▓ ▒ ░ ต้น-สน∞ปาฏิหาริย์รักที่รอคอย ░ ▒ ▓CHAPTER 22: กลับคืนสู่ความเป็นเพื่อน
หลังจากหมดวิชาช่วงเช้าและกินข้าวกลางวันแล้วต้นก็ออกมารอรถกลับบ้าน ระหว่างที่รอก็ไล่ดูเบอร์โทรศัพท์มือถือเพื่อหาเบอร์คนๆ หนึ่งอยู่หลายรอบ ต้นจำได้ว่าเซฟไว้แล้วแต่จำชื่อไม่ได้เนื่องจากไม่ได้เจอกันนาน แถมยังเจอกันแค่ครั้งเดียว จำได้แค่ว่าเป็นช่างถ่ายรูปแค่นั้นเอง แต่ในที่สุดก็ไม่เกินความพยายามของต้น เมื่อเจอชื่อที่คิดว่าใช่แล้วต้นก็กดโทรออกไป
"สวัสดีครับพี่กริด จำต้นได้ไหมครับ" ต้นกรอกเสียงลงไปเมื่ออีกฝ่ายรับสาย
"ต้น...อ้อ...ใช่คนที่เราเคยเจอกันตอนงานแต่งงานอาจารย์บอสหรือเปล่าครับ"
"ใช่ครับพี่ พี่กริดสบายดีนะครับ ไม่ได้เจอกันนานเลย"
"สบายดีครับ แล้วต้นล่ะ"
"ก็...สบายดีครับพี่"
"อยู่ปีไหนแล้วปีนี้"
"ปีสามแล้วครับพี่"
"อีกปีเดียวก็จบแล้ว ไวมากเลย พี่เจอกับเรามื่อตอนอยู่ปีสอง ก็ปีกว่าๆ เองนะ ว่าแต่...วันนี้โทรหาพี่มีอะไรให้พี่รับใช้ครับ"
"โห...ไม่ขนาดนั้นหรอกครับพี่ ผมจะถามพี่ว่าปกติพี่ถ่ายภาพนิ่งอย่างเดียวหรือว่าถ่ายวิดีโอด้วยครับ"
"ได้สองอย่างเลย ต้นมีงานให้พี่ช่วยหรือเปล่า"
"ครับ พอดีว่าตอนนี้ต้นมาช่วยงานที่ชมรมเพื่อนผู้พิการกับอาจารย์อัศวิณีครับ พี่กริดรู้จักไหมครับ"
"อืม...เหมือนเคยได้ยินชื่อนะ"
"อาจารย์อยู่คณะวิจิตรศิลป์ครับพี่ พอดีอาจารย์อยากได้คนมาช่วยทำวิดีโอประชาสัมพันธ์กิจกรรมของชมรม ตอนนี้เรามีนักศึกษาพิการที่เป็นตัวอย่างหลายคนที่เราอยากจะถ่ายทำชีวิตมาเผยแพร่ครับ เผื่อว่าจะเป็นกำลังใจให้คนพิการคนอื่นๆ ออกมาเรียนหนังสือกันมากขึ้น แล้วก็ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษาทั่วๆ ไปด้วยครับพี่ แต่ว่าเน้นให้ดูสนุก มีชีวิตชีวา ไม่เศร้านะครับ ไม่รู้ว่าพี่จะสนใจไหม งบไม่เยอะเท่าไหร่นะครับพี่"
"สนใจครับ พี่สนใจมากเลย ว่าแต่...จะเริ่มทำเมื่อไหร่ครับต้น"
"ตอนนี้เพิ่งประชุมหารือกันอยู่ครับพี่ ว่าจะเริ่มทำสตอรี่บอร์ดก็คงประมาณเดือนหน้า พี่พอทำได้ไหมครับ"
"ได้ๆ ไม่ยากหรอก อืม...ว่าแต่...เรานัดคุยกันหน่อยดีไหม พี่อยากคุยรายละเอียดเพิ่มเติมอีกหน่อย เดี๋ยวอีกสักสองสามนาทีพี่ต้องออกไปทำธุระแล้ว"
"อ้อ ได้ครับพี่ พี่อยู่ที่ไหนครับ อยู่ที่เชียงใหม่หรือเปล่า"
"ครับ พี่อยู่เชียงใหม่นี่แหละครับ ก็รับจ๊อบงานถ่ายภาพถ่ายวิดีโอกับเพื่อนๆ ในกลุ่มนี่แหละครับ"
"อ้อ ดีเลยครับ ยังไงผมจะขอคุยกับอาจารย์อีกทีก่อนนะครับ เผื่อพี่จะได้มาคุยกับอาจารย์ด้วยกันเลย"
"ครับต้น ถ้าต้นได้วันแล้วบอกพี่นะ พี่จะได้จัดเวลาให้"
"ได้ครับพี่ ขอบคุณพี่มากครับ"
"ไม่เป็นไรครับต้น ยินดีครับ อ้อ...แล้วเนื้อคู่ต้นล่ะ เป็นไงบ้าง" สรกฤษณ์ถามปนขำ เขาจำเหตุการณ์นั้นได้ดีเลยเพราะเนื้อคู่ชาย-ชายของต้นกับสนนี่แหละ
"เนื้อคู่อะไรครับพี่" ต้นงง
"จำไม่ได้เหรอ พี่ยังจำได้เลย พี่ถ่ายรูปต้นกับเนื้อคู่ไว้ด้วยนะ เดี๋ยวเจอกันแล้วพี่จะเอาให้ดู"
"อ๋อ..." ต้นจำได้แล้ว ในงานแต่งงานวันนั้นสนกับต้นได้ของชำร่วยที่มีหัวใจสีแดงเหมือนกันก็เลยกลายเป็นเนื้อคู่กันในงานนั้น
"เขาสบายดีครับ แต่ไม่มีอะไรหรอกครับพี่ เป็นเพื่อนกันครับ"
