▓ ▒ ░ ต้น-สน∞ปาฏิหาริย์รักที่รอคอย ░ ▒ ▓CHAPTER 18: จุดผันแปร หนึ่งปีผ่านไปอีกแล้ว ชีวิตของต้นกับสนผ่านไปอย่างราบรื่น ถ้าจะมีปัญหาอยู่บ้างก็คงเป็นเรื่องการเรียนที่หนักขึ้นเรื่อยๆ สนเองก็แทบจะไม่มีเวลาว่างมากนักเพราะทั้งเรียน ทั้งพัฒนาสูตรขนม แถมช่วงเย็นวันศุกร์และเสาร์ก็ยังไปขายเสื้อผ้าที่ถนนคนเดินอีกด้วย แม้จะไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างเพื่อนๆ คนอื่นๆ มากนัก แต่สนก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะยังไงอยู่มหาลัยเขาก็คือเด็กนักศึกษาคนหนึ่งที่สนุกสนานไปตามวัยอยู่แล้ว
ส่วนต้น นอกจากเรียนหนังสือแล้ว สนได้แนะนำให้ต้นอาสาเข้าไปช่วยงานในชมรมเพื่อนผู้พิการที่รับผิดชอบโดยอาจารย์ท่านหนึ่งในคณะวิจิตรศิลป์ เนื่องจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต้องการส่งเสริมการศึกษาของคนพิการเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยมากขึ้น ต้นเข้าไปช่วยเรื่องการหาคนมาช่วยติวพิเศษให้น้องใหม่ที่เป็นคนพิการที่อาจเรียนไม่ทัน ทำโครงการอ่านหนังสือเสียงให้คนตาบอด โครงการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่มหาวิทยาลัย รวมทั้งแคมเปญรณรงค์ต่างๆ ผ่านเฟสบุ๊คและโซเชี่ยลมีเดียอื่นๆ ทำให้ปีที่ผ่านมาผ่านไปอย่างรวดเร็วทีเดียว
ในเรื่องความสัมพันธ์ ต้นกับสนก็ยังคงความสัมพันธ์ไว้ที่ความเป็นเพื่อนกันอยู่ แม้จะแอบเกินเลยไปบ้างแต่ก็ยังไม่พัฒนาไปมากกว่านั้น สนต้องพับโครงการทดสอบจิตใจของเขาไปก่อนเพราะเห็นว่าต้นมีปัญหาด้านจิตใจอยู่ เขาไม่อยากซ้ำเติมจิตใจของต้นให้คิดลบกับตัวเองมากขึ้น จึงเลือกที่จะคอยเป็นเพื่อนให้กำลังใจ ส่วนแม่ของต้นดูจะเงียบๆ ไปบ้างในเรื่องที่ต้นเป็นเกย์ แต่ก็เหมือนพายุที่รอวันโหมกระพือขึ้นมาอีกครั้งในวันใดวันหนึ่ง สนไม่อยากให้ต้นเครียดเรื่องเพื่อนๆ ในคณะเดียวกันที่คอยแซวเรื่องเป็นเกย์ จึงแนะนำให้ต้นหากิจกรรมทำ สร้างคุณค่าให้ตัวเอง ก็ช่วยต้นได้มากทีเดียว ตั้งแต่ต้นเข้าไปช่วยงานในชมรมเพื่อนผู้พิการ เขาก็ได้รับคำชมมากมายว่าช่วยทำให้งานของชมรมโดดเด่นมากขึ้น ทำให้ต้นรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองมากขึ้นจนเลิกสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของเพื่อนๆ ไปได้ ทำให้หลังๆ มานี้เพื่อนก็ค่อยๆ เลิกแซวต้นไปเอง
ต้นกับพี่ทินก็คงสถานะความเป็นพี่น้องกันไว้อย่างเดิม ทินอาจจะเผลอไผลไปกับคนอื่นๆ บ้างชั่วครั้งชั่วคราว แต่ก็ยังไม่คิดจริงจังกับใครเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลึกๆ ในใจก็ยังคงฝังใจกับรักครั้งแรกสมัยมัธยม หรืออาจจะรอคอยใครสักคนที่ไม่ยอมเปิดใจให้สักที
ส่วนสนกับนินาก็ยังคงไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ที่ดูพิเศษไปมากกว่าพี่ชายและน้องสาว สนชื่นชมนินาที่เป็นคนขยัน รู้จักช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน แต่เขาก็ค่อนข้างระมัดระวังตัวกับนินาพอสมควร พยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ไปไหนด้วยกันสองต่อสอง จนนินาเริ่มรู้สึกได้ว่าสนไม่สนใจเธออย่างที่เธอคิด แต่ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าเธอจะเลิกพยายามหรือไม่ แต่ก็จะเห็นได้ว่าเธอไม่สนใจหนุ่มๆ คนอื่นที่มาขายขนมจีบให้เธอเลย
