18
GIANT’s PART
ความแข็งของพื้นที่สัมผัสได้ทำให้ผมรู้สึกปวดระบมไปทั้งหลัง...
แสงไฟที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ต่างทำให้ผมถึงกับต้องหยีตา ม่านหน้าต่างบานที่แหวกออกไม่ได้บอกอะไรมาก แต่ผนังสีชมพูบานเย็นข้างกรอบประตูนั่นบอกว่าผมไม่ได้อยู่ห้องพักของตัวเอง
นานเกือบนาทีที่ได้ยินเสียงลมหายใจของใครบางคนระบายเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ มันเคล้าคลอกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่ฝั่งเดียวกับปลายเท้าผม อ่าใช่... ไอ้พื้นแข็ง ๆ ที่สัมผัสได้ตอนแรก กับผนังห้อง และอะไรหลาย ๆ อย่างรวมถึงเพดานฝ้าเฉลยให้ผมฟังว่าขณะนี้ตนเองกำลังนอนหมดสภาพอยู่บนพื้นที่ไม่ใช่ห้องพักของตัวเอง
ผมยันตัวขึ้นเชื่องช้า พยายามปรับโฟกัสสายตาตัวเองท่ามกลางความมืด เตียงอยู่ไม่ห่างจากตรงที่ผมนั่งมากนัก แต่มันก็ยากเกินที่จะคลานไปนอนบนนั้นขณะที่หัวสมองแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงอย่างนี้
ยอมรับว่ากินไปเยอะ อันที่จริงควรจะไปล้วงคออ้วกให้สร่างด้วยซ้ำ แต่ไม่ไหว สารร่างนี้อ่อนเปลี้ยเกินกว่าจะทำอะไรนอกจากเสือกตัวออกให้ห่างประตู คลานไปไม่กี่คืบก็พบว่าตัวเองนี่โคตรขี้เมาเลย จะปีนขึ้นเตียงไปนอนกับไอ้ชานสักหน่อย แต่ทำไมเห็นเป็นไอ้โนบิตะนอนอยู่แทนวะ
“ไอ้ชาน... ช่วยกูหน่อย กูขึ้นเตียงไม่ได้”
ผมคงลืมไปว่าขอแลกห้องกับใคร ถึงได้เกยหน้ากับเตียงแล้วเขย่าแขนคนที่นอนหลับไม่ได้สติอย่างเอาแต่ใจ คิดว่าหยีตาแล้วมองใหม่จะเห็นเป็นใบหน้าของเพื่อนสนิท แต่ที่ไหนได้ ไอ้คนที่ตื่นมากลับเป็นไอ้โนบิตะแทน
“เก้า?” นาทีนี้ไม่สร่างก็ต้องสร่างแล้วล่ะ! ภาพโนบิตะนอนตะแคงลืมตามองมาชัดแจ๋วเต็มจอขนาดนี้! “มึงมานอนนี่ได้ไง”
อย่าหาว่าถามอะไรโง่ ๆ ออกไปเลย ถ้าไม่เคยเมาก็คงไม่รู้หรอกว่าคนเราสามารเปิดวาร์ปได้ยามที่สติหาย ผมนั่งเกยหน้ากับเตียงอยู่อย่างนั้นเพราะไม่เห็นมันตอบอะไร และก่อนที่จะได้อ้าปากถามข้อสงสัย เก้าก็ผุดลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว
“จะนอนใช่ไหม...งั้นก็ขึ้นมาสิ”
มันเลิกผ้าห่มให้ทั้งที่ผมยังนั่งหน้ามึนอยู่ตรงนั้น ไม่เห็นว่าสายตาของมันที่กำลังจับจ้องมาเป็นยังไงหรอก แต่พอจะเดาได้จากน้ำเสียงว่ามันคงไม่พอใจผมขนาดหนักเลยทีเดียว
“ไม่อะ กู...คิดว่ามึงเป็นไอ้ชาน...ขอโทษที่กวนนะ งั้นกูกลับห้องแล้วกัน”