"เหรอ...แต่แปลกดีนะ อยู่ดีๆ ก็ได้หัวใจสีแดงเหมือนกัน"
"ครับ" ต้นพูดสั้นๆ แค่นั้น พูดถึงสนทีไรต้นก็ยากที่จะทำใจทุกที เมื่อคืนต้นร้องไห้หนักมาก ดีที่ว่าวันนี้ยังพาตัวเองมาเรียนได้
"แค่นี้ก่อนนะต้น พี่ต้องไปแล้ว เอาไว้เจอกันวันหลังครับ"
"ครับพี่กริด โชคดีครับพี่"
ต้นกลับมาถึงที่บ้านพักในตอนบ่ายเศษๆ เพราะวันนี้มีเรียนแค่ตอนเช้า รู้สึกแปลกใจที่เห็นรองเท้าของสนยังคงอยู่บนที่วางรองเท้าเหมือนเดิม สงสัยสนคงจะมีเรียนตอนบ่ายกระมัง แต่ว่าทำไมจนป่านนี้ยังไม่ออกไปอีกเพราะนี่ก็เลยบ่ายไปแล้ว
สนเป็นอะไรหรือเปล่านะถึงไม่ยอมไปเรียน แม้ว่าจะเพิ่งผ่านพ้นเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดมาหยกๆ ต้นก็คงไม่ถึงกับจะไม่ดูดำดูดีเพื่อนขนาดนั้นหรอก ใจจริงก็ยังเป็นห่วงอยู่เสมอ
ต้นมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องสน คิดอยู่สักพักก็ตัดสินใจเคาะประตูห้อง ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนเดินมาที่ประตูก่อนที่ประตูจะเปิดออก สนอยู่ในสภาพใส่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว ไม่ใส่เสื้อ ผมเผ้าดูยุ่งๆ หน้าตาดูอิดโรยมากทีเดียว
พอเห็นว่าใครมาสนก็ดีใจจนอยากจะกอดคนตรงหน้าไว้ แต่ก็สงวนท่าทีไว้ด้วยการยิ้มเล็กน้อยเพราะต่างคนต่างก็บาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่
"ไม่ไปเรียนเหรอวันนี้"
สนส่ายหน้า
"มีอะไรหรือเปล่า"
ดูเหมือนต่างคนต่างทำสีหน้าไม่ถูก ความบาดหมางที่เพิ่งเกิดขึ้นทำให้ต้นกับสนยังไม่สามารถพูดคุยกันได้สนิทใจเหมือนเดิม
สนเงียบ มองหน้าต้นด้วยแววตาเศร้าๆ เหมือนกับเด็กน้อย
"ไม่สบายเหรอ" ต้นถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นห่วง
สนพยักหน้า ต้นใช้มือแตะหน้าผากของสนก็พบว่าสนตัวร้อนพอสมควร สัมผัสที่แผ่วเบาและแฝงไปด้วยความห่วงใยนั้นทำให้สนอดน้ำตาซึมไม่ได้ เขานึกว่าต้นจะไม่ห่วงเขาเสียแล้ว สนนอนซมไม่สบายตั้งแต่เช้า ไม่มีใครมาดูแลเลย
"แล้วนายกินข้าว กินยาหรือยัง"
สนส่ายหน้า
"ในครัวไม่มีอะไรเหลือให้กินเลยเหรอ"
สนส่ายหน้าอีก ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้นก็คงขำที่สนทำแบบนี้ ต้นรู้จักสนดี เวลาไม่สบายสนชอบเป็นคนขี้อ้อน ต้นจำได้ว่าครั้งหนึ่งสนเคยอ้อนต้นให้มานอนเป็นเพื่อนทั้งที่แค่เป็นหวัด สนขู่ว่าถ้าต้นไม่มาดูแล เกิดสนเป็นอะไรไปต้นจะไม่มีเพื่อนดีๆ อย่างสนอีกแล้วนะ ต้นจึงต้องมานอนเป็นเพื่อนจนติดหวัดไปด้วยกัน สนโดนพ่อกับแม่ดุใหญ่เลยที่ทำให้เพื่อนพลอยไม่สบายไปด้วย แต่ต้นก็ไม่เคยบ่นสักคำ
"ไม่มีใครดูแลเราเลย"
นึกแล้วเชียว ทำน้ำเสียงน่าสงสารอย่างนี้แสดงว่ากำลังจะอ้อนต้นอีกแน่ มันไม่ใช่เวลานี้นะสน จิตใจต้นยังไม่พร้อมที่จะเล่นกับสนเลย
"ไม่ให้คู่หมั้นมาดูแลล่ะ" ต้นอดจะเหน็บไปหน่อยไม่ได้
สนเงียบไปทันที แค่พูดถึงนินาขึ้นมาสนก็ปวดหัวแล้ว เมื่อกี้ก็โทรมาแต่สนไม่รับสาย
"เดี๋ยวเราออกไปซื้อข้าวกับยาให้นายก่อนละกัน รอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวเรามา"
สนพยักหน้า เหมือนอยากจะยิ้มแต่ก็ไม่กล้ายิ้ม
