▓ ▒ ░ ต้น-สน∞ปาฏิหาริย์รักที่รอคอย ░ ▒ ▓CHAPTER 26: คำขอร้องจากสน สวนสาธารณะหนองบวกหาดในยามหนึ่งทุ่มเศษๆ เริ่มสงบลงไปมากเพราะใกล้เวลาปิดตอนสองทุ่ม แต่ก็ยังคงพอมีคนเดินเล่น เล่นกีฬาและทำกิจกรรมตามจุดต่างๆ อย่างบางตาอยู่ ต้นกับสนใช้เวลาเดินจากประตูท่าแพมาถึงที่นี่ในเวลาไม่นานนักเพราะอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารที่เพิ่งกินข้าวเย็นกับสรกฤษณ์ไป เดินไปคุยกันไปก็เพลินๆ ดีเหมือนกัน สนมีความสุขทุกครั้งที่ได้มีโอกาสใช้เวลาแบบนี้กับต้น ไม่เคยรู้สึกเบื่อที่จะต้องเจอกัน ต่อให้คุยกันเรื่องเดิมๆ หรือนั่งอยู่เงียบๆ ของใครของมันก็ไม่ได้ทำให้เกิดความอึดอัดแต่อย่างใด
พอหาที่เหมาะๆ ได้แล้ว ต้นกับสนก็นั่งคุยกันอย่างสบายอารมณ์ อากาศตอนนี้เย็นสบายดีทีเดียว
"ต้น...เราจะให้นายดูอะไร นี่...เมื่อวานเราไปพรีเซนต์งานที่โรงแรมโลตัสปางสวนแก้วมา มีคนมาฟังเยอะเลย นายดูสิ เป็นร้อยเลย" สนพูดพร้อมกับชี้ชวนให้ต้นดูรูปในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ต้นดูแล้วก็ยิ้มอย่างภูมิใจ
"โห...นายเก่งจังเลย กล้าพรีเซนต์งานต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้ด้วย" ไม่ว่าสนจะทำอะไรดีๆ ต้นก็พร้อมชื่นชมยินดีด้วยเสมอ
"ก็ตื่นเต้นเหมือนกัน ขาสั่น มือสั่นเลย นี่...นายดูรูปนี้ นายว่าเราดูดีไหม"
ต้นเพ่งมองรูปครึ่งตัวของสนบนเวทีแล้วก็ยิ้ม "ก็หล่อดีนะ"
"นายชอบหรือเปล่าล่ะ"
ต้นเลิกคิ้วอย่างสงสัย
"ในสายตาของนาย นายคิดว่า...เราหล่อไหม เราอยากรู้" สนรบเร้า แววตาเป็นประกาย
"ก็พอดูได้" ต้นหัวเราะชอบใจ
สนหน้าม่อยแล้วก็ย่นจมูก "แค่ดูได้เองเหรอ" แล้วก็ยิ้ม "งั้น...นายดูนี่ เป็นไง"
สนคุยโวเมื่อเลื่อนให้ต้นดูภาพที่เขาไปฟิตเนสมากับเพื่อนๆ ในรูปสนเปลือนท่อนบน ใส่กางเกงกีฬาขาสั้นตัวสีดำ เผยให้เห็นลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องพองาม ดูๆ ไปก็ดูดีมากทีเดียว
"ใช้ได้ไหมแบบนี้"
ต้นพยักหน้ายิ้มๆ
"นายชอบซิกซ์แพ็คเราไหม"
ต้นทำหน้าเหรอหรา ไม่เข้าใจว่าทำไมสนยังคงวนเวียนถามเรื่องนี้ไม่ยอมไปไหน อันที่จริง สนแค่อยากบอกให้ต้นรู้ว่า ต่อไป ทั้งตัวและหัวใจรวมถึงทุกสิ่งที่ต้นเคยหลงใหลในตัวของสน ต้นจะได้ครอบครองและเชยชมในสักวัน
"นายถามทำไม ถึงชอบไปก็เท่านั้นแหละ ทำไมไม่ถามคู่หมั้นของนายล่ะ เขาน่าจะชอบนะ"
แม้ต้นจะพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าธรรมดา แต่ก็ทำให้สนหน้าเจื่อนลงไปพอสมควร พูดถึงนินาทีไรสนมักจะเป็นอย่างนี้ทุกที
"ไม่เอาหรอก เราจะเก็บไว้ให้คนพิเศษที่สุดของเราเชยชมเท่านั้นแหละ" สนหันมายิ้มหน้าทะเล้นกับต้น
"ก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเราเลย เราไม่ใช่คนพิเศษที่สุดของนายซะหน่อย"
สนหน้าเจื่อนอีกรอบ "นายรู้ได้ไงล่ะต้นว่าไม่ใช่ เรายังไม่ได้บอกเลยนะว่าคนที่พิเศษที่สุดของเราเป็นใคร"
"แล้วเขาเป็นใครล่ะ" ต้นถามเกือบจะทันทีที่สนพูดจบ
"อืม...เดี๋ยวนายก็รู้เองแหละ เอางี้ดีกว่า ทั้งตัวเราเนี่ยะ นายชอบส่วนไหนของตัวเรามากที่สุดล่ะต้น"
