พิมพ์หน้านี้ - << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ (ขออนุญาตรีไรท์จ้า)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: กิมกวง ที่ 12-04-2015 11:18:24

หัวข้อ: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ (ขออนุญาตรีไรท์จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 12-04-2015 11:18:24
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

_________________________________________________



(( อยู่ในช่วงรีไรท์จ้า เนื้อหาในนี้ จะไม่เหมือนในหนังสือนะคะ อยากให้ค่อยๆ อ่านที่รีไรท์​หรือในหนังสือมากกว่าจ้า ))


(( - ถ้าอยากเจอโนบิตะเวอร์ชั่นเป็นผู้เป็นคนหน่อย แวะไปหาน้องที่เว็บได้ค้าบ เวอร์ชั่นในนี้ ที่คุณกำลังจะพบ คือเวอร์ชั่นอิหยังวะ!  <3 เนื้อหาในหนังสือกับในนี้ก็ไม่เหมือนกันค่ะ Tw T  - เตือนแร้วนะ! #เสียงเชฟป้อม ))

_________________________________________________
1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3021429#msg3021429) | 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3025834#msg3025834) | 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3026088#msg3026088) | 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3030141#msg3030141) | 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3030705#msg3030705) (จบ)

ตอนพิเศษ

6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3032993#msg3032993) | Like a wife
7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3045106#msg3045106) | ชิสุกะ (1)
8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3113273#msg3113273) | ชิสุกะ (2)
9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3146599#msg3146599) | ชิสุกะ (3)
10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3146599#msg3146599) | ชิสุกะ (4)
10.5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3148803#msg3148803)
11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3183924#msg3183924) | ชิสุกะ (5)
12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3184612#msg3184612) | ชิสุกะ (6)
13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3257644#msg3257644) | special : secret
14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3258219#msg3258219) | ซูเนโอะ (1)
15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3259193#msg3259193) | ซูเนโอะ (2)
16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3264199#msg3264199) | ซูเนโอะ (3)
17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3264199#msg3264199) | ซูเนโอะ (4)
18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3264199#msg3264199) | ซูเนโอะ (5)
19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3281928#msg3281928) | ซูเนโอะ (6)
20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3284598#msg3284598) | ไจแอ้นท์ (1)
21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3285967#msg3285967) | ไจแอ้นท์ (2)
22 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3855910#msg3855910) | ไจแอ้นท์ (3)
23 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3856526#msg3856526) | ไจแอ้นท์ (4)
24 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3856562#msg3856562) | ไจแอ้นท์ (5)
25 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3856631#msg3856631) | ไจแอ้นท์ (6)
26 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3856631#msg3856631) | ไจแอ้นท์ (จบ)


special : when (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46289.msg3857478#msg3857478)




1


Every day is terribly boring until I met you.
Did you feel so?



ผมรู้สึกได้ถึงริมฝีปากชื้นที่วนเวียนอยู่รอบๆกรอบหน้า มันไล่ลงมาตั้งแต่หน้าผาก ลากไปที่แก้ม     กดจูบที่แถวๆสันกราม ก่อนจะวนกลับขึ้นไปจบลงบนใบหูข้างขวา ปากปริศนายังคงกดย้ำซ้ำๆอยู่อย่างนั้น นานจนรู้ตัวอีกทีมันก็ส่งลิ้นร้อนเข้ามาชอนไช หยอกเย้าเล่นกับด้านในของหูผมจนเหมือนมีกระแสไฟวิ่งพล่านไปทั้งตัว



“พิก....” 



ผมได้ยินเสียงกระซิบปนหอบเรียกขึ้นเบาๆ แต่ปากตอนนี้มันหนักอึ้งเกินกว่าจะขานรับอะไรได้อีก แรงกระแทกที่สวนเข้ามาทำให้ผมพูดอะไรไม่ได้นอกจากครางอือแล้วเอื้อมมือยกขึ้นกอดรัดหัวทุยๆนั่นให้แน่นยิ่งกว่าเดิม


“...ดีไหมครับ พิก” 


“อึก...”


 แสงนีออนมันแสบตาเป็นบ้าตอนที่ผมค่อยๆหรี่ตาขึ้น ไม่รู้ว่าตัวเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ บางทีผมอาจจะกำลังฝันก็ได้ แต่ให้ตายเหอะ ทำไมฝันมันถึงได้เหมือนจริงขนาดนี้วะ ทั้งตัวผมมันสั่นเซอร์ราวเหมือนอยู่ในโรงหนัง 4D ตอนที่เขาขี่ม้าฟันดาบกัน ที่ด้านล่างมันทั้งฉุดทั้งรั้ง มันดันแล้วกระชากอารมณ์ผมเป็นจังหวะจนเหมือนลอยอยู่ในความฝัน แล้วก็ปัง! ระเบิดลงทุ่งข้าวสาลี 


“พิกครับ....พิก” 


“อื้อ...” 


ผมไม่ตอบเสียงนั่น ได้แต่ครางพลางจิกหัวมันแทนความรู้สึกทั้งหมด จะให้ผมอธิบายยังไง มันเสียววาบไปถึงขั้วหัวใจ เกิดมาไม่เคยเจอใครทำอะไรให้แบบนี้เลย ตั้งแต่จำความได้ก็เป็นยอดชายเหนือชายมาตลอด แล้วนี่คืออะไร ผมโดนสอดใส่อยู่ใช่ไหม... ยิ่งผมครางออกมาดูเหมือนคนบนตัวจะยิ่งได้ใจ มันยิ่งกระหนำใส่ อัดมาอย่างไม่ยั้ง!


“อ๊ะ!...อย...อย่าแรงสิโว้ย!” 


 ผมตะโกนลั่นพลางปล่อยมือที่จิกหัวมันออก พยายามขืนตัวหนีเพราะนี่มันแรงเกินกว่าจะรับแล้ว! ไอ้เชี่ยเอ้ย ทำแรงขนาดนี้ยังเห็นกูเป็นคนรึเปล่าวะ  นี่คนนะโว้ย ไม่ใช่จิ๋มกระป๋อง!


โวยวายในหัวจนสาแก่ใจก็รีบดีดดิ้นทันที แต่บ้าเอ้ย! ทำไมแรงแม่งเยอะขนาดนี้วะ พอพลิกตัวหันตะแคงข้างทำท่าจะคลานหนี แม่งก็คว้าหมับเข้าที่เอวผมแล้วกระชากเข้าหาตัวเองอย่างแรง ผมซบหน้าลงกับแขนเพราะเริ่มรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังจะแตก และตอนนั้นเองที่ตัวของมันโน้มทับลงมา แขนสองข้างนั่นพากันกักทางออกของผมไว้หมด


ไอ้เชี่ยที่หยามศักดิ์ศรีผมอยู่ตอนนี้ไม่รู้เป็นใคร พยายามมองหน้ามันกี่ครั้งแต่แสงไฟมันก็แยงจนแสบตาไปหมด ได้แต่นอนคว่ำหน้าหรี่ตามองเงาเคลื่อนไหวอยู่ด้านบนที่สะท้อนลงพื้นนิ่ง สัมผัสได้แค่หยาดเหงื่อผสมกลิ่นน้ำหอมเย็นๆที่ลอยมาเตะจมูก ตอนนี้ในหัวมึนไปหมด เมามายเกินกว่าจะรับรู้อะไรนอกจากแขนยาวที่ยันอยู่ด้านหน้า....