ต้นออกไปไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับก๋วยเตี๋ยวเนื้อขึ้นชื่อที่อยู่ใกล้ๆ แถวนี้พอดี วันนี้เป็นวันธรรมดา ลูกค้าไม่ค่อยเยอะต้นจึงไม่ต้องรอนานมาก
สนเดินลงมาจากห้องในสภาพเดิมแล้วก็มานั่งรอกินข้าวอยู่ที่โต๊ะกลางบ้าน ต้นหยิบชาม ช้อนและตะเกียบออกมาจากครัวแล้วก็เอามาวางให้สน เห็นสนนั่งมองเฉยๆ ต้นก็พอรู้ว่าสนอยากให้แกะให้นั่นเอง ก็เลยต้องบริการเขาหน่อย นี่ถ้าต้นเป็นผู้หญิงใครๆ ก็คงคิดว่าต้นเป็นเมียสนแน่ๆ
"ปรุงเอาเองนะ"
ต้นบอกแล้วก็เดินมานั่งฝั่งตรงข้าม มองดูสนแกะถุงเครื่องปรุงแล้วก็อดที่จะแอบยิ้มไม่ได้ เรื่องราวความผูกพันของเขากับสนมีหลายเรื่อง เอาแค่เรื่องที่สนไม่สบายแล้วต้นต้องมาคอยดูแลก็มีนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
"ทำไมไม่ใส่เสื้อล่ะ" ต้นถามเมื่อสนกินก๋วยเตี๋ยวไปได้สักพัก
"มันร้อน"
ต้นพยักหน้าเข้าใจ ท่าทางเหมือนเด็กทำให้ต้นแทบจะกลั้นยิ้มไม่ไหว แล้วสนก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ กินไปสักพักก็เงยหน้าขึ้นมาอีก
"เช็ดตัวให้ได้ไหม"
นั่นไง ทำตาปริบๆ ลูกอ้อนของสนค่อยๆ มาทีละลูกสองลูกแล้ว
ต้นพยักหน้าแต่ก็พยายามไม่ยิ้มมาก ความจริงสนก็ทำเองได้ แต่ก็เคยตัวเพราะมีต้นคอยทำให้ตลอด ถ้าต้นไม่อยู่สนก็จะนอนซมอยู่อย่างนั้นไม่ยอมเช็ดเนื้อเช็ดตัว รอจนกว่าต้นจะกลับมานั่นแหละ บางวันแม่ของสนต้องไปตามต้นถึงที่บ้านให้มาช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เพราะสนไม่ยอมท่าเดียว เพราะผูกพันกันมากอย่างนี้นี่เองถึงได้เผลอใจรักกันโดยไม่รู้ตัว
"กินข้าวก่อน แล้วก็กินยา เดี๋ยวเราจะเช็ดตัวให้"
สนยิ้มด้วยความพอใจ ถ้าต้นไม่คิดมากไป สนก็เป็นเพื่อนที่ดีและน่ารักมาตลอด บางทีการกลับคืนสู่ความเป็นเพื่อนกันก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้ ต้นจะปั้นปึงหรือโกรธเพื่อนไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น เผลอๆ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้นานไปก็อาจจะพลอยสูญเสียความเป็นเพื่อนไปด้วย ยังไงๆ ต้นกับสนก็เริ่มต้นมาด้วยความเป็นเพื่อนที่ดี มันคือจุดเริ่มต้นของคนสองคนที่ทำให้เกิดมิตรภาพที่สวยงามตลอดมา
ต้นให้เพื่อนกินยาแล้วก็เอาชามไปเก็บในครัวให้ ส่วนสนก็เดินขึ้นไปรอบนห้องนอนของตัวเอง ต้นหาชามพลาสติกใบใหญ่ใส่น้ำแล้วก็ตามขึ้นไป เด็กชายสนนั่งรออยู่ตรงขอบเตียงพอดี
"มีผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ไหม" ต้นถามพลางวางชามใส่น้ำลงบนโต๊ะทำงานของสน
"เราตากไว้หลังบ้านน่ะ"
"เดี๋ยวเราลงไปเอาแป๊บนึงนะ"
ต้นบอกแล้วก็เดินลิ่วลงมาที่ชั้นล่าง ก่อนที่จะตรงไปหลังบ้าน หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่ตากไว้แล้วก็เดินกลับขึ้นมาที่ห้องสนอีกครั้ง
ต้นเอาผ้าขนหนูชุบน้ำที่อยู่ในชามบนโต๊ะทำงานของสน บิดหมาดๆ แล้วก็ยืนหันรีหันขวาง
"วางบนพื้นก็ได้ เราไม่ถือหรอก" สนรีบบอกเพราะรู้ว่าต้นกำลังมองหาที่วางชามใส่น้ำอยู่นั่นเอง
ต้นจึงยกชามใส่น้ำมาวางบนพื้นห้อง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เช็ดตัวให้สน เริ่มจากใบหน้า ลำคอ ลำตัว แขนและหลัง คนที่ได้รับบริการนั่งยิ้มอยู่เงียบๆ คอยจ้องมองทุกกิริยาของคนให้บริการไม่วางตา บางทีสนก็อดคิดไม่ได้ว่าต้นกับสนจะมีความสุขมากแค่ไหนนะถ้าได้อยู่ดูแลกัน เป็นคู่ชีวิตกันไปแบบนี้ แต่ก็คงทำได้แค่คิด
