14 – อบเชยเสียงออดสัญญาณดังขึ้น นักศึกษาที่ยังเหลืออยู่ภายในห้องสอบส่วนมากเงยหน้าขึ้นมาจากข้อสอบ หันมองหน้ากันเองพร้อมท่าทางที่ดูเหมือนหมดหวังกับคะแนนสอบที่ยังไม่ออกของวิชาภาคตัวนี้
อาจารย์ทยอยเดินเก็บข้อสอบในขณะที่เพื่อนๆในห้องก็เก็บของและลุกออกจากห้องสอบที่นั่งมา3ชั่วโมงเต็ม เสียงบ่นดังเซ็งแซ่บริเวณหน้าห้องพูดถึงความยากและความโหดของวิชานี้
“อาจารย์แม่งประยุกต์ซะกูไปไม่เป็นเลย” เสียงบ่นจากติณดังขึ้นหลังจากที่เจ้าตัวนั่งทำข้อสอบจนหมดเวลา ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับเพื่อนสนิทของเขาคนนี้
“นั่นดิ สูตรที่กูท่องมาไม่มีความหมายเลย ไม่รู้จะใช้ยังไง” ท่าทางเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากของอาร์ทช่วยยืนยันคำพูดของตัวเองได้จริงๆว่ากระดาษข้อสอบที่เพิ่งถูกเก็บไปไม่น่าจะใช่คำตอบที่ถูกต้องมากนัก
“นี่ก็ทำได้ล่ะสิ เห็นเขียนซะเยอะเลย”
ส้มหันมาแซวผมที่ยืนนิ่งไม่ได้พูดอะไร ส่งไปเพียงรอยยิ้มที่ไม่ได้อธิบายขยายความจากคำบอกของส้ม หากถามว่ามั่นใจกับคำตอบที่เขียนไปเสียมากมายไหม ผมก็ไม่มั่นใจมากนัก แต่อย่างน้อยก็มั่นใจว่าน่าจะเกินกึ่งหนึ่งของคะแนนเต็ม และผมก็ไม่อยากพูดให้เพื่อนหมั่นไส้อีกต่างหาก แค่นี้ก็สงสารแล้ว
แม้จะหมดเวลาสอบแล้วแต่เพื่อนบางคนก็ยังคงอยู่แถวนั้น ผลัดเวียนกับถามหาคำตอบของข้อสอบที่ตนสงสัยว่าทำถูกหรือไม่ และดูเหมือนว่ายิ่งติณได้ยินคำพูดของคนอื่นว่าตอบอะไรกันบ้าง ใบหน้าของเพื่อนสนิทก็ชักจะเปลี่ยนสีจนซีด ยิ่งมองก็ยิ่งอดขำไม่ได้
“กร .. กร”
กรวิทย์หันซ้ายหันขวาตามเสียงเรียกชื่อตัวเองที่ได้ยิน ก่อนจะพบว่ามาจากคนตัวโตที่กำลังยื่นหน้ามาทักทายเขาจากชั้นบน สิชลโบกมือทักทายแล้วหันไปพูดอะไรบางอย่างกับกลุ่มเพื่อนก่อนรีบวิ่งลงมา
ชายเสื้อนักศึกษาหลุดออกมาจากกางเกงสแล็คสีดำ ภาพตรงหน้าไม่ค่อยคุ้นตาสำหรับเขานักเพราะบ่อยครั้งที่เจอกันคนตัวโตมักจะอยู่ในชุดช็อปเสียมากกว่า
“ไม่รู้ว่าสอบตึกเดียวกัน”
ท่าทางแปลกใจของคนตรงหน้าที่เห็นผมมีสอบที่ตึกเดียวกัน เพราะช่วงนี้เราคุยโทรศัพท์กันไม่นานนักส่วนมากจะส่งข้อความหากันเสียมากกว่า และวิชาสอบของพวกเราก็ยากกันทั้งนั้น เวลาในช่วงนี้พวกเราเลยทุ่มให้การติวสอบกันมากกว่าแต่สิชลก็ยังหาเวลามากินข้าวเย็นกับเขาได้อยู่บ่อยๆ
“นั่นสิ สิชลสอบเสร็จแล้วหรอ?”