ปีที่ผ่านมาจึงถือว่าเป็นปีที่คลื่นลมสงบพอสมควร แต่ชีวิตของคนเราคงไม่ได้สงบราบรื่นตลอดไป บททดสอบชีวิตบางครั้งก็มักจะเข้ามาในช่วงที่คลื่นดูสงบ พายุร้ายอาจก่อตัวขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้โดยที่เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าเลย
นินากับนินอยมาหาสนถึงบ้านพักตั้งแต่เช้าเพื่อที่จะมาดูสนทำสูตรขนม เธอว่าจะขอมาดูหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่สบโอกาสเสียที ตอนนี้สนไม่ได้ผลิตเองแล้วเพราะมีภาระมากเกินไป มีผลกับการเรียนพอสมควร คุณป้าของนิกจึงให้สนคิดค้นสูตรแล้วหาคนผลิตให้แทน รายได้ของสนตอนนี้จึงเปลี่ยนมาเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายแทน อาจจะไม่มากนักแต่ก็พอทำให้สนเรียนหนังสือได้โดยขอเงินพ่อแม่น้อยลง แถมยังพอมีเงินเก็บมากขึ้นอีกด้วย
"วันนี้พี่สนจะทำขนมอะไรคะ" นินาถามขึ้นในขณะที่สนกำลังขะมักเขม้นพริกไทยในครกอยู่
"ข้าวเกรียบสูตรใหม่ครับ เป็นข้าวเกรียบฟักทอง"
"ให้นินากับนินอยช่วยยังไงดีคะพี่"
สนหยุดแล้วก็มองไปรอบๆ เพื่อดูว่าพอจะมีอะไรให้สองพี่น้องช่วยได้บ้าง
"ดูฟักทองที่พี่ต้มไว้ก็ได้ว่ามันสุกหรือยัง"
"นอยไปดูฟักทองนะ เดี๋ยวพี่จะช่วยพี่สน" นินาโบ้ยงานนั้นให้น้องชายไป นินอยไม่ได้ว่าอะไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าพี่สาวอยากอยู่ใกล้ๆ สน จริงๆ นินอยก็ไม่อยากมาด้วยเท่าไหร่ แต่พ่อสั่งให้มาเป็นเพื่อนกับพี่สาวก็เลยมาอย่างเสียมิได้ แต่ก็ไม่ถึงกับเซ็งเสียทีเดียว
"ให้นินาช่วยตำพริกไทยนะคะพี่สน นินาอยากลองทำดูค่ะ"
ก่อนจะอนุญาต สนหันไปมองต้นที่กำลังช่วยแล่เนื้อปลาให้สนอยู่อย่างเงียบๆ เหมือนกับจะขอความเห็น แต่ต้นก็ไม่ได้พูดอะไร
"อ๋อ...ได้สิ"
นินาจึงรีบลุกจากเก้าอี้ไปยืนข้างๆ สนโดยไว ดูท่าทางมีความสุขมากทีเดียวที่ได้ยืนอยู่ข้างๆ สน
"พอตำพริกไทยแล้วพี่ก็จะใส่กระเทียมลงไปตำด้วย สองอย่างนี้จะช่วยดับกลิ่นคาวปลา จากนั้นก็จะใส่เนื้อปลาลงไปตำ ตามด้วยเนื้อฟักทองที่สุกแล้ว แล้วก็ค่อยเอาทั้งหมดไปคลุกกับแป้ง ใส่เกลือ ใส่น้ำตาล แล้วก็จะปั้นเป็นก้อนๆ เอาไปต้มให้สุก ตากให้แห้งแล้วถึงจะเอาไปทอด นั่นแหละถึงจะเป็นข้าวเกรียบ"
ได้ฟังสนอธิบายวิธีทำแล้วนินาก็ตื่นเต้น "โห...หลายขั้นตอนเหมือนกันนะคะพี่สน นินาไม่รู้มาก่อนเลยว่าข้าวเกรียบมีขั้นตอนเยอะขนาดนี้"
"ใช่ ก็คงทั้งวันเลยวันนี้ เดี๋ยวนินาตำพริกไทยกับกระเทียมไปก่อนนะ พี่จะไปดูฟักทองหน่อย น่าจะสุกแล้วล่ะ"
สนบอกแล้วก็ปล่อยให้นินาจัดการตามที่เขาบอก ส่วนตัวเขาก็เดินเข้าไปดูหม้อต้มฟักทองที่นินอยกำลังยืนดูอยู่
"ไงนินอย สุกหรือยัง"
"น่าจะสุกแล้วล่ะพี่ พี่สนลองดูอีกทีก็ได้ครับ" นินอยถามเพื่อความมั่นใจ
สนก้มดูแล้วก็พยักหน้า "น่าจะสุกแล้วนะ นินอยเอาจานกับทัพพีบนต้นโต๊ะให้พี่หน่อย เดี๋ยวพี่จะตักฟักทอง"
