด้วยความเขิน กระพริบตาปริบๆ มองเอิร์ท พยักหน้ารับก็ยังไม่กล้าทำเลย ผมกลัวว่ามันจะดูเป็นการมั่นหน้ามั่นใจจนน่าหมั่นไส้ แต่เอิร์ทกลับยิ้มหล่อๆ ก่อนจะว่าต่อ


“ถ้าผู้หญิงก็มีเรื่อยๆ แหละ แต่แอบชอบไม่นานหรอก” ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ หันไปมองเขาด้วยสีหน้าสอดรู้สอดเห็นสุดฤทธิ์


“ทำไมอ่ะ เอิร์ทขี้เบื่อหรอ” เอิร์ทยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพูดต่อ


“เปล่า ก็แอบชอบไม่นานก็เข้าไปจีบไง พอจีบแล้วทีนี้ก็ไม่ต้องแอบแล้วใช่มั้ยล่ะ” ผมอ้าปากนิดๆ แล้วพยักหน้ารับเชื่องช้าและทำความเข้าใจในประโยคของเขาไปด้วย


“แบบว่าออกจากที่ซ่อนไรงี้ใช่ปะ” เอิร์ทหัวเราะด้วยรอยยิ้มกว้างเหมือนว่าเขาขำจริงๆ ผมยิ้มแฉ่งตามเขา เอิร์ทเอื้อมมือมาหยิกแก้มขวาผมเบาๆ ราวกับเขามันเขี้ยว เขาบีบไว้แล้วดึงเล่นสลับหนักสลับเบา


“ประมาณนั้นแหละ” เขาว่าเสียงเข้ม ใช้น้ำเสียงเหมือนกำลังข่มใจไม่ให้หยิกแก้มผมแรงไปมากกว่านี้ เขาดึงมือออกแล้วเอาแขนซ้ายพาดไปกับพนักพิงของเก้าอี้


“แล้วเอิร์ทเคยชอบผู้ชายมั้ยอ่ะ” เขาส่ายหัวทันที ผมย่นคิ้วหน่อยๆ


“เคยคุยด้วยหลายคน แต่ยังไม่เคยชอบใครนะ…” ผมยิ้มแบบไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ กำลังงงๆ ว่า ละเอิร์ทมาชอบผมได้ไง


“คืองี้แมท เอิร์ทไม่ได้ปิดกั้นตัวเองจากผู้ชายที่เข้ามาคุยนะ ก็คุยได้ แต่ถามว่าชอบมั้ย ก็ไม่ชอบ คุยได้ แต่เอิร์ทไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับผู้ชายคนไหนเลย” เขาบอกราวกับรู้ว่าผมกำลังไม่เข้าใจเขาอยู่


“แต่กับแมทเป็นอะไรที่พิเศษ เอิร์ทก็ยังชอบผู้หญิงนะ แต่ก็ไม่ได้มองผู้ชายคนไหนพร่ำเพรื่ออ่ะ มองแค่แมทคนเดียวนั่นแหละ” ความร้อนค่อยๆ แผ่กระจายไปบนใบหน้า ผมได้แต่นั่งหน้านิ่ง กระพริบตาวิบๆ มองหน้าเอิร์ทด้วยความเขิน เอิร์ทยกยิ้มมุมปากกลับมาให้


“คือ… เอ่อ… เอิร์ทอาจจะเป็นไบเซ็กส์ชวล (bisexual) งี้ปะ” เอิร์ทเลิกคิ้วขึ้นแว้บหนึ่งก่อนจะตอบ


“ก็คงงั้นมั้ง ไอ้บาสก็เคยบอกเอิร์ทไว้ว่างั้น…” เขาว่าง่ายๆ ไม่มีแก้ตัวหรือเถียงอะไร ผมทำแก้มป่องแล้วพยักหน้าหงึกๆ เอิร์ทหันหน้ามามองผม มองด้วยสายตาคล้ายจะเป็นแววตาที่แน่วแน่ ก่อนจะบอกเสียงเรียบแต่ก็หนักแน่น


“แต่ถ้าเอิร์ทได้แมท ใครจะมองว่าเอิร์ทเป็นไร เอิร์ทก็ไม่สนใจหรอก” ผมนิ่งไป มองเอิร์ทด้วยความอึ้งบวกกับตื้นตันเล็กๆ ผสมความประทับใจหน่อยๆ ใจผมเต้นกระตุกวูบหนึ่งแล้วก็หายไป ไม่ได้เต้นตึกตักจนรู้สึกกลัวว่ามันจะเด้งออกมา เหมือนตอนอยู่กับวิคเตอร์


เฮ้อ…. คิดถึงเขาอีกแล้ว ป่านนี้เขาคงนั่งดินเนอร์กับแฟนเขาสองคนบนยอดตึกเวิล์ดเทรดแล้วล่ะ


ผมยิ้มอ่อนๆ ให้เอิร์ท ก่อนจะกระเถิบไปนั่งใกล้ๆ เขาแล้วเอนหัวซบไหล่ซ้ายเขาไว้ เอิร์ทโอบแขนซ้ายรอบไหล่ผมไว้ ถูมือซ้ายขึ้นลงที่หัวไหล่ผมเบาๆ ผมจ้องมองไปยังแม่น้ำฮัทสันผืนกว้างที่ตอนนี้เป็นสีส้มอมแดงของแสงอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว


“การแอบชอบใครสักคนนี่มันเหนื่อยเหมือนกันเนอะ” ผมเอ่ยเสียงแผ่วเบา ดวงตาเหม่อลอยมองไปที่คลื่นบนผิวแม่น้ำ


“ดีนะที่เอิร์ทออกมาชอบแมทแล้ว ไม่ได้แอบอีกต่อไป เลยไม่ค่อยเหนื่อย” ผมหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยลอยๆ


“ไม่เหนื่อยจริงเหรอเอิร์ท แมทเหมือนกั๊กเอิร์ทไว้กับตัวเองเลย” เอิร์ทเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วว่าเสียงทุ้ม


“มันเหนื่อยเพราะไม่รู้ว่าหนทางที่เราแอบชอบเขาจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ มันไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่าปลายทางของเราอยู่ตรงไหน” ผมพยักศีรษะที่เกยไหล่เขาไว้ขึ้นลงเบาๆ อย่างเห็นด้วยกับประโยคนั้น


“แถมระหว่างทางยังมีเรื่องให้เจ็บอีก”


“แต่ถ้าถึงปลายทางแล้วมันสมหวังมันก็คุ้มที่จะเดินไปนะ”


“ประเด็นคือเราไม่รู้ไงว่าเราจะสมหวังมั้ย ข้อสอบไฟนอลมันยากก็จริง แต่ถ้าเราอ่านหนังสือมันก็เจอคำตอบ แต่ไอ้แอบชอบแอบรักใครนี่มันไม่มีคำตอบจากหนังสือเล่มไหน กูเกิ้ลก็ยังตอบไม่ได้เลย” ผมได้ยินเสียงเอิร์ทหัวเราะเบาๆ ผมคลี่ยิ้มตามเสียงหัวเราะของเขา


“เหมือนจะคมนะ แต่ฟังดีๆ เอิร์ทว่าแม่งมั่วว่ะ” เอิร์ทหัวเราะ ผมขำพรืดแบบไร้เสียง มีแต่ลมพ่นออกจากรูจมูก


“หัวเราะไปเถอะ เดี๋ยวทฤษฏีนี้จะถูกจารึกเป็นประวัติศาสตร์ของโลกแน่นอน”


“เอิร์ทก็แปลกว่าโลก งั้นบันทึกลงกลางใจเอิร์ทเลยก็ได้มา แต่ขอบันทึกตอนที่เอิร์ทกับแมทรักกันเท่านั้นนะ” โอยยย! หยอดเก่งแท้ๆ พ่อคุณ หยอดแบบนี้อยากจะขอพรพระเดชพระคุณให้คุ้มครองใจกันเลยทีเดียว


“ปากหวานขนาดนี้ บ่งบอกดีกรีความเจ้าชู้ได้เลยนะเนี่ย” ผมแกล้งแซวเขา เอิร์ทหัวเราะในลำคอหึๆ


“อยากขึ้นชื่อว่าปราบคนเจ้าชู้อยู่หมัดเปล่า คบกับเอิร์ทดิ แมทเป็นที่กล่าวขวัญแน่นอน” ผมยิ้มกว้าง ทั้งขำ ทั้งเขิน หัวเราะจนอกกระเพื่อมเบาๆ ตอนนี้บรรยากาศมืดแล้ว ริมแม่น้ำเปิดไฟสีขาวไปทั่วบริเวณ เพื่อให้ความสว่างในยามค่ำคืน ผมยกหัวขึ้นจากไหล่เขา แล้วหันไปมองเอิร์ทที่กำลังยิ้มน้อยๆ แต่เท่กินใจสาวๆ อยู่ข้างๆ


“หลอกให้เขาคบด้วยนี่หว่า กิ๊วๆ” ผมแกล้งเอานิ้วชี้จิ้มไหล่เขาสองสามทีเบาๆ เอิร์ทมองกลับมา แล้วรอยยิ้มเขาก็ค่อยๆ จางลง แววตาก็ดูจริงจังมากขึ้น


“จะตอบตกลงได้รึยังล่ะแมท” ผมหยุดจิ้มไหล่หนาๆ ของเขา แล้วค่อยๆ ดึงมือออก มองหน้าเขานิดหนึ่งก่อนจะยิ้มน้อยๆ แล้วตอบคำถามเขา


“แมทไม่อยากให้เราสองคนเป็นแฟนกันเลย แมทชอบที่ได้อยู่กับเอิร์ทแบบนี้”


“เอิร์ทก็ชอบ แต่เอิร์ทอยากเป็นมากกว่านี้” เขาตอบกลับมา ท่าทีจริงจังแต่ไม่ขึงขังจนน่ากลัว


“แมทขอโทษนะที่เห็นแก่ตัว คือ… ชอบที่อยู่กับเอิร์ทแบบนี้ แต่ไม่ตกลงคบกับเอิร์ท แมทไม่ได้จะทำตัว แบบว่า… สวยเลือกได้อะไรทำนองนั้นนะ แต่แมทแค่อยากให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนมันยาวไปแบบนี้เรื่อยๆ ถ้าคบกัน มันอาจจะไม่เวิร์คก็ได้” เอิร์ทมองกลับมานิ่งๆ คิ้วเขาย่นคิ้วน้อยๆ ผมยิ้มนิดๆ รู้สึกเศร้าใจลึกๆ ผมเศร้าเพราะผมเข้าใจเขาดีว่าการที่ถูกคนที่เราชอบพูดแบบนี้ มันไม่ได้รู้สึกดีนักหรอก


“พูดแบบนี้นี่ เอิร์ทกำลังจะอกหักปะวะแมท”


“โอยยย ไม่อกหักหรอกเอิร์ท ตอนนี้ระหว่างเราสองคนมันยังไม่ได้ไปไหนไกล มันยังไม่ถึงขั้นอกหักรักคุดตุ๊ดเมินหรอกนะ” ผมยิ้ม เอิร์ทยิ้มมุมปากตอบกลับมา เอิร์ทหันไปมองที่ผืนน้ำสีดำที่มีแสงไฟระยิบระยับเป็นเงาสะท้อน ก่อนจะหันกลับมามองผมด้วยสายตาเป็นคำถาม


“แมทกำลังแอบชอบใครอยู่ใช่มั้ย” ผมนิ่งไปนิด เกือบจะกลายเป็นชะงักค้างไป แต่ก็รีบคว้าสติไว้กับตัวไม่ให้เบลอเผลอตอบอะไรไปเรื่อยเปื่อย


“เปล่า แมทแค่นึกถึงอดีตตัวเอง แบบว่า… ตอนนั้นที่แมทแอบชอบใครคนนึง แล้วมันเหนื่อยมาก และสุดท้ายปลายทางที่แมทเดินไปถึงกลายเป็นว่ามันไม่คุ้มที่เสียเวลาเดินมาเลย” ผมอ้าง อ้างไปเรื่อย ทั้งๆ ที่ตอนนี้ผมรู้ตัวแล้วว่า ไอ้อดีตที่ผ่านมานั้น มันไม่ได้ส่งผลในด้านเสียใจให้ผมอีกต่อไป ที่เหลือไว้ก็คงเป็นรอยช้ำๆ ในใจ กับปมด้านความรู้สึกทางใจเวลาที่จะรักจะชอบใคร มันทำให้ผมรู้สึกกลัวว่าความรักของผมนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะผมเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง ไม่มีวันที่จะได้ครองรักกับผู้ชายคนไหนหรอก


“ถ้าเป็นแค่อดีตก็แล้วไป แต่ถ้าปัจจุบันแมทมีใคร รีบบอกเอิร์ทนะ เอิร์ทจะได้โทรจองคิวเข้าเฝือกที่อกกับทางโรงพยาบาล” เอิร์ทว่าอย่างติดตลกจนผมหัวเราะเบาๆ


“เอิร์ทอย่าปิดกั้นโอกาสแบบที่แมทเคยทำเลยนะ มันไม่ดีหรอก เอิร์ทเลือกได้ เลือกได้เยอะด้วย ใช้โอกาสนั้นให้คุ้มเถอะ” เอิร์ทขบกรามแน่น ก่อนจะว่าเสียงห้วน


“แต่ตอนนี้เอิร์ทเลือกแมท คือตอนนี้เอิร์ทแม่งไม่อยากเลือกใครละไง อีกอย่างแมทไม่ใช่ตัวเลือกเว่ย” เอิร์ทเหมือนจะมีอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าเขาเครียดขึง แววตาวาววับตอนที่พูดประโยคนั้น ผมมองเอิร์ทแล้วใจเต้นตึกๆ กับอารมณ์ของเขาในตอนนี้ เอิร์ทจ้องหน้าผมกลับอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็พุ่งเข้ามาจูบปากผมอย่างรวดเร็ว


ผมสะดุ้งตกใจนิดหน่อยเลยจะผงะหน้าถอยหนี แต่เอิร์ทใช้มือขวามาดันด้านหลังหัวผมไว้ แล้วกดริมฝีปากลงบนริมฝีปากผมหนักๆ แต่ไม่ได้รุนแรงอะไร และเขาก็ไม่ได้ล่วงล้ำไปมากกว่านั้น เพียงแค่กดริมฝีปากแนบแน่นไว้อย่างนั้น ผมปล่อยให้จูบที่สองของเราเกิดขึ้นอย่างนิ่งๆ อยู่สักพัก แล้วเอิร์ทก็ผละริมฝีปากเขาออก


ผมสบตาเขานิ่งๆ เอิร์ทมองกลับมาอย่างจริงใจราวกับจะบอกว่าเขาจริงจังกับจูบเมื่อกี้ แต่จากลักษณะการจูบที่กดมาแน่นขนาดนั้นผมก็พอจะรับรู้ว่าเขาจริงจังกับจูบนั้นแค่ไหน และผมก็รู้ว่า ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจผมนอกเหนือจากอาการใจเต้นตึกตักเบาๆ ความรู้สึกที่…


“เอิร์ทขอโทษ แต่อดใจไม่ไหวว่ะ…” ผมยิ้มมุมปากนิดๆ เอิร์ทถอนหายใจหนักๆ แล้วดึงมือออกจากหัวผม


“แมทน่ารักจนอดใจไม่ไหวขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมแกล้งแซวเขายิ้มๆ เอิร์ทขบกรามเบาๆ ยิ้มเฝื่อนๆ ก่อนจะตอบ


“จับกดตรงนี้ได้แม่งจับกดไปแล้ว”


“หืมมม? ตรงนี้พื้นแข็งนะ บนเตียงดีกว่ามั้ย”


“พูดงี้กลับบ้านเลยดีกว่าป่ะ” เขาเอื้อมมือซ้ายมาจับมือขวาผมแล้วยืดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผมยิ้มกว้างด้วยความขำแล้วลุกขึ้นยืนตาม


“กว่าจะถึงบ้านจะอดใจไหวหรอพี่เอิร์ททท” ผมแกล้งยิ้มหวาน กระพริบตาถี่ๆ ใส่เขา เอิร์ทยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวใสเรียงตัวสวย มือที่จับมือผมอยู่กระชับรอบข้อมือแน่นขึ้น


“เดี๋ยวก่อนๆ เดี๋ยวจะใส่ไม่ยั้งเลย” ผมหัวเราะเสียงดัง แล้วเดินตามแรงลากของเอิร์ทไป


ความรู้สึกในใจที่เกิดขึ้นตอนเขาจูบ… มันช่างแตกต่าง… ผมไม่แน่ใจว่าใช่มั้ย แต่คิดว่าน่าจะใช่… ความรู้สึกนั้น…
ผมรีบสลัดความรู้สึกเปรียบเทียบที่เกิดขึ้นในหัวออกไป แล้วพยายามข่มใจไม่ให้เต้นรุนแรงแบบนี้…


 :hao3:

[ตอนต่อไปที่ด้านล่างค่ะ]



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 16-18:: 22.06.58
« ตอบ #79 เมื่อ: 22-06-2015 17:27:24 »





ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 16-18:: 22.06.58
«ตอบ #80 เมื่อ22-06-2015 17:34:51 »


CHAPTER 18 :: Tiny hurt


ผมเดินมาตามฟุตบาทที่คุ้นเคย ผ่านทาวน์เฮ้าส์สีขาวสลับสีน้ำตาลหรือสีใดๆ ที่เจ้าของบ้านพึงพอใจจะทำ จะทา อันคุ้นตาในบรรยากาศยามเช้าตรู่ของมหานครนิวยอร์คที่แสงอาทิตย์สีส้มสว่างไสวสาดไปทั่วท้องฟ้าสีฟ้าในช่วงสปริง ในมือขวาถือแก้วกาแฟสตาร์บัคของวิคเตอร์ที่ช่วงนี้เขาไม่ค่อยดื่ม เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ติดกาแฟหรอก แต่ที่สั่งๆ มาครั้งก่อนๆ คือเขาแค่อยากแกล้งหาอะไรให้ผมทำเท่านั้นแหละ แต่พอดีเมื่อคืนนี้เขาว้อทแอพมาบอกว่าอยากดื่มกาแฟร้อนๆ ยามเช้า ผมก็เลยแวะซื้อมาให้ตามที่เขาสั่ง


ผมเดินมาหยุดตรงตีนบันไดหน้าบ้านเขาแล้วก็ถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานแล้วก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่า วันนี้คือวันนี้ไม่ใช่เมื่อวาน ฉะนั้นมันผ่านมาแล้ว ความสุขที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็เก็บไว้ในใจ เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำดีๆ แล้ววันนี้ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ในการทำงานระหว่างผมกับวิคเตอร์ก็แล้วกัน คิดว่าเขาคงไม่ใจจืดใจดำทำกับผมแบบที่ผ่านๆ มาอีกแล้วมั้ง นี่ผมกำลังหวังอะไรมากเกินไปรึเปล่าเนี่ย


ผมส่ายหัวไปมากับตัวเองแล้วเดินขึ้นบันไดไป หยิบกุญแจออกมาไขประตูบ้านด้วยความคุ้นเคย แต่พอไขเข้าไปผมก็ต้องชะงักและรู้สึกใจกระตุกวูบกับภาพตรงหน้าที่เห็น


นาตาชาโอบรอบคอวิคเตอร์แล้วรั้งคอเขาให้ลงมาจูบกับเธอ วิคเตอร์เองก็โอบรอบเอวเธอไว้ แล้วตอบรับจูบของแฟนสาวเป็นอย่างดี ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นธาตุอากาศ เป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในบ้านหลังนี้ ผมเม้มปากเบาๆ เพราะรู้สึกว่าปากกำลังแห้ง หัวใจผมเต้นตุบๆ เต้นแบบเน้นจังหวะหนักหน่วง ใช่ มันหน่วง และรู้สึกกลวงโบ๋


ในจังหวะที่ผมกำลังหันรีหันขวางว่าจะเอายังไงดี นาตาชาก็เหลือบสายตามามองผมแล้วก็ดันวิคเตอร์ออกด้วยอาการตกใจเล็กๆ


“Oh—sorry. (อุ๊ย ขอโทษทีนะ)” เธอส่งยิ้มแหยๆ มาให้ผม ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ กลับไป พอหันไปมองวิคเตอร์ เขากำลังมองกลับมาด้วยสายตานิ่งปกติ ผมยิ้มให้เขาแบบฝืดๆ มองซ้ายมองขวาแล้วเอาแก้วกาแฟไปวางไว้ที่โต๊ะทรงกลมข้างๆ ประตูที่วางแจกันดอกไม้เอาไว้ ก่อนจะหันกลับไปมองทั้งสองคน


“ขอโทษทีนะครับที่เข้ามาขัดจังหวะ ผมไม่คิดว่าคุณจะอยู่ตรงนี้กัน ขอโทษด้วยที่เสียมารยาทเข้ามาโดยไม่กดออด…” พูดไปเสียงก็เริ่มสั่นๆ ปลายประโยคจนผมต้องหยุดพูด รู้สึกว่าใจโดนบีบรัดจนรู้สึกอึดอัด ยิ่งเห็นสายตาที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตาของวิคเตอร์ ผมก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด


“บางทีผมควรจะให้คุณสองคนได้คุยกันก่อน ผมขอตัวออกไปรอด้านนอกนะครับ ถ้าจะเรียกใช้อะไรผม คุณโทรตามก็แล้วกันนะครับคุณเรย์มอนด์” ผมหันไปบอกวิคเตอร์ที่ปล่อยมือออกจากเอวนาตาชาแล้ว ผมเตรียมจะหมุนตัวเดินออกไปทางประตู แต่นาตาชาก็เอ่ยเรียกไว้ก่อน


“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันก็จะออกไปข้างนอกแล้วล่ะ” เธอบอกพร้อมรอยยิ้มกริ่ม ผมยืนนิ่งอยู่ที่เดิมพร้อมความรู้สึกอึดอัด กระอักกระอ่วนในใจจนคล้ายว่าอยากจะร้องไห้ออกมา ผมกระพริบตาถี่ๆ เพราะรู้สึกว่าที่ขอบตาเริ่มมีน้ำตาคลอๆ ผมเบี่ยงหน้าหนีภาพที่เขาสองคนคลอเคลียกัน รู้สึกแย่จนอยากจะออกไปจากทีนี่


ภาพเมื่อวานนี้แทบมะลายหายสิ้นไปจากความทรงจำผม


“แล้วเจอกันนะคะ” นาตาชาบอกแล้วเดินผ่านผมออกประตูบ้านไป เหลือเพียงผมกับวิคเตอร์ เจ้าไมเคิลคงออกไปวิ่งเล่นตามปกติของมัน ผมตั้งสติที่เบลอๆ แล้วดันประตูบ้านให้ปิดสนิท ก่อนจะเดินก้มหน้าก้มตาผ่านวิคเตอร์ไปที่ห้องครัว เปิดตู้เย็นแล้วพยายามมองหาอะไรก็ได้ที่จะทำอาหารเช้าให้เขาทาน


ผมใช้มือควานๆ หาของในตู้เย็นไปเรื่อย พยายามคุมให้มันนิ่ง มันสั่นตั้งแต่เห็นภาพที่เขาจูบกันตอนที่ผมเปิดประตูเข้ามาแล้ว แต่ผมก็พยายามทำตัวนิ่งแม้จะนิ่งได้ยากก็ตาม ผมหลับตาลงวูบหนึ่งเพื่อให้ตัวเองรู้สึกสงบลงบ้าง ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วมองหาอาหารไปเรื่อย แต่สุดท้ายผมก็พ่ายให้กับอาการใจสั่นของตัวเอง ผมหันกลับไปเพื่อจะถามเขาว่าอยากกินอะไร เพราะตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออกแล้ว


“วันนี้คุณอยากทานอะไรครับ” ผมถามเขาที่ยังยืนอยู่ที่เดิม และมองมาที่ผมด้วยสายตานิ่งๆ เหมือนเดิม
สายตาที่ออดอ้อนและอ่อนโยนของเขาเมื่อวานนี้ ไม่มีให้ผมอีกแล้วล่ะ ก็อย่างที่ผมคิด ก็แค่วันเดียว ก็แค่ความรู้สึกผิดเท่านั้น เขาทำไปเพราะแค่ต้องการทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นกับเขาเท่านั้นล่ะ


“อย่างที่ฉันชอบก็แล้วกัน” ผมพยักหน้ารับเร็วๆ แล้วหันหน้าหนีกลับ เอื้อมมือไปหยิบไข่ออกมาสองฟอง และควานหากุ้งออกมาล้างเพื่อที่จะทำข้าวไข่เจียวกุ้งให้เขาทานอย่างที่เขาชอบ


ผมหยิบกุ้งออกมาแกะเปลือกแล้วล้างให้สะอาดด้วยสติอันไปๆ มาๆ ในหัว ผมขมวดคิ้วใส่ตัวเองกับความงี่เง่าบ้าบอที่กำลังเป็นอยู่ ไม่รู้มันจะเป็นห่าอะไรนัก ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นใคร ไอ้ที่เขาทำไปก็เพราะความรู้สึกผิดตามปกติของมนุษย์ทั่วไป พอขอโทษแล้ว ง้อแล้ว มันก็ต้องกลับมาเป็นแบบเดิมไง ผมจะเอาอะไรไปมากกว่านั้นอีก


“คุณไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะครับ” ผมหันไปบอกเขาหลังจากเหลือบไปมองเห็นว่าเขายังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน


“เรียบร้อยแล้ว” เขาบอกเสียงหนัก ผมพยักหน้ารับรู้ทั้งที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่


แล้วผมก็เงียบตลอดการทำอาหารเช้าให้เขาทาน บรรยากาศอบอวลไปด้วยความเงียบ ผมไม่พูด เขาก็ไม่พูด ความอึดอัดที่ผมมีก็ยังคงบีบใจผมไปเรื่อย ผมรู้สึกแน่นในใจไปหมด แน่นจนรู้สึกว่าอยากหาทางระบายมันออกมา และน้ำตาก็คงเป็นทางออกที่ดี เพราะมันคอยแต่จะมาคลอๆ ที่ขอบตาอยู่เรื่อย ผมก็กระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่มันออกไป ผมยืนหันหลังให้เขาอยู่แบบนั้นโดยที่ไม่หันไปมอง จนกระทั่งผมทำเสร็จผมก็หันไปมองเขาที่ยังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน


“เสร็จแล้วครับ” ผมวางจานข้าวและจานอาหารพร้อมซอสพริกไว้บนโต๊ะ วิคเตอร์เดินเข้ามาสีหน้าเรียบเฉยแล้วนั่งลงบนเก้ากี้ทรงสูง ผมส่งยิ้มให้เขานิดๆ แล้วก้าวเท้าเดินห่างจากโต๊ะ


“เดี๋ยว จะไปไหน” ผมหันไปมองเขาหน้าเหลอหลาก่อนจะตอบ


“จะออกไปหาอะไรทานครับ เดี๋ยวผมรีบกลับมานะ”


“แล้วทำไมไม่กินกับฉัน” เขาถามหน้าตึง เสียงแข็ง ผมเม้มปากก่อนจะตอบสีหน้าเนือยๆ


“ไม่เป็นไรครับ ผมไปหา…” ผมหยุดพูดไว้แค่นั้น เมื่อเขาเดินหน้าตาดุดันเข้ามาหาผม ก่อนจะดึงข้อมือผมไว้อย่างแรงจนตัวผมจะปลิว เขาพาผมเดินกลับไปที่โต๊ะ เลื่อนเก้าอี้อีกตัวให้ไปอยู่ใกล้ๆ กับเก้าอี้ที่เขานั่ง


“กิน แล้วอย่ามาดื้อกับฉันนะ” เขาขู่ทันทีที่เห็นผมมีท่าทีไม่เต็มใจอยากจะนั่งทานข้าวกับเขา วิคเตอร์เลื่อนจานอาหารและจานข้าวมาใกล้ๆ เราสองคน เขาเดินไปหยิบช้อนมาเพิ่มอีกอันแล้วกลับมานั่งข้างๆ ผม นี่ขนาดนั่งอยู่ ผมก็ยังเตี้ยกว่าเขาเลย


“ผมไม่อยากกินกับคุณ” ผมบอกเสียงเรียบตามที่ผมรู้สึกตอนนี้ วิคเตอร์หันมามองผมด้วยแววตาขวางๆ ผมมองเขากลับไปอย่างสงบ


“Why? (ทำไม)” เขาถามเสียงกระด้าง ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบเสียงเฉื่อย


“ไม่อยากก็คือเหตุผลแล้วครับ”


“งั้นฉันก็ไม่กิน” ผมย่นคิ้วนิดๆ มองหน้าเขาอย่างนึกหงุดหงิดเล็กๆ


“คุณต้องกินนะ วันนี้คุณมีคุยงาน”


“ไม่กิน” เขาตอบหน้านิ่ง แววตาฉายชัดความรั้น และตอบด้วยความเอาแต่ใจเช่นเคย เห็นแบบนั้นผมก็ต้องปรับท่าทีให้อ่อนลงและบอกเขาเสียงตะล่อมยอมให้เขากินข้าว


“กินเถอะครับ คุณต้องทานอาหารเช้านะ”


“นายก็เหมือนกัน” ผมขยุ้มริมฝีปากตัวเองเบาๆ ถอนหายใจแผ่วๆ แล้วยอมหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าว ตักไข่เจียวเข้าปากไปหนึ่งคำจากนั้นก็วางช้อนลงที่เดิม เคี้ยวข้าวในปากจนหมดแล้วหันไปบอกวิคเตอร์ที่กระพริบตามองผมงงๆ


“ผมทานแล้ว” แววตาเขานิ่งสนิท แต่ก็มีแววของความหงุดหงิดให้เห็น วิคเตอร์ตักไข่ ตักข้าวเข้าปากหนึ่งคำแล้ววางช้อนลง ก่อนจะเคี้ยวในปากจนหมด แล้วก็นั่งมองหน้าผมนิ่งๆ ต่อ ผมขมวดคิ้วมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ เขายักคิ้วกวนๆ ก่อนจะตอบ


“ฉันก็กินแล้วไง”


“ก็กินอีกสิครับ กินแค่นั้นมันจะไปอิ่มอะไร”


“ใช่ กินแค่นั้นมันจะไปอิ่มอะไร” ผมค้อนสายตาใส่เขา รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังประชด วิคเตอร์ยิ้มมุมปากทั้งสองข้างกวนๆ ผมทำหน้าเอือมระอา ก่อนจะตักข้าวเข้าปากอีกหนึ่งคำ พอเห็นผมตักเข้าปากอีกคำ เขาก็ทำตามตักกินอีกคำ แล้วพอผมทำท่าจะไม่กินต่อ เขาก็จะทำท่าไม่กินต่อเช่นกัน สุดท้ายผมก็ต้องกินข้าวกับเขาจนหมดเพราะผมกลัวเขากินไม่อิ่ม ปกติผมจะตักข้าวให้เขาเยอะอยู่แล้ว เพราะเขาเป็นฝรั่งที่ตัวใหญ่และใช้พลังงานเยอะ จะกินหมดหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่อง แต่ส่วนใหญ่เขาก็จะกินหมดนะ น้อยครั้งที่จะกินเหลือทิ้งเหลือขว้าง แต่วันนี้ข้าวสักเม็ด เนื้อไข่สักชิ้นก็ไม่มีเหลือเพราะผมมาแชร์อาหารมื้อนี้ร่วมกับเขา


“Happy? (พอใจมั้ยครับ)” ผมถามเขาด้วยความประชด วิคเตอร์ยิ้มแฉ่งจนร่องแก้มคล้ายลักยิ้มขึ้นชัดเจน ก่อนจะตอบเสียงระรื่นชื่นมื่น


“Very. (ที่สุดละ)” ผมไม่ตอบอะไร ลุกขึ้นยืนแล้วเก็บจานสีขาวทั้งสองใบไปล้าง ระหว่างล้างจานผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าทิ้งกาแฟเขาไว้ที่โต๊ะข้างประตู


“กาแฟคุณคงเย็นหมดแล้ว เดี๋ยวผมไปซื้อให้ใหม่ก็แล้วกันนะครับ” ผมว่าในขณะที่กำลังคว่ำจานใบแรกลงบนตะแกรงเหล็ก และหยิบใบที่สองขึ้นมาล้าง


ความรู้สึกรัดแน่นของวงแขนอันคุ้นเคยที่รอบเอวทำให้ผมชะงักมือที่กำลังล้างจานอยู่ ผมนี่แทบหุบพุงไม่ทัน เพิ่งกินข้าวอิ่มๆ มาแบบนี้พุงกำลังป่องได้ที่เลย


“คุณเรย์มอนด์ ปล่อยก่อน…” ผมบอกเขาเสียงแผ่ว แต่นี่คือใคร นี่คือวิคเตอร์ ยิ่งห้ามก็กลายเป็นว่ายิ่งยุ เขากระชับวงแขนรอบเอวผมแน่นขึ้นราวกับจะเป็นการเตือนว่าอย่าห้ามเขา ผมนึกโมโหอยู่ในใจที่เขาทำแบบนี้กับผมลับหลังที่นาตาชาออกไปแล้ว ผมเลยรีบล้างจานใบสุดท้าย แล้วคว่ำลงบนตะแกรงเหล็ก ก่อนจะจับแขนเขาทั้งสองข้างแล้วดึงออกจากเอวตัวเอง หันไปมองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ อีกฝ่ายทำหน้าเครียดเขม็ง


“ขอโทษทีครับ เผื่อคุณจะลืมไปว่าผมไม่ได้ชื่อนาตาชาคนที่คุณเพิ่งจูบด้วยเมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา” ผมว่านิ่งๆ แล้วดันร่างหนาๆ ของเขาออกห่างจากตัวเอง ผมเดินเบี่ยงตัวหนีเขาไปหยิบขวดซอสพริกที่โต๊ะมาเก็บไว้ที่ชั้นวางเครื่องปรุง ภายนอกผมทำนิ่ง แต่ในใจเต้นระรัวด้วยความร้อนรุ่มในอก


“อย่าเป็นแบบนี้สิ…” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว แต่แอบมีแววเครียดในน้ำเสียงนั้น ผมหันกลับไปมองเขาด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง อีกฝ่ายมองกลับมาด้วยแววตาและสีหน้าเหนื่อยๆ


“คุณบอกตัวเองเถอะว่าอย่าเป็นแบบนี้ และอย่าทำแบบนี้ ไม่ว่าจะกับใครทั้งนั้น อย่าทำ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ” ผมบอกเสียงหนัก พยายามพูดเสียงปกติไม่ให้มันสั่นไหวเหมือนกับดวงตาผมที่ตอนนี้คงแสดงความอ่อนไหวออกไปแล้ว วิคเตอร์มองมาที่ผมไม่ละสายตาไปไหน ผมมองกลับไปนิ่งๆ ไม่ได้ฟึดฟัดอะไรใส่เขา หรือใช้ดวงตาเกรี้ยวกราดมองเขาแต่อย่างใด


“เมื่อวานนายยัง…”


“…ผมขอโทษด้วยครับที่ทำแบบนั้น ผมว่าแต่คุณ แต่ผมเองก็ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำเหมือนกัน ฉะนั้นเราอย่าทำอะไรแบบที่เราทำเมื่อวานเลยนะครับ”


“ทำไมล่ะ เราเป็นผู้ชายเหมือนกัน มันไม่เป็นไรหรอก” ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจวูบหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มอ่อนๆ แล้วตอบเสียงเบาหวิว


“มันไม่เกี่ยวกับว่าเป็นเพศอะไรหรอกครับ มันเป็นเรื่องทีว่า คุณมีแฟนแล้ว แล้วสิ่งที่คุณทำกับผมมันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายดีๆ ที่มีแฟนแล้วเขาทำกัน”


“ทำไมนายชอบคิดอะไรมากมายให้มันปวดหัวด้วยเนี่ย” เขาบอกอย่างเซ็งๆ เซ็งทั้งสีหน้าและน้ำเสียงที่เปล่งออกมา ผมแค่นยิ้มก่อนจะว่า


“ผมดันเป็นคนคิดมาก แถมยังเป็นผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกันซะด้วยสิ” หวังว่าเขาจะพอเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดออกไปบ้างนะผมหัวเราะน้อยๆ และไม่ได้เสแสร้งหัวเราะด้วย พอพูดออกไปแล้วมันดันหัวเราะเสียงแปร่งออกมาซะงั้น แต่มันเป็นการหัวเราะคล้ายจะสมเพชตัวเองที่แอบหลงระเริงไปกับความรู้สึกเมื่อวานนี้ คิดเข้าข้างตัวเองในแง่ดีเกินไป แม้จะบอกใจว่าไม่มีอะไร แต่เอาจริงๆ ใจผมมันมีอะไรไปกับการกระทำทั้งหลายของเขา แต่พอเมื่อกี้นี้ คำพูดที่เขาพูดออกมานั้นทำให้ใจผมที่เบิกบานกับเรื่องเมื่อวานถึงกับหุบเหี่ยวลงแทบจะทันที เหี่ยวยิ่งกว่าตอนเจอภาพที่เขาจูบกับนาตาชาซะอีก


ฮะๆๆ นั่นสิผมจะคิดอะไรมาก ขนาดเขายังไม่คิดอะไรมากเลย


เขาเดินมาใกล้ผมแล้วทำท่าจะเอื้อมมือมาจับตัวผม ผมยิ้มนิดๆ แล้วดันมือเขาออกเบาๆ วิคเตอร์นิ่งไป ก่อนจะขบกรามแน่น เขายกมือเสยผมด้วยสีหน้าหงุดหงิด


“ไปทำงานเถอะครับ เดี๋ยวจะสาย” ผมตัดบทแค่นั้น แล้วเดินผ่านเขาไปที่หน้าประตู เปิดประตูบ้านออกก็เป็นจังหวะที่เจ้าไมเคิลกับเจ้าฟอกซ์กลับมาพอดี


“Hi, are you guys hungry? (ว่าไง พวกแกหิวมั้ย)” ผมลูบหัวเจ้าไมเคิลที่ส่ายหางเป็นพวงของมันไปมา เจ้าฟอกซ์เดินมาคลอเคลียที่ข้อเท้าผม จนผมต้องยิ้มไปกับอาการอ้อนของมัน


“เดี๋ยวฉันเอาอาหารให้กินนะ” ผมเดินนำพวกมันมา สบตากับวิคเตอร์ที่มองผมด้วยสายตาหงุดหงิด ผมหลบสายตาของเขาแล้วเดินไปหยิบอาหารของเจ้าสองพี่น้องมาเทให้พวกมันกิน เจ้าสองตัวไม่อิดออดรีรออะไร พุ่งตัวเข้าใส่ถาดอาหารของตัวเองกันทันที


“ทีกับหมากับแมวนายยิ้มหน้าบานเชียวนะ” ผมขยุ้มปากตัวเองเบาๆ แล้วเงยหน้ามองเขาด้วยความงงนิดๆ


“ก็มันไม่ได้ทำอะไรให้ผมต้องหน้าบึ้งใส่มันนี่ครับ” ผมตอบแบบซื่อๆ แล้วลูบหัวเจ้าฟอกซ์ที่นั่งกินอาหารบนโต๊ะหินอ่อนเบาๆ


“แล้วฉันทำอะไร ทำไมถึงต้องมาหน้าบึ้งตึงใส่ฉัน” ผมหันไปย่นคิ้วใส่เขา แล้วถามด้วยความเอ๋อแดก


“ผมบึ้งตึงใส่คุณตอนไหน ผมก็ทำหน้าตาปกติ”


“ไม่ปกติ นายยังไม่ยิ้มให้ฉันเลยนะ” เขาบอกเสียงฟึดฟัด ท่าทีฮึดฮัดแสดงออกชัดว่าไม่พอใจ


“ผมก็ยิ้มให้คุณตอนที่ผมเปิดประตูเข้ามาแล้วนั่นไง”


“ไม่เอา ยิ้มแค่นั้นฉันไม่นับว่าเป็นยิ้ม” เขาบอกอย่างดื้อดึง ส่วนผมก็ได้แต่กลอกตาด้วยความเอือมกับนิสัยของเขา ไอ้บ้านี่มันจะเอายิ้มผมไปทำอะไร เห็นแล้วจะขี้คล่องรึไง


“อยากได้ยิ้ม ก็ไปขอคุณนาตาชาสิ อ้อ! เมื่อเช้านี้เธอก็ให้คุณยิ่งกว่ายิ้มอีก” ผมบอกด้วยความหงุดหงิด งุ่นง่านใจ พยายามไม่นึกหงุดหงิดแล้วนะ ไอ้ยักษ์มันยังจะชวนย้อนกลับไปคิดภาพนั้นอีก


“มันไม่เหมือนกัน!” เขาบอกเสียงดัง หน้าตาดุดัน ผมขมวดคิ้วหนักขึ้น มองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ แล้วเสียงดังกลับไปไม่แพ้กัน


“คุณจะมาวุ่นวายอะไรกับผมนักเนี่ย ผมจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม เทพีเสรีภาพก็ไม่ได้ชูแขนสูงไปกว่าที่เป็นอยู่หรอก!” วิคเตอร์จ้องตาดุกลับมาแล้วขบกรามแน่น ก่อนจะตะเบ็งเสียงดัง


“เออ! งั้นวันนี้นายอย่ายิ้มนะ ห้ามยิ้ม ห้ามขำ ห้ามหัวเราะ และนี่เป็นคำสั่ง ต้องทำตามด้วย!” เขาบอกอย่างคนที่มีอำนาจเหนือกว่าผม ผมอ้าปากหวอ รู้สึกทึ่งกับคำสั่งลูกผีลูกคนของเขาอีกแล้ว


“นี่คุณไปล้มหัวฟาดพื้นที่ไหนมาเนี่ยถึงได้สั่งคำสั่งเพี้ยนๆ พวกนี้ออกมา”


“เออ! ฉันหัวฟาดพื้นมา แล้วถ้านายขัดคำสั่งฉัน ฉันจะเอาไอ้จ้อนฉันฟาดปากนาย! เอาให้ยิ้มไม่ได้ซักเจ็ดวัน!” เขาบอกอย่างฉุนเฉียว อารมณ์เกรี้ยวกราด ผมกอดอกแล้วถลึงตาใส่เขา อีกฝ่ายตีหน้าเข้มกลับมา แววตาไม่ยอมอ่อนข้อให้ ผมเม้มปากแน่น หันซ้ายหันขวาอย่างหาทางออก แต่สุดท้ายก็เจอแต่หน้าดุๆ ของไอ้พระเอกร่างยักษ์


“Done? And if you’re happy with your command, now—please let’s go to work, Mr.Retarded. (หมดรึยังครับ แล้วถ้าคุณพอใจกับคำสั่งตัวเองแล้ว ก็ได้โปรดไปทำงานสักทีมิสเตอร์ปัญญาอ่อน)” วิคเตอร์เบิกตากว้างมองผมอย่างดุๆ ผมก็มองเขากลับไปด้วยสีหน้าเคืองๆ


เออ! บอกไม่ให้ยิ้มก็ไม่ยิ้มแล้วนี่ไง


“สักวันฉันจะทำให้นายจุกจนปากเก่งแบบนี้ไม่ได้!” เขาพูดข่มขู่ สีหน้าเอาเรื่อง ส่วนผมก็ทำสีหน้าเย็นชาใส่ แล้วผายมือไปทางประตูบ้าน


“แต่วันนี้คุณยังทำไม่ได้ และคาดว่าคงไม่มีสิทธิทำ แต่สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือไปทำงานครับ” วิคเตอร์ขบกรามแน่น ผมเอียงหน้าแล้วเลิกคิ้วขึ้นมองเขากลับอย่างกวนๆ พร้อมกับยืดแขนขวาไปทางประตูเพื่อบอกให้เขารู้ว่าควรเดินออกไปได้แล้ว วิคเตอร์แทบจะเดินกระแทกเท้าผ่านผมไป ผมส่ายหัวกับความเอาแต่ใจของเขาแล้วเดินตามหลังเขาออกไปที่ประตูบ้าน


“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงลั่นเมื่อวิคเตอร์หมุนตัวแล้วพุ่งเข้ามาจากทางหน้าประตูอย่างเร็ว เขาโน้มหน้าลงมาที่ปากผมอย่างว่องไว เขาไม่ได้จูบ แต่ใช้ฟันขบริมฝีปากล่างของผมเน้นๆ จนรู้สึกเจ็บแปลบๆ แถมยังลากดึงเน้นๆ ก่อนที่เขาจะผละออกไป ผมหน้าเหวอ คิ้วย่นมองเขาด้วยความงุนงงแบบที่ไม่ทันตั้งตัว วิคเตอร์แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะบอกเสียงทุ้ม


“สักวันฉันจะมีสิทธิทำมากกว่านี้แน่” เขาบอกแล้วดึงมือผมออกไปจากกรอบประตูบ้าน ก่อนจะปิดประตูตามหลังเสียงดัง ผมได้ยินเสียงประตูล็อคอัตโนมัติดัง กริ๊ก~ แล้วก้าวเท้าเดินตามเขาไปที่รถอย่างเอ๋อๆ จนมาถึงประตูรถและร่างผมถูกดันให้เข้าไปนั่งอย่างมึนๆ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่วิคเตอร์เข้ามานั่งฝั่งคนขับที่อยู่ซ้ายมือแล้วปิดประตูเสียงดังปังจนผมสะดุ้งตกใจหันไปมองเขา


“จำคำสั่งฉันไว้ให้ดีนะ ถ้าขัดแต่แม้แต่นิดเดียว วันนี้นายเจอดีแน่” เขายักคิ้วกวนๆ แล้วสตาร์ทรถ ผมเอามือขึ้นมาแตะๆ ริมฝีปากล่างที่โดนเขาขบกัด รู้สึกเจ็บตุ่ยๆ แต่ดีที่ไม่ได้กลิ่นคาวของเลือด ผมสะบัดสายตาจิกกัดไปใส่เขา อีกฝ่ายยิ้มเบ้ปาก ยักไหล่ ก่อนจะหักพวงมาลัยแล้วขับรถออกไปตามท้องถนน ผมถอนหายใจหนักๆ แล้วนั่งนิ่งมองถนนไปเรื่อยๆ ไม่อยากพูด ไม่อยากคุยอะไรกับเขาอีก


หมับ~


เขายื่นมือขวามาจับมือซ้ายผมไว้แล้วดึงไปวางไว้บนตักของเขา พอผมจะดึงหนีเขาก็เปลี่ยนเป็นเอานิ้วของเขาสอดเข้าไปช่องว่างระหว่างนิ้วทั้งของผม เลยกลายเป็นว่าเขาขับรถไป กุมมือผมไปด้วย  ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูกเบาๆ


“คุณช่วยนึกถึงหน้าแฟนคุณไว้หน่อยได้มั้ย เธอจะรู้สึกยังไงถ้ารู้ว่าคุณมาทำอะไรไม่ดีลับหลังเธอแบบนี้”


“ไม่ดีตรงไหน อะไรคือไม่ดี” เขาตอบหน้าตาย ผมขบกรามแน่น รู้สึกปรี๊ดในใจเลยออกแรงกระชากมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของเขา ก่อนจะง้างมือซ้ายขึ้นแล้วฟาดไปที่แก้มขวาเขาแรงๆ หนึ่งที


ป้าบ!


“Whoah?! What the hell are you?! (เฮ้ย?! นายเป็นห่าอะไรเนี่ย?!)” ผมมองเขาด้วยความเคืองสุดขีด รู้สึกหงุดหงิดกับความมึน กับความหน้าด้านของเขาจนอดใจไม่ไหวที่จะตบแก้มสากเพราะหนวดเครานั่นไปหนึ่งที วิคเตอร์ท่าทางตกใจและงุนงง แต่ดวงตามีแววโกรธจัด


“ตบฉันทำไมวะ?! นายอยากโดนดีรึไง?!” เขาตะคอกเสียงดังขณะกำลังพยายามบังคับพวงมาลัยเพื่อไม่ให้รถไหลออกนอกถนนเส้นหลักในตัวเมือง เพราะเมื่อกี้ตอนที่ผมตบเขา รถแฉลบออกนอกเลนส์ที่กำลังวิ่งอยู่ไปนิดหนึ่ง


“ไม่รู้ ตบไว้ก่อน รู้แต่ว่าอยากตบ!” ผมบอกเสียงแข็ง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยวามโกรธ จ้องหน้าวิคเตอร์ด้วยสายตาสั่นๆ เพราะโกรธจัด ยิ่งพอได้ตบเขาไปเมื่อกี้ เหมือนอารมณ์มันก็ยิ่งปะทุออกมา ไอ้ยักษ์หน้าหนวดขบกรามแน่น หน้าเขาดูเข้มด้วยความโกรธเช่นกัน แววตาคมจ้องมองมาราวกับจะใช้บาดตัวผมแทนมีด


เพี๊ย!