ต้นทำหน้าตกใจ ไม่คิดว่าสนจะถามคำถามแบบนี้
"น่า...บอกหน่อยสิ เราอยากรู้" สนยิ้มกรุ้มกริ่ม ได้คุยเล่นกับต้นแบบนี้สนก็รู้สึกสบายใจ หลังจากที่ปวดหัวกับนินามาทั้งวันแล้วสนก็คิดถึงแต่ต้นนี่แหละที่จะช่วยทำให้สนอารมณ์ดีขึ้นมาได้
"อยากรู้ไปทำไม"
"ก็อยากรู้ บอกหน่อยไม่ได้เหรอ หรือว่าทั้งตัวของเราไม่มีส่วนไหนที่นายชอบ เราว่าต้องมีบ้างแหละ ถ้านายบอกเรา เราก็จะบอกนายเหมือนกันว่าเราชอบส่วนไหนของนายด้วย ดีไหม แลกกัน นะๆๆ" สนใช้ศอกกระทุ้งต้นเบาๆ เป็นเชิงรบเร้า
ต้นหัวเราะอย่างอารมณ์ดี "อืม...ยังไงดีล่ะ" ต้นทำท่านึก "เรา...ชอบต้นแขนนายมั้ง"
"ทำไมชอบล่ะ" สนเขยิบหน้าเข้ามาถามใกล้ๆ
"ก็...มันขาวดี" คนตอบหัวเราะเบาๆ
"แล้วทำไมไม่ชอบต้นขาเราล่ะ ต้นขาเราก็ขาวนะ เดี๋ยวกลับบ้านไปจะถอดให้ดูเลย"
"ไม่เอา...ไม่อยากดูหรอก" ต้นรีบปฏิเสธแต่สีหน้าก็ดูยิ้มอยู่
สนหัวเราะและยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นต้นเริ่มหน้าแดงด้วยความเขินอาย "จริงดิ...อืม...แต่นายก็เห็นต้นขาขาวๆ ของเราบ่อยๆ อยู่แล้วล่ะเพราะเราชอบใส่บ็อกเซอร์ไปหานายที่ห้องบ่อยๆ แล้วทีนี้อยากฟังหรือยังล่ะว่าเรา...ชอบส่วนไหนของนาย"
สายตายิ้มทีเล่นทีจริงทำให้ต้นรู้สึกเขินจนไม่กล้าสบตาคนข้างๆ เลยทีเดียว
"นั่นแน่...คิดว่าเป็นตรงนั้นล่ะสิ" สนแหย่เล่นแล้วก็หัวเราะ
"ตาตุ่มน่ะเหรอ" ต้นพูดเล่นกลับไปบ้าง
"ใช่ที่ไหน เราบอกให้ก็ได้ เราน่ะชอบ..." แล้วสนก็ใช้นิ้วชี้ที่ริมฝีปากของตัวเอง พร้อมกับยักคิ้วเล่นสนุก
"ทำไมชอบล่ะ ปากเราเป็นรูปกระจับเหมือนในนิยายสมัยก่อนหรือเปล่า" ต้นพูดพลางหัวเราะเบาๆ
"อยากฟังจริงๆ หรือเปล่าล่ะว่าทำไมเราถึงชอบ..." สนยังคงทำหน้าทะเล้นอยู่
ต้นเลิกคิ้วสงสัยเป็นเชิงบอกว่าอยากรู้
"ก็...อยู่ตรงนี้เราทำให้ดูไม่ได้ซะด้วยสิ เอางี้"
สนเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากของตัวเองแล้วก็เอาไปแตะริมฝีปากต้นเบาๆ นั่นแหละต้นถึงเข้าใจ รสจูบทั้งสองครั้งนั้นอยู่ในความทรงจำของต้นและสนเสมอ แม้จะเป็นจูบต้องห้ามแต่มันก็ยากเกินห้ามใจสำหรับคนสองคนที่รักกัน
"เล่นสนุกๆ เฉยๆ น่ะต้น อย่าคิดมาก" สนรีบบอกอย่างรู้ทันเมื่อเห็นต้นทำท่าครุ่นคิด แม้จะดูมีท่าทางเขินอยู่บ้าง
แล้วสนก็พูดสืบไป "วันนี้...เรามีเรื่องให้ปวดหัวทั้งวันเลย นายรู้หรือเปล่า"
"มีอะไรเหรอ" ต้นถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
"ก็นินาน่ะสิ มีเรื่องกับเต้ย ตบตีกันใหญ่เลย เต้เกือบจะเอาเรื่องอยู่แล้ววันนี้"
"จริงเหรอ ทำไมนินาทำอย่างนั้นล่ะ"
"ก็...เขาหึงหวงเรานั่นแหละ กลัวเต้ยมาแย่งเราไป เราก็เลยยื่นคำขาดไปว่าห้ามทำแบบนี้อีกเด็ดขาด ไม่งั้นเราจะถอนหมั้น"
"ถอนหมั้นเลยเหรอ" ต้นถามย้ำด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ต้นควรจะดีใจหรือเปล่านะ อย่าคิดแบบนี้ดีกว่า เป็นบาปเปล่าๆ
"ใช่ ถ้าขืนก่อเรื่องแบบนี้บ่อยๆ ก็คงอยู่ด้วยกันยากแล้วล่ะ"
"แล้วพ่อกับแม่นายจะไม่ว่าอะไรเหรอถ้านายถอนหมั้นนินา"
