▓ ▒ ░ ต้น-สน∞ปาฏิหาริย์รักที่รอคอย ░ ▒ ▓CHAPTER 23: ฟ้าสั่งให้มารักกัน
"โอ้โห ไอ้สน เว่อร์ไปหรือเปล่าวะ แหม...ไม่สบายนิดเดียว อ้อนไอ้ต้นใหญ่เลยนะมึง"
เสียงแซวนั้นทำให้ต้นกับสนต้องหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่แล้วหันไปยังที่มาของเสียง นิกกับปั้นจั่นยืนยิ้มตรงหน้าประตูห้องสนที่เปิดไว้แล้วก็เดินเข้ามาหา
"พวกมึงสองคนอิจฉาอะดิ ทำไมไม่ให้ไอ้จั่นมันทำให้มึงเวลามึงไม่สบายล่ะวะนิก" สนสัพยอก อยู่ในสภาพไม่ใส่เสื้อและกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวเช่นเคย นั่งอยู่บนขอบเตียงให้ต้นเช็ดตัวให้อย่างที่เคยทำ
"สองวันแล้วยังไม่หายอีก ไอ้ต้นมึงก็ตามใจมันซะเคยตัว" นิกว่าพลางขำ
"ต้นดูแลกูแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะเว้ย เวลาต้นไม่สบายกูก็ดูแลต้นแบบนี้เหมือนกัน ไม่ได้เอาเปรียบซะหน่อย" สนบอกอย่างภูมิใจ
"เออๆ ก็ดีแล้ว อย่างน้อยพวกกูก็ดีใจที่พวกมึงสองคนไม่เลิกคบกันไปก่อน" นิกยิ้มอย่างเอ็นดู
"กูว่านี่เป็นปาฏิหาริย์ครั้งที่สองของพวกมึงแล้วนะเว้ย" เรื่องแปลกๆ ต้องยกให้ปั้นจั่นเขาละ
ต้นกับสนขมวดคิ้วด้วยความสงสัยพร้อมกัน
"ปาฏิหาริย์อะไรวะจั่น แล้วทำไมต้องเป็นครั้งที่สองด้วย" ต้นถาม
"อ้าว...จำไม่ได้เหรอ ครั้งแรกตอนปีหนึ่งไง ตอนนั้นไอ้สนหอบเสื้อผ้าออกจากบ้านแล้วมึงก็ไปตามมันกลับมา เกือบจะเลิกคบกันไปแล้วนะตอนนั้น แล้วนี่ก็เป็นครั้งที่สอง พวกกูก็นึกว่าพวกมึงสองคนจะเลิกคบกันซะอีก ดีนะที่ไอ้สนมันป่วยซะก่อน ก็เลยได้โอกาสเอาความป่วยมาอ้อน ไม่งั้นได้เลิกคบกันแน่เลย" ปั้นจั่นหัวเราะ
"เออ มึงพูดเข้าท่าว่ะไอ้จั่น สองคนนี่มันกลับมาได้เพราะปาฏิหาริย์จริงๆ แหละ" นิกเสริม
"แต่ละครั้งนี่ผ่านโคตรยาก พวกมึงสองคนนี่ก็เก่งนะเว้ย อึดสุดๆ เลย"
"นี่มึงชมหรือด่ากูวะไอ้จั่น" สนถามระคนขำ
"ชมดิ เอางี้ ถ้าพวกมึงสองคนผ่านได้สักห้าครั้ง เอาสักแค่ห้าปาฏิหาริย์ก็พอ กูขอให้พวกมึงสองคนได้อยู่ด้วยกัน เอาไหมๆ"
ต้นกับสนหันหน้ามามองกัน แค่สองปาฏิหาริย์นี่ก็แทบจะกรวดน้ำคว่ำขันกันแล้ว นี่ถึงห้าเลยหรือ
"เยอะไปหรือเปล่าวะไอ้จั่น แค่นี่มันก็จะกระอักเลือดตายอยู่แล้ว สักสามได้ไหมวะ" นิกต่อรองแทนเพื่อน
"ไม่ได้ๆ สามง่ายไป สักห้านี่แหละกำลังดี แต่ถ้าพวกมึงอดทนได้ไม่ถึงห้าก็เป็นเพื่อนกันไปแบบนี้แหละ เอาไหมไอ้สน กูรู้ว่ามึงไม่ได้ชอบผู้หญิงที่ชื่อนินาหรอก ถ้าอยากอยู่กับต้น อดทนให้ได้ถึงห้าละกันนะมึง"
"เออ กูจะพยายามเชื่อมึงละกันไอ้จั่น ถ้ากูอดทนได้แล้วไม่เป็นอย่างที่มึงพูด มึงจะให้กูตี้บมึงไหม" สนสัพยอก
นิกหันไปมองเพื่อนซี้แล้วก็หัวเราะ "ดีๆ ตื้บมันเลย ไอ้นี่มันชอบเสนออะไรแปลกๆ อยู่เรื่อย อ้อ...ว่าจะชวนพวกมึงไปกินข้าวข้างนอกซะหน่อย ไม่สบายแบบนี้ก็ไปไม่ได้แล้วสิ"
"ซื้อมาฝากก็ได้ กูอยากกินโจ๊กหมูใส่ไข่อีก ต้นนายจะกินอะไร เดี๋ยวเราเลี้ยงเอง กินเต็มที่เลยนะเพื่อน"
"ข้าวมันไก่ละกัน" แล้วก็ขำ ต้นไม่ใช่คนกินเยอะ แค่นี้ก็เต็มที่ของต้นแล้ว
"เออๆ เดี๋ยวซื้อมาให้ รอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวมา"