"ครับ" เด็กหนุ่มรับคำแล้วก็รีบกุลีกุจอไปหยิบอุปกรณ์มาให้สน
สนตักฟักทองใส่จานแล้วก็ยกมาวางไว้บนโต๊ะ
"เดี๋ยวนินาเอาเนื้อปลาที่ต้นแล่ไว้มาใส่ในครกได้เลยนะ แล้วก็ตำเลย"
สนบอกในขณะที่ใช้ช้อนตักเนื้อฟักทองที่สุกออกมากองไว้ในอีกจาน
"ตำเนื้อปลาที่ดิบๆ อย่างนี้เลยเหรอคะพี่" นินาไม่แน่ใจ
"ใช่แล้ว ต้น...นายส่งเนื้อปลาให้นินาหน่อยสิ" สนหันไปบอกเพื่อน รู้สึกแปลกใจที่สีหน้าของต้นดูแปลกๆ ไป
ต้นส่งจานเนื้อปลาให้นินาไปตามที่สนบอกแล้วก็นั่งนิ่งๆ นินาเทเนื้อปลาใส่แล้วก็ค่อยๆ ตำ เธอดูแหยงๆ อยู่บ้างเพราะกลัวเนื้อปลากระเด็นติดตัว จากนั้นสนก็ส่งเนื้อฟักทองที่ตักออกมาแล้วให้นินาตำรวมกันต่อ
ต้นนั่งดูภาพสนกับนินาพูดคุยหยอกล้อในขณะที่ช่วยกันทำขนมแล้วก็ลอบถอนหายใจ ยังไงผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ ไม่รู้ว่าต้นจะหาเรื่องรักเพื่อนแบบนั้นไปทำไม มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ต้นไปที่บ้านสนก็ได้ฟังพ่อกับแม่ของสนพูดถึงอนาคตของลูกชายว่าจบมาทำงานแล้วก็อยากให้แต่งงานไวๆ จะได้มีหลานให้พ่อกับแม่ชื่นชม ดูเหมือนพ่อกับแม่ของสนอยากมีหลานมากทีเดียว อาจจะเป็นเพราะครอบครัวของสนย้ายมาอยู่ไกลจากพี่น้อง พี่น้องคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ติดต่อกันแล้ว การมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มจึงน่าจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ครอบครัวได้มากขึ้น สนก็คงไม่คิดว่าตัวเองจะปล่อยให้พ่อกับแม่อยู่เหงาๆ ต่อไปอย่างนี้หรอก ถ้าสนมีลูกคงจะสร้างสีสันให้ครอบครัวได้มากเลยล่ะ ไม่จำเป็นต้องทายต้นก็รู้คำตอบสุดท้ายแล้วว่าทางเดินชีวิตของสนจะต้องไปทางไหน แม้แต่ตัวเขาเองก็เถอะ ไม่รู้จะทำตีมึนแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน อีกไม่นานพ่อกับแม่อาจจะเล่นบทโหดกับต้นก็ได้ใครจะไปรู้
ยิ่งเห็นต้นก็ยิ่งรู้ว่าเขาไม่มีอะไรเหมาะสมกับสนเลย ต้นไม่ควรจะมีความหวังลมๆ แล้งๆ แบบนั้นอีก ทำไมแค่นี้ต้นถึงคิดไม่ได้นะ หลังจากที่คลื่นลมสงบมากว่าสองปี ต่อจากนี้ไปมันคงไม่สงบเหมือนเดิม ยังไงก็ตามแต่ ต้นก็ขอบคุณสนมากทีเดียวที่ยังให้เวลาต้นได้หายใจอยู่หลายปี สองปีที่สนคอยอยู่เป็นเหมือนเพื่อนที่มากกว่าเพื่อนทำให้จิตใจของต้นดีขึ้นมาก ตอนนี้ต้นเข้มแข็งมากขึ้นแล้ว ก็คงถึงเวลาที่จะต้องทำในสิ่งที่เคยคิดไว้ว่าจะทำเสียที
ต้นหยิบโทรศัพท์มาแล้วก็ส่งไลน์ถึงใครบางคน จากนั้นก็นั่งดูสนและสองพี่น้องที่มาวันนี้ปั้นแป้งที่คลุกเสร็จแล้วเป็นก้อนๆ ก่อนที่จะนำไปต้ม ไม่รู้ว่ารู้สึกน้อยใจไหมที่เหมือนไม่มีใครสนใจ แต่ต้นก็ไม่อยากจะเอาความรู้สึกแบบนี้มาบั่นทอนจิตใจตัวเองอีกแล้ว ปล่อยให้สนได้มีความสุขตามธรรมชาติของเขาดีกว่า
"เฮ้ยสน วันนี้ทำไรวะ เดี๋ยวกูกับจั่นจะไปบ้านป้า มึงเอาขนมที่จะฝากให้ป้ากูไว้ตรงวะ"
เสียงของนิกดังขึ้นพร้อมกับศีรษะที่ชะโงกเข้ามาดู คนที่นั่งอยู่ในห้องหันไปมองตามเสียง
"แป๊บนึงนะ เดี๋ยวกูหยิบให้" สนบอกพลางลุกขึ้น "เดี๋ยวพี่มานะ"