สนสะอึกไปเล็กน้อย "ก็คงต้องยอมให้ว่าแหละต้น ดีกว่าอยู่กันไปแล้วไม่มีความสุข เกิดมีลูกขึ้นมาก็จะเป็นบาปเป็นกรรมเขาเปล่าๆ ที่มีพ่อแม่ที่ไม่รักกัน"
"นาย...ไม่ได้รักเขาเลยเหรอสน"
จะว่าไปต้นก็สงสัยเรื่องนี้มานานแล้ว พอสนส่ายหน้า ต้นก็ยิ่งแปลกใจ
"แล้ว...ทำไมนายถึงไปมีอะไรกับเขาได้ล่ะสน"
สนถอนหายใจอย่างหนักใจ แล้วก็เงียบไปสักพัก "เราก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะต้น เราก็ยังสงสัยตัวเองอยู่ว่าเราทำอย่างนั้นได้ยังไง เราไม่ได้เมา เรากับนายไม่ชอบกินเหล้าด้วยกันทั้งคู่ นายก็รู้อยู่ วันนั้นเราไปส่งเขาที่บ้านตอนดึกๆ คุยกันยังไงไม่รู้ แล้วมันก็ลงเอยอย่างงั้นจนได้ แต่...อย่าไปพูดถึงมันเลย มันผ่านมาแล้ว เลยเถิดมาจนถึงขั้นหมั้นกันแล้ว ย้อนกลับไปไม่ได้ เอาเป็นว่า ถ้าเราไม่ไหวจริงๆ เราจะถอนหมั้นกับเขา จริงๆ นะต้น"
ต้นพยักหน้าเข้าใจ นี่แหละนะ ชายกับหญิงอยู่ใกล้กันก็เหมือนน้ำมันกับไฟ ต่อให้ไม่รักก็ยังมีแรงดึงดูดให้เผลอไผลจนมีอะไรกันได้เลย
สนกำลังจะพูดต่อก็บังเอิญมีโทรศัพท์เข้ามาพอดี พอเห็นเบอร์แปลกๆ ก็ขมวดคิ้ว
"สวัสดีครับ"
"สนเหรอคะ จำพี่ได้ไหม ที่เราเจอกันเมื่อวานนี้ไง ที่สนมาพรีเซนต์งานที่โรงแรม พี่เชอรี่เอง"
"อ๋อ...ครับ จำได้ครับพี่"
"พี่ชอบงานที่สนนำเสนอวันนั้นมากเลย สนเก่งจังเลยนะ พี่ชอบคนเก่งๆ แบบนี้ หามานานแล้ว แบบเนี้ย...ใช่เลย"
เสียงอีกฝั่งหัวเราะคิกคักชอบใจ
"อ๋อ... ขอบคุณครับ พี่เชอรี่มึอะไรหรือเปล่าครับ" สนหันไปมองหน้าต้นอย่างเกรงใจ แต่ต้นก็ยิ้มเหมือนกับจะบอกว่าตามสบาย
"ก็...อืม...ยังไงดีล่ะ ตอนนี้...สนมีใครหรือยังเอ่ย เผื่อจะสนใจรับกิ๊กเพิ่มอีกสักคนสองคน เอาไว้เป็นเพื่อนคุยแก้เซ็ง ดีไหมๆ"
"กิ๊กเหรอครับ" สนถามด้วยด้วยสีหน้าตกใจ ต้นเองก็พลอยสงสัยไปด้วย
"ใช่...กิ๊กกับพี่ไง"
เสียงหัวเราะชอบใจของอีกฝ่ายทำให้สนหน้าเหวอ ผู้หญิงบางคนสมัยนี้น่ากลัวจริงๆ เจอกันแค่ครั้งเดียวก็กล้าเสนอตัวให้ แล้วนี่ก็ไม่รู้ว่าไปเอาเบอร์ของสนมาจากไหน
"เอ่อ..." สนชักหนักใจ เขาเคยเจอผู้หญิงรุกเข้าหาแบบนี้อยู่บ้าง แต่เขาไม่เล่นด้วยก็เลยรอดมาได้
"พอดี...ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้วครับพี่" สนพูดพลางหันมามองหน้าต้นด้วยสายตาที่ต้นแปลไม่ออก
"ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่ไม่ได้ขอเป็นแฟนซะหน่อย เป็นกิ๊กกันเฉยๆ ดีออก เผื่อวันไหนเบื่อๆ แฟนก็มากิ๊กกับพี่ได้ ไม่ต้องผูกมัดอะไรกันให้ยุ่งยาก"
"ไม่ดีกว่ามั้งครับพี่ ผมรักคนๆ นั้นของผมมาก มีกิ๊กไม่ได้หรอกครับ ผมขอโทษนะครับ ตอนนี้ผมไม่สะดวกคุย แค่นี้นะครับพี่"
สนวางสายไปพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก พอหันไปเห็นต้นมองอย่างสงสัยก็ยิ้มแหยๆ
"ฮ็อตเหมือนกันนะเนี่ย มีคนโทรมาขอเป็นกิ๊กด้วย" ต้นแซวอย่างเห็นเป็นเรื่องขำ
"เจอเยอะเหมือนกัน ทำไงได้ ก็คนมันหล่อ สาวๆ ที่ไหนก็อยากเป็นแฟนด้วย อ้อ ไม่ใช่แต่สาวๆ เท่านั้นนะต้น เกย์ก็มีมาชอบเราเยอะเหมือนกัน" สนทำหน้าภูมิใจ
"ครับ...พ่อคนรูปหล่อ" ต้นทำหน้าล้อเลียนบ้าง "อ้อ...คนที่นายชอบเมื่อกี้หมายถึงใครเหรอ"
