ONLY YOU EP.4 :: Heart failure. [50%]“อ้าว นี่สรุปแกไม่ได้กิ๊กกับเขาหรอกเหรอ ฉันนึกว่าแกกับเขามีซัมติงกันซะอีก” เก้าบอกน้ำเสียงประหลาดใจ เบิกตากว้างมองไปที่เอิร์ทกับขวัญที่กำลังเดินออกไปจากตึกคณะของผมด้วยกัน ผมมองตามและได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปตอบเก้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เป็นเพื่อนกัน ก็ตอนที่อยู่นิวยอร์ก มีเด็กไทยเยอะที่ไหนล่ะ พอเจอเด็กไทยด้วยกันก็เลยเกาะกลุ่มกันไว้ เลยสนิทกันตามประสาเพื่อนนั่นแหละ” ผมยัดขนมสแน็คแจ๊ครสบาร์บีคิวเข้าปากแล้วเคี้ยวกรุบๆ
“ก็สองอาทิตย์ก่อนดูแกกับเขาตัวติดกันจะตาย”
“แกไม่เคยเป็นหรอที่ช่วงนึงจะสนิทกับเพื่อนคนนึงมากๆ เพราะมีเรื่องคุยกันตลอด แต่พอห่างกัน มันก็ไม่ได้ว่าไม่สนิทกันแล้ว แค่เรื่องที่คุยกันมันน้อยลงเฉยๆ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงปกติ เก้ากับแบมและคนอื่นๆ หันไปสนใจกิจกรรมที่ตัวเองกำลังทำ ตอนนี้เป็นเวลาว่างก่อนขึ้นเรียนคาบบ่าย พวกเราเลยมานั่งกันใต้ตึกคณะ
ผมกับเอิร์ทคุยกันน้อยลง แต่ก็ยังคุยกันอยู่บ้างทางเฟซบุ๊ค ทางว้อทแอพ เวลาผมอัพรูปอะไรในไอจี เอิร์ทก็ชอบมากดไลค์ มาคอมเม้นต์แซวๆ ตลอด หรือสถานะ รูปต่างๆ ในเฟซบุ๊ค เอิร์ทก็ตามมากวนประสาทไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ก็ใช่ว่าเขาตามติดผมแบบรักและเทิดทูนบูชาขนาดนั้น ความรู้สึกเหมือนเพื่อนสนิททั่วๆ ไปมากกว่า
ผมไม่รู้ว่าเขากับขวัญเป็นยังไงบ้าง เพราะไม่ได้ถามไถ่ใดๆ จากเขาอีก เวลาเจอเพื่อนๆ เอิร์ท ทุกคนก็ยังทักทายผมด้วยความสนุกสนานตามปกติ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับเอิร์ทอีก ไม่รู้ว่าพวกเขารู้เรื่องระหว่างเราสองสามคนมากน้อยแค่ไหน แต่ผมว่ามันก็ดีกว่าการที่จะเอาเรื่องผมมาเป็นประเด็นในวงสนทนาของพวกเขา ถึงผมจะไม่รู้ว่าเขาเป็นยังไง แต่ผมเห็นขวัญแท็กรูปคู่กับเอิร์ทมาบ่อยๆ ส่วนเอิร์ทไม่เคยลงรูปคู่กับขวัญเลย อันที่จริงเขาไม่ค่อยอัพเดตอะไรเลยต่างหาก ตามประสาผู้ชายที่มีไลฟ์สไตล์ไม่ได้ติดโซเชียลขนาดหนัก
จากการลงรูปคู่ของขวัญในเฟซบุ๊ค ผมว่าผมก็พอจะรู้แล้วว่าเอิร์ทเลือกแบบไหนกันแน่ แม้จะแอบหวิวๆ ในหัวใจ แต่ผมก็ยินดีกับเขาด้วยที่เขากลับไปสู่หนทางตามปกติที่เขาเป็นมาตั้งแต่แรก ไม่มีใครอยากจริงใจกับเพศอย่างผมหรอก ขนาดคนที่ได้กันแล้วอย่างพ่อหนุ่มอังกฤษยังเลือกที่จะกลับไปเดินทางปกติเลย แล้วมันจะแปลกอะไรกับพ่อหนุ่มไทยที่ยังไม่ได้กัน แล้วเขาจะหันหลังกลับไปสู่ชีวิตปกติของเขา