วิคเตอร์ไม่พูดอะไร แต่เขายื่นมือขวามาตบหน้าผมกลับอย่างเร็ว แรงตบเขาไม่ได้รุนแรงเท่าที่ผมทำ แต่ก็ทำเอาแก้มซีกซ้ายชาวาบไปเหมือนกัน เกิดอาการคันยิบๆ ที่แก้มหลังจากความมึนชาหายไป ผมหันไปมองเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว ไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร เพราะคิดว่าเขาต้องไม่อยู่เฉยแน่ๆ


“นายอยากได้แบบนี้ใช่มั้ย ไม่ชอบใช่มั้ยที่ฉันใจดีด้วยน่ะ!” เขาตะคอกถามเสียงดังลั่นรถพร้อมๆ กับที่ระดับความเร็วของรถเพิ่มขึ้น รถวัวกระทิงดุส่งเสียงกระหึ่มยามที่รถพุ่งฉิวแหวกอากาศและหลบหลีกรถคันอื่นๆ บนท้องถนน ชวนให้ใจหายใจคว่ำ ยิ่งคนขับอยู่ในอารมณ์ฉุนขนาดนี้มันยิ่งทำให้ดูน่ากลัว


“คุณนี่มันโคตรโง่! โง่ โง่ โง่! ทำไมไม่เข้าใจสักทีว่าไอที่ทำอยู่เขาไม่ได้เรียกใจดี แต่เขาเรียกว่ากำลังนอกใจแฟนตัวเอง!” ผมตะคอกกลับไปอย่างเหลืออด พอได้ระเบิด ผมก็เบรกตัวเองไม่อยู่


“นอกใจอะไรวะ?! ฉันยังไม่ได้ทำอะไรนายเลย คิดว่าฉันจะนอกใจแนทแล้วมาหานายเนี่ยนะ?!” เขาพูดด้วยความโมโห น้ำเสียงหอบจัด หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเช่นกัน เขาใช้สายตาที่ผมแปลความหมายไม่ออกมองกลับมา มันเป็นสายตาที่คล้ายจะมีความเจ็บปวด แต่ผมไม่รู้หรอกว่าเขาเจ็บอะไร น้ำตาผมคลอเต็มเบ้าตาเมื่อได้ยินประโยคนั้น มันกระแทกใจจนผมเจ็บจี๊ด


 “งั้นผมจะอธิบายให้คนที่ฉลาดน้อยกว่าปลาโลมาที่ถูกฝึกมาก็แล้วกันนะว่า ไอ้การที่คุณมาหอมแก้ม นอนกอด หรือเอาตัวมาใกล้ชิดกับผมเนี่ย มันเป็นสิ่งที่คนมีแฟนแล้วเขาไม่ทำกับคนอื่นหรอก เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมต้องให้ผมพูดซ้ำๆ ด้วย คุณคิดเองไม่ได้เลยรึไง?! อย่ามาบอกว่า…” ผมยังไม่ทันพูดจบเขาก็แทรกขึ้นเสียงดังลั่นรถ


“…เออ แล้วจะพูดซ้ำๆ ทำไม รำคาญโว้ย! ไม่ต้อง…” ผมตะเบ็งเสียงดังกลับไปทันทีด้วยความหงุดหงิด


“…ไม่!!! คุณ! หยุด! แล้วฟังผมให้จบ…” แน่นอนว่าคนอย่างวิคเตอร์ไม่มีทางยอมง่ายๆ เขาแทรกเสียงดังขึ้นมาอีกรอบ


“…นายเองก็ชอบที่ฉันทำไม่ใช่รึไง…”


“…ใช่ ผมชอบ แต่ผมก็โคตรรู้สึกผิด คุณเองก็ไม่รู้สึกผิดบ้างรึไง ที่คุณบอกว่าเป็นผู้ชายด้วยกันจะคิดมากทำไม ผมจะบอกอีกที ว่า ผมเป็นผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกัน จะไม่ให้คิดมากได้ไง ผมมีความคิด มีสมอง ผมห้ามไม่ได้ ผมไม่เหมือนคุณหรอก มีสมองแต่ไม่ได้เอาไว้คิด แต่เอาไว้คั่นกะโหลกหนาๆ ของตัวเอง!” ท้ายประโยค เสียงผมแทบจะกลืนหายไปในลำคอ เพราะมันสั่นจนแทบฟังไม่ชัด แต่ผมก็ฝืนด่าเขาจนจบ วิคเตอร์ขมวดคิ้วจ้องกลับมาด้วยสายตาคมวาว ผมมองกลับไปด้วยสายตาที่พร่าเลื่อนเพราะม่านน้ำตาที่ทะลักล้นขอบตา


“ตอนคุณเกิดมาจากท้องแม่ คุณลืมเอาสมองออกมาด้วยรึไงถึงคิดไม่ได้…” ผมบอกด้วยน้ำเสียงท้อแท้ น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ไม่ได้สะอึกสะอื้น วิคเตอร์คลายคิ้วที่ขมวดไว้ออกเล็กน้อย แววตาที่แข็งกระด้างก็ดูอ่อนลงกว่าเดิม แต่ใบหน้าเขายังคงตึงเครียดไม่ยิ้มแย้ม


ผมหันหน้าหนีเขาไปอีกทางจ้องมองวิวตึกสูงแซมด้วยต้นไม้สีเขียวเป็นช่วงๆ ภาพทั้งหมดผ่านตาแบบไวๆ เนื่องด้วยวิคเตอร์ยังคงขับรถในระดับความเร็วเดิม ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงเกิดอาการกลัวจนตัวสั่น แต่ตอนนี้ใจผมสั่นกับเรื่องอื่นจนเรื่องรถไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ผมยกมือปาดน้ำตาจนแห้ง สูดจมูกเป็นพักๆ แล้วนั่งนิ่งๆ ไปตลอดทางจนถึงสำนักงานของแบรนด์เสื้อผ้าที่วิคเตอร์รับหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ในช่วงซัมเมอร์ที่กำลังจะมาถึงนี้


ผมไม่ได้หันไปมองเขา แต่เปิดประตูรถแล้วออกไปทันทีที่รถจอดสนิท ผมเดินเรื่อยๆ มุ่งตรงไปยังอาคารทรงสูงสีขาวสะอาดตา ชั้นแรกของอาคารติดกระจกใสแต่คงหนามากโดยรอบ ผมผลักประตูเข้าไปด้านใน เดินไปยืนรอเขาแถวๆ เค้าน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของอาคาร เหลือบสายตาไปมองทางประตูก็เห็นว่าวิคเตอร์เดินเข้ามาด้วยหน้าตาตึงเครียด ผมทำนิ่ง ไม่ได้เสแสร้งแต่ความรู้สึกมันนิ่งไปหลังจากได้ระเบิดอารมณ์และน้ำตาออกมาบ้าง เหมือนมันได้ปลดปล่อยพลังงานความอึดอัดที่อยู่ใน
อกเมื่อตอนที่อยู่บ้านเขาออกไป


วิคเตอร์ปรายตามามองผมเล็กน้อยก่อนจะเดินนำผมเข้าไปด้านใน ผมเดินตามเขาไปอย่างเชื่องช้า พอเข้ามาในลิฟต์ เราก็เงียบใส่กัน มีเพียงเสียงสปอตโฆษณาของแบรนด์เสื้อผ้าจากจอทีวีเล็กๆ ในลิฟต์เท่านั้นที่ดังกลบความเงียบระหว่างเราสองคน จนลิฟต์ส่งสัญญาณว่าถึงชั้นสิบที่เป็นเป้าหมายของเราในวันนี้ บรรยากาศความเงียบก็ถูกทำลายลง วิคเตอร์เดินนำผมออกไปจากลิฟต์ตรงไปยังห้องประชุม หญิงสาวผมสั้นสีดำประบ่าหน้าตาธรรมดาๆ แต่ว่าผิวขาวคนหนึ่งในชุดสูทแต่ใส่กระโปรงรัดรูปทรงเอเดินตรงมาหาเราสองคนพร้อมรอยยิ้มอันเป็นมิตร


“เชิญทางนี้เลยค่ะ” ผมยิ้มอ่อนๆ ตอบกลับไป แล้วเดินตามเธอเข้าไปในห้องประชุมที่อยู่ริมสุดฝั่งขวามือของโถงทางเดินชั้นสิบ ผนังห้องประชุมฝั่งติดกับทางเดินเป็นกระจก แต่ด้านอื่นๆ ก็เป็นผนังปูนสีขาวตามปกติ ด้านในมีโต๊ะไม้สีน้ำตาลตัวยาววางอยู่ตรงกลาง และมีเก้าอี้สีดำวางเรียงรายล้อมรอบ ผนังในห้องมีรูปนายแบบ นางแบบติดเต็มโดยรอบ มีสตอร์รี่บอร์ดวางเกยทับๆ กันบนชั้นวางของที่อยู่มุมซ้ายด้านหน้าของห้อง มีกระดานไวท์บอร์ดสีขาวที่มีรูปถ่ายติดไปครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งเป็นลายมือคนเขียนด้วยปากกาเมจิกตั้งอยู่กึ่งกลางของด้านหน้าห้องประชุม

V
v
v

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 16-18:: 22.06.58
«ตอบ #81 เมื่อ22-06-2015 17:40:27 »



ผมเดินเบลอๆ โดยไม่ได้สนใจมองว่ามีใครอยู่ในห้องบ้าง หยุดยืนมองหามุมให้ตัวเองสักพัก ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้มุมห้องที่อยู่ตรงข้ามกับประตูห้องประชุม ใกล้กันนั้นมีตู้ชั้นหนังสือนิตยสารที่วางอัดกันอยู่มากมายจนล้นชั้นวาง ส่วนวิคเตอร์เดินไปนั่งที่หัวโต๊ะอีกฝั่งที่อยู่ใกล้กับมุมที่ผมนั่ง โดยมีทีมงานบางส่วนนั่งรออยู่แล้ว เขาเหลียวหลังมามองผมแว้บหนึ่งก่อนจะหันกลับไปทักทายทีมงาม ผมหยิบสมุดโน้ตจดงานของเขาขึ้นมาเตรียมไว้ เผื่อต้องมีอะไรที่ควรจดไว้เพื่อประโยชน์ของตัวเขาเอง


“Hey. (ไง)” ผมที่กำลังนั่งตาลอย สีหน้าเหม่อๆ ถึงกับสะดุ้งเบาๆ เมื่อเสียงทุ้มเข้มๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ผมหันไปมองด้วยความมึน ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออก


“Adam! (อดัม!)” ผมร้องออกมาเบาๆ แต่วิคเตอร์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กลับได้ยินและหันมามอง แต่ผมไม่ได้สนใจหรอก หางตามันเหลือบเห็นเอง อดัมยิ้มกว้างแล้วนั่งลงตรงเก้าอี้สีดำข้างๆ ผมอีกตัว ผมระบายยิ้มอ่อนๆ บนใบหน้า มองเขาด้วยความตื่นเต้นเล็กๆ เพราะไม่ได้เจอกันนาน


“ไม่ได้เจอกันนาน…” เราสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่จะยิ้มค้างไปพักหนึ่ง แล้วหัวเราะออกมาพร้อมกันเบาๆ


“ใช่ครับ เราไม่ได้เจอกันนานมาก คุณสบายดีมั้ยครับ” ผมเป็นฝ่ายหยุดหัวเราะแล้วถามเขาก่อน อดัมยิ้มหล่อกลับมา ก่อนจะตอบ


“ก็ยังแข็งแรงเหมือนเดิม” เขาว่าแล้วยกแขนซ้ายที่มีรอยสักนกอินทรีย์ขึ้นมาเบ่งกล้ามให้ดู จนกล้ามแขนแน่นๆ นั้นแทบปริตอนเขางอข้อศอก


โอยยย… เชื่อแล้วว่าแข็งแรง แข็งแรงจริงๆ หน้าอกของพี่ยังคงแน่นจนน่าซบเช่นเคย พี่อดัมมม~ แม้นไม่ใช่อดัมมารูนไฟว์ แต่มีรอยสักเหมือนกัน ไอ้แมทก็จะเป็นลมแล้ววว อ้ากกก ขอซบทีได้มั้ยจ๊ะพี่จ๋า ยิ่งช่วงเวลาที่โดนข่มเหงจากไอ้ยักษ์หน้าหนวดแบบนี้ ยิ่งอยากได้ที่พึ่งทางใจและทางกายเหลือเกิน


อยากจะซบอกเธอที่บนเตียงงง~


ผมแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนอาการหื่นของตัวเอง อดัมลดแขนลงแล้วยิ้มกว้าง หูยยย ดวงตาสีเทาอ่อนของเขายังคงเซ็กซี่มีเสน่ห์ดึงดูดชวนดูดปาก (?) ด้วยจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ชายในสเป็ค ไม่ว่าจะกี่ครั้งยังคงตรงสเป็คน้องแมทเหมือนเดิม


“แล้วนายล่ะ เป็นยังไงบ้าง หลงจากเจอกันที่ซูเปอร์มาร์เก็ตวันนั้น เราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย”


“ชีวิตปกติดีครับ สุขบ้างทุกข์บ้างสลับกันไป…” แต่เมื่อกี้นี้ทุกข์ใจเต็มๆ แต่ตอนนี้พอเจอพี่อดัม น้องแมทก็หายแล้วล่ะครับพี่


“…อีกประมาณสองเดือนผมก็จะฝึกงานเสร็จแล้วล่ะครับ” ผมฉีกยิ้มกว้าง อดัมยิ้มกว้างตอบกลับมา ช่วงเวลานี้ผมแทบจะลืมความดราม่าที่เพิ่งเจอมา แทบจะสะบัดมันหลุดออกจากหัวไปเลยล่ะ


“งั้นเหรอ นายกับฉันยังไม่ได้ไปแฮงก์เอ้าท์ด้วยกันเลยนะ” อ้ากกก เขาชวนผมเดทแน่เลย -.,- (เดี๋ยวนะ!)


“คุณนัดมาได้เลยครับ ผมพร้อมเสมอ”


“นัดแล้ว ไปได้จริงนะ” ผมยิ้มแป้นแล้วพยักหน้ารัวๆ เป็นการตอบรับ อดัมยิ้มมุมปากหล่อๆ กลับมา ก่อนจะขยิบตาซ้ายมาให้อย่างน่ารัก


หูยยย ทำงี้เขามีอารมณ์นะพี่อดัม


“ถ้างั้นเย็นนี้เลยเป็นไง” ผมกำลังจะอ้าปากตอบตกลง แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นไอ้ยักษ์หน้าหนวดที่ตอนนี้หมุนเก้าอี้หันมามองผมตรงๆ แล้วตีหน้ายักษ์มองกลับมา ปากที่กำลังจะอ้าตอบตกลงเป็นอันหุบลงฉับ แล้วประมวลคำตอบที่กำลังจะบอกผู้ชายในสเป็คของตัวเองอีกรอบ


“คือ… วันนี้อาจจะยังไม่ว่าง ไม่สะดวกเท่าไหร่ เอาไว้คุณลองนัดล่วงหน้ามั้ยครับ” ผมยิ้มกว้างแหยๆ ให้เขา แล้วเมินสายตาของวิคเตอร์ที่จ้องเขม็งอยู่


“แล้วฉันจะนัดนายได้ยังไงล่ะ” อดัมเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง ผมกระพริบตาปริบๆ ทำท่าคิด ก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองออกมาแล้วยื่นให้เขา


“คุณเอาเบอร์มือถือคุณมาก็ได้ครับ ผมจะเมมไว้ แล้วเดี๋ยวมันก็จะเด้งชื่อคุณมาอยู่ในลิสต์ว้อทแอพของผม แล้วผมก็จะทักคุณไป” ผมยิ้มกริ่ม อดัมยิ้มนิดๆ ด้วยความเข้าใจ ก่อนจะรับมือถือผมไป ในขณะที่เขากำลังกดเบอร์มือถืออยู่นั้น เสียงในห้องประชุมก็เริ่มจอแจมากขึ้น และเสียงห้วนๆ ของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา


“อดัม ทุกคนพร้อมแล้ว นายไม่ไปนั่งที่รึไง” ผมหันไปมองวิคเตอร์ด้วยสายตาเคืองๆ อีกฝ่ายถลึงตาดุๆ กลับมา จ้องจนดวงตาแทบไม่ขยับ อดัมพยักหน้ารับงงๆ ก่อนจะหันกลับมารีบจิ้มเบอร์ของตัวเองแล้วยื่นมือถือคืนผม


“ไว้เดี๋ยวคุยกันนะแมท”


“ครับ คุณอดัม” ผมส่งยิ้มให้เขา อดัมลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับไปนั่งที่ตัวเองแถวๆ หัวโต๊ะบริเวณหน้าห้อง ผมก้มลงมองหน้าจอมือถือแล้วยิ้มกับหมายเลขโทรศัพท์ของพี่อดัมล่ำสันผู้แข็งแรง! แต่พอเงยหน้าขึ้นก็ต้องหุบยิ้มลงด้วยความเซ็ง เมื่อเห็นว่าวิคเตอร์กำลังมองมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง แววตามีแววไม่พอใจฉายชัด ผมเอียงคอแล้วเลิกคิ้วขึ้นมองเขาด้วยความสงสัยที่แสร้งทำ ประมาณว่าเขามีปัญหาอะไรรึเปล่า


“ฉันบอกว่าห้ามยิ้มไง” เขาว่าเสียงกดต่ำ ท่ามกลางเสียงคุยหึ่งๆ ในห้องประชุม เขาจ้องหน้าผมดุๆ ผมเบ้ปากนิดๆ แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าให้ใกล้เขามากขึ้น ก่อนจะตอบเสียงกระซิบแต่เน้นคำเน้นๆ


“ปัญญาอ่อน ผมไม่ทำตามหรอก” อีกฝ่ายกัดฟันกรอด ก่อนจะว่าเสียงกระซิบกดต่ำกลับมาด้วยความไม่พอใจที่เพิ่มระดับไปตามอารมณ์ของตัวเขาเอง


“ใบฝึกงาน…”


“…ตอนนี้คุณไม่มีอำนาจในใบนั้นแล้ว ผมบอกแล้วไงว่าคุณเอมิลี่พร้อมเซ็นต์ให้ผมทันทีถ้าผมอยากจะไป” ผมว่ากลับนิ่งๆ วิคเตอร์เองก็นิ่งเหมือนชะงักไป แต่ก็แค่แว้บเดียว เขาขบกรามแน่นเหมือนพยายามสะกดกั้นอารมณ์ มือทั้งสองข้างของเขาบีบที่เท้าแขนของเก้าอี้แน่น ผมทำหน้าว่าไม่แคร์ เขาชี้หน้าผมอย่างคาดโทษก่อนจะว่าเสียงกดต่ำอย่างข่มขู่


“เดี๋ยวเรามีเรื่องต้องคุยกัน” เขาบอกด้วยสีหน้าหงุดหงิดแล้วหมุนเก้าอี้กลับไปคุยงานกับพวกทีมงาน ผมถอนหายใจด้วยสีหน้าเอือมระอา เริ่มรู้สึกว่าเหนื่อยเต็มทีกับสถานการณ์และสถานะแบบนี้


หรือบางทีผมควรจะบอกคุณเอมิลี่ว่าให้เซ็นต์ใบฝึกงานเลยดีนะ จะได้จบๆ ไป กลับไทยไปเป็นคุณหนูที่บ้าน ไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้ และไม่ต้องมารองรับอารมณ์ของไอ้บ้านี่ด้วย


ผมทำหน้าคิดหนักกับประเด็นนี้ สมองบอกอยากกลับ แต่อีใจทรยศดันบอกว่ายังไม่พร้อมกลับ โอ๊ย พวกมึงก็ทะเลาะกันได้เนอะ ทั้งๆ ที่อยู่คนล่ะส่วนของร่างกายเนี่ย


เออ อย่าว่าแต่ใจมันเลย ตัวผมก็ยอมรับเลยว่า พอคิดว่าจะกลับดันเกิดอาการใจหวิวและสั่นๆ ขึ้นมาซะงั้น ผมยกมือซ้ายขึ้นมาลูบแก้มที่โดนเขาตบไปเบาๆ พลางนึกว่าที่เขาทำก็เพราะผมไปตบเขาก่อน แต่ผมตบเขาเพราะมันเหลืออดกับความเจ้าชู้ของเขาแล้วจริงๆ


ยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมกำลังสับสนกับตัวเอง คิดไม่ตกว่าจะกลับหรือไม่กลับดี แต่ถ้าเลือกจะอยู่ต่อผมว่าผมต้องเข้มแข็งมากกว่านี้ ไม่งั้นผมคงอยู่ยาก ผมถอนหายใจแล้วนั่งฟังประชุมงานไป พลางจดส่วนสำคัญๆ เอาไว้ในสมุดด้วยอาการเหม่อลอยนิดๆ









“See you next 2 weeks. (อีกสองอาทิตย์เจอกันนะครับ)” ทีมงานผู้ชายหัวล้านคนหนึ่งที่คล้ายจะเป็นหัวหน้าของการถ่ายแฟชั่นเซ็ทนี้เอ่ยขึ้นหลังจากการประชุมราวๆ หนึ่งชั่วโมงจบลง ผมชอบการทำงานต่างประเทศอย่างหนึ่งที่เขาจะให้ทุกคนออกความเห็นได้อย่างเต็มที่ไม่มีกั๊ก ทุกคนมีสิทธิออกไอเดียได้เต็มที่ และทุกไอเดียจะถูกเก็บนำมาพิจารณา แล้วร่วมกันดิสคัสในตอนท้ายว่าไอเดียไหนดีไม่ดีอย่างไร อันไหนใช้ได้ ใช้ไม่ได้เพราะอะไร ใครที่ไม่ออกความเห็นก็ไม่มีใครว่าหรอก แต่ลึกๆ เขาจะมองว่าพวกเราไม่หัวคิด แม้นจะมีคนที่เหมือนจะเป็นหัวเรือใหญ่ของงาน แต่จริงๆ แล้วทุกคนเท่าเทียมกันหมด ส่วนหัวเรือใหญ่มีไว้เหมือนเป็นคนดูภาพรวมและเป็นผู้ตัดสินใจในส่วนสำคัญๆ ซะมากกว่า 


จริงๆ วันนี้วิคเตอร์ไม่จำเป็นต้องมาก็ได้ แต่เนื่องจากทางแบรนด์ให้เกียรติเขา เลยอยากเชิญมาร่วมออกความคิดเห็น แต่ตั้งเริ่มประชุมยันจบประชุม ไอ้ยักษ์หน้าหนวดไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจเลยสักนิด ได้แต่พยักหน้าไปเรื่อยเปื่อย และตอบรับคำสั้นๆ ส่วนประโยคยาวๆ แทบนับได้ว่าพี่แกพูดอะไรออกไปบ้าง ผมนี่รู้สึกใจหายใจคว่ำไปกับอาการผีเข้าของมัน บางครั้งผมอยากจะแหกปากตอบแทน แต่ก็กลัวทีมงานจะด่าทางสายตาว่าเสือก ครั้นเขาจะด่าวิคเตอร์ก็ไม่ได้เพราะหมอนี่เป็นพรีเซ็นเตอร์ที่เขาเลือกมาแล้ว และสิ่งที่วิคเตอร์แสดงออกมาก็ไม่ใช่การสำแดงฤทธิ์ร้ายแรงอะไร ทางทีมงานเลยจะว่าไม่ได้ เพราะมันก็แค่เฉยชากับคนอื่นจนเกินไปเท่านั้นเอง อีกอย่างตอนนี้ชื่อเสียงเขามีมากขึ้นเพราะเพิ่งคว้าบทหนังใหญ่มาได้ ทางทีมงานก็เลยออกอาการเกรงใจในระดับหนึ่ง


“Thank you for coming today. (ขอบคุณที่มาวันนี้นะครับ)” ชายหัวล้านที่เป็นหัวหน้าทีมกล่าวกับวิคเตอร์ด้วยรอยยิ้ม ส่วนไอ้พระเอกยังคงพอมีจิตสำนึกอยู่บ้างที่จะยิ้มตอบและพูดโต้ตอบกลับ ผมเดินออกไปรอนอกห้อง ปล่อยให้วิคเตอร์ยืนคุยนอกรอบกับทีมงานไป ระหว่างที่กำลังก้มลงยัดสมุดลงในกระเป๋าเป้ อดัมก็เดินออกมาจากห้องประชุมพอดี


“ฉันเห็นนายเอาแต่นั่งเฉยๆ ไม่เบื่อบ้างเหรอที่ต้องคอยตามวิคเตอร์แบบนี้” เบื่อครับ เบื่อมาก อยากจะพูดแบบนี้ แต่ผมก็ทำได้แค่ยิ้มแล้วตอบให้ซอฟท์กว่าความเป็นจริงที่ตัวเองรู้สึก


“ก็นิดหน่อยครับ แต่มันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำนี่ครับ” อดัมยิ้มกลับมา ผมก็ยิ้มกลับไป แล้วในจังหวะนั้นเอง วิคเตอร์ก็เปิดประตูห้องออกมา เขาเหลือบมองอดัมด้วยสายนิ่งสงบจนดูเยือกเย็น ก่อนจะเบนสายตาเย็นๆ นั้นมาที่ผม


“เสร็จงานแล้วก็กลับสิ” เขาว่าเสียงเรียบแต่ก็เน้นเสียงหนัก และยังคงจ้องหน้าผมด้วยสายตาคมวับ ผมบิดริมฝีปากด้วยความเบื่อนิดๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้อดัมที่กำลังเลิกคิ้วแล้วยิ้มขำๆ อยู่


“ผมกลับก่อนนะครับ แล้วไว้เจอกัน”


“ทักว้อทแอพฉันมานะ แล้วฉันจะนัดไป” ผมยิ้มกว้างแล้วพยักหน้ารัวๆ ก่อนจะทำมือขึ้นว่าโอเค วิคเตอร์ส่งเสียงฟึดฟัดขึ้นจมูก ก่อนจะเดินย่ำเท้าหนักๆ ไปที่ลิฟต์ อดัมเลิกคิ้วขึ้นมองตามแผ่นหลังวิคเตอร์ไป แล้วหันมามองผมอย่างงงๆ


“อย่าไปถือสาเขาเลยครับ” ผมบอกอย่างปลงๆ แล้วหมุนตัวเดินตามวิคเตอร์ไปที่กำลังยืนรอลิฟต์อยู่ พอลิฟต์มาเขาก็ก้าวเข้าไปด้านใน ผมก้าวตามเข้าไป สบตากับอดัมที่อยู่นอกลิฟต์แล้วเราก็ยิ้มให้กัน ในจังหวะที่ลิฟต์กำลังจะปิด เขาก็เรียกชื่อผม


“แมท…” ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ และทันเห็นว่าเขายกสามนิ้วขึ้นมาจูบที่ปาก ก่อนจะชูขึ้นแบบที่ผมเคยสอนเขา ผมรีบทำมือสามนิ้วแบบลูกเสือแล้วยกขึ้นมาจรดที่ริมฝีปาก แต่ในจังหวะที่กำลังจะชูตอบกลับไป วิคเตอร์ก็เอื้อมมือซ้ายมาดึงมือผมไว้ และเป็นจังหวะที่ลิฟต์ปิดพอดี ผมหันไปมองเขาหน้านิ่วคิ้วขมวด


“ดึงมือผมไว้ทำไมเนี่ย” ผมว่าเสียงห้วนไม่พอใจแล้วชักข้อมือกลับ วิคเตอร์จ้องมองผมกลับมาด้วยสายตาน่ากลัว ผมหันหน้าหนีหลบสายตาเขา แล้วเขยิบออกห่างจากร่างสูง ยังคงรับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมา แต่ผมไม่สนใจ ยืนหน้านิ่งต่อไปจนลิฟต์ลงมาถึงชั้นหนึ่ง เราสองคนทำท่าจะก้าวออกจากลิฟต์พร้อมกัน ผมหยุดเท้าไว้ หันไปมองเขาแล้วผายมือซ้ายให้เขาเดินออกไปก่อน วิคเตอร์เหลือบมองผม ก่อนจะยกมือซ้ายมาดันหัวผมจนหัวผมแทบทิ่ม แล้วก้าวยาวๆ เดินออกไป ทิ้งความเหวอและความเอ๋อไว้กับผม พอเด้งตัวกลับมายืนตรงได้ ผมก็ทำหน้าเข่นเขี้ยวไล่หลังไอ้ยักษ์ ก่อนจะรีบเดินตามแผ่นหลังกว้างที่ตอนนี้กำลังเดินออกจากประตูอาคารไป ผมยกมือขวาขึ้นมาลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงจากการโดนผลักเมื่อกี้ให้เข้าที่เข้าทาง แล้วเร่งเท้าไปให้ทันวิคเตอร์ที่ตอนนี้เดินถึงรถแล้ว ผมเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้เขาแล้วยกมือตีที่ไหล่ขวาหนาๆ ของเขาแรงๆ


ป้าบ!!


“โว้ย!! วันนี้นายตบฉันสองรอบแล้วนะ!” เขาหันมาโวยสีหน้าเอาเรื่อง ผมถลึงตาสู้กลับแล้วชี้ที่หัวตรงจุดที่โดนเขาผลักเมื่อกี้นี้


“หายกัน! เมื่อกี้คุณผลักหัวผมเกือบหน้าทิ่ม ตอนนี้ผมก็ตีคุณคืนไง” ผมว่าเสียงแว้ด เท้าเอวแล้วจ้องหน้าเขากลับอย่างไม่ยอมแพ้


“ก็นายขัดคำสั่งฉัน นี่ยังแค่อ่อนๆ นะ กลับถึงบ้านเมื่อไหร่ฉันจะลงโทษที่นายยิ้ม” วิคเตอร์ส่งสายตาวิบวับราวกับมีแผนการสนุกๆ อยู่ในหัว ผมมองเขากลับไปด้วยความไม่ไว้วางใจ ก่อนจะก้าวเท้าถอยหลังออกห่างจากเขาช้าๆ


“เสร็จงานแล้ว ผมขอตัวกลับบ้าน” เขารีบเอื้อมมือขวามากระชากไหล่ให้ตัวผมกลับเข้าไปใกล้เขาทันทีเมื่อเขาเห็นว่าตัวผมอยู่ห่างจากเขา


“ถ้าฉันไม่อนุญาตนายก็ห้ามกลับ ขึ้นรถ!” เขาว่าเสียงเข้ม แล้วกระชากให้ผมเดินตามเขาไปที่รถ ผมพยายามบิดข้อมือหนีแต่มือหนาของเขาบีบข้อมือเล็กๆ ของผมไว้แน่นจนเจ็บไปหมด วิคเตอร์เปิดประตูรถแล้วจับผมยัดเข้าไปราวกับจับตุ๊กตาวาง


“Don’t even think to run away. Otherwise, your punishment wills be extremely hard. (แล้วอย่าลุกหนีออกไปไหน ไม่งั้นบทลงโทษนายจะหนักขึ้น…)” ผมมองเขาด้วยความหวั่นวิตก วิคเตอร์ยิ้มมาดรายแล้วก้มลงมากระซิบเสียงเข้มตรงหน้าผม


“…And harder. (…และรุนแรงขึ้นด้วย)” ผมใจหายวาบ เริ่มรู้สึกกลัวกับคำพูดของเขา พยายามไม่คิดภาพอันไม่พึงประสงค์ และพยายามตั้งสติเพื่อตั้งรับกับผู้ชายคนนี้ ผมหันหน้าหนีหลบหน้าเขาที่ยื่นใกล้เข้ามา กลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก นั่งนิ่งมองตรงไปข้างหน้า วิคเตอร์ส่งเสียงหัวเราะต่ำๆ มาจากลำคอแล้วผละออกไปจากประตู ก่อนจะปิดประตูฝั่งผมแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งเขา หย่อนตัวเข้ามานั่งแล้วปิดประตูเสียง


วิคเตอร์ขับรถเร็วพอๆ กับตอนขามา แต่ตอนนั้นผมมัวแต่อึนกับเรื่องที่ทะเลาะกับเขาเลยไม่ได้รู้สึกกลัว แต่ตอนนี้พอสติกลับมาผมก็เกิดอาการกลัว รถแลมเบอร์กินีเป็นรถที่เร็วอยู่แล้ว ยิ่งวิคเตอร์ที่ยังอยู่ในอารมณ์มาคุเป็นคนขับ มันยิ่งทำให้ความเร็วนั้นพุ่งฉิวจนวิวสองข้างทางผ่านไปแบบแว้บๆ ราวกับภาพที่ตัดเร็วๆ


“คุณเรย์มอนด์ อย่าขับเร็ว…”


“…เงียบ!” เขาตะเบ็งเสียงกลับมาโดยที่สายตายังมองถนนอยู่ ผมสะดุ้งตกใจแล้วนั่งนิ่งต่อไป มือบีบเบาะหนังแน่น ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าขับเร็วขนาดนี้มีหวังโดนใบสั่งแน่ๆ แต่พูดอะไรไปตอนนี้ไอ้ยักษ์มันก็ไม่ฟังหรอก


ผมนั่งตัวเกร็งมาตลอดทาง พอรถเลี้ยวจอดที่หน้าบ้านเสียงดัง เอี๊ยด! ผมถึงกับโล่งอกที่ตัวเองยังอยู่ครบสามสิบสองประการ รู้สึกขอบคุณพุทโธ ธัมโม สังโฆ ที่ลูกได้ภาวนากับท่านมาตลอดทางว่าให้ลูกปลอดภัยจากการนั่งรถมหาภัยคันนี้


“ลงรถเร็วๆ” เขาสั่งเสียงห้วน ผมเปิดประตูรถแล้วลงไปยืนบนฟุตบาทหน้าบ้าน วิคเตอร์เดินอ้อมมาหาผม ปิดประตูรถฝั่งผมเสียงดัง ก่อนจะกระชากมือผมให้เดินขึ้นบันไดบ้านไป เขาไขกุญแจอย่างรวดเร็วแล้วเปิดประตูบ้านเข้าไป ก่อนจะดึงผมให้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ของบ้านแล้วปิดประตูตามหลังอย่างแรง ไมเคิลวิ่งมาต้อนรับเจ้านายมันกลับบ้านตามปกติ วิคเตอร์ไม่มีรอยยิ้มให้กับมันแต่ยังคงก้มลงไปลูบหัวมันเช่นเคย


“เดี๋ยวฉันลงมาเล่นด้วยนะไมเคิล” เขาว่าแล้วยืดตัวเต็มความสูง หันมามองผมด้วยสายตาดุจเหยี่ยวทำเอาผมจะเยี่ยวราด ผมมองเขาอย่างประเมิน พยายามทำนิ่งสู้เข้าไว้ วิคเตอร์ไม่พูดอะไรแต่พุ่งเข้ามาดึงกระเป๋าเป้ผมออกจากไหล่เร็วๆ และค่อนข้างจะแรงจนผมหน้าเหยเกตอนที่โดนสายเป้รูดผ่านผิวหนังช่วงแขน พอเอาออกได้ เขาก็โยนไว้บนเค้าน์เตอร์ครัวอย่างไม่สนใจ ก่อนที่จะพุ่งเข้ามาช้อนตัวผมแล้วจับร่างพาดบ่าด้านขวาเขาไว้


“เหวอออ! คุณเรย์มอนด์!” ผมร้องเสียงหลง เมื่อหัวห้อยต่องแต่งอยู่ด้านหลังเขา วิคเตอร์ก้าวเท้าเร็วๆ ไปที่บันได แล้วอุ้มร่างผมพาขึ้นบันไดไปชั้นสองอย่างเร็ว ผมพยายามเงยหน้าสบตากับไมเคิลที่เอียงคอมองกลับมาตาแป๋ว


“Michael! Help! (ไมเคิลช่วยด้วย!)” ผมรู้ว่ามันเสียสติสิ้นดีที่ร้องบอกให้หมาช่วย แต่ตอนนั้นแมงสาบบินผ่านผมก็จะบอกให้มันช่วย อย่างน้อยช่วยบินเข้าไปในจมูกไอ้ยักษ์นี่หน่อยเถอะ


ป้าบ!!


“โอ๊ย!”


“Silence! (เงียบๆ!)” เขาตะคอกหลังจากตีก้นผมอย่างแรงจนรู้สึกปวดไปทั่วแก้มก้น ผมหน้ายู่ด้วยความปวดตุบๆ ทันที


“Tell me! What is your idea now?! (บอกผมซิ ตอนนี้ความคิดของคุณคืออะไร?!)” ผมถามเสียงดังตอนที่เขาหยุดอยู่หน้าประตูห้องนอน


“You can’t count it! (เพียบ!)” เขาตอบเสียงดังฟังชัดแล้วเปิดประตูห้องนอนเข้าไป ผมหน้าเหวอตกใจ แล้วรวบรวมแรงเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูไว้ วิคเตอร์เลยเซมาทางด้านหลัง


“ไม่ว่าคุณคิดจะทำอะไร ผมไม่ยอมให้คุณทำแน่!” ผมว่าเสียงดังลั่น มือก็จับลูกบิดไว้มั่นไม่ยอมปล่อย


“เด็กดื้อก็ต้องโดนลงโทษ ฉันสั่งต้องเป็นสั่ง ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!” เขาบอกพร้อมกับออกแรงกระชากตัวผมที่พาดอยู่บนบ่าเขาขนประตูเหวี่ยงไปตามแรงดึงของผม


“ไม่!!”


“ปล่อย!!”


“ไม่! คุณบอกว่าปล่อย ผมบอกว่าไม่ ฉะนั้นรวมกันเป็น ไม่ปล่อย!” ผมบอกแล้วขืนตัวเองไว้สุดพลัง


“ยอกย้อนงั้นเหรอ?!” วิคเตอร์ว่าเสียงฮึ่มๆ ก่อนจะฟาดมือมาที่ก้นผมแรงๆ อีกหนึ่งที


“Arggg! A bad boss! I will tell Emily about this! (อ้ากกก! ไอ้เจ้านายนิสัยไม่ดี ผมจะฟ้องคุณเอมิลี่!)”


“That’s fine! Say what you want to say, but after I punish you. (เอาเลย! อยากฟ้องอะไรฟ้องไปเลย แต่หลังจากฉันทำโทษนายก่อนก็แล้วกัน)”


ผมเบะปากแล้วยอมปล่อยมือจากลูกบิด วิคเตอร์รีบใช้เท้าถีบให้ประตูปิดทันที ก่อนจะเดินเร็วๆ ไปที่เตียง เหวี่ยงร่างผมลงบนเตียง ผมรีบใช้มือยันตัวเองขึ้นมาแล้วกระเถิบหนีไปชิดหัวเตียง วิคเตอร์มองด้วยสายตามีชัย ก่อนจะเดินไปที่ตู้ทรงสูงที่อยู่หัวเตียง ดึงลิ้นชักชั้นบนออก แล้วหยิบอะไรบางอย่างที่ผมมองไม่เห็นออกมาเนื่องด้วยเขาเบี่ยงตัวบังไว้อยู่ เขาปิดลิ้นชักอันแรก แล้วเลื่อนลิ้นชักอันที่สอง หยิบกระดาษและสมุดปึกหนึ่งออกมา แล้วหันมาหาผมพร้อมชูกระดาษปึกนั้นขึ้นด้วยมือซ้าย ส่วนอีกมือเขาเอาอะไรบางอย่างยัดลงไปที่กระเป๋าหลังของกางเกงยีนส์


“You said that I have no power on these paperwork, right? (นายบอกว่าฉันไม่มีอำนาจกับกระดาษพวกนี้แล้วใช่มั้ย)” ผมย่นคิ้วนิดๆ มองเขาอย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะพยักหน้ารับนิดๆ วิคเตอร์ยิ้มมุมปากก่อนชันเข่าขึ้นที่ชอบเตียง โน้มตัวมาหาผมเล็กน้อยแล้วใช้มือซ้ายดึงข้อเท้าขวาผมไว้ ลากให้ผมเข้าไปหาเขา


“Wait, wait, wait! (เดี๋ยวก่อนๆ)” ผมบอกพลางปัดมือไล่เขาเป็นพัลวัน วิคเตอร์โยนปึกกระดาษเอกสารการฝึกงานของผมลงบนหมอนที่วางอยู่หัวเตียง ก่อนจะใช้สองมือเขาจับข้อมือผมตรึงไว้กับเตียง แล้วก็ตามขึ้นมานั่งคร่อมร่างผมไว้ ทำเอาผมที่กำลังดิ้นๆ ต้องหยุดดิ้นเพราะเขาใช้ต้นขาทั้งสองข้างล็อคเอวผมไว้แน่น


“เคลียร์กันทีล่ะเรื่องก็แล้วกัน” เขาว่าแล้วโน้มหน้าลงมาชิดกับหน้าผม จนผมเห็นดวงตาสีน้ำตาลน้ำผึ้งข้นชัดเจน เขาจ้องมองดวงตาผมกลับมาอย่างตั้งอกตั้งใจ มองจนผมรู้สึกเขินเลยต้องหลบตาหนี


“ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามยิ้ม แต่ทำไมนายยังกล้ายิ้มให้ไอ้อดัม” ผมเลื่อนสายตากลับมามองเขา วิคเตอร์มองด้วยสายตาลุกวาว ดวงตาคมๆ คู่นั้นจ้องกลับมาอย่างต้องการคำตอบ


“วันไหนที่ไม่มีงาน ผมจะพาคุณไปเช็คสมองนะครับว่ามันยังปกติดีหรือเปล่าถึงได้มาสั่งคนอื่นห้ามยิ้มเนี่ย!” ผมว่าหน้ามุ่ย ขยับข้อมือที่โดนเขากดไว้แน่นแต่ก็ขยับได้แค่นิ้วเท่านั้นแหละ


“If you want to smile—you have to smile for me first in each day. I’m not allowing you to smile to anyone before me even with a dog and a cat! Get it? (ถ้าจะยิ้ม นายต้องยิ้มให้ฉันก่อนเป็นคนแรกของแต่ล่ะวัน ห้ามยิ้มให้คนอื่นก่อนฉัน แม้กระทั่งหมาหรือแมว! เข้าใจมั้ย?”) ผมย่นคิ้ว อ้าปากหวอด้วยความทึ่ง ในหัวนึกประมวลคำพูดหรือคำด่าไม่ถูกเลยจริงๆ เจอประโยคนี้เข้าไปผมถึงกับมึน ผมเลื่อนสายตาเอ๋อๆ ของตัวเองไปสบตาสีน้ำตาลน้ำผึ้งข้นของเขาที่กำลังมองมาอย่างเร่าร้อน และก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อเขาก็ก้มลงมาจูบปากผมอย่างรุนแรง


ริมฝีปากเขากดแน่นลงบนริมฝีปากผม ทั้งดูดทั้งดึงด้วยความรุนแรง พอผมจะหันหน้าหนีเขาก็ตามมาจูบหนักๆ ดูดแรงๆ และดึงเน้นๆ จนผมเริ่มรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัว


“วะ…วิค…” ผมผละหนีออกจากริมฝีปากเขาได้แว้บหนึ่ง แต่เขาก็ตามมาประกบปากผม กดจูบลงมาอย่างหนักหน่วง ผมพยายามปิดริมฝีปากหนีเขา วิคเตอร์ผละออกจากริมฝีปากผม ทำให้ผมมีโอกาสสูดอากาศเข้าปอด มือผมยังคงถูกตรึงไว้แน่น แต่สักพักวิ
คเตอร์ก็รวบแขนผมขึ้นไปไว้บนเหนือหัวด้วยมือซ้ายมือเดียว ผมกำลังหายใจเหนื่อยหอบเพราะจูบอันทรงพลังของเขา นี่ขนาดแค่ดูดดึงริมฝีปากกันเท่านั้นนะ ผมยังจะตาย


“เดี๋ยว…” ผมเอ่ยเสียงแผ่วด้วยความเหนื่อยอ่อนๆ วิคเตอร์เอื้อมมือขวาไปหยิบของบางอย่างมาจากกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์ด้วยท่าทีรีบร้อน มือเขาวนกลับมาตรงหน้าผมแล้วผมก็ได้เห็นกุญแจข้อมือสีเงินวาววับห้อยผ่านหน้าไป ผมแทบจะมีแรงขึ้นมาทันทีเมื่อวิคเตอร์เอื้อมมือขวาไปที่มือผมแล้วพยายามใช้กุญแจข้อมือคล้องมือทั้งสองข้างผมไว้


“ไม่! คุณเรย์มอนด์ คุณไม่มีสิทธิทำแบบนี้นะ!” วิคเตอร์ไม่สนใจคำเรียกร้องของผม แต่เขาจับกุญแจข้อมือคล้องมือผมทั้งสองข้างจนสำเร็จ ผมยกมือที่ถูกกุญแจข้อมือเย็นเฉียบคล้องไว้ขึ้นมาหมายจะทุบหัวเขา แต่วิคเตอร์แค่ดันแขนผมกลับไปที่เดิมด้วยแรงเบาๆ เท่านั้น ผมมองเขาด้วยอาการหวาดๆ


“คุณเรย์มอนด์ นี่มันบ้าอะไรกัน ทำแบบนี้ทำไม?!”