นิกมองดูเพื่อนรักสองคนที่เพิ่งกลับมาดีกันแล้วก็ยิ้ม รู้สึกดีใจและโล่งใจแทนที่ต้นกับสนยังคงคบกันต่อได้ แสดงว่าความผูกพันของสองคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
"ต้น...วันเสาร์นี้ถ้าเราหาย เราไปเที่ยวด้วยกันไหม เราไม่ได้ไปเที่ยวกับนายนานแล้ว ดีไหม ไปไหนดี ช่วยเราคิดหน่อย ไม่เอาดอยอินทนนท์นะ ไกลไป เดี๋ยวค่อยไปคราวหลัง"
สนถามขึ้นหลังจากที่นิกกับปั้นจั่นเดินออกไปได้สักพัก ต้นหยุดเช็ดตัวให้สนแล้วก็คิด
"อืม...เราอยากไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพตอนเช้าดีไหม ตอนเที่ยงไปกินข้าว ตอนบ่ายไปดูหนังสักเรื่อง ตอนเย็นๆ ก็ไปขี่จักรยานที่อ่างแก้ว แล้วไปกินข้าวที่ร้านอาหารแถวๆ ริมคลองส่งน้ำ ดีไหมๆ เราชอบร้านนั้นน่ะ ร้านอะไรน้า บ้านแก้วเฮือนคำอะไรสักอย่างนี่แหละ มีดนตรีด้วย เราเคยไปกินกับเพื่อนตอนปีสอง อยากไปอีก ดีไหมๆ"
เห็นต้นทำสีหน้าตื่นเต้นแล้วสนก็ไม่ลังเลที่จะเลือกตามที่ต้นบอก ถ้าทำให้ต้นมีความสุข สนก็ยอมทั้งนั้น
"เอาตามนี้เลย"
ต้นยิ้มดีใจ แต่ไม่ทันไรสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเศร้า
"แล้ว...นายไม่คิดจะพาคู่หมั้นของนายไปเที่ยวบ้างเหรอ เขาจะน้อยใจหรือเปล่า เราเห็นนายไม่ค่อยสนใจเขาเลย"
"นายอย่าพูดถึงเขาได้ไหมต้น เรารับผิดชอบให้แล้ว ตอนนี้เรายังไม่อยากทำอะไรกับเขามากกว่านี้น่ะ"
"แล้วถ้าเกิดเขาไปฟ้องแม่นายว่านายไม่ดูแลเขาล่ะ"
สนทำหน้าเครียด "ก็ให้เขาฟ้องไปละกัน เราคุยกับแม่เราได้ ไม่ต้องห่วงหรอก"
ต้นพยักหน้า แต่ก็ยังมีอีกเรื่องที่ยังกังวลอยู่
"สน...นินาเขาไม่ได้ท้องใช่ไหม"
สนดูเครียดมากขึ้นทันที "ไม่รู้ว่ะต้น ก็คงต้องรอผลอีกสักเดือนสองเดือน เราก็กลัวอยู่เหมือนกัน เราอยากเรียนให้จบก่อน ไม่อยากมีปัญหาเรื่องนี้"
ต้นตบไหล่สนเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ สนหันไปยิ้มให้แม้ว่าจะดูเศร้าไปบ้างก็ตาม
"ขอบคุณมากนะต้นที่เป็นห่วงเรา"
"ไหวหรือเปล่าต้น เปลี่ยนใจไปขึ้นกระเช้าไหม หรือจะให้เราอุ้มไหม ขี่หลังเราไหม เราบอกแล้วไงว่าตอนเย็นๆ ให้มาเล่นเตะบอลกับเรา จะได้แข็งแรง"
สนยิ้มเอ็นดูปนสงสารที่เห็นต้นเริ่มหอบเหนื่อยทั้งที่เพิ่งมาได้แค่ครึ่งทาง แล้วก็อุตริอยากลองเดินขึ้นบันไดนาคสามร้อยขั้นดูบ้าง
"ไหวอยู่ๆ" ต้นยิ้มแต่ก็ดูเหนื่อยเอาเรื่อง
สนเดินย้อนลงมาหาต้นพร้อมกับยื่นมือให้
"มา จับมือเรา เดินไปด้วยกันดีกว่า จะได้ถึงพร้อมกัน เรากลัวนายจะล้มซะก่อน"
ต้นหยุดคิดไปชั่วขณะ ต้นจำได้ที่สนเคยบอกว่าถ้าวันใดวันหนึ่งที่สนมั่นใจ สนจะจับมือต้นฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่าง แต่ก็น่าเสียดายที่มันคงไม่มีวันนั้นอีกแล้ว
ต้นค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือสนไว้ จากนั้นก็เดินขึ้นไปด้วยกันอย่างช้าๆ ทางเดินขึ้นตรงนี้ไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการเท่าไหร่เพราะส่วนมากไปขึ้นกระเช้ากัน จึงไม่ต้องกลัวว่าใครจะมอง ถึงมองสนก็ไม่สนใจอยู่ดี
