05 – วันที่ฉันป่วยมีคนเคยบอกไว้ว่าสมองเป็นอวัยวะที่ซับซ้อนและเข้าใจยากที่สุด เราไม่สามารถจะเร่งให้สมองเข้าใจเรื่องบางอย่างได้ตามต้องการ หรือไม่สามารถสั่งให้ลืมเลือนบางเหตุการณ์ได้ตามที่หวัง ตอนนี้กรวิทย์เชื่อแล้วแหละว่าสมองเป็นสิ่งที่ดื้อรั้นเสียจริงๆ เพราะเพียงแค่ไม่อยากจะนึกถึงใครบางคน เขายังทำไม่ได้เลย..
เสียงบรรยายของอาจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์กำลังอธิบายถึงเนื้อหาที่จะสอบกันในช่วงสิ้นเดือนนี้ สมการที่อาจารย์กำลังสรุปฉายบนโปรเจ็คเตอร์เพื่อให้นักเรียนว่า500 คนได้มองเห็นอย่างทั่วถึงภายในห้องเรียนรวมแห่งนี้ หากกวาดสายตามองไปก็จะพบนักศึกษาหลากหลายภาควิชาอยู่ในห้องนี้ หากเป็นเมื่อก่อนวิชานี้เคยเป็นวิชาโปรดของกรวิทย์เลยเพราะเขาจะได้เรียนพร้อมกับสิชลแม้ว่าจะนั่งห่างกันไกลเหลือเกิน แต่ทุกครั้งแค่เพียงได้นั่งมองจากด้านหลังเขาก็รู้สึกดีแล้ว เพียงแต่วันนี้ความรู้สึกที่มีมันไม่เหมือนแต่ก่อน
กรวิทย์กำลังตั้งหน้าตั้งตาจดเนื้อหาตามที่อาจารย์กำลังสอนและเน้นเนื้อหาส่วนที่สำคัญเอาไว้เพื่อสะดวกตอนเวลาอ่านสอบ เขากำลังพยายามจดจ่อกับเนื้อหาของวิชาเรียนเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจกับสายตาสงสัยจากเพื่อนสนิททั้งสาม
“เฮ้ยย กร ทำไมวันนี้มึงตั้งใจเรียนจังเลยวะ แปลกๆนะมึง”
อาร์ททนเก็บความสงสัยกับท่าทีของเพื่อนสนิทไม่ได้ ทุกทีเพื่อนเขาไม่ได้เคร่งเครียดตอนเรียนขนาดนี้ แม้ว่ากรวิทย์จะเป็นคนที่ตั้งใจเรียนแต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่พูดไม่จา สายตาเอาแต่มองตรงไปที่ผู้สอนอย่างเดียวแบบวันนี้
“นั่นสิ เราก็ว่าแปลกนะ วันนี้กลุ่มสิชลนั่งอยู่ใกล้พวกเรามากเลยนะกรไม่ตื่นเต้นหน่อยหรอ ทุกทีนั่งไกลกว่านี้กรยังสนใจ คอยมองตลอด แต่วันนี้ไม่มองเลยอ่ะ”
หญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มพูดสนับสนุนความคิดของอาร์ท ส้มสังเกตมาหลายวันแล้ว ช่วงนี้กรไม่เอ่ยถึงสิชลเลยแม้ว่าจะเจอสิชลโดยบังเอิญ หรือเวลาเดินสวนกันตอนเปลี่ยนคาบเรียนกรก็ไม่ยอมทัก ไม่ยอมมองหน้า ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่สงสัยแต่เพราะกรไม่ยอมพูดอะไรต่างหากเล่าเธอจึงไม่รู้ว่าจะทำยังไง แถมอาการหงอยและชอบเหม่อบ่อยๆอีก กรไม่เคยเป็นแบบนี้นะ จากที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งพูดน้อยไปใหญ่เลย