นินอยกับนินาพยักหน้าพร้อมกัน สนวิ่งผลุนออกไปจากห้องที่สนขอเช่านิกไว้ทำขนม สักพักก็กลับมาพร้อมกับถุงใส่ขนมห่อใหญ่ ในนั้นมีขนมชนิดเดียวกันแต่ปรับสูตรให้ต่างกันอยู่หลายห่อ เอาไว้ให้ป้าของนิกเลือกว่าชอบสูตรไหนมากที่สุด สนก็จะขายสูตรนั้นไป
"ขอบใจมากนะเว้ยนิก"
นิกพยักหน้าพลางยิ้ม "ไม่เป็นไรเพื่อน ยินดีด้วยนะเว้ย ตอนนี้แบรนด์ต้นสนของมึงขายดีมากเลย รวยใหญ่แล้วนะ"
สนได้ฟังแล้วก็ยิ้มไม่หุบ
"นิดหน่อยๆ ก็ได้มึงนั่นแหละช่วย ว่าแต่...จะออกไปแล้วเหรอ"
"อืม รอไอ้จั่นอยู่นี่แหละ วันนี้มันตื่นสาย อ้าว...คุณชายจั่นลงมาละ พูดไม่ทันขาดคำ เออๆ เดี๋ยวกูไปก่อนนะเว้ย"
นิกยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกลา รวมทั้งหันไปยิ้มให้กับสองพี่น้องด้วย เห็นต้นนั่งเงียบๆ แล้วก็รู้สึกสะดุดใจอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความรีบก็เลยไม่ได้มีเวลาจะถามอะไรมาก
พอนิกกับจั่นออกไปได้สักพักก็มีรถอีกคันวิ่งมาจอดหน้าบ้านพร้อมกับบีบแตรเรียก ต้นรีบลุกขึ้นแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไปจากห้องอีกคน
"ไปก่อนนะสน พี่ไปก่อนนะนินา นินอย"
"อ้าวต้น นายจะไปไหน" สนถามอย่างงงๆ เพราะต้นไม่ได้บอกเขาเลยว่าจะไปข้างนอกวันนี้ อยู่ดีๆ ก็จะไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
"อ๋อ...พอดีเรามีธุระด่วนกับพี่ทินนิดหน่อย เดี๋ยวเย็นๆ เราจะกลับนะ"
ต้นไม่รอให้สนอนุญาต เขารีบเดินออกมาจากห้อง ใส่รองเท้าเสร็จแล้วก็รีบเปิดประตูบ้านออกไปราวกับกลัวว่าจะถูกสนจับกักตัวไว้ สนเดินออกมายืนดูด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าต้นมีธุระด่วนแค่ไหนถึงต้องรีบขนาดนั้น เวลาเห็นต้นไปกับพี่ทินทีไรสนมักจะรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของต้นทุกทีเลย แม้พี่ทินจะดูเป็นคนดี แต่ก็มีอะไรบางอย่างที่ทำให้สนไม่ไว้ใจอยู่ดี
แต่ก็นั่นแหละ อีกใจหนึ่งสนก็รู้ดีว่าที่ต้นไม่อยากอยู่ตรงนี้ก็เพราะนินานั่นเอง เห็นต้นนั่งเงียบๆ สนก็พอเดาออก
ทินพาต้นมาที่คอนโดของเขา กินข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารในคอนโดเสร็จแล้วจึงมานั่งคุยกันในสวนหย่อมที่จัดไว้อย่างสวยงาม ที่นี่ปลูกต้นไม้ไว้ค่อนข้างเยอะจึงทำให้เย็นสบาย แถมมีลมเย็นๆ พัดมาตลอดอีกด้วย
"ว่าไงต้น บอกพี่ได้หรือยังว่ามีอะไรหรือเปล่าถึงให้พี่รีบไปหา"
รอยยิ้มและน้ำเสียงเป็นห่วงนั้นทำให้ต้นรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เขาปฏิเสธทินมาตลอด แต่ดูเหมือนทินก็ยังรอเขาอยู่ ปีแล้วปีเล่า
"วันนี้...นินากับน้องชายเขาไปที่บ้าน ไปช่วยสนทำขนม" น้ำเสียงของต้นฟังดูเศร้าแม้ว่าจะพยายามปกปิดแล้วก็ตาม
"ต้นก็เลยทนดูไม่ไหวใช่ไหม" ทินรีบพูดดัก
"ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับพี่ทิน ผมแค่คิดว่า...ยังไงซะ ผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิง ที่ผ่านมา ผมก็หวังอะไรลมๆ แล้งๆ ของผมไปเรื่อยเปื่อย ไม่เจียมตัวเลย แต่ตอนนี้...ผมรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นจริงแล้วล่ะครับ ปิดเทอมคราวที่แล้วผมไปบ้านสน พ่อกับแม่สนบอกว่าอยากให้สนแต่งงานไวๆ หลังจากที่เปิดร้านไปสักปีสองปี เขาอยากมีหลาน ผมก็เข้าใจครอบครัวเขานะพี่ สนเป็นลูกคนเดียว พ่อกับแม่สนก็ไม่มีญาติพี่น้องอยู่ใกล้ๆ ก็อยากจะมีหลานไว้เลี้ยงแก้เหงาเป็นธรรมดา ผมไม่เห็นหนทางที่ผมกับสน...จะรักกันได้เลยครับพี่ทิน"