“หูยยย! จริงหรอไอ้วอร์ม แกมีอะไรกับผู้หญิงได้สามสี่รอบต่อวันเลยหรอ แกถึกไปปะวะ” เสียงอยากรู้อยากเห็นของแคทดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังนั่งกินขนมพร้อมกับนั่งทำสไลด์เตรียมพรีเซ้นต์ฝึกงาน
“มึงจะเสียงดังทำไมเนี่ยแคท เบาๆ หน่อยก็ได้” ไอ้วอร์มมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าอายๆ แคทยกมือปิดปากหน้าตาตกใจ และรีบลดเสียงลง
“ก็ฉันรู้สึกตกใจนี่หว่า แกมีอารมณ์ขนาดนั้นเลยหรอ”
“ไอ้วอร์มมันออกกำลังกาย เล่นกล้าม กินแต่อาหารเพื่อสุขภาพ มันเลยฟิตไง” แชมป์เป็นผู้เฉลยให้กับแคทที่กำลังทำสีหน้าสนอกสนใจ และตอนนี้ไม่ใช่แค่แคท แต่ทั้งกลุ่มเรากำลังสนใจในหัวข้อนี้ของไอ้วอร์มเหลือเกิน
“แต่แกก็ไปฟิตเนสกับมันไม่ใช่หรออีแชมป์ แกก็ดูปกตินะ…” คนถูกทักยิ้มมุมปากเขินๆ เล็กน้อย ก่อนที่ซี้ของมันจะเป็นคนพูดแทน
“มึงรู้ได้ไงว่ามันปกติ” ชะนีทั้งกลุ่มอ้าปากหวอ มองไปทางไอ้แชมป์ผู้โสดใสซื่อ โอเค ถึงมันจะโสดแต่ผมว่าหน้าตาดีอย่างมันก็คงไม่น่าร้างเรื่องผู้หญิง แถมมันยังรวยมากมาย ผู้หญิงน้อยคนแหละที่จะปฏิเสธมัน
“โอ้! มายก็อด นี่ไอ้วอร์มวันล่ะสามสี่รอบ แล้วมึงเท่าไหร่เนี่ยไอ้แชมป์” แคททำด้วยสีหน้าทึ่งๆ แชมป์ทำหน้าเขินอายแบบประหม่านิดหน่อย ผมเข้าใจมันนะ จู่ๆ ก็โดนผู้หญิงถามเรื่องบนเตียง ถึงจะเพื่อนสนิทกัน แต่มันก็คงกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบ
“ก็แล้วแต่ว่ะ ถ้าเว้นไปนาน ก็ห้าหกรอบในครึ่งวันก็มี…”
“อู้ววว! ตายๆ พังค่ะ ชะนีพังค่ะเจอมึงสองคนเนี่ย!” ผมยิ้มขำกับอาการโอเวอร์ของแคท แล้วสักพักหน้าของวิคเตอร์ก็ลอยเข้ามา ไม่ได้ว่าคิดถึงทุกช่วงเวลาจนเพ้อถึงเขาหรอกนะ แต่พอคุยเรื่องแบบนี้ ผมก็อดนึกถึงเขาไม่ได้ เพราะวิคเตอร์เป็นคนที่แฮปปี้กับเรื่องเซ็กส์มาก ยิ่งพอไอ้วอร์มกับไอ้แชมป์พูดถึงเรื่องการมีอะไรครั้งล่ะหลายๆ รอบ ผมยิ่งนึกถึงเขา
“แล้วถ้าแบบว่า ไม่ได้เว้นนาน แต่สามารถมีต่อเนื่องได้หกเจ็ดรอบนี่แปลกปะวะ” ผมถามเสียงอ่อยพร้อมรอยยิ้มแหยๆ ทุกคนหันมามองผมด้วยสายตาตื่นๆ