“เราไม่ได้เป็นอะไรหรอก พอดีบทนี้เราไม่ค่อยเข้าใจน่ะเลยอยากจะตั้งใจเป็นพิเศษ”
กรวิทย์เอ่ยปดออกไป เขายังไม่ได้บอกเพื่อนๆถึงเรื่องที่เจอสิชลวันก่อน แต่ท่าทางที่เปลี่ยนไปของเขาคงทำให้เพื่อนๆสงสัยแน่นอน
เขาเห็นแต่แรกแล้วว่ากลุ่มสิชลนั่งเยื้องพวกเขาไปไม่ไกลเท่าไหร่ แถมคนน่ารักคนนั้นก็นั่งอยู่ข้างสิชลด้วยสิ เหอะ! ชัดเจนขนาดนั้นก็เปิดตัวไปเลยสิ
“กร ถ้ามึงยังเห็นพวกกูเป็นเพื่อนอยู่ มึงมีอะไรไม่สบายใจก็บอกพวกกูดิวะ ทุกทีมึงไม่เป็นแบบนี้ กูไม่สบายใจนะเว้ย”
ติณทนดูเพื่อนตัวเองที่ทำตัวเหมือนเลื่อนลอยต่อไปไม่ไหว ถึงปากจะบอกว่าไม่มีอะไรแต่ท่าทางมันไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพื่อนตัวเองต้องไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องไอ้สิชลแน่นอน เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร มันไปเจออะไรมาถึงได้เป็นแบบนี้
กรวิทย์ละความสนใจจากอาจารย์ที่กำลังอธิบายอยู่หน้าห้องหันมามองเพื่อนสนิททั้งสามคนที่มองดูเขาอย่างห่วงใย
เฮ้อออออ .. .
รู้สึกไม่ดีเลยที่เพื่อนๆต้องมาไม่สบายใจไปกับเขาด้วย กรจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เจอสิชลเมื่อวันก่อนให้เพื่อนๆฟัง และทันทีที่เล่าจบเพื่อนๆแต่ละคนก็มีหน้าตาเคร่งเครียดไม่ต่างกันเลย
“เพราะแบบนั้นแหละ กูเลยว่าจะลองถอยออกมาจากสิชลสักหน่อย คือเรื่องนี้สิชลมันไม่ผิดเลย เขาก็เป็นแบบนั้นมาตลอด แต่กูคงผิดเองที่คิดเข้าข้างตัวเองมากไปว่าพอจะมีสิทธิ์ แต่สุดท้ายเมื่อมันไม่ใช่กูเลยเสียใจ แต่ใช่ว่ากูจะเกลียดสิชลนะ กูก็ยังรู้สึกดีกับเขาเหมือนเดิมนั่นแหละ”
กรยอมรับได้อย่างเต็มปากว่าความรู้สึกที่มีให้สิชลไม่ได้น้อยลงไปเลย หากแต่ถ้าเขายังคงได้ใกล้ชิดเหมือนแต่ก่อนมันคงจะไม่เป็นผลดีกับความรู้สึกที่คิดหวังของเขาตอนนี้
กรวิทย์ในตอนนี้ไม่ได้เป็นคนที่ชอบสิชลด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์อีกต่อไป เขาทนไม่ได้อีกแล้วถ้าจะต้องมอบหัวใจให้ไปโดยที่ไม่ได้อะไรตอบกลับมาเลย ดังนั้น การเว้นระยะห่างต่อกันน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะตัวเขาเองก็อยากกลับไปเป็นคนเดิมคนที่แม้จะได้มองอยู่ในมุมไกลๆแต่ก็พอใจและมีความสุข
“สรุปคือกรพยายามจะไม่สนใจสิชลแล้วหรอ?”