สนไม่อยากจะเชื่อเลย แค่การผิดนัดกันครั้งเดียววันนั้นจะทำให้เกิดโชคชะตาที่พลิกผันขนาดนี้ ถ้าวันนั้นสนไม่น้อยใจเรื่องที่ต้นมีอะไรกับพี่ทิน ไม่น้อยใจที่ต้นไปหาพี่ทินในเย็นวันนั้น สนก็คงไม่ฟุ้งซ่านจนต้องออกไปขายของกับนินาจนเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิด ไม่อย่างนั้นสิ่งที่วาดฝันไว้ก็คงเป็นจริงไปแล้ว แต่มันก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะคิด เรื่องมันเกิดขึ้นและผ่านไปแล้ว ย้อนกลับไปแก้ไขอีกไม่ได้
ต้นนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าสน เอาผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำอีกครั้ง บิดหมาดๆ แล้วก็ค่อยๆ เช็ดขาให้เพื่อนจนสะอาดหมดจดทั้งสองข้าง
"เมื่อกี้ไม่ได้แอบดูของเราใช่ไหม"
สนพูดพลางเอามือมาปิดไว้ตรงเป้ากางเกงเป็นเชิงล้อเล่น เขาอยากให้ต้นหัวเราะนั่นเอง แล้วก็ได้ผล ต้นหัวเราะเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้สนเห็นว่าความหมางเมินได้หายไปมากแล้ว
"จะยิ้มก็ยิ้มเยอะๆ สิ ยิ้มให้เราหน่อยสิต้น เราอยากเห็นนายยิ้ม เราอยากเห็นต้นคนเดิมที่เราเคยรู้จัก นายจะไม่ให้อภัยเราอีกแล้วเหรอต้น"
ปากบอกให้คนอื่นยิ้ม แต่ตัวเองกลับทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้
"นายจะโกรธเราไปอีกนานแค่ไหนต้น"
ต้นเงยหน้ามองหน้าเพื่อน เห็นสนน้ำตาซึมๆ แล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้
"เรารู้นะว่าเราทำพลาดไป แต่เราไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น เราไม่ได้ตั้งใจนะต้น นายรู้ไหม...ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราจะไม่ให้มันเกิดเรื่องนี้ขึ้นเด็ดขาด เราไม่เข้าใจเลย เราไม่เคยทำอะไรไม่ดี เราตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงานหาเงินช่วยพ่อแม่ ไม่เคยคิดจะทำร้ายใคร แล้วทำไมมันจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับเราด้วย"
ต้นได้แต่รับฟัง ไม่ปริปากพูดคำใดออกไป ก็จริงอย่างที่สนพูด สนทำตัวดีมาตลอด ช่วยพ่อแม่ทำงาน เป็นลูกที่ดี เป็นเพื่อนที่ดีของต้นตลอดมา ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางไปไหน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความต้องการของสนที่อยากให้มันเกิดขึ้นหรอกหรือ ตบมือข้างเดียวมันคงไม่ดังหรอกนะ
"เรารู้ว่าเราทำให้นายเสียใจมาก แต่นายรู้ไหมต้น เราก็เสียใจมากไม่น้อยไปกว่านายเลย"
สนร้องไห้อีกแล้ว คิดถึงทีไรก็อดน้อยใจโชคชะตาชีวิตไม่ได้ ทำไมเขาถึงต้องสูญเสียคนที่รักไปทั้งๆ ที่เขาก็รักและทะนุถนอมมาเป็นอย่างดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา สนก็ได้แต่หวังว่าการที่โชคชะตาเล่นตลกกับเขาในคราวนี้ จะช่วยให้สนได้พบทางออกใหม่ของชีวิตที่ดีกว่าในวันข้างหน้า ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว สนก็คงจะไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าความยุติธรรมสำหรับคนที่ทำแต่สิ่งดีๆ อย่างเขาตลอดมาคืออะไร