ท้องแขนขวาที่สักตัวอักษรฟร้อนตัวเขียนยาวไล่ไปถึงต้นแขนขาว...


Never underestimate
someones ability to find out the truth.







“เชี่ยพิก!”


ผมกระเด้งตัวขึ้นมาทันทีที่เสียงทุ้มๆดังกระทบโสตประสาท เงยหน้าไปก็เจอไอ้ชานนั่งเปิดเท็กซ์เล่มเบ้อเริ่มอยู่ข้างๆ สาเหตุที่มันเรียกให้ผมตื่นขึ้นมาไม่ใช่อะไรหรอกครับ อาจารย์วิชานี้แม่งโคตรโหด เห็นใครหลับ หรือหน้าฟุบโต๊ะหน่อยแม่งติ๊กขาดทันที ชนิดที่ไม่ต้องมีข้อแม้


“...เรียกจะถึงชื่อมึงแล้ว”  ชานเปิดเท็กซ์พลางพยักเพยิดหน้าไปที่บุคคลหน้าห้อง อาจารย์สาววัยกลางคนที่นั่งหน้าขรึมทำให้ผมรีบลุกขึ้นนั่งหลังตรงทันที


ที่ม.ผมไม่มีหรอกครับไอ้ระบบรูดบัตรนศ. หรือแสกนลายนิ้วมือ มีแต่ขานชื่อเรียกแบบเด็กประถมนี่แหละ แล้วแม่งได้ผลดีสุดตรงที่นศ.ตาดำๆอย่างผมจะโดดเรียนแล้วฝากเพื่อนมาขานชื่อแทนก็ไม่ได้ด้วย 


อาจารย์สาวทึนทึกเพิ่งขานชื่อผ่านผมไปเมื่อกี้นี้ จนมาหยุดที่ชื่อนักเรียนดีเด่นประจำคลาสนั่นแหละ เรียกอยู่สองสามทีก็ไม่เห็นว่าจะมีใครขานรับ พวกเราตกอยู่ในความเงียบกันพักใหญ่ เป็นอันรู้กันว่าไอ้โนบิตะนั่นไม่เคยขาดเรียนเลยซักครั้งนับตั้งแต่เข้าปีหนึ่งมา พวกเราเริ่มซุบซิบนินทาราวกับว่านี่เป็นเรื่องอัศจรรย์แห่งปี 


“ศตวรรษ...ไม่มาสินะ”


ผมขมวดคิ้วมองอาจารย์ที่นั่งชะโงกหน้าหาไอ้โนบิตะ หล่อนกำลังจะก้มหน้าลงไปติ๊กขาดในช่องมาเรียนของวันนี้อยู่แล้วเชียว ในขณะที่หล่อนกระแอมไอเสียงดังให้ห้องกลับคืนเข้าสู่ภาวะปกติ ทันใดนั้นเองประตูบานหนาที่อยู่ติดกับโต๊ะโซนข้างหน้าก็เปิดออก


“มาครับ!”


เสียงหัวเราะครืนดังพร้อมกันเมื่อไอ้แว่นโนบิตะวิ่งกระหืดกระหอบสะดุดประตูเข้ามา มันชูมือข้างที่ไม่ได้ถือเท็กซ์เล่มหนาวิ่งร่าไปเช็คชื่อตัวเองอีกรอบที่โต๊ะอาจารย์ด้วยความเร่งรีบ 


“กูคิดว่าโนบิตะมันจะขาดแล้วนะเนี่ย ใจหายใจคว่ำหมด” ไอ้ชานที่อยู่ข้างๆกระซิบขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงเป็นใยอะไรหรอกครับ แต่พวกเราอยู่กลุ่มเดียวกัน แล้วงานทั้งหมดที่ต้องส่งวันนี้พวกเราก็โบ้ยให้ไอ้โนบิตะเป็นคนรับผิดชอบ ถ้ามันไม่มาซักคนรับรองวันนี้กลุ่มผมคงถึงคราวอวสานแน่


“มึงมานั่งนี่”  ผมกวักมือเรียกไอ้แว่นที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าชั้น อาจารย์ยังคงเรียกเช็คชื่อต่อไป ในขณะที่ไอ้เก้าเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะแลคเชอร์ด้านในถัดจากไอ้ชาน


“นี่งานของชานครับ ส่วนนี่ของพิก” ก้นยังไม่ทันสัมผัสกับเก้าอี้ โนบิตะมันก็ขยับแว่นกรอบหนา ก้มเงอะๆงะๆหาชีทงานในแฟ้มแล้วยื่นมาทางพวกผมสองคน ก็ถือเป็นเรื่องราวดีๆที่พวกผมยอมรับมันเข้ากลุ่มงานนี้ เพราะนั่นการันตีได้เลยว่าพวกผมจะสบายไปตลอดทั้งเทอม


“เฮ้ย โนบิตะ แล้วงานกูอะ” เสียงจากด้านหลังเรียกให้พวกผมเอี้ยวตัวหันไป ไอ้ช้างกำลังนั่งเขย่าขามองกวนตีนมานิ่ง ไอ้โนบิตะนี่ก็อีก มันรีบค้นชีทงานในแฟ้มตัวเองแล้ววางไว้บนมือเขาเสร็จสรรพ


“เอามานี่” ผมรีบคว้าชีทงานนั้นมาไว้ในมือตัวเองทันที ไอ้ช้างถลึงตาโตพยายามจะแย่งไปไว้ในมือตัวเอง แต่ก็ไม่ทันซะแล้ว ผมฉีกแม่งจนแยกออกเป็นสองส่วนเลย...


“ได้ไงวะเหี้ยพิก!!” 


“ทำไม มึงมีปัญหาไรช้าง” 


“มึงมาแส่ทำไม”


ไอ้ช้างเค้นเสียงลอดไรฟัน แต่ทำอย่างงั้นแล้วนึกว่าคนอย่างกูจะกลัวหรอ ผมยกมือขึ้นลูบจมูกตัวเองแล้วทำท่าจะง้างมือต่อยแม่ง เอาสิ ถ้าจะมีเรื่องก็ให้แม่งโดนเช็คขาดกันไปทั้งคู่เลยเป็นไง


“พ...พิกครับ...”


เสียงแหบของไอ้โนบิตะดังขึ้นใกล้ ๆ มันเอื้อมมือมาจับไหล่ผมเบา ๆ เป็นเชิงห้าม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ที่คุกรุ่นเย็นลงแม้แต่น้อย แทนที่จะยอมลดมือที่ง้างลง ผมกลับหันไปตบหัวมันดังป๊าบ ไอ้เก้ามนุษย์แว่นลูบหัวตัวเองเบา ๆ แล้วขมวดคิ้วมองมาอย่างไม่เข้าใจ 


“หุบปากไปเลยโนบิตะ!” ก็ไม่รู้ทำไมถึงต้องหวง แต่ก็นั่นแหละ เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของมันแล้วยิ่งหมั่นไส้ “มึงเป็นของกู ต้องทำงานให้กูคนเดียวเท่านั้น!” 


“แต่...”


“นายภาษิต!”