“แค่ช่วงนี้น่ะส้ม คงเพราะได้ใกล้เกินไปเราเลยหวังเยอะ ถ้าได้กลับไปแอบมองเหมือนแต่ก่อนเราว่าน่าจะดีกว่านี้”
ส้มทำได้เพียงพยักหน้าให้กับคำตอบของกรวิทย์ ตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่าควรจะให้เพื่อนสนิทตัวเล็กทำอย่างไรต่อไปดี ใจหนึ่งก็อยากจะให้เพื่อนลองหาคำตอบให้แน่นอนก่อนว่าสิชลมีแฟนแล้วจริงๆน่ะหรอแต่พอเห็นท่าทางของเพื่อนตัวเองแล้วก็ได้แต่สงสาร คงไม่อยากจะเจอจริงๆนั่นแหละ แต่ถ้าเกิดว่าสิชลยังไม่มีแฟน เพื่อนสนิทของเธอเข้าใจผิดไปเองแบบนี้มันก็เท่ากับเสียโอกาสไปชัดๆเลย
“แต่กูไม่เห็นด้วยว่ะ” ติณเอ่ยแทรกขึ้นมา โดยอาร์ทเป็นลูกคู่พยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่ติณจะพูดต่อ “มึงบอกว่ามึงเก่งเรื่องคิดไปเอง เรื่องแฟนไอ้สิชลมึงก็อาจจะคิดไปเองด้วยก็ได้นะ ถ้าไอ้สิชลมันมีแฟนข่าวมันต้องดังกว่านี้สิวะ แต่นี่เงียบจะตายไม่เห็นมีใครพูดถึงเลย พวกกูไปกินเหล้าก็เจอพวกมันออกจะบ่อยแต่ไม่เห็นแฟนไอ้สิชลอย่างที่มึงว่าเลย”
“นั่นสิกร ส้มว่ารอคำตอบที่แน่ชัดก่อนไหม แล้วถ้ากรจะถอดใจเราจะไม่ห้ามเลย”
กรวิทย์หันไปมองเพื่อนสนิทเหมือนกำลังขอความมั่นใจ แบบนั้นมันจะดีหรอ ไม่เอาหรอก เขาไม่อยากจะรู้สึกเศร้าแบบตอนนี้ เขาส่ายหัวเป็นการปฏิเสธข้อเสนอของเพื่อนๆก่อนจะหลบสายตาทำเป็นมองชีทและตั้งใจเรียนตามสิ่งที่อาจารย์สอน
“กร ในเมื่อมึงบอกว่าจะถอยอยู่แล้ว ถ้ามึงจะฟังความจริงสักหน่อยมันจะเป็นไรวะ” อาร์ทเอ่ยออกมา “เดี๋ยวพวกกูไปสืบมาให้ถ้าเขาเป็นแฟนกันจริงแบบที่มึงคิด มึงจะถอยกูก็โอเค แต่ถ้าเขาไม่ได้เป็นแฟนกัน แล้วมึงยังอยากจะถอยอีก กูก็จะไม่ห้ามเลย”
นั่นสินะ ในเมื่อตัวกรเองก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะลองถอยออกมา ไม่ตามสิชลเหมือนแต่ก่อนแล้ว ต่อให้ความจริงเป็นยังไงมันคงไม่มีผลต่อตัวเขามากนัก เพราะความหวังมันก็เป็นศูนย์เหมือนกันหมดทุกทาง
“เอาแบบนั้นก็ได้”
เพื่อนสนิททั้งสามคนพึงพอใจกับคำตอบที่ได้รับ พวกเขาอยากจะรู้คำตอบที่แน่ชัด ไม่ใช่มาจากการคาดเดาไปเองของกรวิทย์ เพราะจากที่ผ่านมาก็ค่อนข้างมีความเป็นไปได้ว่ากรวิทย์ก็อยู่ในความสนใจของสิชลอยู่เหมือนกัน
✽ ✾ ✿ ❀ ❁ ❃ ❋
หลังจากเมื่อวานที่ตอบตกลงเพื่อนสนิทไปว่าจะรอฟังคำตอบที่แน่ชัดจากสิชลเสียก่อนว่าผู้ชายตัวเล็กที่อยู่ด้วยกันในช่วงนี้เป็นคนพิเศษของสิชลหรือเปล่า กรก็ทำได้แค่รอจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ววันนี้เขาก็ยังไม่เจอสิชลเลย ขนาดว่าตอนพักเที่ยงส้มมาลากเขาไปกินข้าวที่โรงอาหารมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังไม่เจออยู่ดี
“สรุปว่าคืนนี้เดี๋ยวกูกับไอ้อาร์ทจะไปเอาคำตอบมาให้มึงนะกร” ติณเอ่ยโพล่งออกมาทันทีหลังจากที่วางสายเสร็จ เขาคาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนต่างคณะมาชวนออกไปเที่ยวแน่นอน “พอดีคืนนี้วันเกิดไอ้แชมป์ เพื่อนในกลุ่มสิชลมันน่ะ เดี๋ยวพวกกูจะถามมาให้ละเอียดยิบเลย”