สนเม้มริมฝีปากแล้วก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกรุ้มกริ่ม "เขาเป็นคนที่พิเศษที่สุดของเราเลยล่ะ ใครน้า...เป็นผู้โชคดีคนนั้น"
"นินาเหรอ" ต้นทำหน้าเศร้าเล็กน้อย
"โธ่ต้น...ใช่ที่ไหนล่ะ เราก็เพิ่งบ่นเขาไปเมื่อกี้เอง"
"อ้าว...ไม่ใช่เหรอ ถ้างั้น...นายก็มีคนใหม่แล้วสิ" น้ำเสียงของต้นหม่นลงอีก ถ้าสนมีคนใหม่จริงๆ ต้นคงเศร้าน่าดูเลย
"ไม่รู้ว่าใหม่หรือเปล่า รู้แต่ว่าไม่เคยเก่าเลย เจอทีไรก็ใหม่ทุกที"
"นายมีคู่หมั้นแล้วนะ" ต้นลากเสียง "นะ" ยาวเพื่อเน้นความสำคัญ "เดี๋ยวมีปัญหากับนินานะสน เขายิ่งขี้หึงอยู่"
"ถ้าเป็นคนๆ นี้ บางทีเราก็อาจจะยอมมีปัญหาก็ได้นะต้น แต่เราไม่ยอมให้นินามาทำอะไรคนๆ นี้เด็ดขาด แค่คิดเราก็ไม่ยอมแล้ว"
"โห...ขนาดนั้นเลย น่าอิจฉาจังเลยนะ นายคงรักเขามากน่าดู" ต้นถอนหายใจด้วยสีหน้าเศร้า "แต่เรา...คงไม่มีโอกาสได้เป็นคนๆ นั้นหรอก เรารู้..."
ต้นแค่นหัวเราะ น้ำเสียงที่หม่นเศร้าทำให้สนอดสงสารไม่ได้ ต้นรอคอยมานานแล้ว นานจนสนเองก็ชักไม่มั่นใจแล้วว่าต้นจะรอไปได้อีกนานแค่ไหน สนชักกลัวว่าสักวันต้นจะล้มเลิกความตั้งใจเสียก่อน
"ต้น..." สนมองหน้าต้นด้วยแววตาที่จริงจังมากขึ้น
"เราไม่รู้หรอกนะว่านายรู้หรือเปล่าว่าที่เราพูดมาทั้งหมด...เราหมายถึงใคร แต่นายรู้ไว้อย่างนึงนะต้น นายเป็นความสุขของเรา ถ้าโลกนี้ไม่มีนายสักคน เราก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปยังไง"
ต้นยิ้มบางๆ แม้จะรู้สึกซาบซึ้งที่สนพูดอย่างนั้น แต่ต้นก็ต้องการความชัดเจนมากกว่านี้
"สน...นายรู้ไหม นี่ก็เข้าปีที่สิบแล้วนะที่เรามีความรู้สึกพิเศษให้กับนาย มันนานจนเราเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเรา...จะเก็บความรู้สึกนี้ไว้ให้นายได้อีกนานแค่ไหน ไม่ว่านายกำลังทำอะไรอยู่ อย่าให้มันช้าไปละกันนะสน แต่จะว่าไป...มันก็ช้าไปแล้วล่ะ"
สนถอนหายใจเหมือนคนกำลังคิดหนัก จากที่ยิ้มสดใสและมีเสียงหัวเราะอยู่เมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นครุ่นคิดและเคร่งเครียดมากขึ้น
"สน...เราถามนายตรงๆ นะ"
สนหันมาสบตากับต้น แววตาดูประหม่าราวกับกลัวว่าต้นจะถามคำถามที่เขาไม่กล้าตอบ
"นาย...รักเราใช่ไหม ใช่ไหมสน นายรักเราใช่ไหม"
สนนิ่งเงียบ เงียบไปนานทีเดียว แล้วก็ค่อยๆ หันหน้ากลับไปตามเดิม สีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ต้นเห็นแล้วก็ได้แต่สงสัยและไม่เข้าใจว่าทำไมมันยากเย็นเหลือเกิน รักก็แค่บอกว่ารัก ไม่รักก็แค่บอกว่าไม่รัก เจ็บยังไงก็ยังดีกว่าปล่อยให้คลุมเครืออยู่แบบนี้
"เราไม่เข้าใจน่ะสน ทำไมนายบอกเราไม่ได้ มันยากเหรอสน หรือว่า...นายไม่ได้รักเรา นายก็เลยไม่กล้าบอก นายกลัวเราเสียใจเหรอ มันไม่เป็นไรหรอกสน นายก็แค่บอกเรา ได้ไหมสน เรารับได้ทุกอย่าง"
ต้นอดร้องไห้อีกไม่ได้ สิบปีแล้วที่ต้นรักผู้ชายคนนี้ แต่กลับไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากของคนที่ต้นรักเลย
สนยังคงนั่งก้มหน้าอยู่ ไม่พูดไม่จาใดๆ นอกจากครุ่นคิดอย่างหนัก