ต้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืน พอได้ฟังก็พอเข้าใจล่ะแล้วว่าสนไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย มันคงมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นในวันนั้นที่ต้นยังไม่รู้
"นายไม่ได้ทำเพราะนายรักนินาเหรอ"
สนหันหน้าหนีไปทางอื่น แค่ได้ยินชื่อนี้สนก็แสลงใจทุกครั้ง
"นายอยู่กับเรามาตั้งหลายปี นายก็น่าจะรู้จักเรานะต้น คนที่เรารักเป็นใครนายก็น่าจะรู้ แต่ช่างมันเถอะ มันพลาดไปแล้วเราก็ต้องรับผิดชอบ ส่วนนาย...จะไม่ให้อภัยเราก็ไม่เป็นไร เราเข้าใจว่าเราทำให้นายเสียใจมาก แต่เราก็แค่อยากให้นายรู้ว่าเราก็เสียใจมากพอๆ กับนาย"
สนล้มตัวลงนอนบนเตียง รู้สึกรำคาญตัวเองที่ปล่อยให้จิตใจอ่อนแอแบบนี้มาหลายวันแล้ว อาการของคนป่วยที่อยากอ้อนให้ใครสักคนมาคอยดูแลหายไปดื้อๆ สนพยายามจะเล่น อยากทำให้ต้นยิ้มและหัวเราะ อยากทำให้ต้นคนเดิมกลับมา แต่อารมณ์สะเทือนใจเมื่อครู่นี้กลับปะทุขึ้นมาจนเสียบรรยากาศ
"นายนอนพักก่อนนะสน จะได้หายไวๆ เดี๋ยวเราอยู่เป็นเพื่อนนะ"
ได้ยินต้นพูดแค่นั้นสนก็รีบลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วเดินมากอดต้นไว้ เขารู้ว่าต้นคงให้อภัยเขาแล้วถึงได้พูดคล้ายๆ เมื่อตอนเป็นเด็กเวลาที่สนไม่สบาย
"แค่ความเป็นเพื่อนก็ได้นะต้น แค่เพื่อนก็ได้ นายไม่ต้องรักเราแบบนั้น ให้อภัยเราเถอะนะต้น ขอแค่เราสองคนกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก็พอ ชีวิตเรามีแค่นายคนเดียวมาตลอด ถ้านายไม่ให้อภัยเรา เราก็ไม่มีใครแล้วนะต้น"
ต้นกอดเพื่อนตอบ พยายามสูดหายใจลึกๆ เพื่อกลั้นน้ำตา แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ได้แต่ปล่อยให้มันไหลลงมา
"เราอย่าซ้ำเติมกันเองอีกเลยนะต้น เรารู้ว่านายเจ็บ เราเองก็เจ็บไม่ต่างจากนาย ยังไงเราสองคนก็ผูกพันกัน ยังไงก็ต้องเจอกัน ตัดกันไม่ขาดหรอก"
ต้นพยักหน้าเห็นด้วย สนปล่อยต้นออกจากอ้อมแขนแล้วมองหน้ากัน
"เราก็ไม่รู้ว่าเราจะทำได้แค่ไหน แต่เราจะพยายามนะสน เราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม เหมือนที่เราเคยเป็น เหมือนตอนที่เราเป็นเด็ก"
"ขอบคุณมากต้น ขอบคุณที่นายให้อภัยเรา" สนพยายามยิ้มแม้ว่ามันจะยังยากอยู่ก็ตามที
"เราก็เหมือนนายแหละสน ชีวิตเราก็มีนายคนเดียวมาตลอด ถ้าไม่มีนาย...เราก็ไม่มีใคร"
ไม่ใช่ว่าต้นกับสนไม่มีเพื่อนคนอื่นหรือมีปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์จึงต้องคบกันอยู่แค่สองคน แต่เมื่อกลับบ้านหรือมีเวลาส่วนตัว ต้นกับสนก็มีความสนิทสนมกันมากพอที่จะให้อีกฝ่ายเข้ามาในเวลาและพื้นที่ส่วนตัวของแต่ละคน แล้วก็มีกันแค่สองคนแบบนี้ตลอดมา ว่ากันว่าใครก็ตามที่เรายอมให้เข้ามาในเวลาและชีวิตส่วนตัวของเราได้ คนนั้นแหละที่เหมาะจะเป็นคู่ชีวิตของเรา
สนใช้มือลูบผมเพื่อนอย่างแผ่วเบาและรักใคร่ นึกว่าต้นจะโกรธจนสนคงไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้อีกแล้วเสียอีก
"ถ้างั้น...นายยิ้มให้เราหน่อยได้ไหม เราอยากเห็นนายยิ้ม ไม่อยากให้นายเศร้าแบบนี้"