พอขึ้นมาถึง ต้นกับสนก็ซื้อเครื่องสักการะเพื่ออธิษฐานขอพรจากพระธาตุดอยสุเทพ มีข้าวตอก ดอกไม้และธูปเทียน ก่อนจะเริ่มเดินเวียนขวารอบพระธาตุ ต้นกับสนแหงนขึ้นมองพระธาตุสีทองสุกปลั่งพร้อมกัน พระธาตุเด่นตระหง่านสีทองช่างดูน่าเกรงขามและศักดิ์สิทธิ์ เมื่อตัดกับท้องฟ้าสีครามเข้มก็ยิ่งดูมีมนต์ขลัง ต้นกับสนไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่อธิษฐานจะเป็นจริงได้มากแค่ไหน ก็เพียงหวังพึ่งพระธาตุแห่งนี้เป็นที่พึ่งทางใจ อย่างน้อยก็คงพอช่วยให้เชื่อมั่นในความรักมากขึ้นในยามที่เจออุปสรรคและปัญหา
ต้นกับสนถือเครื่องสักการะเดินวนขวาเคียงคู่กันไป บางจังหวะก็หันมาสบตากันบ้างเหมือนกับจะพยายามอ่านกระแสใจของอีกฝ่ายว่ากำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่ เมื่อถวายคำนมัสการพระธาตุจบแล้วต่างคนก็ต่างอธิษฐาน
พอวนครบสามรอบสนก็เอ่ยขึ้น
"พระธาตุที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มากนะต้น เอางี้ไหม ถ้าเกิดว่าเราสองคนอธิษฐานเรื่องเดียวกัน ก็ขอให้เรื่องที่เราสองคนอธิษฐานเป็นจริง แต่ถ้าอธิษฐานคนละเรื่องกัน ก็ขอให้เรื่องที่เราอธิษฐานไม่เป็นจริง คืนนี้เราค่อยคุยกันนะต้นว่าเรากับนายอธิษฐานเหมือนกันหรือเปล่า ตกลงตามนี้ไหม"
ต้นพยักหน้าตกลงตามที่สนเสนอ รู้สึกตื่นเต้นและอยากรู้ว่าคนที่คบกันเป็นเพื่อนรู้ใจมานานจะใจตรงกันขนาดนั้นหรือเปล่า
สักการะพระธาตุเสร็จแล้วต้นกับสนก็เดินถ่ายรูปด้วยกันตามจุดต่างๆ รูปไหนที่อยากถ่ายด้วยกันก็ขอให้คนที่มาแถวนั้นช่วยถ่ายให้ สนโพสต์รูปถ่ายคู่ของเขากับต้นที่มีฉากหลังเป็นพระธาตุลงในเฟสบุ๊คพร้อมกับข้อความว่า
"สนอธิษฐานอย่างหนึ่ง ต้นอธิษฐานอย่างหนึ่ง เย็นนี้คงได้รู้กันว่าเราสองคนอธิษฐานเหมือนกันไหม หวังว่าเราจะอธิษฐานเหมือนกันนะ เพื่อฝันที่เป็นจริงในวันหนึ่ง"มีเพื่อนๆ มากดไลค์กันหลายคน บางคนก็ถามว่าไปเที่ยวด้วยกันอยู่หรือ ทำไมไม่ชวน บางคนก็อวยพรให้คำอธิษฐานของทั้งสองคนเหมือนกัน บางคนก็ถามว่าอธิษฐานอะไร แม้กระทั่งแม่ของต้นเองก็เข้ามาอวยพรให้ต้นกับสนอธิษฐานเหมือนกันด้วย แม้จะไม่รู้ว่าความฝันของเด็กสองคนนี้คืออะไรก็ตาม ปกติพ่อกับแม่ของต้นและสนไม่ค่อยสันทัดการใช้งานเทคโนโลยีพวกนี้เท่าไหร่ ต้นเดาว่าเจ้าติวคงช่วยป้าเล่นเฟสบุ๊คแน่ๆ
กลับลงมาจากดอยสุเทพแล้วต้นกับสนก็เข้ามาในเมือง ถ้าจะดูหนังก็คงไม่พ้นห้างที่ไหนสักแห่ง ต้นกับสนเลือกมาที่ห้างแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้สนามบิน
"นายเคยอยากดูหนังรักใช่ไหมต้น เดี๋ยวเราไปดูหนังรักด้วยกันก็ได้นะ" สนพูดขึ้นในขณะที่กินข้าวด้วยกันในร้านแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะขึ้นไปดูหนังด้วยกัน
"อ้าว...แล้วนายไม่อยากดูหนังบู๊แล้วเหรอ"
"ไม่เป็นไร เราดูบ่อยแล้ว ไม่เคยดูหนังรักเลย อยากดูกับเขามั่ง" พูดแล้วสนก็หัวเราะเขินๆ
"ก็ได้ อย่ามาบ่นกับเราทีหลังละกันว่าไม่ชอบ"
"ไม่บ่นหรอกคร้าบบบบ คุณต้น สหัสวรรษ มากเทียนฉาย" สนทำหน้าล้อเลียนพร้อมกับเรียกชื่อต้นเสียเต็มยศ
"จริงเหรอครับคุณสน ทิวสน นามเสน" ต้นเล่นบ้าง แล้วก็หัวเราะชอบใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย
"มาเซลฟี่กันหน่อยต้น นั่งตรงนั้นแหละเดี๋ยวเราไปหา"
สนลุกจากเก้าอี้ไปหาต้นแล้วก็ย่อตัวลงข้างเก้าอี้ที่ต้นนั่งเพื่อถ่ายเซลฟี่กับเพื่อน สนโพสต์รูปนั้นลงในเฟสบุ๊คพร้อมกับข้อความว่า