“พวกมึงจะบ้าหรอ ไปถามเขาแบบนั้นได้ไง เดี๋ยวก็ได้โดนสงสัยกันหมด” ผมเอ่ยด่าออกไป
“แหมมม ถ้าเขาจะสงสัยก็คงไม่ใช่พวกกูหรอกครับ มึงน่ะตัวดี! ท่าทางมีพิรุธสัด แล้วที่สำคัญพวกกูก็ไม่โง่ถามเขาออกไปตรงๆหรอก”
ผมเบะปากใส่เพื่อนสนิททั้งสองหมั่นไส้กับท่าทางอวดเก่งแบบนั้นเหลือเกิน แต่ท่าทางว่าพวกมันคงจะหมั่นไส้ผมมากกว่าเพราะต่างพร้อมใจกันตบหัวผมกลับมาทันที
“โอ๊ยยยย เจ็บนะเว้ย ยิ่งปวดหัวอยู่ด้วย” ผมแกล้งร้องโอดโอยออกไป การแสดงของผมนี่ประหนึ่งว่าไปเรียนการแสดงกับครูเงาะมาเลยทีเดียว
“ติณกับอาร์ท หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ กรยิ่งไม่สบายอยู่ยังจะเล่นแรงๆอีก” ส้มตวาดเพื่อนตัวดีของผมทันทีที่ผมแกล้งร้องบอกว่าเจ็บ ฮ่าๆๆ หน้ามันสองคนจ๋อยสนิทเลยครับ เล่นกับใครไม่เล่น หึหึ!
“ไอ้กรมันแกล้งสำออยไปอย่างนั้นแหละ มึงดูไม่ออกหรอส้ม”
ติณไม่ยอมโดนด่าอยู่ฝ่ายเดียวหรอก ดูก็รู้แล้วครับว่ามันแกล้งเจ็บ รู้แบบนี้เมื่อกี้ไม่ออมแรงเสียดีกว่ามันจะได้เจ็บจริงไปเลย
“กูไม่ได้แกล้งสักหน่อย” ผมหันไปบอกไอ้ติณกับอาร์ทที่ทำหน้าไม่เชื่อผมสุดฤทธิ์ “ส้มดูสิ หัวแตกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ปวดหัวยิ่งกว่าเดิมเลย” ผมหันไปออดอ้อนกับส้มแทนครับ คะแนนสงสารคงจะพุ่งน่าดู ฮ่าๆๆ
“พอได้แล้วทั้งคู่เลย โตแล้วนะยังแกล้งกันเป็นเด็กไปได้” ท่าทางของส้มดูเหมือนจะเหนื่อยหน่ายกับพวกผมเสียเหลือเกิน “เดี๋ยววันนี้เราจะกลับเร็วหน่อยมีธุระกับที่บ้านน่ะ จะแยกย้ายกันเลยไหม” ส้มหันมาถามความเห็นคนอื่น
“งั้นเดี๋ยวกูกับไอ้อาร์ทกับหอเลยแล้วกัน กรมึงจะกลับพร้อมกูเลยป่าวเดี๋ยวแวะส่ง”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินไปเองก็ได้ กะว่าจะไปซื้อสมุดรานงานที่สหกรณ์ก่อนน่ะ พวกมึงกลับก่อนเลย”
“โอเค ถ้างั้นเรากลับก่อนแล้วกันนะ เจอกันพรุ่งนี้”
ส้มเอ่ยลาออกมาพร้อมกับกวาดสิ่งของทุกอย่างลงกระเป๋าอย่างรีบร้อน ผมโบกมือลาส้มก่อนหันไปลาไอ้ติณกับอาร์ทแล้วเดินแยกออกมา
ช่วงนี้ใกล้จะสอบกลางภาคแล้วทั้งรายงานกลุ่ม รายงานเดี่ยว และการบ้านต่างประเดประดังเข้ามา อาจารย์แต่ละวิชาสั่งงานเหมือนกับว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายเพราะมันช่างเยอะเสียเหลือเกิน ขนาดว่าเขาเพิ่งซื้อสมุดรายงานไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เองแต่วันนี้ก็ต้องมาซื้ออีกครั้ง สงสัยต้องซื้อไปตุนไว้หลายๆเล่มแล้วล่ะขี้เกียจเดินมาซื้อบ่อยๆ
กรวิทย์เดินผ่านทางเดินรอบสนามฟุตบอล ภายในสนามเต็มไปด้วยนักกีฬาฟุตบอลที่ต่างกำลังขะมักเขม้นตั้งใจซ้อมอยู่ในสนาม เสียงโหวกเหวกโวยวายเรียกความสนใจจากผู้คนรอบสนามรวมถึงตัวเขาเองได้เป็นอย่างดี
“เฮ้ยยยยยย ระวัง!”
กรวิทย์หันตามเสียงเรียกก่อนจะเห็นลูกฟุตบอลกำลังพุ่งตรงมาที่เขา กรวิทย์เบี่ยงตัวหลบได้ทันอย่างเฉียดฉิวโดยลูกบอลพุ่งผ่านหน้าเขาไปตกลงที่อีกฝั่งหนึ่งของถนน เกือบไปแล้วไหมล่ะ ถ้าเมื่อกี้หลบไม่ทันคงได้นอนสลบอยู่ตรงนี้แน่ๆ
“คุณเป็นอะไรไหม ขอโทษด้วยนะครับ” เสียงของผู้ชายตรงหน้าเรียกให้สติของเขากลับมาหลังจากที่ยืนอึ้งอยู่
“เอ่ออ ไม่เป็นไรครับ เมื่อกี้ไม่โดน” กรเอ่ยออกไปให้คนตรงหน้าสบายใจ
“ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ” ชายหนุ่มร่างกายสมส่วนตรงหน้ายังคงกล่าวขอโทษอยู่ กรวิทย์ส่งยิ้มคืนไปเพื่อยืนยันว่าเขาไม่เป็นอะไรจริงๆ แต่ท่าทางคนตรงหน้าเหมือนยังสงสัยอยู่ “เอ่อ นี่ใช่กรหรือเปล่า”
“เฮ้ย รู้จักเราด้วยหรอ?”
ผมตกใจนะเนี่ยทำไมรู้จักชื่อเราด้วย มั่นใจว่าไม่รู้จักมาก่อนแน่นอน
“พอดีเรารู้จักกับติณ อาร์ทน่ะ เหมือนจะเห็นเดินกับสองคนนั้นบ่อยๆ สรุปใช่กรใช่ป่ะ?”
“อ่ออ ใช่ๆ แล้วนายชื่อไรอ่ะ”
“เราชื่อกล้า อยู่เกษตรน่ะ เจอกันทักได้เลยนะ” กรวิทย์ยิ้มให้เพื่อนใหม่อย่างงงๆ “เดี๋ยวเราไปก่อนนะกรเพื่อนเรียกแล้ว” กล้ารีบวิ่งไปเก็บลูกบอลก่อนจะหันมาโบกมือลา เอ่ออ สรุปตอนนี้ผมมีคนรู้จักเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วสินะ
กรวิทย์เดินมาถึงสหกรณ์แล้ว เขาตรงไปที่ชั้นที่เต็มไปด้วยสมุดรายงานก่อนจะเลือกเล่มที่ถูกใจมา2เล่มและเดินดูของรอบๆอีกสักพัก รู้ตัวอีกทีเข็มนาฬิกาบนหน้าปัดบอกเวลา18.30แล้ว กรจึงรีบนำสมุดรายงานไปชำระเงิน แต่ทันทีที่เดินออกมาด้านนอก สายฝนกำลังโปรยปรายโดยรอบ ท้องฟ้าเปลี่ยนสีขมุกขมัวชวนให้อารมณ์หม่นหมองได้ง่ายอย่างไม่ต้องสงสัย
กรยืนหลบฝนอยู่ที่หน้าร้านสหกรณ์เพราะเมื่อเช้าลืมหยิบร่มติดมือมาด้วย และเขาเองก็ไม่อยากเสี่ยงวิ่งฝ่าสายฝนกลับไปถึงหอเนื่องจากเมื่อเช้าเขาเองมีอาการปวดหัวและครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่ก่อนแล้ว มั่นใจว่าหากวิ่งตากฝนกลับไปเขาต้องได้เป็นไข้หวัดแน่ๆ
ผมกวาดสายตามองไปโดยรอบเผื่อจะมีคนรู้จักที่จะพออาศัยพากลับไปหอได้ สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับสิชลที่กำลังยืนอยู่ใต้ตึกคณะวิศวกรรมกับเพื่อนๆโดยที่เขาก็หันมาสบตากับผมพอดี ผมรีบหลบสายตาและหันไปทางอื่นทันที
“กร ติดฝนกลับหอไม่ได้หรอ?” กรวิทย์สะดุ้งก่อนจะหันมาหาเสียงเรียกที่ดังขึ้นข้างตัว สิชลที่กำลังถือร่มสีดำไว้ในมือเอ่ยถามออกมา