“เฮ้ย อีแมท นั่นคนปะวะ มีเซ็กส์ติดต่อกันหกเจ็ดรอบเนี่ย” เหมียวทักด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
“คือมันก็ไม่ได้คอนตินิวท์ต่อเนื่องอ่ะ คือ… ฉันหมายถึงคนๆ นั้นอาจจะมีช่วงพักเบรกบ้าง แต่สักพักก็จะมีต่อได้เลย” พูดไปก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะแฉตัวเอง ผมเลยพยายามบิดเบือนคำพูดเต็มที่
“ถ้ามีพักเบรกก็ไม่แปลก มันก็เป็นเรื่องปกตินะ แต่ถ้ามีอะไรต่อเนื่องแบบไม่พักเบรกเลย กูว่านั่นไม่ใช่คนละ แม่งคงฟิตปั๋งจริงๆ อ่ะ อย่างกูถึงมีอะไรได้สามสี่ครั้ง แต่ปวดจู๋ชิบหาย ไอ้ที่แบบเอาต่อเนื่องทั้งที่เสร็จแล้ว แบบยังแข็งไม่ยอมลง มากสุดแค่สองสามรอบแหละกูว่า” ผมมองหน้าไอ้แชมป์ ยิ้มแห้งๆ แล้วแอบกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย ก็ไอ้ยักษ์วิคเตอร์มันสามารถคอนติวนิวท์ทั้งที่ยังแข็งไม่ยอมลงได้ถึงสามรอบ ถ้าเกินนั้นมันก็หยุดพักแปบนึงเพื่อเรียกคืนพละกำลัง งั้นแบบนี้ไอ้ยักษ์ก็ไม่ใช่คนแล้วปะวะเนี่ย
“อ้าว ถ้าพวกมึงปวดน้องมึงอย่างงั้น แล้วจะมีทำตั้งหลายรอบวะ วันล่ะครั้งนี่ก็พอแล้วมั้ง” แบมบอกด้วยสีหน้าสอดเสือกเต็มที่
“บางคนก็มีวันล่ะครั้ง บางคนอาทิตย์ล่ะครั้ง เดือนล่ะครั้ง ก็แล้วแต่พฤติกรรมและนิสัยเรื่องเพศของแต่ล่ะคน หรือเรียกบ้านๆ ก็คือความหงี่นั่นแหละ สุขภาพก็สำคัญ พวกที่รักษาสุขภาพตัวเองดีๆ อ่ะ ถ้าได้มีเซ็กส์ทีนะ แม่งโคตรอึด พวกที่เล่นกล้ามกับกูบางคน เคยพาเมียไปโรงบาลมาแล้วก็มี เพราะว่ามีอะไรหลายรอบเนี่ยแหละ” เหล่าชะนีส่งเสียงอื้ออึงด้วยความอึ้งเมื่อได้ฟังประโยคสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากไอ้วอร์ม ผมรู้สึกปากแห้งคอแห้งไปขึ้นมาทันใด เพราะผมก็เคยไปโรงพยาบาลมาเพราะมีเซ็กส์ แต่นั่นแค่รอบเดียวนะน่ะ ไอ้รอบปกติในบ้านนั่นจัดหนักจนแทบสลบ ถือว่าผมโชคดีและร่างกายแข็งแรงพอที่จะรับมือกับวิคเตอร์ได้สินะ ยิ่งเวลาเข้าไปในห้องเซ็กส์ทอย วิคเตอร์จะยิ่งมีพลังมากกว่าเดิม ผมรอดออกมาได้นี่ถือว่าบุญยังคุ้มครอง ดีไม่ตายคาเตียง ไม่ตายคาเชือกที่มัดแขนมัดขาไว้
“แต่อย่างนึงที่กูว่าแม่งเป็นตัวชนวนสำคัญของอารมณ์ผู้ชาย คือคู่นอนเราว่ะ คือถ้าแฟนเรา หรือคู่นอนเราน่าเอา น่านอนด้วยนะ แม่งกกทั้งวันยังได้”