"ไม่มีอะไรจะมีความสุขมากไปกว่าการได้กินข้าวและใช้เวลากับเพื่อนที่แสนรักและรู้ใจ ขอบคุณมากนะต้นที่เราเกิดมาเป็นเพื่อนกัน เราโชคดีที่สุดที่ได้เป็นเพื่อนกับนาย"ไม่นานนักเพื่อนๆ และแม่ของต้นก็มาแสดงความคิดเห็นกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แม่ของต้นเขียนข้อความขอบคุณสนที่เกิดมาเป็นเพื่อนกับต้น ต้นก็โชคดีที่ได้เป็นเพื่อนกับสนด้วยเหมือนกัน ต้นกับสนอ่านดูแล้วก็ยิ้มแก้มแทบปริ
เช่นเดียวกัน พอดูหนังจบ สนก็ตั้งใจโพสต์อีกข้อความขึ้นเฟสบุ๊คของเขา คราวนี้เป็นข้อความอย่างเดียว ไม่มีภาพ
"ขอบคุณต้นที่พามาดูหนังเรื่องนี้ เพิ่งดูหนังรักเป็นครั้งแรกในชีวิต บอกอย่างไม่อายว่าเสียน้ำตาไปหลายหยด ในหนังเรื่องจะเศร้าแค่ไหนก็มักจบอย่างมีความสุข แต่ชีวิตจริงล่ะครับ จะจบเหมือนในหนังได้ไหม"แล้วเพื่อนๆ และแม่ของต้นก็มาแสดงความคิดเห็นกันอีกเช่นเคย บางคนถามว่าวันนี้สนเป็นอะไรโพสต์เยอะจัง ปกตินานๆ ทีจะเห็นสนโพสต์อะไรสักครั้ง ที่น่าสังเกตก็คือ ทุกๆ โพสต์ของสนจะมีชื่อต้นหรือเกี่ยวกับต้นเสมอ สนตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นตั้งแต่เริ่มใช้เฟสบุ๊คแล้ว
จากนั้นต้นกับสนก็มาปั่นจักรยานด้วยกันที่อ่างแก้ว สถานที่ที่สองหนุ่มโปรดปรานที่สุดในตัวเมืองเชียงใหม่ สนลงทุนไปขอให้พี่นักปั่นคนหนึ่งที่บังเอิญอยู่แถวๆ นั้นให้ช่วยถ่ายรูปเขากับต้นตอนขี่จักรยานด้วยกัน สนเป็นคนปั่น ต้นเป็นคนนั่งซ้อน จากนั้นรูปนี้ก็ถูกโพสต์ลงในเฟสบุ๊คพร้อมกับข้อความว่า
"ที่โปรดของต้นกับสนในเมืองเชียงใหม่ครับ อากาศเย็นสบายกับเพื่อนที่รู้ใจ ไปไหนไปกัน โคตรรักนายเลยว่ะเพื่อน"คราวนี้แปลกตรงที่แม่ของต้นไม่มาไลค์หรือคอมเมนต์ด้วย ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะคอมเมนต์จากเพื่อนคนหนึ่งของสนหรือเปล่า เพื่อนคนนั้นเขียนว่า
"มึงสองคนนี่ทำยังกะเป็นแฟนกันเลย ระวังคู่หมั้นหึงนะเว้ย"แต่สนก็ไม่ถือสาหรอก ใครอยากจะเข้าใจแบบไหนก็ตามสบายเถิด ชีวิตของสนขอได้ทำอย่างที่สนอยากทำบ้าง เพราะคงเหลือเวลาให้สนได้ทำแบบนี้ไม่นานนัก อีกแค่สองปีสนก็จะถูกจองจำด้วยการแต่งงานแล้ว
แล้วก็มาถึงที่สุดท้ายของวันนี้ ก่อนที่จะจบ One-day trip ของต้นกับสน ร้านอาหารบ้านแก้วเฮือนคำ ริมคลองส่งน้ำในอำเภอเมืองเชียงใหม่ ต้นกับสนเลือกที่นั่งด้านนอก ติดๆ กับต้นไม้ที่ประดับด้วยโคมไฟหลากสี บรรยากาศดูมืดแต่ก็ดูดีมากทีเดียว มิน่าล่ะต้นถึงได้ติดใจอยากมาอีก
ต้นให้สนเป็นคนช่วยสั่งอาหารพื้นเมืองให้เพราะสนรู้จักดีกว่าเขา ที่แน่ๆ ต้องมีแกงผักกาดจอที่ต้นชอบ
"เราว่าเราชอบร้านแบบนี้ นายว่าเราทำร้านแบบนี้ดีไหมต้น" สนถามเมื่อคนรับออร์เดอร์เดินออกไปแล้ว
"ดีนะ มีดนตรีอคูสติกเล่นสดๆ ด้วย คนที่มากินข้าวจะได้รู้สึกสบายแล้วก็ผ่อนคลาย คนที่ทำงานมาเหนื่อยๆ จะได้อยากมาพักผ่อนหย่อนใจ"
"ใช่ๆ คนแถวๆ ศาลายาก็เป็นคนทำงานประจำกันเยอะ เย็นๆ ก็น่าจะอยากมาพักผ่อนหย่อนใจอย่างที่นายว่า เราว่าแบบนี้โอเคเลย ซื้อๆๆ"