“ลงโทษที่นายยิ้มไง หึ พอเป็นไอ้อดัมนี่ยิ้มกว้างกว่าปกติเชียวนะ”


“ผมจะยิ้มกว้างแค่ไหนก็เรื่องของผม ไม่ต้องมายุ่งกับความกว้างความยาวของปากผมหรอก!” ผมบอกเสียงแหวลั่นห้อง วิคเตอร์ยิ้มที่มุมปากแล้วเอามือซ้ายมาบีบแก้มผมไว้ไม่แรงมากแต่ก็เจ็บนิดๆ อยู่ดี


เขาก้มลงมาประกบปากผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เข้าใช้ลิ้นเข้ามาสัมผัสลิ้นผมด้วย ความรู้สึกเสียววาบแล่นไปทั่วร่างส่งผลให้ขนทุกเส้นบนร่างผมลุกซู่ ผมพยายามสู้แล้ว แต่มือขวาเขาดันแขนผมไว้ ส่วนมือซ้ายก็บีบคางบังคับให้ผมอ้าปากไว้แน่น แถมลิ้นเขายังคุมเกมอยู่ในปากผมอีก ครั้นจะให้ผมถดลิ้นหนีก็เป็นไปไม่ได้อีก ผมเลยถูกลิ้นเขาหยอกล้อไม่ยอมปล่อย วิคเตอร์ใช้ลิ้นของเขาเกี่ยวกระหวัดลิ้นของผมไปมาอย่างรุนแรงและเร่าร้อนจนผมเริ่มโอนอ่อนตามเขา


เมื่อผมอ่อนลง วิคเตอร์ก็ปล่อยมือที่บีบคางผมไว้ แล้วเอาไปแตะที่สะโพก ล้วงเข้าไปใต้เสื้อยืดก่อนจะเลื่อนขึ้นไปที่เอวหนาของผมแล้วบีบเคล้นคลึงหนักๆ เขากดริมฝีปากปิดปากผม แล้วคราวนี้เขาทั้งจูบ ทั้งดูด นัวเนียกับลิ้นและริมฝีปากผมจนน้ำลายเลอะริมฝีปากไปหมด ผมที่ไม่มีประสบการณ์การจูบที่ลิ้นแลกลิ้นแบบนี้เลยได้แต่ไหลไปตามลิ้นร้อนๆ ของเขาที่ไล้เลียไปรอบเรียวลิ้นและโพรงปาก มือซ้ายเขาก็ลูบขึ้นลูบลงที่สีข้างผมไปมาจนผมรู้สึกเสียวและจั๊กจี๋ในเวลาเดียวกัน


“อือออ….” วิคเตอร์ครางเสียงแหบพร่า ผมเริ่มหายใจไม่ทัน เพราะโดนปิดปากและโดนเขาใช้ลิ้นเลียไปรอบโพรงปากอย่างตะกละ แถมเขายังสลับกับการจูบริมฝีปากอย่างหื่นกระหาย เขาทั้งดูดและดึงอย่างร้อนแรงจนผมแทบจะโต้ตอบไม่ทัน สุดท้ายผมเลยหันหน้าหนี


“แฮ่ก…แฮ่ก… ฮื่อ… แฮ่ก…อุ๊บ…” วิคเตอร์ตามมาประกบปิดปากผมทั้งที่ผมยังไม่ทันได้สูดอากาศเต็มปอด เขาขยี้จูบอย่างรุนแรงจนผมรู้สึกเหมือนปากจะเปื่อย ผมหันหน้าหนีอีกรอบและรีบพูดทั้งที่ยังหอบหายใจหนักๆ


“วะ…วิคเตอร์…แฮ่ก…แฮ่ก… ใจเย็นๆ ก่อน” ผมบอกเสียงสั่น มือที่ถูกกุญแจข้อมือตรึงไว้สั่นน้อยๆ วิคเตอร์เองก็หายใจหอบหนักๆ แต่ไม่เท่าผม เขาจ้องมองกลับมาด้วยสายตาร้อนรุ่ม ผมหรี่ตาปรือมองเขาและพยายามเอาอากาศเข้าปอดเยอะๆ วิคเตอร์ก้มลงมากดจูบหนักๆ อีกหนึ่งทีแต่แช่ไว้นาน เล่นเอาผมจะขาดใจตาย ก่อนจะปล่อยออกแรงๆ จนเกิดเสียง จุ๊บ เน้นๆ


“จะขัดคำสั่งฉันอีกมั้ย” เขาถามเสียงแหบพร่าและกดต่ำ ผมหายใจหอบ พยายามเปิดเปลือกตามองเขา มือซ้ายเขายังคงบีบๆ ไปทั่วเอวหนาและสีข้างของผม ออกแรงหนักและเบาสลับกันไป เขาจ้องมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความต้องการ


“ไม่… คุณไม่มีสิทธิ…” เขาก้มลงมากดจูบหนักๆ อีกครั้ง เอียงหน้าไปซ้ายขวาแล้วขยี้จูบไปมาอย่างรวดเร็วและเร่าร้อนดังเดิม


“อืมมม…” เขาครางเสียงกระเส่าในขณะที่ริมฝีปากยังบดขยี้ผมไม่หยุด จนผมต้องเบี่ยงหน้าหนีอีกครั้งเลยทำให้ริมฝีปากเขาจุ่มอยู่ตรงแก้มขวาผมแทน เขาเลยกดจูบหนักๆ ลงไปบนแก้มอยู่พักหนึ่งก่อนจะผละออก


“อย่าปากเก่งกับฉันอีก เข้าใจรึเปล่า” ผมส่ายหัวแรงๆ แล้วหันหน้าไปเผชิญกับเขา ก่อนจะพยายามพูดเสียงหนักๆ ทั้งที่ยังหายใจหอบๆ


V
v
v

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 16-18:: 22.06.58
«ตอบ #82 เมื่อ22-06-2015 17:45:00 »



“คุณไม่มีสิทธิข่มขู่ หรือสั่งอะไรผมอีก ไอ้ใบฝึกงานที่คุณมี ผมไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้ว…” ผมบอกเสียงหอบด้วยความเหนื่อย วิคเตอร์ขบกรามแน่นแล้วเอื้อมมือขวาไปหยิบกองกระดาษขึ้นมา ผมไม่มีแรงจะยกแขนทุบตีเขากลับ เพราะผมเหมือนโดนเขาสูบพลังไปจากร่างกาย ผมเลยยกแขนไว้เหนือหัวแบบนั้น แล้วแอ่นตัวขึ้นมา


“แล้วนายคิดว่าฉันจำเป็นต้องใช้มันรึไง ถ้ามันไร้ค่าแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้!”


แควก!


เขาฉีกกระดาษและสมุดสำเนาการฝึกงานของผมทิ้งอย่างแรงจนมันขาดเป็นชิ้นๆ กระจุยกระจายไปรอบๆ ตัวผม วิคเตอร์กระชากกระดาษจนขาดด้วยอารมณ์ที่รุนแรง แล้วขว้างทิ้งไปที่อีกฝั่งของเตียง ก่อนจะก้มลงมองผมด้วยสายตาตาดุเดือด


“ถ้างั้นเป็นอันว่าผมฝึกงานเสร็จแล้วนะ” วิคเตอร์ยิ้มเยาะๆ ก่อนจะบีบมือซ้ายที่จับเอวผมอยู่ไปมาหนักๆ


“ถ้าเอมิลี่มีอำนาจกับกระดาษพวกนั้น งั้นฉันจะมีอำนาจกับตัวนายแทนก็แล้วกัน ฉันว่ามันเจ๋งกว่ากันเยอะ” ผมตาโตขึ้นนิดๆ ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความหมายในประโยคนั้น


“Whatever she wants to sign—let she sign; but if I am your proprietor, and you are mine. I will have more power than all the paperwork and Emily. (เอมิลี่อยากเซ็นต์อะไรก็เซ็นต์ไป แต่ถ้าฉันเป็นเจ้าของนายและนายเป็นของฉัน ฉันก็มีสิทธิยิ่งกว่าไอ้กระดาษพวกนั้นและเอมิลี่อีก)”


“I’m not the things! (ผมไม่ใช่สิ่งของนะ!)” ผมบอกกลับอย่างเดือดดาล รู้สึกไม่ชอบใจที่เขาเห็นผมเป็นเหมือนสิ่งของหรือของเล่นที่เขาจะมาทำเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ


“Don’t worry, if you are the things—you will be the very precious thing for me. (ไม่ต้องกังวลใจไป ถ้านายเป็นสิ่งของ นายจะเป็นของที่มีค่าที่สุดสำหรับฉันแน่)” เขาบอกด้วยรอยยิ้มกริ่ม ก่อนจะก้มลงมาสูดดมที่ซอกคอด้านซ้ายผมแรงๆ ก่อนซุกไซร้ไปมาอย่างแรงเช่นกัน มือซ้ายที่ลูบเอวผมอยู่เลื่อนขึ้นไปบดขยี้ยอดอกจนผมเสียววาบ


“ฮ่า…” ผมร้องเสียงแผ่ว วิคเตอร์รู้จักจับจุดถูกต้องว่าจะทำยังไงให้ผมอ่อนระทวย เหมือนเขารู้ว่าเขาสามารถสยบผมได้ด้วยการจู่โจมทางร่างกาย


เขาใช้จมูกดันให้ผมหงายหน้าขึ้นเพื่อที่เขาจะได้ไซร้ใต้คางถนัดๆ ผมแอ่นตัวเมื่อเขาบีบยอดอกอย่างแรง ผมกำมือแน่นและเผลอขยับดึงมือออกห่างจากกัน จนกุญแจข้อมือตึง ขอบกุญแจข้อมือด้านในคล้ายจะบาดผิวผมนิดๆ


“You are going to be mine… (วันนี้นายต้องเป็นของฉัน…)” เขาว่าเสียงแหบระหว่างที่ไซร้ซอกคออีกด้านของผมอย่างมัวเมา มือก็ลูบหน้าอกไปมาอย่างปลุกอารมณ์ ผมเริ่มรู้สึกปวดหนึบที่ส่วนอ่อนไหวของร่างกายเพราะมันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาและตอนนี้มันกำลังดันต้านกับกางเกงชั้นในอยู่


“อย่าบังคับผม…” ผมบอกเสียงพร่า วิคเตอร์ใช้ลิ้นเลียขึ้นเลียลงไปทั่วลำคอผมช้าๆ จนผมเสียวสะท้านไปทั้งตัว ความกลัวก่อตัวขึ้นในใจ ผมไม่อยากได้แบบนี้ ผมไม่อยากเป็นของเขาเพราะโดนบังคับแบบนี้ ผมอยากให้เขาด้วยความเต็มใจ


“วิคเตอร์ ไม่เอา อย่า ปล่อยผม…” ผมเริ่มงอแง และสะบัดหน้าหนีไปมา วิคเตอร์ก็ไม่หยุดการซุกไซร้ ผมสะบัดไปทางไหนเขาก็ตามไปไซร้อีกข้างของซอกคอ


“เถอะน่า มาขนาดนี้แล้ว…” เขาว่าเสียงหึ่งๆ ที่ซอกคอผม จมูกก็ยังคงซุกไซร้ซอกคอผมไม่หยุด


“ไม่ ไม่เอา ไม่!” ผมสะบัดหน้าหนีเขาเร็วๆ และพยายามดิ้นสู้อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ความรู้สึกผมจะดับวูบไป รับรู้ได้เพียงความเลือนรางรอบๆ กาย


“เอเลี่ยน” เสียงวิคเตอร์ดังอยู่ใกล้ๆ เหมือนเขาจะชะงักไปและหยุดการกระทำแล้ว


“เฮ้ย! เอเลี่ยน! แมท!” เขาว่าแล้วตบแก้มผมเบาๆ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันเลือนรางๆ อยู่ในหัว รับรู้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่
เมื่อเห็นผมนิ่งไปจริงๆ วิคเตอร์ก็รีบลุกออกจากตัวผมไป ผมรู้สึกว่าตัวเองเบาขึ้นเมื่อไม่มีเขานั่งคร่อมอยู่ด้านบนตัวเอง และในจังหวะนั้นเอง


ปิ๊ง!


ผมเปิดเปลือกตาขวาขึ้นมา แล้วหรี่ตามองสถานการณ์ตรงหน้า ก็เห็นว่าวิคเตอร์กำลังนั่งหันหลังให้ผมอยู่ ผมกัดปากล่างแล้วยิ้มกริ่มก่อนจะใช้เวลาอันรวดเร็วในการยืดขาขวาให้เหยียดตรงแล้วพลิกตัวไปข้างๆ ใช้หน้าแข้งเตะเข้าที่ซอกคอฝั่งขวาของเขา


พลั่ก!


“โว้ยยย!!!” เสียงเขาโวยวายดังลั่นเมื่อตอนที่ล้มลงบนเตียง ผมรีบใช้ศอกยันตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วกระโจนขึ้นไปนั่งคร่อมร่างเขาที่นอนเอียงๆ อยู่ ผมจับแขนขวาเขาล็อคไว้แล้วบิดเบาๆ


“โอ๊ยยย! ไอ้เอเลี่ยน!!” เขาร้องโวยวายเมื่อผมจับแขนเขาให้ตึงแล้วบิดน้อยๆ ด้วยสีหน้าโรคจิต


“กุญแจอยู่ไหน?!!”


“ไม่บอก!” หน็อยแน่ะ! อยู่ในท่าเพลี่ยงพล้ำขนาดนี้ยังจะมาปากดีอีก ผมเลยงับเข้าให้ที่เนื้อตรงข้อมือ


“อ้ากกก!” เขาร้องลั่นและพยายามสะบัดแขนออกจากฟันผม แต่ผมกัดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จนรู้สึกพอใจว่าเขี้ยวตัวเองน่าจะฝังจนเป็นรอยลึกแล้วจึงยอมปล่อยแขนเขาออกจากฟันตัวเอง


“บอกมา ว่ากุญแจไขกุญแจข้อมืออยู่ไหน?!”


“ในกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์!” ต้องอย่างงี้สิพ่อหนุ่ม ให้มันรู้ซะบ้างว่าสถานการณ์ไหนควรแข็งควรอ่อน


ผมยิ้มแป้น แล้วตวัดขาซ้ายมาล็อคแขนขวาเขาไว้แน่น โน้มตัวไปที่กระเป๋าหลังกางเกงยีนส์ของเขา แล้วพยายามใช้สองมือที่ถูกคล้องเข้าไว้ด้วยกันควานหากุญแจ ควานอยู่สักพักก็เจอกุญแจดอกเล็กๆ ผมรีบหยิบออกมาไขให้ตัวเองทันที แม้จะทุลักทุเลไปหน่อย แต่สุดท้ายก็สำเร็จ กุญแจมือหลุดออกจากข้อมือผม ผมรีบดึงออก ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วดึงแขนขวาวิคเตอร์ให้ไปใกล้กับเสาเตียงมุมขวาด้านบน จากนั้นก็ล็อคข้อมือขวาเขาไว้ด้วยกุญแจข้อมือติดกับเสาหัวเตียง


“เอเลี่ยน!” วิคเตอร์ตะคอกดังลั่นด้วยสีหน้าและแววตาอันเกรี้ยวกราด ผมเบ้ปากแล้วกระโดดลงไปยืนข้างล่างเตียง วิคเตอร์จ้องมองผมด้วยสายตาอาฆาต


“ถือว่าแอคติ้งแกล้งเป็นลมของผมก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย ถ้าที่กองถ่ายขาดเอ็กซ์ตร้าเรียกใช้ผมได้นะ” ผมบอกแล้วยิ้มแป้นพลางชูแม่กุญแจที่อยู่ในมือขวาขึ้นมา


“ไอ้เด็กเลี้ยงแกะ!” เขาด่าผมเสียงดังและพยายามดึงข้อมือที่ติดอยู่กับเสาเตียง


“แหม… ไอ้ผู้ใหญ่หื่นกาม!” ผมเสียงดังข่มกลับไป วิคเตอร์มองกลับมาด้วยสายตาราวกับจะเข้ามาฉีกผมให้เป็นชิ้นๆ ผมยิ้มเบ้ปากอย่างมีชัย เพราะยังไงเขาก็เข้ามาหาผมไม่ได้อยู่แล้ว เขาพยายามบิดตัวออกจากแขนขวาแต่ก็ทำไม่ได้ เลยได้แต่ทำสีหน้าหงุดหงิดให้ผมหัวเราะคิกคักคนเดียว


“อย่าให้ฉันหลุดไปได้นะ นายเจอของแข็งกระแทกแน่!” ผมทำหน้ายู่ แล้วเบะปากใส่เขา


“ผมไม่อยู่ให้คุณกระแทกผมหรอก เพราะผมจะลาออก ผมจะบอกบอกให้คุณเอมิลี่เซ็นต์ใบฝึกงานให้ผม!” วิคเตอร์นิ่งไปเบิกตากว้างมองกลับมาตาดุ แต่กระนั้นในแววตาเขาก็มีแววคล้ายความตื่นกลัวอยู่


“นายคิดว่าจะไปได้ง่ายๆ รึไง?!” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วยักไหล่ ก่อนจะตอบน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว


“ตอนแรกผมลังเลนะว่าจะเอายังไงดี แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจได้แล้วว่าผมกลับไทยดีกว่า อ้อ ไม่สิ ผมจะไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ก่อนแล้วค่อยกลับ”


“You can’t go! (ฉันไม่ให้ไป!)” เขาว่าเสียงดัง ลุกขึ้นยืนแล้วพยายามเบี่ยงตัวมาทางซ้ายเพื่อเดินมาหาผม แต่ก็โดนกุญแจข้อมือรั้งเอาไว้กับเสาเตียง


“Shit! (แม่งเอ้ย!)” เขาสบถดังลั่นก่อนจะกลับไปนั่งที่ขอบเตียงในท่าทางที่ดูขัดๆ ตามเดิม แขนขวาเขาถูกยึดกับเสาเตียง ส่วนก้นฝั่งซ้ายนั้นนั่งหมิ่นๆ อยู่ที่ขอบเตียง นั่นไม่ใช่ท่านั่งที่สบายเท่าไหร่หรอก


“ผมไม่อยู่ในคุณปล้ำหรอกนะ…” และไม่อยากอยู่ให้คุณทำให้ผมรู้สึกหน่วงใจไปมากกว่านี้แล้ว ผมต่อท้ายในใจเงียบๆ คนเดียว ผมพูดกับเขาด้วยหน้าตาที่จริงจัง แต่สักพักก็นึกอะไรสนุกๆ ขึ้นได้ แล้วคลี่ยิ้มกริ่มบนใบหน้า


“…But—if  you fucking want to fuck me you have to be a single man, and be kind to me. (แต่ถ้าคุณอยากได้ผมมาก คุณต้องไม่มีใคร และต้องใจดีกับผม)” ผมพูดไปงั้นแหละ เพราะไหนๆ จะกลับไทยแล้ว อยากพูดอะไรก็พูดเลยแล้วกัน ไม่ต้องเก็บงึมงำไว้ในใจคนเดียว


 “I think you can’t do that. So, good bye—oh, good boy—Mr. Victor Jean Raymond. (ผมว่าคุณคงทำไม่ได้ ถ้างั้นก็ลาก่อน โอ๊ะ ไม่สิ เด็กดี นะครับ คุณวิคเตอร์ จีน เรย์มอนด์)” ผมส่งยิ้มให้เขา แม้ใจจะกระตุกด้วยความใจหาย แต่ผมก็เอ่ยลาเขาตรงนี้ดีกว่า พอตรงนี้ดีกว่า


วิคเตอร์เบิกตากว้าง คราวนี้แววตาเขามีความเจ็บปวดและความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดจนผมอึ้งไป สีหน้าเขาดูทรมาน ก่อนที่เขาจะส่งเสียงโหยหวนดังลั่นห้อง


“No! No! Don’t go. Don’t leave me! (ไม่! ไม่นะ! อย่าไป อย่าทิ้งผม!)” เขาหลับตาแน่น แล้วซุกหน้าลงไปกับหมอน ผมผงะด้วยความตกใจที่เห็นความร้าวรานบนใบหน้าเขาเมื่อครู่นี้ ก่อนจะตั้งสติแล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปหาเขา รีบใช้แม่กุญแจไขกุญแจข้อมือออกให้เขาอย่างรวดเร็วด้วยอาการตกใจจนมือสั่นแทบคุมไม่อยู่ ผมดึงกุญแจข้อออกจากข้อมือเขา แล้วปล่อยให้มันค้างอยู่กับที่เสาเตียง จับแขนขวาเขาไว้และพยายามดึงให้เขาลุกขึ้นมานั่งตัวตรงๆ


“วิคเตอร์!” ผมเรียกชื่อเขา วิคเตอร์ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ใบหน้าซุกอยู่กับหมอน ผมเริ่มใจไม่ดี เลยเลื่อนมือทั้งสองข้างไปประครองศีรษะเขาขึ้นมาช้าๆ วิคเตอร์ลุกขึ้นมาตามแรงประครอง ผมจับให้เขานั่งตรงๆ วิคเตอร์ปิดตาแน่น เขาขบกรามแน่นอย่างเจ็บปวด ใบหน้าเขาเกร็งเครียดไปทั้งวงหน้า ผมใจหายวาบยิ่งกว่าตอนบอกเขาว่าจะไป ผมนั่งลงคุกเข่ากับพื้น แล้วใช้สองมือประครองใบหน้าเขาไว้อย่างอ่อนโยน


“คุณเรย์มอนด์ ใจเย็นๆ นะครับ ผม… คือผม…” ผมไม่กล้าพูดออกไปด้วยกลัวว่าจะเป็นการหลงตัวเอง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเขาที่ยังคงดูเจ็บปวด ผมก็เลยพูดออกมา


“I’m here. I’m still here… (ผมอยู่นี่ครับ ผมอยู่นี่…)” วิคเตอร์ค่อยๆ ปรับลมหายใจให้ช้าลงและเบาลง ทำให้อาการสั่นเทิ้มของเขานั้นลดลงไปด้วย เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองด้วยสายตาที่เจ็บปวดพอๆ กับสีหน้าของเขา ผมมองเขากลับไปอย่างไม่กระพริบตาเพื่อให้เขารู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ เขายังมีใครอีกคนอยู่ตรงนี้ ผมลูบมือที่ประครองกรอบหน้าเขาอยู่เบาๆ วิคเตอร์จ้องมองผมไม่วางตา ไล่สายตาจากหน้าผากลงมาที่จมูกและริมฝีปาก


“อย่าไปนะ…” เขาเอ่ยเสียงเบาโหวง แววตาเศร้าสร้อย ผมพยักหน้าตอบรับเขา วิคเตอร์คลายอาการเกร็งเครียดบนใบหน้าและสายตาลง เขายกมือขึ้นมาจับข้อมือผมทั้งสองข้างเบาๆ แล้วใช้นิ้วโป้งลูบไปมา ก่อนจะค่อยๆ ดึงแขนผมให้โน้มตัวไปข้างหน้าจนกลายเป็นกอดเขา ผมเอาคางเกยไว้กับไหล่ซ้ายของเขา วิคเตอร์โน้มตัวลงมากอดผมไว้แน่น ผมโอบรอบไหล่เขาไว้ แล้วลูบหลังเขาเบาๆ เป็นการปลอบโยน


“It’s fine. No one leaves you. I won’t leave you. (ไม่เป็นไรนะครับ ไม่มีใครจากคุณไปไหน ผมจะไม่ไปไหน)” วิคเตอร์ส่งเสียงครางด้วยความพึงพอใจ แล้วผลักผมออกเบาๆ ก่อนจะดึงให้ผมลุกขึ้นยืน เขามองตามทุกอิริยาบถของผมไม่วางตา เขาขยับขึ้นไปนั่งบนเตียง กระเถิบให้มีพื้นที่ว่างพอ โดยไม่ต้องบอกแค่มองมาด้วยสายตาแบบไม่ยอมละไปไหน ผมก็นั่งลงบนเตียงแล้วหันหลังให้เขา ก่อนที่วิคเตอร์จะกระเถิบเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง จากนั้นก็พาผมล้มตัวลงนอน เขาดึงผมไปกอดไว้แนบแน่น ชิดกับแผ่นอกและกล้ามท้องของเขา แขนขวาเขารัดเอวผมไว้แน่น ส่วนแขนซ้ายโอบรอบเหนือศีรษะผมไว้


ผมหันหน้าไปมองเขา วิคเตอร์มองกลับมาด้วยสายตาที่ผมไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า แต่ที่ผมเห็นและรู้สึกได้คือมันเป็นสายตาแห่งความห่วงหาอาวรณ์


ผมไม่ได้โลกสวยจนเกินไปใช่มั้ย


“Kiss my forehead, please. (จูบหน้าผากฉันหน่อยสิ)” ผมยิ้มนิดๆ กับน้ำเสียงออดอ้อนของเขา ก่อนจะยื่นหน้าไปจุ๊บที่หน้าผากเขาเบาๆ วิคเตอร์ยิ้มอ่อนๆ ด้วยความพอใจ ผมผละออกจากหน้าผากเขาแล้วดึงหน้ากลับมาที่หมอน วิคเตอร์กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ลมหายใจอุ่นๆ รดตรงแก้มขวาผม ก่อนที่เขาจะนอนนิ่งๆ และกอดผมไว้อยู่อย่างนั้น


คงต้องให้เขาไปก่อน สีหน้าที่เจ็บปวดและแววตาอันเจ็บปวดยังติดตาผมอยู่เลย ตอนนี้ผมไม่กล้าทำร้ายอะไรเขาเพิ่มเติม เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเจ็บปวดด้วยนั้น มันคืออะไร









หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ผมก็บังแอบโทรไปเช็คกับคุณเอมิลี่นะว่าจะสามารถเซ็นต์ใบฝึกงานได้เลยรึเปล่า เธอบอกได้ ไม่มีปัญหา แต่ติดอยู่นิเดียวที่เธอดันบินไปทำธุระที่ไมอามี่ (Miami) เป็นอาทิตย์ แล้วยังไม่มีกำหนดกลับที่แน่นอนด้วยเพราะหลังจากเสร็จงานเธอว่าจะอยู่เที่ยวต่ออีก เนื่องด้วยมันเริ่มเข้าใกล้ช่วงซัมเมอร์แล้วซึ่งการไปอาบแดดชายหาดที่ไมอามี่เป็นอะไรที่เก๋และชิคมาก ผมยังโคตรอยากไปที่นั่นเลย มันให้ความรู้สึกตื่นเต้นมากเลยนะสำหรับชายหาดที่นั่น แหม คิดดูซิถ้าเป็นผู้ชายก็คงฟินกับสาวๆ นุ่งบิกีนี่ ส่วนเก้งกวางบ่างชะนีคงมีเสียเลือดกันบ้างเพราะชายหนุ่มรูปหล่อหุ่นล่ำน่าขย้ำทั้งหลายเดินถอดเสื้อใส่แต่กางกงว่ายน้ำไปมาทั่วหาด นี่ถ้าไม่ติดว่ามีโควตาไปได้แค่ดิสนีย์แลนด์นะ ผมจะนั่งเครื่องต่อไปไมอามี่เลยแหละ (ประเด็นหลักคือเงินไม่พอ - -)


และหลังจากตื่นขึ้นมาในวันนั้น วิคเตอร์ก็ไม่ได้ลวนลามผมอีก แค่นอนกอดไว้เฉยๆ อีกสักพัก แต่ก็มีจุ๊บมีจิ๊บตามแก้ม ตามขมับไปเรื่อย จนผมต้องยกมือเบรกเขาไว้ ก่อนจะพาเขาไปทานอาหารเย็นนอกบ้านเนื่องด้วยเขาอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ผมก็ตามใจพาเขาไป แต่พอกลับมาบ้านก็ต้องส่งเขาคืนให้กับนาตาชาตามเดิม และในตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่า เห็นแค่นี้ก็ยังดีกว่าที่ต้องเห็นว่าเขาไปกับผู้หญิงคนอื่นอีกมากมาย เพราะอย่างน้อยผมก็เจ็บน้อยกว่าที่จะเห็นเขาไปเรื่อยเปื่อยกับใครต่อใคร อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มีนาตาชาคนเดียว เพราะผมเริ่มจะคุ้นชินกับภาพที่เขาอยู่ด้วยกันขึ้นมาบ้าง เหมือนกับว่า เออ มันก็มีแค่คนนี้ให้เห็นและเจ็บช้ำนี่ล่ะนะ


ผ่านมาจนครบอาทิตย์ผมก็ยังคงดูแลวิคเตอร์เหมือนเดิม ช่องว่างระหว่างเราเริ่มห่างกันมากขึ้น เขาหันไปเอาใจใส่นาตาชาตามปกติภาษาคนเป็นแฟนกัน ถามว่าเจ็บมั้ย มันก็นิดๆ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้รู้สึกอะไรก็ไม่ได้ แต่บอกตรงๆ ว่าผมรู้สึกดีกว่าที่เขาจะมาแอบทำอะไรกับผมลับหลังนาตาชาอีก


ส่วนกับผม เขาก็ยังคงมีมาแทะเล็มเล็กๆ น้อยๆ มาจับๆ ลูบๆ คลำๆ บ้าง แต่ก็ไม่ได้จาบจ้วงน่าเกลียด ผมก็ได้แต่ปัดๆ มือปลาหมึกของเขาออกจากร่างกาย และคราวนี้วิคเตอร์ดูจะมีขอบเขตให้ตัวเองในการลวนลามผมดีขึ้น (ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีสำหรับคนอย่างเขา) เหมือนเขาจะเข้าใจแล้วว่าที่ผมบอกไปว่าไม่ควรทำคือไม่ควรทำจริงๆ


แต่หลังจากโดนเขาลงโทษจูบอย่างหนักหน่วงจนชีวิตแทบวายป่วงวันนั้น ผมก็ชอบเผลอเม้มปากต่อหน้าเขาบ่อยๆ จนเขาขำไปหลายที


วิคเตอร์พูดจาดีๆ กับผมบ่อยขึ้น  ตะคอกน้อยลง อาการขี้หงุดหงิดก็ลดลง แน่นอนว่ามันไม่ได้หายไป ทุกอย่างยังคงเป็นอยู่ตามนิสัยของเขา แต่ช่วงนี้ผมเจอกับอาการเหล่านั้นไม่บ่อย แต่สำหรับนิสัยอย่างวิคเตอร์ ผมว่านั่นก็โอเคแล้ว และที่สำคัญเหมือนเขาพยายามเลี่ยงไม่คลอเคลียกับนาตาชาต่อหน้าผมสักเท่าไหร่ มีบ้างบางครั้งที่ผมเผลอไปเห็นเอง แล้วก็ต้องรีบหันรีหันขวางหนีไปเองพร้อมกับความรู้สึกตึบๆ ในใจ เฮ้อ… เขาเป็นแฟนกันนี่นะ


แต่เมื่อสองวันที่ผ่านมาผมเห็นเขาทะเลาะกันเสียงดังหลังจากที่แฟนของชาร์ลีหรือนังพญาปลวกที่ผมไม่ค่อยชอบหน้านั่นกลับไป เจ้าหล่อนแวะมาหาพร้อมชาร์ลีตอนที่นาตาชาไม่อยู่ เธอพูดอะไรกับวิคเตอร์ก็ไม่รู้ แล้วพอตอนค่ำเขาก็ทะเลาะกับนาตาชา ซึ่งวิคเตอร์ดูสบายๆ ทั้งๆ ที่นาตาชานั้นเดือดดาลส่งเสียงดังลั่นบ้าน สุดท้ายนาตาชาก็เดินสะบัดผมดำออกจากบ้านไป (เธอเปลี่ยนสีผมบ่อยเพราะต้องใช้เข้าฉากซีรีส์ที่เล่นกับวิคเตอร์) ผมที่กำลังทำกับข้าวอยู่ถึงกับหน้าเหวอ ส่วนวิคเตอร์นั่งหน้าเครียดอยู่พักหนึ่ง แต่พอรู้ว่าผมทำน้ำพริกกะปิจิ้มปลาทูให้กินก็ระริกระรี้ใหญ่ (ครกตำพริกที่อเมริกาแพงมาก)


“Do you interest to stay with me tonight?. (สนใจค้างกับฉันคืนนี้มั้ย)” ผมมองค้อนวงใหญ่ใส่เขาทันที วิคเตอร์ยิ้มแป้นตอนตักพริกกะปิราดปลาทูเข้าปาก


“No. Thank you. (ไม่ล่ะ ขอบคุณครับ)” ผมทำหน้าคาดโทษแล้วจิกตาใส่เขา วิคเตอร์หัวเราะเบาๆ แล้วนั่งทานข้าวต่อไป
สุดท้ายผมก็ไม่ได้ค้างคืนกับเขา ซึ่งเขาก็ไม่ได้รั้งหรืออ้อนวอนร้องขอผมไว้หรอก (แน่ล่ะ เขาจะทำงั้นทำไม) เขาทำท่าว่าจะไปส่ง แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ให้เขาไปเพราะไม่อยากให้เขาวุ่นวายกลับรถไปมาซึ่งวิคเตอร์ก็มีหงุดหงิดใส่ผมเล็กๆ ที่ผมดื้อไม่ยอมให้เขาไปส่งแต่ก็ไม่ได้อาละวาดอะไรมาก ก็แค่ก้มลงมากัดหูซ้ายผมแรงๆ เท่านั้นเอง


“อ้ากกก!” ผมร้องด้วยความเจ็บเมื่อเขากดซี่ฟันลงไปบนใบหู แล้วดึงแรงๆ อยู่สองสามที ก่อนจะปล่อยออกแล้วเดินหน้ามุ่ยกับขึ้นไปบนบ้าน ผมนี่หน้ายู่ด้วยความเจ็บ ยกมือขึ้นมาจับที่ใบหูที่ออกอาการแสบทรวงเบาๆ


ไอ้นี่มันซาดิสต์จริงๆ!


พอวันถัดมาผมก็มาทำงานที่บ้านเขาปกติ และนาตาชาเองก็กลับมาด้วย แต่การกลับมาครั้งนี้ (ยิ่งใหญ่เชียว) เหมือนจะเป็นภาคต่อจากการทะเลาะกันเมื่อวานกับเมื่อวันก่อน เพราะทั้งคู่มีปากเสียงกัน แต่ผมไม่รู้หรอกว่าต้นเรื่องคืออะไร ได้ยินชัดๆ ถนัดอีกทีก็ตอนที่วิคเตอร์เดินนำนาตาชามาที่ครัว


“We can get through of this shit, baby. (เราจะผ่านเรื่องแย่ๆ พวกนี้ไปได้น่า ที่รัก)” ตอนนั้นเองที่วิคเตอร์ขบกรามแน่น แววตาเขาเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างก่อนจะตะเบ็งเสียงใส่หน้านาตาชา


“I’m not your baby! (ผมไม่ใช่ที่รักของคุณ!)” นาตาชาสีหน้าผงะไป ก่อนจะชักสีหน้าด้วยความไม่เข้าใจและคงไม่พอใจ เธอจ้องวิคเตอร์ที่ทำหน้าตาน่ากลัวอยู่กลับอย่างไม่ยี่หระ


“Why?! Why you don’t like me to call you baby? WHY?! (ทำไม ทำไมคุณถึงไม่ชอบให้ฉันเรียกคุณว่าที่รัก ทำไมคะ?!)” นาตาชาถามด้วยสีหน้าเหลืออดเหลือทน วิคเตอร์ขบกรามจนกรอบหน้าขึ้นสันนูน


“Because—you’re not my baby. (เพราะว่าคุณไม่ใช่ที่รักของผม)” นาตาชาเหมือนช็อคไปแล้ว อย่าว่าแต่เธอเลย ผมยังอ้าปากหวอมองสลับทั้งสองคนด้วยความตกตะลึง ไอ้คนพูดยังคงทำหน้าตายแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร


เพี๊ย!!!


ผมสะดุ้งตกใจเมื่อนาตาชาสะบัดฝ่ามือใส่แก้มซ้ายเขาอย่างแรง ถึงหน้าไม่สั่นแต่บอกเลยว่าตบนั้นเน้นอย่างหนักหน่วง เธอมองวิคเตอร์ด้วยสายตาโกรธจัด


“You are a bastard! (ไอ้สารเลว!)” แล้วเธอก็เดินกระแทกไหล่วิคเตอร์ไปด้วยความโมโห ผมที่กำลังเช็ดจานอยู่ถึงกับต้องยกจานมาปิดปากตัวเองที่กำลังอ้าหวอด้วยความเหวออยู่ วิคเตอร์สีหน้าเครียดก่อนจะถอนหายใจหนักๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่อยู่เยื้องกับครัว ผมหันหน้าเอ๋อๆ ไปมองเจ้าไมเคิลที่มองกลับมาตาแป๋ว เอียงคอด้วยความสงสัยอย่างน่ารัก ผมพูดกับมันเสียงแห้ง พร้อมส่งยิ้มแห้งๆ ให้มัน


“Believe me, that’s better than she yells at him a monitor-lizard in Thai language meaning. (เชื่อฉันสิว่าดีกว่าเธอด่าเขาว่าเหี้ยในความหมายของภาษาไทย)”


วิคเตอร์เงียบไปตลอดทั้งวัน ผมก็ไม่กล้าไปกวนเขา วันนี้เขาไม่มีงานมีการทำ ดารานักแสดงต่างประเทศมักจะเป็นแบบนี้นะ ถ้าว่างคืออยากอยู่บ้านเฉยๆ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือหรือนอนหลับเอาแรง เล่นกับหมา หาเห็บในตัวหมากินอะไรแบบนี้ (เดี๋ยวนะ ใครเขากินเห็บ - -?) เพราะกว่าเขาจะว่างก็ไม่ได้มีบ่อยๆ ทำงานมาหนักๆ ก็ต้องอยากพักผ่อน แต่จริงๆ ผมว่าก็เป็นทุกอาชีพแหละ ทำงานหนักติดกันมาหลายวันพอมีเวลาพักก็ขอพักเอาแรงดีกว่า


“I wanna say sorry… Yeah, I know…Could you come back to my house? (ผมอยากจะขอโทษ… ครับ ผมรู้…กลับมาที่บ้านผมได้มั้ย)” เสียงวิคเตอร์คุยโทรศัพท์ในช่วงเย็น ตอนแรกๆ ผมก็สงสัยว่าจะเป็นนาตาชาหรือเปล่า แล้วการปรากฏตัวของนาตาชาในเย็นวันนั้นก็ทำให้ข้อสงสัยผมได้รับคำตอบ เธอมีสีหน้าพร้อมอาละวาดตั้งแต่เดินเข้าประตูบ้านมา ส่วนวิคเตอร์ยังคงสงบนิ่งตามเคย


“วันนี้นายกลับได้เลยนะ” วิคเตอร์บอกผมเสียงเรียบๆ แต่แอบเครียด ผมพยักหน้าหงึกหงัก แล้วหยิบกระเป๋าเป้ออกจากบ้านไป รู้สึกใจหวิวๆ ยังไงชอบกลที่วันนี้กลับเร็ว แต่ก็นะ เขาคงอยากใช้เวลาเคลียร์กับแฟนเขา แล้วผมจะอยู่เป็นส่วนเกินทำไม คิดแบบนี้ก็หน่วงใจอีกละ ผมสะบัดหัวเบาๆ แล้วเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินกลับบ้าน


หลังจากกลับมาจากบ้านวิคเตอร์ ผมก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องเงียบๆ ครุ่นคิดถึงเขาจนดึกดื่น ผมไม่เคยเลิกงานกับเขาเร็วขนาดนี้ พอเลิกเร็วขึ้นมาจริงๆ ดันเกิดอาการกระวนกระวายซะงั้น มันเป็นอาการคล้ายกับว่าไม่ชิน คล้ายกับว่าปกติผมจะใช้เวลาอยู่กับเขานานกว่านี้ ถึงแม้ว่าจะในฐานะแค่ลูกน้องกับเจ้านายก็เถอะ พอวันนี้ถูกตัดเวลาเร็วกว่าปกติมันก็เลยรู้สึกแปลกๆ ผมนอนฟังเพลงไปเรื่อย ตอนแรกกะว่าคงเพ้อเจ้อถึงเขาจนนอนไม่หลับ แต่เปล่าเลย พอถึงเพลงที่สี่ในไอพอดนาโนเครื่องเก่า ผมก็หลับไปทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำ


ตอนเช้าเอิร์ทมาเคาะประตูห้อง เมื่อคืนผมคงนอนดิ้นหูฟังเลยหลุดออกจากหูเลยทำให้ได้ยินเสียงเคาะประตู ผมเดินงัวเงียๆ ไปเปิดประตูห้อง ก็เห็นเอิร์ทที่อยู่ในชุดพนักงานสีเขียวสีเดียวกับเทพีเสรีภาพยืนมองอยู่

V
v
v

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8
Re: ||Love, no boundaries. Part: You and I||::CHAPTER 16-18:: 22.06.58
«ตอบ #83 เมื่อ22-06-2015 17:47:06 »



“เมื่อวานกลับมาตอนไหน” ผมอ้าปากหาววอด แล้วยกมือขยี้ตาเบาๆ ก่อนจะตอบเสียงอู้อี้


“กลับมาตั้งแต่เย็นๆ แล้ว แต่แมทมาถึงก็นอนยาวเลย” เอิร์ทยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยกมือมาขยี้หัวผมเบาๆ


“อย่าไปทำงานสายล่ะ เอิร์ทไปก่อนนะ” ผมยิ้มง่วงๆ ให้เขาแล้วโบกมือบ๊ายบาย เอิร์ทเดินไป ผมก็หันตัวเข้าห้องเตรียมเสื้อผ้าและไปอาบน้ำ


วันนี้วิคเตอร์มีถ่ายซีรีส์ที่สตูดิโอแต่เช้าตรู่ แต่เมื่อผมมองนาฬิกาก็เห็นว่าผมนอนเลยเวลาเช้าตรู่มานานมากแล้ว เพราะตอนนี้คือเวลาเก้าโมง ผมที่กำลังเช็ดหัวให้แห้งอย่างเบามือ เปลี่ยนเป็นขย้ำหัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนชุดพลางหยิบมือถือขึ้นมากดดู ก็เห็นว้อทแอพของวิคเตอร์เด้งขึ้นมาบอกว่าให้ไปเจอกันที่สตูดิโอได้เลย ผมไม่รู้จะโล่งใจหรือยังไงดีที่เขาไม่ได้โทรมาด่าหรือว้อทแอพมาจิกกัด ผมเลยได้แต่ตอบว่าโอเคกลับไปและเร่งจัดการตัวเองให้เสร็จก่อนจะรีบออกจากบ้าน








ผมมาถึงสตูดิโอก็ปาไปเกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว ทีมงานกำลังยกอุปกรณ์เข้าฉากและที่ยกเครนสำหรับให้ตากล้องขึ้นไปนั่งคุมกล้องบนมุมสูง ฉากสกรีนสีเขียวขนาดใหญ่ถูกขึงไว้เป็นแนวยาวของพื้นที่ในสตูดิโอ ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าวันนี้จะถ่ายฉากทะเลมั้ง เห็นแค่ฉากเขียวๆ เอาต้นมะพร้าวมาวางๆ แบบนี้ แต่พอเข้าคอมพิวเตอร์แปบเดียว เราจะนึกว่ายกกองไปถ่ายทำที่ฮาวายจริงๆ เลยล่ะ
ผมสอดส่องมองหาวิคเตอร์ก็เห็นเขายืนคุยกับคุณเดวิดผู้กำกับอยู่ แถวๆ บริเวณนั้นก็มีนาตาชายืนอยู่ด้วยซึ่งเธอกำลังถูกช่างแต่งหน้ายืนปัดยืนซับหน้าให้อยู่ เธอยืนนิ่งๆ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมามากนัก


สงสัยเมื่อวานนี้จะง้อกันเรียบร้อยแล้วมั้ง วันนี้เลยมาทำงานด้วยกันอย่างปกติสุข ผมเลิกคิ้วขึ้นแว้บหนึ่งอย่างปลงๆ แอบก่นด่าตัวเองในใจที่รู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆ ว่าเขาสองคนยังคงดำเนินความสัมพันธ์ต่อไป


ถึงเขาเลิกกัน ยังไงวิคเตอร์ก็หาผู้หญิงคนใหม่ ไม่ใช่หาผู้ชายคนใหม่ซะหน่อย


“ทำไมวันนี้มาสาย” ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมามองด้วยความสะดุ้งเล็กน้อย วิคเตอร์มองกลับมาอย่างสงสัยแต่ไม่ได้มีท่าทีดุอะไร ผมยิ้มแห้งๆ ก่อนจะตอบ


“ขอโทษครับ ผมตื่นสาย” วิคเตอร์มองหน้าผมนิ่งๆ นิ่งจนแทบจะสนิท ถ้าไม่กระพริบตาผมจะคิดว่าเขากำลังหลับในอยู่รึเปล่า และมองจนผมเริ่มรู้สึกว่าหน้าผมมีอะไรติดอยู่บนหน้างั้นเหรอ ถึงได้มองขนาดนั้น ผมเลยยกมือจับแก้มซายแก้มขวาไปมาอย่างประหม่า


“มะ… มีอะไรรึเปล่าครับ” วิคเตอร์เหมือนหลุดจากภวังค์ แววตาเขากระตุกเล็กน้อยราวกับได้สติกลับคืน เขามองหน้าผมนิ่งๆ อีกสักพักก่อนจะหันหลังไปมองบริเวณมุมขวามือของฉากกรีนสกรีนที่มีทีมงานยืนอยู่กระจุกหนึ่งและท่ามกลางทีมงานเหล่านั้นก็มีไอ้ชอนไชไส้หมากำลังยืนคุยอย่างออกรสชาติอยู่ด้วย เขาหันหน้ากลับมาด้วยสีหน้าขรึมนิดๆ


“เข้าไปรอในห้องแต่งตัวเถอะ วันนี้ฌอณเข้าฉากถึงดึก” ผมหน้าเอ๋อไปนิด ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจความหมายกับประโยคของเขา  ผมแอบเหลือบสายตาไปมองที่ฌอณก็เป็นจังหวะที่มันกำลังมองมาพอดี โดยใช้สายตากระด้างมองมา ผมเชิดหน้าขึ้นก่อนจะทำสีหน้าไม่ใส่ใจจนวิคเตอร์หัวเราะเบาๆ พร้อมรอยยิ้มกว้างจนเห็นร่องแก้มสองข้าง ผมไม่ชอบเขายิ้มแบบนี้เลย มันน่ามองเกินไป
ผมแอบตกใจที่วิคเตอร์เห็นสีหน้านั้นของผมเลยได้ส่งยิ้มแห้งๆ ให้เขากลับไป ก่อนจะเดินไปที่ห้องแต่งตัวอย่างเขินๆ ช่วงนี้เราสองคนมีสถานภาพเป็นแบบนี้แหละ ดูปกติเหมือนเจ้านายลูกน้องทั่วไป ปกติจนบางทีผมก็แอบคิดถึงอ้อมกอดและอ้อมแขนแกร่งของเขา


ฮึ่ยๆๆๆ ผมหลับตาปี๋ แล้วสั่นหัวรัวๆ กับตัวเอง ใจนี่นะ ไม่รักดีน่าจับตีให้ตาย ว่าแต่เขาชอบทำอะไรเกินเลยกับตัวเอง ตัวผมเองนี่ก็ใช่ย่อย ไม่ได้น้อยไปกว่ากันหรอก


ผมถอนหายใจกับความแรดของตัวเอง แล้วเปิดประตูสีน้ำเงินของห้องแต่งตัวในสตูดิโอเข้าไป ด้านในเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดกว้าง ใช้สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้านักแสดง แต่งหน้าทำผมในนี้ มีกระจกบานใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่แถบหนึ่งของกำแพง มีหลอดไฟกลมๆ สีส้มอ่อนๆ ติดตามกรอบไม้ ไฟแบบนี้จะดีต่อการแต่งหน้ามาก เพราะมันจะช่วยทำให้มองเห็นระดับความเข้มความอ่อนของใบหน้าได้ชัดเจน ราวเสื้อผ้าวางอย่างเป็นระเบียบ แยกเป็นชื่อนักแสดงของใครของมันเพื่อไม่ให้ปนกัน และในแต่ล่ะราวก็แบ่งแยกไว้ตามฉากเพื่อง่ายต่อการหยิบจับ ผมนั่งเล่นเกมส์ในมือถือพร้อมกับเสียบแบตสำรองไปด้วย วันนี้ทั้งวันคงอยู่แต่ในห้องนี้ เพราะข้างนอกมีไอ้ชอนไชไหปลาร้าอยู่ ผมไม่อยากมีเรื่องกับพวกโฮโมหรอก พวกนี้มันได้เกลียดเพศอย่างผม คือมันเกลียด หาเหตุผลกับมันไม่ได้หรอก ไม่เข้าใจว่าคนเพศอย่างผมไปทำอะไรให้พวกมันเจ็บช้ำน้ำใจนักหนา อากาศก็หายใจบนโลกเดียวกัน เกิดมาก็มีอวัยวะครบสามสิบสองเหมือนกัน เออ ถ้ามันมีปีกเทวดามาประดับหลังเมื่อไหร่ ผมจะไม่ว่าเลย นี่ทำอย่างกับผมไม่ใช่คน ทั้งๆ ที่ไม่ว่าเป็นเพศอะไรแม่งก็คือคนเหมือนกันนั่นแหละ แค่ไลฟ์สไตล์และจิตใจต่างกันเท่านั้นเอง


ผมเล่นเกมส์ในมือถือรอเวลาไปเรื่อยเปื่อย ท้องร้องเป็นระยะๆ แต่ไม่ได้รู้สึกหิวอะไรมากมาย เงยหน้าจากหน้าจอมองไปรอบๆ ห้องเป็นพักๆ ด้วยความเบื่อนิดๆ แล้วสุดท้ายก็กลับมาจิ้มเกมส์ต่อไป


ผมเงยหน้ามาอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินเข้ามาในห้องแต่งตัว พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นร่างสูง ไหล่กว้าง กล้ามใหญ่ของวิคเตอร์เดินหน้าเฉยเข้ามานั่งลงข้างๆ ผม


“What are you doing? (ทำอะไรอยู่)” ผมนึกแปลกใจกับคำถามของเขา คือมันก็เป็นคำถามปกตินั่นแหละ แต่ปกติคือวิคเตอร์ไม่ค่อยถามอะไรผมแบบนี้ไง ผมยิ้มแห้งๆ แล้วยกไอโฟนสีทองของตัวเองให้เขาดูหน้าจอว่ากำลังเล่นเกมส์คุ้กกี้รันอันแสนเก่ากึก แต่ผมก็ยังเก็บไว้ในเครื่องเอาไว้เล่นยามเหงาเปล่าเปลี่ยว