“เรารอสอบน่ะ แต่เพื่อนๆเรียกให้มาช่วยติวให้อีกครั้งก่อนเข้าสอบ”
“อ่ออ งั้นเดี๋ยวช่วงเย็นเราค่อยเจอกันก็ได้ สิชลไปหาเพื่อนก่อนเถอะ”
“กรสอบเสร็จแล้วหรอ?”
“ใช่ นี่ก็ว่าจะกลับไปนอน เมื่อคืนนอนนิดเดียวเอง”
“โอเคครับ เดี๋ยวช่วงเย็นเราไปหาแล้วกันนะ”
“ทำข้อสอบให้ได้นะ”
“หื้มมม ได้ยินแบบนี้ท่าทางเราจะได้เต็ม ฮ่าๆๆ”
สิชลยืนดูกรวิทย์เดินกลับไปจนลับสายตาก่อนจะกลับไปหากลุ่มเพื่อนๆและไม่วายโดนแซวเรื่องกรวิทย์อีกตามเคย เขาไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้แต่ก็ไม่ชินซะทีเดียวถ้ามีคนมาแซวหรือล้อเขาเรื่องคนตัวเล็ก
.
.
.
.
.
กรวิทย์งัวเงียลุกขึ้นมาเพราะเสียงจากเครื่องมือสื่อสารที่กำลังส่งเสียงร้องไม่หยุด รายชื่อที่โชว์บนหน้าจอก็มีอยู่คนเดียวที่เขากำลังคุยด้วยอบู่ตอนนี้
“ครับ?”
“ยังไม่ตื่นใช่ไหมกร หกโมงกว่าแล้วนะ หิวยัง?”
“หิวแล้ว เดี๋ยวขอไปล้างหน้าแปบนึง”
“โอเค เรารออยู่ช้างล่างนะ”
กรวิทย์กดตัดสายก่อนลุกขึ้นเดินไปยังห้องน้ำรวมเพื่อล้างหน้าล้างตา ทันทีที่โดนความเย็นจากน้ำสัมผัสกับใบหน้าความรู้สึกสดชื่นก็เข้ามาแทนที่ เสียงท้องร้องที่ดังขึ้นบ่งบอกถึงความหิวในตอนนี้ได้ดีทีเดียว
เขาเดินลงมาใต้หอพัก สายตาสอดส่องหาคนตัวโตก่อนจะเห็นว่ากำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่ประจำที่เจ้าตัวมักจะมารอเขา กรวิทย์เดินเข้าไปใกล้สิชลอย่างช้าๆหวังจะแกล้งร่างสูงให้ตกใจและสิชลเหมือนรู้ทันเพราะรีบหันมาหาก่อนทำให้กรวิทย์เซ็งไม่น้อย
“เดี๋ยวนี้ขี้แกล้งนะเรา”
สิชลเอ่ยเย้าคนตัวเล็กที่พักหลังมักจะเริ่มกล้าหยอก กล้าเล่นกับเขามากขึ้น กรวิทย์ในสายตาเขาตอนนี้ดูเป็นผู้ชายขี้เล่นที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ อยู่ด้วยแล้วไม่อึดอัด ไม่ต้องคอยสร้างภาพ
“เหม่ออะไรเนี่ย?” กรวิทย์บ่นสิชลที่กำลังเหม่อ
“เปล่าครับ แค่คิดอะไรไปเรื่อยน่ะ”
“คิดอะไร คิดถึงคนอื่นหรอ เดี๋ยวเหอะๆๆ”
กรวิทย์ทำท่าดูแบบไม่จริงจังใส่คนตัวโตที่บอกว่ากำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เขาแค่จะแกล้งเท่านั้นแหละเพราะเห็นว่าเพิ่งสอบเสร็จอาจจะเครียดอยู่ก็ได้
“คิดถึงเรื่องของเราต่างหาก คิดว่าทำไมถึงรู้สึกดีได้ขนาดนี้”
“…”
ริมฝีปากของคนตัวเล็กที่กำลังเอ่ยเจื้อยแจ้วแกล้งเขาหุบเม้มเข้าหากันทันทีเหมือนคนที่กำลังไปไม่เป็น ริ้วสีแดงบริเวณแก้มบอกได้ถึงอารมณ์ของอีกฝ่ายที่กำลังเขินและไม่รู้จะทำอย่างไร ฮ่าๆ เห็นแบบนี้แล้วยิ่งน่าแกล้ง
กรวิทย์น่ะขี้อายจะตายไป..