ต้นยิ้มดีใจที่เพื่อนชอบความคิดของเขา สนก็ดีใจเช่นกัน ดีใจที่ต้นกับเขากลับมาคืนดีกันได้ ดีใจที่มิตรภาพของเพื่อนที่แสนรักยังคงอยู่ ดีใจที่เขากับต้นได้ใช้เวลาร่วมกันในวันนี้ ดีใจที่สนรู้ว่าเขายังมีเพื่อนคนนี้อยู่เคียงข้างเสมอไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ตาม ต่างคนต่างเข้ามาในเวลาและชีวิตส่วนตัวของกันและกันได้แทบจะทุกเรื่อง เหลือเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ต้นกับสนยังไม่เคยล่วงล้ำเข้ามา นั่นก็คือความสัมพันธ์ทางร่างกายนั่นเอง
สนถ่ายเซลฟี่กับต้นอีกครั้งเป็นรูปสุดท้ายก่อนจะโพสต์ลงเฟสบุ๊ค ไม่มีใครรู้เจตนาของสนหรอกว่าทำไมถึงโพสต์รูปลงเฟสบุ๊คบ่อยขนาดนั้น ที่สำคัญ ทุกรูปที่โพสต์ลงไปจะต้องมีเขากับต้นเสมอ
"ที่สุดท้ายของ One-day trip ของต้นกับสนในวันนี้ เพื่อนต้นแนะนำมา บรรยากาศดี อาหารอร่อย ดนตรีเพราะ นี่แหละความสุขของผมกับเพื่อนที่รู้ใจ 11 ปีของเรามีแต่ความผูกพันที่ไม่เคยน้อยลง ขอบคุณอีกครั้งที่เราได้มาเป็นเพื่อนรักกัน ขอบคุณ One-day trip ดีๆ ของเราวันนี้ เหมือนกับเราสองคนได้กลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง"เพื่อนๆ เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันล้นหลามอีกเช่นเคย ส่วนมากก็ชื่นชมในมิตรภาพของต้นกับสนที่มีมาอย่างยาวนาน บางคนก็อิจฉาอยากมีมิตรภาพดีๆ แบบนี้บ้าง ส่วนแม่ของต้นไม่เข้ามาคอมเมนต์แล้วโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจจะเป็นไปได้ว่าเจ้าติวคงไปเล่นที่อื่นแล้วแม่ของต้นก็เลยเข้ามาอ่านไม่ได้
ต้นกันสนกลับมาถึงบ้านแล้วก็แยกกันไปอาบน้ำ คืนนี้ตกลังกันว่าสนจะมานอนที่ห้องต้น พร้อมกับการเปิดเผยคำอธิษฐานของแต่ละคน ฟังดูแล้วก็น่าตื่นเต้นไม่น้อย
ต้นอาบน้ำเสร็จแล้วอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดคอกลมสีขาวที่ต้นใส่มาหลายปีจนเนื้อมันบางและยุ่ยพอสมควร แต่ก็ใส่สบายทีเดียว ต้นกึ่งนั่งกึ่งนอนรอเพื่อนอยู่บนเตียงนอนอย่างสบายอารมณ์ ในใจก็อดที่จะลุ้นระทึกไม่ได้ว่าเขากับสนจะอธิษฐานเรื่องเดียวกันหรือเปล่า
ไม่นานนักสนก็มาเคาะประตูห้อง ต้นไม่ได้ล็อคสนจึงเปิดเข้ามาได้เลย สนใส่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเก่งลายสีฟ้าอ่อนๆ กับเสื้อกล้ามสีขาว โผล่หน้าเข้าพร้อมกับยิ้มแฉ่งอารมณ์ดี คงเป็นเพราะได้ไปเที่ยวกับเพื่อนที่รู้ใจมาทั้งวันนั่นเอง เห็นสนมีความสุขแบบนี้ต้นก็พลอยมีความสุขตามไปด้วย
สนล็อคห้องแล้วก็รีบมาหาต้นที่เตียงนอน ถึงเตียงแล้วก็กระโดดขึ้นมานอนข้างๆ ต้น ดูท่าสนจะสนุกทีเดียวที่ได้เล่นอย่างนี้
"รอนานไหม พอดีเราหากางเกงในไม่เจอน่ะ ลืมไปว่าเอาไปซัก ตากอยู่หลังบ้านจนหมด"
ต้นหัวเราะขำกับสิ่งที่เพื่อนบอก "ดีนะที่ยังแห้งทัน จะได้ไม่ต้องมายืมของเรา"
"เราไม่เคยยืมของนายเลย มีแต่นายแหละ จำได้ไหม ใครก็ไม่รู้ มานอนที่ห้องเราแล้วก็ไม่ได้เอากางเกงในมา เราต้องไปเอาตัวที่ยังไม่ได้ใช้มาให้ใส่ นี่ยังเก็บไว้อยู่หรือเปล่า"
"โห...มันจะอยู่ได้นานขนาดนั้นเลยเหรอ เป็นปุ๋ยไปแล้วป่านนี้"
ต้นกับสนหัวเราะพร้อมกัน สนเขยิบตัวเข้ามาชิดๆ กับต้นพร้อมกับเหยียดขาตามสบาย เพราะความสบายนี่เองที่ทำให้ท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนของสนดูวาบหวิวไม่น้อย แถมเป้ากางเกงก็ดูเป็นรอยนูนขึ้นมาโดยบังเอิญอีก ต้นเผลอแอบมองตรงนั้นโดยไม่รู้ตัว สนก็ตาไวมากพอที่จะทันสังเกตเห็นก่อนที่ต้นจะละสายตาไปที่อื่น