สีหน้าเศร้าๆ แบบนี้ทำให้ทินใจละลายมาหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ต้องระวังตัวเพราะรู้ดีว่าต้นไม่ได้รักเขาเลย
"พี่เข้าใจต้นนะ พี่ก็เข้าใจสนด้วย สุดท้ายแล้วผู้ชายอย่างสนก็ต้องเดินไปตามกรอบที่สังคมและพ่อแม่เขาวางไว้นั่นแหละ พี่ไม่ได้พูดให้ต้นหมดความหวังนะ แต่พี่พูดความจริง ไม่ว่าต้นจะชอบหรือไม่ชอบ มันก็จะเกิดขึ้น"
ต้นถอนหายใจยาว "ผมก็เข้าใจอย่างที่พี่ทินพูดนั่นแหละครับ ตอนนี้...ผมคิดว่า...มันคงถึงเวลาจริงๆ แล้วล่ะที่ผม...จะต้องตัดใจจากเพื่อน"
"ต้นก็เลยมาหาพี่อย่างงั้นเหรอ"
ต้นเงียบไปสักพักด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ หวังว่าทินคงไม่ได้เข้าใจว่าต้นเห็นทินเป็นของตายหรอกนะ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก
"แต่พี่ยินดีนะต้น ก็อย่างที่พี่เคยบอกต้นนั่นแหละ" ทินรีบบอกเพราะกลัวว่าต้นจะคิดมาก
"พี่ทิน" ต้นครางอย่างเห็นใจ จะมีสักกี่คนบนโลกนี้ที่จะยอมเป็นแฟนกับอีกคนที่ไม่รู้ว่าจะรักกันได้หรือเปล่าเมื่อคบกันไป แต่ทินกลับดูเหมือนยินดีที่จะทำอย่างนั้น
"บางทีคนเราก็ต้องการเวลาหรืออะไรสักอย่างมาพิสูจน์ใจตัวเองนะต้น ต้นเอง...ถ้ารักสนจริง ไม่ว่าต่อไปต้นจะพยายามตัดใจแค่ไหน จะคบกับใครอีกสักกี่คน สุดท้ายคำตอบเดิมก็จะเป็นสน แต่ถ้าต้นไม่ได้รักสนมากขนาดนั้น วันหนึ่งคำตอบมันก็จะเปลี่ยนไปเองเวลาที่ต้นเจอใครสักคนที่ใช่ พี่ก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นพี่ไหม แต่พี่ก็...ยินดีนะ ถ้าต้น...อยากจะหาคำตอบของตัวเองกับพี่"
ต้นก้มหน้าหลบตาทินด้วยความรู้สึกละอายใจ จะว่าไปแล้วต้นก็ไม่ได้คิดว่าจะมาที่นี่เพื่อขอให้ทินช่วยเรื่องนี้หรอก ต้นก็ไม่อยากดูแย่ขนาดนั้นที่พอไม่มีใครแล้วก็มาหาทิน ต้นแค่อยากมาหาใครสักคนที่พอจะช่วยรับฟังและให้คำแนะนำได้เท่านั้นเอง
"พี่ทิน...ถ้าพี่ทินไม่แน่ใจ พี่ทินไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะครับ ถ้าเกิด...มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด พี่ทินอาจจะเสียใจ ผมไม่อยากให้เป็นอย่างงั้น ผมไม่อยากเห็นแต่ตัว ไม่อยากดึงพี่ทินมาเจ็บกับผมด้วย"
"ไม่เห็นเป็นไรเลยต้น ความรักมันก็มีทั้งสมหวังและไม่สมหวังนั่นแหละ คนอกหักมีเยอะแยะ พี่เองก็เคยอกหักมาแล้ว จะอกหักอีกสักครั้งก็ไม่เป็นไรหรอก ต้นเคยได้ยินไหม...อกหักดีกว่ารักไม่เป็น"
ทินหยุดเว้นจังหวะแล้วก็พูดต่อ
"รู้ไหมต้น สามปีที่ผ่านมา พี่รอต้นคนเดียวนะ พี่อาจจะเผลอไปชอบคนนั้นคนนี้บ้าง แต่พี่ก็ไม่เคยจริงจังกับใคร ถ้าต้นจะให้โอกาสพี่ แล้วก็...ให้โอกาสตัวต้นเองได้ค้นพบหัวใจที่แท้จริงของตัวเอง พี่ก็จะขอบคุณมากถ้าต้นจะเปิดโอกาสให้พี่ได้เป็น...ได้เป็นแฟนกับต้น ต่อให้พี่จะต้องเจ็บทีหลัง พี่ก็ยินดี"
"พี่ทิน..."