แค่เขาพูดหยอดหรือแสดงความเป็นเจ้าของนิดหน่อย อาการของคนตรงหน้าก็จะกลับมาเป็นคนไม่พูดไม่จาเหมือนในตอนนี้ทันที
“เงียบเลย เขินหรอ?”
“มั่วแล้ว ใครเขินกัน วู้วว หิวข้าวแล้วเนี่ย ไปกันยัง?”
ท่าทางของคนที่บอกว่าไม่ได้เขินแต่กลับเปลี่ยนเรื่องและลุกพรวดพราดออกไปสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาได้อีกที สิชลรีบเดินตามกรวิทย์ไปก่อนที่จะตกลงกันว่าจะกินอะไรกันดี
หลังจากตกลงกันได้ว่าจะกินก๋วยเตี๋ยว สิชลและกรวิทย์ก็เลือกร้านประจำที่ทั้งคู่ชอบมากินบ่อยๆจนพ่อค้าจำหน้าได้และมักแซวพวกเขาอยู่เสมอ
เมนูที่ทั้งคู่สั่งก็ยังเป็นแบบเดิมที่มักจะชอบกิน และระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟสิชลก็บ่นถึงข้อสอบที่เจ้าตัวเพิ่งจะสอบผ่านมาว่ายากเหลือเกิน
“คะแนนไม่ดีแน่วิชานี้ เฮ้อออ”
“เอาน่า เราเต็มที่แล้ว ได้แค่ไหนก็ต้องยอมรับ”
แม้จะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วแต่สิชลก็ยังอดบ่นไม่ได้ รู้แบบนี้น่าจะตั้งใจให้มากกว่านี้ เขาไม่อยากคะแนนตกและวิชานี้สามหน่วยกิตซะด้วย
“ก๋วยเตี๋ยวมาแล้วครับ”
เจ้าของร้านนำก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะพร้อมบอกว่าทานให้อร่อย ทั้งคู่ขอบคุณพ่อค้าก่อนลงมือทานกันไปแบบเงียบๆ
“อ่ะ ให้ของโปรดเราเลยจะได้อารมณ์ดีขึ้น”
กรวิทย์คีบลูกชิ้นสองลูกในชามของคนเองใส่ในชามของคนตรงหน้า เห็นท่าทางหงอยๆเพราะทำข้อสอบไม่ได้แบบนั้นแล้วรู้สึกไม่ดีด้วยเลย เขาคงทำได้แค่ให้ของโปรดกับคนตัวโต กินของอร่อยๆเยอะๆจะได้มีรอยยิ้ม
“โหยย จะทำให้หลงไปไหนเนี่ย”
สิชลไม่สามารถหุบยิ้มได้เลยกับวิธีน่ารักๆของร่างเล็กที่อยากให้เขาอารมณ์ดีกว่านี้ เขาเองก็ขอแค่บ่นเฉยๆแต่ก็ไม่ได้อารมณ์เสียมากมายอะไรขนาดนั้น แต่การที่คนตัวเล็กห่วงใยและใส่ใจกันแบบนี้เขาเองก็ยิ้มแก้มปริเลยสิ
บทสนทนาระหว่างมื้อเย็นก็เป็นเรื่องราวของเพื่อน เรื่องรอบตัว หรือพูดง่ายๆว่าไม่มีสาระสำคัญอะไรมากหรอก และเมื่อทั้งคู่จัดการอาหารเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจเดินย้อนไปทางหน้าม.เพื่อเป็นการย่อยอาหารไปในตัว
ความมืดรอบตัวในไม่ได้ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูน่ากลัว รถยนต์ยังคงวิ่งขวักไขว่บนท้องถนน นักศึกษาประปรายเดินสวนทางผ่านพวกเขาไปและสภาพอากาศที่เย็นลงช่วยทำให้บรรยากาศที่เป็นอยู่มันผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ
“สอบเสร็จแล้วก็มีเรียนต่อเลยแบบนี้ไม่ได้เนอะ เหมือนไม่ได้พัก”
สิชลเอ่ยชวนคุย เพราะหลังจากสอบกลางภาคเสร็จพวกเขาก็มีเรียนต่อในวันรุ่งขึ้นเลย มันเป็นเรื่องยากลำบากมากจริงๆเพราะเหมือนร่างกายหมดพลังไปกับการสอบและยังไม่ได้ชาร์จแบตเลย
“ปกติก็เห็นว่าไม่ค่อยเรียนอยู่แล้วนิ ชอบส่งข้อความมากวนเราเวลาเรียนตลอด ไม่ต้องมาบ่นเลย”
“ฮ่าๆ รู้ทันอีก แฟนใครเนี่ย”
“...”