รู้สึกได้เลยว่าน้ำเสียงของตัวเองที่ใช้พูดกับมันช่างตะกุกตะกัก แต่ช่างแม่งเหอะ จะให้นอนด้วยกันทั้งที่แม่งกำลังอารมณ์เสียขนาดนี้ก็ดูจะทำร้ายตัวเองเกินไป เกิดไม่พอใจหนักกว่าเดิมแล้วทำแรงใส่ทั้งที่ผมยังเมาอย่างนี้ไม่ต้องระบมก้นกันไปถึงชาติหน้าเลยเหรอวะ
ไม่เห็นว่ามันตอบอะไรออกมาก็ตั้งท่าจะลุกแล้วเชียว แต่พอหยัดตัวขึ้นได้ โนบิตะแม่งก็คว้าหมับเข้าให้ที่แขน แล้วกระชากพรวดเดียวจนถลาไปนอนบนเตียงทั้งตัว
“ไม่ต้อง นอนที่นี่นั่นล่ะ ผมจะไปเอง”
จบคำมันก็โกยผ้าห่มปิดหน้าผมจนหายใจแทบไม่ออก ไม่ทันจะได้โวยวาย ตีโพยตีพายอะไรอีก ก็ได้ยินเสียงประตูปิดไล่หลังดัง โครม! ไอ้ห่านี่แม่งอะไรวะเนี่ย! ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ จะหงุดหงิดอะไรนักหนา แค่เห็นหน้ากูก็ถึงกับต้องหงุดหงิดขนาดนั้นเลยรึไง!
พอตั้งตัวได้ ผมก็ลุกขึ้นปัดผ้าห่มออกให้พ้นตัวแล้ววิ่งตามมันออกมาทั้งที่ยังมึนอยู่อย่างนั้น นาทีนี้ถึงสร่างเต็มตาแต่อาการเมาก็ยังมีอยู่... ผมปล่อยไม่ได้หรอก มีอะไรก็ต้องพูดให้มันรู้เรื่องกันไปข้าง ไอ้เหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำก็เหมือนกัน ถ้าไม่พอใจอะไรทำไมไม่แสดงออกมาชัด ๆ วะ ทำไมต้องเดินหนีทำไมปล่อยให้คนอื่นเค้ากระวนกระวายใจจนแทบจะบ้าตายอย่างนี้ด้วย
“ไอ้โนบิตะ...โนบิตะ ไอ้เก้า!!”
ผมวิ่งออกมาจากห้องพักตามหลังมันมาติด ๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว แต่ดวงอาทิตย์ดูเหมือนจะเพิ่งโผล่พ้นจากขอบทะเล ท้องฟ้าตอนนี้เป็นสีคล้ายกับตอนพลบค่ำ แตกต่างก็อย่างเดียวตรงที่บริเวณหาดนั้นเงียบสงบจนได้ยินเสียงตะโกนของตัวเองดังก้องไปทั่ว
“ไอ้เก้า! มึง! หยุด!”
ผมยื่นมือออกไปกระชากแขนเสื้อมันให้หยุดเมื่อวิ่งตามจนทัน ซึ่งเก้าก็ชะงักค้างอยู่อย่างนั้นเหมือนกับจะรอให้ผมเป็นคนอ้อมไปหามันเอง
“มึงเป็นอะไรนักหนา ห๊ะ! เป็นอะไร! ไม่อยากเห็นหน้ากูขนาดนั้นเลยรึไง!”
แล้วใครจะอ้อมไปหามันวะ! ถาม! ไม่ใช่ผมแน่ ตอนนี้ผมผลักไหล่มันให้หันหน้ากลับมาหาแทน และด้วยความสูงที่ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ทำให้หน้าของเราอยู่ใกล้กันเกินความจำเป็น บรรยากาศก็ดูเหมือนจะโรแมนติคดีหรอก ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้มันไม่ได้กำลังมองกลับมาด้วยสายตาสุดจะเย็นชา
“ใช่ อยากถามอะไรอีกไหม ถ้าไม่ถามแล้วผมจะไปที่อื่น”
“มึงเป็นเหี้ยอะไรวะ มึงกวนทำไมวะ!”