สนฉุกใจคิดขึ้นมาทันที ต้นกับสนสนิทสนมและรักกันมากแค่ไหนก็ตาม แต่พื้นที่เดียวที่ต้นกับสนยังไม่ล่วงล้ำเข้ามาก็คือความสัมพันธ์ทางกาย ถ้าเป็นคนรักกันทั่วไป นอกจากความรักที่เป็นเรื่องของจิตใจแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะผูกพันความรักให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นก็คงหนีไม่พ้นเรื่องนี้
สนชักสงสัย ต้นจะเคยคิดอยากสัมผัสกับร่างกายของสนหรือเปล่าหนอ สนเป็นคนที่หุ่นดี มีซิกซ์แพคอย่างที่สาวๆ หลายคนใฝ่ฝัน แต่สนก็ไม่ได้ให้ใครมาเชยชมยกเว้นวันที่เผลอไปมีอะไรกับนินาเท่านั้น แต่ก็น่าแปลกที่สนกลับจำอะไรแทบไม่ได้เลย ช่างเถอะ กลับมาที่ต้นดีกว่า ต้นแอบรักสนมาตั้งนาน ในสายตาของต้น ต้นคิดและรู้สึกยังไงกับร่างกายของสนบ้างหนอ มันทำให้ต้นเกิดความต้องการนั้นขึ้นมาได้หรือเปล่า
แล้วสนล่ะ พอคิดถึงตรงนี้ สนก็ลองใช้สายตาสำรวจร่างกายของคนข้างๆ ดูบ้าง มองลงไปตั้งแต่ขาสองข้างที่แม้จะไม่ขาวเท่ากับสนที่เป็นคนเหนือ แต่ก็ขาวน่าสัมผัสทีเดียว มีกล้ามพองามให้พอดูรู้ว่าเป็นขาผู้ชาย ส่วนนั้นของต้นล่ะ ตั้งแต่โตมาก็ไม่ได้เห็นเลย ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเติบโตไปถึงไหน พอมองเลยมาถึงช่วงลำตัวและเลยมาถึงแขนที่ขาวเนียนละเอียด สนก็ยิ่งรู้สึกหวั่นไหวมากขึ้น ต้นดูน่าทะนุถนอมและน่าสัมผัสยิ่งนัก สนรู้สึกอย่างนี้มานานแล้ว พอมาถึงใบหน้าและริมฝีปาก แววตาโศกเชื่อมคู่นั้นช่างมีเสน่ห์น่าค้นหา ริมฝีปากอิ่มที่สนเคยสัมผัส ทำให้สนคิดถึงรสจูบแรกที่แทบจะห้ามใจไม่ไหวคราวนั้น ใช่แล้ว สนพบว่าร่างกายของต้นมีแรงดึงดูดที่ทำให้สนเกิดอารมณ์ปั่นป่วนที่ยากเกินห้ามใจ
ต้นดูประหม่าและสงสัยเมื่อเห็นสนมองไปทั่วร่างของเขา สายตาเช่นนั้นแทนที่จะทำให้สนอยากถอยห่าง สนกลับอยากเข้าใกล้และค้นหาว่าสิ่งใดกันที่ทำให้ต้นรู้สึกประหม่าขนาดนี้
สนใช้มือสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อของต้น ค่อยๆ เลื่อนมือสูงขึ้นไปจนถึงบริเวณหน้าอกและลูบไล้เบาๆ ต้นดูตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด แล้วสนก็ค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้กับใบหน้าของต้นจนเหลือเพียงแค่ลมหายใจกั้น จากนั้นก็ประทับริมฝีปากของเขาลงไปบนริมฝีปากของต้นอย่างนุ่มนวลรักใคร่ เจ้าของร่างเกร็งจนรู้สึกได้ แต่อีกไม่นานต้นคงรู้สึกดีขึ้น สนรักผู้ชายคนนี้เหลือเกิน รักจนห้ามใจไม่ไหวแล้ว
สนค่อยๆ ดันต้นให้นอนราบลงพร้อมกับที่ตัวของเขาขึ้นมาทาบทับ รสจูบที่แสนหวานนั้นทำให้ต้นรู้สึกเสียวสะท้านจนเผลอโอบรอบคอสนไว้ สนจับมือของต้นให้ค่อยๆ สอดเข้าไปใต้ชายเสื้อของตัวเอง เพื่อให้ต้นได้สัมผัสกับร่างกายของเขาในแบบที่ไม่เคยมาก่อนบ้าง ต้นดูประหม่าและตื่นกลัวทีเดียว แต่สัมผัสที่อ่อนโยนของสนก็ช่วยทำให้ต้นค่อยๆ คลายความตื่นกลัวจนกล้าที่จะลูบไล้แนวกล้ามเนื้อหน้าท้องนั้นอย่างเบามือ สนละริมฝีปากจากต้น ครางเบาๆ อย่างพอใจ เขาอยากบอกรักต้นเหลือเกิน อยากบอกเสียตอนนี้เลย