“มีอะไรให้ผมทำรึเปล่าครับ” ผมถามพลางกดปิดเกสม์ไป วิคเตอร์กลอกตาทำท่านึกแว้บหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมาที่ผมพร้อมรอยยิ้มนิดๆ


“มี…” เขาว่าแล้วนั่งเอาแขนวางนาบกับพนักโซฟาสีดำกำมะหยี่ในห้องแต่งตัว


“…มานั่งตักฉันหน่อย” ตอนแรกผมพยักหน้าด้วยความเบลอ ก่อนจะได้สตินึกขึ้นได้ก็รีบเปลี่ยนเป็นส่ายหัวอย่างเร็วจนสมองแทบกระเด็นออกมาทางหู


“Come on. (มาเถอะน่า)” ผมหยุดส่ายหัว แล้วขมวดคิ้วใส่เขา หันไปมองเขาด้วยส่ายตาแปลกๆ วิคเตอร์แสดงอาการหงุดหงิดให้เห็นเล็กน้อยตามนิสัย ก่อนที่เขาจะโน้มตัวมารวบตัวผมแล้วอุ้มขึ้นไปนั่งบนตักเขาอย่างง่ายดาย


"คุณเรย์มอนด์ เดี๋ยวก็มีใครเข้ามาเห็นหรอก” พูดไปสองไพเบี้ย แถมลิ้นยังเลียไปทั่วอย่างลำพอง


เขาไม่ตอบอะไรแต่หยอกล้อผมด้วยการส่งลิ้นมาเลียติ่งหูผมเล่นให้ผมเอียงคอถอยหนี แต่เขาไวกว่ารีบรวบแขนสองข้างรัดตัวผมไว้ทำให้แขนผมขยับไม่ได้ และไม่สามารถขยับหนีลงจากตักเขาได้เช่นกัน เขาสูดดมซอกขวาฝั่งซ้ายไปเรื่อย สลับกับถูจมูกขึ้นลงตรงช่วงคอและหลังใบหู ปลุกเร้าด้วยการขบเม้มริมใบหูเน้นๆ สร้างความเสียวซ่านไปทั้งตัวให้กับผม


“คะ… คุณเรย์มอนด์…” ผมเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก พยายามหดคอเพื่อไม่ให้เขาไซร้ได้ แต่เขาก็ซุกแทรกจมูกเข้ามาจนผมต้อง
เอียงคอให้เขาสูดดมกลิ่นตัวผมต่อ


“Ummm… I miss it. (อืมมม… ฉันคิดถึงมันจัง)” เขาว่าแล้วกดจูบ ดัง จุ๊บ ไปตามต้นคอ และลามขึ้นมาบนแก้มซ้าย เขาทั้งจูบทั้งหอมแก้มผมอย่างต่อเนื่อง ทำเอาผมหน้าร้อนผ่าวๆ รู้สึกตัวอ่อนยวบยาบ


“นี่มันสตูดิโอนะครับ…” ผมว่าพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากในจังหวะที่เขาเลื่อนจมูกไปซุกไซร้ที่หลังคอผม พอผมจะเงยหน้าเพื่อปิดกั้น เขาก็งับฟันลงบนหลังคอเบาๆ ราวกับเป็นการเตือน


“ไม่ได้ทำกลางสตูดิโอสักหน่อย นี่มันห้องแต่งตัว” เขาบอกอย่างง่ายดาย แล้วกดจมูกแช่อยู่หลังคอผม ส่งเสียงฮึ่มฮั่มในลำคออย่างกระหาย


“No. Don’t do this. I’m not your mistress. (ไม่เอา ไม่ทำ ผมไม่ใช่ชู้คุณนะ)” ผมเริ่มเรียกสติกลับคืนและว่าอย่างไม่พอใจเล็กๆ ทั้งที่จริงๆ ใจนี่เต้นตึกตักๆ ราวกับการรัวกลองทิมปานีขึ้นลงเร็วๆ


“Of course not. (แน่นอนว่าไม่ใช่)” เขาว่าแล้วผละออกจากหลังคอผมแล้วเขาก็ดันให้ผมล้มลงนอนไปบนโซฟา ผมที่เบลอๆ เพราะการซุกไซร้ของเขาอยู่แล้ว ก็ตกใจด้วยอาการเบลอๆ นั่นแหละ รีบยกมือขึ้นมาดันที่ไหล่ทั้งสองข้างของเขาไว้ วิคเตอร์ยิ้มตาเป็นประกายราวกับมีความสุขเหลือเกิน ส่วนผมนี่สิหน้ามุ่ยเป็นกุ้ยช่ายค้างคืน (?) แล้ว


“ผมบอกแล้วไงว่า…” เสียงผมขาดหายไปเมื่อวิคเตอร์กดจูบลงบนริมฝีปากผมหนักๆ แถมยังขบเม้มไปมาอย่างหนักหน่วงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อย ทิ้งให้ผมอ้าปากหวองงๆ วิคเตอร์ยิ้มกริ่มก่อนจะโน้มหน้าลงมาประกบปากกับผมอีกครั้ง คราวนี้ลิ้นหนาของเขาพุ่งตรงมาแตะลิ้นผมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไล้วนไปทั่วโพรงปาก


ผมรู้สึกเหมือนสมองตื้อไปแล้ว ปล่อยให้เขาจูบนำทางไปเรื่อย ลิ้นอันไม่ประสีประสาของผมก็ตอบรับการหยอกล้อของเขาอย่างงุ่นง่านจนวิคเตอร์ที่กำลังใช้ลิ้นเขานัวเนียลิ้นผมอยู่คลี่ยิ้มออกมาแต่ทว่าก็ไม่ยอมผละออกไปจากปากผม จนผมเริ่มจะขาดอากาศหายใจเลยทุบเขาที่ไหล่แรงๆ เป็นการบอก


“แฮ่ก… แฮ่ก… แฮ่ก…” ผมหายใจหอบ พยายามหอบเอาอากาศเข้าไปเยอะๆ วิคเตอร์ยิ้มหื่น แล้วเลียริมฝีปากล่างไปมาอย่างเซ็กซี่


“กลับบ้านไป ฉันจะทำให้นายหายใจแรงๆ กว่านี้แน่” เขาบอกเสียงแตกพร่า เอื้อมมือซ้ายไปจับที่เป้ากางเกงผมแล้วบีบตรงกลางกายที่กำลังแข็งปักเพราะโดนจูบเมื่อกี้ ผมหน้าแดงด้วยความอับอายทันที วิคเตอร์ยิ้มอย่างผู้คว้าชัยชนะ ก่อนจะปล่อยมือออกจากเป้ากางเกงผม แล้วรีบคว้ามือขวาผมให้ไปจับที่เป้ากางเกงเขาบ้าง


ผมถึงกับอ้าปากหวอตาโตด้วยความตกใจที่เขาทำแบบนั้น เขาจับมือผมไว้แน่นไม่ให้ดึงมือกลับ และเนื่องจากเขาใส่กางเกงแสลคสีดำเข้าฉากซีรีส์ พอจับโดนทีคือมันรู้สึกได้ว่าความเป็นชายของเขานั้นตื่นตัวเต็มที่แล้ว


“เรารู้สึกเหมือนกันแล้วนะตอนนี้…” เขาบอกเสียงเน้น ก่อนจะคลายมือที่จับมือผมให้สัมผัสเป้าเขาอยู่ออก ผมรีบชักมือกลับทันที แล้วเอียงหน้าหนีเขาด้วยความอายแบบว่าอายมาก วิคเตอร์หัวเราะเสียงต่ำๆ แล้วทำท่าจะก้มลงมาหอมแก้มซ้ายผม


“What the fuck?! (นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?!)” เสียงหวานแต่คราวนี้รู้สึกบาดหูดังขึ้น ผมชาไปทั้งเรื่อง รู้สึกถึงอุณหภูมิในร่างกายลดระดับความร้อนลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นความเย็นเฉียบ เราสองคนชะงักไปนิดก่อนจะหันไปมองเจ้าของเสียงที่กำลังยืนมองด้วยสีหน้าตื่นตะลึง


“Natasha! (คุณนาตาชา!”) ผมร้องเสียงหลง ใจตกไปอยู่นิ้วแม่โป้งเท้า นาตาชามองกลับมาด้วยสายตาอันอึ้งทึ่ง สีหน้าเธอดูช็อคไป ผมรีบหันกลับมามองวิคเตอร์ สีหน้าเขาดูจะตกใจอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้แสดงออกมากมายอะไร ผมรีบออกแรงดันไหล่เขาแรงๆ วิคเตอร์หันมามองผมคล้ายจะงงๆ เล็กน้อย ผมทำหน้าเครียดใส่เขาแล้วออกแรงดันไหล่ให้เขาออกไป วิคเตอร์เหมือนจะเข้าใจแล้วค่อยๆ ดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ผมรีบลุกขึ้นตามแล้วกระเถิบถอยห่างจากวิคเตอร์


“นี่มันหมายความว่าไงวิคเตอร์ คุณกับแมททำอะไรกัน?!” เธอถามสีหน้าเครียดขึง ผมรู้สึกใจคอไม่ดี รีบนึกคำตอบที่จะตอบเธอกลับไปทันที


“เราเล่นกันครับ วิคเตอร์เขาแค่แกล้งผมเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรเลย” นาตาชาตะวัดสายตามามองผมด้วยสายตาไม่เชื่อเต็มที่ ผมนิ่งไปแล้วกลืนน้ำลายลงคอเสียงดังอึก


“เล่นกันแนบชิดดีนะ…” เธอว่าอย่างประชด แล้วหันไปมองวิคเตอร์ที่นั่งหน้าขรึมอยู่ “…นี่คุณเป็นเกย์งั้นเหรอวิคเตอร์” คำถามธรรมดาๆ แต่ทำเอาผมใจหล่นไปที่หัวแม่โป้งเท้าอีกรอบ ผมไม่อยากให้วิคเตอร์โดนถามแบบนี้เลย ผมหันไปมองเจ้าตัวด้วยสีหน้าเครียด แต่อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าปกติแล้วตอบคำถามนาตาชาเสียงเรียบ


“เปล่า ไม่ได้เป็น” นาตาชาขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ


“ไม่ได้เป็น แล้วคุณมาทำอะไรแบบนี้กับผู้ชายได้ยังไง” วิคเตอร์ถอนหายใจเบื่อๆ ก่อนจะว่าต่อด้วยสีหน้าเบื่อๆ เช่นกัน


“ผมจะทำอะไร กับใคร มันก็ไม่เกี่ยวกับคุณนะแนท” ผมอ้าปากกว้างกว่าเดิมด้วยความตะลึงเพราะคำพูดของวิคเตอร์
ไอ้บ้า ไม่เกี่ยวได้ไง แกกับเขาเป็นแฟนกันนะ ผมหันไปมองนาตาชาที่ทำหน้านิ่ง แต่แววตาสั่นไหวนิดๆ เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ผมนี่รู้สึกใจแป้วแทนเธอเลย


“คุณลืมไปแล้วรึไง…” วิคเตอร์ว่าต่อเสียงเรียบ นาตาชาขบกรามแน่นจนหน้าขึ้นเหลี่ยมชัดเจน


“…ว่าเราสองคนเลิกกันไปแล้ว” สิ้นประโยคที่วิคเตอร์พูด ผมก็ต้องอึ้ง ทึ่ง สะพรึง เบิกตากว้างหันไปมองวิคเตอร์ที่พูดหน้านิ่ง สลับกับหันไปมองนาตาชาที่เชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้


เลิกกัน? อะไรวะเนี่ย



 :hao7: TBC.



ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8

CHAPTER 19 :: A first night of us.


บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งมึนตึง เฉยชา เงียบขรึม และชิวๆ จากผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างกายผม สำหรับผมคงเป็นอาการงงๆ เพราะยังคงไม่เข้าใจว่าเขาสองไปเลิกกันตอนไหน ส่วนนาตาชาก็ยังคงยืนตีหน้าเชิดอยู่ แต่ผมแอบเห็นนะว่าแววตาเธอมีแววเสียใจอยู่ไม่น้อย


“คุณให้โอกาสฉันอีกครั้งไม่ได้รึไงวิคเตอร์” นาตาชาคล้ายกับต้องกลั้นใจถาม เธอเดินเข้ามานั่งตรงเก้าอี้ไม้มีพนักพิงสีน้ำตาลอ่อนที่อยู่ใกล้ๆ กับวิคเตอร์ คนถูกถามทำหน้าเฉยชา แววตาที่ไม่แสดงออกอะไรชัดเจนหันไปมองนาตาชาราวกับอีกฝ่ายเป็นคนอื่นคนไกล


“ผมพยายามทำดีที่สุดแล้ว ผมพยายามเอาใจใส่คุณ ดูแลคุณ แต่ดูเหมือนคุณยังไม่พอใจกับสิ่งที่ผมให้ไป” วิคเตอร์พูดเสียงเรียบเรื่อย หน้าตาสงบ แต่คนฟังอย่างนาตาชาถึงกับสะอึกไป


“ไม่ใช่นะ…” วิคเตอร์ชักสีหน้ารำคาญนิดๆ ทันที


“ไม่ใช่?” เขาทวนคำของนาตาชาด้วยน้ำเสียงติดประชด เลิกคิ้วขึ้นมองอย่างหาคำตอบ แววตาที่มองไปหาเธอมีแววเยาะพอๆ กับรอยยิ้มจนนาตาชาหน้าเสียไปอย่างได้ชัด


ผู้ชายคนนี้นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ทำให้ผู้หญิงเสียหน้าแค่ด้วยการทวนคำและทำหน้าเยาะๆ เท่านั้นเอง เป็นผมคงน้ำตาคลอไปแล้ว ถือว่านาตาชาก็ด้าน เอ่อ อดทนได้ดีเหมือนกันนะ


“เอ่อ… คุณสองคนคงอยากคุยกัน…” ยังพูดไม่ทันจบประโยค วิคเตอร์ก็หันหน้ามามองผมด้วยสายตาปรามๆ ทันที พร้อมกับพูดเสียงเข้มพอๆ กับสีหน้า


“ไม่ต้อง อยู่นี่” ออกคำสั่งน่ะออกได้ แต่ไม่ต้องมาจับมือถือแขนได้มั้ยเนี่ย


ผมอ้าปากค้างนิดๆ เมื่อวิคเตอร์เอื้อมมือมาจับข้อมือซ้ายผมไว้แน่นเป็นการบังคับทางอ้อมว่าผมห้ามลุกออกไปจากห้องนี้ ผมเลื่อนสายตาไปมองนาตาชาตื่นๆ เธอกำลังมองหน้าด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด


“คุณกับแมทไม่มีอะไรกันแน่เหรอ…” วิคเตอร์หันไปมองคนพูด นาตาชามองมาที่มือวิคเตอร์ที่จับมือผมอยู่


“…Victor, if you are gay... (วิคเตอร์ ถ้าคุณเป็นเกย์…)”


“I said NOT! (…ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้เป็น!)” วิคเตอร์เอ่ยเสียงเข้มดุ หน้าตาถมึงทึง แววตากร้าวอย่างน่ากลัว ผมตัวเย็นวาบเมื่อเห็นสีหน้าและสายตาแบบนั้น นาตาชาผงะไป ถ้าให้เดาเธอคงชินภาพที่เขาเอาใจใส่เธออย่างดี พอเจอมุมนี้เข้าไปถึงกับหน้าซีด


“ถ้าคุณไม่มีคิวถ่ายแล้ว คุณควรมีความรู้สึกอยากกลับบ้านนะ” คล้ายจะไม่ได้เอ่ยไล่ เหมือนให้ไปคิดเอาเองอีกทีว่านี่คือการถูกไล่รึเปล่า นาตาชาขบกรามเบาๆ แล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาที่มองวิคเตอร์ตอบกลับไปเป็นแววตาที่ทั้งน้อยใจและเสียใจ แถมยังแอบมีแววโกรธผสมอยู่ด้วย แต่ผมว่าเธอไม่กล้าแสดงออกมาก ไม่รู้เพราะว่ากลัวอารมณ์วิคเตอร์ในตอนนี้หรือเป็นเพราะว่าเธอมีความผิดอะไรหรือเปล่า เธอลุกขึ้นยืนแล้วมองหน้าวิคเตอร์สลับกับมองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มเยาะที่มุมปาก


“คุณเองก็ไวดีนะคะ เลิกกับฉันไม่ทันไรก็มีคนใหม่ซะแล้ว แต่…” เธอยิ้มบางเฉียบอย่างมีเลศนัย ปรายตามองมาทางผมที่ทำหน้าอึกอักอยู่


“…ดันไม่ใช่ผู้หญิง” ผมใจกระตุก คำๆ นั้น ได้ยินทีไรยังคงทำให้ใจผมเต้นตึบตับกระทบอก พร้อมกับอาการเสียศูนย์ เสียความมั่นใจในตัวเอง


“นาตาชา!” เสียงดุแทบจะเป็นเสียงตะโกนใส่หน้าเจ้าของชื่อ วิคเตอร์บีบมือผมไว้แน่นจนผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ เขามองนาตา
ชาที่เลิกคิ้วขึ้นกวนๆ แว้บหนึ่ง


“ไม่ใช่ ผมไม่ได้เป็นอะไรกับวิคเตอร์นะครับ หมายถึงว่า เราไม่ได้มีความสัมพันธ์เกินเลยไปมากกว่าเจ้านายและลูกน้อง” นาตาชายิ้มมุมปากมาให้ผม และพยายามไม่สบตาขวางๆ ของวิคเตอร์


“ถึงฉันไม่ได้ฉลาดมาก แต่ฉันก็ไม่ได้โง่ถึงกับดูไม่ออกกับสิ่งที่ฉันเห็นตอนที่เดินเข้ามาหรอกนะ” ผมหน้าตื่น รีบยกมือขวาโบกปฏิเสธพร้อมกับส่ายหัวรัวๆ


“เราเล่นกันครับ เล่นกันเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย….” ผมบอกเสียงแห้ง จนขาดห้วงไป มือที่โดนวิคเตอร์บีบไว้ก็ปวดตุบๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับจะแตกร้าวอะไร นาตาชายักไหล่น้อยๆ แบบไม่ใส่ใจอะไรเท่าไหร่


“เล่นกันถึงเนื้อถึงตัวดี…” เธอหันไปมองหน้าวิคเตอร์ที่ทำหน้านิ่งจนน่ากลัว


“…ฉันไม่ได้รังเกียจเกย์หรอกนะคะ แต่ฉันตกใจมากกว่าที่เสือผู้หญิงอย่างคุณจะเปลี่ยนใจมาชอบผู้ชาย มันดูไม่เข้ากับคุณเลยสักนิด”


“…” วิคเตอร์ยังนิ่งไม่ตอบ ผมว่าตอนนี้เขากำลังโกรธจนพูดไม่ออกมากกว่า เพราะถ้าพูดอะไรออกมาตอนนี้ ได้กลายเป็นตะคอกใส่นาตาชาแน่ๆ


“แต่จะว่าไป ฉันก็รู้สึกเสียเซลฟ์อยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่ต้องเห็นแฟนเก่าตัวเองไปคบกับผู้ชาย”


“เราไม้ได้คบกันนะครับ!” ผมรีบโพล่งออกไปทันที นาตาชาทำหน้าว่างเปล่าราวกับว่าไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมพูดเลยสักนิด


“คุณแน่ใจแล้วนะคะวิคเตอร์ว่าจะเปลี่ยนจากแบบมนุษย์ปกติทั่วไป ไปเป็นเพศ เอิ่ม แบบที่สามของสังคม” เธอคงพยายามเลี่ยงคำว่า เพศที่สาม ต่อหน้าวิคเตอร์ ผมโคตรรู้สึกไม่ดีกับคำพูดของเธอเลย ถึงมันจะเป็นคำพูดที่ไม่ได้จิกกัดหรือด่าว่าอะไร แต่เป็นแค่ประโยคธรรมดาๆ ที่มันทำให้ใจผมรู้สึกแย่จริงๆ ที่สำคัญผมเป็นห่วงความรู้สึกของวิคเตอร์ เพราะเขาไม่ได้คิดอะไรกับผมเลย ที่ทำไปก็คงเพราะอารมณ์ทางเพศแบบที่ผ่านมานั่นแหละ


“Out. (ออกไป)” เสียงสงบแต่ทรงพลังเปล่งออกมาจากริมฝีปากหนาสีแดงหม่นของวิคเตอร์ เขานั่งนิ่งมองนาตาชาอย่างไม่วางตา แต่เป็นแววตาที่มีแต่ความไม่พอใจ ไม่ชอบใจ นาตาชาชะงักไปเมื่อเห็นแววตานั้น เธอสูดลมหายใจเข้าปอดเบาๆ ก่อนจะกระแอมคอให้โล่ง แล้วพยายามบอกเสียงสบายๆ


“ฉันยังไม่หมดคิว และถ้าคุณพร้อมแล้วก็ออกไปเข้าฉากด้วยก็แล้วกัน” วิคเตอร์ไม่ตอบอะไร จนนาตาชาต้องเป็นฝ่ายเงอะงะไปเอง เธอหมุนตัวเดินไปทางประตู สะโพกยังคงบิดไปมาอย่างน่ามองเช่นเคย ผมมองตามหลังเธอไปด้วยความกังวลใจ นึกในใจว่าไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือคนที่เคยคบกันมาก่อน


เขาเลิกกันเพราะอะไรนะ ผมหันไปมองวิคเตอร์ที่นั่งหน้าเครียดอยู่ ที่เขาเป็นแบบนี้ไม่น่าจะใช่เพราะการเลิกกับนาตาชาหรอก แต่เขาน่าจะกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่แน่ๆ


เรื่องอะไรกันนะ ผมไม่สบายใจเลยที่เห็นหน้าตาเขาหม่นขนาดนั้น


“คุณเรย์มอนด์…” ยังไม่ทันพูดจบ เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาหันมามองหน้าผมแว้บเดียว ก่อนที่เขาจะเลื่อนสองมือขึ้นมาจับกรอบหน้าผมไว้แน่น แล้วพุ่งเข้ามาประกบปากผมอย่างรวดเร็ว


รสจูบของเขาเร่าร้อนเหมือนเคย เล่นเอาผมสมองสั่งการรวนไปหมด เขาดูดดึง ขบเม้มริมฝีปากบนผมอย่างหื่นกระหาย ใบหน้าเขาไม่ได้เอียงให้ได้มุมใดๆ แต่จูบตรงๆ อย่างคุกคาม ไล้ลิ้นเลียริมฝีปากล่างริมฝีปากบนไปมา ผมพยายามโต้กลับด้วยการขบเม้มริมฝีปากล่างเขาบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยทันเขาหรอก นี่ถ้าเขากินปากผมได้เขาคงกินไปแล้ว


“ฮื่อออ…” ผมร้องประท้วงออกมาเบาๆ เมื่อเริ่มหายใจไม่ทัน ลิ้นเราเกี่ยวพันกันจนผมใจจะขาดแล้ว มันก็เร้าอารมณ์ดีอยู่หรอก แต่ผมตะวัดสู้เขาไม่ได้เลย


วิคเตอร์ค่อยๆ ผ่อนแรงลิ้นของเขาลง ก่อนจะค่อยๆ ผละออกจากริมฝีปากผมช้าๆ ผมหายใจหอบ หรี่ตามองใบหน้าหนวดหล่อเหลาของอีกฝ่ายที่มีแววเครียดขึงขึ้นมา แววตาครุ่นคิดกวาดมองใบหน้าผมไปทั่วราวกับกำลังสำรวจมองหาอะไรสักอย่างหรือเขาคงกำลังรู้สึกอะไรสักอย่างอยู่


“คุณโอเครึเปล่า…” ผมถามเสียงเหนื่อย รู้สึกเป็นห่วงเขาเมื่อเห็นว่าใบหน้าเขาฉาบไปด้วยอาการตึงๆ เขามองหน้าผมนิ่งๆ อีกสักพัก ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วปล่อยมือออกจากกรอบหน้าผม


“จูบหน้าผากฉันหน่อยได้มั้ย…” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว ผมกระพริบตาด้วยความงงนิดๆ แต่ก็ขยับตัวเข้าไปใกล้เขาแล้วโน้มหน้าไปจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากเขาหนักๆ หนึ่งที ผมได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจอย่างพึงพอใจจากวิคเตอร์แล้วผละออกจากหน้าเขาช้าๆ


ผมมองหน้าเขาก็เห็นว่าเขามีอาการผ่อนคลายมากขึ้น แววตาดูคลายอาการใดๆ ที่เขามีก่อนหน้านี้ ใบหน้าไม่เกร็งจนกลัวว่าจะเมื่อยกล้ามเนื้ออีก ผมยิ้มนิดๆ เขาเองก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ ราวกับเขารู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว


“ไปทำงานเถอะครับ เดี๋ยวทุกคนจะรอ”  เขาทำท่าอึกอักและอึดอัดเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ผมเองก็มองหน้าเขาอย่างงงๆ เพราะไม่เข้าใจว่าเขาจะพูดอะไร แต่สุดท้ายเขาก็นิ่งไปพร้อมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้าวเท้าเดินไปที่ประตู ผมมองตามไหล่กว้างร่างสูงของเขาไปหยุดที่ประตู


วิคเตอร์หันมามองผมอย่างที่ผมก็ไม่สามารถตรัสรู้ได้ว่าไอ้สายตาหลุกหลิก ไหวระริกไปมานั่นคือจะสื่ออะไร ผมจะยิ้มให้ก็กลายเป็นเหมือนยิ้มกระตุกๆ


“ถ้าเบื่อก็ออกไปข้างนอกก็ได้นะ ไปนั่งกับเดวิด…” แล้วเขาก็เอ่ยออกมา ไม่แน่ใจว่านั่นคือสิ่งที่เขาอยากจะพูดออกมาจริงๆ หรือเปล่า ผมพยักหน้ารับงงๆ แล้วลุกขึ้นยืน เดินตามหลังเขาที่ออกจากห้องไปอย่างเอ๋อๆ


ก็ดีเหมือนกัน ผมไม่ใช่คนติดเกมส์เท่าไหร่ เล่นไปสักพักเดี๋ยวก็เบื่อ ออกไปดูการทำงานของกองถ่ายยังรู้สึกว่ามีอะไรทำมากกว่านี้อีก ผมกวาดสายตามองหาไอ้ชอนไชไส้หมาไว้ก่อน เพื่อที่จะได้รู้ว่ามันอยู่มุมไหน จะได้ไม่เฉียดเข้าไปใกล้ วิคเตอร์เดินไปรวมกลุ่มกับพวกเดวิดที่คุยกันอยู่หน้าเซ็ทกับนักแสดงคนอื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่ามีนาตาชาและไอ้ฌอณอยู่ด้วย


ผมเดินมานั่งเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างหลังเก้าอี้ผู้กำกับที่อยู่หน้าจอมอนิเตอร์อีกที สายตาก็มองไปทางกลุ่มนักแสดงและทีมงาน ผมสังเกตเห็นว่านาตาชาลอบมองวิคเตอร์อยู่บ่อยครั้ง เธอไม่ได้แสดงท่าทีหรืออาการใดๆ ที่บ่งบอกว่ากำลังเหยียดวิคเตอร์อยู่ ผมไม่อยากให้วิคเตอร์โดนมองไม่ดี และได้แต่หวังว่านาตาชาจะไม่ทำร้ายเขาด้วยการพูดถึงเขาเสียๆ หายๆ หลังจากเลิกกันไปแล้วหรอกนะ


หลังจากนัดแนะคิวและบทต่างๆ แล้ว คุณเดวิดก็เดินกลับมานั่งประจำที่ เขาเอ่ยทักทายผมตามภาษาคนรู้จักกัน ผมนั่งคุยกับเขาเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งทีมงานยกสเลทมาไว้ที่หน้าจอเป็นสัญญาณบอกว่าพร้อมแล้ว คุณเดวิดจึงละจากผมแล้วหันไปสนใจงานตัวเอง


“Tape! 5…” คุณเดวิดส่งสัญญาณ ผู้ช่วยผู้กำกับรับช่วงต่อแล้วจากนั้นตัวเลขบนหน้าจอมอนิเตอร์ก็เริ่มวิ่ง แล้วแอคติ้งของนักแสดงก็เริ่มออกลีลาลวดลาย


ถือว่าวิคเตอร์แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานได้ดี เพราะเขายังคงแสดงฉากใกล้ชิดกับนาตาชาได้อย่างปกติ แสดงว่าเขาคงเอาตัวตนของตัวเองออกไป แล้วใช้ตัวตนของคาแรคเตอร์ที่สวมบทบาทอยู่เข้ามาแทน ฉากนี้เป็นฉากบู๊ พระเอกมาช่วยกิ๊กคนใหม่ (ซึ่งในชีวิตจริงเก่าแล้ว) ที่ถูกพวกคนร้ายจับมาเป็นตัวล่อพระเอกให้มาที่ฮาวาย


ก็บู๊กันไปตามคิว วิคเตอร์ออกแอคติ้งได้เป็นธรรมชาติเช่นเคย ผมชอบจริงๆ ไอ้ความหล่อที่พอดีของเขาเนี่ย ไม่เว่อร์จนเกินไปหรือไม่น้อยไปจนหาไม่เจอ เออ แล้วผมก็มานั่งเพ้อละเมอถึงเขาอีกละ ทำอย่างกับเป็นติ่งดารา ก็เอ่อ เขาก็เป็นดารานั่นแหละ แต่ผมไม่ใช่ติ่งเขาหรอกนะ เพราะผมว่าตอนนี้ผมมองข้ามการที่เขาเป็นดารานักแสดงไปแล้ว
ผมส่ายหัวแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ไลน์ไปหานังเก้าที่ไม่ได้คุยกันเลยตลอดเดือนที่ผ่านมา เพราะต่างคนต่างทำงาน เวลาว่างไม่ตรงกัน แต่ประเด็นหลักๆ คือผมทำงานจนลืมคุยมากกว่า ซึ่งคิดว่าพวกนั้นก็เป็นเหมือนกัน ผมพิมพ์เรื่องที่อยากจะคุยกับมันทิ้งไว้คร่าวๆ เดี๋ยวถ้ามันอ่านแล้วก็คงจะตอบกลับมา


“เฮ้ย! ระวัง!”


โครม!


เสียงอะไรบางอย่างดังสนั่นไปทั่วสตูดิโอดังลั่นกระแทกเข้าไปในรูหูผมจนต้องรีบเงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมามอง พอมองผ่านที่หน้าจอมอนิเตอร์อีกที ภาพตรงหน้าเซ็ทก็ตัดไปแล้ว ผมเลยลุกขึ้นยืนแล้วชะเง้อมองไปที่เหตุการณ์ชุลมุนตรงหน้า


“เกิดอะไรขึ้นหรอครับ” ผมหันไปถามคุณเดวิดที่กำลังชะเง้อมองด้วยความตื่นตระหนกเช่นกัน


“เหมือนว่าฉากไม้ริมชายหาดจะล้มทับวิคเตอร์นะ” ผมเกือบพยักหน้ารับรู้เต็มๆ ละ แต่ก็ผงะเมื่อได้ยินชื่อวิคเตอร์ แล้วผงกหัวขึ้นมองคุณเดวิดด้วยอาการตื่นตะลึง ก่อนสติจะมา ขาผมก็ก้าวยาวๆ ไปที่หน้าเซ็ทก่อนแล้ว ตอนนี้ทีมงานกำลังเร่งรีบช่วยกันยกฉากไม้ขนาดใหญ่อยู่ พอฉากไม้ถูกยกให้กลับมาตั้งบนพื้นเหมือนเดิม ผมก็ตาค้างกับภาพที่เห็น


วิคเตอร์นอนโอบนาตาชาเอาไว้ แล้วใช้แขนขวาเป็นกำบังฉากไม้เพื่อไม่ให้มันหล่นลงมาทับตัวเขาทั้งสองคน ส่วนนักแสดงและตัวประกอบคนอื่นๆ เหมือนจะอยู่ห่างจากรัศมีฉากไม้นั้นพอสมควรเลยกระโดดหลบพ้นกันหมด


วิคเตอร์หน้าเหยเกด้วยความเจ็บ แขนขวาเขาค้างอยู่แบบนั้น แขนซ้ายก็โอบไหล่นาตาชาให้เธอซุกไว้กับอก ผมตั้งสติรีบวิ่งเข้าไปดู ก็เห็นเลือดไหลเป็นทางเล็กๆ ตามแขนเขา


“วิคเตอร์!” เสียงนาตาชาร้อนลน เธอรีบลุกขึ้นนั่งแล้วยื่นมือมาจับแขนขวาของวิคเตอร์ แต่ทำเอาเขาร้องลั่น


“โอ๊ย!” สีหน้าเขาเจ็บปวดจนนาตาชารีบปล่อยมือ ผมเม้มปากก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปจับแขนเขาไว้เบาๆ วิคเตอร์ย่นหน้าด้วยความเจ็บนิดๆ


“คุณเจ็บหรือคุณแสบแผล” ผมเอ่ยถามเขาซึ่งเป็นคำถามงี่เง่าที่ไม่ควรถามมากเมื่อเห็นจากสภาพเขา แต่ผมรวนไปหมดเมื่อเห็นเขาเจ็บและมีเลือดไหลแบบนี้ ผมหันไปยื่นมือขอทิชชูจากช่างแต่งหน้าแล้วเอามาซับเลือดที่แขนเขาเบาๆ จังหวะที่ผมกดลงบนแขนเขาก็จะสะดุ้งนิดๆ พร้อมกับซี๊ดปากด้วยความเจ็บเบาๆ


“เจ็บ…”


“ฉันว่าแขนเจาอาจจะหัก พาเขาไปหาหมอดีกว่า” นาตาชาบอกหน้าซีด ดูเธอยังช็อคกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อยู่ ผมรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าแขนเขาอาจจะหัก


“วันนี้เลิกกองก่อน ทุกคนแยกย้ายได้ เดี๋ยวฉันจะพาวิคเตอร์ไปหาหมอ!” คุณเดวิดประกาศเสียงดังลั่น ไม่มีใครปรบมือหรือโห่ร้องดีใจที่ได้เลิกงาน ทุกคนมองวิคเตอร์ด้วยความเป็นห่วง เว้นก็แต่ไอ้ห่าฌอณที่ทำหน้าตาเฉยเมย แต่เอาเข้าจริงก็ว่ามันไม่ได้ เพราะมันคงไม่รู้จะต้องทำหน้ายังไงมั้ง จะให้มาคร่ำครวญเป็นสาว มันก็ไม่ทำหรอก


ผมพยายามจะยกร่างวิคเตอร์ให้ลุกขึ้นโดยโอบแขนซ้ายไว้ใต้วงแขนซ้ายของเขา แล้วใช้มือขวาพยุงแขนขวาเขาไว้ไม่ให้มันเขยื้อนรุนแรง แต่ดูเหมือนผมจะตัวเล็กเกินไปที่จะแบกผู้ชายฝรั่งร่างใหญ่อย่างเขา


“ไม่เป็นไรแมท เดี๋ยวฉันจัดการเอง” คุณเดวิดที่คงทนกับความทุลักทุเลของคนที่สูงแค่อกวิคเตอร์อย่างผมไม่ไหว เลยออกปากด้วยสีหน้ายิ้มแซวๆ ผมยิ้มแห้งๆ กลับไป แล้วปล่อยแขนตัวเองออกจากร่างหนาของวิคเตอร์ เขาหันมามองผมด้วยสีหน้าเจ็บๆ แต่ก็ยังพยายามกระตุกยิ้มมาให้ ผมเกือบจะกระตุกยิ้มตอบแต่พอดีเหลือบไปเห็นสายตาของนาตาชาที่มองมาอย่างเคลือบแคลงก็เลยหุบยิ้มฉับพลัน แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตัวเอง ส่วนคุณเดวิดเข้าไปประครองร่างวิคเตอร์ให้ลุกขึ้นยืน ทีมงานคนอื่นๆ พยายามจะเข้ามาช่วย แต่คุณเดวิดยกมือห้ามไว้ และบอกว่าเดี๋ยวเขาจัดการเอง


“เดี๋ยวเอารถฉันไป รถวิคเตอร์ทิ้งไว้ที่นี่ก่อน” คุณเดวิดหันมาบอกผมที่กำลังเดินตามมา มีนาตาชาและทีมงานบางส่วนเดินตามมาติดๆ พวกเราเดินออกมาด้านหลังของสตูดิโอที่เป็นลานจอดรถกว้างๆ


“ฉันไปด้วยนะคะ” นาตาชาบอกด้วยสีหน้าเป็นกังวลใจ และดูแล้วเธอเองก็ห่วงวิคเตอร์ไม่น้อย


“ฉันไม่ได้จะกีดกันคนเป็นแฟนกันหรอกนะ แต่เธอไม่ต้องไปหรอก หาหมอเสร็จแล้วเธอค่อยตามมาก็ได้” นาตาชาหน้าเจื่อนลงไป ไม่รู้เพราะถูกห้ามไม่ให้ไปหรือเพราะสะเทือนใจกับว่าคนเป็นแฟนกันกันแน่ เพราะคุณเดวิดคงยังไม่รู้ล่ะมั้งว่าสองคนนี้เพิ่งเลิกกันสดๆ ร้อนๆ


“แต่… วิคเตอร์ช่วยฉันไว้”


“ผมช่วยเหลือเหมือนเพื่อนมนุษย์ทั่วๆ ไป ไม่ได้จะทำตัวเป็นฮีโร่หรอกแนท” วิคเตอร์ที่สีหน้าดีขึ้น บอกกับนาตาชาหน้าเรียบ คุณเดวิดเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ สงสัยจะงงว่าทำไมวิคเตอร์ใช้สรรพนามแบบนั้น


“งั้นฉันจะเป็นห่วงคุณแบบเพื่อนไม่ได้รึไง” เธอบอกด้วยอาการฉุนนิดๆ ที่วิคเตอร์มีท่าทีเฉยชากับเธอแบบนั้น


“ผมขอบคุณมาก แต่คุณอยู่นี่เถอะ มีเดวิดกับแมทไปด้วยแล้ว” เขาตัดบทอย่างรักษาน้ำใจ ซึ่งดูจะทำให้นาตาชาอ่อนลงเช่นกัน เธอพยักหน้ารับเบาๆ


พวกเราสามคนขึ้นมานั่งอยู่บนรถโดยที่ผมนั่งอยู่เบาะหลัง คอยสอดมือจากหลังเบาะที่วิคเตอร์นั่งไปซับเลือดให้เขาเป็นระยะๆ


“เลิกกันตั้งแต่เมื่อไหร่” คุณเดวิดถามในขณะที่กำลังขับรถไปบนท้องถนนเส้นหลักเรื่อยๆ หลังจากออกมาจากสตูดิโอแล้ว


“เมื่อวานนี้ แล้วก็ ผมบอกเลิกเอง” คุณเดวิดหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงแซว


“หล่ออีกตามเคยสินะ” ผมไม่เห็นว่าวิคเตอร์ทำสีหน้ายังไง เพราะผมนั่งซ้อมอยู่หลังเบาะที่เขานั่งเพื่อจะได้เอื้อมมือไปเช็ดเลือดที่แขนเขาได้อย่างถนัดๆ


“เขาเองก็สวยเลือกได้” วิคเตอร์ว่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ และเดาว่าสีหน้าเขาคงไม่ได้รู้สึกอะไรมาก


“บอกตรงๆ ฉันว่าดีแล้วล่ะที่พวกนายเลิกกัน ฉันยังมองไม่เห็นเลยว่านายกับเธอจะไปรอด”


“แล้วก็จริง” สองหนุ่มหัวเราะพร้อมกัน ส่วนผมก็นั่งนิ่งๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร แต่เห็นเงียบๆ ผมฟาดเรียบ เอ้ย! เก็บข้อมูลเพียบนะครับ


“แล้วเลิกกันเพราะอะไรล่ะ” วิคเตอร์ยักไหล่หน่อยๆ ก่อนจะตอบน้ำเสียงที่โคตรชิว


“เธอแอบไปนอนกับแฟนเก่า” โอ้วชิททท!


ผมนี่แทบทำทิชชูที่เปื้อนเลือดวิคเตอร์หล่นด้วยอาการสะดุ้งของตัวเอง ประเด็นคือวิคเตอร์ตอบได้สบายมาก ตอบแบบไม่ได้ทุกข์ไม่ร้อน ไม่เจ็บปวดอะไร


“นี่นายไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยรึไง” คุณเดวิดถามได้ดี เพราะผมเองก็อยากรู้ ผมรู้นะว่าไอ้ยักษ์หนวดมันมึน มันอึน หน้าด้าน หน้าทน แต่กับเรื่องแบบนี้ก็ไม่น่าจะทนได้หรือทำท่าชิวสบายใจได้ขนาดนี้ปะวะ


“ก็ไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่” ผมขมวดคิ้วงง นึกในใจว่าอะไรของเขาวะ ไม่ได้ลึกซึ้ง แต่เอากันจนลึกไปหมดแล้วมั้งน่ะ


อ้ากกก ผมพูดอะไรไปเนี่ย ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้  ถ้าแม่รู้ แม่ต้องเอากรรไกรเลาะปากผมแน่ๆ


“ฉันงงนะ แต่ฉันไม่ถามต่อหรอก เพราะฉันเชื่อว่าฉันจะงงยิ่งกว่าเดิม” แล้วคุณเดวิดก็หัวเราะร่าในตอนที่ตีไฟเลี้ยวตรงช่วงถนนเมดิสันที่เป็นแหล่งตึกอาคารสูงของสำนักงานหลายบริษัท โดยมีเสียงวิคเตอร์หัวเราะต่ำๆ ร่วมด้วย


โธ่ คุณเดวิด ถึงจะงง ก็ถามต่ออีกหน่อยก็ไม่ได้ ต่อมเผือกกำลังออกอาการเลยเนี่ย


โชคดีที่วิคเตอร์ไม่ได้แขนหัก แค่แขนซ้นกระดูกเคลื่อนเฉยๆ แต่หมอจัดการจัดแจงให้มันเข้าที่เข้าทางตามเดิมแล้ว มิน่าล่ะ เวลาเขาขยับแขนถึงได้บอกว่าเจ็บเสียดๆ เหมือนกระดูกทิ่มเนื้อ ผมนี่คิดภาพตามว่ากระดูกทิ่มเนื้อเขาออกมาข้างนอก ก็ได้แต่สยองอยู่คนเดียว ไม่ชอบอะไรที่มันน่าหวาดเสียวแบบนี้เลย


แต่ถึงแม้จะไม่ได้แขนหักจนเดี้ยง หมอก็ให้วิคเตอร์ใส่เฝือกอ่อนไว้ก่อน เพราะช่วงนี้แขนเขาถือว่าไม่ค่อยแข็งแรง หากได้รับการกระทบกระเทือนอีกก็คงไม่ดีนัก ซึ่งจะต้องใส่ประมาณสองสัปดาห์แล้วค่อยถอดออก แล้วกลับมาหาหมอเพื่อดูอาการอีกที แต่หลังจากพบหมอ วิคเตอร์ก็ลองขยับแขนเขาให้ดู ก็เลยเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก มีอาการเคล็ดขัดยอกและเสียดๆ เล็กน้อย ใส่ตาข่ายรองเฝือกคล้องคอไว้ตามธรรมเนียมของคนแขนเดาะ แขนหัก


ผมเปิดประตูบ้านให้เขาเข้าไป วิคเตอร์หยุดชะงักแล้วหันไปกดล็อครถที่ไปเอามาหลังจากหาหมอเสร็จ ตอนแรกคุณเดวิดท้วงเพราะกลัวเขาขับไม่ถนัดแล้วเกิดอุบัติเหตุอีก แต่พ่อพระเอกเขาก็เทพสามารถขับมามือเดียวได้จนมาถึงบ้านโดยที่ไม่เกิดอุบัติเหตุเลย ผมนี่นั่งมาตัวเกร็ง แต่ดีที่ว่าเขาขับช้าๆ ไม่ได้ขับเร็วมาก วิคเตอร์ถึงกับยิ้มขำมาตลอดทางที่เห็นผมนั่งตัวแข็งทื่อ แถมยังมีการแกล้งขับรถเป๋ๆ ให้ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มอีก


“ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้างครับ” ผมถามหลังจากปิดประตูบ้านตามหลังเขาเข้ามายืนใกล้ๆ กับครัว วิคเตอร์หันมามองผมงงๆนิดหนึ่ง ผมบุ้ยปากไปที่แขน เขาเลยทำหน้าเข้าใจก่อนจะตอบ


“ก็ปวดหน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ปวดมากมายอะไร” ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา ก่อนจะเงยหน้าพูดกับเขา


“งั้นเดี๋ยวทานข้าวกลางวัน  จะได้ทานยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบนะครับ” วิคเตอร์พยักหน้าหงึกๆ


“คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ย”


“เอาเหมือนเดิม” ผมพยักหน้าด้วยความเข้าใจว่าเหมือนเดิมของเขาคือข้าวไข่เจียงกุ้ง ท่าทางจะชอบกินจริงจัง ครั้งที่แล้วผมลืมใส่นมให้ แต่เพราะมึนตึงใส่กันอยู่ ลิ้นเขาเลยลืมรสชาติมั้งว่ามันไม่มีนมผสมอยู่


ผมหันกลับมาเตรียมของเพื่อทำไข่เจียวให้เขา แล้วห้วงความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวว่า นี่คือคนสองคนที่เพิ่งจูบกันอย่างหนัก
หน่วงไป แล้วมายืนคุยกันอย่างปกติในห้องครัวของบ้านใช่มั้ย คือผมหมายถึงว่า ไม่ได้เป็นอะไรกัน แล้วจูบกัน มันต้องทำตัวต่อกันยังไงหลังจากนั้น ซึ่งเอาจริงๆ ก็คงไม่ต้องคิดอะไรมากมาย เพราะวิคเตอร์เองก็ดูจะปกติดี แต่ผมนี่สิ เริ่มจะกลัวจูบเขา กลัวว่าตัวเองจะเคลิ้มแล้วมันจะกลายเป็นมากกว่าจูบ


ฟึบ~ ฟอด~


ผมถูกเขาสวมกอดด้วยแขนซ้ายแขนเดียวจากด้านหลังและถูกเขาหอมแก้มซ้ายหนักๆ ในขณะที่กำลังตีไข่เจียวอยู่ ผมชะงักมือที่กำลังตีวนไข่อย่างเมามันส์ ย่นคอหนีจมูกเขาที่เข้ามาคลอเคลียแก้มผมไปมา


“คุณเรย์มอนด์...”