"ถ้านายไม่พูด เราก็จะถือว่า...นายไม่ได้รักเราละกันนะสน"
สนหันมามองอย่างตกใจ แต่ดูเหมือนสีหน้าจะวิงวอนขอความเห็นใจเสียมากกว่า เมื่อสนไม่พูดแล้วต้นก็คงจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ต้นลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ค่อยๆ เดินออกไปพร้อมกับยกมือป้ายน้ำตาที่รินไหลลงมา ดีที่ว่าคนกลับไปเยอะแล้วจึงไม่มีใครเห็น ต้นเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อเดินออกไปได้สักระยะ
"ต้น"
สนร้องเรียก ลุกขึ้นยืนแล้วก็รีบวิ่งตามต้นไป พอถึงตัวก็รวบตัวต้นมากอดไว้จากทางด้านหลัง ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ต้นต้องเสียใจเพราะเรื่องนี้ สนเจ็บปวดทรมานหัวใจมากแค่ไหนที่ต้องเห็นคนที่ตัวเองรักเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก
"ต้น...เราขอโทษ อย่าบังคับให้เราพูดอะไรตอนนี้เลยนะต้น เราเองก็ไม่มีความสุขที่มันเป็นแบบนี้ เราอยากบอกนาย...เราอยากบอกนายนะต้น เราจะบ้าตายอยู่แล้ว เราขอเวลาเราอีกนิดเดียว นะต้นนะ แล้วนายจะรู้ทุกอย่างที่นายอยากรู้ เราเจ็บปวดทรมานใจแค่ไหนที่เห็นนายต้องร้องไห้เพราะเรา เรารู้...ว่านายรอเรามานานแล้ว เรารู้สึกแย่มากที่เราทำให้นายร้องไห้เพราะเรื่องนี้หลายครั้ง อย่าร้องไห้นะต้น อย่าร้องไห้นะ"
คนที่บอกเขาว่าอย่าร้องไห้กลับร้องไห้เสียเอง สนกอดต้นไว้แน่นพร้อมกับสะอื้นไห้ มืออีกข้างลูบผมของต้นเพื่อเป็นการปลอบใจเหมือนที่สนชอบทำเป็นประจำ
"เราไม่เคยขอร้องนาย ครั้งนี้เราขอนะต้น นายไม่รู้หรอกว่าเรา...เจออะไรมา มันถึงเป็นแบบนี้ ให้เวลาเราอีกนิดเดียวนะต้น ต่อไป...นายจะไม่ต้องร้องไห้เพราะเรื่องนี้อีก นะต้นนะ ให้เวลาเราหน่อยนะ"
มันเรื่องอะไรกันที่ทำให้สนไม่กล้าพูด มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ แต่คราวนี้ ต้นสามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดทรมานใจของสนแล้วล่ะ ต้นเห็นแล้ว สนไม่เคยลงทุนขอร้องแบบนี้ น้ำเสียงและสีหน้าวิงวอนนั้นทำให้ต้นรู้สึกสะท้อนใจไม่น้อยเลย
"เกิดอะไรขึ้นเหรอสน นายบอกเราได้หรือเปล่า"
ต้นหันหน้ามาเผชิญกับสน เห็นสนร้องไห้แบบนี้แล้วก็อดสงสารไม่ได้ ต้นกับสนมีกันอยู่สองคนตลอดมา ทำแต่สิ่งดีๆ ให้กันมาตลอด ยามใดที่อีกฝ่ายมีปัญหาหรือเจ็บปวดใจ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่อีกคนจะไม่รู้สึกตาม จนถึงวันนี้ ทั้งต้นและสนกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ต้นคือส่วนหนึ่งของชีวิตสน และสนก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตต้น ขาดกันไม่ได้เลย
สนส่ายหน้า "เราบอกไม่ได้ตอนนี้ต้น มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรามาก เรามีทางเลือกอยู่สองทางเลือกที่เราต้องตัดสินใจให้ดีๆ ถ้าเราบอกนาย...นายต้องไม่เห็นด้วยแน่นอน อย่าเพิ่งถามเราเลยนะต้น วันนึงเราจะบอกนายเอง ตอนนี้...เราขอร้องนายอย่างเดียว ถ้าเป็นไปได้ รอเราหน่อยนะต้น ถ้ารอได้...รอเรานะ แต่ถ้า...นายรอไม่ไหว...ก็แล้วแต่นาย เราเข้าใจ..."