อาจารย์หน้าห้องเรียกชื่อผมออกไมค์เสียงแหว หันไปก็เจอหล่อนยืนชี้หน้าจ้องเขม็งมองมาไม่วางตา นี่เกรงใจอาจารย์หรอกนะถึงได้ยอมยุติเรื่องบ้าบอนี้ ผมลดมือที่เพิ่งจะตบหัวไอ้โนบิตะลงข้างตัว ก่อนจะนั่งกอดอกเสหน้ามองไปทางอื่น ทำเป็นไม่สนใจสายตาอ้อนวอนผ่านแว่นของใครบางคน


เฮอะ...ไม่ต้องมามองอย่างนั้นเลยไอ้แว่นโนบิตะ
คิดว่ากูจะสงสารมึงหรอ 


ไอ้แว่นหน้าโง่อย่างมึงต้องเป็นของเล่นของกูคนเดียว จำไว้
มึงจะไม่มีสังคมที่ไหนอีก จนกว่ากูจะทิ้งมึงเอง!



_____________________________________________

ดัดแปลงมาจากฟิคที่เพิ่งจะเขียนจบไปค่ะ
อาจจะมีคำหยาบคาย ไม่ดียังไงก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ T_T 
4 ตอนจบค่ะ เขียนจบแล้ว แล้วจะทยอยเอาลงให้อ่านเนอะ ♥
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 1/4 (12/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 12-04-2015 11:32:26
พิกจ๋า~ หนูอย่าเพิ่งได้ใจไปค่ะ.. ระวังจะเงิบทีหลังเอานะคะ เพราะท่าทางโนบิตะจะไม่ธรรมดาเสียแล้วว ในความซื่ออาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ก็ได้น้าา.. :o9:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 1/4 (12/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 12-04-2015 13:30:39
คนๆ นั้นคือโนบิตะแหละ เรารู้เรามโนเองได้ :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 1/4 (12/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 13-04-2015 17:23:10
พิกซุกะ >///<
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 1/4 (12/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 16-04-2015 10:00:11


GIANTS’s PAT


“มึงจะไปร้านนั้นอีกแล้วหรอวะ?”


สาบานได้ว่านี่เป็นคำถามจากเพื่อนรักของผม ไอ้เชี่ยวชาญ


พอฟังคำถามจบผมก็ถอนหายใจใส่หน้ามันดังเฮือก ถ้าไม่นับตัวน่ารำคาญอย่างไอ้ช้าง ก็ไอ้ชานเนี่ยแหละที่วุ่นวายกับชีวิตของผมเป็นอันดับต้น ๆ


“เออ จะไป ถ้ามึงจะไม่ไปกับกูก็หุบปากไปเลยครับคุณเชี่ยวชาญ”


ผมพูดพลางเก็บข้าวของที่กองอยู่ตรงหน้า พอได้ฟังคำตอบไอ้ชานก็ใช้สกิลม้วนตัวไปนั่งห้อยขาอยู่บนโต๊ะเลคเชอร์ที่อยู่ด้านหน้าทันที 


“ขอบอกตรง ๆ เลยนะว่ากูไม่อยากให้มึงไปอะ” 


เจ้าของขายาวอันโกงกางที่ยกตีนมาพาดบนโต๊ะเลคเชอร์ของผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง พอเงยขึ้นไปมองก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะไอ้ชานแม่งทำหน้าเหมือนคนเพิ่งเสียของรัก ดวงตากลมโตนั่นจ้องมองมาด้วยความอาลัยอาวรณ์อย่างหนัก “มึงจะทำหน้าดราม่าไปทำไมนักวะ กูไม่ได้จะไปตายซะหน่อย ก็แค่ไปผับ”


“แต่ไปทีไรก็เสียตังทุกทีนะ” มันเม้มริมฝีปากเข้าหากัน “กูบอกหลายหนแล้ว ว่าพี่พลอยของมึงเขาไม่ได้รักมึงจริง ๆ หรอก พิก...มึงอย่าหลอกตัวเองอีกเลย เลิกไปหาแม่นั่น เลิกเอาตังไปถวายเค้าซักทีเหอะ”


เชี่ยวชาญยังคงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผิดกับผมที่กลอกตามองเพดานเหมือนทุกครั้ง ก็เข้าใจนะว่าเพื่อนมันเป็นห่วง แต่เรื่องนี้ผมก็ขอคอนเฟิร์มด้วยหัวใจของตัวเองเหมือนกันว่าพี่พลอยยอดยาหยีของผมไม่มีวันหลอกใช้ผมแน่ ๆ 


“มึงอย่าพูดอย่างนั้นเลยชาน พี่พลอยเขาเป็นผู้หญิงที่น่ารัก เขาไม่ได้มาหลอกกูหรอก”


“หรอ แล้วที่เจอกันทุกครั้งขอแต่ตังมึงคืออะไร”


“ก็เขาลำบาก”


“แล้วพอได้ตังก็ไม่สนใจมึงคืออะไร?”


“เฮ้อ”


ก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งแหละครับเมื่อเราสองคนเถียงกันเรื่องนี้ ผมเป่าลมออกจากปากแล้วมองหน้าไอ้ชานอย่างเอือมระอา ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาหันไปให้ความสนใจกับคนอื่นที่ค่อย ๆ ทยอยเดินออกไปจากห้อง


“ไอ้โนบิตะล่ะ” 


“อย่าเปลี่ยนเรื่อง”


ผมขมวดคิ้ว กูไม่ได้จะเปลี่ยนเรื่องเลย แค่ถามหาไอ้แว่นจืดที่ตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ พูดถึงโนบิตะ ไอ้เก้ามันมาไวไปไวตลอดครับ มาเรียนเร็วตรงเป๊ะแทบจะทุกครั้ง แต่พอถึงเวลากลับก็รีบเหมือนกัน ไม่รู้แม่งจะรีบไปไหนนักหนา


เออ แล้วถ้าบอกว่ามันใส่แว่นแล้วเหมือนโนบิตะ ผมก็คงเป็นไจแอ้นท์ละมั้ง (ไอ้ชานมันเคยว่า แต่มันบอกว่ามันจะไม่ยอมเป็น ซึเนโอะให้ผมแน่) เป็นเพื่อนร่างอ้วน (จริงๆผมแค่หนากว่าไอ้แว่นนิดเดียว) ที่คอยจ้องแต่จะจับผิดและกลั่นแกล้งโนบิตะเสมอ 


แต่พวกคุณมึงอย่าลืม เวลาดูโดเรม่อนเคยมีซักครั้งไหมที่ไจแอ้นท์ยอมให้คนอื่นแกล้งโนบิตะ? ไม่มีหรอก แล้วก็ไม่ใช่เพราะว่าผมชอบมันหรอกนะ...อย่าได้เสร่อคิดอย่างนั้นเชียว แต่ที่ปกป้องมันจากพวกไอ้ช้างเพราะผมมองมันเป็นเหยื่อต่างหาก


เหยื่อของผมผมหวงอยู่แล้ว ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามยุ่ง! ถึงแม้จะเป็นไอ้ชานเพื่อนรักก็ตาม


“ไม่ได้เปลี่ยนเรื่อง กูว่าจะชวนแม่งไปแดกข้าวขอบคุณก่อนไปผับ” ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ “เห็นว่าแม่งแดกเผ็ดไม่ได้ ว่าจะชวนแม่งไปกินต๊อกฯสูตรเผ็ดเหี้ย ๆ ซะหน่อย อยากเห็นโนบิตะร้องไห้”