ตอนนี้สติของต้นกับสนเตลิดไปไกลแล้ว ส่วนนั้นของทั้งคู่เริ่มส่งอาการตอบสนองจนอีกฝ่ายรู้สึกได้ แต่ก่อนที่อะไรๆ จะเลยเถิดไปกันใหญ่ จู่ๆ ต้นก็ตัดสินใจดึงสติกลับมา หันหน้าออกแล้วใช้มือกันปากสนไว้ก่อนที่สนจะมอบรสจูบที่แสนหวานให้อีกคำรบ
"อย่าทำแบบนี้เลยสน เรา...ไม่อยากทำผิดกับคู่หมั้นของนาย" ต้นบอกด้วยเสียงที่ยังหอบหายใจ
อารมณ์วาบหวามใจหายไปสิ้นทันทีที่สนได้ยินเรื่องคู่หมั้น สนผละตัวออกจากต้น กลับมานอนที่หมอนใบเดิมของเขาแล้วก็ยันตัวลุกขึ้นนั่ง รู้สึกเสียดายในสัมผัสรักที่แสนอ่อนหวานนั้นไม่น้อย แต่กระนั้น สนก็พอรู้แล้วว่าความต้องการที่มาพร้อมกับความรักให้ความรู้สึกที่วิเศษแค่ไหน ต้นค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งเช่นเดียวกับสน ต่างคนต่างไม่มองหน้ากัน เงียบและครุ่นคิด แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง
"ต้น..." สนเริ่มพูดขึ้นมาก่อนหลังจากเงียบไปนาน "เรารู้แล้วว่า...เราสองคน กลับมาเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้วล่ะ เรามาไกลเกินไปแล้ว"
ต้นเข้าใจได้ไม่ยากนัก ความรักของต้นกับสนเริ่มต้นจากความเป็นเพื่อน เพราะความผูกพันที่เกิดขึ้นในทุกวันของชีวิต ต้นกับสนก็เผลอรักกันโดยไม่รู้ตัว เขาสองคนเกิดมาเพื่อรักกัน ไม่ใช่เป็นแค่เพื่อนกัน ต้นกับสนเดินข้ามสะพานของความเป็นเพื่อนมาแล้ว สะพานถูกทำลายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ แต่ต้นกับสนกลับไปที่เดิมอีกไม่ได้ ที่น่าตลกก็คือจะเดินไปต่อก็ยังไม่ได้อีกเช่นกัน
ยิ่งพยายามกลับมาเป็นเพื่อนก็ยิ่งน่าห่วงเพราะต้นกับสนจะยิ่งใกล้ชิดและผูกพันกันมากขึ้น สุดท้ายก็จะวนกลับมาที่ความรักเช่นเดิม มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นที่จะไม่ให้รักกัน ต้นกับสนต้องจากกันไปให้ไกลที่สุดและนานที่สุด ต่อให้ทำอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถบอกได้เลยว่าจะลบเลือนความรักที่อยู่ในใจของคนสองคนที่ผูกพันกันมายาวนานไปได้มากแค่ไหน
"สน...นายอธิษฐานว่าอะไร" ต้นถามขึ้นมาบ้างหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบไปอีก
สนหันมามองหน้าต้น เพ่งดูใบหน้าที่ยังคงมีร่องรอยของความประหม่าและเขินอายกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้อยู่
"เรา...อธิษฐานว่า...ขอให้เรา...ผ่านปาฏิหาริย์ห้าอย่างที่จั่นพูดเมื่อวาน แล้วนายล่ะต้น นายอธิษฐานเหมือนเราไหม" สนพูดชัดๆ ช้าๆ เพื่อให้มั่นใจว่าต้นได้ยินและเข้าใจทุกอย่างที่เขาพูด
ต้นเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง ไม่น่าเชื่อว่าเขากับสนจะอธิษฐานเรื่องเดียวกัน
ต้นพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม ไม่นานนักน้ำตาแห่งความดีใจก็ไหลมาสมทบ ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน หวังว่ามันคงไม่ใช่สิ่งที่ต้นกับสนคิดกันไปเอง
"เราก็อธิษฐานอย่างนั้นเหมือนนาย"
แล้วต้นกับสนก็โผเข้ากอดกัน แน่แล้ว ฟ้าสั่งให้ต้นกับสนเกิดมารักกัน ไม่ใช่แค่เพื่อนกัน ถ้าไม่อยู่เป็นคู่ชีวิตกันในชาตินี้ก็ต้องจากกันไปเท่านั้น ก็อยู่ที่ต้นกับสนจะเลือกแล้วล่ะว่าอยากให้เป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง จะฝ่าม่านประเพณีหรือจะยอมแพ้!