“เออ อันนี้กูเห็นด้วย ถ้ายิ่งเจอแบบรักถวายหัวนะ ยิ่งอยากเอา กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม” ไอ้แชมป์เสริมประโยคของไอ้วอร์มทันที ประโยคจากปากผู้ชายแท้ๆ สองคนในกลุ่ม ทำเอาผมสะดุดใจ ใจที่เคยเหี่ยวเฉา เกิดอาการเต้นแรงขึ้นมา ทั้งๆ ที่มันก็เคยเกิดอาการเต้นแรงแบบนี้มาก่อน แต่พอมันเต้นแรงขึ้นมาอีกรอบหลังจากนิ่งสงบมาเป็นเดือนๆ ก็ทำเอาผมแทบคุมมันไม่อยู่เหมือนกัน ไม่รู้จะเต้นแรงอะไรนักหนาทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องอะไรชวนให้ใจเต้นแรงๆ เลยสักนิด
“ไม่ลองมีเองวะแมท จะได้รู้คำตอบว่าผู้ชายอย่างเราๆ สามารถมีเซ็กส์ได้กี่รอบ” แชมป์แซวด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ ผมถลึงตาใส่มัน นั่นจึงทำให้มันกับไอ้วอร์มหัวเราะออกมา
“แกสองคนก็ถามไม่ให้เกียรติสภาพเพศเพื่อนเลยนะคะ แมทมันจะไปเอาใครล่ะ นอกจากมันจะโดนเอาเอง ใช่มั้ยแก” เก้าหันมาพยักเพยิดกับผม ผมย่นคิ้วทำหน้าเอือมใส่มัน ไม่ได้จะทำใสซื่อหรอก แต่ก็ไม่อยากพูดไรมาก เดี๋ยวจะเผลอหลุดว่าตัวเองเสียซิงไปแล้ว
“แล้วมึงโดนเอายังวะแมท ถ้ายังไม่เคย กูช่วยมั้ย เพื่อนกัน แบ่งปันน้ำใจกันได้เว้ย!” แล้วทั้งกลุ่มก็ฮากับประโยคอันมีน้ำใจของอีแชมป์ ผมหยิบกระดาษเอสี่ที่เขียนประโยคสำหรับพรีเซ้นต์ฝึกงานไว้ขึ้นมาฟาดหัวมันไปหนึ่งที ทุกคนยิ่งหัวเราะเมื่อผมแยกเขี้ยวใส่มันและระดมตีหัวมันไม่เลิก จนมันดึงผมเข้าไปกอดนั่นแหละ ผมถึงหยุดและหันมาดิ้นๆ พยายามดันตัวเองออก คนอื่นๆ ส่งเสียงแซวสนุกสนาน อีแชมป์ก็ได้ใจ แกล้งหอมแก้ม หอมหัวผมยกใหญ่
“อั๊ยยย! อีแชมป์ ไอ้เชี่ยม!” แทนที่มันจะหยุด กลับส่งเสียงหัวเราะอยู่ได้
“พี่แมทคะ…” เสียงใสๆ พร้อมหน้าสวยๆ ของรุ่นน้องในเอกคนหนึ่งดังขึ้น นั่นจึงทำให้ไอ้แชมป์หยุดเล่นกับผม และเราทุกคนก็หันไปมองน้องคนสวยในเอกประจำปีสาม
“อาจารย์ณัฐวัฒน์เรียกพี่ไปพบที่ห้องพักของอาจารย์ค่ะ” ผมทำหน้าว่าอ้อ และพยักหน้ารับประโยคนั้น น้องคนสวยยิ้มให้และเดินไปหาเพื่อนๆ ที่รออยู่ พอน้องเดินไป ผมก็หันไปมองเพื่อนๆ งงๆ
“อาจารย์แกมีไรวะ”
“อ้าว ถามพวกฉัน แล้วฉันจะไปถามผีที่ไหนล่ะแก ก็นั่งอยู่ด้วยกันเนี่ย” แบมทำหน้าว่า มึงบ้าปะเนี่ย? ใส่ผม ส่วนผมก็ยังคงทำหน้างงต่อไป
“ก็ขึ้นไปหาแกดิ แกมีอะไรจะให้มึงทำแหละถึงได้เรียกขึ้นไป” แชมป์บอกพลางยกมือซ้ายมาโยกหัวผมเบาๆ ผมปัดออกสีหน้ามุ่ย ไอ้หน้าเกือบตี๋ยิ้มแฉ่งกวนตีนกลับมา
“ทำไมอาจารย์เขาไม่ลงมาหาฉันเองวะ”
“โอ้โห! อีเน่! แกคิดจะเล่นกับอาจารย์ใช่มะ เดี๋ยวก็โดนแกจิกกัดสามวันสามคืนหรอก” ผมหัวเราะกับประโยคของเหมียว ก่อนจะลุกขึ้นยืน ในจังหวะที่ลุกขึ้นยืนไอ้แชมป์ก็เอามือมาบีบก้นผมแรงๆ
“ฮิ้ววว! ก้นแน่นจังเลยนะครับน้องแมท!” ไอ้ดวกแชมป์ กูเนี่ยรุ่นพี่มึงอีกนะ ถึงจะห่างกันแค่ปีเดียวก็เถอะ ผมหยิบขนมปาใส่มัน แล้วเดินออกจากโต๊ะ ตรงไปที่ลิฟต์ กดเรียกลิฟต์สักพักมันก็ลงมา ผมก้าวเข้าไปข้างในคนเดียวแล้วกดเลขแปด ช่วงเวลานี้ไม่ค่อยมีคนใช้ลิฟต์เท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ก็กำลังเรียนอยู่
ผมเดินออกจากลิฟต์ เดินตรงไปยังห้องพักของอาจารย์ณัฐวัฒน์ เคาะประตูเป็นการขออนุญาต พอได้ยินเสียงอาจารย์เรียกให้เข้าไปได้ ผมถึงเปิดประตูและเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับดันประตูปิดตามหลัง
“มีอะไรหรอครับอาจารย์” ผมยกมือไหว้แกพลางนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับอาจารย์ แกหยิบกระดาษโปสเตอร์แผ่นหนึ่งยื่นมาให้ผม ผมยื่นมือไปรับสีหน้างุนงง
“งานฟิล์มเฟสติเวิลของไทย?” อาจารย์ยิ้มกริ่มและพยักหน้าให้ ก่อนจะเปิดปากพูดด้วยเสียงเป็นการเป็นงาน
“ครูรู้ว่าเธอชอบงานด้านภาพยนตร์ แต่ที่เอามาให้ดูเนี่ย ไม่ได้จะให้ไปทำหนังหรืออะไรหรอกนะ แต่พอดีทางทีมงานเขาติดต่อมาทางภาควิชา ว่าขอให้เธอไปร่วมงานด้วย” คราวนี้ผมทำหน้างงหนักเข้าไปอีก งานใหญ่โตระดับประเทศขนาดนี้ เขาควรติดต่อพวกดารานักแสดงไปร่วมงานไม่ใช่เหรอ แล้วเด็กปีสี่อย่างผมนี่มีความสำคัญกับงานนี้ตรงไหนเนี่ย
“ให้ผมไปร่วมงานเนี่ยนะครับ ไปในฐานะอะไรอะครับอาจารย์”
“เขาบอกให้เป็นเบื้องหลัง จริงๆ ทางทีมงานของไทยไมได้รีเควสเธอมาหรอก แต่เขาบอกว่าทีมงานต่างประเทศที่จะมาร่วมงานด้วยต่างหากที่รีเควสว่าอยากให้เธอไปร่วมงานด้วย” ผมก็ยังคงทำหน้าไม่เข้าใจอยู่ดี ถึงขั้นยกมือขึ้นมาเกาหัวงงๆ และก้มลงมองแผ่นโปสเตอร์โปรโมตงานภาพยนตร์นานาชาติในประเทศไทย
“คืองี้ ดาราที่ชื่อวิคเตอร์ เรย์มอนด์อ่ะ เขาให้ทีมงานติดต่อมา ว่าขอให้เธอไปดูแลเขา ในระหว่างที่เขาอยู่ที่ไทย” คล้ายว่าลมหายใจผมจะหายไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังหายใจอยู่รึเปล่า ตอนที่ได้ยินชื่อวิคเตอร์ ใจผมกระตุกอย่างรุนแรง กระตุกวูบเดียวหนักๆ แล้วเหมือนกับมันหยุดเต้นไปเลย ตัวผมค่อยๆ เย็นวาบช้าๆ ผมเงยหน้ามองอาจารย์ด้วยลำคอที่แห้งผาก
“ได้ข่าวว่าตอนที่เธอไปฝึกงานที่นิวยอร์ก ก็คือไปดูแลเขาอ่ะหรอ” อาจารย์ถามยิ้มๆ ผมหุบหากที่อ้าอยู่เล็กน้อยลง พร้อมกับกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ พยักหน้ารับด้วยอาการสติหลุดลอย
“อ้าว แล้วนี่เป็นอะไรจ๊ะ หน้าซีด นั่งตัวแข็งทื่อเชียว” ผมทำหน้าตื่นตกใจ เหมือนว่าเพิ่งได้สติตอนที่อาจารย์ถาม ผมกระพริบตาเพื่อให้ตัวเองมีการขยับบ้าง
“เขาติดต่ออาจารย์มาเมื่อไหร่ครับ”
“ก็เมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เอง พอครูเลิกสอนก็เลยให้เด็กลงไปตาม” ใจผมที่คล้ายจะหายไป กลับมาเต้นให้รู้สึกว่ามันยังอยู่ในอก ไม่ได้ไปไหน ผมก้มลงมองหากำหนดการวันงานในโปสเตอร์
“งานมีเดือนหน้า…”
“ใช่ แต่ว่าไอ้พระเอกคนเนี้ย เขาจะมาเที่ยวไทยก่อนอาทิตย์นึง แต่อย่าไปบอกใครล่ะ เขาขอให้ปิดข่าว เพราะเขาอยากไปเที่ยวแบบส่วนตัว” ตอนนี้ผมรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องไปหมด เหมือนอะไรสักอย่างที่สงบไปนานแล้วกำลังตื่นตัวขึ้นมาอีกรอบ
“เธอเคยทำงานกับเขามาก่อน เขาก็คงอยากได้คนที่เคยร่วมงานกัน มาทำงานด้วย” และแล้วสมองกับใจผมก็ตีกันจนได้ แน่นอนว่าสมองบอกว่าไม่ให้ไป แต่ใจบอกให้ไปอย่าไปรีรอ
“ทำหน้าเหมือนไม่อยากทำ มีอะไรรึเปล่า” อาจารย์ถามเมื่อเห็นผมมีท่าทีอึดอัดใจ
ใจผมอยากไป มันกระโดดโลดเต้นตั้งแต่ได้ยินชื่อเขาแล้ว พอรู้ว่าเขาจะมาไทยยิ่งดีใจเข้าไปอีก แม้จะไม่ได้มาเพราะผม แต่อย่างน้อยเขาก็จะมาอยู่ใกล้ผมอีกครั้ง ผมควรจะตกปากรับคำกับการรีเควสนี้ทันที แต่ความทุกข์ใจที่เกาะกินใจผมมาตลอดสองเดือน มันกำลังเตือนผมว่าเอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับเขาอีกเลย เขามาครั้งนี้ก็มาเพราะงาน ไม่ได้มาเพราะคำสัญญาที่ให้ไว้กับผม และพอจบงานนี้เขาก็จากผมไปพร้อมกับความหวังอีกมากมายที่ทิ้งไว้ให้กับผม เขาจะกำลังจะกลับมาทำให้ผมตกหลุมรักเขาซ้ำซาก
ผมไม่อยากอยู่ในสภาพอับเฉาและใจอันห่อเหี่ยวแบบนั้นอีก
“ผมขอปฏิเสธได้มั้ยครับ” ผมตัดสินใจเอ่ยออกมาในที่สุดพร้อมกับวางโปสเตอร์ลงบนโต๊ะ อาจารย์ทำหน้าประหลาดใจที่เห็นผมปฏิเสธแทนที่จะตอบรับ
“ทำไมล่ะ มีปัญหาอะไรกับเขารึเปล่า แต่ครูว่าไม่น่านะ เพราะทีมงานไทยบอกว่าเขาพูดว่า I need only him.”
“ไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ แต่ผมแค่ไม่สะดวกจะไปทำ อาจารย์ก็รู้ว่าผมยังมีหน้าที่เรียนอยู่ ตอนที่ทำงานกับเขานั่นคือช่วงฝึกงาน มันไม่เหมือนกัน”
“อุ๊ย ไม่เป็นไรเลย เดี๋ยวครูทำเรื่องลาให้ ถือว่าเธอสร้างชื่อเสียงให้กับมหา’ลัยด้วยซ้ำ ถ้าเธอไป ครูมีคะแนนพิเศษให้สำหรับวิชาครูในเทอมนี้ด้วย จะได้เอาเอจากครูไปอีกตัว” อาจารย์บอกด้วยรอยยิ้ม ผมยิ้มเฝื่อนกลับไปจนอาจารย์ทำสีหน้าไม่เข้าใจ อาจารย์แกสอนละครเวที แกเป็นคนสอนผมให้ดูเรื่องแอคติ้งของนักแสดง ทำไมสีหน้าอมทุกข์ของผมแกจะดูไม่ออก
“ผมก็อยากไปนะครับ แต่ผมไม่สะดวกใจจะไปจริงๆ” อาจารย์มองหน้าผมนิ่งๆ สักพัก ก่อนจะถอนหายใจราวกับยอมแพ้ที่จะตื๊อผมต่อ อาจารย์เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้สีดำ พูดด้วยเสียงอ่อนโยนตามประสาคนเป็นอาจารย์
“ครูไม่รู้นะว่าเธอมีปัญหาส่วนตัวกับเขารึเปล่าในระหว่างที่อยู่นิวยอร์ก แต่ถ้าเธอไม่พร้อมจะไปครูก็ไม่อยากบังคับ…” ผมยิ้มมุมปากเล็กน้อย อาจารย์ถอนหายใจพร้อมสีหน้าหนักใจ
“แต่ทีนี้เขาฝากมาบอกว่า ถ้าเธอไม่ไป เขาก็จะไม่ยอมมาร่วมงานที่ประเทศไทย ประเด็นคือเขารับค่าตัวไปแล้ว และค่าตัวเขาที่จ้างมาไม่ใช่ล้านสองล้าน มันมากกว่านั้นเยอะ” ผมที่กำลังอยู่ในโหมดเศร้า ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน
ไอ้ยักษ์ ไอ้เจ้าเล่ห์
“แล้ว… แล้วทำไมทางเราถึงไปจ่ายค่าตัวเขาก่อนล่ะครับ” ผมถามด้วยสีหน้าโง่ๆ ตอนนี้กำลังทึ่งกับกลอุบายของวิคเตอร์อยู่ ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ยังมีลูกล่อลูกชนตลอดจริงๆ
“อ้าว ก็ทางเราอยากได้เขามาร่วมงานนี่ เห็นว่าพระเอกคนนี้กำลังดัง กำลังมีกระแสในด้านวงการภาพยนตร์ ทางผู้จัดงานเขาก็เชื่อว่าถ้าเอาเขามาแล้ว ก็จะสามารถโปรโมตงานนี้ให้เป็นที่รู้จักได้ในระดับสากล” ผมขมวดคิ้ว นึกโมโหอียักษ์แทนคนจัดงานจริงๆ แล้วคนจัดงานก็ดันยอมจ่ายไป ผมรู้หรอกว่ามันคุ้มค่ากับการที่จะได้โปรโมตงานนี้ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกโดยใช้ชื่อเสียงของพระเอกคนหนึ่งในวงการฮอลลีวูด แต่ทำไมถึงไม่จ่ายทีล่ะครึ่งอะไรแบบนี้นะ
“อาจารย์ คนจัดงานเขาคิดไม่ทันหรือไม่ทันคิด ว่าไม่ควรจ่ายเงินทีเดียว”
“เธอรู้มั้ยว่าพระเอกคนนี้ไม่รียกร้อง ไม่เรื่องมากอะไรเลย สิ่งเดียวที่เขาขอคือให้เธอไปดูแลเขาเท่านั้น นอกนั้นเขาแล้วแต่ทางทีมงานไทยจะจัดการให้ แต่เขาขอแค่ว่าคนดูแลต้องเป็นเธอเท่านั้น” ผมไม่รู้ว่าควรจะดีใจและเป็นปลื้มใจดีมั้ยที่กลายเป็นที่ต้องการของพระเอกดาวรุ่งกำลังดังอย่าง วิคเตอร์ เรย์มอนด์
“แบบนี้ก็เท่ากับว่า ยังไงผมก็ปฏิเสธเขาไม่ได้อยู่ดีใช่มั้ยครับ”
“ถ้าเอาแบบไม่อ้อมค้อม ก็ถูกต้อง เรียกได้ว่าความอยู่รอดของประเทศอยู่ในมือเธอแล้ว” โอ้! ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน เก้งสาวตัวเตี้ยๆ ตันๆ คนหนึ่งกับภารกิจสำคัญระดับชาติ
“ผมต้องดูแลเขากี่วันครับ”
“น่าจะสักสองอาทิตย์นะ เขามาไทยก่อนงานเริ่มอาทิตย์นึง พองานจบก็เห็นว่าเขาจะอยู่เที่ยวต่อ” ผมถอนหายใจหนักๆ นึกถึงหน้าวิคเตอร์ตอนนี้ออกเลยว่าเขาจะยิ้มร้ายกาจแค่ไหนที่บีบผมได้อีกครั้ง ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ถ้าไม่คิดจะมาหาผมอยู่แล้ว จะยังบังคับให้ผมไปหา ไปใกล้เขาอีกทำไม
“ผมควรตอบตกลงสินะครับ ถ้าไม่ตกลง งานคงขาดทุนย่อยยับ เพราะค่าตัวพระเอก” อาจารย์ยิ้มจนแก้มอิ่มและพยักหน้าหนักๆ หนึ่งที
อียักษ์ อีคนเจ้าเล่ห์ อีจอมบงการ ต้องการอะไรของแกอีก ถ้าคิดจะหายไปแล้ว ทำไมไม่หายไปตลอดเลยล่ะ มายุ่งกันอีกทำไม ถึงจะมาไทย ก็ไม่จำเป็นต้องให้ผมไปอยู่ใกล้ๆ สักหน่อย สองเดือนที่ผ่านมา ไม่มีผมก็อยู่ได้แล้วไม่ใช่หรอ ก็ไม่เห็นตายอย่างที่ปากว่า ไม่เห็นทุรนทุรายสักนิด พอความคิดตกตะกอนแล้วก็น่าจะรู้ตัวแล้วนี่ว่าไม่มีผมก็ใช้ชีวิตได้
หรือถ้าเขาจะบอกว่านี่คือการมาหาผมตามสัญญา ผมจะด่าเขาจนเทพีเสรีภาพหนีกลับฝรั่งเศส* เลยคอยดู มาหาห่าอะไรทำไมต้องใช้กลอุบายทุเรศแบบนี้มาบีบบังคับกัน หรือไอ้นิสัยเอาแต่ใจนี่ไม่เคยจางหายไปเลยใช่มั้ย เออ แน่ล่ะสิก็นั่นมันตัวตนเขาเลยแหละ ไอ้ยักษ์เอาแต่ใจ แล้วพอไม่ได้ดั่งใจต้องการก็จะพาลหงุดหงิด โมโห ส่งเสียงดังและพังข้าวของ
(*เทพีเสรีภาพเป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบให้แก่ชาวอเมริกัน ในวันที่อเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี ณ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2419)
แล้วนี่ทำไมผมถึงคิดแบบหลงตัวเองว่าเขามาเพราะคำสัญญาที่บอกไว้ ผมว่าเขาน่าจะมาเพราะงาน แล้วที่ต้องการให้ผมไปดูแล ก็เพราะผมทนมือทนตีนเขาไง ผมเคยผ่านความลำบากยากแค้นจากเขามาก่อน เขาเลยไม่อยากหาใครคนอื่นมาทนกับนิสัยของเขา และถ้าเป็นคนอื่นเขาจะเรื่องมาก เอาแต่ใจ วีนเหวี่ยงได้ไม่เต็มที่ แต่ถ้าเป็นผม เขาจะใส่อารมณ์แค่ไหนก็ได้ เพราะเขารู้ว่าผมทนได้กับนิสัยของเขา ใช่ผมทนได้ ไม่ใช่แค่เพราะผมมีความอดทนหรอก แต่เป็นเพราะเขารู้ต่างหากว่าผมรู้สึกยังไงกับเขา
ทำไมคุณยังใจร้ายเหมือนเดิมเลยนะคุณเรย์มอนด์
TBC.