“เขินหรอ? เงียบเลย ฮ่าๆ แฟนใครทำไมน่ารักจัง”
สิชลยังไม่หยุดแกล้งคนตัวเล็กที่เริ่มเขินหน้าแดง และเมื่อทนไม่ไหวกรวิทย์ก็จัดการลงไม้ลงมือไปเบาๆเพื่อให้คนตัวโตหยุดแกล้งเขาได้แล้ว
“ขอบคุณจริงๆนะที่คอยอยู่ข้างกัน” สิชลเอ่ยมาตามความรู้สึกที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ ความสุขที่มีมันทำให้เขารู้สึกขอบคุณคนข้างกายที่ยังรัก ยังห่วงใยกันแบบนี้ กรวิทย์ชะงักงันไปกับคำพูดของสิชลที่อยู่ดีๆก็เอ่ยออกมา เขาหันไปมองสีหน้าของคนพูดแต่รอยยิ้มและท่าทางขอบคุณที่ส่งผ่านมาทางสายตาเป็นเหมือนเครื่องยืนยันว่าคนตัวโตรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
มือใหญ่กอบกุมฝ่ามือเล็กเอาไว้ อาจเพราะช่วงเวลานี้มันคงไม่น่าเกลียดมากนักหากพวกเขาจะแสดงออกให้เห็นถึงความรู้สึกดีที่มีแก่กัน
“การพูดคำว่ารักตลอดไป สำหรับเราเหมือนเป็นเรื่องโกหก เราไม่มีทางรู้หรอกว่าหนทางข้างหน้าต้องเจออะไร อุปสรรคหรือคำเยินยอที่พวกเราต้องเจอ และไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเราจะยังคงเคียงข้างกันไหม แต่ตอนนี้ เวลานี้ เรากล้าพูดคำว่ารัก พูดได้โดยไม่ลังเล เราซื่อตรงกับความรู้สึกเสมอนะ”
ฝ่ามือที่กุมกันถูกกระชับให้แน่นขึ้นจากคนข้างตัวเป็นดังการรับรู้ข้อความที่เขาเอ่ยบอกออกไป
“ขอบคุณเหมือนกันนะ เราขอบคุณที่สิชลให้โอกาส ขอบคุณที่ห่วงใยและใส่ใจเรามาตลอด เราเองแม้จะแสดงออกไม่ค่อยเก่งและขอให้เชื่อเถอะว่าความรู้สึกที่มีให้กันมันจริงใจสุดๆ จริงๆนะ”
ปลายเสียงท้ายประโยคสั่นไหวเล็กน้อยแต่ก็เพียงพอให้สิชลรับรู้ได้ เขามองคนข้างกายที่จับมือไว้แน่นแต่ก้มหน้ามองพื้นอยู่นาน และนั่นก็เพียงพอแล้วว่าคนตัวเล็กกำลังร้องไห้
“เฮ้ยย ไม่ร้องดิ ร้องทำไม”
สิชลลนลานเพราะเขามักจะรับมือไม่ได้กับการที่ต้องมาเห็นน้ำตาของคนคนนี้
“อึก เ. เราก็ไม่รู้ อยู่ดีดีน้ำตามันก็ไหลเอง สิชลนั่นแหละ มาพูดซึ้งทำไมกันเล่า”
แม้จะเถียงเขาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ต้องมีน้ำตา แต่มืออีกข้างก็ยังปาดน้ำตาที่ยังเอ่อมาอยู่ตลอด สิชลตัดสินใจรวบตัวกรวิทย์เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด แล้วโยกตัวปลอบเบาๆเพื่อให้หยุดร้องได้แล้ว
“ไม่ร้องเนอะ เดี๋ยวคืนนี้ปวดหัวนะ”
กรวิทย์ผงกหัวรับแม้ยังอยู่ในอ้อมกอดของสิชล คนตัวเล็กใช้ชายเสื้อของสิชลมาเช็ดน้ำตาเรียกเสียงหัวเราะกับอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
“เช็ดน้ำตาอย่างเดียวใช่ไหม แอบสั่งน้ำมูกด้วยไหมเนี่ย?”