ไม่มีการเรียนโนบิตะเหมือนเคย นาทีนี้อารมณ์ผมแม่งก็ขึ้นเหมือนกัน ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรนักหนา ทำไมมีอะไรไม่พูดออกมา ทำไมต้องทำให้ผมหงุดหงิดที่ไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่อย่างนี้ด้วย
“ผมไม่ได้กวน พอเถอะ เลิกตะโกนใส่กันแล้วกลับไปนอนเถอะ คุณเมามากนะ” มันถอนหายใจออกมา มือก็ยกขึ้นเสยผมด้วยความอารมณ์เสีย
“ไม่” ผมโผเข้าไปผลักไหล่มัน ภาพเมื่อตอนกลาวัน ภาพตอนจูบกับไอ้ชานย้อนกลับมาเหมือนกำลังส่องแผ่นฟิล์มเก่า ๆ “หันมาคุยกัน มึงเป็นอะไร ตั้งแต่ตอนมาแล้ว กูทำอะไรผิดมากนักเหรอ มึงกับกูจะพูดกันดี ๆ ไม่ได้เลยใช่ไหม”
มันเงียบไป... ยิ่งเงียบก็ยิ่งชัดเจนว่ามันโมโหเรื่องอะไร เพียงแต่ในเหตุการณ์นั้นมันก็นั่งอยู่ด้วย มันก็เห็นว่าผมไม่ได้เต็มใจจูบกับไอ้ชาน มันก็เห็นว่าเรื่องทั้งหมดไอ้เฮียเป็นคนสั่ง แล้วทำไมต้องมาทำแบบนี้ ทำไมต้องมาแสดงอารมณ์ทุกอย่าง ตีรวน เททุกอย่างใส่ผมคนเดียวทั้งที่ตัวเองก็เอาแต่สั่งไม่ต่างจากไอ้เฮีย
ผมหอบ...หอบเพราะพูดรัวจนแทบไม่ได้หยุดหายใจ เราสองคนยืนจ้องหน้ากันท่ามกลางแสงดาวที่กำลังจะเลือนหายไปจากท้องฟ้า ไอ้เก้าไม่พูดอะไรนอกจากกลอกตาขึ้นมองด้านบน ก่อนจะกระชากแขนผมให้เข้าไปใกล้มันยิ่งกว่าเดิม
“สีหน้าคุณมันดูไม่ได้เลย...ยิ่งคุณเป็นแบบนี้ ผมก็ยิ่งสำคัญตัว”
“...”
“คุณทำเหมือนกับว่ากำลังชอบผม คุณให้ความสำคัญกับคำพูดของผม ยอมโอนอ่อนให้ผม แต่คุณก็ยังไม่รู้จักระวังตัว มันไม่ใช่แค่กับผมหรอก ไม่ว่ากับใครหน้าไหนคุณก็คงทำแบบนี้ ใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นคุณก็คงไม่ยอมให้เชี่ยวชาญจูบอย่างนั้น” ไอ้เก้าพูดเสียงเรียบ ดวงตาของมันแข็งกร้าว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทำให้ผมยั้งปากตัวเองไว้ได้
“กูไม่ได้ยอม มึงก็เห็นว่ากูไม่ได้ยอม” ผมเถียง เริ่มขึ้นเสียงในประโยคสุดท้าย
“แล้วอยู่เฉย ๆ ให้มันจูบทำไมล่ะวะ! ทำไมไม่ผลักออกมา!” ผมชะงักปากที่กำลังจะเอ่ยสวนมันทันที เสียงตะโกนของไอ้เก้าดังเสียดหูจนต้องขมวดคิ้วเข้าหากันอัตโนมัติ ใบหน้าของมันเวลานี้บิดเบี้ยวซะจนผมไม่กล้าพูดอะไรออกไป ท่าทางของมันดูหงุดหงิดมากจนต้องหันไประบายอารมณ์กับก้อนหินข้าง ๆ
“เหี้ยเอ้ย!”