"จะให้ยิ้มยังไงล่ะ ก็คนร้องไห้อยู่ ให้เราหยุดร้องไห้ก่อนสิ" ต้นต่อว่า สนก็เลยหัวเราะและยิ้มทั้งน้ำตาเช่นเดียวกัน
"นั่นไง ยิ้มแล้ว"
ใช่ ต้นยิ้มได้อย่างสนิทใจแล้ว แม้จะเป็นยิ้มทั้งน้ำตาแต่สนก็รับรู้ได้ว่าต้นที่เขาเคยรู้จักกลับมาแล้ว ถ้าความรักอย่างคนรักมันลำบากขนาดนั้น กลับมาเป็นเพื่อนกันตอนนี้ก็ยังทัน มิตรภาพอย่างเพื่อนนี่แหละที่ทำให้ต้นกับสนคบหากันมาได้ยาวนาน เมื่อเส้นทางความรักถึงทางตัน ต้นกับสนก็ยังโชคดีที่ยังเหลืออีกเส้นทางหนึ่งให้เลือกเดินไปด้วยกัน นั่นก็คือเส้นทางของความเป็นเพื่อน ทางสายเก่าที่ต้นและสนคุ้นเคยดี
"เรารู้ทันนะ ทีนี้คนป่วยก็จะแกล้งอ้อนเราใหญ่เลยใช่ไหมล่ะ"
สนหัวเราะชอบใจที่ต้นรู้ทัน เห็นสนยิ้มและหัวเราะอย่างนี้ได้อีกครั้งต้นก็ดีใจ
"เดี๋ยวเย็นนี้ มาเช็ดตัวให้เราอีกนะ แล้วเราก็อยากกินโจ๊กหมูใส่ไข่ เรารู้ว่านายทำไม่เป็นหรอก ไปซื้อมาให้เราก็ได้ อ้อ...คืนนี้...ต้องมานอนเป็นเพื่อนเราด้วยนะ"
"แล้วถ้าเราติดหวัดจากนาย เราจะโทรไปฟ้องแม่นายเลยคอยดูสิ เดี๋ยวนายจะโดนแม่ด่า"
สนหัวเราะพร้อมกับยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
"เรา...โคตรรักนายเลยว่ะต้น" สนทำท่าจะร้องไห้อีกแล้ว
"อืม...เราก็โคตรรักนายเหมือนกัน พอเถอะ เดี๋ยวร้องไห้อีก ไปนอนได้แล้ว"
ต้นบอกพลางใช้มือพลิกไหล่สนให้หันหน้าไป จากนั้นก็ดันสนให้เดินกลับไปที่เตียงนอน
ความสัมพันธ์นี้ยากเกินจะตัดให้ขาด เพียงแค่ต้นกับสนยอมเปิดใจคุยกัน สุดท้ายมันก็กลับมาเหมือนเดิมได้ไม่ยาก แต่ในใจนี่สิใครจะรู้ ปากก็บอกว่าจะกลับมาเป็นเพื่อนกัน แต่ใจจริงๆ ของแต่ละคนจะทำได้อย่างนั้นหรือเปล่าก็ยังไม่มีใครแน่ใจเลยสักคน
แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะรักกันแบบไหนมันก็คือความรัก ขอแค่ให้มีพื้นที่ให้ความรักได้แสดงตัวตนบ้าง ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ยังดีกว่าไม่มีพื้นที่ให้ความรักอยู่เลย เราต้องเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ จนกว่าจะถึงวันหนึ่งที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงมันให้ดีกว่านี้ได้ จะนานแค่ไหนก็ขอให้ต้นกับสนอดทนไว้จนกว่าจะถึงวันนั้น
ก่อนจะนอนหลับไปในคืนนี้ ต้นเหลืออีกหนึ่งอย่างที่สำคัญที่เขาอยากจะบอกกับสนไว้ ต้นเอื้อมมือไปแตะตัวสนที่เหมือนกำลังจะหลับไปเพราะฤทธิ์ยาอย่างเบามือ สนพลิกตัวหันหน้ามาประจัญกับต้น แม้จะง่วง แม้ความมืดจะทำให้สนเห็นต้นได้ไม่ชัดนัก แต่สนก็จำสิ่งที่ต้นจะพูดต่อไปนี้ได้อย่างแม่นยำ
"สน...เราอยากให้นายจำเอาไว้อย่างหนึ่งนะ เราจะเก็บรักแรกของเราไว้ให้นาย มันจะไม่หายไปไหน วันไหนที่นายต้องการ นายกลับมาเอามันไปได้ตลอดเวลาเลยนะ"
สนพยักหน้าและยิ้มอย่างมีความหมาย ถ้าหากว่าความดีงามทั้งหมดที่สนเคยทำมาจะพอช่วยอะไรสนได้บ้าง สนก็อยากขอให้เขาได้มีโอกาสกลับมาหารักแรกที่ต้นเก็บไว้ให้เขาอีกสักครั้ง ไม่ว่ามันจะนานแค่ไหน สนก็จะรอวันนั้น
"เราก็จะเก็บของเราไว้ให้นายเหมือนกันนะต้น เราเชื่อ...สักวันหนึ่งมันจะต้องมีปาฏิหาริย์"