สนนั่งรออย่างกระวนกระวายใจ ลุ้นแทบจะทุกวินาทีที่ผ่านไปอย่างใจจดใจจ่อ ผ่านไปหลายนาทีทีเดียวก่อนที่นินาจะค่อยๆ เดินออกมาจากห้องน้ำ สีหน้าของเธอดูเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง คอยเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครมาเห็น
พอเดินมาถึงตรงที่สนนั่งอยู่ สนก็รีบลุกขึ้นแล้วถามทันที
"ผลเป็นไงมั่ง"
เมื่อวานสนลงทุนไปซื้อเครื่องมือตรวจการตั้งครรภ์มาให้นินาเพราะอยากรู้ให้แน่ใจเสียทีว่านินาท้องหรือเปล่า สองเดือนที่ผ่านมานั้นสนเครียดมากทีเดียว
"เอ่อ...คือว่า..." นินาทำท่าลังเลจนสนรู้สึกรำคาญ
"นินา ตกลงว่ายังไง"
"นินา...นินาไม่ได้ท้องค่ะ"
น้ำเสียงและสีหน้าที่สลดลงของนินานั้นไม่ได้ทำให้สนสะดุดใจเท่าไหร่นัก แต่ตรงกันข้าม สนกลับรู้สึกโล่งใจมากทีเดียว
"ดีแล้ว จะได้หายเครียดกันเสียที"
"แล้วทำไมพี่สนต้องเครียดขนาดนั้นคะ" นินาถามเสียงดัง สีหน้าบ่งบอกว่าเธอไม่พอใจที่สนดีใจ
"ทำไมล่ะนินา เธอจะอยากท้องไปทำไมตอนนี้ เรายังเรียนกันไม่จบเลยนะ" สนก็เริ่มไม่พอใจเช่นกัน
"พี่สนพูดอย่างนี้หมายความว่าไงคะ ดีใจที่นินาไม่ท้องงั้นเหรอ แสดงว่าไม่อยากรับผิดชอบนินาเหรอคะ ยังไงๆ นินาก็เสียหายไปแล้วนะคะ" นินาเสียงดังจนสนต้องหันไปมองรอบๆ ว่ามีใครอยู่ใกล้ๆ แถวนี้หรือเปล่า
"มันคนละเรื่องกันนะนินา เราก็หมั้นกันแล้ว เธอยังไม่พอใจอีกหรือไง"
"แล้วพี่สนรักนินาหรือเปล่าล่ะคะ"
ไม่มีคำตอบใดๆ จากสน
"รักหรือเปล่าคะ ถ้าไม่รักแล้วมาทำแบบนี้กับนินาทำไมคะ ไม่รักแล้วมาล่วงละเมิดนินาทำไม"
สนหันหน้าหนีพร้อมกับทำท่าจะเดินออกไป
"พี่สนทำแบบนี้ไม่ถูกนะคะ นินาเป็นคู่หมั้นของพี่ แต่พี่ไม่เคยมาสนใจนินาเลย ไม่เคยพาไปเที่ยว ไม่เคยพาไปที่ไหนเลย ทีไปเที่ยวกับเพื่อนยังไปได้ ทำไมไม่พานินาไปมั่ง มาหาก็ยังไม่อยากจะมา เสื้อผ้าก็ไม่ไปขายด้วยกัน ถ้าไม่ได้รักแล้วมาทำกับนินาอย่างนี้ทำไม เห็นนินาเป็นอะไร"
นินาร้องไห้ เธอพูดอย่างนี้เพราะหวังจะให้สนเห็นใจและสงสารเธอหรือเปล่าหนอ สนก็อยากเห็นใจหรอกนะ แต่สิ่งที่สนต้องสูญเสียไปล่ะ สนควรจะสงสารตัวเองด้วย ไม่ใช่แค่นินาคนเดียว
"พี่ไม่รู้ ไม่มีคำตอบอะไรให้เธอทั้งนั้น"
"เหรอคะ งั้นนินาจะบอกพ่อกับแม่ว่าพี่ไม่สนใจใยดีนินา"
สนสูดหายใจลึกๆ เพื่อข่มอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน นินาเล่นจะใช้พ่อกับแม่มาบังคับอย่างนั้นหรือ ถ้าเขาไม่รัก จะบังคับยังไงก็ไม่ทำให้รักขึ้นมาได้หรอก
"ตามสบายละกัน พี่จะเข้าเรียนละ"
สนบอกแล้วก็รีบเดินจากไป ปล่อยให้นินากระฟัดกระเฟียดด้วยความขุ่นเคืองคนเดียว
"คอยดูนะ ให้กล้ากว่านี้ก่อน ยังไงๆ พี่ก็หนีไม่พ้นแน่ๆ"
TBC