ผมได้ยินมันสบถเต็มสองรูหู ไอ้เก้าเตะหินก้อนนั้นแรงจนทรายที่อยู่ล่างเท้าฟุ้งกระจายไปหมด ซึ่งน่าตลกดีที่ดันคิดว่ามันเหมือนกับความรู้สึกของผมตอนนี้
ฟุ้งกระจายไม่มีชิ้นดี
“กู...ขอโทษ”
พูดไปทั้งที่ก็ยังไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิดอะไร ตลอดเวลาที่ผ่านมามีแต่ผมคนเดียวที่เอาแต่โมโหใส่มัน แต่พอถึงเวลาที่กลายเป็นฝ่ายถูกกระทำขึ้นมาเสือกบ่อน้ำตาตื้น ความรู้สึกอึดอัดที่แน่นในอกทำให้ผมอยากจะร้องไห้ พอนึกย้อนกลับไปแล้วก็พาลให้คิดว่าทำไมตัวเองถึงได้อ่อนแอขนาดนี้
“ขอโทษทำไม พูดออกมาทำไมทั้งที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง!”
มันยังคงตวาดลั่นราวกับว่ากำลังคุยกับคนหูหนวก เสียงน้ำทะเลซัดเข้ามากระทบฝั่งไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น หนำซ้ำ มันยังแย่ลงเมื่อผมปล่อยให้ตัวเองเงียบโดยไม่คิดจะพูดอะไรออกไปสักอย่าง
“...”
“รู้ไหมว่าทำไมผมโมโห ที่ผมโมโหมันก็เพราะว่าคุณนั่นแหละ”
“...”
“ทำไมคุณต้องเป็นอย่างนี้ด้วย ทำไมถึงยอมเขาง่าย ๆ... มันทำให้ผมคิดนะ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่คุณยอมให้ผมมันก็แค่เพราะว่าคุณง่ายอย่างนั้นเองใช่ไหม”
“กูไม่ได้ง่าย! ตอนนั้นกูอาจได้ไม่รู้สึกอย่างนี้...แต่ตอนนี้ที่กูยอมก็แค่เพราะว่า...”
“...”
“เพราะว่ากูชอบมึง”
“ไม่ได้ชอบเพราะว่าผมเอาเก่งหรอกเหรอครับ?” มันสวนขึ้นมาทั้งที่ปากก็แย้มยิ้ม ถ้อยคำที่มันพูดเสียดลึกเข้ามาในใจผมอย่างกับมีใครเอามีดมากรีด แถมสีหน้าของมันแสดงออกว่าไม่ได้กำลังล้อเล่น ให้ตายเหอะ แล้วผมก็น้ำตารื้นขึ้นมาเพียงเพราะว่ามันพูดอย่างนั้นกับผมเนี่ยนะ ? เพียงเพราะว่ามันคิดเหี้ย ๆ กับผมอย่างนี้เนี่ยนะ?
ผมหัวเราะออกมาไม่มีเสียง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหน รู้เพียงแต่ว่าไอ้เก้ากำลังใจร้อน ส่วนผมก็เสียใจ...จะมีใครบ้างยิ้มได้วะ ถ้าถูกหาว่าเป็นคนง่าย ทั้ง ๆ ที่เราทั้งคู่ก็เริ่มต้นความสัมพันธ์แบบนี้มาด้วยกัน
“มึง...คิดได้แค่นี้เหรอ” เหมือนกับว่าจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว... ไม่อยากนึกเลยว่าตัวเองกำลังทำหน้าตาน่าสมเพชแค่ไหน “มึงคิดเหี้ย ๆ แบบนี้กับกูเองเหรอวะ เก้า?”