“…ทำต่อไปสิ ฉันไม่ได้ห้ามอะไรสักหน่อย” เขาบอกเสียงกรึ่ม มือซ้ายที่กอดเอวผมไว้กระชับแน่นขึ้นมาอีกนิดแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัด จมูกโด่งคลอเคลียอยู่แก้มกับขมับผมเบาๆ


“ผมทำไม่ถนัดนะ คุณไปนั่งรอเถอะ” พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทองอีกละผู้ชายคนนี้ แก้วหูเขาเสื่อมรึเปล่าถึงได้ทำตรงข้ามกับที่ผมบอก


“นายจะมาอ้างว่าฉันมีแฟนไม่ได้แล้วนะ เพราะฉันไม่มีแล้ว” เขาว่าแล้วพยายามขยับเข้ามาชิดตัวผมแต่ก็โดนแขนขวาที่เข้าเฝือกไว้อยู่เป็นตัวกั้น วิคเตอร์ส่งเสียงฮึ่มฮั่มอย่างหงุดหงิดเบาๆ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือที่เอวผมและก็ยืนอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน


ผมไม่พูดปฏิเสธอะไร เพราะเอาตรงๆ จากใจ ผมก็ชอบความรู้สึกอบอุ่นจากอ้อมแขนของเขา ถึงตอนนี้จะโอบผมได้แค่แขนเดียวก็เถอะ แต่มันก็ยังอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัยเฉกเช่นทุกครั้งที่โดนเขาโอบกอด เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขามีนาตาชาเป็นหลักเป็นแหล่ง พอจะทำอะไรแบบนี้ ผมก็จะรู้สึกไม่ดีอยู่ในใจ ถึงชอบ แต่มันก็ยังตะขิดตะขวงใจแปลกๆ แต่มาตอนนี้พอรู้ว่าเขาไม่มีใครแล้วจริงๆ มันก็เป็นความชอบที่ปรอดโปร่ง ไม่รู้สึกอึดอัดใจ อยากทำอะไรก็ปล่อยไปตามใจได้เต็มที่


ถึงจะยังมีความไม่เข้าใจอยู่ในใจก็เถอะว่าเขาทำแบบนี้เพราะอะไร อยากรู้ แต่บอกตรงๆ ผมไม่อยากถาม ไม่กล้าถาม แม้กระทั่งจะคิดให้ตัวเองชื้นใจขึ้นมาหน่อย ผมยังแอบกลัวเลย เพราะดูจากนิสัยและการกระทำเขาแล้ว เขาอาจทำไปเพราะแค่เขาอยากทำก็เป็นได้


“นี่ ผมไม่ถนัดจริงๆ นะ คุณไปนั่งรอเถอะ”


“ไม่…” ผมถอนหายใจเบาๆ เมื่อเขายังคงทะเล็มแก้ม แทะเล็มซอกคอผมไปเรื่อย ผมแทบจะเทไข่เขวออกนอกกระทะตอนที่เขาใช้ริมฝีปากงับใบหูขวาผมเบาๆ


“คุณเรย์มอนด์! ถ้าจะอยู่ตรงนี้ ช่วยอยู่นิ่งๆ ได้มั้ย” ผมว่าเสียงดุๆ พลางหยิบตะหลิวสีดำขึ้นมาเพื่อเตรียมพลิกไข่ในกระทะ


“กินนายแทนไข่ได้มั้ย เมื่อไหร่จะให้ฉันกินนายสักที ฉันโสดแล้วยังใจดีกับนายไม่พออีกหรอ” เป็นผู้ชายที่ฟังคนอื่นจริงๆ
เขาแล้วเลื่อนมือซ้ายไปจับที่ก้นซ้ายผม ก่อนจะบีบคลึงสลับเบาสลับหนัก บีบค้างไว้สักพักก่อนจะค่อยๆ คลายแรง แล้วออกแรงบีบอีกรอบ เล่นเอาผมผวานิดๆ แต่ก็ยังพยายามตั้งสติสู้กับเขา


“อ๋อออ… ที่ทำใจดีกับผมมาทั้งอาทิตย์นี่เพราะหวังแค่นี้อ่ะหรอ” ผมพลิกไข่ แล้วเอื้อมมือซ้ายไปปัดมือเขาออก วิคเตอร์หัวเราะทุ้มๆ ก่อนจะว่า


“ก็มีส่วน”


“คุณนี่มันทุเรศจริงๆ” ผมบอกเสียงสะบัดด้วยความเคืองนิดๆ ไอ้บ้านี่คิดแต่เรื่องนี้ใช่มั้ย นี่ที่ทำไปคือพยายามตะล่อมผมอยู่ล่ะสิ
วิคเตอร์ไม่ตอบโต้อะไร แต่ผมรับรู้ถึงรอยยิ้มกว้างอย่างชอบใจตรงแก้ม เขาจูบไปตามพวงแก้วผมเบาๆ มีเสียงจุ๊บดังตลอดเวลา
ผมนี่พยายามหนี แต่ก็หนีได้ไม่มากหรอก เพราะติดทอดไข่อยู่


“หึหึ…” เสียงหัวเราะอันไม่น่าไว้ใจดังขึ้นที่ข้างหูเมื่อผมพยายามย่นคอไม่ให้เขาไซ้หลังคอได้ วิคเตอร์เลื่อนมือซ้ายมาจับคางผมไว้แล้วบิดหน้าผมให้ไปรับจูบที่กดลงมาอย่างหนักของเขาอยู่อึดใจหนึ่งก่อนเขาจะผละออกไป


“ไปนั่งรอก็ได้” เขาบอกด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้ทิ้งให้ผมยืนเบลอ ยืนเอ๋อ จนเกือบจะทำไข่ไหม้


V
v
v

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8

“คืนนี้นายนอนนี่มั้ย” เขาเอ่ยถามตอนที่ผมยื่นเบียร์กระป๋องที่เปิดแล้วไปให้คุณชายหน้าหนวดที่นอนแผ่หลาดูทีวีอยู่บนโซฟาอย่างสบายอารมณ์


“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับไปนอนที่บ้านตัวเองดีกว่า” ผมบอกยิ้มๆ วิคเตอร์กระดกเบียร์เข้าปากแต่สายตายังมองหน้าผมอย่างตั้งใจ


“นอนเถอะนะ” แน่ะ! มองด้วยสายตาอ้อนๆ อีกละ ผมย่นคิ้วพร้อมกับสีหน้าลำบากใจ


“ถ้าคุณมีอะไรให้ผมทำก็สั่งมาทีเดียวเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวผมทำให้” ผมยิ้มแห้งๆ ให้เขา วิคเตอร์สีหน้าหงอยลงไปถนัดตา ก่อนจะว่าเสียงอ่อย


“นายจะทิ้งให้ฉันนอนเจ็บอยู่คนเดียวแบบนี้หรอ” แหม ใช้น้ำเสียงและสีหน้าซะจนผมรู้สึกผิด ผมอึกอักไม่กล้าตอบรับ


“นะ…” โอเค แอคติ้งเขาดีมากจริง ใช้โทนเสียงได้น่าเห็นใจ พร้อมหน้าตาที่อ้อนวอนจนไม่เว่อร์จนเกินไป ผมที่พยายามทำใจแข็งก็ต้องยอมแพ้ใจอ่อนยวบ


“ก็ได้ครับ” วิ๊ง! แทบจะมีเสียงประกอบฉากตอนเขาสลัดหน้าหงอยๆ นั่นทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างจนเห็นฟันสีขาวเรียงตัวสวย ยิ้มแบบที่ผมชอบ ยิ้มจนเห็นร่องแก้มคล้ายลักยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา


“นอนจนกว่าฉันจะหายเลยนะ” ผมหน้ากระตุก ย่นคิ้วมองหน้าเขาด้วยความตกใจ เขายิ้มอย่างกระตือรือร้น ผมไม่อยากขัดใจเดี๋ยวจะทำหน้าเหงาใส่อีก


“คุณนี่เอาแต่ใจจริงๆ” ผมว่าเสียงขุ่นแต่ไม่ได้นึกโกรธเขาจริงจัง วิคเตอร์กัดปากล่างแล้วยิ้ม แต่ยิ้มนี้ผมไม่ชอบเลย ไม่ใช่มันไม่ดีนะ แต่มันเซ็กซี่เกินไป มันทำให้ใจผมใจเต้นจังหวะรวนๆ


“มาหอมแก้มทีซิ” ผมทำหน้าประหลาดใจกับคำขอของเขา ยืนมึนๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถูกเขาเอื้อมมือซ้ายที่วางเบียร์ลงบนโต๊ะแล้วมาดึงให้นั่งลงบนโซฟาข้างๆ เขา ไม่ต้องรอคำสั่งหรือคำขอครั้งที่สอง เขาโน้มหน้ามาหอมแก้มผมทั้งซ้ายและขวา หน้าตาผมคงเหลอหลาอยู่แน่เลย


สมัยนี้เจ้านายกับลูกน้องเขามีวิธีปรองดองกันแบบนี้หรอ โลกมันหมุนเร็วจนผมตามไม่ทันเลยหรอเนี่ย


“คุณหอมทำไมเนี่ย” ผมถามสีหน้าและน้ำเสียงลอยๆ วิคเตอร์ยิ้มทะเล้น ดวงตาเป็นประกายก่อนจะตอบ


“อยากรู้ว่าแก้มนายนุ่มรึเปล่า” เขาตอบยิ้มเบ้ปากแล้วเลิกคิ้วเข้มๆ ขึ้นทั้งสองข้าง ผมแกล้งแบะปากใส่เขา ก่อนจะถามกลับ


“แล้วนุ่มมั้ยล่ะครับ” วิคเตอร์ยังคงทำสีหน้าเดิม ก่อนจะทำปากยู่นิดๆ แล้วตอบเสียงกวน


“ไม่อ่ะ สากมาก” เขาย่นจมูกใส่ผม ผมกัดริมฝีปากล่างไว้แล้วมองค้อนกลับไป ก่อนจะบอกเสียงแสร้งขู่


“งั้นอย่ามาหอมอีกนะ”


ฟอด~


เขาไม่ตอบกลับอะไรแต่พุ่งเข้ามาหอมแก้มขวาผมแรงๆ หนึ่งที ก่อนจะรีบผละออก ผมยกมือขวาขึ้นมาโปะแก้มตัวเอง แล้วมองเขาอย่างปะหลับปะเหลือก ไอยักษ์หัวเราะชอบใจก่อนจะเอื้อมมือซ้ายมาดึงแก้มซ้ายผมแรงๆ


“ไหนว่าแก้มผมสากไง มาหอม มาดึง ทำไมล่ะ” ผมว่าเสียงงอน สีหน้างอๆ และพยายามปัดมือเขาที่มายั้วเยี้ยแถวหน้าผม


“ของแปลกๆ แบบนี้ ไม่ได้หากันง่ายๆ สักหน่อย” ผมขมวดคิ้วมองเขา และจับมือเขาออกจากแก้มตัวเอง มีมือเดียวก็ยังคดเคี้ยวไปมาได้เนาะ


“นั่นเป็นคำชมใช่มั้ย”


“ทำไมมองโลกในแง่ดีจัง” ผมอ้าปากค้างกับคำพูดคำจาของเขา จะว่าด่า มันก็ยังบอกได้ไม่เต็มปาก แต่จะว่าเขาไม่ด่าเลยก็ไม่ใช่อีก เรียกได้ว่าเขาจิกกัดได้อย่างล้ำลึกอีกตามเคย วิคเตอร์หัวเราะเริงร่า ส่วนผมนั่งหน้ามู่ทู่


“ผมไม่นอนกับคุณวันนี้ละ” เขาหยุดหัวเราะทันที แล้วหรี่ตามองหน้าผม ก่อนจะบอกเสียงเข้มขึ้นมาเล็กน้อย


“เดี๋ยวนี้รู้จักเล่นตัวนะ ระวังจะโดนเล่นทั้งตัว” ผมแอบลดสีหน้าที่แสดงออกอยู่ลงบ้าง เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาราวกับเสือจ้องมองเหยื่อของอีกฝ่าย นี่ขนาดร่างกายไม่สมประกอบ ผู้ชายคนนี้ก็ยังดูดีอ่ะ
เดี๋ยว ไม่ใช่ประเด็นนี้มั้งสำหรับช่วงเวลานี้


“งั้นเดี๋ยวผมขอกลับไปเอาเสื้อผ้าก่อนนะครับ” ถ้าอยู่ใกล้เสือ ต้องรีบออกห่างจากเสือก่อน เดี๋ยวโดนมันตะปบ ถึงตอนนี้เสือตรงหน้าผมจะสามารถตะปบได้แค่มือเดียว แต่เชื่อสิ มันตะปบผมอยู่


“เดี๋ยวฉันพาไป”


“ไม่ต้องหรอกครับ คุณพักผ่อนอยู่นี่แหละ เดี๋ยวผมก็กลับมา”


“ไม่เอา ฉันจะพาไป เดี๋ยวนายเบี้ยวไม่ยอมมานอนกับฉัน” เขาบอกสีหน้าจริงจัง แววตาดื้อรั้นปรากฏขึ้นทันทีที่ผมปฏิเสธไม่ให้เขาพาไป


“ผมไม่เบี้ยวหรอก เดี๋ยวผมกลับมา ผมไม่อยากให้คุณลำบากขับรถไป สภาพคุณก็ใช่ว่าจะดี”


“อย่าดูถูก” ยอมไม่ได้เลยจริงๆ ผู้ชายคนนี้


“ผมไม่ได้ดูถูกครับ แต่ผมเป็นห่วง” ต้องใช้มุขนางเอกแบบนี้นี่แหละ เขาจะได้วางใจ วิคเตอร์นิ่งไป มองหน้าผมราวกับกำลังพิจารณาคำขอร้องของผมอยู่


“ก็ได้ แต่นายต้องเอามือถือ กระเป๋าตังค์ทิ้งไว้ที่นี่ เอาแต่บัตรรถไฟใต้ดินไป” ผมเบิกตากว้างมองเขาอย่างตะลึง รู้สึกทึ่งกับความคิดเขา คือก็รู้แหละว่าเขามีนิสัยเอาแต่ใจเหมือนเด็ก แต่ไม่คิดว่าเขาจะใช้วิธีแบบนี้ด้วย เล่นเอาของสำคัญเป็นตัวประกันแบบนี้ ผมก็ต้องกลับมาน่ะสิ


“แล้วถ้าเกิดคุณมีเรื่องด่วนจะโทรบอกผมล่ะ”


“ไม่มีหรอก ถึงมี ฉันก็จะรอนายให้มาหาฉันที่บ้าน มารับคำสั่งฉันที่นี่” ผมกลอกตาแว้บหนึ่ง ทึ่งกับผู้ชายคนนี้จริงๆ


“ก็ได้ครับ” ผมตอบรับอย่างจำนน วิคเตอร์ยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ


“ห้ามช้านะ ตอนนี้ห้าโมงเย็น นายต้องมาถึงที่นี่หนึ่งทุ่ม” ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ


“โอ๊ย ไปกลับก็หมดเวลาแล้ว คุณจะไม่ให้ผมมีเวลาเก็บของหน่อยเหรอ” วิคเตอร์ขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะว่าเสียงไม่ยอม


“นายจะเก็บของอะไรนานนักหนา” ผมถอนหายใจกับความเพี้ยนของเขา นี่เขากะว่าพอผมไปถึง จะจับของยัดๆ ใส่กระเป๋าได้เลยรึไง


“สองทุ่ม” ผมต่อรองเวลากับเขา วิคเตอร์ตีหน้ามึนใส่ก่อนจะว่าเสียงเรียบ


“หนึ่งทุ่ม” ผมกัดฟันแน่น แล้วพยายามอดทน


“งั้นทุ่มครึ่ง” วิคเตอร์เบิกตามองอย่างดุๆ ที่ผมต่อร้องกับเขาไม่เลิก


“ยังจะมาต่อรองอีก นี่ก็เสียเวลาไปหลายนาทีแล้ว”


“ผมขอทุ่มครึ่งนะครับ ผมกลัวไม่ทัน นะครับ” ผมทำเสียงอ้อนๆ พยายามทำสีหน้าให้ดูน่ารักเข้าไว้แม้หนังหน้าผมจะยากต่อการทำก็ตาม วิคเตอร์ช่างใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะบอก


“ก็ได้ แต่ต้องมีรางวัลตอบแทนกับความใจดีของฉันนะ” นี่คือใจดีแล้วหรอไอ้ยักษ์ ถ้าฉันไม่ประท้วงแกก็ไม่ให้หรอก


“รางวัลอะไรอีกล่ะครับ” ผมหน้ายู่ มองเขาอย่างไม่ไว้ใจ วิคเตอร์ยิ้มพรายก่อนจะตอบเสียงสดชื่น


“จูบฉัน ห้ามหยุดเป็นเวลาหนึ่งนาที” คำสั่งผีบ้าผีบออีกละ


ผมย่นคิ้ว เหลือบมองเขาอย่างหวาดระแวง จูบไม่หยุดหนึ่งนาทีนี่ผมจะตายรึเปล่า เขาจูบผมแต่ล่ะทีอย่างกับจะงับหัวผมเข้าไปในปาก จูบอย่างกับคนคนหิวโซ ทำเอาผมจะขาดใจตาย


“งั้นก็หนึ่งทุ่ม” เขายักคิ้วสบายๆ เมื่อเห็นผมยังคงทำท่าทางลังเล ผมถอนหายใจนิดๆ


“งั้นเอามือถือขึ้นมาจับเวลาด้วย” วิคเตอร์ยิ้มนิดๆ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเปิดแอพนาฬิกาจับเวลา ก่อนจะหันมามองผมแล้วอ้าแขนซ้ายออกกว้างเป็นเชิงให้ผมเข้าไปหา ผมกระเถิบเข้าไปใกล้เขา วิคเตอร์ใช้แขนซ้ายมารวบเอวผมแล้วดึงให้เข้าไปหาอย่างแนบชิด ผมใช้มือจับไหล่เขาไว้เพื่อพยุงร่างตัวเอง


“นั่งสิ” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว มองหน้าผมจนผมต้องก้มหลบสายตา ผมแหวกขาออกแล้วนั่งลงบนตักเขา ทำให้ระดับใบหน้าของเราที่อยู่เท่ากันนั้นเปลี่ยนไป วิคเตอร์ก้มลงมามองผมด้วยสายตามัวเมา ผมเม้มปาก หน้าร้อนผ่าวด้วยความอาย


“จับเวลาสิ”


“จูบก่อนสิ” ผมย่นคิ้วนิดๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปจูบเขาอย่างเร็วๆ หลับตาลงจะได้ไม่ต้องมองดวงตามหาเสน่ห์ของเขา ผมไม่รู้ว่าเขากดจับเวลารึยัง แต่ตอนนี้เขากดจูบลงมาหนักหน่วงมากขึ้น ลิ้นอุ่นๆ ของเขาเริ่มแทรกเข้ามาตรงรอยแยกของกลีบปากผม พอผมจะถอยหน้าหนี เขาก็ใช้มือขวาที่โผล่พ้นออกมาจากเฝือกดันหลังผมไว้เป็นการบอกไร้เสียงว่าห้ามหนี ผมโดนดูดดึงริมฝีปากอย่างจะกละตะกลาม ลิ้นเขาเกลี่ยไปทั่วริมฝีปากก่อนจะบุกเข้าไปกระหวัดกับลิ้นผมอย่างหนักหน่วง


ผมเริ่มหายใจไม่ทัน เลยลืมตาขึ้น ก็เห็นว่าวิคเตอร์มองผมอยู่ด้วยสายตาเป็นประกายวิบวับ ผมเบนสายตาไปมองทางโทรศัพท์ในมือซ้ายของเขา ก็ยังเห็นว่าเขาไม่ได้กดจับเวลาเลยสักนิด


“อื้อออ… อื้อออ…” ผมพยายามร้องบอก เอื้อมมือจะไปจับมือซ้ายเขาที่ถือมือถืออยู่ แต่เขาเบี่ยงมือหนี ก่อนจะโยนมือถือไว้บนโต๊ะ แล้วใช้มือซ้ายมาจับกดศีรษะผมไว้ไม่ให้หนีเขา


จูบเขายังดำเนินต่อไป และเพิ่มระดับความหนักหน่วงมากขึ้น คราวนี้เขาทั้งกดแช่ไว้ แล้วดูดริมฝีปากจนผมรู้สึกเหมือนมันจะเห่อช้ำ ลิ้นเขาก็ยังกวาดไปทั่วโพรงปากและตามไรฟัน ผมยกมือขึ้นมาทุบไหล่เขาเป็นการบอกว่าใจจะขาดแล้ว วิคเตอร์ยอมผละออกจากปากผม น้ำลายใสยืดติดริมฝีปากเราสองคน แต่ผมไม่มีเวลาเช็ด ณ เวลานี้ผมเหมือนคนที่จมน้ำแล้วโผล่ขึ้นมาเอาอากาศหายใจ


“ฮื่อออ…. ฮ่ะ… ฮ่ะ… ฮ่ะ…” แต่ยังไม่ทันได้อากาศหายใจเต็มที่ ผมก็โดนเขาพุ่งเข้ามาฉกจูบอีกรอบ ราวกับเขาจับผมกดน้ำอีกครั้ง มือซ้ายเขาจับหลังคอผมไว้แน่น ริมฝีปากหนาของเขาบดคลึงริมฝีปากผมไปทั่ว จนตอนนี้มันคงบวมตุ่ยแล้ว


ตุบ ตุบ ตุบ


ผมทุบไหล่เขาเบาๆ เป็นการบอกให้หยุด วิคเตอร์ค่อยๆ ลดระดับการจูบลงช้าๆ จนสุดท้ายเขาก็หยุดนิ่ง เราต่างคนต่างหายใจหอบ แต่ผมดูท่าทางจะหอบหนักกว่า ส่วนเขาผู้ช่ำชองศาสตร์ทางด้านนี้ ก็แค่ส่งเสียงหายใจหนักๆ เท่านั้น ผมมองเขาด้วยตาฉ่ำปรือ วิคเตอร์มองมาอย่างเคลิ้มๆ ก่อนจะกัดริมฝีปากล่างผมเบาๆ แล้วดึงช้าๆ อย่างยั่วเย้า เขาคลี่ยิ้มล้อๆ ก่อนจะบอกเสียงพร่า


“ไปได้แล้ว”


“คุณขี้โกง” ผมว่าเสียงแหบ พยายามตั้งตัวตรงๆ ไม่ให้โงนเงน นี่แค่โดนเขาจูบ ผมก็เหมือนโดนสูบพลังงานไปทั้งร่าง


“แอพจับเวลามันเสีย” ยังจะมีหน้ามาพูดมึนๆ อีก


ผมหน้ามุ่ยนิดๆ แต่ไม่ได้โกรธเขาจริงจังหรอก แค่รู้สึกเหนื่อยใจจะขาดตายกับการจูบของเขา นี่ถ้าไม่รู้จักกันในระดับหนึ่ง ผมว่าเขาอาจจะอยากฆ่าผมด้วยการจูบให้ตายก็ได้


“ไปได้แล้ว เสียเวลามาเกือบยี่สิบนาทีแล้วนะ” เขาบอกเสียงทุ้ม มือซ้ายเลื่อนลงไปบีบบั่นท้ายขวาผมเบาๆ


“แล้วเพราะใครล่ะครับ” ผมบอกหน้างอ วิคเตอร์ไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มอิ่มใจ ผมทำหน้าปลงๆ แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นจากตักเขา ก่อนจะเหวี่ยงขาซ้ายอันสั่นๆ ของตัวเองไปยืนที่พื้นโดยมีวิคเตอร์ช่วยประครอง แต่ช่วยจับตรงอื่นนอกจากก้นผมบ้างได้มั้ย


“อย่าช้านะ ถ้ามาช้า นายโดนไม้เรียวฟาดก้นแน่ๆ”


“นี่สรุปคุณมีไอ้อุปกรณ์พวกนั้นจริงๆ หรอ” ผมถามอย่างตกใจ คิดว่าเขาเอามาพูดขู่ผมเฉยๆ แต่อย่างกุญแจข้อมือนั่นมันไม่เท่าไหร่ไง แต่มีไม้เรียวนี่เริ่มไม่ธรรมดาละนะ ถ้ามีพู่ มีแส้ ด้วยนี่ใช่เลย เจ้าพ่อ BDSM ชัดๆ


“ไว้ฉันจะโชว์ให้นายดู จะได้รู้ว่าฉันมีอะไรบ้าง” เขายิ้มกริ่ม ดวงตาวิบวับ ไม่รู้ว่าเขาอำเล่นหรือว่ามีจริงๆ กันแน่


“แค่กุญแจมือก็พอแล้วครับ”


“หึหึ…” เขาไม่ตอบอะไร แต่ยิ้มเหี้ยมๆ กลับมาให้ เล่นเอาไอ้แมทใจ่บ่อดี๊! และคือเขาหัวเราะเสียงทุ้มต่ำในลำคอสองรอบแล้วนะวันนี้ มันเป็นเสียงหัวเราะที่ไม่ชวนไว้วางใจเลยจริงๆ


“ยังไม่ไปอีก ยืนอยู่นี่อยากต่ออีกรอบใช่มั้ย” ผมทำปากยื่น กระพริบตาปริบๆ แววตาวิคเตอร์เปลี่ยนเป็นลุกโชนด้วยความดิบเถื่อนทันที


“ไปได้แล้ว เร็วๆ” เขาว่าเสียงเข้ม ผมรีบพยักหน้า แล้วหยิบมือถือออกมายื่นให้เขาพร้อมกระเป๋าตังค์ วิคเตอร์รับไปหน้านิ่งๆ จนดูเยือกเย็น ผมรีบหมุนตัวเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นด้วยอาการใจเต้นตุบๆ









ตอนผมกลับถึงบ้านป้าแมร์รี่ก็หกโมงเย็นกว่าๆ แล้ว เลยรีบวิ่งขึ้นไปจัดการเก็บเสื้อผ้าและของใช้ใส่กระเป๋าเป้ และเอากระเป๋าผ้าที่พกมาจากไทยด้วยมาแชร์เสื้อผ้าและสิ่งของที่กระเป๋าเป้ยัดไปไม่หมด ผมรีบคำนวณอย่างเร็วๆ ว่าตัวเองต้องใช้อะไรบ้าง ผมกะเอาไปแค่อาทิตย์เดียวก่อน แล้วค่อยกลับมาเอาเพิ่มเติม แต่จริงๆ ที่ยัดใส่ไปในกระเป๋านี่ ก็เอาไปซักแล้วเวียนๆ ใส่ซ้ำได้อยู่นะ ผมไม่มีเวลาพิถีพิถันในการเลือกเสื้อผ้าหรือข้าวของอะไรมากนัก เพาะเวลามันเดินหน้าไปเรื่อยๆ และผมเองก็ไม่อยากจะมีปัญหากับไอ้ยักษ์ผู้เอาแต่ใจด้วย


แต่ถึงจะรีบเร่งเหมือนไปตามควายที่ไหน ผมก็ยังต้องรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บนที่นั่งบนรถไฟอยู่ดี ยิ่งพอแอบเหลือบมองดูเวลาบนหน้าจอมือถือของคุณลุงฝรั่งคนหนึ่งที่นั่งข้างๆ กัน ผมก็พอจะรู้ชะตาชีวิตตัวเองแล้วว่าคงโดนเขาด่าแน่ๆ ผมนั่งสีหน้าแย่ด้วยความหวาดหวั่นใจราวกับลูกหนีพ่อเที่ยว แล้วกลัวโดนพ่อจับได้


ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาตามฟุตบาทในซอยทาวน์เฮ้าส์ของวิคเตอร์ แสงไฟสีขาวตามทางเดินเท้าเปิดสว่างไปทั่ว เผยให้เห็นท้องถนนและทาวน์เฮ้าส์แต่ล่ะหลังมีทั้งมืดสนิท และเปิดไฟสีเหลือง สีขาวสว่างโร่ ลมเย็นๆ พัดโชยมาเบาๆ แต่ทำเอาผมรู้สึกเย็นยะเยือกเมื่อเท้าก้าวมาหยุดตรงหน้าประตูบ้านวิคเตอร์ ก่อนจะใช้กุญแจไขเข้าไปด้านใน ผมกวาดสายตามองหาในโซนห้องครัวเป็นอันดับแรก ทุกอย่างดูปกติดี จนกระทั่งผมเดินไปทางห้องรับแขก ก็ต้องสะดุ้งตกใจจนกระเป๋าผ้าแทบร่วงลงจากไหล่


“ทำไมถึงมาสาย!?” เสียงอันทรงพลังพร้อมกับหน้าตาที่คล้ายยักษ์เข้าไปทุกทีทำเอาผมใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ วิคเตอร์เดินตรงเข้ามาหาผมด้วยสายตาคมดุ ผมกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก แล้วพยายามเอายิ้มสยบคนตัวโตขี้หงุดหงิด


“ขอโทษครับ ผมมัวแต่นึกอยู่ว่าจะเอาเสื้อผ้าตัวไหนมาบ้าง” วิคเตอร์ยังคงตีหน้าดุ แววตาคมกริบของเขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดที่ฉายชัดอย่างปิดไม่มิด เขาเหลือบสายตามองที่กระเป๋าผ้าผมก่อนจะว่าเสียงขุ่น


“เอามาทำไมเยอะแยะ ยังไงฉันก็กระชากมันออกจากตัวนายอยู่ดี ไม่ได้ใส่บ่อยๆ หรอก” ผมเบิกตากว้างอย่างตะลึงงึงงันกับประโยคห้วนๆ แต่ดูท่าทางจะพูดจริงของเขา


“อะ… อะไรนะ…”


“แล้วตอนนี้ฉันก็อยากจะถอดกางเกงนายออก แล้วฟาดก้นนายแรงๆ ด้วย!” เขาว่าแล้วก็เอามือซ้ายที่ไพ่หลังไว้ออกมา ไอ้มือซ้ายไม่ได้มีอะไรที่ประหลาดจนทำให้ผมอ้าปากกว้างหรอก แต่ไอ้ไม้เรียวที่ไว้ใช้สำหรับฟาดก้นม้าในการแข่งขันม้าวิ่งแข่งนั่นต่างหากที่ทำให้ผมถึงกับเกือบหยุดหายใจ


โอ๊ยยย! นี่เขามีไม้เรียวจริงๆ หรอเนี่ย


“คะ… คุณเรย์มอนด์ ผมไม่เล่นนะ!” ผมบอกอย่างหวาดผวา และค่อยๆ ก้าวถอยหลังห่างจากเขาอย่างเนียนๆ แต่อีกฝ่ายก็ก้าวตามมาช้าๆ อย่างรู้ทัน


“ฉันไม่ได้เล่น! บอกแล้วไง ว่าถ้านายมาสายฉันจะจับนายฟาดก้นด้วยไม้เรียว” หน้าตาและน้ำเสียงที่จริงจัง ทำเอาผมถึงกับทั้งมึนทั้งหวาดหวั่นในอก


วิคเตอร์เดินเข้ามาประชิดตัวผม แต่ผมรีบเบี่ยงตัวหลบ อีกฝ่ายเบิกตากว้างมองอย่างดุๆ มือซ้ายกำไม้เรียวแน่น ผมรีบถอยหลังเอากระเป๋าไปวางไว้ที่เค้าน์เตอร์ครัว และยังคงมองเขาไม่วางตาด้วยความหวาดระแวง แล้วเขาก็พุ่งตัวเข้ามาจนผมสะดุ้งเบี่ยงตัวหนีด้วยความตกใจ


“อย่าดื้อนะเอเลี่ยน ไม่งั้นนายโดนฟาดหนักกว่าเดิมแน่!” เขาบอกเสียงสะบัด มือซ้ายที่จับไม้เรียวหุ้มหนังสีดำไว้เอื้อมมาบีบแขนซ้ายผมแรงๆ แต่ด้วยความที่มือขวาเขาเข้าเฝือกและมือซ้ายก็มีของอยู่ในมือ เลยทำให้เขาไม่สะดวกในการจับผมไว้สักเท่าไหร่ ผมเลยดิ้นหลุดจากมือเขาได้ พ่อพระเอกขบกรามแน่นอย่างข่มอารมณ์ แววตาโกรธจัดจ้องมองมาที่ผมที่กำลังทำสีหน้าตื่นกลัวอยู่


“มานี่!”


“ไม่! ใครจะเสียสติเดินเข้าไปให้คุณฟาดก้นกันล่ะ?!” เขาถลึงตามอง แล้วเดินยกไม้เรียวเข้ามาทำท่าจะตีผม ผมเบี่ยงตัวหลบไม้เรียวอย่างหวุดหวิดพร้อมส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ


ไอ้บ้า!!!


“The fucking giant! (ไอ้ยักษ์!)” ผมตะโกนด่าเมื่อเขายังคงเดินต้อนผมให้เข้าไปในครัว ผมถอยหลังเดินด้วยอาการใจเต้นระรัวราวกับมีใครมาตีกลองชุดอยู่ในอก ผมรีบวิ่งไปหลบอีกฝั่งของโต๊ะหินอ่อนในครัว วิคเตอร์ยืนอยู่อีกฝั่ง จ้องหน้าผมราวกับผมเป็นเหยื่ออันโอชะของเขา


“And the alien will be pounded by the giant! (เดี๋ยวเอเลี่ยนจะโดนยักษ์ตี!)” เขาว่าแล้วฟาดไม้เรียวลงกับโต๊ะหินอ่อนแรงๆ


แป๊ะ!!!


เสียงหนังหุ้มไม้เรียวกระทบกับพื้นหินอ่อนดังแปลกๆ แต่ก็ทำเอารู้สึกหน้าท้องกระตุกไปกับเสียงนั้น ไม่อยากจะคิดว่าถ้ามันฟาดลงบนก้นผมจะระบมแค่ไหน


“ไปให้พ้นเลยนะ! ผมจะกลับไปนอนบ้าน ไม่นอนกับคุณแล้ว!” ผมขู่ฟ่อ วิคเตอร์มองกลับมาตาลุกวาวด้วยความไม่พอใจก่อนจะว่าเสียงเข้ม


“นายคิดว่าจะออกไปจากทีนี่ได้ง่ายๆ งั้นเหรอ?!”


“ผมออกไปได้ก็แล้วกัน!” ผมว่าเร็วปรื๋อ แล้วอาศัยความตัวเล็กของตัวเองวิ่งไปทางประตู แต่ผมคงลืมไปว่าก้าวหรือสองก้าวของ
ไอ้ยักษ์นั้นเท่ากับสามสี่ก้าวของผม เพราะแค่แปบเดียว ร่างผมก็ถูกล็อคคอไว้ด้วยแขนซ้ายของเขา


ละ… ล็อคคอ!!!


“คุณเรย์มอนด์! ปล่อยผมนะ!”


“ไม่!” เขาตวาดเสียงห้วน ผมเลยออกแรงดิ้นเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากวงแขนเขา เพราะตอนนี้ผมกลัวจะโดนเขาจับตีก้นด้วยไม้เรียวจริงๆ นะ


“โอ๊ย!” เสียงร้องของวิคเตอร์ดังขึ้น ทำให้ผมที่กำลังออกแรงดิ้นสุดตัวถึงกับหยุดกะทันหัน อ้อมแขนซ้ายที่ล็อคคอผมไว้รีบคลายออกอย่างรวดเร็ว เสียงไม้เรียวกระทบตกลงพื้นไม้ของบ้าน ผมรีบหันกลับไปมองด้วยความตกใจ ก็เห็นว่าวิคเตอร์กำลังเอามือซ้ายจับแขนที่เข้าเฝือกอยู่ สีหน้าเขาเหยเกด้วยความเจ็บ


“คุณเรย์มอนด์! ผมขอโทษครับ เป็นอะไรมากรึเปล่า” ผมเอื้อมมือไปจับแขนขวาเขาที่เข้าเฝือกไว้เบาๆ วิคเตอร์เบี่ยงตัวหนี ผมย่นคิ้วเงยหน้าขึ้นมองเขาก็เห็นว่าเขาทำหน้างอ แววตาหงุดหงิดเพราะโดนขัดใจ


“คุณเรย์มอนด์ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ผมบอกเสียงอ่อนด้วยวามเป็นกังวลใจ วิคเตอร์ยังคงยืนจับแขนขวานิ่ง แววตามีแววโกรธเคืองอยู่ เขามองผมด้วยหางตาก่อนจะเดินออกไปจากโซนห้องครัว ผมรีบวิ่งตามไปเกาะแขนซ้ายเขาไว้ ก่อนจะรีบพูดเสียงอ่อนเสียงอ้อน


“ขอโทษครับ ขอโทษ เดี๋ยวผมไปเตรียมน้ำให้คุณอาบนะ คุณจะได้รู้สึกสบายตัว” คนฟังยังคงเมิน เขามองเมินผมไปทางห้องนั่งเล่นที่เจ้าไมเคิลกับฟอกซ์กำลังนอนเล่นกันอยู่ที่พื้นข้างเตาผิง ผมเริ่มหน้าเสีย เอามือลูบแขนซ้ายเขาไปมาอย่างแผ่วเบา


“คุณเรย์มอนด์… อย่าเงียบแบบนี้สิ ผมรู้ตัวแล้วว่าผิด ผมยอม…” กำลังจะอ้าปากว่ายอมทุกอย่างแล้ว แต่ก็ต้องชะงักตัวเองไว้เท่านั้น


ไม่ได้ กับผู้ชายคนนี้ห้ามบอกว่ายอมทุกอย่าง ไม่งั้นชีวิตหาไม่แน่ๆ


“ยอม? ยอมอะไร?” แน่ะ! เห็นมั้ยล่ะ พูดแค่นี้ก็หันกลับมามองด้วยสายตาระยิบระยับแล้ว แม้ใบหน้าจะยังคงนิ่งเหมือนเดิมก็เถอะ


“ยอมให้คุณตีก็ได้ ตะ… แต่ อย่าตีแรงนะ ผมกลัวเจ็บ” ผมบอกเสียงแผ่ว หลุบตาลงมองพื้น นึกภาพไม้เรียวฟาดลงบนก้นก็ได้แต่หวาดเสียวด้วยความหวาดหวั่น


“ไม่ล่ะ ฉันหมดอารมณ์อยากฟาดนายแล้ว” ผมเงยหน้ามองเขาด้วยความประหลาดใจ วิคเตอร์ยังคงมีสีหน้ามึนตึงเหมือนเดิม ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มห้วน


“แต่นายต้องอาบน้ำให้ฉัน…” ผมกระพริบตาปริบๆ มองเขา ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ


“…แล้วนายก็ต้องอาบกับฉันด้วย” คราวนี้ผมเบิกตากว้าง มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา วิคเตอร์มองมาด้วยสายตาชวนเสียตัว ผมอึกอัก รู้สึกกระอักกระอ่วนชวนคลื่นเหียนเวียนหัวแปลกๆ


V
v
v

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8


“ไม่.. ไม่ดีมั้งครับ ผมว่าแค่อาบให้เฉยๆ ก็พอ เดี๋ยวคุณนั่งในอ่างแล้วผมจะอาบให้…”


“…ไม่ นายต้องอาบกับฉัน”  เขาตอบเสียงเฉียบขาด ใบหน้าราบเรียบ แต่แววตาระยับพร้อมกับมีรอยยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ผมกลืนน้ำลายเงียบๆ รับรู้ได้ถึงรังสีอะไรสักอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
แมทสัมผัสได้ แมทบอกเลย


“ไป ฉันอยากอาบน้ำแล้ว” เขาไม่เสียเวลาให้ผมพูดอะไรต่อหรือเอ่ยปฏิเสธใดๆ อีก แต่ใช้มือซ้ายคว้ามือขวาของผมแล้วลากตัวผมขึ้นบันไดไปชั้นสอง เดินตรงไปยังห้องนอนเขา พอเข้ามาอยู่ในห้อง จิตใจผมก็เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข ผมรู้ว่ามันอาจไม่ใช่แค่อาบน้ำหรอก ยังไงเขาต้องคิดทำการใหญ่พอๆ กับไซส์แท่งกลางตัวของเขาแน่ๆ


วิคเตอร์พยายามใช้มือซ้ายแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตที่เขาสวมอยู่ออก เห็นความทุลักทุเลแล้วก็อดจะเข้าไปช่วยไม่ได้ ผมดึงมือเขาออกแล้วช่วยปลดกระดุมเสื้อให้เขาโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองหน้าหนวดๆ ของเขาแต่อย่างใด ผมเอาแต่จ้องมองแผงอกสีขาวผสมผงโกโก้สีน้ำตาลของเขา มันยังคงแน่นและน่าซบเหมือนเดิม ผมพยายามข่มใจไม่ให้สติกระเจิงกับแผงอกและกล้ามท้องที่เรียงตัวเป็นระเบียบของเขา


“ขอโทษนะครับ” ผมบอกเสียงแผ่ว แล้วดึงสายตาข่ายรองแขนที่คล้องคอเขาอยู่ออกช้าๆ แล้วค่อยๆ ดึงตาข่ายสีน้ำเงินเข้มออกขากแขนขวาที่เข้าเฝือกอยู่เบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ดึงแขนเสื้อเชิ้ตฝั่งขวาออกช้าๆ เช่นกัน


“กางเกงด้วยสิ” เขาบอกเสียงทุ้มเมื่อผมเอาเสื้อเชิ้ตวางไว้บนโซฟาปลายเตียง ผมหันไปสบตากรุ้มกริ่มของเขาแล้วก็ต้องรีบหลบสายตานั้นเพราะกลัวใจตัวเองจะสั่นจนเส้นเลือดขาด


ผมก้มหน้าก้มตาปลดตะขอกางเกงและรูดซิบลง แต่เพียงผมเห็นกางเกงในเนื้อนุ่มสีดำของ Calvin Klein ที่เขาใส่อยู่ มือที่กำลังจะดึงกางเกงลงก็ต้องชะงักเอาไว้ แล้วยืนเม้มปาก ข่มใจตัวเองไว้สักครู่


“If you cannot stand. I am allowing you to rape me as much as you want. (ฉันอนุญาตให้นายปล้ำฉันได้เต็มที่ ถ้าเกิดนายทนไม่ไหว)” เขาว่าด้วยรอยยิ้มยั่วยวน แววตามีแววเชิญชวนเต็มที่ ผมรู้สึกร้อนฉ่าที่หน้าเลยก้มหน้าหนีสายตากรึ่มๆ ของเขา ก่อนจะตัดใจแล้วดึงกางเกงเขาลง ผมนั่งลงกับพื้น แล้วช่วยจับขาเขาไว้เพื่อดึงกางเกงออกจากขาทั้งสองข้างของเขา


“นายก็ถอดด้วยสิ” เขาว่าหลังจากผมลุกขึ้นยืนแล้วเอากางเกงสแลคสีดำไปวางไว้บนโซฟากับเสื้อ ผมย่นคิ้วนิดๆ ด้วยความตื่นกลัวและกังวลใจ


“เอเลี่ยน…” เสียงกดต่ำดังมาจากเจ้าของร่างกำยำเนื้อแน่นอันเปลือยเปล่าเหลือแต่กางเกงในสีดำตัวเดียว ผมหลับตาปี๋ แล้วลืมตาขึ้นมองหน้าเขาพร้อมอาการใจเต้นตึกๆ


“เดี่ยวผมไปถอดข้างในก็ได้ครับ” วิคเตอร์มองหน้าผมอย่างไตร่ตรอง ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ เขาเอื้อมมือซ้ายไปดึงขอบกางเกงในลง ผมแทบเบือนหน้าหนีไม่ทัน วิคเตอร์โยนกางเกงในที่ถอดแล้วไปกองรวมกับเสื้อและกางเกง ก่อนจะเอื้อมมือซ้ายมาจับมือขวาผมไว้เหมือนเดิม แล้วจูงมือผมเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเร็ว ผมพยายามเชิดคางไว้ไม่ให้มองบั้นท้ายโด่งงอนที่รับกับเอวคอดแบบผู้ชายได้อย่างน่าชื่นชมของเขา


“วันนี้อาบฝักบัวก็แล้วกัน เมื่อไหร่นายจะถอดเสื้อผ้า” เขาถามใบหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อมาถึงตรงห้องกระจกสำหรับอาบน้ำฝักบัว


“เอาน่า เดี๋ยวผมก็ถอดเองแหละ ตอนนี้ผมขออาบให้คุณก่อน” ผมไม่รอให้เขาโต้แย้ง แต่ดันร่างเปลือยเปล่าอันโคตรจะน่าเลีย เอ้ย โคตรจะเซ็กซี่ของเขาเข้าไปยืนใต้ฝักบัว ผมเขย่งดึงฝักบัวลงมาแล้วเปิดน้ำอุ่นในอุณหภูมิพอเหมาะ


“คุณยกแขนไว้นะครับ เฝือกจะได้ไม่เปียกน้ำ” เขาถอนหายใจอย่างเซ็งพอๆ กับสีหน้า ก่อนจะยกมือขวาขึ้นประมาณสี่สิบห้าองศา ผมรดน้ำจากฝักบัวไปทั่วๆ ตัวเขาจนเปียกชุ่ม โดยระวังไม่ให้โดนเฝือกข้างขวาของเขา และระวังสายตาตัวเองไม่ให้ก้มลงมองต่ำไปมากกว่าสามเหลี่ยมทรงคว่ำตรงสะโพกเขาเด็ดขาด


“เอเลี่ยน ถอด…”


“…วันนี้ใช้ครีมอาบน้ำกลิ่นมะลิก็แล้วกันนะครับ จะได้ตัวหอม สดชื่นๆ” ผมรีบแทรกอย่างรวดเร็ว แล้วเอื้อมมือไปหยิบครีมอาบน้ำกลิ่นมะลิที่วางอยู่บนชั้นวางของติดกำแพงด้านในที่ไม่ใช่กระจก


“อย่ามาเนียนนะ” ผมไม่สนใจเสียงกดต่ำคล้ายจะคำรามของเขา รีบเทครีมอาบน้ำลงบนเส้นใยขัดผิวหรือที่ขัดตัวนั่นแหละ ผมรีบเอาที่ขัดตัวที่มีฟองสีขาวอยู่ถูไปตามแผงอก กล้ามท้อง ลำตัว แผ่นหลัง กล้ามแขนอย่างเร็วๆ ก่อนจะรีบลดตัวลงแล้วถูไปตามต้นขา และบั้นท้ายของเขา ครั้นจะทำเป็นไม่เห็นไอ้ที่มันห้อยต่องแต่งอยู่กลางลำตัวของเขา ผมก็ทำไม่ได้ เพราะมันอยู่ในระดับสายตาพอดี เลยเห็นแบบแว้บไปแว้บมา ผมเลยได้แต่ข่มใจตัวเองว่าอย่าหวั่นไหวไปกับเจ้าลูกชายของเขา วิคเตอร์ยืนนิ่งให้ผมทำความสะอาดร่างกายเขา ซึ่งผมอยากขอบคุณเขามากที่ไม่ดื้อไม่ซน ไม่ยุกยิก ผมรีบถูรีบขัดหน้าแข้งกับน่องและเท้าของเขาอย่างเร็วๆ แล้วรีบลุกขึ้นยืน เอื้อมมือไปจะหยิบฝักบัวสีเงินมาชำระล้างครีมอาบน้ำออกจากร่างกายเขา


“อะไร นายยังไม่ได้ทำความสะอาดส่วนสำคัญของฉันเลยนะ” ผมชะงักมือที่กำลังจะบิดที่เปิดน้ำฝักบัวแล้วหันไปมองหน้าเขาที่มองมาด้วยสายตาราวระยับที่จับใจความได้ว่าไอ้ส่วนสำคัญที่เขาว่านั้นมันคือตรงไหน สายตาผมลอกแลกมองซ้ายขวาไปมา ก่อนจะยื่นที่ขัดตัวให้เขา


“ตรงนั้นคุณทำเองเถอะ ผมไม่อยากรบกวนมัน” วิคเตอร์ยิ้มมุมปากด้วยความขำ ก่อนจะว่าเสียงอารมณ์ดี


“ฉันยินดีให้รบกวน” ผมย่นคิ้ว เม้มปากสนิทแน่น รู้สึกหงุดหงิดกับไอ้ยักษ์นี่จริงๆ


“ไม่เป็นไร…” สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ก่อนจะเอื้อมมือซ้ายมากระชากฝักบัวในมือผมไปถือไว้ในมือตัวเอง


“แล้วนายก็ถอดเสื้อผ้าสักที!” เขาเอื้อมมือขวาไปบิดเปิดน้ำฝักบัวแล้วฉีดน้ำมาใส่ตัวผมอย่างไม่ทันตั้งตัว


“เฮ้ยยย! คุณทำอะไรเนี่ย อ้ากกก!” ผมพยายามใช้มือปัดป่ายไล่น้ำที่พุ่งมาจากฝักบัว แต่ทำไปก็ไร้ค่า สุดท้ายผมก็เปียกหมดไปตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นที่ใส่มา ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ วิคเตอร์ลดฝักบัวลงเมื่อเห็นว่าผมเปียกไปทั้งตัวแล้ว ผมยืนหน้าอึน มองเขาตาปรือด้วยความละเหี่ยใจในความเอาแต่ใจของเขา อีกฝ่ายกัดริมฝีปากล่างแล้วยิ้มกว้างด้วยความชอบใจ ผมยกมือปาดน้ำออกจากหน้าอย่างระอา


“เปียกไปทั้งตัวแบบนี้ ถอดเสื้อผ้าเร็วเข้า เดี๋ยวไม่สบายหรอก!” ผมสะบัดสายตาจิกกัดส่งไปให้เขาทันที


“แหม! ผมล่ะซาบซึ้งกับความเป็นห่วงของคุณจริงๆ!” เขาทำหน้าตาประมาณว่า อะไรเหรอ ไม่เห็นเข้าใจ และด้วยความหมั่นไส้ ผมเลยโปะที่ขัดตัวเข้ากับลูกกลมๆ สองลูกที่กลางตัวของเขา แล้วบีบแรงๆ จนวิคเตอร์อ้าปากหวอด้วยความเจ็บและอาจจะเพราะตกใจด้วย


“Fuckkkk! (โอยยยย!)” เขาร้องเสียงยาน ตัวงอและพยายามเดินถอยหลังหลังหนี แต่ผมทิ้งที่ขัดตัวแล้วเลื่อนมือมาคว้าหมับเข้าที่แก่นกายที่ยังไม่ขยายเต็มที่ของเขา แล้วดึงให้เขาเข้ามาใกล้ๆ วิคเตอร์อ้าปากหวอ หน้าเหวอ ส่วนผมกำลังแยกเขี้ยวใส่เขา ตอนนี้ไม่มีอารมณ์วาบหวิวอะไรทั้งนั้น มีแต่ความหมั่นไส้ล้วนๆ


“อยากให้ผมขัดตรงนี้มากใช่มั้ยครับ”


“โอ๊ยยย!” วิคเตอร์อ้าปากกว้าง หลับตาแน่น คงเพราะความปวดและความเจ็บกับแรงบีบที่ผมส่งไป ผมถลึงตามองเขาและมองด้วยสายตาสะใจที่เอาคืนเขาได้ ผมบีบแท่งโกโก้ไว้แน่น ก่อนจะปล่อยออก แล้วอาศัยจังหวะที่เขาตัวงอด้วยความเจ็บวิ่งหนีออกไปจากห้องอาบน้ำ


“อาบเองก็แล้วกันนะครับ คุณเรย์มอนด์!”