“คือเราลืมเอาร่มมา กะว่าเดี๋ยวฝนซาอีกสักหน่อยก็จะกลับแล้วล่ะ”
“งั้นเดี๋ยวเราไปส่งดีกว่า ดูท่าว่าอีกนานกว่าฝนจะหยุดตก”
“เฮ้ยย ไม่เป็นไร สิชลไม่ต้องลำบากหรอก”
“ไม่ลำบากอะไรหรอกเราไม่มีเรียนแล้ว เอาแบบนี้ไหม พอดีวันนี้เราไม่ได้เอารถมาซะด้วย เดี๋ยวเราไปยืมรถเพื่อนไปส่งกรดีกว่าจะได้เร็วๆ”
กรวิทย์รีบห้ามสิชลที่กำลังทำท่าเหมือนจะไปหาเพื่อนตัวเองเพื่อขอยืมรถ “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้สิชล เราเกรงใจ เราแค่ขอยืมร่มก็พอแล้ว”
“อ่ออ พอดีร่มนี่เราก็ยืมเพื่อนมาด้วยน่ะสิ แหะๆ งั้นเดี๋ยวเราเดินไปส่งดีกว่า ป่ะ!”
กรวิทย์ตาโตไปกับอาการพูดเองเออเองของคนข้างๆ เขายังไม่ได้ตกลงด้วยเลยนะว่าจะให้สิชลเดินไปส่ง ทำแบบนี้แล้วเขาจะถอยห่างได้อย่างไร
สิชลเดินถือร่มไปตามทางเดินโดยมีคนตัวเล็กข้างกายที่ไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาเลย ทันทีที่ผมเสนอว่าจะมาส่ง กรดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมาแถมยังเอาแต่มองทางไม่สนใจกันเหมือนเคย คนข้างตัวแปลกไปผมรู้สึกได้ สายตาที่เคยมองแต่ผมแต่วันนี้กลับไม่ยอมสบตากันเลย
“ยืนห่างขนาดนั้นเดี๋ยวก็เปียกหรอก” ผมโอบไหล่กรให้เข้ามาชิดกันมากขึ้น คนตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อผมสัมผัสแต่ก็ยอมขยับเข้ามาแต่โดยดี ผมเอียงร่มไปทางฝั่งของกรเพราะแขนเสื้อเขาเริ่มเปียกมากขึ้นแล้ว
“สิชลไม่ต้องเอียงร่มมาฝั่งเราขนาดนี้สิ เปียกหมดแล้วเห็นไหม” คนตัวเล็กดันร่มที่อยู่ในมือผมให้ถอยมาอยู่ตรงกลาง
“ไม่ต้องห่วงเราหรอกตัวโตขนาดนี้ไม่เป็นไรง่ายๆ กรนั่นแหละ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะ”
กรวิทย์เหลือบตามองใบหน้าของคนข้างตัว ตอนนี้หัวไหล่ของทั้งสองคนแนบชิดกันและมันก็ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจกรวิทย์ทำงานหนักเป็นพิเศษอีกแล้ว ฝั่งด้านขวาของสิชลเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน เสื้อนักศึกษาแนบไปกับตัว
กรวิทย์รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเหตุการณ์วันก่อนที่ทำให้เขารู้สึกแย่ เหตุการณ์ในตอนนี้ก็คงมาถมที่ว่างที่หายไปได้ซะมิดแถมยังเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย
ระยะทางกลับหอมันช่างรวดเร็วเกินไปในความรู้สึก แม้จะไม่มีบทสนทนาใดแต่กรวิทย์ก็ไม่รู้สึกอึดอัด ไหล่ที่แนบชิดกันส่งผ่านกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆจากตัวของสิชล กลิ่นหอมเย็นของน้ำหอมช่างเข้ากับบุคลิกของคนข้างตัวเสียจริง ตึกสูงเบื้องหน้าบ่งบอกถึงช่วงเวลาอันหอมหวานนี้กำลังจะหมดลง
ใต้หอพักชายในเวลานี้คลาคล่ำไปด้วยนักศึกษามากหน้าหลายตาที่กำลังรอให้สายฝนเบาบางลง สายตาหลายคู่กำลังมองมาทางนี้เขารู้สึกได้ ผู้ชายสองคนเดินแนบชิดใต้ร่มคันเดียวกันมันคงจะเป็นภาพแปลกตาไปเสียหน่อย
“ขอบคุณสิชลมากเลยนะ เกรงใจมากเลย ทีหลังให้ยืมร่มมาก็ได้”
“บอกแล้วไงว่าไม่ได้ลำบากอะไรสักหน่อย ออกจะเต็มใจด้วยซ้ำไป”
“ห๊ะ?.. .” กรวิทย์คิดว่าเขาคงจะหูฝาดไปแน่ๆ สิชลไม่มีทางพูดแบบนั้นแน่ๆ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะถามย้ำเพื่อความแน่ใจเสียงโทรศัพท์ของคนตรงหน้าก็ดังขึ้นมาก่อน
Rr Rr Rr
เสียงเรียกเข้าดังขึ้น สิชลหยิบโทรศัพท์ออกมาก่อนจะกดรับสาย “ว่าไงบูม อ่อ.. .เรากำลังจะเดินกลับไปพอดี บอกพวกมันรอก่อน” พวกเพื่อนๆโทรมาตามเขาเพราะวันนี้เป็นวันเกิดแชมป์เลยนัดกันไว้ว่าจะไปเลี้ยงฉลองให้เจ้าของวันเกิด แต่คงเพราะว่าเขาหายมานานพวกนั้นเลยโทรมาตาม
สิชลเอ่ยชื่อคนที่โทรมา กรจำได้ทันทีว่าต้องเป็นคนที่เขาเคยเจอเมื่อวันก่อน นั่นไงล่ะ ตัวจริงเขาโทรมาตามแล้วสินะ
“แฟนโทรมาตามแล้วใช่ไหม? ขอโทษที่ทำให้เสียเวลานะสิชล” กรตัดสินใจที่จะเอ่ยสิ่งที่ค้างคาใจออกไป
“เฮ้ยย แฟนที่ไหนกัน เดี๋ยวก่อนๆ เข้าใจเราผิดแล้ว” สิชลตกใจไม่น้อย อยู่ดีๆเขาก็มีแฟนซะอย่างนั้น คนตรงหน้าเขาต้องกำลังเข้าใจผิดแน่ๆเลย
“ก็เราเห็นเขาอยู่กับสิชลบ่อยๆ แถมเมื่อกี้ก็โทรมาตามกันด้วย แฟนกันชัดๆ ฮ่าๆ” ตลกกลบเกลื่อนชัดๆเลย กรวิทย์พยายามทำให้เรื่องที่ตัวเองเพิ่งเอ่ยออกไปเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แซวเล่นไปแบบนั้นแต่ทั้งๆที่ในใจมันหัวเราะไม่ออกเลยสักนิด
สิชลจ้องมองคนตัวเล็กที่กำลังพยายามหัวเราะทั้งที่นัยน์ตาคลอไปด้วยม่านน้ำสีใส เขาทนเห็นคนตรงหน้าเป็นแบบนี้ไม่ได้ สิชลรวบร่างของกรวิทย์มากอดไว้แน่น “ที่วันนี้กรหลบหน้า ไม่ยอมสบตากันก็เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม”