“มึงนี่นะ” ไอ้ชานเอื้อมมือมาตบหัวผมเบา ๆ “นอกจากเรื่องพี่พลอยแล้วก็ไม่เห็นมึงใส่ใจใครนอกจากโนบิตะเลย...ยอมรับมาเหอะว่ามึงก็อยากทำดี ๆ ให้มันเหมือนกัน โตแล้วนะมึง เลิกแกล้งคนที่อยากเป็นเพื่อนด้วยได้แล้ว ถ้าเกิดวันนึงมันลุกขึ้นมาร้องไห้ใส่แล้วหนีไปเป็นเพื่อนกับคนอื่น มึงจะทำไง” 


“ก็ไม่ทำไง” ผมยักไหล่ไม่ยี่ระ “ดีซะอีก กูอยากเห็นโนบิตะร้องไห้” 


“ประสาท” 


ผมยักไหล่ใส่เพื่อนชานอีกรอบ สุดท้ายแล้วผมก็ไม่คิดจะแก้ตัวหรอกนะ เพราะที่มันพูดออกมาน่ะจริงสุด ๆ ผมแม่งต้องประสาทแน่ ๆ ...แค่นึกว่าจะได้เห็นโนบิตะร้องไห้ ใจมันก็พองโตอย่างกับได้ของเล่นใหม่แล้ว !



_____________________________________________



NOBITA’s PART



ทุกคนที่นั่นเรียกผมว่า โนบิตะ


พวกคุณควรทำความเข้าใจเสียใหม่นะ ว่าผมเต็มใจโดนเรียกว่า ‘โน-บิ-ตะ’
ไม่ใช่โดนฝืนใจ หรืออะไรอย่างที่พวกคุณเคยคิดหรอก



ก๊อก ก๊อก ก๊อก!


เสียงเคาะกระจกจากคนด้านนอกเรียกให้ผมตื่นจากภวังค์ ไม่ถึงนาทีชายชุดดำก็เปิดประตูแล้วเดินกุมมือเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะของผมอย่างนอบน้อม พี่เกื้อบอดี้การ์ดของผมค้อมหัวทำความเคารพ ก่อนจะเอ่ยปากพูดถึงธุระที่ทำให้ต้องเข้ามาขัดจังหวะการทำบัญชีของผมในตอนนี้


“คุณหนูครับ นายเรียกให้ไปพบลูกค้าวีไอพี”


“โอเค คุณพ่อก็อยู่ที่นั่นใช่ไหม” ผมพยักหน้าพลางถอดแว่นตาไร้กรอบ เงยขึ้นไปก็เห็นพี่เกื้ออมยิ้มแทนคำตอบที่ผมถามไปเมื่อครู่ “โอเค งั้นเดี๋ยวผมตามไป ขอเคลียร์ตรงนี้ให้เสร็จก่อน”


“ครับ”


พี่เกื้อออกไปแล้ว นั่นก็หมายความว่าในห้องนี้มีแค่ผมเท่านั้น... ใช่ครับ ที่บ้านผมทำธุรกิจเกี่ยวกับผับและภัตรคาร มันเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ที่ผู้สืบทอดอย่างผมจะต้องมาลงมือทำงานดูแลบัญชีของร้านในทุก ๆ วันอย่างนี้


การพบลูกค้าวีไอพีก็เช่นกัน เพราะบ้านของผมทำคลับชั้นสูง มีห้องพิเศษไว้สำหรับรับรองแขกแบบเป็นส่วนตัวผมจึงต้องเข้าไปดื่มทักทายกับลูกค้าบ้าง ซึ่งลูกค้าวีไอพีส่วนใหญ่ก็พวกนักการเมือง ส.ส. ส.ว. คนใหญ่คนโตกันทั้งนั้น


หลังจากจัดการบัญชีหน้านั้นเสร็จผมก็พาตัวเองขึ้นมาที่โซนวีไอพีตามที่ได้บอกพี่เกื้อเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่พรวดพราดเข้าไปทันที ไม่รู้สิครับ ทั้งที่แค่ก้าวเข้าไปผมก็จะกลายเป็น ‘คุณหนูเก้า’ เต็มตัวอย่างทุกครั้ง แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ผมถึงได้ชะงักความรู้สึกนั้น บอกตรง ๆ ว่าไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย


ภาพคนในกระจกที่สะท้อนกลับมาทำให้ผมนึกสงสัย มันเกิดคำถามว่าผู้ชายร่างสูงโปร่งที่ชอบใส่เชิ้ตสีขาวพับแขนลวก ๆ กางเกงสีกาแฟของทอมมี่ ฮิลฟิเกอร์ นาฬิกาแบรนด์ที่ชอบอย่างฮิวโก้บอส มีรอยสักที่ท้องแขนด้านขวา และเสยผมไม่ปรกหน้านั่นหายไปไหน ทำไมตอนนี้ในหัวผมถึงมีแต่ไอ้แว่นจืดชืดอย่าง ‘โนบิตะ’ อยู่เต็มไปหมด


 ทำไมผมถึงปล่อยให้ตัวตนนั้นเข้ามาครอบงำตัวเองได้ขนาดนี้
บางทีถ้าจะนึกโทษใคร ก็คงจะต้องโทษพิกอย่างจริงจังซะแล้ว


เจ้าของร่างกายสีแทนนั่นกำลังทำให้ผมรู้สึก...แย่
ความคิดถึงที่ไปไม่ถึง...มันทำให้ตัวตนของผมปั่นป่วนไปหมด





“ไอ้นี่อีกแล้ว!”


หลังจากพบปะกับลูกค้าวีไอพีเสร็จผมก็เดินลงบันไดวนมาจากโซนชั้นบน ทั้งที่อีกแค่นิดเดียวก็จะถึงห้องทำงานส่วนตัวที่อยู่มุมสุดของร้านแล้ว แต่เสียงตะคอกของการ์ดคนนึงในโซนผับก็ทำให้ผมต้องชะงักเท้าค้าง


“เอายังไงดีล่ะเนี่ย...” 


ผมไม่รีรอที่จะเดินไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นในเมื่อคนเกือบครึ่งมุงอยู่ที่ตรงกลางร้าน และแล้วภาพตรงหน้าที่ฉายชัดก็ต้องทำให้ผมหนักใจมากกว่าเดิม ไม่ใช่แค่เพราะลูกค้าเมาแล้วอาเจียน เรื่องนั้นเรียกมาแม่บ้านมาก็จบ แต่เป็นเพราะคนที่เมานั่นคือพิกต่างหาก ที่ทำให้ใจผมเต้นเร็วขนาดนี้


นี่เดจาวูหรือเปล่า...ให้ตายเถอะ เขามาอยู่ตรงหน้าผมในสภาพแบบนี้อีกแล้ว มันเหมือนกับเมื่อไม่กี่วันก่อนที่จะเกิดเรื่อง...ไม่มีผิด


“พี่พลอย...เอิ้ก...พี่พลอย...พิกรักพี่พลอย”


คนอื่น ๆ พอหันมาเห็นว่าเป็นผมที่เดินเข้ามามุงด้วยก็ตกใจ รีบโค้งให้กันใหญ่ ลูกค้าสาว ๆ ที่สนิทกันก็เดินมาควงแขนเอาอกเอาใจ แต่ไม่ใช่กับคนที่นอนอยู่บนพื้นนี่ พิกในตอนนี้ทั้งเมาแล้วก็โวยวายเสียงดังจนคนอื่นเขาหันมามองเป็นตาเดียว ทั้ง ๆ ที่มันไม่ควรจะดึงดูดความสนใจผมได้เลยแม้แต่น้อย...


แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เลือกที่จะย่อตัวลงไปแล้วพยุงเขาให้ลุกขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ปากยังเลอะอ้วกอยู่อย่างนั้น.


“คุณหนู!! ไม่ต้องลำบากก็ได้ครับเดี๋ยวพวกผมจัดการหมอนี่เอง” หนึ่งในการ์ดของผับพูดขึ้น


“ไม่เป็นไร เขาเป็นเพื่อนผมที่มหา’ลัย ไม่ต้องรบกวนพวกนายหรอก...แต่เดี๋ยวช่วยไปเรียกแม่บ้านมาเช็ดตรงนี้ทีนะ ส่วนบิลที่คุณคนนี้เขาดื่มไว้ที่บาร์ให้มาส่งที่ห้องทำงานของผม เข้าใจไหม?”


ผมพูดพลางพยุงคนผิวแทนให้ยืนตรง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยากเหลือเกิน เพราะพิกทำท่าเหมือนอยากจะเอาหน้าแนบกับพื้นตลอดเวลา


“เข้าใจครับ” 


จบคำก็แยกย้ายกันไปทำตามที่ผมสั่งทันที ตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์ในโซนผับจะกลับมาเป็นปกติแล้ว เหลือก็แต่ผมที่เพิ่งจะพยุงพิกเข้ามาในห้องทำงานได้จนสำเร็จนี่ล่ะที่ไม่ปกติ...


ให้ตายเถอะ ทั้งที่คิดว่าครั้งนั้นแค่หนเดียวก็มากเกินกว่าที่ฝันเอาไว้แล้ว...
แล้วดูตอนนี้สิ ยังมีหน้ามาเมาหยำเปต่อหน้าคนอื่นให้เขาคิดอกุศลด้วยอีก


แล้วอย่างนี้จะอดใจไม่ทำอะไร...ต่อมิอะไรได้ยังไงไหว?
 


_____________________________________________

ฮ่าฮ่า เป็นพิกแอนท์นะไม่ใช่พิกซุกะ
ดีใจที่ชอบน้า 
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 2/4 (16/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 16-04-2015 11:56:41
เอาแล้ววววววววววววว
ชอบอ่ะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ
รอวันที่โนบิตะเผยตัว
สงสารใจแอนท์อ่ะ
โนบิตะช่วยแอนท์ด้วย


(เมนต์แบบเบลอๆ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 2/4 (16/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 16-04-2015 14:36:30
โนบิตะ..จะทำอารายย :hao7: พิกเมาจนเปลี้ยขนาดนั้นไม่รอดแน่ๆ เลยนะคะเนี่ย ว้ายๆ ><
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 2/4 (16/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 16-04-2015 14:54:59
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยย

รอตอนต่อไปไม่ไหวแร้นนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 2/4 (16/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 16-04-2015 16:17:10


GIANTS’s PAT


“ซี๊ด....”


เสียงสูดปากดังขึ้นในความมืด อีกครั้งแล้วที่รู้สึกเสียวซ่านตรงช่วงท้องน้อยอย่างบอกไม่ถูก สิ่งแปลกปลอมยังคงเคลื่อนไหวในร่างของผมอย่างหนักหน่วง มันกระแทกถี่ กระทุ้งผนังอ่อนย้ำ ๆ จนหัวสั่นหัวคลอนไปหมด


ผมหรี่ตามองดูเรียวมือที่กำลังขยำขยี้ลงบนยอดอก นึกสมเพชตัวเองขึ้นมาเลยเมื่อรู้ว่าอาการปวดหนึบจนแทบจะปลดปล่อยมันมาจากแรงอัดที่มาจากทางด้านหลังล้วน ๆ มือสากของคนตรงหน้าแทบไม่ได้แตะต้องบนส่วนอ่อนไหวของผมเลยแม้แต่น้อย ทว่าทุกครั้งที่ปลายของมันกระทั้นโดนจุดอ่อนไหวนั่น สาบานได้เลยหากแรงดันของมันมีมากพอจะบดขยี้ทั้งร่างของผม ป่านนี้ทั้งตัวคงได้แหลกเหลวไม่มีชิ้นดีแล้ว


“พิกครับ...”


เสียงกระซิบแหบพร่าเตือนว่าผมกำลังวนลูปเข้าสู่จุดเดิม มันเหมือนคืนนั้นไม่มีผิด! คืนที่ผมตื่นขึ้นมาในห้องสวีทของโรงแรมย่านรังสิต แล้วพบว่ามีหยดเลือดกับหยาดขาวขุ่นขลักกระจายเป็นวงกว้างตรงหว่างขาตัวเอง


“ไอ้เหี้ย มึง...อึก....มึง เป็นใคร!”


ไม่เจียมสังขาร! รู้ตัวเองว่าไรเรี่ยวแรงจะต่อต้านยังปากดีไปใช้คำพูดหยาบคายกับมันอีก เจ้าของเงาทะมึนที่ทาบทับร่างผมเงียบไปพักนึง มันกระทุ้งปลายถี่ ๆ ราวกับว่าจะหยั่งเชิงในท่าทีของผม และเมื่อผมเอื้อมมือไปจิกหัวมัน อ้าปากจะร้องถามขึ้นมาอีกรอบ มันก็ตอบกลับด้วยการกระทำอันแสนโหดเหี้ยมไร้ความปราณีด้วยการกระทำแทนคำพูดทั้งมวล...


“พูดเพราะ ๆ หน่อยสิครับ พิก”


มันใช้เสียงแหบพร่าของตัวเองกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของผม ก่อนจะถอนทั้งหมดออกจากตัวอย่างกะทันหัน ให้ตายเถอะพระเจ้า! ผมตาเหลือกเพราะตั้งตัวไม่ทัน ไอ้เวรนั่นดึงตัวเองออกจากช่องทางของผมทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้มันยังขยิบตอดแท่งร้อนนั่นยิบอยู่เลยแท้ๆ


“อ๊า! –ไอ้...ฮึก...ไอ้...สัตว์นรก!”


ผมกลั้นหายใจร้องครางออกมาไม่เป็นภาษา ผนังอ่อนด้านในที่ยังขยับตอดทำให้อยากจะด่ามันให้ดังกว่านี้ แต่ไม่ไหว...ไม่ไหวจริง ๆ ยิ่งมันเคลื่อนตัวลง ก้มหน้ากดจูบเบา ๆ บนหน้าท้องแล้วลากริมฝีปากชื้นให้ต่ำลงไปยังด้านล่างผมยิ่งพูดไม่ออก ไม่เคยรู้เลยว่าการเป็นฝ่ายถูกกระทำจะทรมานใจอะไรขนาดนี้


“พิก...” เสียงนั่นดังขึ้นมาอีกครั้ง ไอ้เวรนั่นใช้มือสากนั่นลูบไล้ที่บั้นท้ายของผมแล้วขยำอย่างหนักหน่วง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผมในความมืด “ก็บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าให้พูด--”


“เหี้ย!” ผมชะโงกหน้าด่าสวนทันทีที่โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ “มึงมันเหี้ย มึงเป็นใคร ทำอย่างงี้ไปทำไมวะ”


“ก็แค่อยากจะให้พิกพูดดี ๆ กับคนอื่นเขาบ้าง”


“เหี้ย”


“ไม่อยากถึงหรอ....ถ้าพูดขอดี ๆ ครั้งนี้จะให้ถึงนะ ดีไหมครับ?”