สิ่งที่สนพูดช่างดูคลุมเครือและยากเกินที่ต้นจะเข้าใจเหลือเกิน แต่เอาเถอะ ต้นเชื่อใจสน คนที่ต้นเชื่อใจมากที่สุดนอกจากพ่อกับแม่แล้วก็มีแค่สนนี่แหละ
"สน...เพราะว่าเป็นนายคนเดียวเท่านั้นนะ เราถึงยอมแบบนี้ เอาเป็นว่า...เราเชื่อใจนาย เราจะรอนายนะสน ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเราก็จะพยายามรอให้ได้ นายอย่าร้องไห้นะ เรา...ก็ไม่อยากให้นายเสียใจเพราะเราเหมือนกัน เรามีกันอยู่สองคน อีกไม่นานเราก็จะไปเรียนต่อแล้ว คงไม่ได้เจอกันอีกนานหลายปี เวลาที่เหลืออยู่ เราอยากให้มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเราสองคน อย่าร้องไห้นะสน เรารักนายนะ"
ต้นดึงสนมากอดไว้ ต่างคนต่างก็ร้องไห้ด้วยกันทั้งคู่จนไม่รู้ว่าใครควรต้องปลอบใจใครกันแน่
"ขอบคุณมากต้น ขอบคุณที่นายเข้าใจเรา...เรา...เรา..." แล้วสิ่งที่สนอยากจะบอกเหลือเกินก็ค่อยๆ ถูกกลืนหายเงียบไปเมื่อสนนึกไปถึงวันนั้น...
"พ่อครับ...สนมีอะไรจะคุยกับพ่อหน่อยครับ"
ผู้เป็นพ่อละมือจากการพรวนดินในกระถางต้นไม้แล้วก็หันหน้ามามองลูกชายที่ทำท่าทางเหมือนมีความลับบางอย่าง พ่อของสนกับพ่อของต้นชอบต้นไม้เหมือนกัน พอมีเวลาว่างๆ ก็มักจะชอบออกไปซื้อต้นไม้มาปลูกรอบบ้านอยู่เสมอ อันที่จริง พ่อกับแม่ของสนอยู่กับไร่กับสวนมาจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วล่ะ นอกจากทำสวนแล้ว ในบ้านก็มีต้นไม้เต็มไปหมด
"กับพ่อคนเดียวเหรอลูก แล้วแม่ล่ะ"
พ่อสนถามอย่างไม่แน่ใจ วันนี้แม่ของสนออกไปซื้อของที่ตลาดกับแม่ของต้น ต้นกับติวก็ไปด้วย มีพ่อของต้นเป็นคนขับรถ ส่วนสนถือโอกาสไม่ไปด้วยเพราะอยากคุยกับพ่อนั่นเอง
"ไปนั่งคุยที่โต๊ะดีกว่าครับพ่อ"
พ่อของสนพยักหน้า ลุกขึ้นแล้วก็เดินนำลูกชายไปนั่งที่โต๊ะนั่งเล่นหน้าบ้าน นานๆ ทีช่วงปิดเทอมจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างนี้ พ่อกับแม่ของสนดูมีความสุขมากทีเดียวเวลาสนกลับมาบ้าน ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมกลางปีที่สองพอดี และเป็นช่วงที่สนตัดสินใจและคิดทบทวนมาดีพอสมควรแล้ว
"พ่อครับ พ่อว่า...ผมกับต้น...สนิทกันมากไหมครับ"
พ่อของสนเลิกคิ้วด้วยความสงสัย "ทำไมล่ะลูก สนกับต้นก็สนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว หรือว่า...ตอนนี้สนมีปัญหากับต้นเหรอลูก"
"เปล่าครับพ่อ" สนรีบบอก ท่าทางของสนดูประหม่าและไม่มั่นใจจนพ่อสังเกตเห็นได้
"ผมหมายถึง...ผมกับต้น...สนิทกันมากเกินไปหรือเปล่าน่ะครับ"
นั่นก็ยิ่งทำให้พ่อของสนแปลกใจและสงสัยเข้าไปใหญ่ เมื่อพ่อเอียงคอและเลิกคิ้ว สนก็ยิ่งต้องครุ่นคิดว่าจะเริ่มเรื่องยังไงไม่ให้พ่อตกใจ หลังจากคิดอยู่สักพัก สนก็ตัดสินใจพูดต่อ
"เอ่อ...คือ...ตอนนี้...สนไม่มีแฟนเลยครับพ่อ ไม่ได้จีบสาวคนไหนเลยตั้งแต่เข้ามหาลัย"
คนเป็นพ่อพยายามคิดตาม แต่ก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าสนต้องการสื่ออะไร
"ทำไมเหรอลูก เรียนหนักหรือเปล่า"
"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ก็พอมีเวลาอยู่ครับพ่อ แต่ว่า...สน...มีคนที่สนรักอยู่แล้วครับพ่อ"
พูดถึงตรงนี้ใจสนก็เต้นไม่เป็นส่ำ หลังจากที่สนรู้ว่าต้นเป็นเกย์เมื่อตอนปีหนึ่ง สนก็พยายามถามตัวเองอยู่ทุกวันว่าสนคิดยังไงกับต้นกันแน่ จนกระทั่งวันนี้ที่สนแน่ใจว่าสนรู้หัวใจของตัวเองแล้ว