จนถึงวันนี้ สนได้มองเห็นรักแท้ที่ต้นมีให้เขาเสมอมาอย่างชัดเจน ต้นได้พิสูจน์ความมั่นคงในรักแท้ผ่านวันเวลาและความยากลำบากมากมาย สนไม่มีความสงสัยใดๆ ในความรักของต้นอีกเลย ความดีและรักแท้ของต้นจึงผูกมัดสนไว้จนไม่อาจจะไปไหนได้ ต่อให้มีเหตุต้องไป วันหนึ่งสนก็จะต้องกลับมาสู่รักแท้ของเขาจนได้ แต่ ณ เวลานี้ ก็คงจะมีแต่ปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะทำให้ความรักของต้นและสนเป็นจริง ในวันที่ปาฏิหาริย์ที่รอคอยยังไม่เกิดขึ้น ต้นกับสนก็เพียงแค่คืนกลับมาสู่ความเป็นเพื่อนกัน จนกว่าปาฏิหาริย์ที่รอคอยจะกลับมา

ถ้าถามใจตัวเองตรงๆ ว่าต้นยังรักสนอยู่ไหม ต้นก็คงตอบว่ารัก เจ็บแค่ไหนต้นก็ยังรักของต้นอยู่เหมือนเดิม ที่ผ่านมา ต้นเคยคิดว่าถ้าต้นทำดีกับใครสักคนหนึ่งมากพอ คนๆ นั้นที่ต้นรักก็น่าจะรักต้นได้ แต่ชีวิตไม่เหมือนกับหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง ปัจจัยและตัวแปรในชีวิตมีมากมายที่จะทำให้ผลลัพธ์ที่คาดหวังไว้แตกต่างออกไป ต่อให้คนๆ นั้นรักตอบกลับมา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะลงเอยด้วยการอยู่เคียงข้างกันเสมอไป
ไม่น่าเชื่อว่ารักแรกของต้นจะอยู่กับชีวิตของต้นมาได้ยาวนานขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่น เจ็บขนาดนี้คงทิ้งความรักไปแล้ว แต่ต้นก็ไม่เคยทิ้งไป และไม่เคยคิดว่าจะต้องทิ้งไป
ต้นมาคิดๆ ดูแล้ว แม้ว่าต้นจะเจ็บแค่ไหน ต้นก็เชื่อมั่นในรักแท้ และต้นก็มั่นใจว่ารักแรกของต้นคือรักแท้ที่ต้นได้ค้นพบแล้ว มันอาจจะดูเหมือนว่าต้นไม่รักตัวเองที่ปล่อยให้หัวใจเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากคนที่ตัวเองรัก แต่ถ้าต้นใจเสาะยอมแพ้ง่ายๆ ต้นก็คงจะไม่สามารถบอกใครได้เลยว่าความรักของต้นเป็นรักแท้ อย่างน้อยวันนี้ต้นก็พิสูจน์ให้สนได้เห็นชัดเจนแล้วว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความรักของต้นยังเหมือนเดิมเสมอ
ถ้าใครสักคนถามสนว่าใครบ้างที่มีรักแท้ให้สน ต้นจะเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน จะว่าไปต้นก็เป็นเพียงหนึ่งเดียวด้วยซ้ำ ถ้าต้นไม่พิสูจน์เรื่องนี้ให้สนเห็น ต้นก็จะเป็นแค่คนๆ หนึ่งที่เคยบอกว่ารักสน พอเจอปัญหานิดหน่อยก็จากไป ถึงตอนนี้จะมาอ้างว่ามีรักแท้ก็คงไม่มีใครเชื่อ ต้นขอบคุณตัวเองที่ไม่ถอดใจไปเสียก่อน วันนี้ต้นจึงกล้ายืดอกพูดได้อย่างเต็มปากว่าเขามีรักแท้ให้กับเพื่อนคนนี้
แม้ว่าจะดูเหมือนคนโง่ๆ คนหนึ่ง แต่ต้นก็ดีใจที่ได้พิสูจน์ความรักที่มั่นคงของตัวเองตลอดมา ต่อให้เดินมาถึงทางตัน แต่ความรักของต้นก็ยังคงมีทางไป รักแรก รักแท้และรักเดียวของต้นจะไม่จากต้นไปไหน ต้นจะเก็บมันไว้ เผื่อสักวันหนึ่งคนที่ต้นรักอาจจะต้องการมัน"เป็นไงต้น ทำไมมานั่งคนเดียวตรงนี้ล่ะ พี่ตามหาทั่วคณะเลย"
ทินพูดพลางนั่งลงข้างๆ คนที่นั่งถือหนังสือแล้วก็เหม่อลอยเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ในมุมเงียบๆ ในห้องสมุด
ต้นสะดุ้งเล็กน้อย แต่พอรู้ว่าใครมาหาก็ยิ้ม
"คิดอะไรอยู่เหรอ"
"อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอกครับ" ต้นวางหนังสือลงแก้เขินเมื่อรู้ว่าถือไว้นานแล้วแต่ไม่ได้อ่านเพราะมัวแต่เหม่อลอยอยู่
"แล้วนี่ต้นโอเคหรือยัง"
ต้นขมวดคิ้ว"โอเคเรื่องอะไรเหรอครับ"