ยังจะเปลี่ยนเรื่องอีก ผมเม้มปากเข้าหากันแล้วใช้ข้อศอกพยุงตัวเองขึ้นไปจิกหัวมันอีกรอบ “อย่าเปลี่ยนเรื่อง! มึงเป็นพวกเดียวกับไอ้ช้างใช่ไหม มึงทำแบบนี้ไปทำไม ทำแบบนี้กับกูทำไม!”


“...” มันเงียบ ยิ่งเงียบใส่อย่างนี้ผมยิ่งจิกหัวมันแรงขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับ นั่นทำให้ผมต้องผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแรง


“ไอ้สัตว์นรก ไอ้ชาติชั่วเอ้ย! ทั้งครั้งนั้น...แล้วก็ครั้งนี้อีก” ผมกระแทกเสียงพูดก่อนจะแผ่วลงตามลำดับ จะร้องไห้แล้วนะโว้ย จะแกล้งกันก็ให้แม่งมีขอบเขตหน่อยสิวะ! จะยกพวกตีกู ซัดกูแรงแค่ไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้!


แบบที่ต้องนอนครางอยู่ใต้ร่างของใครก็ไม่รู้ ทั้งหมดเรี่ยวแรงแล้วก็เสียศักดิ์ศรีแบบสุดๆ !   


“คุณจำผมได้หรอ?” จากที่เงียบอยู่นานอีกฝ่ายก็พูดขึ้นบ้าง แต่แทนที่มันจะบอกผมว่าตัวเองเป็นใคร มันกลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดแก้มผม “ทั้ง ๆ ที่ครั้งนั้นคุณไม่มีสติเท่าครั้งนี้แท้ๆ”


“ก...กู...”


ตอนนี้กลายเป็นผมเองที่สะอึก จะให้บอกยังไงว่าจำกลิ่นตัวของมันได้ ... ทั้งๆที่ตอนขยับถี่เข้าหา กายอุ่นนั่นแผ่ไอร้อนจนอึดอัดไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็กลับหอมเย็นชื่นใจจนอดที่จะสูดเข้าปอดไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลิ่นน้ำหอมหรืออะไร แต่ยิ่งได้ฟังเสียงทุ้มที่กระซิบแผ่วข้างหู ภาพเงาดำของคนในความมืดเมื่อคืนวันนั้นก็ผุดขึ้นมาย้ำอีก...


แล้วจะไม่ให้แน่ใจได้ยังไง...
คนที่ทำระยำกับมนุษย์ผู้ชายแมนเต็มร้อยอย่างผมได้ก็มีแค่มันคนนี้เท่านั้น... 


“ดีใจจังที่จำผมได้ด้วย”


“ก...กู...”


แต่ไม่ทันที่ผมจะได้พูดตอบอะไรต่อ เรียวลิ้นร้อนของมันก็ฉกลงเบา ๆ บนหนังอ่อนหุ้มปลาย ทั้งตวัดวาดเป็นวงกลม ทั้งฉกลิ้นแตะถี่จนต้องล้มลงนอนจิกเท้าเกร็งแอ่นตัวแหงนหน้าขึ้นมองเพดานแล้วครางแบบไม่มีเสียง...ไอ้เหี้ยเอ้ย ถ้าแค่จะแกล้งกันไม่เห็นต้องทำแบบนี้ก็ได้ เท่านี้ก็เสียวจะแย่ ขาวโพลนไปทั้งหัวแล้ว...


ขนาดพวกผู้หญิงที่เคยฟันมายังไม่อุทิศตัวทำให้ขนาดนี้เลย!


“อึก....อะ..อ๊า...เหี้ย....เหี้ยเอ้ย....”


ด่าในใจยังไม่ทันจบคำก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนที่ชื้นแฉะด้านล่าง ตอนนี้หมดอารมณ์จะขัดขืนแล้วครับ ได้แต่เอื้อมมือลงไปจิกหัวมันไว้แน่น แล้วก็เหมือนอีกฝ่ายจะยิ่งได้ใจ มันลากลิ้นชุ่มน้ำลายต่ำลงไปอีก แล้วกดเบา ๆ บริเวณรอบช่องทางจนผมต้องเม้มปากกลั้นเสียง


“ว่ายังไงครับ...อยากถึงไหม...” มันแยกขาผมออกแล้วชะโงกหน้ามาถาม แต่คิดหรอว่ากูจะยอมคนอย่างมึงง่าย ๆ คิดได้อย่างนั้นก็ยกขาถีบอกมันเลยครับ แต่ดูเหมือนมันจะเดาทางผมออกไปซะหมด เพราะทันทีที่ปลายนิ้วโป้งเท้าจรดลงบนแผ่นอกเนียนนั่น มันก็คว้าหมับเข้าให้ที่ข้อเท้าทั้งสองข้าง แล้วกดปากจูบลงบนฝ่าตีนผมทันที “ถ้าอยากถึงก็พูดขอกันดี ๆ แล้วจะทำให้”


“...ฮาห์...” 


"พูดสิครับพิก.."


"เหี้ย เหี้ยยยย..ปล่อย...ปล่อยกู"


ผมออกแรงขัดขืน พยายามดีดดิ้นให้ข้อเท้าหลุดจากการเกาะกุม แต่เชื่อไหม ยิ่งทำแบบนั้นยิ่งเข้าทางไอ้เวรนี่ล่ะ! มันโน้มตัวมางับน่องขาผมทันทีที่ตั้งท่าจะเหยียดถีบมันอีกรอบ! ก่อนจะใช้มือที่ว่างแหวกช่องทางของผมแล้วทะลึ่งพรวดเข้ามาทั้งตัว...


จุก...จนร้องไม่ออก...


“หึ...หุบปากได้ซักทีนะครับ ไม่รู้หรือไงว่าเท้าน่ะเป็นของต่ำ” ไม่พูดเปล่ายังยกขาผมพาดขึ้นบ่าแล้วหันไปใช้ปากงับอย่างแรงจนผมสะดุ้ง “ทำอย่างนี้ต้องโดนลงโทษนะ”


“....”


“เงียบเลยแฮะ” เมื่อเห็นว่าผมยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากมันก็ดึงแท่งลำออกมาก่อนจะใส่เข้าไปใหม่อย่างเนิบนาบ  ยิ่งผมปิดปากเงียบมันยิ่งเพิ่มแรงกระแทกให้หนักหน่วงขึ้นเป็นเท่าตัว ให้ตายเถอะ! แล้วควงเอวขยี้ปลายแท่งกับด้านในกูจนร้อนฉ่าขนาดนี้จะให้ทำอะไรได้อีกนอกจากกัดปากกลั้นเสียงครางล่ะวะ ห่าเอ้ย!!!