"อ้าวเหรอลูก ใครล่ะลูก ไม่เห็นพามาให้พ่อกับแม่รู้จักบ้างเลย เป็นสาวๆ ที่มหาลัยหรือเปล่าลูก" พ่อของสนหัวเราะร่วนอารมณ์ดีตอนท้าย
"เปล่าหรอกครับพ่อ พ่อฟังสนดีๆ นะครับ"
สนพยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดเท่าที่เขาพอจะมีอยู่ด้วยการสูดลมหายใจลึกๆ พ่อเอียงคอมองอย่างสงสัย แต่ท่าทางก็ยังดูอารมณ์ดีอยู่
"พ่อครับ...ผมคิดว่า...ผม...ผมชอบต้นครับพ่อ"
ตอนนั้นสนก็ไม่รู้หรอกว่ามันเร็วไปไหมที่สนจะบอกพ่อ แต่สนก็อยากให้พ่อรู้ ให้พ่อได้เตรียมใจไว้เพราะไม่วันใดวันหนึ่งพ่อก็ต้องรู้จนได้
"อะไรนะลูก" พ่อของสนเบิกตากว้างอย่างตกใจ "นี่สนล้อพ่อเล่นหรือเปล่าลูก เรื่องนี้ล้อพ่อเล่นไม่ได้นะสน"
น้ำเสียงดุของพ่อทำให้สนตัวลีบเล็กลงไปอีกมากทีเดียว แม้ว่าพ่อจะรักและตามใจสนมากกว่าแม่ แต่เวลาพ่อดุ พ่อก็ดูน่ากลัวมากกว่าแม่หลายเท่า ถ้าไม่จำเป็นแล้วสนก็ไม่อยากเสี่ยงทำให้พ่ออารมณ์เสีย พ่อยังคงมีแนวคิดแบบคนรุ่นเก่าที่ชายเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านอยู่ ไม่ว่าพ่อจะพูดอะไร แม่กับสนก็ต้องเชื่อ
"ผมพูดจริงๆ ครับพ่อ สนไม่ได้ล้อพ่อเล่นครับ"
"เป็นไปได้ยังไงน่ะสน" พ่อของสนครุ่นคิดพลางมองหน้าลูกชายราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่สนยืนยัน สีหน้าคาดคั้นของพ่อทำให้สนคอยหลบตาพ่ออยู่ตลอด
"ลูกแค่สับสนหรือเปล่าลูก บางทีสนกับต้นสนิทกันมากเกินไปก็เลยอาจจะคิดว่าชอบกันก็ได้ ถึงพ่อกับแม่จะรักต้นเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง แต่พ่อกับแม่...ก็ให้สนรักกับต้นอย่างนั้นไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยนะสน พ่อกับแม่คงรับไม่ได้ พ่อคิดว่า...สนแค่สับสน ไม่มีอะไรหรอกลูกพ่อไม่เชื่อเด็ดขาด"
"ไม่ครับพ่อ ผมไม่ได้สับสน ผมชอบต้นจริงๆ ครับ ชอบเขามาตั้งนานแล้ว แต่ผมเพิ่งจะรู้ตัวไม่นานนี้เอง" สนทำหน้าเศร้าเพื่อขอความเห็นใจ
"สน...นี่สนจะเถียงพ่อเหรอ ยังไงๆ พ่อก็คิดว่าสนแค่สับสนเฉยๆ สนจะรักต้นแบบนั้นได้ยังไงลูก ผู้ชายกับผู้ชายรักกันไม่ได้นะสน พ่อยอมให้สนทำอย่างนั้นไม่ได้"
น้ำเสียงและอารมณ์ที่โกรธจนรู้สึกได้ของพ่อทำให้สนยิ่งหวาดกลัวมากเข้าไปอีก แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าสนมัวแต่กลัว ความรักของต้นกับสนก็มีแต่จะห่างไกลออกไปมากขึ้น จนอาจไม่มีวันเป็นจริงได้เลย
"ทำไมล่ะครับพ่อ ก็ผมรักต้นไปแล้ว รักเขามากด้วย ทำยังไงก็เลิกรักไม่ได้ครับพ่อ" สนเสียงดังขึ้นมาบ้าง เหมือนเด็กที่กำลังเถียงพ่อกับแม่
"สน..." พ่อตวาดเสียงดังจนสนสะดุ้ง
"พ่อขอร้องนะสน สนรักต้นแบบนั้นไม่ได้ ครอบครัวของเรามีกันอยู่แค่นี้ พวกเราจากบ้านเกิดเมืองนอนมา ไร้ญาติขาดมิตร พ่อกับแม่เองก็อยากอุ้มหลานก่อนตายสักครั้ง สนไม่อยากให้พ่อกับแม่นอนตายตาหลับเหรอลูก แล้วพ่อกับแม่จะหมดห่วงได้ยังไง เกิดวันหนึ่งสนแก่ตัวขึ้นมาแล้วใครจะดูแล ก็ต้องหวังพึ่งลูกพึ่งเมียทั้งนั้น สนเป็นผู้ชายนะลูก จะไปอยู่กินกับผู้ชายด้วยกันได้ยังไง พ่อขอร้องนะสน ถ้าสนยังเห็นว่าพ่อเป็นพ่ออยู่ ช่วยทำความฝันของพ่อกับแม่ให้เป็นจริงสักครั้ง พ่อกับแม่ไม่เคยขออะไรสนนะลูก อย่ารักต้นแบบนั้น พ่อกับแม่ของต้นรู้เข้าเขาจะว่ายังไง พ่อแอ๊ดแม่เยาเขาก็อยากให้ต้นแต่งงานมีครอบครัว มีลูกสืบสกุลเหมือนกัน ต้นเขาก็เป็นลูกคนเดียวเหมือนกับสนนะลูก รับปากกับพ่อนะสน เลิกรักต้นแบบนั้นซะ ถ้าสนยังเห็นแก่หัวหงอกหัวดำของพ่อกับแม่อยู่"