กรวิทย์ดื้นขัดขืนแต่บอกเลยว่ามันไม่ได้สะเทือนเขาหรอก ความรู้สึกเปียกชุ่มบริเวณหน้าอกและแรงสะอื้นมันทำให้เขารู้ว่ากรกำลังร้องไห้และเสียใจมากจริงๆ “กรหมายถึงบูมใช่ไหมที่บอกว่าเป็นแฟนเรา” คนในอ้อมแขนผงกหัวรับเป็นคำตอบ “เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว บูมเป็นเพื่อนเราจริงๆ แต่ที่เห็นช่วงนี้อยู่ด้วยกันบ่อยเพราะบูมให้ช่วยติวหนังสือให้น่ะ ยืนยันอีกครั้งว่าเพื่อนกันจริงๆ”
กรผละออกมาจากอ้อมแขนของสิชล สรุปว่าที่ผ่านมาเขาคิดไปเอง เข้าใจผิดและก็ดราม่าไปเองคนเดียวใช่ไหมเนี่ย รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น แถมยังมายืนร้องไห้ต่อหน้าสิชลแบบนี้อีกเขาจะคิดยังไงเนี่ย
“เอ่ออ.. สงสัยเพราะจะไม่สบายเราเลยอารมณ์แปรปรวนน่ะ สิชลอย่าถือสาเราเลยนะ”
“หึหึ! ไม่ทันแล้วมั้ง มาร้องไห้เพราะเรามีแฟนแบบนี้ คิดไรกับเราป่าว?”
“เฮ้ยยยยย คือเรา.. เอ่อ..” สัญญาณเตือนของกรวิทย์บอกได้ว่าตอนนี้กำลังเข้าสู่สถานการณ์ขับขัน เขาควรต้องตอบออกไปว่าอย่างไรดี มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ
“คิดกับเราหน่อยก็ได้นะกร” สิชลเอ่ยออกมา ใบหน้าคนตัวเล็กที่ดูจะตกใจกับคำพูดเชิญชวนของผมไม่น้อย ฮ่าๆ ท่าทางเหวอๆแบบนี้ก็น่ารักดี จริงๆผมพอจะรู้มาได้สักระยะแล้วว่าคนตัวเล็กตรงหน้านี้คิดไม่ซื่อกับผมเพราะติณเคยเผลอหลุดพูดออกมาตอนเมาว่ามีเพื่อนสนิทเขาที่ชอบผม ในตอนแรกผมคิดว่าน่าจะเป็นส้มแต่พอสังเกตก็พบว่าเป็นคนตรงหน้านี้ล่ะครับ ผมมั่นใจ สายตาของเขาที่คอยมองอยู่ตลอดเวลา ผมรู้ตัวอยู่เสมอ
ฮัดเช้ยยย .. .
เสียงจามมาจากกรวิทย์ ดูก็รู้แล้วว่าคงจะโดนอาการหวัดเล่นงานแล้วแน่ๆ สิชลยื่นมือทาบที่หน้าผาก อืมมม ตัวเริ่มรุมๆแล้ว คงได้เวลาที่คนตรงหน้าควรไปพักผ่อนได้แล้ว
“กรรีบไปพักเถอะ อาการไม่ค่อยดีแล้วนะ”
“เอ่อ.. . ถ้างั้นสิชลกลับดีๆนะ วันนี้เราขอบคุณมาก”
“ด้วยความยินดี เราไปก่อนนะ”
กรวิทย์ยืนโบกมือลาสิชลก่อนที่จะเดินขึ้นหอพักไป กดลิฟต์ไปยังชั้นบนสุด เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิชลจะพูดแบบนั้นออกมา สิชลอยากให้เราคิดอะไรด้วยจริงๆหรอ
ฮัดเช้ยยย .. .
ท่าทางเขาจะโดนไข้หวัดเล่นงานอย่างที่สิชลบอกซะแล้ว ตากฝนทีไรเป็นแบบนี้ทุกที แต่ถ้าตากฝนแล้วเป็นแบบวันนี้มันก็โคตรจะคุ้มเลย ยืนอยู่ใต้ร่มคันเดียวกัน อยู่ในอ้อมกอดแบบนั้น ถ้าสำหรับสิชลเขายอมเป็นไข้ได้เสมอนะ
ไ ข้ ที่ ช ล . . .TBC.