“เอเลี่ยน!” ผมรีบจ้ำออกจากห้องน้ำทันที มีเสียงโวยวายของยักษ์หน้าหนวดดังตามหลังมา แต่ผมก็ไม่สนใจ ขืนอยู่ต่อ มีหวังได้ทำมากกว่าอาบน้ำแน่ๆ


หลังจากทะเลาะตบตีกันในห้องน้ำ ผมก็วิ่งหนีไปอาบน้ำที่ห้องน้ำชั้นล่างของบ้าน ทิ้งให้ไอ้ยักษ์หนวดจัดการตัวเองอยู่คนเดียว พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็เดินกลับขึ้นมาบนห้อง ก็เลยได้เห็นเด็กชายโข่งนั่งหน้างออยู่บนเตียง สวมเพียงกางเกงนอนเนื้อนุ่มสีเทา ข้างบนเปลือยเปล่า โชว์เรือนร่างอันน่าขย้ำ


พอเห็นผมเดินเข้ามา เขาก็มองตาขวาง ส่วนผมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินเข้าไปใกล้เขาพร้อมนมอุ่นๆ ในแก้ว ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงขอบเตียงแล้วส่งนมในแก้วให้เขา


“ไม่กิน!” ตอบกลับมาเสียงห้วนอย่างทันควัน ท่าทางจะงอนจัด ผมเลยถอนหายใจแล้วเอาแก้วนมไปวางไว้ที่โต๊ะหัวเตียง ก่อนจะหันกลับมาหาเขา


“ไม่กิน งั้นก็นอนพักผ่อนนะครับ” ผมบอก เพราะตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มครึ่งแล้ว ซึ่งสำหรับคนกำลังป่วยก็ไม่ควรนอนดึกไปมากกว่านี้


“มานอนกับฉันเลยนะ!” ผมตาโตมองหน้าเขา อีกฝ่ายยังคงมีสีหน้ากระฟัดกระเฟียดไม่หาย


“ไม่ครับ เดี๋ยวผมจะนอนข้างล่าง” ผมปฏิเสธเสียงสุภาพ แววตาวิคเตอร์มีแววหงุดหงิดขึ้นมาทันที แล้วเขาก็ตะเบ็งเสียงดังเพราะความหงุดหงิดนั่นแหละ


“อะไรวะ! นายขัดใจฉันมากไปแล้วนะ”


“และผมก็คงจะไม่ตามใจคุณไปมากกว่านี้แล้วด้วย นอนนะครับคุณเรย์มอนด์” ผมตัดบทแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาเตรียมจะคลุมตัวให้เขา แต่อีกฝ่ายกลับดันออก


“ไม่เอา ไม่นอน นายต้องขึ้นมานอนกับฉัน” ผมแยกเขี้ยวใส่เขาอย่างหมดความอดทน


“อายุจะสามสิบอยู่แล้วนะครับ ไม่ใช่สามขวบ ทำไมคุณถึงเป็นคนแบบนี้เนี่ย!”


“ไม่ต้องเอาอายุมาอ้างเลย ขึ้นมานอนกับฉันซะดีๆ” เขายังคงเอาแต่ใจและส่งสายตาดื้อรั้นมาให้ เป็นการบอกว่าไม่ยอมแน่ๆ ผมเลยปล่อยมือจากผ้าห่ม


“ถ้าคุณมีอะไรก็เรียกผมก็แล้วกัน แต่ผมไม่นอนกับคุณ!” ผมว่าแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไป เขาไม่ได้รั้งหรือตะโกนเรียกเอาไว้ ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว เพราะผมจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจ


ผมเดินลงมาข้างล่าง ตรงไปยังโซฟาคล้ายเตียงในห้องนั่งเล่นที่ผมเคยนอน แต่วันนี้มีเจ้าไมเคิลกับเจ้าฟอกซ์มานอนเป็นเพื่อนด้วย ผมเอาหมอนกับผ้านวมจากห้องซักรีดมากองรอไว้แล้ว เลยสอดตัวเข้าไปในผ้านวมผืนใหญ่สีขาว กำลังจะล้มหัวลงนอน แต่เสียงตะโกนอันดังก้องก็ทำเอาผมสะดุ้ง


“เอเลี่ยนนน!!!!” ผมเด้งตัวผึงขึ้นมานั่งตัวตรง รีบสลัดผ้านวมออกจากตัว แล้ววิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสอง ตรงไปยังห้องนอนของวิคเตอร์ พอเปิดเข้าไปก็เห็นเขายังนั่งอยู่บนเตียงท่าเดิม เอาหลังพิงกับหัวเตียงไว้ ผมมองหาความผิดปกติของเขา แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกไป


“เกิดอะไรขึ้นครับ” ผมถามระหว่างเดินเข้าไปหาเขาที่เตียง วิคเตอร์ทำหน้านิ่งเฉย ก่อนจะบอกเสียงเรียบ


“ห่มผ้าให้หน่อย เอื้อมไม่ถึง” ผมอ้าปากค้าง มองเขาอย่างค้างๆ เช่นกัน อีกฝ่ายทำหน้าซื่อตาใสกลับมาให้ ผมหุบปากลงแล้วเม้มปากเบาๆ ก่อนจะทำใจดีสยบเสือ เดินเข้าไปดึงผ้าห่มให้ห่มร่างเขา ค่อยๆ พยุงพาเขานอนราบลงบนเตียง พอจัดการให้หัวเขาถึงหมอนและห่มผ้านวมให้เรียบร้อย ผมก็หันไปยิบแก้วนมเพื่อเอาไปแช่ตู้เย็น


“ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ยครับ” เขาส่ายหัวเป็นคำตอบ ผมย่นคิ้วนิดๆ


แปลก… ท่าทางสงบเหมือนสิ้นฤทธิ์เดช


ผมมองหน้าเขาที่ตอนนี้เปลือกตาปิดไปแล้ว สลัดความคิดมากของตัวเองออกจากหัวไป หมุนตัวเดินออกจากห้องเขาแล้วปิดประตูอย่างแผ่วเบา เดินกลับมาชั้นหนึ่งก็เอานมไปแช่ตู้เย็น ก่อนจะเดินกลับไปที่นอนของตัวเอง พอสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มและหัวล้มถึงหมอนได้แค่ครู่เดียว เสียงตะโกนก็ดังขึ้นอีกรอบ


“เอเลี่ยนนน!!!” ผมรีบเด้งตัวขึ้นมา เจ้าไมเคิลเองก็เด้งตัวหน้าตาตื่นขึ้นมาเช่นกัน ผมขมวดคิ้วงงๆ แต่ก็สะบัดผ้านวมออกจากร่าง รีบเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ตรงไปยังห้องนอนของวิคเตอร์ พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าเขานอนลืมตาแป๋วมองกลับมา


“มีอะไรรึเปล่าครับ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง


“ปิดประตูตรงระเบียงให้หน่อย ฉันลืมปิด” ผมเบนสายตาไปทางประตูระเบียงก็เพิ่งเห็นว่าผ้าม่านสีขาวยังคงโบกสะบัดด้วยแรงลมที่มาจากข้างนอก ผมเดินไปปิดประตูทรงสูงที่ริมระเบียงให้เขา พอมองไปบนเตียงก็เห็นว่าเขาหลับไปแล้ว ผมเลยเดินออกจากห้องเขาไปและปิดประตูตามหลังเบาๆ


ผมเดินกลับมาถึงที่นอนตัวเอง นั่งถอนหายใจหนักๆ สักพัก รอฟังว่าเขาจะส่งเสียงเรียกมาอีกหรือเปล่า แต่รออยู่พักหนึ่งก็ไม่มีเสียงอะไรดังกลับมา ผมเลยโล่งใจ ล้มตัวนอนเอาหัวลงนอนบนหมอน เปลือกตาปิดลงพร้อมที่จะปล่อยตัวปล่อยใจไปพร้อมกับความง่วง


“เอเลี่ยนนน!!!!” เฮือก!!!


ผมเด้งตัวสะดุ้งจากอาการงัวเงียๆ หันไปมองรอบๆ อย่างงงๆ ก่อนจะนึกได้ว่าเสียงนั้นเป็นของวิคเตอร์ ผมรีบวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสองโดยมีสายตางงๆ ของไมเคิลมองตาม


พอผมเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของเขา ก็เห็นวิคเตอร์นอนมองตาแป๋วกลับมาเหมือนเดิม ผมยืนหอบหน้าประตูอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปยืนข้างๆ เตียงเขา


“ว่าไงครับ มีอะไรรึเปล่า”


“ปรับแอร์ให้หน่อย หนาว” ผมย่นคิ้ว เพราะไม่เห็นว่าแอร์มันจะหนาวตรงไหน แต่ผมก็เดินไปหยิบรีโมตแอร์ที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงมาปรับอุณหภูมิให้เขา


“เอาอะไรอีกมั้ยครับ” วิคเตอร์ส่ายหัว ก่อนจะปิดเปลือกตาลง ผมหมุนตัวเดินไปที่ประตูห้อง หันไปมองเขาที่หลับตาอยู่บนเตียงด้วยความเคลือบแคลงใจ ก่อนจะสลัดความรู้สึกนั้นไปแล้วปิดประตูห้องตามหลังเบาๆ
ผมกลับมานั่งอยู่บนที่นอนตัวเองตามเดิม ตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้ว จะหลับก็ไม่ได้หลับสักที หวังว่าคราวนี้ผมจะได้หลับจริงๆ สักทีนะ ผมล้มตัวลองนอน แต่คราวนี้เส้นผมยังไม่ทันโดนหมอน เสียงก็ดังมาจากด้านบนอีกครั้ง


“แมททท!!!” บ๊ะ!!! บักห่านี่!


ผมสะบัดผ้านวมสีหน้าเซ็งๆ แล้วเดินย่างเยื้องขึ้นบันไดไปชั้นสอง ตรงไปยังห้องนอนของไอ้ยักษ์ เปิดประตูเข้าไปก็เห็นคนเสียงดังนั่งเอาหัวเกยหัวเตียงไว้


“What do you want to order now, sir? (คราวนี้ต้องการจะสั่งอะไรอีกครับคุณท่าน)” ผมว่าด้วยเสียงหน่ายใจ วิคเตอร์บุ้ยปากไปทางประตูห้องน้ำที่เสื้อคลุมอาบน้ำแขวนอยู่


“เอาชุดคลุมอาบน้ำออกไปให้หน่อย ฉันไม่ชอบ รู้สึกเหมือนมีคนยืนมองตลอดเวลา” ผมขมวดคิ้ว มองเขาด้วยความเหลือเชื่อ แต่เขากลับพยักหน้ากลับมาจริงจัง ผมเลยได้แต่เดินไปทางประตูห้องน้ำแล้วหยิบชุดคลุมอาบน้ำออกไปจากประตูอย่างจำใจ


“เดี๋ยวผมเอาลงไปไว้ที่ห้องซักรีดเลยก็แล้วกันนะครับ” วิคเตอร์พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะบอกเสียงเบา


“อืม… ขอบใจนะ” ผมย่นคิ้วมองเขา มองด้วยสายตาไม่ไว้ใจว่าทำไมเขาถึงดูสงบและสมยอมง่ายผิดปกติ


แต่ก็ช่างเถอะ ผมเลิกสนใจเขา ปล่อยให้เขาเลื่อนตัวกลับเข้าไปในผ้านวม แล้วเดินออกจากห้องเขาไป ปิดประตูตามหลังช้าๆ
ผมเอาชุดคลุมอาบน้ำไปใส่ไว้ในตะกร้าในห้องซักรีด กำลังจะเดินกลับไปที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เสียงของวิคเตอร์ก็ดังกังวานขึ้นมาอีก


“แมททท!!!” ผมถอนหายใจแรงๆ ด้วยความละเหี่ยเพลียกาย ก่อนจะหมุนตัวเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ตรงไปยังห้องนอนของวิคเตอร์ ผมเปิดประตูเข้าไปก็เห็นเข้านอนลืมตาแป๋วมองมาที่ผมอยู่
แป๋วมากๆ เดี๋ยวจะจะเตะให้ขาเป๋เลยไอ้ยักษ์


“มีอะไรอีกครับคุณเรย์มอนด์” ผมถาม พยายามทำเสียงให้เป็นปกติ ทั้งที่เริ่มจะหงุดหงิดกับเขาบ้างแล้วเหมือนกัน


“อ้าว นายยังไม่นอนหรอ” แน่ะ! ยังมีหน้ามาถามหน้าซื่อๆ อีก


“ผมคงนอนหลับหรอก ถ้าคุณยังตะโกนเรียกผมอยู่อย่างนี้” ผมว่าเสียงโมโหนิดๆ วิคเตอร์หน้าหงอยลงทันที


“ขอโทษ” เขาบอกเสียงอ่อย ผมถึงกับใจอ่อน ยอมแพ้กับสายตาสำนึกผิดและน้ำเสียงรู้สึกผิดนั้น


“ช่างมันเถอะครับ ว่าแต่คุณมีอะไรหรือเปล่า”


“เปล่า แค่ลองเรียกดู” ผมถลึงตามองเขา อีกฝ่ายยิ้มทะเล้นกลับมา ก่อนจะรีบหลับตาหนีความผิดของตัวเอง ผมถอนหายใจแล้วถอยหลังเดินออกจากห้องนอนเขา ปิดประตูตามหลังเบาๆ เช่นเคย กำลังจะก้าวเดินไปลงบันได เสียงจากในห้องก็ทำให้ผมต้องหยุดชะงักไว้


“แมททท!!!” โอ๋ยยย!!! ผู้ชายคนนี้นี่นะ!


ผมหมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องของเขา เปิดประตูเดินเข้าไปแล้วปิดประตูตามหลังแรงๆ เล่นเอาวิคเตอร์เด้งตัวขึ้นมามองด้วยความตกใจ ผมเดินหน้าถมึงทึงไปยืนข้างเตียงเขา


“เดี๋ยวผมนอนด้วยก็ได้!” แล้วใบหน้าตื่นตะลึงก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันเรียงตัวแทบจะครบสามสิบสองซี่ วิคเตอร์รีบเขยิบตัวไปทางขวาของเขาเพื่อแบ่งเตียงให้ผมนอนด้านซ้าย ผมปีนขึ้นไปนั่งข้างๆ เขาโดยมีวิคเตอร์มองตามด้วยดวงตาเป็นประกายแห่งความดีใจ ผมสอดขาเข้าไปในผ้านวมแล้วล้มตัวลงนอนบนหมอน


“ฉันนอนด้วย” เขาว่าแล้วเขยิบเข้ามาชิดกับผม


“ก็นอนอยู่นี่ไง คุณจะเอาอะไรอีกเนี่ย?!”


“ฉันจะนอนหมอนเดียวกับนายไง”


“คุณเรย์มอนด์! หมอนมีตั้งสองใบ คุณจะมาเบียดเบียนผมทำไมเนี่ย?!” ผมขมวดคิ้วมองเขาด้วยความเคือง อีกฝ่ายทำท่าแบะปากเหมือนกำลังน้อยใจ


“ฉันจะให้นายหนุนแขนฉันนี่นา” เขาว่าเสียงหงอยๆ เหมือนเด็กน้อยตัวเล็กๆ ทั้งที่ตัวโตยิ่งกว่าลูกช้างอีก ผมถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยแล้วมั้ง


ผมลุกขึ้นนั่ง วิคเตอร์เหมือนจะรู้ว่าผมจะสื่ออะไร เขาเลยเปลี่ยนจากหน้าหงอยเหงาเป็นยิ้มแฉ่ง ค่อยๆ ล้มตัวลงนอน ก่อนจะกางแขนซ้ายออก ผมล้มตัวลงนอนหนุนต้นแขนล่ำๆ ของเขา ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของเราสองคน


“เขยิบมาใกล้ๆ สิ จะได้นอนถนัดๆ” เขาบอกเสียงกระซิบเมื่อเห็นว่าผมยังคงทิ้งระยะห่างจากตัวเขาอยู่ ผมช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมขยับเข้าไปชิดลำตัวของเขา และถือวิสาสะยกแขนซ้ายพาดไปบนกล้ามท้องเขาเบาๆ แล้วซุกศีรษะกับต้นแขนเขาให้แนบชิดยิ่งขึ้น


จุ๊บ~



ความรู้สึกอุ่นๆ จากริมฝีปากของวิคเตอร์เกิดขึ้นที่หน้าผากตอนที่เขาก้มลงมาจูบ สักพักเขาก็เปลี่ยนเป็นกดจมูกลงบนกระหม่อม สูดดมเส้นผมอยู่สักพักก่อนจะละออกไป


ผมแกล้งนอนหลับ เพราะไม่อยากขยับอะไรไปมากกว่านี้ เพราะตอนนี้ใจผมเต้นระรัวจนน่ากลัว กลัวว่ามันจะทะลุออกมาจากอกรึเปล่า อานุภาพทำลายล้างของผู้ชายคนนี้นี่รุนแรงจริงๆ
เราสองคนเงียบไป มีเพียงเสียงแอร์ที่ดังแผ่วเบา อากาศเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศทำให้สามารถเคลิ้มหลับได้ง่ายๆ แต่ผมกลับหลับไม่ลง


“แมท…” เสียงเรียกราวกับเสียงกระซิบดังขึ้น


“อะไรอีกล่ะครับคุณเรย์มอนด์” ผมถามเสียงหึ่งๆ ใบหน้ายังคงซุกอยู่บนอกซ้ายอันเปลือยเปล่าของเขา


“มัน…” เขาหยุดพูดไป ราวกับไม่แน่ใจว่าจะพูดดีมั้ย


“มันอะไรครับ”


“My dick is hard, now. (ไอ้จ้อนฉันมันแข็งอ่ะ)”


พรึบ!


ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเขา วิคเตอร์กำลังทำสีหน้าลำบากใจ แต่ก็ยังมีรอยยิ้มทะเล้นเจือจางอยู่บนริมฝีปากด้วย


“นี่! คุณเดี้ยงอยู่นะ ยังจะคิดเรื่องแบบนี้อีกรึไงครับ”


“ก็ฉันพยายามห้ามแล้ว แต่มันห้ามไม่ได้” เขาบอกสีหน้ามู่ทู่ ทำปากยื่นแบบงอนๆ ที่ผมไปว่าเขา


“ถามจริงๆ เถอะครับ ผมมีส่วนไหนดึงดูดใจคุณนักเหรอ ถึงได้ทำให้คุณมีอารมณ์แข็งได้ขนาดนี้” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ เออ ถ้าผมมีนม แล้วเอานมมาเบียดก็ว่าไปอย่าง ผมมองหน้าเขาอย่างต้องการคำตอบ คนถูกถามย่นคิ้วนิดๆ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทีที่ครุ่นคิด


“I don’t know, but I really want to fuck you. (ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันอยากฟัดนายจริงๆ นะ)” เขาตอบหน้าซื่อ มือซ้ายลูบไล้ไปตามต้นแขนผมเบาๆ


“ทั้งๆ ที่ผมไม่ใช่ผู้หญิงเนี่ยนะ ผมเป็นผู้ชายนะคุณเรย์มอนด์” ผมบอกอย่างที่ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะมีอารมณ์กับผมจริงๆ


“งั้นนายก็เป็นผู้ชายคนแรกที่ฉันมีอารมณ์ด้วย อย่าถามอะไรเยอะเลยน่า อยากเอาก็คืออยากเอาสิ” เขาบอกแล้วก้มลงมาจะจูบผม แต่ผมรีบยกมือซ้ายดันหน้าเขาไว้


“แขนเดี้ยงแบบนี้ พักความหื่นไว้ก่อนเถอะครับ” วิคเตอร์ทำเสียงจิ๊จ๊ะเมื่อถูกขัดใจ เขาเบี่ยงหน้าหนีมือผมที่ดันหน้าเขาไว้อยู่ ก่อนจะบอกเสียงห้วนๆ และพูดอย่างง่ายๆ


“I do not use my arm to fuck you. I use my cock! (ฉันไม่ได้ใช้แขนเอานายสักหน่อย ฉันใช้คxx!)” โอ๊ยตาย! คำพูดคำจาของผู้ชายคนนี้นี่นะ ไอ้ตอนพูดเป็นอิ๊งน่ะไม่เท่าไหร่ แต่พอแปลเป็นไทยในใจแล้วเนี่ยสิ มันช่างสยิวกิ้วเหลือเกิน


“เดี๋ยวเถอะๆ แขนยังไม่ทันถอดเฝือก อยากใส่เฝือกที่เจี๊ยวอีกที่ใช่มั้ย เดี๋ยวจะขย่มให้หักตามแขนเลย” ผมขู่ฟ่อ แต่แทนที่เขาจะสลดหรือกลัว แต่เขากลับมีความตื่นเต้นเป็นประกายอยู่ในแววตา ริมฝีปากคลี่เป็นรอยยิ้มตื่นเต้นตามดวงตาคู่คมสวยของเขา


“ไหน ทำได้จริงรึเปล่า ฉันยอมให้นายขย่มแรงๆ เลย ถ้าไม่หักอย่าหยุดนะ” อ้ากกก! ไอ้ยักษ์หื่น!


ผมอ้าปากหวอด้วยความทึ่งกับความต้องการทางเพศของเขา นี่เป็นอีกนิสัยที่ผมรับรู้ว่าวิคเตอร์เป็นผู้ชายฝรั่งอีกหนึ่งคนที่มีความต้องการในเรื่องนี้สูงและดูท่าทางจะบ่อยมากด้วย ผมมองเขาด้วยสายตาอึ้งนิดๆ อีกฝ่ายมองกลับมาด้วยสายตามีความหมายอันล้ำลึก และไม่ต้องเสียเวลานึก เพราะเขาคิดอะไรลึกๆ อยู่แน่นอน


“ไม่ทำล่ะ ฉันรออยู่นะ” เขายิ้มมีเลศนัยพร้อมกับแววตาที่ลุกโชน ผมหลับตาแว้บหนึ่งแล้วลืมตาขึ้น ตั้งสติและสมาธิเพื่อสู้กับการเชิญชวนของเขา 


“นอนเถอะครับ เอาไว้ให้แขนคุณหายค่อยว่ากัน” วิคเตอร์มองเบิกตากว้างมองกลับมาอย่างตื่นๆ แต่ผมว่าเป็นความตื่นเต้นบวกความหื่นมากกว่า


“จริงอ้ะ?! ถ้าแขนฉันหาย นายจะขย่มฉันใช่มั้ย” ผมหรี่ตาปรือมองเขาด้วยความเอือม ก่อนจะพยักหน้าส่งๆ ไปเรื่อย ที่พูดไปก็เพื่อหลอกผู้ใหญ่นิสัยเด็กให้เลิกคิดเรื่องอย่างว่าในตอนนี้ก็เท่านั้นแหละ


ฟอด~


เขาก้มลงมาหอมแก้ซ้ายผมแรงๆ ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปหอมหน้าผาก และกดจูบทิ้งท้าย แต่ก็ไม่ท้ายที่สุด เพราะเขากดจมูกลงบนกระหม่อมผมแรงๆ


“แต่คืนนี้นายช่วยนอนจับมันไว้หน่อยได้มั้ย”


“ฮะ?!” ผมแหงนหน้ามองเขาตาโต อีกฝ่ายทำสีหน้าและแววตาออดอ้อน


“นะ… นะแมท นะ…” เขาบอกเสียงอ่อน เสียงอ้อน เสียงนุ่มน่าฟัง ทั้งยังระดมจูบไปทั่วหน้าผากผม


“มะ… ไม่ต้องก็ได้มั้ง ผมว่าปล่อยมันไว้ เดี๋ยวมันคงสงบเอง” เขาผละริมฝีปากจากหน้าผากผมไป ก่อนจะบอกเสียงออดอ้อนต่อ


“แต่ถ้านายกุมมันไว้ มันจะได้รู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นไง”


“คุณใส่กางเกง แถมยังมีผ้าห่มคลุมตัวขนาดนี้ มันอุ่นจนอับแล้วล่ะครับ”


“No. I want you to hold my dick in your hand. Please… please… (ไม่เอา ฉันอยากให้นายเอามือกุมมันเอาไว้ นะ… นะ…)” เขาเบ้ปากคล้ายจะร้องไห้ แววตาที่มองมาก็มองมาอย่างเว้าวอน ผมทำสีหน้าลำบากใจ เขาก้มลงมาประกบปากผมเบาๆ หนึ่งทีแล้วผละออกก่อนจะอ้อนอีกรอบ


“Please—my little alien. (เถอะนะ เอเลี่ยนน้อยของฉัน)” โอเคยอมก็ได้


เขาจูบหน้าผากผมอีกรอบ ผมผ่อนลมหายใจช้าๆ ก่อนจะเอื้อมมือซ้ายเข้าไปในผ้าห่ม ล้วงเข้าไปในขอบกางเกง แล้วก็หยุดมือไว้เท่านั้นเพราะกำลังอยู่ในขั้นทำใจ แถมตอนนี้ใจผมยังเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว


“Go on, he is waiting for you. (เร็วสิ มันรอนายอยู่นะ)” เขาบอกเสียงกระเส่าที่ข้างหู ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหลับตาปี๋ ก่อนจะเอื้อมมือเข้าไปคว้าหมับเข้ากับความเป็นชายของวิคเตอร์ที่ทั้งยาวและใหญ่เต็มมือ


“อ้า…” เขาส่งเสียงพึงพอใจเบาๆ ตอนที่ผมกอบกุมท่อนกลางลำตัวของเขาไว้เต็มมือ จมูกเขาคลอเคลียที่หน้าผากผมไม่หยุด


“คืนนี้มันนอนหลับฝันดีแน่ๆ” เขาบอกเสียงกระซิบที่หน้าผาก ลมหายใจเขาดังสม่ำเสมอ ผมนอนตัวเกร็ง แต่ก็มีมือวิคเตอร์และริมฝีปากเขาที่ช่วยให้ร่างกายผมค่อยๆ คลายอาการเกร็ง


ผมว่าจากที่จะนอนหลับสบายๆ แล้วฝันดี แบบนี้มันจะยิ่งไม่ปลอดภัยกว่าเดิมรึเปล่า เพราะมันยังคงแข็งเต็มมือผม ไม่ยอมลดลงเลย แถมทำเอาของผมแข็งตามไปด้วยแล้วเนี่ย


แล้วไอ้ยักษ์นี่ก็หยุดครางสักทีเถอะ ได้ยินแล้วเสียวตามนะเฮ้ย!


“ฮืมมม… อืมมม… โอ่ยยย…”


[ตอนต่อไปด้านล่างค่ะ]



ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8

CHAPTER 20 :: I really like you


ผมค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย พอเจอแสงที่ส่งผ่านผ้าม่านเข้ามา เลยต้องหรี่ตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วมองไปรอบๆ ห้องนอนของวิคเตอร์


กลิ่นเนื้ออุ่นๆ ตรงช่วงอกแน่นๆ อยู่ชิดติดจมูก เสียงหัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะตุบๆ อย่างเนิบนาบ ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองเขา ก็เห็นว่าเขายังคงหลับสนิทอยู่ สูดลมหายใจเข้าออกอย่างเป็นปกติ วงแขนซ้ายยังคงโอบไหล่ผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ผมเหลือบสายตาลงไปมองที่ด้านล่างที่มือตัวเองยังคงซุกอยู่ในนั้นซึ่งตอนนี้น้องชายเขาสงบลงแล้ว แต่ว่า…


ผมรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เปียกแฉะและเหนอะหนะ หน้าผมเหวอไปตอนที่คิดได้ว่าไอ้สิ่งที่เลอะมือผมอยู่นั้นมันคงไม่พ้นน้ำรักของเขาแน่ๆ และเมื่อผมค่อยๆ ดึงมือซ้ายออกจากกางเกงนอนของเขา และดึงพ้นผ้านวมสีเทาออกมา ข้อสันนิษฐานของผมก็ได้รับการยืนยันว่าไอ้ที่มันเหนอะๆ นั้นคือน้ำข้นขุ่นสีขาวที่ล้นเลอะมือผมเต็มไปหมด


ผมอ้าปากหวอ หน้าตาตื่นตะลึงรับแสงแดดยามเช้า จะโวยวายเสียงดังก็คงไม่ได้ เพราะตัวเองเป็นคนยอมจับตามคำขอของอีกฝ่ายเอง ผมย่นหน้าเบะปาก แต่ไม่ได้นึกรังเกียจ เพราะมันก็คล้ายกับของผม เพียงแต่ของวิคเตอร์นั้นเยอะมาก ทั้งยังเหนียวข้นและข้นขุ่น ซึ่งน้ำอสุจิแบบนี้ บ่งบอกได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นพ่อพันธุ์ที่ดี ไม่ต้องกลัวเป็นหมัน ถ้าคิดจะมีลูก ลูกดกแน่นอน


อะ… เอ่อ ผมว่านี่อาจจะไม่ใช่เวลาให้ความรู้เรื่องนี้ก็ได้มั้ง กูเกิ้ลก็มีเนอะ


ผมค่อยๆ ลุกขึ้นโดยระวังไม่ให้มือซ้ายตัวเองหล่นไปโดนตัวเขาหรือผ้านวม แต่ติดตรงที่มือซ้ายเขาจับไหล่ซ้ายผมไว้แน่นเลยทำให้ลุกขึ้นทุลักทุเลไปหน่อย จะใช้มือซ้ายมาแกะมือเขาออกก็ไม่ได้อีก เพราะกำลังพยายามประครองน้ำรักของเขาไว้ในมือ สุดท้ายผมเลยตัดสินใจเด้งตัวลุกขึ้นเร็วๆ จนมือเขาหลุดออกจากไหล่ และแน่นอนว่านั่นมันทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมา


“จะไปไหน” เขาถามสีหน้าง่วงๆ พลางใช้แขนซ้ายดันตัวให้ลุกขึ้นนั่งข้างๆ ผม


“ผมจะไปเข้าห้องน้ำครับ” ผมตอบตามปกติ แต่ก็พยายามแอบๆ มือซ้ายตัวเองไว้ไม่ให้เขาเห็น วิคเตอร์เอามือขยี้ตา ก่อนจะชะโงกหน้ามองที่มือซ้ายที่ผมพยายามเลี่ยงไม่ให้เขาเห็น


“มือนายเป็นอะไร” ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธทันที วิคเตอร์หรี่ตามองกลับราวกับไม่เชื่อ สักพักเขาก็ชะงักไปเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะถลกผ้านวมออกจากท่อนล่าง เอามือดึงขอบกางเกงขึ้น จนผมแทบเบนสายตาหนีไม่ทัน ถึงจะนอนจับของเขามาทั้งคืนแต่ก็ใช่ว่าจะมานั่งมองมันได้โต้งๆ นะ


วิคเตอร์ปล่อยขอบกางเกงลง แล้วเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับส่งยิ้มที่ผมไม่ชอบมาให้ นั่นคือใช้ฟันบนกัดริมฝีปากล่างไว้แล้วยิ้มแบบมีเลศนัยพร้อมดวงตากรุ้มกริ่ม ความร้อนขยายไปทั่วใบหน้าไปถึงใบหูทันทีที่ผมเห็นเขายิ้มแบบนั้นมาให้


“ที่มันอยู่ในมือนายนั่นน่ะ มีโปรตีนสูงนะ กินแทนข้าวเช้ามั้ย” เขาบอกเสียงทะเล้น สีหน้ามีแววล้อเลียนเต็มที่ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งก้มหน้าแดงๆ ของตัวเองหนีสายตาแพรวพราวของเขา ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำแบบถูกใจดังมาจากอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะโอบมือซ้ายไว้รอบหลังคอผมแล้วดึงให้เข้าไปรับจูบยามเช้าจากเขา แต่เขาแค่กดริมฝีปากเอาไว้แน่นๆ สักพักแล้วปล่อยออก


“I cannot underestimate you. You make me cum even only touching it by your hand. (นายนี่ไม่ธรรมดานะ แค่จับของฉันไว้เฉยๆ ก็ทำมันถึงจุดสุดยอดได้)” เขาบอกเสียงชื่นชมปนอารมณ์ดี ผมยิ่งร้อนผ่าวที่หน้าเข้าไปใหญ่ ผมสบตากับเขาแล้วกระพริบตาปริบๆ อย่างเอ๋อๆ เพราะไม่รู้ว่าควรดีใจกับคำชื่นชมที่เขาบอกมั้ย


“ฮืมมม…” เสียงเขาครางเบาๆ ตอนที่โน้มหน้ามาจูบปิดปากผมอีกรอบ รอบนี้เขาใช้ลิ้นเลียไปตามริมฝีปาก แล้วสุดท้ายก็ทำให้ผมเปิดปากรับลิ้นร้อนๆ ของเขาเข้ามาพัวพันกับลิ้นตัวเองอย่างจาบจ้วง เขาใช้ลิ้นล้วงไปทั่วปากอย่างหื่นกระหาย ทำเอาผมสมองเบลอหยุดสั่งการไปชั่วขณะ


“อา…” เขาส่งเสียงพึงพอใจตอนที่ผมส่งลิ้นไปหยอกล้อโต้ตอบกับเขา แต่ผมก็เหมือนเด็กอนุบาลที่ยังจูบไม่เป็น (หรือเด็กอนุบาลบางคนอาจจูบเก่งกว่าผมอีก) เพราะพอเขาเริ่มประกบปากแน่นและลิ้นก็ยังคงไล้เลียอย่างหนักหน่วง ผมก็เริ่มหายใจผิดจังหวะ จนต้องผลักไหล่เขาให้ออกห่าง


“ฮื่อ…  ฮื่อ… ฮื่อ…” ผมไม่ได้ร้องไห้นะ แต่ผมกำลังส่งเสียงหายใจหอบหนักๆ พอหันหน้าไปมองคนที่ทำให้ผมจะขาดใจตายก็เห็นรอยยิ้มซุกซนปรากฏอยู่บนใบหน้า เขาเอื้อมมือมาจับท้ายทอยผมไว้อีกรอบ แว้บแรกผมคิดว่าเขาจะจูบอีก แต่คราวนี้เขาแค่ก็กดจูบลงบนหน้าผากแรงๆ แล้วผละออกไป


“ฉันชักอยากให้นายทำมากกว่านอนจับมันไว้ทั้งคืนแล้วสิ” เขาบอกเสียงแหบพร่า พร้อมกับส่งยิ้มหื่นมาให้ ผมเม้มปากแล้วทำแก้มป่อง ไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ


“คุณอาจจะแค่ฝันเปียกก็ได้” แล้วนี่ผมกำลังพูดเรื่องอะไรเนี่ย วิคเตอร์เลิกคิ้วขึ้นอย่างน่ามอง สีหน้าเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะว่า


“งั้นในฝันฉันคงมีนายอยู่ด้วยล่ะมั้ง เพราะในหัวฉันตอนนี้คือภาพที่นายนั่งโยกอยู่บนตัวฉันไม่ยอมหยุด” ผมอ้าปากค้างกับสิ่งที่เขาบอก อีกฝ่ายยิ้มสดใสกลับมาให้ ผมหุบปากลง ก่อนจะแยกเขี้ยวใส่เขา


“ตอนเด็กๆ คุณดูหนังโป๊เพื่อพัฒนาสมองแทนการดูการ์ตูนใช่มั้ย ถึงได้คิดแต่เรื่องแบบนี้อยู่ตลอดเวลา” เขายิ้มยั่ว แล้วเอาลิ้นไล่เลียไปตามริมฝีปากล่างของตัวเอง เขาโน้มหน้าลงมาใกล้ผม แล้วว่าเสียงกระซิบ


“เชื่อฉันสิ ว่าฉันสามารถทำให้นายคิดถึงแต่เรื่องบนเตียงของเราสองคน อย่างที่ฉันชอบคิดได้” ผมสบดวงตาสีน้ำผึ้งข้นของเขา เราสองคนนั่งสบตากัน แต่ความรู้สึกในแววตานั้นต่างกัน วิคเตอร์นั้นเร่าร้อน และเชิญชวน ส่วนผมมองเขาด้วยอาการประหม่าและผสมความตื่นเต้น รู้สึกได้จากใจที่เต้นตุบๆ หนักๆ อยู่ในอก


ยังไงผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมผู้ชายที่เดินทางสายปกติมาตลอดอย่างเขา จะมามีอารมณ์ทางเพศกับผมได้ขนาดนี้ บางทีนี่อาจจะเป็นแค่เรื่องความรู้สึกทางเพศเฉยๆ ก็ได้มั้ง เพราะผู้ชายเป็นเพศที่เกิดอารมณ์ง่าย ถูกนิด โดนหน่อย เร้าเล็ก เร้าน้อย ก็สามารถเตลิดแล้ว แต่ถึงจะสงสัยยังไง ลึกๆ ผมอดดีใจไม่ได้ที่ผมส่งผลกระทบต่อเขาได้ขนาดนี้ อย่างน้อยผมก็เป็นที่ต้องการของเขา ถึงจะแค่เรื่องทางเพศก็เถอะ


“ผมจะลงไปอาบน้ำ แล้วก็ทำอาหารเช้าให้นะครับ” ผมดึงสติกลับมา แล้วหลบสายตาของเขาที่ยังจ้องอย่างใกล้ชิดและไม่คิดเบนหนีไปไหน


“อาบด้วยกันสิ” เขาบอกเสียงสดชื่น ผมเบะปากใส่เขานิดๆ แล้วหันตัวหนีเขา ค่อยๆ ขยับจะลงไปยืนข้างเตียง แต่เท้ายังไม่ทันถึงพื้น ผมก็โดนล็อคคอเบาๆ จากด้านหลัง ถูกดึงไปซบอบแน่นๆ ของอีกฝ่าย แล้ววิคเตอร์ก็ก้มลงมาฟัดแก้มผมทั้งสองข้าง ไม่ได้หอมฟอดๆ นะ แต่เขาฟัดขยี้ด้วยจมูกแรงมาก


“ฮึ่มมมๆๆ” เขาส่งเสียงคำรามตอนใช้จมูกและริมฝีปากฟัดแก้มผม จนผมได้แต่พยายามเบนหน้าหนี แต่ก็หนีไม่พ้น


“อ๊า! พอแล้ว ฮะๆ อ๊า!” ผมพยายามประครองมือซ้ายไว้แล้วนะ แต่สุดท้ายไอ้สิ่งที่อยู่ในมือมันก็เลอะกางเกงนอนผมอยู่ดี ผมเลยปล่อยเลยตามเลย และพยายามมาสู้รบปรบมือกับผู้ชายที่ยังระดมหอมแก้มผมไม่หยุดแทน


“คุณเรย์มอนด์ พอแล้ว คิกๆ” ถึงจะบอกให้เขาพอ แต่ผมก็อดหัวเราะอารมณ์ดีไปด้วยไม่ได้ เขาระดมจูบไปทั่ววงหน้าผมไม่ยอมหยุด โดยเฉาะตรงแก้ม หอมแล้วหอมอีก จนผมเริ่มจะปวดตุ่ยๆ ที่แก้ม


“ฮือออ คุณเรย์มอนด์ พอแล้ววว” ผมเบะปาก ทำท่าจะร้องไห้ แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มกว้างชอบใจ ก้มจูบริมฝีปากผมหนึ่งที ก่อนจะละไปที่แก้มอีกครั้ง


“ไม่พอ (ฟอด) ไม่พอ (ฟอด) ไม่พอ (ฟอด)!” นี่แก้มคนนะ ไม่ใช่แก้มตุ๊กตาหมี แล้วกดมาทีนี่จะให้แก้มทะลุเลยใช่มั้ย ฮึกๆ ไอ้ยักษ์แรงควายธนู



กว่าจะหลุดบ่วงฟัดแก้มจากวิคเตอร์มาได้ก็หัวเราะเสียงแทบแหบ กว่าเขาจะยอมปล่อย ผมก็งอแงอยู่หลายรอบ แถมเรายังยืนยื้อยุดกันอยู่พักใหญ่ๆ เพราะเขาพยายามลากผมเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำด้วย แต่ผมดิ้นจนหลุดแล้ววิ่งหนีลงมาอาบน้ำข้างล่างแทน ดีที่วิคเตอร์ไม่ได้วิ่งตามลงมา ผมเลยอาบน้ำอย่างสบายใจ พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็ออกมาทำอาหารเช้าให้เขา


ตอนนี้กองถ่ายซีรีส์ต้องหยุดพักกองไปชั่วคราว แต่คุณเดวิดบอกว่าจะพยายามถ่ายเก็บฉากที่ไม่มีวิคเตอร์ไปก่อน ซึ่งฉากที่ไม่มีวิคเตอร์ก็ไม่ได้มีมากจนสามารถถ่ายออกมาเป็นเรื่องเป็นราวได้ เพราะยังไงซีรีส์เรื่องนี้วิคเตอร์คือตัวเอก ตัวเด่นของเรื่อง ขาดเขาไป ก็ถ่ายทำยาก โชคยังดีที่ทางกองถ่าย ถ่ายสต็อกเทปไว้ได้มากพอสำหรับการออกอากาศครั้งต่อๆ ไป


ผมตักข้าวต้มกุ้งใส่ถ้วยไว้ให้เขาหนึ่งถ้วย แล้วก็ของตัวเองหนึ่งถ้วย โรยผักชีและใส่พริกไทยอีกเล็กน้อย ผมเอาวางไว้บนโต๊ะหินอ่อน แล้วหันไปจัดการเอาอาหารให้เจ้าไมเคิลกับฟอกซ์ที่ออกไปฉี่ ไปอึยามเช้ากันมาแล้ว ผมเทอาหารให้เจ้าฟอกซ์ พอของไมเคิลผมเทใส่ถาดมันไว้ แต่ยังไม่ยื่นให้มันกิน


“เห่าก่อนไมเคิล เห่าเร็ว โฮ่ง!” ไมเคิลตอบรับคำสั่งผมด้วยเสียงเห่าดัง โฮ่ง!! จนผมยังแอบสะดุ้ง แต่ก็ส่งเสียงหัวเราะให้กับความแสนรู้ของมัน ผมยื่นถาดอาหารให้มันกิน พอยืดตัวขึ้นมาก็เห็นวิคเตอร์ที่ใส่แต่กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน เปลือยท่อนบน เดินถือเสื้อเชิ้ตดำ และตาข่ายรองแขนพร้อมสีหน้าขมุกขมัวเข้ามาในครัว


“ฉันรอให้นายไปใส่เสื้อให้ตั้งนาน ทำไมไม่กลับขึ้นไปหาฉัน” เขาบอกเสียงกระแทก แต่ไม่ได้รุนแรงมาก ผมกระพริบตาปริบๆ อ้าปากหวอมองเขาด้วยความมึนๆ เล็กน้อย


“ผมก็มาทำอาหารเช้าให้คุณอยู่ไงครับ” ผมบอกงงๆ วิคเตอร์หน้ามุ่ยเหมือนเด็กโดนขัดใจ พอเขาเห็นมีถ้วยอาหารเช้าวางอยู่บนโต๊ะก็เหมือนจะเข้าใจมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ยอมทำหน้าดีๆ ผมเลยต้องเดินเข้าไปหาเขา หยิบเสื้อเชิ้ตดำออกมาถือไว้เตรียมใส่ให้เขา และเอาตาข่ายรองแขนมาคล้องแขนขวาไว้


“อะไรกันครับ ตื่นมายังยิ้มอยู่เลย ทำไมตอนนี้หน้าบึ้งจัง” ผมบอกพลางเดินอ้อมไปยืนข้างซ้ายของเขา แล้วจับแขนซ้ายเขายัดเข้าไปในแขนเสื้อ


“นายลืมขึ้นไปหาฉัน” เขาว่าเสียงขุ่น ผมแอบยิ้มนิดๆ กับนิสัยมุมนี้ของเขา ยิ่งรู้จักกัน ผมว่ามาดนิ่ง มาดขรึม ของเขายิ่งเริ่มจะหายไป


“ผมมีร่างเดียวนะ อาหารเช้าผมก็ต้องทำนะครับ” ผมอธิบาย แล้วค่อยๆ ช่วยให้เขาเอาแขนขวาสอดเข้าไปในแขนเสื้อ


“ลงมาทำพร้อมฉันก็ได้นี่” เขายังคงพูดด้วยอาการแถไถ ผมยิ้มเหนื่อยใจนิดๆ  ขณะที่เดินมาอยู่ตรงหน้าเขา เพื่อที่จะติดกระดุมเสื้อ


“ให้ตายเหอะ คุณนี่เอาแต่ใจจริงๆ”   


“ก็ฉันอยากให้นายเอาใจฉัน” เขาบอกสีหน้านิ่งๆ แล้วมองผมแบบที่เปลือกตาแทบไม่ขยับขึ้นลง ผมยิ้มเพลียๆ แต่ไม่ได้เพลียจริงหรอก แค่เพลียกับความเอาแต่ใจของเขา ถ้าผมไม่รู้จากคุณลิซ่ามาก่อนว่าเขาถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กๆ ผมคงรู้สึกอยากแขวนคอตายหนีเขา แต่เพราะผมเข้าใจดีว่าการถูกเลี้ยงดูแบบสปอยล์มาตั้งแต่เด็กๆ แบบนั้นมันส่งผลต่อนิสัยเขายังไง ต่อให้โตมาแค่ไหน ยังไงนิสัยนั้นก็ยังอยู่ เพราะเขาซึมซับมาตั้งแต่เด็กแล้ว


“ทุกวันนี้คุณก็ควรมอบโล่ลูกน้องดีเด่นให้กับผมพร้อมมงกุฎและสายสะพายด้วยซ้ำ” ผมบอกขำๆ แล้วเอื้อมมือไปจัดปกคอเสื้อให้เขาหลังจากติดกระดุมให้เขาจนครบทุกเม็ด


“เอาไปทำไมของพวกนั้น เอาฉันดีกว่า” ผมที่กำลังทำสีหน้าเพลินๆ ถึงกับชะงักสีหน้า แล้วปรือตามองเขาด้วยความระอาใจ ส่วนวิคเตอร์ พอเห็นผมทำหน้าเหม็นเบื่อเขาก็หัวเราะชอบใจยกใหญ่ที่สามารถขัดบรรยากาศเพลิดเพลินกับการติดกระดุมและจัดปกคอเสื้อให้เขาได้


“ไปทานข้าวเถอะครับ” ผมตัดบท ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ความฮาของเขาต่อ หมุนตัวเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ ฝั่งหัวโต๊ะที่ผมเว้นไว้ให้เขานั่ง


“หลังจากกลับไปคุยกับค่ายหนัง คุณอยากไปไหนรึเปล่า หรืออยากจะกลับมาพักผ่อนที่บ้านเลย” ผมถามเขาแล้วตักข้าวต้มใส่ปากไปหนึ่งคำ วิคเตอร์ตักข้าวต้มใส่ปากแล้วเคี้ยวสักพักก่อนจะตอบ


“กลับบ้านเลยก็ได้ ฉันขี้เกียจจะไปต่อ” เขาบอกง่ายๆ สีหน้าเรื่อยๆ แล้วตักข้าวต้มเข้าปากอีกคำ