"พ่อ..." สนครางและมองพ่อด้วยความรู้สึกผิดหวัง ไม่น่าเชื่อว่าพ่อจะไม่เข้าใจสนได้มากถึงขนาดนี้ สนคิดว่าพ่อรักและตามใจเขามาตลอดน่าจะเข้าใจเขาบ้าง แต่เปล่าเลย
"ว่าไงสน รับปากกับพ่อได้ไหมลูก อ้อ...แล้วอีกอย่าง อย่าไปบอกแม่เรื่องนี้เด็ดขาด เดี๋ยวเรื่องจะไปถึงพ่อแอ๊ดแม่เยาเขาได้ คราวนี้ล่ะจะเดือดร้อนมองหน้ากันไม่ติดไปหมด"
สนอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก หมดคำพูดที่จะโต้เถียงเพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ ถึงแม้จะรู้สึกผิดหวังมาก แต่สนก็พอเข้าใจพ่ออยู่ ลูกชายคนเดียวที่เป็นความหวังของครอบครัวมีความหมายกับบ้านหลังนี้มาก สนเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของบ้านนี้ ถ้าเกิดสนทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง ครอบครัวนี้ก็จะไม่เหลืออะไรเลย ความรักของต้นกับสนคงยากเสียแล้ว ยากมาตั้งแต่เริ่มด้วยซ้ำไป
"เราขอโทษนะต้น เราพยายามแล้ว แต่พ่อไม่เข้าใจเราเลย" สนขอโทษต้นอยู่ในใจ
"รับปากพ่อได้ไหมลูก" พ่อของสนถามย้ำอีกครั้ง
สนมองหน้าพ่อเหมือนกับจะขอประวิงเวลาตัดสินใจออกไป แต่สุดท้าย สนก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ ยังไงๆ ก็เป็นเรื่องยากที่จะขัดใจพ่อ สนจึงต้องพยักหน้ารับปากพ่อในที่สุด
"ครับพ่อ สนจะพยายามครับ"
สัญญาลูกผู้ชาย สนรับปากพ่อแล้วแต่สนกลับรู้สึกเหมือนจะขาดใจ นั่นก็พ่อ นี่ก็คนรัก ถ้าหากจะต้องเลือกใครสักคนคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดสินใจ
"อย่าบอกต้นนะลูกว่าเราคุยกันเรื่องนี้ เท่านี้ใช่ไหมลูก เดี๋ยวพ่อจะได้ไปดูต้นไม้ต่อ"
สนพยักหน้าช้าๆ แม้ว่ามันจะไม่สมหวังอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่อย่างน้อยสนก็ได้ทำบางสิ่งบางอย่างไปแล้ว ครั้งแรกพ่ออาจจะไม่เข้าใจ แต่ต่อไปก็ไม่แน่ สนยังคงไม่หมดหวังเสียทีเดียวหรอก
เพราะความคิดนี้นี่เองที่ทำให้สนเคยตัดสินใจที่จะบอกรักต้น หวังว่าพ่อกับแม่จะเห็นใจความรักของเขากับต้นในที่สุด ยังไงสนก็เชื่อว่าพ่อแม่ไม่มีวันตัดลูกของตัวเองได้ ต้นกับสนเป็นคนดี พ่อกับแม่ต้องให้อภัยในที่สุด แต่ก็มาเกิดเรื่องกับนินาเสียก่อนจนทำให้สนต้องล้มเลิกไป
คราวนี้ สถานการณ์เปลี่ยน แผนการก็ย่อมเปลี่ยนตามไปด้วย แต่สนก็ยังสองจิตสองใจ ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเดินตามแผนนั้นหรือว่าควรจะคิดหาวิธีอื่นดี
สองทางเลือกนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตสน สนจะตัดสินใจผิดพลาดไม่ได้เลยเพราะมีอีกหลายชีวิตที่จะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง จะว่าไปแล้ว ทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่มันจะคุ้มกับสิ่งที่อาจะต้องเสียไปหรือเปล่าเท่านั้นเอง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สนก็สัญญากับตัวเองเอาไว้เสมอว่า
"เราจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้เรากับนายได้อยู่ด้วยกันให้ได้นะต้น เราสัญญา!!!"TBC