ต้นรู้สึกละอายใจเหลือเกินที่ปล่อยให้ทินรอเขาอยู่นานขนาดนี้ ต้นเองพอมีสนแล้วก็แทบจะไม่ได้คิดถึงใจของอีกคนที่รอเลยว่าเป็นอย่างไร อยู่กับสนอย่างที่ผ่านมาก็ดีแล้ว มีความสุขดีแล้ว แต่พอรู้ตัวว่าความทุกข์จะมาเยือน ต้นกลับต้องวิ่งมาหาทินเหมือนที่เคยทำในครั้งที่ผ่านๆ มา
"ไม่ต้องคิดมากหรอกต้น พี่เข้าใจต้นนะ พี่รู้...รู้ว่าต้นรักสนมาก แล้วพี่ก็รู้...ว่าสนก็รักต้นมากเช่นกัน ต้นรู้ไหม เมื่อปีที่แล้ว...พี่คุยกับสน สนเขาก็ต้องการพิสูจน์หัวใจของเขาเองนะต้น แต่พี่ก็ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาก็หยุดคิดแบบนั้นไปเลย พี่ไม่รู้ว่าตอนนี้สนอยากกลับมาพิสูจน์หัวใจตัวเองอีกหรือเปล่าถึงได้พานินามาถึงที่บ้าน แต่พี่ว่ามันก็ดีนะต้น สนก็พิสูจน์ใจตัวเอง ต้นก็พิสูจน์ใจตัวเอง พี่...ก็พิสูจน์ใจตัวเอง แล้วเราค่อยมาดูกันว่า...สุดท้ายแล้ว คำตอบของใครจะเหมือนเดิม...หรือว่าเปลี่ยนไป ต้นเห็นด้วยกับพี่ไหม"
ต้นพยายามคิดตาม คิดอยู่นานทีเดียวจึงยอมพยักหน้าเห็นด้วย แล้วต่างคนก็ต่างเงียบกันไปสักพัก
"ไปดูหนังกับพี่ไหม" ทินถามขึ้นหลังจากที่ปล่อยให้บรรยากาศเงียบไปนาน
ดูเหมือนต้นจะงงที่อยู่ดีๆ ทินก็เปลี่ยนเรื่องคุย
"ยังไม่ต้องรีบตัดสินใจวันนี้หรอกต้น พี่รู้ว่าต้นต้องการเวลา แต่คราวนี้...อย่านานนักนะต้น ปีนี้พี่เรียนปีสุดท้ายแล้ว ถ้าต้นจะตัดสินใจปีหน้า พี่ก็ไม่อยู่แล้วนะ"
ทินพูดติดตลกในตอนท้าย ทำให้ต้นพลอยยิ้มและขำเบาๆ ตามไปด้วย ทินถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่งที่ต้นเคยรู้จัก ถ้าต้นจะลองคบผู้ชายคนนี้เป็นแฟนดูก็คงไม่น่าจะมีปัญหา ถ้าต้นค่อยๆ ถอนความรักความผูกพันมาจากสน ไม่ช้าก็เร็ว วันหนึ่งสนก็อาจจะเป็นแค่เพื่อนธรรมดาๆ คนหนึ่งของต้นก็ได้ ลองดูสักทีเถอะนะต้น อย่ามัวแต่คิดอีกเลย ไม่มีเวลาให้คิดอีกแล้ว
"ผมว่า...ผมตัดสินใจแล้วล่ะครับพี่ ผมไม่มีเวลาที่จะคิดอีกแล้ว"
ทินยื่นมือมาข้างหน้าต้นพร้อมกับรอยยิ้ม ต้นยื่นมือไปจับกับทินแล้วก็ยิ้มเช่นกัน
"ตกลงว่า...เราเป็นแฟนกันแล้วจริงๆ นะ" ทินถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
ต้นพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ แม้ในใจจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้านต้นก็ไม่อยากปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นที่ต้นเคยรู้สึกมาขัดขวางสิ่งที่ต้นควรทำอีกแล้ว ถ้าต้นตัดใจได้ก็ย่อมดีกับทุกฝ่าย สนก็กลับไปใช้ชีวิตตามที่เขาต้องการ พ่อกับแม่สนก็จะได้มีหลานอย่างที่อยากได้ ต้นก็จะได้เป็นเพื่อนกับสนต่อไปอย่างสนิทใจ ก็มีแค่ต้นเท่านั้นแหละที่ยังไม่รู้จะเจออะไรอีกบ้าง แค่เป็นเกย์แม่ก็รับไม่ได้แล้ว ถ้าจะมีแฟนด้วยก็คงไปกันใหญ่