“อยู่แต่ในบ้าน คุณไม่เบื่อบ้างหรอ” เขาเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปาก เลยส่ายหัวเป็นคำตอบ แต่พอกลืนข้าวเสร็จเขาก็ตอบอีกรอบ


“ไม่อ่ะ ไม่เบื่อ แต่ต้องมีนายอยู่ด้วยนะ” คือถ้าเขาบอกสีหน้ากรุ้มกริ่ม พร้อมรอยยิ้มกระหยิ่มใจ มันคงทำให้ผมรู้สึกจะละลายหายไปกับอากาศ แต่นี่เขาบอกราวกับกำลังบอกเรื่องธรรมดาสามัญชนทั่วไป พูดหน้าตาเฉย แล้วตักข้าวต้มเข้าปากเคี้ยวต่อเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เล่นเอาผมทำหน้าไม่ถูก ได้แต่ยกมือเกาจมูกอยู่คนเดียว และนั่งกินข้าวเงียบๆ ไปพร้อมกับอาการแก้มร้อนทั้งสองข้าง


ผมกับเขานั่งทานข้าวกันไปเงียบๆ แต่ก็ไม่ได้อึดอัดแต่อย่างใด เหมือนต่างคนต่างจดจ่ออยู่ที่เรื่องกิน จนกระทั่งกินเสร็จ ผมก็เอาถ้วยไปล้าง พอเขาดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เขาก็บอกให้ออกไปได้แล้ว แน่นอนว่าผมไม่ยอมให้เขาขับรถไป เรายืนเถียงกันยกใหญ่ เขาทำท่าว่าจะไม่ยอม และดื้อบอกว่าขับได้สบายมาก สุดท้ายผมเลยต้องใช้ไม้ตาย


“ผมเป็นห่วงคุณนะ ผมไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะตาย” เขานิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ


“ก็ได้” นั่นแหละ เขาถึงยอม แล้วไปหยิบหมวกกับแว่นตาดำมาใส่


เราสองคนโบกเรียกแท็กซี่สีเหลืองงามอร่ามตาจากหน้าบ้าน นั่งไปที่สำนักงานค่ายหนัง วิคเตอร์ดูอึดอัดเล็กน้อยกับการนั่งแท็กซี่ เขาดูเหมือนคนที่วางตัวไม่ถูก ดูเงอะงะ มือเขายกไปมา ยกไปเกาคิ้วก็แล้ว วางบนตักก็แล้ว แต่ก็ยังอยู่ไม่สุข ผมย่นคิ้วนิดๆ แล้วนึกถึงวันที่เขานั่งรถไฟใต้ดินไปกองถ่ายกับผม


“คุณไม่ชอบนั่งรถสาธารณะสินะครับ” ผมถาม เมื่อเห็นสีหน้าเขาอึดอัด แม้จะมีแว่นดำปกปิดดวงตาไว้ แต่ผมรู้เลยว่าตอนนี้เขาคงกำลังหงุดหงิดเล็กๆ อยู่


“เปล่าหรอก ฉันแค่ชอบอะไรที่เป็นส่วนตัวมากกว่า” ผมทำหน้าเข้าใจเขา และจริงๆ ผมก็แอบเข้าใจเขาอยู่นะว่า เขาเป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายหรือแม้กระทั่งไม่ชอบความวุ่นวาย


“แต่ก็แปลกนะครับ คุณไม่ชอบอะไรที่มันเป็นสาธารณะชนสักเท่าไหร่ แต่คุณดันเป็นนักแสดงซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องอยู่ท่ามกลางสาธารณะชน”  ผมพูดเสียงเบา พลางชำเลืองมองไปทางคนขับแท็กซี่ที่ยังคงมองถนนไม่ได้สนใจเราสองคน วิคเตอร์นิ่งไป เขาหันมามองผมโดยที่ผมไม่เห็นว่าสายตาที่เขามองมานั้นเป็นอย่างไร แต่เหมือนเขากำลังชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ


“ย่าฉันอยากให้ฉันเป็นนักแสดง เธอบอกว่าเธออยากเห็นฉันอยู่ในทีวี” เขาบอกเสียงเบาหวิว และจากการจับน้ำเสียงของเขา ผมว่าในน้ำเสียงเขานั้นมีความเศร้าเจือจางอยู่


“ฉันอยากให้ย่าภูมิใจ เพราะฉันไม่ใช่หลานที่ดีนักหรอก…” ท่อนท้ายเขาบอกเสียงเศร้าอย่างชัดเจน


“…นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ฉันทำให้ย่ายิ้มได้ และชดเชยในสิ่งที่ฉันทำให้เธอเสียใจที่สุดในชีวิต” วิคเตอร์เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมนั่งนิ่งมองเสี้ยวหน้าของเขาด้วยความรู้สึกอึมครึมไปกับบรรยากาศ พอจะเข้าใจว่าเขาคงกำลังคิดถึงคุณย่าของเขาที่เสียไป แม้จะผ่านมานานพอสมควรแล้ว แต่ผมว่าความรักที่เขามีให้ย่า และที่ย่ามีให้เขาคงไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย


“คุณย่าคุณต้องยิ้มด้วยความภาคภูมิใจอยู่แน่นอนครับตอนนี้ เพราะคุณก้าวขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งของอาชีพนักแสดงแล้วนะ” ผมบอกเสียงเบาให้เราได้ยินกันสองคน แม้แท็กซี่คันนี้จะเป็นรถเก๋งแบบยาว ที่ด้านหลังกับด้านหน้าคนขับอยู่ห่างกันพอสมควร แต่ผมก็ไม่อยากให้คนขับแท็กซี่มารับรู้ว่ากำลังเป็นสารถีให้พระเอกดัง


วิคเตอร์หันมามองผมนิ่งๆ สักพัก ก่อนที่ริมฝีปากเขาจะบิดเป็นรอยยิ้มอ่อนๆ ผมยิ้มอย่างให้กำลังใจตอบกลับไป แล้วเราสองคนก็นั่งเงียบๆ นิ่งๆ ไปตลอดทาง วิคเตอร์คงกำลังจมอยู่กับห้วงความคิดถึงของเขา ส่วนผมก็กำลังนั่งด้วยอาการดีใจปนประหลาดใจที่วิคเตอร์ยอมเล่าเรื่องที่ผมคาดว่าโคตรจะเป็นเรื่องส่วนตัวให้ฟัง


จากตอนแรกๆ ที่เริ่มรู้จักกัน เขาไม่ค่อยพูดหรือเล่าอะไรให้ผมฟัง นอกจากบอกว่าแม่เขาเสียไปแล้วเรื่องเดียว แต่ตอนนี้เหมือนเขาค่อยๆ ยอมเปิดใจบอกเล่าเรื่องราวของเขาให้ผมฟังอย่างช้าๆ


เอาเถอะ ผมกับเขา เราเพิ่งขยับความใกล้ชิดขึ้นมาเอง คงเร่งรีบ เร่งเค้นอะไรจากเขามากไม่ได้ แม้ผมจะอยากรู้และอยากถามมากแค่ไหนก็ตาม รวมทั้งเรื่องความรู้สึกระหว่างเราสองคนด้วย


เรามาถึงที่สำนักงานย่อยของค่ายหนังที่อยู่ห่างจากตึกเอ็มไพร์สเตทออกมาแบบที่ว่ามองจากตรงนี้เห็นยอดตึกไกลลิบๆ เดินเข้ามาในสำนักงานก็ได้รับการต้อนรับจากทีมงานเป็นอย่างดี สำหรับวันนี้เป็นการพูดคุยรายละเอียดของหนังและข้อตกลงต่างๆ พร้อมกับการเซ็นสัญญาการเป็นพระเอกของหนังชุดนี้ ซึ่งเคยเลื่อนมาครั้งหนึ่งแล้วเพราะทางทีมงานยังไม่พร้อม พอมาคราวนี้วิคเตอร์กลับมีสภาพไม่สมประกอบ แต่เขาก็ยืนยันจะมาเพื่อที่จะได้เซ็นให้จบๆ ไป เขาบอกว่าแขนเข้าเฝือกแต่มือยังจับปากกาเซ็นได้


“คุณต้องรักษาหุ่นของคุณให้ดูดี และอาจจะต้องเพิ่มกล้ามเนื้อขึ้นอีกหน่อยด้วย” คุณลุงเอ่ย เอ่อ ไม่สิ เขายังไม่แก่เท่าคุณเดวิด แต่ก็ดูมีอายุด้วยผมหงอกสีขาว จะเรียกคุณลุงก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะหนังหน้าผู้กำกับยังคงดูดีแม้จะมีรอยย่นของวัยที่สูงขึ้น แต่เป็นคนมีอายุที่หล่อ ผู้ชายฝรั่งบางคนต้องบอกเลยว่ายิ่งแก่ยิ่งหล่อออร่าแน่น แถมคุณผู้กำกับคนนี้หุ่นยังดีไม่มีย้วยเป็นการการันตีความเฟิร์มได้อีก


“ผมไม่เล่นจนครบห้าภาคได้มั้ย” ผมแอบสะดุ้งจนแทบไหลตกเก้าอี้ เมื่อพ่อพระเอกเอ่ยแบบมึนๆ เล่นเอาทีมงานมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่คุณทอมเจ้าของบทประพันธ์และคุณผู้กำกับกลับยิ้มขำเหมือนไม่ถือสา


“ผมจะลองคุยกับทีมเขียนบทดูว่า เขียนให้บทคุณตายตั้งแต่ภาคแรกและซีนแรกได้เลยรึเปล่า” คุณทอมเจ้าของบทประพันธ์ที่ผมเคยขอลายเซ็นไปเมื่อวันที่วิคเตอร์มาแคสติ้ง พูดด้วยน้ำเสียงลื่นไหลและมีสีหน้าสบายๆ ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ส่วนพระเอกของเรื่องกลับยิ้มที่มุมปากหน่อยๆ จนผมอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวไปพูดกับเขา โดยพยายามทำเสียงเบาๆ


“ยังไม่ทันเปิดกล้อง คุณก็จะรีบตายแล้วเหรอ” วิคเตอร์หันมามองตาดุนิดๆ ก่อนจะว่าเสียงเข้ม


“นายแช่งฉันงั้นเหรอ” ผมตาโตแล้วรีบส่ายหัวหน้าตั้ง


“เปล่า! ผมหมายถึงว่า คุณจะเร่งให้ตัวละครคุณตายทำไม เขาเป็นพระเอก ต้องอยู่ยันจบเรื่องสิ” ผมขมวดคิ้วมองหน้าเขา อีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วเคร่งๆ มองกลับมา ผมว่าผมพูดเบาๆ แล้วนะ แต่ทีมงานคนอื่นๆ กลับส่งเสียงหัวเราะน้อยๆ จนผมเผลอหันกลับไปมองหน้าเหวอ แล้วยิ้มแหยๆ ส่งไปให้


“นั่นสิ อยู่ร่วมสนุกกันก่อน อย่าเพิ่งรีบไปไหน” คุณผู้กำกับบอกพร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ วิคเตอร์ยิ้มมุมปากนิดๆ ส่วนผมยิ้มเฝื่อนๆ ไปให้ทีมงานทุกคนที่มองกลับมาจากอีกฝั่งของโต๊ะประชุม


หลังจากนั้นโปรดิวเซอร์หนุ่มใบหน้าเรียวยาว รูปร่างสูง ผอม ผิวขาว ใส่แว่นกรอบสี่เหลี่ยมที่อายุน่าจะพอๆ กับวิคเตอร์ก็แจกแจงรายละเอียดของภาพยนตร์เรื่องนี้ให้วิคเตอร์ฟัง ซึ่งผมก็ต้องฟังด้วย และจดเอาไว้เผื่อเขาไม่ได้ฟังแล้วมามีคำถามทีหลังผมจะได้ตอบเขาได้


“จะมีการนัดเวิร์คชอปพร้อมนักแสดงคนอื่นๆ ก่อนเปิดกล้องประมาณหนึ่งเดือน ทางเราจะแจ้งให้ทราบอีกที” โปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์กล่าวเสียงแหบๆ อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งตอนแรกผมคิดว่าเขามีอาการเจ็บคอหรือเปล่า


“คุณพร้อมเซ็นสัญญาวันนี้มั้ย อยากเอากลับไปอ่านก่อนรึเปล่า” ผู้หญิงร่างท้วมคนเดิมที่ผมเจอวันแคสติ้งเอ่ยกับวิคเตอร์ยิ้มๆ พลางยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้ ผมหยิบมาแล้วเปิดซอง ดึงเอกสารให้วิคเตอร์เอาไปอ่าน เขากวาดสายตาอ่านกระดาษเกือบสิบแผ่นอย่างว่องไวและเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนจะตอบน้ำเสียงปกติ


“ผมเซ็นเลยก็ได้ครับ เพราะเอเจนซี่ผมเขาดูให้แล้วรอบนึง” สงสัยจะเป็นคุณเอมิลี่นั่นแหละที่เป็นคนตรวจสัญญาฉบับนี้ให้ก่อนจะมาถึงมือวิคเตอร์


“แล้วทางเอเจนซี่ของคุณได้แจ้งเรื่องการดูแลและการโยกย้ายมั้ย”  หญิงร่างท้วมเอ่ยถามราวกับจะย้ำจุดนี้ให้วิคเตอร์รับรู้อีกรอบ ผมขมวดคิ้วงงกับคำถามนั้น ไม่เข้าใจว่าใครดูแลใคร และใครจะโยกย้ายใคร


“บอกแล้วครับ”


“แล้วคุณโอเคแน่นะ”


“แน่ครับ เพราะยังไงพวกคุณก็ไม่ได้ทำทั้งหมดอยู่แล้ว ก็แค่ในส่วนของภาพยนตร์เฉยๆ”  หญิงร่างท้วมและโปรดิวเซอร์ของหนังพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ ส่วนผมก็นั่งงงต่อไป จะถามตอนนี้ก็เกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาท และไม่แน่ใจด้วยว่าถ้าถามกับวิคเตอร์เป็นการส่วนตัวจะได้รับคำตอบหรือไม่


วิคเตอร์หยิบปากกาด้วยมือขวาขึ้นมาจะเซ็นด้วยอาการขัดๆ จับปากกาไม่เต็มมือ ผมเลยเบรกมือเขาไว้ก่อน แล้วช่วยดึงสายรองเฝือกออกจากลำคอและค่อยๆ ดึงตาข่ายออกจากแขนเขาเบาๆ ผมมองเขาด้วยความเป็นกังวล แต่อีกฝ่ายแค่ยักคิ้วซ้ายมาให้ ก่อนจะค่อยๆ ยืดแขนไปจับปากกามาไว้ในมือขวา เห็นแบบนั้นก็โล่งอก ดูท่าทางเขาจะไม่ได้เป็นไรมากจริงๆ แค่ต้องอย่าออกกำลังแขนข้างนั้นมากไป หรืออย่าให้มีอะไรมากระทบกระเทือนแขนที่เข้าเฝือกเด็ดขาด


วิคเตอร์เซ็นชื่อตัวเองลงบนสัญญาตามช่องที่ผู้หญิงร่างท้วมมาร์คเอาไว้ให้เขาเซ็น แต่ก็ใช่ว่าเขาสักแต่จะเซ็นลูกเดียว สายตาเขาไล่กวาดอ่านสัญญาอีกครั้งก่อนจะจรดปากกาเซ็นชื่อตัวเองลงไปในแต่ล่ะหน้า


“ยินดีที่ได้ร่วมงานนะคะ” หญิงสาวคนเดิมเอ่ยอย่างเป็นมิตรพร้อมรอยยิ้มเมื่อวิคเตอร์เซ็นสัญญาในหน้าสุดท้าย แล้วเสียงปรบมือพร้อมกับเสียงกล่าวยินที่ได้ร่วมงานกับเขาก็ดังขึ้นเต็มห้องประชุม วิคเตอร์ต้องส่งมือขวาไปเช็คแฮนด์กับทุกคน แต่ก็ทำแค่เบาๆ ไม่ได้กระชากรุนแรงอะไร


“แล้วตอนถ่ายทำ เธอจะเข้าไปในกองถ่ายด้วยรึเปล่าเนี่ย” คุณทอมเอ่ยถามผมหลังจากที่ร่วมแสดงความยินดีกับวิคเตอร์แล้ว ผมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ


“ผมน่าจะกลับไทยไปแล้วล่ะครับตอนนั้น” คุณทอมทำหน้าประหลาดใจ ก่อนจะถามต่อ


“ไม่ได้อยู่ตลอดหรอกเหรอ” ผมส่ายหัวพร้อมยิ้มอ่อนๆ


“เปล่าหรอกครับ ผมมาฝึกงานแค่สามเดือน เดี๋ยวก็กลับแล้ว”


“เสียดาย เห็นว่าเธออ่านหนังสือฉันด้วย ว่าจะชวนมาอยู่ในทีมเขียนบทสักหน่อย เผื่อจะช่วยแชร์อะไรได้ในมุมมองคนอ่านบ้าง” ผมตาโตกับโอกาสดีๆ ที่จู่ๆ ก็ลอยเข้ามาหาอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ถึงจะตื่นเต้นดีใจแค่ไหน ก็ต้องยอมรับความจริงว่าผมอยู่นานขนาดนั้นไม่ได้ ผมยังมีภาระเรื่องเรียนให้กลับไปจัดการอีก


“ผมสนใจมากนะครับ แต่ผมยังเรียนไม่จบ ต้องกลับไปเรียนต่ออีก” คุณทอมทำหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนจะว่าต่อ


“ถ้าเรียนจบแล้วยังสนใจอยู่ ก็บอกฉันนะ” ผมยิ้มแฉ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับรัวๆ คุณทอมยิ้มใจดีกลับมาให้แล้วเอามือตบไหล่ผมเบาๆ


“ขอบคุณมากนะครับ” ผมบอกด้วยความตื่นเต้น รู้สึกเหมือนมีแสงสว่างรออยู่ปลายทางหลังเรียนจบ ผมอาจไม่ต้องดิ้นรนหางานทำหลังเรียนจบแล้วก็ได้นะเนี่ย


คุณทอมเดินออกไปจากห้องประชุม ผมมองตามแผ่นหลังของเขาก็ได้แต่ยิ้มดีใจกับโอกาสที่เขาจะมอบให้ แต่ก็อดถอนหายใจไม่ได้ เพราะผมก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงต่อ ผมหันไปมองวิคเตอร์ก็เห็นว่าเขากำลังยืนคุยกับผู้กำกับและโปรดิวเซอร์อยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ผมเลยเดินข้าไปยืนรอใกล้ๆ ในระยะที่ได้ยินเสียงเขาพูดคุยกันแว่วๆ


“แล้วนี่น้องชายคุณเหรอ” คุณผู้กำกับหันมามองที่ผมแล้วยิ้มใจดีมาให้ ผมเลยยิ้มตอบกลับไป


“เปล่าหรอกครับ เขาเป็นเด็กฝึกงาน เป็นคนดูแลผมเอง” ผมแอบยิ้มด้วยความพึงใจเล็กๆ ที่เขาไม่ตอบว่าผมเป็นคนใช้เขาอย่างที่เคยตอบไปกับคุณทอมครั้งก่อน


“โอ้ว นี่เขาสูงถึงไหล่คุณรึเปล่าเนี่ย” ผมที่กำลังยิ้มๆ ถึงกับเกือบยิ้มสะดุดเมื่อผู้กำกับตาสีฟ้าอ่อนเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจจริงๆ แบบไม่มีเสแสร้งแกล้งทำจนวิคเตอร์หัวเราะออกมา ส่วนผมก็พยายามที่จะคลี่ยิ้มดังเดิม


“ถ้าเขย่งก็อาจจะสูงเลยไหล่ผมมาหน่อย” ผมแอบมองค้อนวิคเตอร์เล็กๆ อีกฝ่ายยิ้มกวนๆ กลับมาให้


“คนเอเชียนี่ตัวเล็กจัง แต่เขาน่ารักมากเลยนะเวลาอยู่กับคุณน่ะ” เขาหันไปบอกวิคเตอร์ที่ยิ้มอ่อนๆ กลับไปให้ ส่วนผมก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


หมายความว่าไง ถ้าไม่อยู่กับวิคเตอร์ ผมก็จะไม่น่ารักอ่ะหรอ ทำไมผมถึงน่ารักแค่ตอนอยู่กับวิคเตอร์ล่ะ ขอน่ารักตลอดเลยไม่ได้รึไง


ผมยืนรอวิคเตอร์คุยกับผู้กำกับและโปรดิวเซอร์อยู่อีกสักพัก เลยกะจะหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเกมส์รอเวลา แต่กำลังจะล้วงหยิบออก
จากกระเป๋ากางเกงยีนส์ตามความเคยชิน ผมก็นึกขึ้นได้ว่าวิคเตอร์ยังไม่ได้คืนมือถือให้ผมตั้งแต่เมื่อคืน ผมเลยต้องยืนรอเขาคุยงานเฉยๆ ต่อไปจนเกือบจะกลับไปนั่งหลับรอ


“See you. (ไว้เจอกันนะ)” ในที่สุดการสนทนาก็สิ้นสุดลง ผมนี่แทบจะกรีดร้องด้วยความดีใจ


V
v
v

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8

เราสองคนเดินออกมาจากตึกสำนักงานของค่ายหนังในช่วงเวลาเที่ยงๆ แสงแดดสาดส่องไปทั่วทุกพื้นที่แต่พอดีว่านี่คือช่วงฤดูสปริง เลยไม่รู้สึกร้อนเท่าไหร่ ให้ความรู้สึกอุ่นๆ มากกว่า แม้ที่ไทยจะเป็นเดือนที่ร้อนตับแตกหรือบางทีก็เพี้ยนฝนตก แต่สำหรับที่นิวยอร์คตอนนี้อากาศกำลังอบอุ่น แต่ก็จะมีลมทำให้รู้สึกหนาวเย็นเล็กๆ บ้างเป็นบางเวลา ผมใส่เสื้อกันหนาวมาด้วย ยังแอบรู้สึกเย็นๆ เลย ผิดกับวิคเตอร์ที่ใส่แค่เชิ้ตดำ แต่เขากลับดูปกติราวกับเวลาลมเย็นๆ ที่พัดผ่านมานั้นทำอะไรเขาไม่ได้


“คุณจะกลับบ้านจริงๆ เหรอครับ อากาศน่าไปเดินเล่นในเซ็นทรัลปาร์คมากเลยนะ” ผมลองกระแซะ หลังจากมองไปเห็นต้นไม้เขียวขจีริมถนนฝั่งตรงข้ามกับตึกอาคารสำนักงาน


“นายอยากไปรึไง” เขาถามพลางสวมหมวกลงบนหัว ผมยิ้มแห้งๆ กลัวเขาจะด่าเอา วิคเตอร์ยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะบอกอย่างอารมณ์ดี


“ถ้านายสัญญาว่าคืนนี้จะนอนจับอาวุธฉันไว้ทั้งคืนเหมือนเดิม ฉันจะพาไป” ผมเบิกตากว้างขึ้นนิดๆ ความร้อนแผ่ไปทั่วแก้ม วิคเตอร์เห็นผมยืนค้างก็หัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเอามือซ้ายมาดันไหล่ขวาผมให้เดินเคียงข้างเขาไปโดยที่ไม่รอฟังคำตอบใดๆ จากผม


“ถือว่านายตกลงแล้ว” เขาก้มลงมากระซิบเร็วๆ แล้วยืดตัวกลับไปเต็มความสูงตามเดิม ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองเขาที่มองตรงไปยังทางเดินแต่ดวงตาเป็นประกายวิบวับ ก่อนจะรีบหันหน้าหนีเพราะความเขิน แล้วรีบก้าวเท้าเดินให้ทันเขา









“ฟังเพลงมั้ยครับ เดินไปฟังเพลงไป ได้บรรยากาศดีนะ” ผมเอ่ยถามเขาหลังจากเราเดินใกล้จะถึงเซ็นทรัลปาร์ค วิคเตอร์ที่ถอดหมวก ถอดแว่นออกตามคำขอของผม ก้มมองผมเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับนิดๆ ผมยิ้มแฉ่งก่อนจะถอดกระเป๋าเป้ออกจากไหล่ทั้งสองข้าง รูดซิบเปิดออกแล้วก้มหน้าหาไอพอดกับหูฟังสองอันและแจ็คเสียบหูฟังแบบที่มีไว้สำหรับเสียบสายหูฟังสองอันขึ้นไป ผมหยิบหูฟังแบบครอบหัวอันใหญ่ออกมาหนึ่งอัน และหูฟังของไอโฟนสีขาว จัดการเสียบหูฟังทั้งสองอันเข้ากับแจ๊คเสียบหูฟังสีดำ แล้วเอาแจ๊คเสียบเข้ากับไอพอดอีกที


“นายมีของพวกนี้ด้วยเหรอเนี่ย” เขาเลิกคิ้วขึ้นถามอย่างแปลกใจ สายตามองหูฟังที่อยู่ในมือผม ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะตอบเสียงแจ่มใส


“พอดีผมชอบฟังเพลงอ่ะ ส่วนแจ๊คนี่เอาของพ่อมา เอามาติดไว้เผื่อมีเพื่อนอยากจะฟังด้วย”


“แล้วนายยังใช้ไอพอดนาโนอยู่อีกเหรอเนี่ย” ผมเลิกคิ้วขึ้นแล้วพยักหน้าตอบรับเร็วๆ   


“ใช้สิครับ ก็มันยังใช้ได้ อีกอย่าง ผมว่าคลาดสิคดีออก ถึงจะตกยุคไปแล้ว แต่ยิ่งคนใช้น้อย ผมว่าผมยิ่งดูโดดเด่น” ผมยิ้มกว้าง วิคเตอร์เบะปากเป็นรอยยิ้มขำ


“โดดเด่นหรือประหลาดกันแน่” ผมย่นจมูกแล้วมองค้อนใส่เขา แต่ก็แค่แว้บเดียว ก่อนจะปัดประโยคที่เขาจิกกัดมาทิ้งไปจากหัว


“อันนี้ของคุณครับ” ผมบอกพลางยื่นหูฟังสีขาวของไอโฟนให้เขา วิคเตอร์มองหน้าผมแล้วยิ้มขำเล็กน้อย เขายื่นมือมารับหูฟังไปเสียบที่รูหูทั้งสองข้าง ส่วนผมก็สวมหูฟังลงบนศีรษะจัดระเบียบให้เข้าที่เข้าทาง


“คุณชอบฟังเพลงแนวไหนเหรอ” ผมเอ่ยถามเขา วิคเตอร์เบะปากนิดๆ ก่อนจะตอบ


“ไม่มีแนวที่ชอบหรอก ฉันฟังได้หมดแหละ” ผมยิ้มกว้างกับคำตอบนั้น เพราะนั่นหมายถึงว่าเราจะได้ไม่ต้องตบตีกัน หากผมเปิดเพลงไม่ถูกใจเขา


“แต่อย่าเปิดเพลงปัญญาอ่อนให้ฉันฟังก็แล้วกัน”


วืดดด!


มือที่กำลังเลือกเพลงในไอพอดถึงกับสะดุด ผมอ้าปากหวอเงยหน้ามองเขาอย่างมึนๆ อีกฝ่ายยักคิ้วกลับมาให้เป็นเชิงยืนยันคำพูดของตัวเอง


ปัญหาก็คือ เพลงที่ผมจะเปิดให้เขาฟังนั้น มันปัญญาอ่อนสำหรับเขาหรือเปล่าเนี่ยสิ


“แล้วเพลงแบบไหนที่มันปัญญาอ่อนสำหรับคุณล่ะครับ” วิคเตอร์บุ้ยปากไปมา แล้วไหวไหล่น้อยๆ ก่อนจะตอบเสียงยาน


“ก็พวกเพลงเชื่อในรักแท้ รักหวานเลี่ยน อะไรแบบนั้น ฉันไม่ค่อยชอบ ฟังแล้วไม่เห็นจะเข้าใจ” ผมขมวดคิ้ว มองเขาหน้ามุ่ย อีกฝ่ายมองกลับมาอย่างงงๆ คงกำลังงงว่าทำไมผมถึงมองเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง


“เพลงแบบนั้นปัญญาอ่อนตรงไหน ออกจะเพราะแล้วความหมายก็ดี”


“ก็เพราะดี แต่ฉันว่ามันเพ้อเจ้อ” เขาตอบหน้าตาย ผมมองเขาอย่างหน่ายใจ วิคเตอร์มองกลับมาด้วยสีหน้าประมาณว่าเขาพูดอะไรผิดตรงไหน ผมยกมือเกาหัวแกรกๆ ได้แต่ทำใจปล่อยผ่านไป


ผู้ชายคนนี้นี่ไม่อินกับความรักเลยจริงๆ สินะ


“งั้นประเดิมด้วยเพลงที่ผมชอบก็แล้วกัน” ผมบอกอย่างประชดแล้วบุ้ยปากใส่เขาจนวิคเตอร์ยิ้มขำอีกรอบ ผมจัดการเลือกเพลง All of me ของ John Legend ฉบับโคเว่อร์จากซีรีส์ Glee ที่มีเนื้อหาโรแมนติคโคตรๆ แต่กับวิคเตอร์เขาคงมองว่า…


“น้ำเน่า” ผมแยกเขี้ยวและถลึงตาใส่เขา ก่อนจะเร่งเสียงให้ดังขึ้นอีกนิด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงของเขา


เราสองคนเดินเข้าไปในสวนสาธารณะใจกลางเมืองนิวยอร์คที่เปรียบได้ราวกับเป็นปอดของนิวยอร์คเกอร์ (New Yorker) ทั้งหลาย เราเดินชิวๆ บนถนนในสวนที่มีเก้าอี้ตัวยาวไว้สำหรับนั่งพักซึ่งวางไว้ห่างกันเป็นระยะๆ ตั้งติดกับรั้วเหล็กสีดำที่กั้นไว้ระหว่างพื้นถนนกับพื้นหญ้า ในหูก็มีเสียงเพลงช้าๆ ซึ้งๆ ให้รับฟัง เสียงเพลงกับบรรยากาศช่วงฤดูใบไม้ผลิของนิวยอร์ค มันช่างเป็นอะไรที่ลงตัว


‘Cause all of me… Loves all of you…  (เพราะทั้งหมดของฉัน รักทั้งหมดของเธอ…)

Love your curves and all your edges… (รักทุกสัดส่วนและทุกอณูของเธอ…)

All your perfect imperfections… (ทั้งความสมบูรณ์แบบที่ไร้ที่ติ…)

Give your all to me. I’ll give my all to you… (ให้ทุกอย่างของคุณกับผม และผมจะให้ทุกอย่างของผมกับคุณ…)





ผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เงยหน้ามองต้นไม้ทั้งสองฝั่งที่โน้มเข้าหากันคล้ายอุโมงค์ บางต้นมีใบสีเขียวขจี แต่บางต้นมีแต่กิ่งก้านสีน้ำตาลแก่ที่รอเวลาให้ใบขึ้นปกคลุม รู้สึกสดชื่นกับบรรยากาศรอบๆ ตัว แต่พอหันไปมองคนใกล้ตัว บรรยากาศก็แทบดิ่งลงเหว วิคเตอร์ทำหน้าเหมือนคนเบื่อโลก และมีความอึดอัดอย่างเห็นได้ชัดที่ฉายออกมาจากแววตาและสีหน้า ตอนแรกผมจะอ้าปากว่าเขาแต่พอหันไปมองรอบๆ ก็เห็นว่ามีสายตาหลายคู่มองมาทางเขา บางคนก็แค่มองผ่านๆ แต่บางคนก็มองด้วยสายตาตื่นเต้นที่ได้เจอดารานักแสดง วิคเตอร์ต้องส่งยิ้มตอบกลับไปเมื่อมีคนโบกมือทายทักเขา แต่รอยยิ้มนั้นก็ไม่ใช่รอยยิ้มเต็มปากนัก ผมกดหยุดเพลงไว้ชั่วคราว ดึงหูฟังออกเอาคล้องไว้ที่คอ แล้วยื่นมือไปสะกิดไหล่ขวาเขาเบาๆ วิคเตอร์หันมามองทั้งที่คิ้วยังขมวดอยู่นิดๆ ผมมองเขาด้วยความเห็นใจก่อนจะบอกเสียงอ่อย


“กลับบ้านมั้ย คุณอาจจะอยากพักผ่อน ผมขอโทษที่พาคุณมาอึดอัด” ผมบอกอย่างรู้สึกผิด วิคเตอร์มองหน้าผมด้วยท่าที
เคร่งเครียดเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะค่อยๆ คลายอาการเกร็งบนใบหน้า


“ฉันแค่…” เขาทำท่าอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็หยุดไว้แค่นั้น แล้วมองหน้าผมเหมือนกำลังคิดวิเคราะห์อะไรอยู่ เขาเลื่อนสายตาไปมองรอบๆ อีกครั้ง มีผู้คนเดินผ่านเราสองคนไปแบบที่ไม่เอะใจอะไร แต่ก็ยังมีพวกที่ส่งยิ้มมาให้และบางคนถึงกับยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปวิคเตอร์อย่างโจ่งแจ้ง วิคเตอร์ขบกรามเบาๆ แล้วเลื่อนสายตากลับมามองที่ผม แววตาสีน้ำผึ้งข้นคู่นั้นว้าวุ่น ก่อนที่เขาจะเอ่ยเสียงแผ่วด้วยใบหน้าเครียดๆ


“เดินต่อเถอะ” เขาบอกเสียงขรึม ผมเม้มปากเบาๆ มองหน้าเขาอย่างไม่สบายใจ


“เดินไปทั้งที่หน้าคุณเป็นแบบนี้เนี่ยนะ” ผมตีสีหน้าเครียดๆ ขบกรามแน่น คิ้วขมวดเป็นปมให้เหมือนเขาที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ วิค
เตอร์หลุดยิ้มออกมาที่เห็นผมพยายามทำหน้าเลียนแบบเขา คงเพราะผมขบกรามแน่นไปจนเกร็ง แก้มเลยป่องนูนขึ้นมาจนคล้ายปลาทอง มันเลยดูตลกมากกว่าดูจริงจัง ผมปล่อยลมออกจากปาก แล้วเอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้นวดขมับเบาๆ


“ทำหน้าตึงแบบนั้น คุณไม่ปวดกล้ามเนื้อบนหน้าแย่หรอ ขนาดผมทำแปบเดียวยังรู้สึกเหมือนจะตึงไปถึงสมอง” ผมบอกทั้งที่ยังนวดขมับทั้งสองข้าง เมื่อกี้เกร็งหน้าซะจนกล้ามเนื้อค้างเลยมั้ง วิคเตอร์ยังคงนิ่งไม่ยอมพูดอะไรต่อ ผมเลยหยุดนวดขมับแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา ก็เห็นว่าเขากำลังมองหน้าผมด้วยสายตาที่ขยับไปมาราวกับสำรวจใบหน้าผมอยู่


“อะไรเหรอครับ” ผมถามหน้าเหลอหลาเมื่อเขายังคงมองอยู่ สักพักมุมปากทั้งสองข้างของเขาก็ขยับเป็นรอยยิ้มเล็กๆ จนผมต้องยิ้มตามน้อยๆ


“ชอบเพลงเมื่อกี้มากรึไง ฉันเห็นนายเดินตัวลอยอย่างกับซินเดอเรลล่า” ผมย่นคิ้วมองหน้าเขาที่มองกลับมายิ้มๆ


“คุณรู้ได้ยังไงว่าซินเดอเรลล่าเดินตัวลอย”


“ฉันเคยเห็นที่วอล์ทดิสนีย์ตอนเดินขบวนพาเหรด เธอดูล่องลอยไปกับเสียงเพลง” ผมยังคงขมวดคิ้วแล้วมองวิคเตอร์ด้วยสายตาเหมือนเห็นคนแปลกหน้า ไอ้ที่เขาไปวอล์ทดิสนีย์น่ะไม่แปลกหรอก แต่แค่ประหลาดใจตรงที่เขาสังเกตทวงท่าการเดินของนังซินเนี่ยแหละ


“คุณก็ช่างสังเกตเนอะ” วิคเตอร์หรี่ตามองกลับมา ก่อนจะถามเสียงข้องใจ


“นายหลอกด่าอะไรฉันรึเปล่า” ผมส่ายหัวตาโต ยกมือโบกปฏิเสธรัวๆ กับคำกล่าวหานั้น


“เปล่า ผมแค่พูดเฉยๆ ก็จะให้พูดยังไงอ่ะ คุณช่างสังเกตจริงๆ นี่นา” เลยไม่รู้เลยว่าจะต้องทำสีหน้าและทำตัวยังไง วิคเตอร์คลี่ยิ้มขำขันออกมา ผมชะงักไป แล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มตาม รู้สึกโล่งใจที่เห็นเขายิ้มออกมาได้


“คุณยิ้มแล้ว ยิ้มต่อเถอะนะครับ คุณหล่อมากเวลายิ้ม” ผมยิ้มกว้าง วิคเตอร์ยิ้มบางๆ แล้วผงกหัวขึ้นสองสามทีเป็นการตอบรับ ผมยิ้มส่งท้ายก่อนจะก้มหน้าเลือกเพลงอีกรอบ คราวนี้ผมเลือกเพลงสนุกๆ ที่จังหวะครึกครื้น เพื่อที่จะได้สร้างบรรยากาศให้เขาตื่นตัวขึ้นบ้าง


ผมสวมหูฟังอีกครั้ง แล้วเปิดเสียงเพลงให้อยู่ในระดับที่ยังได้ยินเสียงจากภายนอกบ้าง เผื่อบางทีเขาพูดอะไรผมจะได้ได้ยินที่เขาพูด เราสองคนก้าวเท้าเดินต่อไปบนถนนที่มีหลายเส้นทาง แต่เราก็ไม่ได้กะเกณฑ์ว่าจะไปเส้นไหน เท้าพาไปทางไหน เราก็ไปทางนั้น เรามุ่งตรงไปตามทางในเซ็นทรัลปาร์คเรื่อยๆ โดยมีสายตาของหญิงชายหลายคู่ และหลายวัยมองมาที่เราอย่างสนอกสนใจ ผมเองก็แอบเกร็งๆ อยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นว่าวิคเตอร์ไม่ได้มีท่าทีอึดอัดหรือเครียดเคร่งอะไรอีก ผมก็เลยปล่อยตัวตามสบายบ้าง


ผมเริ่มออกสเต็ปตามจังหวะเพลงเมื่อตอนที่เราเดินทะลุหลุดออกมาจากโซนใจกลางของเซ็นทรัลปาร์ค ตอนนี้เราสองคนกำลังเดินอยู่บนถนนเส้นเล็กกว่าเดิม ดูโล่งๆ ไม่แออัดเท่าด้านใน อาจเป็นเพราะต้นไม้ที่มีแต่กิ่งก้านยังไม่พร้อมผลิใบออกมาเลยทำให้ทัศนียภาพดูโล่งโปร่งสบาย แถมผู้คนแถวนี้ก็ไม่ขวักไขว่เท่าไหร่ บรรยากาศในยามบ่าย ถึงจะมีแดด แต่อย่างที่บอกว่านี่คือช่วงสปริง มันเลยไม่ได้ร้อนตับแตก แต่กลับอบอุ่นและเย็นด้วยสายลมที่พัดมาเป็นระยะๆ ผมรู้สึกได้ว่าวิคเตอร์ดูจะผ่อนคลายมากกว่าตอนแรกๆ เยอะ


ผมหันไปมองเขาแล้วแลบลิ้นปลิ้นตาสนุกไปกับจังหวะเพลง Shake it off ของแม่สาวเทย์เลอร์ สวิฟต์ โยกไหล่ยึกยักให้ลงจังหวะดนตรี เท้าก็ก้าวกระโดดไม่มีคร่อมจังหวะ บางทีผมก็หยุดแล้วส่ายก้นนิดๆ จนวิคเตอร์หัวเราะเบาๆ


‘Cause the players gonna play, play, play, play, play… ผมโยกเอวตามจังหวะคำว่า play จนครบคำ

And the haters gonna hate, hate, hate, hate, hate… ผมทำหน้าคล้ายว่าเกลียดอะไรสักอย่าง แล้วส่ายหัวไปมาตามคำว่า hate จนหมดเนื้อร้อง

Baby, I’m just gonna shake, shake, shake, shake, shake… ผมชี้ที่วิคเตอร์ตอนคำว่า Baby ก่อนจะยื่นมือขวาไปด้านหน้าแล้วสลัดแรงๆ ตามคำว่า shake

I shake it off, I shake it off… ผมทำท่าโบกมือไล่ว่าไม่สนใจตามเนื้อร้องที่บอกประมาณว่า ฉันไม่แคร์


วิคเตอร์ยิ้มกว้างและส่งเสียงหัวเราะเมื่อเห็นผมออกแอคติ้งการเต้นที่ค่อนข้างจะอินไปกับเนื้อร้องและดนตรีเป็นอย่างดี ผมเดินไปเต้นไปเลยทำให้เขาต้องหยุดเป็นเพื่อนผม แอบหวั่นในใจนิดๆ ว่าเขาจะด่าหรือเปล่า แต่เขาแค่เอาแต่มองผมเต้นและร้องลิปซิงค์ด้วยรอยยิ้มขำๆ จนผมรู้สึกลิงโลดในใจที่เขาไม่ว่าอะไร แถมยังยิ้มแย้มสดชื่นอีกต่างหาก


ตอนนี้เราเดินมาถึงบริเวณแอ่งน้ำขนาดกลางๆ ที่ริมน้ำมีต้นซากุระสีชมพูอ่อนขึ้นแผ่กิ่งก้านอย่างสวยงามอยู่ อย่าได้แปลกใจว่าทำไมที่นิวยอร์คถึงมีดอกไม้ประจำประเทศญี่ปุ่นด้วย ที่มีได้ก็เพราะสภาพอากาศของทั้งสองที่คล้ายคลึงกัน เหมาะแก่การที่ซากุระจะขึ้นได้ แต่ดูท่าทางซากุระนางจะกินซีนสุด เพราะต้นไม้ต้นอื่นๆ ยังคงเป็นแค่โครงต้นไม้ มีแต่กิ่งก้านไม่มีใบ แถมสีชมพูของนางยังตัดกับพื้นหญ้าสีเขียวด้านล่างอีก บริเวณนี้มีผู้คนไม่มากเท่ากับอีกฝั่งของริมแอ่งทะเลสาบที่มีผู้คนกำลังนั่งเรียงรายเต็มตลิ่ง ไม่รู้ว่านั่งทำอะไรกัน แต่เห็นมีเต้นท์เขียวๆ กางอยู่ สงสัยจะเป็นที่นั่งพักล่ะมั้ง


“นายไม่เหนื่อยบ้างรึไง เต้นมาสามเพลงแล้วนะ” วิคเตอร์เอ่ยถาม ตอนที่เพลงที่สี่กำลังจะขึ้น และเรากำลังจะเดินผ่านต้นซากุระไป ผมหยุดยืนฟังทำนองเพลงต่อไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตาโตแล้วยิ้มด้วยรอยยิ้มตื่นเต้น


“นี่ๆๆ เพลงนี้น่ารักมาก ช่วงนี้ผมฟังบ่อยมากเลยนะ” วิคเตอร์ทำหน้าประหลาดใจ ก็พอดีกับที่ Carly Jepsen เริ่มร้องเนื้อท่อนแรกของเพลง I really like you ผมเลยขยับปากลิปซิงค์ตามทันที


I really wanna stop… (ฉันอยากจะหยุดจริงๆ นะ)~

But I just got the taste for it… (แต่ฉันก็เพิ่งจะได้ลิ้มรสมันเอง…)~

ผมฉีกยิ้มกว้าง รู้สึกสนุกไปกับเพลง วิคเตอร์ก้มมองลงมาด้วยสายตาละมุนอบอุ่นใจ นี่ถ้าเขาแขนไม่เดี้ยงผมจะจับมือเขาเต้นไปด้วยกันซะเลย ครั้นจะจับมือซ้ายเหวี่ยงไปเหวี่ยงมามือเดียวก็เกรงใจในสภาพที่เขาเป็นอยู่ เลยได้แต่เด้งหน้าเด้งหลังอยู่คนเดียว จนเนื้อเพลงเวียนจะมาถึงท่อนฮุคสุดท้าย ผมก็กะเอาให้เต็มที่ มีเท่าไหร่ใส่ไปให้หมด อุตส่าห์นั่งดูเอ็มวีบ่อยๆ แถมบริเวณนี้คนก็ไม่เยอะ อีกอย่างคนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจหรอก อยากทำอะไรก็ทำ ถึงบางทีจะมองแช่ที่วิคเตอร์นานไปหน่อยก็เถอะ แต่ตอนนี้เพลงกำลังสนุก ฟีลกำลังได้เลย ผมอ้าปากลิปซิงค์ตามเพลง แบบว่าเป๊ะทุกตัวอักษร


I need to tell you something… (ฉันต้องบอกอะไรบางอย่างกับคุณ…) ผมขมวดคิ้ว ทำหน้าจริงจังใส่วิคเตอร์คล้ายกับจะบอกอะไรบางอย่างกับเขาจริงๆ

Yeah, I need to tell you something… (ใช่ ฉันต้องบอกคุณแล้วล่ะ…) ผมขยิบตาให้เขา แล้วยิ้มอ้าปากกว้าง

YEAHHHH! I really really really really really really like you… (เย้ย้ย้ย้! นี่ฉันชอบคุณจริงๆ นะ…) อ้าปากกว้างตามคำว่า
YEAH! ยาวๆ ก่อนจะเอามือชี้มาที่ตัวผมตอนคำว่า I บิดไหล่แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยตอนคำว่า really แล้วหยุดบิดไหล่ก่อนจะชี้ไปที่เขาตอนคำว่า You

And I want you. Do you want me? Do you want me, too? (และฉันก็ต้องการคุณด้วย คุณล่ะต้องการฉันมั้ย ต้องการฉันเหมือนกันรึเปล่า?) ผมทำหน้าประหลาดใจ เอามือทาบกับอกตัวเอง ก่อนจะชี้นิ้วชี้ไปที่เขาเป็นเชิงถามตามเพลง แล้วยักไหล่สองสามทีตอนท่อนท้ายที่ถามว่าอยากได้ฉันเหมือนกันรึเปล่า


ผมทำท่าเดิมอีกรอบเพราะเนื้อเพลงวนซ้ำ วิคเตอร์ฉีกยิ้มกว้าง ใบหน้าเขามีแววคล้ายจะเขินๆ เล็กน้อย ผมยิ้มตามรอยยิ้มเขา ก่อนจะเตรียมเปลี่ยนท่าสำหรับท่อนต่อไป


Oh, did I say too much? (โอ้วตาย นี่ฉันพูดมากเกินไปรึเปล่าเนี่ย) ผมทำสีหน้ายุ่งเหยิง เอามือขึ้นมากุมหัวเหมือนมีเรื่องให้คิดมาก

I’m so in my head. (มันอัดแน่นอยู่ในหัวฉันไปหมด) ผมเอามือซ้ายลงจากหัว แล้วเอานิ้วชี้มือขวาจิ้มที่ขมับ ทำหน้าตาคล้ายคนปวดหัว ก่อนจะปล่อยมือขวาลงข้างตัวแล้วยื่นไปแตะที่ต้นแขนขวาของเขาเบาๆ

When we’re out of touch… (ยิ่งตอนที่เราขาดการติดต่อกันเนี่ยนะ…) ผมห่อไหล่นิดๆ แสร้งทำยิ้มเขินๆ แล้วปล่อยมือออกจากต้นแขนเขา ก่อนจะทำหน้าจริงจัง

I really really really really really really like you… (ฉันชอบ ชอบ ชอบ ชอบ ชอบ ชอบคุณจริงๆ นะ…) ผมชี้ที่ตัวเอง และชี้ไปที่เขาพร้อมกับบิดไหล่ซ้ายขวาน้อยๆ ตามจังหวะ

And I want you. Do you want me? Do you want me, too? (และฉันก็อยากได้คุณ คุณล่ะอยากได้ฉันมั้ย อยากได้ฉันอย่างที่ฉันอยากได้คุณรึเปล่า) ผมกระโดดตัวตรง แล้วแบมือส่งจูบไปให้เขา ก่อนจะดึงมือเข้าหาตัวเองเร็วๆ เอามาวางไว้ที่อกซ้าย แล้วยักไหล่ซ้ายขวาอย่างล่ะทีตามจังหวะเพลง



ผมเต้นต่ออีกนิดเพราะเนื้อเพลงยังไม่จบ กระโดดโลดเต้นไปข้างหน้าพร้อมชูแขนสองข้างขึ้นแบบตอนท้ายของมิวสิควีดีโอที่จำมา วิคเตอร์ส่งเสียงหัวเราะ เขายิ้มกว้างจนเห็นเป็นร่องแก้มคล้ายลักยิ้ม ยิ้มที่ผมชอบมองที่สุด เพราะเป็นยิ้มที่เขายิ้มทั้งใบหน้าและมาจากใจ ผมเองก็ส่งเสียงหัวเราะไปกับเขา ตอนนี้เราสองคนแทบไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลย แล้วพอดนตรีของเพลงจบลงพร้อมเนื้อร้องที่ว่า

And I want you. Do you want me? Do you want me, too?