“ฮ่าๆๆ”
กรวิทย์หลุดหัวเราะกับท่าทางของสิชลที่ดูจะกลัวเขาใช้ชายเสื้อตัวเองแทนผ้าเช็ดหน้า และอาจเพราะความในใจจากสิชลก่อนหน้านี้ที่ทำให้เขารู้สึกตื้นตัน มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้สุดท้ายจึงกลั่นมาเป็นน้ำตา
ตอนนี้สิชลและกรวิทย์ต่างยืนจับมือพร้อมส่งยิ้มให้กัน แม้รอบตัวจะเต็มไปด้วยเสียงรถยนต์ที่ดังผ่านไป แสงไฟมืดสลัวที่ติดๆดับๆ หรือกลิ่นควันจากร้านไก่ย่างที่อยู่ถัดไป แต่ในสายตาของคนทั้งคู่เวลานี้กลับเต็มไปด้วยใบหน้าของอีกฝ่ายในสายตากันและกันพร้อมแรงบีบที่มือแน่นขึ้นเป็นดั่งพยานรับรู้ความรู้สึกของทั้งคู่
พวกเขาไม่เคยเชื่อในคำว่าตลอดไป แต่พวกเขาเลือกที่จะเชื่อในความรู้สึกที่ได้รับกลับมาจากอีกคนมากกว่า
เขาเชื่อว่าแววตาไม่โกหก
และการที่ดวงตาของเราทั้งคู่มีภาพของกันและกันในเวลานี้ พวกเขาก็รู้สึกดีที่สุดแล้วThe end.เพราะเป็นตอนสุดท้ายเราเลยอยากจะทอล์คสักครั้ง
สิ่งแรกที่อยากบอกอยู่เสมอคือ ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆนะคะ ขอบคุณคนอ่านทุกคน และคนที่คอมเม้นต์ให้กันในแต่ละตอนเรายิ่งขอบคุณเป็นพิเศษ
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของเราที่ลองแต่งนิยาย เรายังไม่รู้ว่าถนัดแบบไหนสุดท้ายเลยมาลงที่แบบเบาเบาแบบนี้ แต่งเองก็รู้ได้เลยว่ายังมีจุดที่ต้องพัฒนาอีกเยอะแต่ก็ต้องขอบคุณผู้อ่านที่ยังคงตามอ่านตลอด และไม่รู้ว่ามีใครทราบไหมว่าชื่อตอนทั้งหมดในเรื่องนี้เป็นชื่อเพลงทั้งหมดของวง Armchair ค่ะ เป็นเพลงที่เราชอบทั้งนั้นเลย อยากให้ลองไปฟังกันดู
หลังจากที่ลองแต่งเรื่องนี้ดูแล้วเราก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยถนัดแบบหวานแหววเท่าไหร่ และเหมือนจะค้นพบแนวที่อยากแต่งแล้ว ดังนั้นหากมีผลงานเรื่องหน้าหวังว่าทุกคนจะยังสนับสนุนกันอยู่นะคะ
ขอบคุณอีกครั้งจากใจจริง
BlueCherries qxchanim ammchun mantra kyungploy B52 double9JH pigarea PURE LOVE mox2224 vedeegunempross Blue ReiSei lightseeker ma-prang ammchun pim14 kun Meimei mynamejnkf cheyp เด็กหญิง 205arr drasil Ceylon Pawaree poterdow JustWait pachth heroves Serioz goosongta YounIn panitanun My_yunho maemix