"ครับพี่"
"ป้ะ...ไปดูหนังกันนะ"
"ครับ"
ต้นไม่ได้รู้สึกแปลกใจนักที่ครั้งนี้เขาไม่ต้องใช้เวลาตัดสินใจนาน อันที่จริง ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาก็มีความสุขกับสนดี เพิ่งจะมีวันนี้นี่เองที่ทำให้ต้นอยู่ดีๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่าต้องพาตัวเองออกมาจากวังวนความรักที่เป็นจริงไม่ได้แบบนี้เสียที เพราะถ้าขืนต้นติดอยู่นานกว่านี้ อืม...จริงๆ มันก็นานเกินไปแล้วล่ะ แต่ถ้าขืนปล่อยไว้ต่อไป ความรักจะกลายเป็นปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของมันดีกว่า
"เรื่องนี้มันเป็นหนังแนวไหนครับพี่ทิน"
"โรแมนติกคอมเมดี้ครับ แต่ว่า...เป็นหนังวายนะ"
"หนังวายคืออะไรเหรอครับ" ต้นถามอย่างพาซื่อ
"นี่ต้นไม่รู้จักหนังวายจริงๆ เหรอ ก็หนังของผู้ชายรักกับผู้ชายไง" ทินพูดเสียงเบาลงตอนท้ายเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน ตอนนี้มีหลายคนยืนเข้าคิวซื้อป๊อบคอร์นอยู่ข้างหน้า ค่อยๆ ทยอยออกไปทีละคนสองคน อีกไม่นานก็คงถึงคิวของทินกับต้น
"อ๋อ...เคยได้ยินอยู่ครับ แต่ไม่ได้สนใจ สงสัยมัวแต่เรียนอย่างเดียว" ต้นพูดพลางหัวเราะ แล้วก็ถามต่อ
"พี่ทินชอบดูหนังวายเหรอครับ"
"อืม...ก็ชอบนะ แต่ก็ไม่มีให้บ่อยเท่าไหร่ แต่ว่า...ตอนหลังๆ นี้ก็เยอะขึ้นนะ ต้นไม่เคยดูเลยเหรอ"
ต้นส่ายหน้า "ไม่เคยดูเลยครับ สนก็พาผมมาดูหนังอยู่เหมือนกัน แต่สนชอบพามาดูหนังแอคชั่น ไม่เคยพามาดูหนังแบบนี้เลย"
"อ้อ ลองดูละกันนะ พี่ว่าต้นต้องชอบแน่ๆ เผื่อจะช่วยให้ต้นได้คิดอะไรกับชีวิตของต้นมากขึ้นด้วยนะ"
ต้นพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ
พอดีถึงคิวซื้อป๊อบคอร์นแล้วจึงหยุดคุยกันชั่วคราว
ต้นกับทินกำลังจะเดินเข้าไปในโรงหนังอยู่พอดีก็ได้ยินเสียงใครบางคนพูดชื่อของต้นขึ้นมาไม่ไกลนัก อาจจะเป็นใครสักคนที่รู้จักกันก็ได้
"พี่สนนั่นใช่พี่ต้นหรือเปล่าคะ"
เมื่อต้นและทินหันไปมองตามเสียงก็เห็นสนมากับนินาและนินอย ดูเหมือนเพิ่งจะมาถึงพอดี
สนหยุดนิ่งยืนมองต้นด้วยสายตาที่บอกไม่ถูกว่าสงสัยหรือไม่พอใจกันแน่ ต้นก็เช่นกัน เขาควรจะรู้สึกอย่างไรที่สนเองก็พานินาและนินอยมาดูหนังโดยที่ไม่ได้บอกต้นมาก่อนเลย
"จะไปทักเขาหน่อยไหมต้น" ทินถามเบาๆ เมื่อเห็นต้นเองก็หยุดนิ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
ต้นพยักหน้า จากนั้นทินก็เดินนำต้นไปหาสนและสองพี่น้อง
"มาดูหนังเหมือนกันเหรอ" ทินถือโอกาสทักเป็นคนแรก
"ค่ะพี่ทิน พี่ทินพาพี่ต้นมาดูหนังเหรอคะ เห็นพี่ต้นรีบออกมาจากบ้าน ตอนแรกบอกว่ามีธุระ ไม่คิดว่าจะมาดูหนังกับพี่ทินซะอีก" นินาเป็นคนตอบเสียเองเมื่อเห็นสนเงียบไป แต่เรื่องที่เธอพูดเมื่อกี้ก็ทำให้ต้นหน้าเสียไปเหมือนกัน นินาอาจจะไม่ได้ตั้งใจหาว่าต้นโกหกว่ามีธุระหรอก เธอก็พูดไปแบบไม่ได้คิดอะไรมากเท่านั้นเอง