ทั้ง ๆ ที่แอบคิดว่าเราใจตรงกัน แต่ทำไมทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่คิดว่ามันก็มีใจให้ผม ที่อ่อยผม ที่ทำทุกอย่างก็เพราะหวงผม ทุกอย่างผมคิดผิดเหรอ มันผิดไปหมดเลยใช่ไหม...เพราะสายตามึงก็เห็นกูเป็นแค่คนเหี้ย ๆ คนนึงที่จะอ้าขาให้ใครก็ได้
รู้สึกเหมือนกับโดนตีแสกหน้าก็ไม่ปาน ทั้งขาของผมมันชาไปหมดจนแทบจะยืนไม่ไหว เสียงอะไรไม่ว่าจะคลื่นซัด หรือลมโบกพลิ้วก็ไม่ได้ผ่านเข้าหูทั้งนั้น ตอนนี้ดวงตาของผมมันคลอไปด้วยน้ำใส ๆ มองเห็นอะไรไม่ชัดเลยสักอย่างกระทั่งไอ้เก้ากำลังชักสีหน้าหรือเปล่าก็ไม่รู้
“...ครับ ผมก็คิดได้แค่นี้แหละ” พัง...พังไปหมดทั้งความรู้สึก “...แล้วถึงคุณจะชอบผมจริง ๆ เราก็ไปกันไม่รอดหรอก...ดูตัวเองหน่อยพิก อย่าคิดไปเองคนเดียวว่าบอกชอบแล้วก็จบ”
ผมนิ่งงัน...คำที่มันพูดเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา..
“หนี้ทั้งหมดที่คุณเคยติดผม ผมยกให้”
“...”
“ต่อจากนี้ไป เราสองคนไม่มีอะไรติดค้างต่อกันแล้ว...วางใจเถอะ ผมจะไม่เข้ามายุ่งกับคุณเกินความจำเป็นอีก...แล้วเรื่องที่จ้างคุณทำความสะอาด คุณก็สามารถทำต่อไปได้ เข้ามาทำเวลาที่ผมออกไปทำงานแล้วกัน ผมจะไม่เข้ามาวุ่นวายเวลาคุณทำงาน”
“...”
“อยากจะพูดอะไรอีกไหม?”
“...”
“ถ้าไม่...งั้นผมขอตัว”
มันคงเห็นว่าผมเงียบนานจนเกินไปถึงได้พูดอย่างนั้น แต่ที่จริงแล้วผมนึกอะไรไม่ออกต่างหาก ได้ยืนค้างเติ่ง ฟังมันพูดทุกอย่างด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เหมือนกับว่ากำลังเล่าเรื่องดินฟ้าอากาศ จากนั้นก็ตั้งท่าจะไป
เชื่อไหม มือผมไม่มีแรงแม้กระทั่งจะยื่นมือออกไปรั้งมันไว้ ไอ้เก้าก้าวฉับผ่านตัวผมไปราวกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้พูดอะไรที่ทำจิตใจใครออกมา น้ำตาของผมมันไหลลงแก้มขณะที่เสี้ยวหน้าของมันพ้นตัวไป ใบหน้าของมันดูเฉยชาซะยิ่งกว่าที่คิดเอาไว้อีก
มันจบแล้วเหรอวะ จบแล้วทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่างเนี่ยนะ? ทำไมเรื่องระหว่างคนสองคนมันแตกหักได้ง่ายขนาดนี้ ทำไมทุกอย่างมันง่ายไปซะหมดเหมือนกับว่าไม่เคยรู้สึกอะไรต่อกันสักอย่าง
ผมทรุดตัวลงกับพื้นทราย นาทีนี้ยืนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ได้แต่นั่งกอดเข่าซุกหน้าลงกับกางเกง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องร้องไห้ นี่กูอ่อนแอขนาดนี้เลยเหรอวะ หรือว่าที่จริงแล้วผมชอบมันเอามาก ๆ ทั้งที่ไม่เคยรู้ตัวสักนิด
ก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ ผมคงชอบมันมาก มากจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปดูแผ่นหลังของมันไกลลิบออกไปเรื่อย ๆ ครั้งสุดท้ายที่เห็นคือเก้าก้าวเร็ว ๆ ไปแถวทางเข้าที่พัก มันคงไม่อยากเห็นหน้าผมแล้วจริง ๆ ถึงได้รีบเดินขนาดนั้น
ปัญญาอ่อนฉิบหายเลยว่าไหม? นี่ตกลงผมโง่ หรือบ้ากันแน่วะที่ดันไปรู้สึกอะไรกับคนที่เขาไม่ได้รักตัวเอง ทึกทักไปเรื่องว่าเขาคงจะมีใจ แล้วสุดท้ายทุกอย่างก็พังทลายลงเพราะมือของผมเอง... กูนี่แม่งโคตรโง่ งี่เง่าซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับเรื่องแบบนี้แต่ก็ยังไม่รู้จักจำ... ทุเรศตัวเองจริง ๆ สมเพชตัวเองเหลือเกินที่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากร้องไห้เงียบ ๆ คนเดียวอย่างนี้
เวลาผ่านไป แสงดาวจากด้านบนลาลับไปพร้อมกับแสงทองสีส้มที่โผล่พ้นขอบฟ้า นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่ผมยังนั่งอยู่ตรงนี้ ทั้งขามันชาไปหมด น้ำตาก็เหือดไปด้วยเพราะลมทะเล
จะจบอย่างนี้จริง ๆ เหรอวะ...จบทั้งที่กูก็ยังมีหน้าที่ต้องสานต่อกับมันเนี่ยนะ?
ควรต้องทำอะไรสักอย่างไหม? โทรหาแม่ดีไหม? แล้วบอกว่าขอยกเลิกเรื่องทำงานกับไอ้เก้า?
ผมคลำหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง โชคดีที่มันไม่ได้หล่นไปไหนตอนที่ผมวิ่งเป็นบ้าเป็นหลังตามไอ้เก้าออกมา ผมกดเบอร์โทรหาแม่ทันที นึกขอบคุณตัวเองที่ติดนิสัยพกโทรศัพท์ติดตัวไว้ตลอดไม่ว่าจะทำอะไร ไม่เช่นนั้นผมคงต้องเข้าที่พักไปเอา แล้วก็คงจะต้องเห็นหน้าโนบิตะทั้งที่ยังไม่พร้อมอะไรสักอย่าง
“พิก!”
แต่ยังไม่ทันจะได้แนบโทรศัพท์เข้ากับหู เสียงหนึ่งก็เรียกให้ผมต้องหันไปหาทั้งที่มือยังกดเรียกเข้าสายของแม่ ภาพไอ้ชานวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทำให้ผมตัดสินใจกดปุ่มสีแดงเพื่อวางสาย ก่อนจะผุดลุกขึ้นจากทรายแล้วยิ้มให้มันไปทีนึง
“มึงเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรมึง”
มันถลาเข้ามาจับตัวผมพลิกไปมา ยิ่งเห็นสีหน้ามันร้อนรนผมก็ยิ่งรู้สึกผิด
“มึงรู้ได้ไงว่ากูอยู่นี่”
ผมไม่ตอบคำถามมันแต่ถามกลับไปเสียงสั่น ๆ เห็นหน้ามันแล้วจะร้องไห้อีกรอบ รู้สึกแย่ที่โยนความผิดทุกอย่างไปให้มันทั้งที่แม่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม
“กูนอนไม่หลับเลยออกมาดูดบุหรี่ที่ระเบียง...เห็นโนบิตะมันเดินกลับมาจากข้างนอกก็เลยถามมันว่าอยู่กับมึงหรือเปล่าเพราะตอนแรกกูไปหาที่ห้องแล้วไม่เจอ... มันเลยบอกว่าเมื่อกี้อยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้มึงอยู่คนเดียว”
“...”
“เป็นอะไร...มึงมีเรื่องอะไรบอกกูได้ไหม บอกให้กูฟังได้ไหมวะ”
เชี่ยวชาญพูดพลางเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ มือของมันไม่ได้แตะต้องร่างกายผมแม้สักส่วน แต่สีหน้าเป็นห่วงเป็นใยจากมันกำลังแตะไปถึงหัวใจของผม...