"ก็...เรื่องที่สนมีคู่หมั้นแบบสายฟ้าแล่บไง"
ต้นพยักหน้ายิ้มๆ
"ผมว่า...อย่างน้อยผมกับสนก็ยังโชคดีนะครับพี่ทิน ถึงรักกันไม่ได้ แต่เราก็เป็นเพื่อนรักกันได้"
"ก็ดีแล้ว ความรักอย่างเพื่อนเป็นความรักที่บริสุทธิ์นะ ต้นโชคดีรู้ไหมที่มีเพื่อนดีๆ อย่างสน"
ต้นพยักหน้าเห็นด้วย แต่เมื่อแว่บคิดถึงเรื่องที่สนเข้าใจผิดว่าต้นมีอะไรกับทิน ต้นก็อดสงสัยผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ นี้ไม่ได้ ทินพูดอะไรกับสนหรือเปล่า ทำไมทินไม่บอกต้นเลย
"ครับพี่ทิน" ต้นหยุดเว้นจังหวะพร้อมกับครุ่นคิด "เอ่อ...พี่ทินครับ ผมมีเรื่องอยากจะถามพี่ทินน่ะครับ"
"อะไรเหรอ"
ทินเขยิบเข้ามานั่งใกล้จนชิดกับต้น ต้นเอนตัวออกห่างเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
"อืม...จะพูดยังไงดีล่ะครับ"
"ก็พูดอย่างที่ต้นอยากพูดไง พี่ฟังได้หมดแหละ เราเป็นแฟนกันแล้วนะต้น ไม่เห็นต้องปิดบังกันเลย"
ทินยิ้มตาหยีดูน่าเอ็นดู
"ครับ" แม้จะบอกอย่างนั้นแต่ก็ยังลังเลอยู่ดี
"ว่ามาสิ จะถามอะไรพี่ก็ถามเลย ถ้าตอบได้พี่จะตอบ"
ต้นครุ่นคิดอยู่สักพัก ในเมื่อเกริ่นไปอย่างนั้นแล้ว ต้นก็คงต้องต่อให้จบ
"คือ...สนเขาเข้าใจผิดว่าผมกับพี่ทิน...มีอะไรกันแล้ว"
ทินทำหน้าตกใจ
"จริงเหรอ ทำไมเขาคิดอย่างงั้นล่ะ"
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ พี่ทิน...ได้คุยอะไรกับสนเรื่องนี้ไหมครับ" ต้นถามอย่างเกรงๆ เพราะกลัวจะทำให้ทินไม่พอใจ
วันนั้นต้นกลับมาจากทำงานที่คอนโดทินประมาณสองทุ่มกว่าๆ นิกกันปั้นจั่นบอกต้นว่าสนออกไปขายของแล้ว แต่ก่อนไปสนได้พูดกับนิกและปั้นจั่นว่า "พี่ทินของพวกมึงย่ำยีหัวใจกูรู้ไหม"
ต้นอดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องนี้หรือเปล่าที่เป็นสาเหตุให้สนน้อยใจต้นจนต้องออกไปจากบ้านในคืนนั้น คืนที่ทำให้ความรักของเขากับสนมีอันต้องหมดหนทางไป
ทำไมสนถึงได้พูดด้วยความมั่นใจอย่างนั้นว่าต้นมีอะไรกับพี่ทินไปแล้ว ต้นไม่รู้สึกว่าสนแค่สงสัย แต่สนคิดและเชื่อว่ามันเกิดขึ้นไปแล้วจริงๆ คงต้องมีใครสักคนบอกอะไรสนแน่นอน ถ้าทินเป็นคนพูด ทินจะพูดอย่างนั้นทำไม
สีหน้าของทินเปลี่ยนไปทันที ไม่ถึงกับอึกอักแต่ก็แสดงความประหม่าให้พอสังเกตเห็นได้ แต่อาการเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำให้ต้นเกิดความรู้สึกไม่ไว้เนื้อเชื่อใจคนตรงหน้าได้แล้ว
"อืม...พี่ก็พูดกับเขาตอนที่ต้นบอกให้พี่โทรไปบอกสนนั่นแหละว่า...ต้นจะทำงานที่คอนโดพี่ สนอาจจะคิดไปเองก็ได้ว่าต้นมาที่คอนโดพี่ ก็เลยกลัวว่าจะมีอะไรกัน"
ต้นก็พยายามจะคิดอย่างนั้น สนคงจะคิดไปเองว่าการที่ต้นมาค้างที่คอนโดของทินก็เลยอาจจะมีอะไรกับทินได้ แต่มันก็น่าแปลก ทำไมสนถึงพูดกับนิกและปั้นจั่นอย่างนั้น สนไม่น่าจะคิดไปเองถึงขนาดบอกว่าทินย่ำยีหัวใจของสน
"อืม...ก็คงจะอย่างงั้น สงสัยสนจะคิดไปเอง"
ไม่ใครก็ใครล่ะที่โกหกต้น แต่แน่นอน ต้นมั่นใจอย่างที่สุดว่าสนไม่โกหกต้น สนไม่เคยโกหกต้นแม้แต่เรื่องเดียวตั้งแต่รู้จักกันมา แล้วคนที่โกหกต้นจะเป็นใครล่ะ นิกกับปั้นจั่นหรือ หวังว่าคงจะไม่ใช่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้นหรอกนะ!?
TBC