“อย่ากัดปากสิครับพิก ไม่เจ็บหรอทำอย่างนั้นน่ะ” เห็นว่าไม่พูดไม่ด่าอะไรเลยได้ใจหนัก มันเอื้อมมือข้างที่ไม่ได้จับขามาบีบเข้าที่สันกรามของผมอย่างแรง “เอ...หรือว่าชอบให้รุนแรงด้วยกันแน่นะ?”


ผมไม่ตอบ ไม่ตอบเหี้ยอะไรทั้งนั้น เพราะถึงจะตอบว่าไม่เอาแรงๆ มันก็กระแทกลงมาเน้น ๆ อยู่ดี แล้วก็เป็นอย่างที่คาด มันกำลังขยับถี่ให้ช่องทางของผมตอดรัดเหมือนกับไปตายอดตายอยากมาจากไหน กระแทกแรงเหมือนเก็บความอัดอั้นทั้งชีวิตมาเพื่อกระทั้นใส่ในตัวผมอย่างเดียวเท่านั้น


“อืม...พิกครับ...พิก...ดีไหม...”


“อึก....ฮึก...”


เสียงนี่อ่อนโยนสุดฤทธิ์ แต่เชื่อเขาเลย เพราะการกระทำน่ะตรงกันข้าม! ไม่เข้าใจเลยว่าจิตใจของไอ้เวรนี่ทำด้วยอะไร คำพูดน่ะฟังลื่นหูเหมือนจะปลอบประโลมให้โอนอ่อนไปด้วยกันอยู่หรอก แต่ด้านล่างน่ะ รุนแรงสุด ๆ ชักเข้าชักออกจนผมตาพร่าไปหมด


“จะถึงแล้วหรอ...”  มันเอ่ยถามขึ้นมาตอนที่เห็นว่าผมเริ่มเคลื่อนมือมาแถว ๆ ท้องน้อย “ยังไม่ให้ถึงหรอก...ก็ยังไม่ได้ฟังประโยคขอร้องจากพิกเลยนี่นา”


"...."


ผมกระพริบตาถี่ ไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อไหร่ที่ตาแม่งพร่าขึ้นกว่าเดิม รู้ตัวอีกทีก็มีหยดหยาดใส ๆ ไหลออกจากหางตาแล้ว ไอ้คนด้านบนท่าทางจะสัมผัสได้กับแรงสะอื้นไห้แผ่ว ๆ ผมเลยโน้มหน้าลงมาหาแล้วกดจูบเปลือกตาผมอย่างอ่อนโยน


“ฮึก...ตกลงจะใจร้าย...หรือจะใจดีกับกูกันแน่! ไอ้เหี้ย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายจะเอายังไงแน่ กูงง!”


“ร้องไห้ทำไมครับพิก ไม่เอาอย่าร้องสิ”


“กูจะร้อง! ไอ้เหี้ย กูจะถึงก็ไม่ให้ถึง! มึงจะเอาไงกันแน่! จะให้กูอายจนตายไปเลยใช่ไหม!”


“อย่าตะโกนเสียงดังสิครับเดี๋ยวก็เจ็บคอกันพอดี”


“กูจะตะโกน...อึก” จบคำมันก็กระชากผมขึ้นมานั่งซ้อนบนตักทั้งที่ด้านล่างของเรายังเชื่อมกัน “ไอ้เหี้ย...อ๊ะ....จะทำอะไร....”


“เงียบ ๆ น่า..."


"..."

"ถ้าไม่อยากให้ใจร้ายด้วยก็ทำตัวดี ๆ หน่อย” มันพูดพลางคลอเคลียอยู่กับใบหูของผม ตอนนี้น้ำตามันเหือดไปหมดแล้ว ถ้าถามว่าอะไรที่เข้ามาแทนที่ความเจ็บช้ำน้ำใจก็คงจะเป็นจังหวะมือของมันที่สาวขึ้นลงกับนิ้วโป้งที่นวดคลึงให้บริเวณส่วนหัวนั่นล่ะ "ไม่ต้องพูดดี ๆ ด้วยแล้วก็ได้ แต่อย่าดื้อ เข้าใจไหมครับ?"


"อะ....อือ..."


"ซี๊ด....แน่นจัง...งั้นผมจะขยับแล้วนะ"


พูดไม่ทันขาดคำมันก็สอดมือเข้ามาที่เอวสอบผมเลยครับ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกยกขึ้นจนลอยแล้วก็...


“อะ....อ่ะ....อ๊ะ....อย่าแรง...อย่าแรง” 


“ซี๊ด...พิกครับ...อืม...พิก”


ผมกรีดร้องออกมาตอนที่มันแหย่ลิ้นเข้ามาในรูหู เสียวทั้งบนซ่านทั้งล่าง ไม่ร้องออกมาก็บ้าล่ะ แล้วยิ่งได้ยินอย่างนั้นมันยิ่งเด้งสวนขึ้นมาแรงอีกเท่าตัว แรงจนผมต้องงอตัวแล้วจิกเล็บเข้าให้บนท้องแขนของมันที่รัดช่วงเอวของผมไว้แน่น


“จะไปแล้ว....ฮึก...จะถึง—”


“พร้อมกัน...พร้อมกันนะครับ”


สาบานได้เลยว่าถึงท้องฟ้าด้านนอกจะมืดมิดแต่ในหัวผมเสือกเห็นแต่สีขาวโพลน คนที่อยู่ด้านล่างสวนเอวถี่อีกสองสามครั้งก่อนจะปลดปล่อยความร้อนฉีดอัดเข้าท้องผมจนรู้สึกอุ่นวาบ มันบี้น้องผมก่อนจะชักให้อีกสองสามครั้งก็แตกตามกันมาติด ๆ


ตอนนี้ผมไม่มีแรงจะอ้าปากด่าใครอีกแล้ว ได้แต่เอนหลังซบไหล่กว้าง ๆ นั่นแล้วเหลือบมองท่อนแขนแกร่งที่ยังไม่ปล่อยออกจากเอวตัวเอง


และสิ่งเดียวที่ได้จากแสงจันทร์ในคืนนี้ก็คือตัวตนของคน ๆ นั้น
เจ้าของรอยสักบนท้องแขนขวา...


Never underestimate
someones ability to find out the truth.







“เมื่อคืนไปนอนที่ไหนมา” 


มาถึงโต๊ะแล็คเชอร์ไอ้ซูเนโอะเพื่อนยากของผมก็เข้ามาทักทายด้วยสีหน้าเหมือนคนอมขี้เลยครับ คิ้วหนาๆ ของมันขมวดเข้าหากันอย่างแน่นเมื่อผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินผ่านหน้ามันไป


“เชี่ยพิก! กูถามว่าไปนอนที่ไหนมา ทำไมไม่กลับบ้าน”


“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่ได้กลับบ้าน” ผมเหลือบมองมันที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องดูร้อนอกร้อนใจอะไรนักหนา ทำอย่างกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่กูไม่กลับบ้านยังไงอย่างงั้น


“ก็แม่มึงโทรมาหากู” ไอ้ชานลุกขึ้นจากเก้าอี้แล็คเชอร์ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงมากดโชว์เบอร์ที่รับสายแล้วยื่นมาให้ตรงหน้า “ปกติมึงลูกแหง่จะตายห่า จะไปค้างที่ไหนก็บอกแม่ก่อนตลอด แล้วนี่อะไร ไม่บอกแม่ไม่พอยังไม่บอกกูอีก...”