วิคเตอร์ก็ร้องเพลงด้วยเสียงหล่อๆ ของเขาเบาๆ โดยใช้ทำนองเพลง I really like you นั่นแหละ แต่ไอ้เนื้อร้องนี่สิ ทำเอาผมเบรกเท้าชะงักแทบหน้าทิ่มไปกับถนน


“Of course. I really really really really really really wanna fuck you. And I want you. And I want you, too. (แน่นอน ฉันต้องการจะฟัด ฟัด ฟัด ฟัด ฟัด ฟัด นายจริงๆ นะ แล้วฉันก็ต้องการนาย แบบที่นายต้องการฉันด้วย)”


เดี๋ยวนะ! เนื้อร้องอันนี้มันอยู่ตรงไหน ของเพลงงั้นเหรอ?!


ผมกดไอพอดให้หยุดเล่นเพลงต่อไปทันที วิคเตอร์ส่งเสียงหัวเราะเริงร่าอย่างที่ไม่กลัวใครจะมอง เพราะแถวนี้ปลอดคน มีแต่ต้นไม้ไร้ใบและเสาไฟอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้น  ผมทำแก้มพองลม และทำหน้ามุ่ยๆ ใส่เขา รู้สึกเขิน แต่ต้องแสดงออกเหมือนว่าไม่พอใจ จะได้ดูไม่ง่ายเกิน แม้ใจจริงๆ อยากพุ่งตัวไปบนเตียงกับเขาแล้วก็ตาม (อ้าวๆ เดี๋ยวก่อนๆ)


“เลือกเพลงนี้มา ตั้งใจจะบอกอะไรฉันรึเปล่า” เขาถามเสียงทุ้ม หลังจากหยุดหัวเราะ ผมค่อยๆ หุบแก้มที่พองลมอยู่ กระพริบตามองเขางงๆ ก่อนจะถามด้วยความสงสัย


“บอกอะไรเหรอครับ” วิคเตอร์ยิ้มเบ้ปาก เอามือซ้ายล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์อย่างมีมาด แล้วยักไหล่ซ้ายน้อยๆ


“นายอาจจะแอบชอบฉันอยู่ไง” ผมหยุดกระพริบตาแล้วเบิกตากว้างมองเขาอย่างค้างๆ ความร้อนและคงมาพร้อมกับความแดงแผ่ไปทั่วใบหน้าอย่างรวดเร็ว วิคเตอร์ยิ้มกรุ้มกริ่ม และยิ้มเป็นประกายในนัยน์ตา ทำเอาผมประหม่าไปทันที


“โว้ววว! บ้า! บ่อมีหรอก ไผจะมาชอบ~” ผมเผลอหลุดภาษาเหนือออกมา เมื่อเริ่มออกอาการเคอะเขินจนไปต่อไม่ถูก วิคเตอร์ย่นคิ้วนิดๆ ด้วยความงง แต่กระนั้นริมฝีปากเขาก็ยังบิดเป็นรอยยิ้มขันๆ


“What did you say? (พูดว่าอะไรนะ)” ผมสั่นหัวเบาๆ เพื่อเรียกสติ แล้วหันไปตอบเขาเสียงแห้ง จนต้องกระแอมคอนิดหนึ่ง


“I said no one like you. (ผมบอกว่าไม่มีใครชอบคุณหรอก)” วิคเตอร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มมุมปากมีเลศนัย


“หึ…” เขามองผมด้วยสายตาเหมือนเสือเห็นเหยื่อ จนผมต้องหันหน้าหนีเขาไปมองทางอื่นครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมายิ้มเหงือกแห้งให้เขา


“ไป… เอ่อ ไปเดินเล่นต่อมั้ยครับ” เสียงผมเหมือนเสียงคนงุ้งงิ้งยังไงชอบกล วิคเตอร์ยิ้มขำ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย


เราสองคนก้าวเท้าเดินกันต่อไปโดยที่ไม่ได้เปิดเพลงฟังอีกแล้ว วิคเตอร์ส่งหูฟังคืนให้ผม ผมถอดแจ๊คที่เชื่อมหูฟังทั้งสองอันไว้ออกจากไอพอด แล้วยัดลงกระเป๋ากางเกงยีนส์ลวกๆ ผมพยายามทำตัวปกติให้ได้แบบวิคเตอร์ที่นิ่งได้ดีมาก ส่วนผมนี่ยกมือเกาแก้มแก้เขินไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้


เราเดินมาเรื่อยๆ จนมาโผล่ที่ Sheep meadow ซึ่งเป็นลานทุ่งหญ้ากว้างๆ สีเขียวขจี มีต้นไม้ที่รอวันผลิใบและบางต้นก็เริ่มผลิใบแล้วขึ้นอยู่รอบๆ ลานหญ้าขนาดกว้างแห่งนี้ เบื้องหน้าที่ผมมองเห็นคือกลุ่มแมกไม้ที่เรียงตัวเป็นแนวยาวและหนาทึบ ส่วนเบื้องหลังของกลุ่มต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสีน้ำตาลขึ้นติดๆ กันคล้ายเป็นรั้วกันสวนกับตัวเมืองนั้นมีวิวเป็นยอดตึกของเมืองแมนแฮตตัน มีตึกคอนโดสูงที่มีข่าวแว่วว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในนิวยอร์ค สูงกว่าตึกเวิร์ดเทรดซะอีก ตั้งเด่นเป็นสง่าท่ามกลางตึกเล็กตึกน้อย


“หญ้าดูนุ่มน่านั่งจังนะครับ” ผมบอก แววตายังกวาดไปทั่วบริเวณทุ่งหญ้ากลางใจเมืองอันวุ่นวายแห่งนี้


“นั่งมั้ยล่ะ” เสียงวิคเตอร์ถาม ผมหันไปมองเขาที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น วิคเตอร์ยิ้มนิดๆ แล้วพาผมนั่งลงกับพื้นหญ้าที่อยู่ใกล้ๆ ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่แผ่กิ่งปกคลุมเป็นบริเวณกว้าง ผมเอามือลูบหญ้าไปมา มันนุ่มจริงๆ ด้วย


“นี่ถ้ามีแกะอยู่ด้วย คงสมกับชื่อของมันเลยนะครับ” ผมบอกยิ้มๆ เพราะที่นี่เหมือนลานทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงแกะจริงๆ อย่างชื่อเรียกมันนั่นแหละ


“อืมมม… แต่ตอนนี้มีแต่คนเต็มไปหมด ผู้คนในเมืองอันวุ่นวาย” วิคเตอร์เหยียดเท้าสองข้างไปด้านหน้า แล้วเอาแขนซ้ายยันตัวเองไว้ สายตาเขาเหม่อมองไปไกล ผมมองตามสายตาของเขาก็เห็นกลุ่มคนเป็นหย่อมๆ กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ บนทุ่งหญ้าสีเขียว มีเด็กตัวเล็กๆ กำลังวิ่งเล่นกับผู้เป็นพ่อ มีคนยกมือถือมาถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน ผมหันกลับมามองวิคเตอร์ที่ตอนนี้คล้ายว่าเขากำลังนั่งเหม่อคิดอะไรไปเรื่อย ผมเม้มปากเบาๆ ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถามออกมา


“คุณไม่ชอบฟังเพลงรัก…” เขาหันมามองผมด้วยสายตางงๆ แต่ก็พยักหน้ารับไปแบบมึนๆ


“…ไม่ชอบฟังแม้แต่เพลงเดียวเลยเหรอ”  เขายังคงเหม่อมองไปข้างหน้า แต่ก็ตอมคำถามผมด้วย


“ก็ฟังได้ แต่ฉันไม่ค่อยเชื่อตามเนื้อเพลงพวกนั้นหรอก” ผมนิ่งไปนิด ชั่งใจเพื่อให้แน่ใจว่าตอนนี้เป็นจังหวะที่สามารถถามได้แล้วจริงๆ ถึงค่อยถามต่อ


“Do you ever have the first love? (คุณเคยมีรักแรกมั้ย)” คราวนี้เขาชะงักนิ่งไป หันมามองผมด้วยสายตาเรียบเฉยจนผมเกิดอาการหวาดๆ ในอก ว่าเขากำลังไม่พอใจหรือเปล่า แต่สักพักแววตาเขาก็อ่อนลง แล้วตอบเสียงเบา

V
v
v

ออฟไลน์ คุณเจ้

  • Follow your heart, but take the brain with.
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-8


“เคยมั้ง ไม่รู้ว่าเรียกรักแรกได้รึเปล่า แต่เขาเป็นแฟนคนแรกของฉัน ก็อาจจะเรียกรักแรกได้ล่ะมั้ง ใครๆ ก็ต้องเคยมีทั้งนั้น นายเองก็คงมี” ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะพยักหน้าแล้วบอกเสียงเนือย


“ก็มีครับ แต่รักแรกของผมจบลงไม่ดีเท่าไหร่หรอก มันจบพร้อมกับสร้างแผลไว้ในใจผมด้วย…” ผมยิ้มอ่อน แต่ไม่ได้รู้สึกเศร้ากับ (แอบ) รักครั้งเก่าอะไรหรอก ผมว่าผมเลยจุดนั้นมาแล้ว


“…แล้วของคุณล่ะ แฮปปี้มั้ย” วิคเตอร์บุ้ยปากเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบ


“ตอนแรกๆ ก็แฮปปี้ดี แต่สุดท้ายก็เลิกกัน…” เขานิ่งไปนิดเหมือนกำลังคิด สุดท้ายเขาก็พูดต่อ


“…เขาเป็นฝ่ายทิ้งฉันไป เพราะเขารับไม่ได้กับสิ่งที่ฉันทำ” ผมย่นคิ้วเล็กน้อยกับท้ายประโยคของเขา นึกคันอยากรู้ขึ้นมานิดๆ แต่คิดว่าถ้าถามไปคงมีอันต้องหยุดบทสนทนาแน่ๆ


“แล้วคุณเสียใจมากมั้ย” วิคเตอร์เลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งและพยักหน้าช้าๆ แววตาเขาไหววูบเล็กน้อย


“ก็… มากนะ เธอเป็นคนที่ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกรักก่อนความรู้สึกอยากมีเซ็กส์” วิคเตอร์ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ผมนึกไปถึงวันที่เรานั่งคุยกันบนชิงช้าม้านั่งในสวนหลังบ้าน


“ฉันไม่ได้รักผู้หญิงทุกคนที่ฉันเคยนอนมาด้วยหรอก”


“ไม่ทุกคน แสดงว่าก็ต้องมีหนึ่งในนั้นที่คุณรู้สึกรัก”


“ไม่รู้เหมือนกันว่านั่นเรียกว่ารักมั้ย”


อาจจะเป็นคนนี้ก็ได้ล่ะมั้งที่เขารู้สึกรักมากกว่ารู้สึกเซ็กส์


“แล้ว… ทุกวันนี้คุณยังรักเธออยู่มั้ย” ผมถามเขาเสียงแผ่ว ไม่เข้าใจตัวเองว่าหัวใจจะเต้นหน่วงๆ ทำไม วิคเตอร์เงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง ใจผมเต้นตึกๆ ในการรอคำตอบของเขา วิคเตอร์หันหน้ามามองผม แววตาที่มองมานั้นนิ่งจนผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แล้วเขาก็ตอบเสียงเบาแต่ก็มั่นคง


“ความรักระหว่างฉันกับเขามันจบไปแล้ว ตอนนี้เธอเป็นความทรงจำที่ดี เป็นคนที่ฉันคงไม่มีวันลืม…” และผมยิ่งไม่เข้าใจว่าตัวเองจะรู้สึกโล่งใจอะไรได้ขนาดนี้


“…ก็เหมือนนายนั่นแหละ นายก็คงไม่มีทางลืมรักแรกได้ใช่มั้ยล่ะ” ผมยิ้มนิดๆ พยักหน้ารับหน่อยๆ


“ไม่ลืม เพราะเขาเป็นรักแรก และเป็นรักที่ทำให้ผมเจ็บแบบไม่มีวันลืมได้แน่ๆ ถึงตอนนี้ผมจะเฉยๆ แล้ว แต่ยังไงผมก็คงไม่ลืมสิ่งที่เขาพูดไว้กับผมหรอก” วิคเตอร์มองหน้าผมด้วยสายตาเป็นคำถาม ผมยิ้มบางๆ แล้วบอกปัดเขา


“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เขาแค่พูดเรื่องจริงที่ผมปฏิเสธไม่ได้” เขาพยักหน้ารับช้าๆ แล้วหันกลับไปมองผู้คนบนทุ่งหญ้าด้านหน้าต่อ ผมมองเสี้ยวหน้าเขาแล้วขมวดคิ้วนิดๆ


“คุณก็เคยมีความรัก แต่ทำไมถึงไม่ชอบฟังเพลงรัก” เขาหันกลับมามองผมนิ่งๆ ก่อนจะยื่นปากเหมือนเป็ดนิดๆ


“ก็…” เขาเม้มปาก สายตาหลุบต่ำคล้ายกำลังคิดถึงสิ่งที่ผมถาม ผมมองเขาด้วยอาการลุ้นๆ ว่าเขาจะตอบมั้ย


“…มันไม่ได้สวยงามแบบเพลงรักโรแมนติคที่นายชอบฟัง” เขาพูดใบหน้าสงบ แต่ชั่วขณะหนึ่งผมเห็นความเศร้าในแววตาของเขา ก่อนที่เขาจะยิ้มเยาะๆ ราวกับกำลังสมเพชใครคนหนึ่ง


“Are you—okay? (คุณโอเคมั้ย)” เขาหันมายกยิ้มมุมปากให้ผม แล้วไหวไหล่เบาๆ


“Yes. (อ่าฮะ)” เขาตอบน้ำเสียงสบายๆ แต่ผมว่าเขาต้องยังรู้สึกไม่ดีอยู่แน่ๆ เพียงแต่เรื่องนั้นคงเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากพูดเท่านั้นเอง


“ผมไม่รู้หรอกนะว่าที่คุณเจอมามันเลวร้ายยังไง แต่ทุกคนมีโอกาสเจอความรักในมุมเลวร้ายด้วยกันทั้งนั้น…” เขามองผมด้วยสายตาอ่อนแสง ผมยิ้มบางๆ แล้วพูดต่อ


“…คุณยังโชคดีที่มีความรักจากคุณแม่และคุณย่า เอ่อ ขอโทษทีนะครับที่ละลาบละล้วง แต่พอดีวันที่คุณลิซ่ากับคุณพ่อคุณมา เธอบอกว่าแม่กับย่าของคุณ รักและตามใจคุณมาก” ตอนแรกผมนึกว่าเขาจะอาละวาดกราดเกี้ยวใส่เมื่อผมพูดถึงแม่เลี้ยงของเขา แต่เขายังคงมีท่าทีปกติตามเดิม ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา


“เพราะฉันขาดบางสิ่ง พวกเขาเลยเติมให้ และพยายามเติมให้อย่างเต็มที่และดีที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ฉันขาดก็ยังทำร้ายส่วนที่แม่กับย่าเติมให้ฉันได้เสมอ…” เขาเหม่อมองไปที่พื้นหญ้า แววตากำลังรำลึกถึงอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้แววตาเขาดู
เศร้าและเคว้งคว้างเหลือเกิน


“พวกเขารักฉันมากขนาดไหน ฉันรักพวกเขามากยิ่งกว่า” เขาเงยหน้ามาสบตากับผมด้วยสายตาสั่นไหว เห็นแบบนั้นใจผมก็กระตุกแปลกๆ รู้สึกว่าเขาเปราะบางเหลือเกิน


ผมเลยยื่นมือไปแตะไหล่ขวาเขาไว้ พร้อมกับส่งรอยยิ้มเป็นกำลังใจไปให้ วิคเตอร์มองกลับมานิ่งๆ ผมเลยคลี่ยิ้มให้กว้างขึ้นอีกเพื่อที่เขาจะได้รับรู้ว่าอย่างน้อยยังมีผมอยู่ตรงนี้ วิคเตอร์ยกมือซ้ายขึ้นจากพื้นแล้วเบี่ยงตัวมาด้านขวาของเขา หันมามองหน้าผมตรงๆ


เราสองคนสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่วิคเตอร์จะโน้มหน้าเข้ามาหาผม และประกบริมฝีปากสีแดงหม่นลงบนริมฝีปากสีชมพูซีดๆ ของผม เขาเอาปากแตะแช่ไว้อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มกดลงมาหนักๆ แต่ก่อนที่เขาจะได้ดำเนินต่อไป เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น ผมสะดุ้งตกใจเลยดึงหน้าหนี วิคเตอร์หน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ก็ใช้มือซ้ายดึงมือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ ก่อนจะกรอกเสียงห้วนๆ เข้มๆ ลงไป


“ฮัลโหล… ไอ้เบน แกมีอะไร… เออ เลิกแล้ว… ไปไหน?… ขี้เกียจไป… เออ ก็ได้… ทำไม?... ก็อยู่แถวนี้แหละ…” เขาหันหน้ามามองผมเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปพูดสายต่อ


“เออ… เดี๋ยวพาไปด้วย… แกมารับฉันด้วยละกัน… ฉันเข้าเฝือกที่แขนอยู่… มีอุบัติเหตุที่กองถ่ายนิดหน่อย… เจอกัน” เขากดวางสายแล้วยื่นมือถือมาให้ผม


“ฝากหน่อย อ้อ ของนายอยู่บนตู้หัวเตียงฝั่งฉัน ฉันลืมหยิบมาด้วย” ผมพยักหน้ารับรู้ แล้วเอามือถือของเขาใส่เข้าไปในกระเป๋าเป้


“คุณเบนโทรมาชวนไปไหนหรอครับ”


“ชวนไปปาร์ตี้ฉลองที่ฉันเลิกกับนาตาชา” ผมแอบเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ท่าทางคุณเบนจะแอนตี้นาตาชาไม่เสื่อมคลายแฮะ


“มันบอกให้ชวนนายไปด้วย ไปมั้ย”


“คงมีแต่เพื่อนๆ คุณไป คุณไปเถอะครับ”


“แต่ฉันจะให้นายไปด้วย งั้นก็ไปเถอะ” แล้วเขาจะเอ่ยชวนผมทำไม ถ้าจะบังคับแบบนี้


ผมทำปากยื่น สีหน้าเพลียๆ กับนิสัยติดบงการของเขา เราสองคนนั่งมองบรรยากาศในทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะกลางมหานครนิวยอร์คไปเรื่อยเปื่อย คิดๆ ดูแล้วมันอาจจะน่าเบื่อที่มานั่งมองทุ่งหญ้า และต้นไม้ที่ส่วนมากมีแต่กิ่งกับก้าน และดูผู้คนในอิริยาบถต่างๆ แต่อยากจะบอกว่า มันเป็นแหล่งธรรมชาติที่เดียวในเมืองใหญ่แห่งนี้ที่จะมานั่งปลดปล่อยอารมณ์ไปกับทัศนียภาพที่ไม่ใช่ตึกรามบ้านช่องที่แออัดกันจนน่าอึดอัดแทน


“นี่ ผมถามอะไรอีกสักข้อสองข้อได้มั้ย” ผมตัดสินใจหันมาถามเขาหลังจากนั่งคิดกับตัวเองอยู่นานว่าควรถามเขาดีมั้ย เพราะผมกลัวว่าจะเป็นการไปวุ่นวายเรื่องส่วนตัวเขามากเกินไป และนั่นอาจทำให้เขาไม่พอใจก็เป็นได้ และถ้าเกิดเขาไม่พอใจบรรยากาศที่กำลังดีๆ อย่างนี้อาจจะหายวับไปกับสายลมเย็นๆ ที่พัดมา


“ถามอะไรอีก วันนี้นายถามฉันเยอะนะ” ผมยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะรวบรวมกำลังใจแล้วเอ่ยถามในสิ่งที่อยากรู้


“คุณเลิกกับนาตาชาทำไมหรอ” เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ


“ก็เธอไปนอนกับแฟนเก่าไง” เขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนวันที่บอกกับคุณเดวิดไม่ผิดเพี้ยน ท่าทีเขาก็ดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย


“คุณไม่รู้สึกเสียใจเลยหรอครับ…” ผมหน้านิ่วคิ้วขมวด นึกหาคำพูดมาพูดกับเขาไม่ออก  วิคเตอร์แบะปากนิดๆ แล้วส่ายหัวน้อยๆ


“ไม่” ผมมองเขาด้วยความอึ้งนิดๆ ที่เขาดูไม่เสียใจ ตามที่เขาพูดว่า ไม่ จริงๆ ผมรู้สึกงงและสับสนว่าเพราะอะไรเขาถึงดูไม่ทุกข์ ไม่ร้อน ไม่กังวลใจใดๆ เลย


“แล้วคุณไม่โกรธเธอหรอครับที่ทำแบบนั้นกับคุณ”


“โกรธ แต่เพราะฉันรู้อยู่แล้วว่าสักวันเธอต้องกลับไปมีอะไรกับไอ้หมอนั่น” คราวนี้ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความฉงนแทบจะกลายเป็นฉงายที่เป็นชื่อควายเลยทีเดียว


“คุณรู้ได้ยังไงครับ” วิคเตอร์ยิ้มมุมปากเป็นรอยยิ้มขบขัน ที่เห็นผมทำหน้าตาเหลอหลาเหมือนลาโง่


“ตอนฉันจีบนาตาชา ไอ้หมอนั่นมันก็พยายามกลับมาขอคืนดี นาตาชาก็ทำท่าอยากจะกลับไป ฉันพยายามทำทุกอย่างให้ได้เธอมา…” คราวนี้ผมเบิกตากว้างขึ้นนิดๆ รู้สึกทึ่งไปกับความคิดและการกระทำของเขา


“…พอเราคบกัน ฉันก็พยายามทำหน้าที่แฟนให้ดี เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องกลับไปหาแฟนเก่า แต่สุดท้ายก็อย่างที่ฉันบอก” เขาบอกสีหน้าเรื่อยเปื่อย ยกมือซ้ายขึ้นมาปัดเศษหญ้าที่ติดอยู่บนกางเกงออกไปแรงๆ อย่างไม่ใส่ใจ
ไม่ใส่ใจเหมือนกับนาตาชาที่เขาเพิ่งทิ้งมา


“คุณคบกับเธอเพราะแค่อยากเอาชนะแฟนเก่าเธอเนี่ยนะ” ผมอดที่จะรู้สึกเหลือเชื่อไม่ได้จริงๆ


“เปล่า ฉันอยากชนะนาตาชาต่างหาก” ผมอ้าปากค้าง มองเขาตาค้างเช่นกัน จนวิคเตอร์หันมาหัวเราะเสียงเบา ผมดึงสติเข้าหาตัว กระพริบตางงๆ อยู่พักหนึ่งแล้วถามเขาต่อ


“แล้วคุณไม่รู้สึกอะไรกับเธอเลยนอกจากอยากชนะน่ะเหรอ”


“ใครว่า ฉันก็ต้องรู้สึกบ้างสิ ฉันไม่ได้อยากเอาชนะหน้ามืดตามัวขนาดนั้นนะ” ผมรู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยเขาก็มีความรู้สึกให้นาตาชาบ้าง ใช่ว่าจะมุ่งแต่จะเอาชนะอย่างเดียว ถึงแม้จะไม่รู้ก็เถอะว่าที่เขารู้สึกกับเธอนั้นมันคือความรู้สึกชอบหรือรักมากน้อยแค่ไหน
ผมเลือกที่จะจบความสงสัยของตัวเองไว้แค่นี้ เพราะไม่อยากเซ้าซี้และรบกวนเขามากไปกว่านี้ เดี๋ยวเขาจะรำคาญและพาลหงุดหงิดเอา โมเม้นต์นี้กำลังดี ผมยังอยากซึมซับกับมันอีกสักพัก


หลังจากนั่งแช่อยู่ที่ลานทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะกันอีกพักใหญ่ๆ ผมก็เลยลองเลียบๆ เคียงๆ สำเนียงเสียงอีสานถามเขาว่าไปล่องเรือชมเทพีเสรีภาพกันมั้ย เพราะตั้งแต่มาผมยังไม่ได้ไปเฉียดใกล้รักแร้ของแม่เทพีเลยสักนิด แน่นอนว่าถ้ายอมง่ายๆ คงไม่ใช่วิคเตอร์ เขาอิดออดไม่อยากไป บ่นว่าอยากนอนพัก ตอนแรกผมก็ทำท่าจะดื้ออ้อนให้เขาไปด้วยกัน แต่เห็นหน้าตาสลึมสลือของเขาแล้วก็เลยตัดใจแล้วพาเขากลับบ้านดีกว่า เดี๋ยวงอแง หงุดหงิดขึ้นมา ก็จะอาละวาดใส่ผมอีก


กลับถึงบ้านเขาก็จะนอนอย่างเดียว แต่ผมบังคับให้เขากินข้าวกินยาก่อน ถึงปากเขาจะบอกว่าไม่เจ็บ ไม่ปวดที่แขนแล้ว แต่ไว้ใจไม่ได้หรอก เกิดไม่กินยา อาการอักเสบกำเริบขึ้นมาจะยุ่ง ผมเลยต้องนั่งป้อนข้าวเด็กชายตัวโข่งที่กินไปไม่ถึงสิบคำ แล้วค่อยเอายาให้เขากินตามไป พอเสร็จแล้ว เขาก็จูงมือผมไปนั่งที่โซฟา เขาหนุนหัวลงบนตักผมทันทีโดยที่ไม่ถามความสมัครใจของผมสักนิด สุดท้ายผมเลยต้องกลายเป็นหมอนให้เขานอนหลับปุ๋ย ส่วนตัวผมเองก็นอนพิงกับพนักพิงหลังของโซฟาแล้วค่อยๆ หลับไป


พอพลบค่ำ ก็มีคนมากดกริ่งเรียกที่หน้าบ้าน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเบนเนดิคท์เลยทำให้เราสองคนต้องงัวเงียตื่นออกไปต้อนรับ คุณเบนยังคงดูดีและมีรอยยิ้มหล่อเหลาเช่นเคย เขาพุ่งตัวสวมกอดผมทันทีที่ประตูบ้านเปิดกว้างออก


“Hey! (ไง!)” ผมยิ้มกว้าง แล้วยกแขนโอบรอบแผ่นหลังเขา หน้าผมซุกอยู่ตรงแผ่นอกเขา สูดดมกลิ่นตัวหอมๆ ของคุณเบนแล้วก็บอกได้เลยว่าฟินเฟ่อ


“เหมือนไม่ได้เจอกันนานมากเลย” เขาว่าแล้วดันร่างผมออกจากอก เราสองคนสองยิ้มกว้างให้กัน


“Miss you so much. (คิดถึงคุณมากเลยครับ)”


“โอ้ว! ฉันชอบความรู้สึกที่มีคนคิดถึงจัง ชอบฉันแล้วล่ะสิ” ผมยิ้มกว้างเป็นรอยยิ้มขันๆ กับท่าทีอเลิร์ทของเขา เบนเนดิคท์ยักคิ้วมาให้ผมสองที


“ใช่ครับ ผมชอบคุณ” ผมหัวเราะเสียงสดใส เบนเนดิคท์ยืดอกแล้วยิ้มเบ้ปากด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ


“งั้นเป็นแฟนกันมั้ย…”


“…จะไปกันได้รึยัง ฉันเอียนฉากหวานเลี่ยนนี่เต็มทนแล้ว” เสียงเข้มๆ ที่มาพร้อมกับสีหน้าเหน็ดเหนื่อยหัวใจของคนตัวสูงที่ยืนข้างๆ ผมดังแทรกขึ้นทันทีก่อนที่ผมจะได้อ้าปากพูดต่อ เบนเนดิคท์ย่นคิ้วแล้วหันไปมองผู้ชายร่างยักษ์ที่ตีหน้าเข้มใส่เราสองคน


“แกเพิ่งตื่นนอนใช่มั้ยเนี่ย ถึงได้อารมณ์บูดอย่างนี้”


“เออ นอนอยู่ แต่ก็ต้องตื่นมารับแกนี่ไง” วิคเตอร์ว่าน้ำเสียงหงุดหงิด อ้าปากหาววอดๆ


“อ้าว ไอ้นี่ ก็นัดไว้แล้วนี่หว่า ฉันก็มารับแกสองคนตามนัดไง” วิคเตอร์คงขี้เกียจเถียงแล้วเลยโบกมือไล่เป็นสัญญาณว่าให้ออกไปจากบ้านกันได้แล้ว คุณเบนเนดิคท์ทำท่าจะเอื้อมมือมาจูงมือผม แต่วิคเตอร์ก็เดินแทรกกลางระหว่างผมกับเบนเนดิคท์จนร่างของพ่อหนุ่มตาสีเทาสะดุดถอยหลังเกือบตกบันไดไป


“โว้ว! ไอ้วิคเตอร์ เดินผ่ามาได้ ฉันตกบันไดไปจะทำไงวะ” คุณเบนโวยเสียงดัง ส่วนวิคเตอร์ไม่ได้แสดงสีหน้าว่ารู้สึกผิดหรือรู้สึกอะไร หันหน้ามองผ่านไหล่กลับมาที่ผมพร้อมกับออกคำสั่งสีหน้านิ่งสนิท


“ปิดประตูบ้านด้วย” ผมพยักหน้า แล้วก้าวเท้าเดินออกมาจากกรอบบานประตู มือซ้ายยืดไปข้างหลัง ไปดึงประตูให้ปิดตามหลังมา ตอนนี้กลายเป็นว่าเราสามคนมายืนออกันอยู่หน้าประตูบ้านจนเบียดเสียดกันไปหมด


“เฮ้ย แกเขยิบไปหน่อยสิวะ” คุณเบนโวยเบาๆ ในขณะที่พยายามดันให้วิคเตอร์หลบทางตัวเอง เพราะตอนนี้วิคเตอร์ยืนตัวติดกับคุณเบนจนเขาแทบจะหงายหลังลงไปในแปลงกุหลาบข้างรั้วบันไดบ้านแล้ว


“แกก็ลงไปสิ มายืนอยู่ทำไม” วิคเตอร์บอกเสียงทื่อๆ มึนๆ ผมเอียงตัวมองคุณเบนเนดิคท์ ก็เห็นเขาเอียงตัวมองกลับมาและพยายามเบี่ยงตัวหนีวิคเตอร์ แต่ก็โดนยักษ์บังไว้


“ฉันจะคุยกับแมท แกมายืนขวางทำไมเนี่ย” คุณเบนว่าพลางแทรกตัวหนีลงบันไดไปหนึ่งขั้น แล้วเดินมาทางผมก่อนจะเอื้อมมือมาจะจับมือผมไว้ แต่ก็ไม่ทันกับมือใหญ่ๆ ของใครอีกคนที่ปัดมือคุณเบนออกเบาๆ พร้อมกับสีหน้ามึนตึง


“โวะ! ไอ้วิคเตอร์ เหลือแขนข้างเดียวยังจะปัดป่ายไปทั่ว ฉันจะจูงมือแมทไปที่รถ” ผมยิ้มขำให้กับคุณเบนที่พยายามจะยื่นมือมาจับมือผมอีกรอบ วิคเตอร์เดินมาใช้แขนขวาที่เดี้ยงๆ ของเขาดันผมให้ออกห่างจากเบนเนดิคท์


“ไม่ต้อง เอเลี่ยนไม่ใช่หมา ไม่ต้องให้แกมาจูง เขาเดินเองเป็นน่า” ผมไม่เห็นสีหน้าใครทั้งนั้น เพราะโดนวิคเตอร์ยืนบังร่างจนมิด


“ฮู่ววว! อะไรของแก คนเขาจะจับมือกันก็มายืนขวางอยู่ได้ ไปๆ” คุณเบนบอกเสียงเหวี่ยงๆ แล้วเดินลงบันไดไป วิคเตอร์หันมาหาผมแล้วยื่นมือซ้ายมาจับมือขวาผมไว้ ก่อนจะจูงพาเดินลงบันไดบ้านไป ผมแอบอมยิ้มคนเดียวก่อนจะแกล้งถามเขาเสียงแซวๆ


“You said I’m not a dog, and I can walk. So, why do you lead me by your hand? (ไหนว่าผมไม่ใช่หมา เดินเองได้ แล้วคุณจูงมือผมทำไมล่ะครับเนี่ย)” วิคเตอร์หันหน้ามามองผมในระหว่างที่เดินตามคุณเบนเนดิคท์ไปที่รถ เขาเดินช้าลงแล้วก้มลงมาพูดกับผมเสียงทุ้มเบาๆ


“If you are a dog—you are only my dog. (ถ้านายเป็นหมา ก็เป็นแค่หมาของฉันคนเดียว)” เขาบอกแล้วเหลือบมองไปทางคุณเบนเนดิคท์เล็กน้อย ก่อนจะก้มลงจูบกลางกระหม่อมผมเร็วๆ หนึ่งที จนผมต้องคลี่ยิ้มเขินๆ คนเดียว


“Should I feel blissful to be your dog? (ผมควรดีใจมั้ยที่ได้เป็นหมาของคุณ)” ผมถามเสียงเบาๆ เพราะเราใกล้จะเดินถึงรถคุณเบนเนดิคท์แล้ว วิคเตอร์ก้มหน้าลงมองผมแล้วยิ้มมุมปาก พูดด้วยเสียงทุ้มน่าฟัง


“Yes, you should—and. (ดีใจสิ แล้วก็…)” เราหยุดเดินก่อนถึงรถคุณเบนเนดิคท์เพียงนิดเดียว ซึ่งคุณเบนเปิดประตูเข้าไปนั่งรอในรถแล้ว ผมยิ้มอ่อนๆ เลิกคิ้วขึ้นมองเขาอย่างสงสัยว่าเขาจะพูดอะไร แล้วเขาก็คลายความสงสัยของผมด้วยการพูดเสียงแหบพร่าที่เล่นเอาความรู้สึกเสียวแล่นวาบไปทั้งตัว


“And I will be very blissful, too. If you let me fuck you with a Doggy style. (แล้วฉันก็จะดีใจมากเหมือนกัน ถ้านายให้ฉันฟัดนายท่าหมา)” ผมเบิกตากว้างขึ้นนิดหน่อย มองเขาด้วยความทึ่ง วิคเตอร์มองกลับมาด้วยสายตาพราวระยับ รอยยิ้มมุมปากนั้นเล่นเอาใจผมยิ่งกระตุกไปกับประโยคของเขา รู้สึกถึงความร้อนที่ไม่ได้อยู่แค่บนหน้า แต่มันร้อนไปทั้งตัว


“อ้าว รีบไล่ฉันมา แล้วทำไมไม่ขึ้นรถสักทีวะไอ้วิคเตอร์ เร็วสิ ไอ้พวกนั้นมันรออยู่นะ” เสียงคุณเบนเนดิคท์แทรกดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศร้อนรุ่มระหว่างเราสองคน วิคเตอร์กระตุกยิ้มที่มุมปากสูงขึ้น แล้วจูงมือผมไปขึ้นรถ ผมยังคงหน้าตาตื่นตะลึงไม่หายกับประโยคของเขา


โอ๊วมายด์~ ท่าหมา นั่นท่าเบสิคเลยใช่มั้ย เอ๊า! ละผมคิดอะไรเนี่ย


ระหว่างทางที่นั่งรถมา ผมนั่งเงียบมาตลอดทางอยู่เบาะหลังคนเดียว โดยมีเสียงพูดคุยของคุณเบนกับวิคเตอร์คลอไปกับเสียงเพลงบนรถตลอดทาง คุณเบนมีหันมาพูดคุยกับผมบ้าง ผมก็ตอบสั้นๆ ไม่ได้ยาวอะไร ไม่ใช่ว่าหยิ่ง แต่ในหัวตอนนี้มันวนเวียนไปด้วยไอ้ท่าหมาของเขา ไม่อยากยอมรับเลยว่า กำลังคิดถึงภาพเขากับผมบนเตียงในท่านั้น โอ๊ยยย เริ่มคุมไม่อยู่แล้วต่อมความรู้สึกในสมองทั้งหลาย เริ่มจะออกลายยิ่งกว่าลายบนตัวยุง


ผมสะบัดหัวเบาๆ คนเดียว แล้วพยายามคิดถึงเรื่องวันนี้ที่คุณเบนเนดิคท์มารับผมกับวิคเตอร์เพื่อฉลองความโสดหมาดๆ ให้กับพ่อพระเอกที่คลับแห่งหนึ่งแถวๆ โซน West village ที่อยู่ฝั่ง West side ของนิวยอร์ค ซึ่งตรงโซนนั้นมีร้านเหล้า มีคลับ มีบาร์ ค่อนข้างเยอะ (จริงๆ ในนิวยอร์คก็มีแทบทุกจุดนั่นแหละ) แต่ส่วนมากที่นี่จะเป็นคลับบาร์ที่ค่อนข้างมีระดับขึ้นมาหน่อย แต่ใช่ว่าจะไม่มีร้านธรรมดาๆ เลยนะ มันก็มีตั้งแต่ระดับธรรมดาจนมาถึงระดับวีไอพีเนี่ยแหละ


ในนิวยอร์คผมชอบโซน West Village มากที่สุด เพราะมันให้กลิ่นอายคลาสสิค ท่ามกลางความสมัยใหม่ในเมืองใหญ่แบบนี้ แต่ที่นี่ยังคงมีกลิ่นกรุ่นๆ ของยุคเก่าๆ ในอดีตให้เห็นอยู่ ตึกที่เป็นสีอิฐตั้งเรียงราย สลับกับอิฐสีขาวบ้าง ทำให้ดูสวยสบายตา รวงร้านกาแฟหรือบาร์ หรือร้านอาหารต่างๆ ที่อยู่ตามใต้ตึกอิฐสูงสามสี่ชั้น จัดแต่งได้น่ารัก น่านั่ง อีกทั้งบรรยากาศที่นี่ยังไม่พลุกพล่าน ไม่วุ่นวาย ส่วนใหญ่คนที่เป็นนิวยอร์คแท้ๆ หรือต้นตระกูลอยู่นิวยอร์คมานานจะย้ายมาอยู่โซนนี้กันหมด ส่วนโซนที่วิคเตอร์อยู่นั้นก็หรูหราไม่แพ้กัน ที่พักนั้นแพงแสนแพง ย่านที่วิคเตอร์อยู่นั้นทุกๆ วันจะเห็นคนแต่งตัวคล้ายว่าหลุดออกมาจากนิตยสาร เพราะเป็นแหล่งสำนักงานหรูๆ เพียบ แต่ตรงนั้นก็จะรวมหลายเชื้อชาติไว้เยอะอยู่เหมือนกัน บางซอยแถวบ้านวิคเตอร์มีพวกผิวสีที่น่ากลัวๆ อยู่ด้วย และโฮมเลสก็เยอะพอสมควร แต่ที่นี่เหมือนเป็นอีกชั้นบรรยากาศของนิวอยร์คเลยแหละ ผมไม่ได้จะแบ่งแยกผิวสีหรือเหยียดผิวใดๆ เพียงแต่บอกไปตามที่สังเกตมาสักระยะจากที่อยู่นิวยอร์คมาสองเดือน ชาวผิวสีบางคนก็อยู่ที่ West side ก็มี และชาวผิวสีดีๆ นั้นก็มีเยอะแยะ


ไม่จะชาติไหน ผิวสีอะไร มันไม่สามารถตัดสินนิสัยของคนๆ นั้นได้ บางคนตัวขาวแต่ใจดำยิ่งกว่าผิวของคนผิวสี บางคนผิวดำแต่ใจสะอาดยิ่งกว่าผิวของคนผิวขาวบางคนซะอีก


เรามาถึงคลับในเวสท์วิลเลจกันตอนสองทุ่มกว่าๆ ร้านที่พวกคุณเบนเนดิคท์เลือกมาปาร์ตี้ในคืนนี้เป็นร้านที่สร้างจากตึกแถวสองตึกติดกันแล้วตกแต่งใหม่ให้เป็นคลับสีทึบเน้นโทนสีดำ ด้านล่างชั้นหนึ่งเป็นกระจกหนาที่สามารถกันเสียงข้างในได้ ซึ่งพอฟังจากข้างนอกก็จะได้ยินเสียงจังหวะดนตรีแค่แผ่วๆ แต่ก็ยังรับรู้ได้ว่าด้านในนั้นสนุกขนาดไหน


คลับที่นี่ส่วนมากจะมีการต่อแถวเข้าไปด้านใน เพราะบางทีถ้าปล่อยให้เข้าไปเยอะๆ พร้อมกันมันจะทำให้พื้นที่ข้างในแออัดจนไม่สามารถขยับตัวได้อย่างสะดวก ถึงจะมีเพื่อนมาจองโต๊ะไว้แล้วแต่ถ้าเรามาสายก็ถือว่าไม่ได้มาด้วยกัน ก็ต้องต่อคิวรออยู่ดี ฉะนั้นถ้าอยากเที่ยวพร้อมกันสนุกๆ ก็ต้องมาต่อคิวเข้าพร้อมกันนั่นแหละ แต่ในกรณีของวิคเตอร์ผมว่าน่าจะต่างออกไป เพราะเมื่อวิคเตอร์พาผมกับเบนเนดิคท์เดินไปหน้าแถวที่มีการ์ดหุ่นล่ำกล้ามโตหัวล้านสองคนยืนคุมโชว์หน้าดุอยู่ บรรยากาศเข้มๆ นั้นก็หายไปจากใบหน้าของการ์ดแล้วแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มน้อยๆ แทบจะทันที


“เชิญด้านในเลยน้องชาย” การ์ดหัวล้านผิวเข้มที่มีหนวดสีดำเข้มอยู่ใต้จมูกบอกกับวิคเตอร์ยิ้มๆ แล้วผายมือไปทางประตูทางเข้า วิคเตอร์และเบนเนดิคท์ยิ้มรับ ส่วนผมยังยืนหน้าเหลอหลาอยู่ว่าทำไมถึงเข้าไปได้ง่ายๆ แบบนี้ ผมหันไปมองคนที่ต่อคิวอยู่ก็รู้สึกเกรงใจพวกเขาเหล่านั้นขึ้นมาทันที


“แต่เดี๋ยวก่อน เด็กเข้าไม่ได้นะ” เสียงเข้มๆ ดังมาทำให้ผมต้องละสายตาจากผู้คนที่กำลังต่อคิวหยาวเหยียดมามองที่การ์ดสองคน


“ไม่ใช่เด็ก อายุยี่สิบกว่าแล้ว” วิคเตอร์ตอบกลับไปเสียงทุ้ม การ์ดสองคนเลิกคิ้วขึ้นมองหน้าผมด้วยความประหลาดใจและดูเหมือนจะไม่เชื่อด้วย ผมเห็นแบบนั้นก็รีบเปิดเป้แล้วหาบัตรประชาชนจากกระเป๋าตังค์ยื่นไปให้อีกฝ่ายพร้อมพาสปอร์ต การ์ดทั้งสองคนรับไปดูคนล่ะอย่าง ก้มหน้าอยู่สักพักก็หน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมแว้บหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองหน้ากัน แล้วก็ยื่นสลับเปลี่ยนพาสปอร์ตกับบัตรประชานให้กัน ก้มหน้าลงไปดูกันอีกรอบ สักพักพวกเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองผมที่ยิ้มแฉ่งกลับไปให้


“เขาเป็นคนเอเชีย หน้าอาจจะเด็กกว่าอายุจริงไปหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าเขาอายุเท่านี้จริงๆ” คุณเบนเนดิคท์บอกยิ้มๆ การ์ดหัวล้านสองคนนั้นยังทำท่าเหมือนไม่เชื่อ แต่พอก้มลงมองสิ่งที่ผมยื่นให้ไปอีกรอบก็คงคิดว่าหาจุดผิดปกติไม่เจอเลยยื่นคืนให้ ก่อนจะพยักหน้ายินยอมให้พวกเราสามคนเข้าไปด้านใน


“เอ่อ… เราแซงคิวเขารึเปล่าครับเนี่ยคุณเบน” ผมเดินไปข้างๆ คุณเบนแล้วถาม คนถูกถามยิ้มกริ่มก่อนจะชี้ไปที่วิคเตอร์ที่เดินนำหน้า ผลักประตูกระจกเข้าไปด้านในซึ่งทำให้ได้ยินเสียงเพลงดังกระหึ่มออกมา


“อย่าลืมสิว่านายมากับใคร คลับที่ไหนก็อยากให้คนพูดถึงทั้งนั้นแหละว่า มีดาราดังมาเที่ยว” ผมสีหน้ากระจ่างด้วยความเข้าใจทันที


เราเดินเข้าไปด้านในที่แสงสีเขียว สีส้ม สีฟ้าและอีกหลายสีสาดไปทั่ว เสียงเพลงดังซะกลัวลำโพงแตก คลับที่นี่จะมีโซนแยกชัดเจน ใครใคร่เต้นก็ขึ้นบนเวทีซึ่งบางเวทีมีเสาให้รูดเสร็จสรรพ ใครอยากดื่มอย่างเดียวก็เข้าไปด้านในหน่อยที่เป็นโซนโซฟาสำหรับนั่ง หรือถ้าใครอยากยืนโยกเบาๆ ก็มีโซนให้ยืน แต่ห้ามเต้นเป็นจริงเป็นจังเด็ดขาด ถ้ายูจะเต้น ยูต้องออกไปเต้นในโซนที่จัดไว้ให้เท่านั้น ไม่งั้นถูกหิ้วอีกออกไปแน่ๆ ผมเดินตามหลังคุณเบนไปโซนยืนที่อยู่นอกรอบของฟลอร์เต้นรำตรงกลาง ผู้คนพลุกพล่านแน่นขนัดเต็มไปหมด แต่ก็ไม่ถึงขั้นเบียดจนผิวเสียดสีกับใคร ผมว่านี่คือข้อดีอย่างหนึ่งของการที่เขาไม่ได้นึกอยากจะให้คนเข้ามาเท่าไหร่ก็ได้แบบที่เมืองไทย 


“เฮ้ย! ว่าไงพ่อหนุ่มโสดหมาดๆ” ผมละสายตามาจากแสงสีและผู้คนที่กำลังออกลีลาอยู่บนเวทียกสูง หันไปมองเหล่าเพื่อนๆ ของวิคเตอร์ที่อยู่กันครบหน้า และดูเหมือนว่าจะมีมาเพิ่มอีกเป็นสิบคนทั้งเพศชายและเพศหญิง เพราะโต๊ะของพวกเขาต่อยาวจนกินพื้นที่ไปเกือบครึ่ง แต่ที่ผมจำได้แน่ๆ ก็คือพวกที่ไปบ้านวิคเตอร์เมื่อตอนที่เขาฉลองตอนได้เล่นบทหนังเรื่องใหม่ นอกนั้นผมไม่คุ้นหน้าคุ้นตา แต่ถ้าให้เดาจากหนังหน้าและหุ่นแล้วนั้น ต้องเป็นเพื่อนนายแบบนางแบบของเขาแน่ๆ


“เฮ้! เอเลี่ยนน้อยนี่เอง รอบนี้มาได้ด้วยเหรอ” ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร อันเดรพ่อหนุ่มหนวดเคราเข้มหน้าคมผิวสีแทนก็ดึงผมเข้าไปกอดจนจมอก ผมยกมือกอดตอบเขาแทบไม่ทัน กอดค้างไว้สักพักเขาก็ดันร่างผมออก


V
v
v

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด