#3
‘เมื่อกี้ผมบอกว่า ผม ชอบพี่จูน ถ้ายังไม่มีแฟนขอจีบนะครับ’
‘แก้มแดงๆนี่คือตกลงหรือเขิน’
‘ไม่ให้จีบ’
‘ไม่เอา คิดก่อน คิดใหม่ พี่จะปฏิเสธทั้งที่หน้าแดงขนาดนี้ไม่ได้ดิ’
มันคืออะไรหือ มันคือการถามความสมัครใจกูจริงไหมเนี่ยไอ้เด็ก
‘บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ดิ ชอบผู้หญิง เข้าใจไหมเนี่ย’
‘พี่คิดยัง?’ มันเลิกคิ้วใส่เว้ย!
‘นายเป็นเกย์หรือไงวะ มาขอจีบผู้ชายด้วยกันอยู่ได้’
‘ทำไมอ่ะ ผมแค่ชอบพี่เอง’
‘แต่พี่เป็นผู้ชายโว้ย ไม่ได้หรอก พี่มีไข่เข้าใจไหม’
‘เดี๋ยว พี่จูน ฮ่า พี่ พี่ทำหน้านิ่งแล้วพูดคำว่าไข่ออกมาแบบนี้ไม่ได้ดิ’
ผมถลึงตามองคนที่ขำจนตัวงอ เด็กกลั้นหัวเราะสูดหายใจเข้าเสียงดัง
‘ขอจีบนิดเดียวเอง หึ มีไข่ก็ไม่เป็นไร ผมก็มี’
‘นะครับ’
‘สัญญาว่าผมจะไม่ทำอะไรให้พี่ลำบากใจ ไว้ถ้าไม่ชอบพี่ค่อยบอกผมตอนไหนก็ได้’
‘พี่ไม่ต้องทำอะไรลำบากเลย ผมจีบพี่เดี๋ยวผมทำเอง’
‘นะ ได้ไหม’
‘นิ่งไม่ตอบแบบนี้ผมแปลว่าตกลงนะ’
ด้วยความตกใจผมเลยโพล่งประโยคหนึ่งออกไปอย่างไม่ทันคิดว่าเอากลับคืนมาไม่ได้แล้ว
‘เฮ้ย! จีบไม่ติดอย่ามาโทษนะเว้ย’
‘อ่าครับ’
‘พี่จูนไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก เชื่อผมมั้ย’
วินาทีนั้นที่รอยยิ้มกว้างทั้งตาทั้งปากฉายขึ้นบนใบหน้าเหมือนไร้เดียงสา ในหัวผมมีแต่คำว่า ซวย ซวย ซวย
เมื่อกี้ที่พูดคือมันหมายความได้ว่าผมตกลงให้มันจีบชัดๆ
… จูนมึงตาย มึงกากมาก
หลังจากทุกคนได้กินข้าวเย็นกันอย่างเอร็ดอร่อยเย็นย่ำค่ำแล้วก็ได้เวลาส่วนตัวสำหรับอาบน้ำพักผ่อนของวันสักที
ผมบิดตัวด้วยความเมื่อยขบระหว่างนั่งรอพวกผู้หญิงกลับมาจากลำธารต้นน้ำอยู่ในเต็นท์นอน
อากาศตอนนี้เย็นกำลังได้ที่ เอาโทรศัพท์มาเช็คอุณหภูมิก็ไม่ได้ ลำพังสัญญาณโทรศัพท์ยังติดๆดับๆ
สัญญาณอินเตอร์เน็ตอย่าพูดถึง ให้ผมประมาณคงสัก สิบหกสิบเจ็ดองศานี่แหละ
เหตุผลที่ต้องพากันไปอาบน้ำที่คลองต้นน้ำก็เพราะท่อน้ำใช้ในโรงเรียนมันดันมาแตกเอาตอนเย็นที่จะอาบน้ำกัน
ทั้งครูที่โรงเรียนทุกคนก็ต้องไปอาบน้ำที่นั่นกันหมด จะแบกน้ำมาใส่ห้องน้ำก็ไม่ไหวเพราะห้องน้ำเป็นพื้นที่เนิน
และไกลจากลำคลองมากพอสมควร เลยต้องไปพึ่งเอาแหล่งน้ำธรรมชาติแทน
โดยพวกเรามีการจัดการให้พวกผู้หญิงส่วนหนึ่งทยอยไปอาบก่อนเป็นกลุ่มๆ แล้วพวกผู้ชายรอไปอาบรอบหลัง
แน่นอนว่ามันมีบางคนที่พอพลบค่ำอากาศเย็นก็ทำท่าจะลักไก่ไม่อาบน้ำ อย่างเช่นไอ้ปิ๊กเป็นต้น
ผมซึ่งปวดเมื่อยไปทั้งตัวนอนพะงาบๆเหมือนปลาตีนขาดโคลนอยู่ในเต็นท์
“ปิ๊ก ถ้าไปอาบน้ำปลุกด้วยนะ”
“เออ นอนไป ให้จูบขมับไหม”
“ขมับพ่อง” ผมถีบเพื่อนตัวโย่งไปที อีกคนหัวเราะร่วนด้วยความสนุกมากที่ได้แกล้ง
เป็นซาดิสม์ยังไงก็ไม่รู้นะเพื่อนผมเนี่ย
‘พี่จูนไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก เชื่อผมมั้ย’
เชื่อผมมั้ย
เชื่อผม
เชื่อ
ไม่ กูไม่เชื่อโว้ยยยย!
ว่าก็ว่าเถอะ ตอนนั้นผมเขินทำไมไม่เข้าใจตัวเองเลย ปากมีทำไมไม่ปฏิเสธมันไป
ปล่อยให้อีกคนพูดเองเออเองจนกลายเป็นแบบนั้นไปได้
ทำไมต้องหน้าร้อน
ไอ้จูนมึง... โอ้ย หงุดหงิดดดด
“มึงเป็นอะไร ปวดเยี่ยวก็ไปเยี่ยวดิ บิดไปบิดมาอยู่ได้”
ไอ้ปิ๊กที่นอนเล่นเกมส์ในพีเอสพีอยู่ข้างๆเอาเท้าใหญ่เท่าใบพายของมันเขี่ยผม
“ไม่ได้ปวด ไม่ได้เป็นไร มึงเบาเสียงเกมดิ๊ กูรำคาญ จะนอน”
“อ่า โอเคๆ กินปลาทูแล้วดุเว้ย”
ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน มาสะดุ้งตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่ข้างนอกแดดร่มแล้ว
แสงสีส้มสะหลัวจากภายนอกส่องเข้ามาเห็นเงาตะคุ่มๆจากข้างนอกเต็นท์
ผมกระวีกระวาดควานโทรศัพท์มากดดูนาฬิกาเพิ่งจะ6โมงเย็นกับอีก2นาทีก็โล่งใจ
ส่วนไอ้ปิ๊กนั้นอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วพร้อมกองหมอนและผ้าห่มของมัน
“จูน...”
“จูน”
ตอนแรกผมนึกว่าหูแว่ว พอลองฟังดีๆกลายเป็นเสียงกระซิบแหบพร่ามาจากเงาหน้าเต็นท์
เสียงโรคจิตแม้ไม่ได้เห็นตัวก็รู้ว่าเป็นใคร
“ไอ้จูน...”
“มีไร”
“มึงหลับหรือตาย กูเรียกตั้งนาน” ดูคำพูดคำจาฝ้ายดิ
“นี่มันเต็นท์ผู้ชายมาทำอะไรแถวนี้”
“เพราะเต็นท์ผู้ชายนี่แหละกูถึงมา จูนมึงเอายากันยุงมาไหม เอามายืมบ้าง”
“ไอ้ปิ๊กมันหายไปไหนก็ไม่รู้”
“กูรู้ มันเล่นไพ่อยู่เต็นท์พวกไอ้อ๋านู่น มึงจะออกมาได้ยัง”
“แป้ปนะ”
“งุ่มง่ามอยู่ได้ เร็วๆ”
ผมรีบคว้าขันสบู่แปรงสีฟันมาถือไว้แล้วรีบรูดซิปเต็นท์ออกทันทีไม่ให้โดนด่าเป็นครั้งที่สอง
“แก้ผ้าทำไมเนี่ย แล้วไปเอาผ้าขาวม้ามาจากไหน มึงนี่ดูกลมกลืนกับอะไรแบบนี้ดีเนอะ”
ฝ้ายรับชวดสเปรย์ฉีดกันยุงไปฉีดเจื้อยแจ้วถามผมง
ก่อนที่ใครจะเข้าใจผิดว่าผมมาทำอนาจารกลางป่ากลางเขา
ตอนนี้ผมใส่เสื้อกล้ามตราห่านตัวที่ใช้ใส่ซับใน กับท่อนล่างนุ่งผ้าขาวม้าของพ่อ
ที่แจนใส่กระเป๋ามาให้เหมือนมีญาณทิพย์ว่าจะต้องได้ใช้ปกปิดมิดชิดพอสมควร
ไม่ได้โป๊เปลือยแบบที่ฝ้ายมันกล่าวแต่ประการใด
“เดี๋ยวจะไปอาบน้ำยังไม่ได้อาบน้ำเลย”
คนฟังทำตามองบนใส่ผม “ไอ้เอ๋อฟ้าจะมืดแล้วอาบตอนนี้ไข่แข็งพอดี”
“เอ้า เขิน พูดแค่นี้ก็เขิน ทำมะๆ เซนซิทีฟกับ
ไข่ เหรอมึง”
ฝ้ายแม่งงงง
“อ้ะ ขอบใจมาก กูไปละ นัดไปเม้าท์มอยหอยสังข์กับพวกอิจ๋า เดี๋ยวมันจะรอ”
พอได้สมใจเค้าก็วิ่งจู้ดไปเลย
ผมรวบผ้าขนหนูกับขันใส่อุปกรณ์อาบน้ำเดินออกมาจากโซนกางเต็นท์ตามทางเดินจากดินเส้นแคบๆไปที่ลำคลอง
“พี่จูน! อาบน้ำหรอพี่ ป่ะ อาบพร้อมกันๆ” กลุ่มเด็กปีสองน้องในภาคกวักมือเรียกผมเลยเดินไปพร้อมกับพวกมัน
“ทำไมมาอาบตอนนี้อ่ะ”
“หลับเพลิน พี่ล่ะ”
“พอกัน”
“ว้าย ผู้ชายแก้ผ้า อูยย ขาวๆๆ” ผู้หญิงกลุ่มใหญ่ที่กำลังตากผ้าอยู่ชี้ชวนกันมองมาทางพวกเรา
เล่นเอาผมรีบก้มหน้างุดเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งเร็วๆแทน แว่วเสียงหัวเราะคิกคักมาตามลมฟังดูสะท้านหัวใจยิ่งนัก
“ผู้หญิงสมัยนี้แม่งน่ากลัว”
เออ พี่เห็นด้วยกับเอ็ง
คลองที่ผมว่านั่นเรียกว่าลำธารธรรมชาติดูจะเข้ากับสภาพจริงมากกว่า
มีสะพานทอดยาวเป็นทางเดินทำจากไม้ไผ่ส่งเสียงแกรกกรากเหมือนจะหักอยู่ใต้ฝ่าเท้า
น้ำใสแจ๋วมีปลาตัวเล็กๆว่ายวนอยู่บนผิวน้ำ
ต้นไม้รายรอบทำให้ทั้งบริเวณดูร่มรื่นเหมือนฉากในหนังระเบิดภูเขาเผากระท่อมของคุณฉลองที่เคยดูสมัยตอนเด็ก
ตื่นเต้นดีว่าอาบๆน้ำอยู่จะมีเสือหรือตัวอะไรโผล่มางาบมั้ย
ผมนั่งลงลองเอาเท้าแหย่ๆน้ำดูขนงี้ลุกซู่ขึ้นมาเลยจะบอกก็ไม่ทัน
ไอ้พวกน้องสามสี่คนที่มาด้วยกันกระโดดตู้มลงไปนู่นแล้วง
“กรี๊ดดดด เย็นไข่สัด” เด็กผู้ชาย เอ่อ กรี๊ด?
“ไอ้วินรับไปคลื่นกัมปนาท ย้ากก”
“ไอ้ห่าน้ำเข้าจมูก จะเล่นใช่ไหมมึง ได้ไอ้สัดได้”
“กรี๊ดดด”
ผมมองไอ้พวกน้องปี2โตแต่ตัวเล่นกดหัวกันลงน้ำอย่าสนุกสนานเหมือนเด็กๆอย่างปลงๆ
เมื่อพอใจแล้วก็วางขันใส่บรรดาอุปกรณ์ในการอาบน้ำลงบนขอบสะพาน
หย่อนขาลงนั่งเท้าแช่น้ำ เพื่อให้ร่างกายปรับอุณหภูมิ เอาขันจ้วงตักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตา
บีบโฟมยี่ห้อภาษาญี่ปุ่นที่แจนเตรียมให้ใส่มือแล้วเอามือถูๆจนเป็นฟองแล้วโปะเข้าที่หน้า
ขัดๆถูๆให้สะอาด พอขัดถูหน้าจนพอใจคิดว่าสะอาดดีแล้วก็วักน้ำขึ้นมาล้างหน้า
ขั้นตอนนี้ควรจะหลับตาไว้ถ้าไม่อยากได้แสบ
เสร็จแล้วก็ไถตัวลงน้ำ ความลึกระดับเลยอกขึ้นมานิดหน่อย
ตักน้ำรดศีรษะแล้วชะโลมแชมพูขวดสีชมพูกลิ่นน่ากินที่แจนก็เป็นคนเลือกให้อีก คนให้ทั่วศีรษะแล้วขยี้เบาๆ
อา ผมชอบเวลานี้จัง
เหมือนความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่ผจญมาทั้งวันค่อยถูกชำระออกไปทีละนิด
วันนี้ผมทำอะไรบ้างนะ นั่งรถกระบะบนทางวิบากเข้าไปเอาไม้ในเมือง ยกเสา แบกถังสี แบกไม้ เลื่อยไม้ตอกไม้
ทำแทบจะทุกอย่างที่มนุษย์ผู้ชายสามารถทำได้ กล้ามเนื้อตรงบ่างี้ตึงไปหมดเลย
“จูนจูน ติดต่อญาณแม่อีกแล้ว”
ผมลืมตาหันขวับทันที
น้องรวยมันนั่งตาแป๋วบนสะพานข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ คนหรือผีวะเนี่ย อยู่ดีๆโผล่มาเงียบแบบนี้ได้เหรอ
“มาตั้งแต่ตอนไหนวะเนี่ย!”
ผมกวาดมองท่าทางผมเปียกหมาดๆ
ไม่มีผ้าขนหนูหรืออุปกรณ์อาบน้ำอื่นก็สำนึกได้เองว่าเด็กคงจะอาบน้ำเสร็จไปแล้วเรียบร้อย
ทำไมยังมาเพ่นพ่านแถวนี้อีกล่ะนี่?
“มาตั้งแต่พี่ยิ้มงึมๆงำๆกับตัวเองนั่นอ่ะครับ” เด็กยิ้มล้อเลียน “ไม่เคยอาบน้ำคลองหรือไง”
“เคย”
“อ้อครับ ถึงว่าดูไม่ตื่นเต้นเนอะ เสียดายที่ไม่ได้พกห่วงยางมา”
“กวนตีนละๆ”
ผมแยกเขี้ยวทำท่ามะเหงกใส่ เด็กก็หัวเราะตาหยีแจกบรรยากาศสดใสกลับมา
เป็นยิ้มที่ทำอะไรมันไม่ได้เลย ไร้ซึ่งความสะทกสะท้าน
“ผมช่วยสระผมไหม”
“ไม่อ่ะ ทำเองได้”
“ผมสระผมเก่งนะ นวดศีรษะได้ด้วย เคยนวดให้ตาบ่อยๆ”
“ไม่เป็นไร ชอบแบบสระเองมากกว่า”
“โห ท่าทางระวังตัวนั่นอะไรอ่ะ”
“ผมไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย”
“พี่จูนอย่าไปไกล ตรงกลางมันลึก”
ปล่อยเด็กเจื้อยแจ้วไปคนเดียว
เงียบไปได้พัก เสียงชวนคุยก็มาอีก
“พรุ่งนี้เช้าพี่อยากกินอะไร”
“อะไรก็กินได้”
ยาสระผมยี่ห้อนี้หอมจังเลย ผมชอบมาก น้องแจนนี่มือโปรของแท้
ผมใช้วิธีเอียงคอไปด้านหลังให้ศีรษะแช่น้ำแล้วขยี้ๆล้างฟองออกจนหมด
“กินได้แน่นะ”
“อือ”
“เนื้อก็กินได้เหรอ”
“ไก่ด้วยอ่ะนะ”
จิ๊
“วอแวทำไมเนี่ย!” ผมตะโกนใส่ไอ้คนที่มันนั่งเกยคางกับราวสะพานมองมา
“ฮ่าๆ พี่หน้าแดงไปถึงหูแล้วรู้มั้ย”
“แก้มแดงแจ๋เลย”
“ก็ใครใช้ให้มึงแก้ผ้าโชว์หัวนมนุ่งแต่กางเกงมานั่งพูดแจ้วๆจ้องหน้าคนอื่นอยู่ตรงนี้ล่ะวะ ไม่รู้จักอายบ้างเรอะ”
ว่าจะไม่ด่าแล้วนะ
“เอ้า มีไข่เหมือนกันอายอะไรอ่ะ”
“ไอ้นั่น ไอ้นี่ ก็มีเหมือนๆกัน”
ทำท่าไอ้นั่น ชี้ไปที่เม็ดสีแดงบนหน้าอก และไอ้นี่ ชี้ไปที่เป้ากางเกงตัวเองประกอบ
ด้วยหน้าตากวนเส้นประสาทเบื้องล่าง
มึง อย่าอยู่เลยมึงไอ้น้องรวย ไอ้เด็กผีบ้า
ผมจ้วงตักน้ำขึ้นมาได้เต็มขันก็สาดโครมไปที่คนผิวสว่างออร่าที่นั่งยิ้มอยู่บนสะพาน
ที่ตั้งใจคือกะจะให้แค่น้ำที่ปลิวแต่สงสัยหนักมือไปหน่อยขันเลยบินไปด้วย
โพละ“โอ้ย!”
เต็มๆที่หน้าเลยแหละ
“สม”
“รังแกเด็กนี่”
“เด็กโข่งสิไม่ว่า”
“คอนแทคเลนส์หลุดเลย” เด็กขยี้ตา หัวหูเปียกไปหมด
“พูดว่าอะไรนะ”
“คอนแทคเลนส์ผมหลุด”
“มองไม่เห็น”
อ้าวเวร ผมรีบล้างสบู่ออกจากตัวว่ายไปเกาะสะพานไม้ไผ่ที่เด็กนั่งหย่อนขาลูบหน้าลูบตาอยู่ ตางี้เริ่มแดง หน้าผากขาวที่โดนขันฟาดขึ้นเป็นรอยแดงอย่างชัดเจน
ใครเห็นก็คงบอกว่าน่าสงสาร
กลายเป็นคดีรังแกเด็กจริงๆด้วยคราวนี้ไอ้จูน
“ไหนดูหน่อย มืออยู่เฉยๆ อย่าขยี้ดิ เช็ดหน้าก่อน”
ผมคว้าเอาผ้าขนหนูตัวเองเช็ดหน้าให้น้อง ระวังไม่ให้ไปโดนรอยแดงที่หน้าผาก รอยเป็นปื้นใหญ่ ก็เห็นใส่รีสแบนด์เขาชนไก่ แสดงว่าต้องเคยเรียนรด.มาดิ ทำไมผิวขาวบางขนาดนี้ล่ะ
โดนอะไรนิดอะไรหน่อยไม่ได้เลย
“มองไม่เห็นเลยหรอ ใกล้ขนาดนี้พอเห็นไหม”
เด็กส่ายหน้า ผมขยับเข้าไปชิดอีก
“ใกล้เท่านี้อ่ะ”
ยังคงส่ายหน้า นี่ก็ใกล้แบบโคตรใกล้แล้วนะ สายตาสั้นหรือตาบอดเนี่ยเอ็ง
“เห็นยัง”
“เบลอ หน่อยๆ”
เชื่อว่าจริงๆคงเบลอมากเลยแหละเพราะสายตามองลอกแลกเหมือนหาจุดโฟกัสไม่เจอนั้นอ่ะ
ผมได้ยินความคิดด้านสำนึกดีของตัวเองตำหนิเป็นเสียงน้องแจนว่า ‘อายุก็เยอะกว่า เล่นอะไรไม่รู้เรื่องเลยเนี่ย ทำลูกคนอื่นเขาหัวแตกจะว่ายังไง’
หน้าหดเหลือสองนิ้วเลยสิทีนี้
“ขอโทษนะเว้ย พี่ทำแรงเกินอ่ะ”
ผมกล่าวขอโทษ เด็กฟังก็อมยิ้ม
นี่ก็ชาวซาดิสม์อีกคนหรือไงวะ ได้เจ็บแล้วหน้าระรื่นเนี่ย
“ตลกอะไร รู้สึกผิดจริงๆนะเว้ย เมื่อกี้ก็ตั้งใจอ่ะ แต่ว่าไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้น”
“เดี๋ยวๆ สรุปคือตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ”
“ก็ตั้งใจจะสาดน้ำไง แต่ไม่ได้คิดว่าใส่คอนแทคเลนส์และจะทำคอนแทคเลนส์หลุด แล้วไม่ได้ตั้งใจให้ขันไปฟาดโดนหัว”
“พี่จูนใจเย็น ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ได้โกรธ เล่นกันเฉยๆนี่นา ผมไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้น”
“ไม่เจ็บจริงดิ”
“จริงครับ”
ดี ไม่เจ็บก็ไม่เจ็บ เป็นลูกผู้ชายต้องอดทน
“แถมเวลาพี่จูนโกรธก็น่ารักซะขนาดนี้...จะอดใจไม่แกล้งยังไงไหว”
“พูดว่าอะไรนะ”
“ผมถามว่า พี่จูน เวลากี่โมงแล้วตอนนี้ เดี๋ยวค่ำมองไม่เห็นทาง จะเดินกลับไม่ไหว”
“เอ่อ หลายโมงมั้ง” ไม่มีนาฬิกาจะรู้เหรอ
“หึ หึ ครับ หลายโมงก็หลายโมง”
ผมดึงตัวเองขึ้นบนสะพานรวบเก็บของใช้ทั้งหมดของตัวเองใส่ขันคว้าเอาผ้าขนหนูมาพันห่มตัวไว้
พอดีตาเหลือบไปเห็นดอกไม้สีแดงวางอยู่บนรองเท้าแตะที่ผมถอดเอาไว้พอดี
“ดอกอะไร ของนายเหรอ”
“ของพี่”
“เอ้ย ไม่ใช่ พี่ไม่ได้เก็บมานะ ของใครก็ไม่รู้”
“ผมเก็บมาเองแหละ” “เอามาให้พี่เลยเป็นของพี่ไง”
ผมนึกตามคำพูด เออ จริงของมัน ถ้าให้ผมก็คงเป็นของผมสิ
“งั้นก็ขอบใจนะ” ผมก้มมองดอกไม้สีแดงดอกเล็กๆมีเกสรยาวออกมาจากกลีบดอกที่รวมเป็นช่อทรงกลมในมือ
หน้าตาแปลกประหลาดที่ผมไม่รู้จักชื่อ ไม่เคยเห็นมาก่อน สวยดี ผมชอบ แต่ไม่ได้ชอบมากขนาดนั้นนะ ชอบนิดๆ
“รู้มั้ยว่าชื่อดอกไม้อะไร”
“รู้”
“ชื่ออะไร”
“ไม่บอก”
“อ้าว”
สาบานว่าไอ้ท่ายิ้มแจกบรรยากาศสดใสตรงหน้าที่ผมเห็นมันดูเจ้าเล่ห์แสนกลขึ้นมา
“อยากรู้ต้องไปหาเอง”
เอออ ไม่อยากรู้ก็ได้โว้ย
“ป่ะ ไปยัง”
“รวย เดินนำนั่นมองเห็นทางเหรอ” ผมทักเด็กเลยชะงัก
“เห็นลางๆ” “เอะ เจ็บหน้าผากยังไงไม่รู้ เหมือนหัวจะโน”
“เดี๋ยวกลับไปใส่ยาให้ เดินตามอย่างเดียวพอ” ผมพูดไปแบบนั้นน้องคว้ามือผมไปจับเองอย่างแน่นเลยนะ ไม่รอให้พูดจบหรอก
“มือพี่จูนเล็กจัง...ไม่แบกผมหน่อยเหรอ” ได้คืบจะเอาศอกแน่ะ
“สายตาสั้นหรือขาขาด”
“หึหึ ขาผมยังอยู่ครับ แค่อยากขี่หลังเหมือนในละครเฉยๆ”
“ตัวใหญ่ขนาดนี้แบกได้ก็ยอดมนุษย์แล้ว”ผมแยกเขี้ยวใส่ มืออีกข้างน้องก็มาวางแหมะลงบนหัว
ผมปัดออก มันก็เอามาวางใหม่แถมหัวเราะหึหึใส่ด้วย
“นี่ต้องบอกกี่ครั้งว่าอายุมากกว่าเนี่ย!”
“อ้าว เหรอครับ”
“เออดิ”
.
.
.
.
.
.
.
“...แล้วทำไมขนาดโลกทั้งใบของผม พี่จูนถึงแบกไหวอ่ะ”จบภาค
"ฤดูหนาว"----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
โลกทั้งใบให้นายคนเดียว❤ วอแวแบบนี้คือวอนโดนอีกขันใช่ไหม 555
น้องวินเดือนมอกับผองเพื่อนปี2ยังจำเป็นอยู่เปล่านะ ได้ออกแป้ปเดียวเอง
*หน้าตาดอกไม้ที่น้องรวยให้พี่จูนเป็นแบบนี้ ชื่อดอก รักแรกพบ พี่จูนจะรู้จักมั้ยน้อ
สุดท้ายขอโทษที่ให้รอนานนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
สุขสันต์วันฝนตกค่ะ❣