“กูไม่ได้เป็นอะไร...กูแค่คิดถึงแม่ เลยโทรหาแม่ไง”
ผมยกมือถือขึ้นมาแล้วส่งยิ้มโง่ ๆ ให้ สีหน้ามันดูโล่งใจขึ้นมาหน่อยหลังจากที่ได้ฟังผมโกหก ไม่รู้ว่ามันสังเกตเห็นหรือสงสัยอะไรไหม แต่ท่าทางของมันดูจะไม่ใส่ใจอะไรนอกคำที่ผมพูด... รู้สึกแย่ขึ้นมาอีกแล้วที่ต้องโกหกมัน แต่สภาพนี้จะให้พูดออกมาได้ไงว่าเจออะไรมาบ้าง
“อืม...ไปนั่งคุยกันตรงโน้นดีกว่า”
ไอ้ชานเปลี่ยนเรื่อง มันชี้ไปทางชายหาดที่มองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นได้ชัดเจนกว่าตรงนี้ เหมือนจะเป็นประโยคเชิญชวน แต่พูดไม่ทันขาดคำมันก็เอื้อมมือมาดึงแขนผมให้เดินไปด้วยกันเสียแล้ว... ก้าวไปไม่กี่ก้าวก็ถึงที่หมาย พวกเราพากันทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นทราย ก่อนมันจะยื่นขาออกไปให้คลื่นน้ำซัดผ่านเข้ามาในกางเกง
“ยืดขาสิมึง ทำไข่เค็มกัน”
มันพูดแล้วโน้มตัวมาจับขาผมที่นั่งขัดสมาธิอยู่ให้ยืดออก ไอ้ห่านี่ เห็นกูซึมแล้วยังมาทำตลกใส่อีก
“ไข่เค็มพ่อมึงสิ...อยู่งี้นาน ๆ น้ำทะเลกัดไข่เปื่อยพอดี”
เห็นมันยิ้มแล้วก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ยังไม่ทันจะได้โล่งใจ ไอ้ชานก็ถามคำถามที่จี้จุดเข้ากลางใจผมอย่างจัง
“ตกลงว่าเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม...แม่ว่าอะไรมึงหรือเปล่าถึงได้ร้องไห้แบบนี้?”
ที่ถามอย่างนั้นก็เพราะมันรู้ว่าถึงผมจะชอบบ่นเรื่องแม่ แต่ผมก็เป็นลูกแหง่ที่ติดแม่พอสมควร เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเชี่ยวชาญ มันไปบ้านผมทีไรก็เห็นผมยอมให้แม่โขกสับเสมอ มันรู้ดีที่สุดว่าผมคิดอะไร รักแม่แค่ไหน...
แต่ขอโทษว่ะ...ที่จริง กูไม่ได้คิดเรื่องแม่เลย
ขอโทษนะ...
“กู...ไม่มีอะไรหรอก เขาก็แค่พูดจาไม่ดีกับกู”
“ไม่เป็นไรนะมึง...กลับไปก็ไปคุยกันดี ๆ แม่เขาไม่ได้โกรธอะไรมึงนักหนาหรอก เขาอาจจะแค่หงุดหงิดไม่พอใจมึง แล้วบังเอิญมีเรื่องอื่นเข้ามาแทรกเลยทำให้เขาพูดจาแย่ ๆ กับมึง”
“....”
“ไม่เป็นไรนะ กูอยู่ข้าง ๆ มึงนี่ไง ไม่เป็นไร...เดี๋ยวแม่ก็หายโกรธมึงเองแหละ”
ผมนี่โคตรเหี้ยเลย....โกหกไปตามเรื่องตามราวทั้งที่ไอ้ชานมันเป็นห่วงขนาดนี้ พูดถึงแม่แต่ในหัวดันมีแต่หน้าไอ้เก้า โคตรรู้สึกแย่เลย ยิ่งพูด ยิ่งนึกถึง ก็ยิ่งเห็นสีหน้าของมันชัดขึ้น ทุกอย่างชัดเจนไปหมดแม้กระทั่งตอนที่มันบอกว่าผมแม่งโคตรง่าย...