"อ๋อ...ใช่ พอดีต้นเขามาปรึกษากับพี่เรื่องวิชาที่เรียนนิดหน่อย เสร็จแล้วพี่ก็เลยชวนต้นมาดูหนังด้วย พอดีต้นเขาอยากดูหนังวาย มันมีอยู่เรื่องนึงกำลังเข้าพอดีพี่ก็เลยพามาดูซะเลย แล้วพวกเรามาดูเรื่องอะไรกันล่ะ"
"จริงเหรอคะ หนังเรื่องอะไรคะ นินาไม่เคยดูเหมือนกัน เห็นเขาว่ามันชอบจบแบบเศร้าๆ นินาไม่ค่อยชอบหนังเศร้าเท่าไหร่ เรื่องนี้จบเศร้าไหมคะ"
"ไม่น่าจะเศร้านะ เป็นแนวโรแมนติกคอมเมดี้" ทินตอบ
นินาได้ฟังแล้วก็ตื่นเต้น "พี่สนว่าเราดูเรื่องนี้ด้วยดีไหมคะ นินาอยากดู" นินาหันไปรบเร้าสนพร้อมกับยิ้มหวาน
"พี่ไม่ชอบ" สั้นๆ แต่ได้ใจความ นินาหน้าเสียไปเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยได้เห็นสนมีสีหน้าเครียดๆ แบบนี้เท่าไหร่
"เหรอ" นินาหน้าม่อยแล้วก็หันไปถามน้องชายแทน "นินอยอยากดูไหม"
"ไม่เอาหรอก นินอยไม่ใช่ตุ๊ดซะหน่อย นินอยอยากดูหนังแอคชั่น ไม่งั้นพี่นินาก็ไปดูกับพี่ต้นดิ ผมไปดูหนังแอคชั่นกับพี่สนสองคนก็ได้"
คำว่า "ตุ๊ด" ที่หลุดจากปากนินอยนั้นทำให้ทินกับต้นสะดุ้งเลยทีเดียว เพราะๆ คำๆ นี้แหละที่ทำให้ชีวิตการเป็นเกย์ยากลำบากกว่าชีวิตของคนทั่วไป แค่ได้ยินก็เห็นภาพกะเทยที่ทำตัวตลกๆ ให้คนหัวเราะขึ้นมาแล้ว นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนควรจะเหมารวมเลย
"ไม่เอาดีกว่า ไปดูกับพี่สนนี่แหละ" นินาเปลี่ยนใจกะทันหันเสียอย่างนั้น
"พี่พาต้นไปดูหนังก่อนนะ กำลังจะฉายแล้ว ไปก่อนนะครับ ดูหนังให้สนุกนะ"
ทินรีบตัดบท พูดจบแล้วก็เอามือกอดคอต้นแล้วก็เดินออกไป ทินทันได้มองเห็นแววตาไม่พอใจของสนอยู่แว่บหนึ่ง แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้ถึงเวลาเล่นเกมส์ที่สนเคยคิดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ถึงสนจะยังไม่อยากเล่นเท่าไหร่ ทินก็คงจะต้องบังคับให้สนเล่นกลายๆ จนกระทั่งต้องกระโดดเข้ามาเล่นเต็มตัวจนได้
ไม่มีใครรู้หรอกว่าจุดแปรผันในชีวิตของเราจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ทุกๆ จุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดจากการตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างของเราเอง บางครั้งการตัดสินใจก็อาจจะใช้เวลานาน บางทีแค่ถูกสะกิดใจนิดเดียวก็ทำให้ตัดสินใจได้แล้ว แต่ก็ไม่มีใครมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซนต์หรอกว่าทุกครั้งที่ตัดสินใจเลือกนั้น เราเลือกได้ถูกต้องหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็ต้องรับผิดชอบกับผลที่จะเกิดขึ้นจากการเลือกของเรา ไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม
TBC