เหี้ยเอ้ย...ทำไมบ่อน้ำตาตื้นขนาดนี้ ผมกลั้นไม่ไหวแล้ว สุดท้าย...พอมองหน้าไอ้ชานที่จ้องกลับมาด้วยความเป็นห่วงก็ร้องไห้ออกมาอีกระลอก ร้องจนปวดคอไปหมด หนักใจที่ต้องกลั้นก้อนสะอึกมากมาย พยายามไม่ให้คนข้าง ๆ ต้องรับภาระมากไปกว่าการปลอบใจ เชี่ยวชาญไม่จำเป็นต้องมารับรู้เรื่องอะไรอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องอดหลับอดนอนออกมานั่งตากยุง เพื่อฟังผมโกหกแล้วบอกผมว่าไม่เป็นไร...
บางทีถ้ามึงปล่อยกูไว้ กูอาจจะหยุดคิดเรื่องนี้ไปแล้ว... แต่มันก็ยังดึงดันที่จะอยู่เป็นเพื่อนผม เราสองคนนั่งจ้องไอ้ลูกกลม ๆ สีแดงจนมันลอยขึ้นเหนือผิวน้ำสูงขึ้นมาอีกหน่อยโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ
ผมได้แต่ก้มหน้า มองตักตัวเองแล้วปล่อยให้น้ำในตามันเหือดไปเอง ไม่รู้ว่าวิธีนี้จะช่วยได้บ้างไหม แต่ผมไม่อยากร้องไห้อีกแล้ว แม่งปวดตาชิบหาย
“มึง...มึง” มันกระซิบเรียกชื่อผมแผ่วเบาหลังจากเงียบปากไปนาน เรียกอย่างเดียวไม่พอยังเอื้อมมือมาสะกิดไหล่ผมยิก ๆ “เงยหน้าขึ้นสิ”
ผมไม่ขานรับ แต่ยอมเงยหน้าขึ้นจากตักตามที่มันบอก เห็นดวงกลม ๆ สีส้มเข้มไกลลิบลอยอยู่ตรงหน้าถึงได้หันไปมองเสี้ยวหน้าของมันที่ทอดสายตาไปยังที่ตรงนั้น
“มึงดูพระอาทิตย์สิ”
“อืม”
“มึงเห็นไหมว่ามันเป็นสีอะไร”
“อืม”
“แต่จริง ๆ มันไม่ใช่สีนี้ มึงรู้ใช่ปะ”
“อืม...” ผมยังคงครางอยู่ในลำคอ ไม่คิดจะพูดอะไรได้แต่ปล่อยให้มันเพ้อเจ้อไปตามประสา
“มันจะเป็นสีนี้แค่เฉพาะเวลาขึ้นกับตก...ส่วนมากไม่ค่อยมีใครสนใจแม่งหรอก ใครจะถ่อสังขารตื่นมาดูพระอาทิตย์ทุกวัน นอกจากเห็นมันตอนเที่ยง จริงปะ”
“อือ” เชี่ยนี่พล่ามอะไรวะ คนกำลังเศร้าชักเริ่มจะหมดฟิลแล้ว
“แต่วันนี้กูเห็นมันว่ะ” ผมหันไปมองดวงอาทิตย์นั่น มันเป็นขณะเดียวกันกับที่หางตาผมเห็นไอ้ชานหันกลับมามองตัวผมเอง ก่อนมือซ้ายของมันที่เคยเท้าด้านหลังเอาไว้ค่อย ๆ เลื่อนมากุมมือผมที่แปะกับพื้นทรายข้าง ๆ
“...” ผมก้มลงมองมือมันที่แปะอยู่บนมือผม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับมัน
“จะเป็นอะไรไหมวะ...ถ้ากูขอเห็นมันได้แค่คนเดียว?” _____________________________________________________
พระรองนี่มันพระรองจริง ๆ
เฮ่อออออออออออออออออออออออออออออ
ไอ้เฮีย...แกจะชดใช้ยังไง บอกมาาาาาาา ;_ ;
*เขย่าคอเฮีย*