“ล...แล้วมึงตอบแม่กูไปว่าไง”

ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน งานเข้าแล้วไหมล่ะ! ถ้าไอ้ชานไม่บอกว่าไปค้างบ้านมัน กลับบ้านไปมีหวังโดนหวดด้วยก้านไม้เรียวแน่! ถึงวาจาจะเหี้ย ใจจะหมาแค่ไหน แต่แม่ก็เป็นสิ่งประเสิรฐที่สุดแล้วในชีวิตผม ทางที่ดีไม่ควรทำให้นายหญิงโกรธหรือโมโหเป็นอันขาด...


เพราะไม่งั้น
บ้านแตก!


“ก็บอกว่านอนค้างกับกูสิ” ได้ยินตอบออกมาอย่างนี้ค่อยโล่งใจหน่อย แต่ก็แค่ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้นแหละ พอมันสังเกตเห็นว่าทำไมผมยังยืนค้ำหัวมันอยู่ก็เอาเลยครับ “แล้วทำไมไม่นั่งซักที โดนใครเค้าเตะอัดตูดมาหรือไง”


ผมไหล่ตก มองหน้ามันอย่างคนหมดอาลัยตายอยากทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘อัดตูด’


“เออ” ก็ตอบออกไปเท่านั้นล่ะครับเพราะไม่ได้คิดจะต่อความยาวสาวความยืดอะไร แต่ผมนี่ก็ช่างไม่รู้จักเพื่อนตัวเองเอาซะเลย พอไอ้ชานได้ยินอย่างนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาหาอย่างไว


“ใครทำมึง!” 


“ห๊ะ” 


“กูถามว่าใครซ้อมมึง”  มันขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นกว่าเดิมซะอีก “ว่าแล้ว ที่ไม่ได้กลับบ้านนี่ไปโดนซ้อมมาอีกแล้วใช่ไหม...คราวที่แล้วก็โดนซ้อม กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปเจอพี่พลอยอีก ทำไมไม่ฟังคำพูดกูบ้าง” 


ผมกระพริบตาปริบ ๆ นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อนในตอนที่ผมเดินกระเผลกเข้ามาในห้องแล็คเชอร์อย่างทุลักทุเล มาถึงไอ้ชานจับสังเกตได้อย่างไว มันซักไซ้ไถ่ถามจนผมต้องเค้นสมองหาข้ออ้างแมน ๆ เช่นโดนซ้อมมาแก้ตัว ก็ผู้ชายดี ๆ ที่ไหนเขาจะกล้าบอกเพื่อนตัวเองล่ะวะ ว่าโดนผู้ชายด้วยกันอัดตูดมาน่ะ ให้บอกตรง ๆ ก็บ้าแล้ว เลยต้องโกหกอย่างนี้ไง


"เอ่อ....เอ้อ...ก็นี่ไงกูไปหาพี่พลอยใช่ไหม แล้วก็เมาว่ะ พอเมาเลยโดนเตะก้นออกมาจากร้านเขาไง” ที่บอกไปนี่อย่างน้อยก็มีความจริงอยู่ครึ่งนึงนะ


“โดนเตะก้นหรือโดนซ้อมเอาให้แน่” เชี่ยวชาญยกมือขึ้นกอดอก แต่ก่อนที่ผมจะต้องคิดหาข้อแก้ตัวอะไรเพิ่ม หางตาก็ดันเหลือบไปเห็นคู่กรณีอย่างไอ้ช้างเดินยิ้มเยาะมาแต่ไกล


“มึง!!!”


เพราะเหตุการณ์น่าอายขายขี้หน้าเมื่อคืนทำให้อารมณ์ของผมพุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เห็นหน้าไอ้ช้างแล้วมันขึ้นจนต้องถลาเข้าไปหาแล้วกระชากลากถูให้ตามออกไปนอกห้องแล็คเชอร์ด้วยกันอย่างไว ไอ้ช้างตอนนี้หน้าตาตื่นสุดฤทธิ์ แต่ผมไม่สนหรอก! ยังกำคอเสื้อมันให้เดินตามมาทั้งที่ขาก็ยังกระเผลก เจ็บที่บั้นเอวไม่หาย


“อะไรของมึงเนี่ยเชี่ยพิก” 


ช้างสบถทันทีที่ผมเหวี่ยงมันจนหลังกระแทกอัดผนัง ความเจ็บปวดตรงบั้นเอวหายไปเลยเมื่อเห็นสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวของมันที่ทำเป็นปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ตรงหน้า


“อะไรหรอ...ยังมีหน้ามาพูดว่าอะไรอีกหรอวะ!” 


ผมตะคอกมันอย่างแรง แต่แทนที่ไอ้ช้างจะมีน้ำโหขึ้นมาแล้วเผยธาตุแท้ มันกลับยิ่งทำหน้างงหนักกว่าเก่า


“อะไรของมึงเนี่ย เมนส์ไม่มาหรือไงวะ” ช้างถอนหายใจรดหน้าผมก่อนจะกอดอกยืนเต๊ะท่ามองหัวจรดเท้า “ถ้าจะหาเรื่องกูเรื่องไอ้โนบิตะนั่น เอาเป็นว่ากูขอโทษแล้วกัน จบไหม? กูไม่รู้ว่ามึงเห็นมันเป็นเพื่อน เลยใช้มันไปแบบนั้น...” 


“ห๊ะ”


“จบแล้วก็จบ ๆ กันไปเชี่ยพิก กูทำผิดก็รู้จักขอโทษ มึงล่ะ ทำผิดแล้วรู้จักขอโทษคนอื่นเขาบ้างไหม” 


“ก....กู...ขอโทษ”


เออเว้ย...แล้วกูจะขอโทษมันทำไม งงสุด ๆ นี่มันเรื่องเชี่ยอะไร ยิ่งเห็นไอ้ช้างพยักหน้าอย่างพอใจ พร้อมดึงแขนผมเข้าไปชนไหล่ด้วยสีหน้าแบบ ‘มาเริ่มต้นกันใหม่เถอะนะเชี่ยพิกกกก’ แล้วยิ่งงง


ก็คือ...กูไม่ได้จะลากมึงมาเพื่อพูดเรื่องไอ้โนบิตะไหม?...คือกูแค่จะถามมึงว่าจ้างคนมาแกล้งกูทำไม ทำไมไม่มาตัวตัวกันเลย แต่พอเห็นสีหน้าแบบคนไม่รู้เรื่องรู้ราวที่อยากจะเริ่มต้นใหม่โดยการสานมิตรภาพดอกไม้บานของไอ้คุณช้างแล้วก็พูดไม่ออก...  พูดอะไรไม่ออกซักอย่าง


ลงท้ายก็เลยเดินกลับมาที่ห้องแล็คเชอร์แบบยังงงไม่หาย เล่นเอาเซอร์ไพร์สกันทั้งเอก


ไม่ใช่แค่พวกมึงหรอกที่งง
ไอ้ห่า...กูต่างหากนี่ที่ต้องงง...


ตกลงมันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย!


ก็ถ้าไม่ใช่ไอ้ช้างที่ทำแบบนี้ได้แล้วใครกันวะที่บังอาจมาเปิดซิงประตูหลังผม จะบอกว่าเป็นมาเฟียซักคนในผับที่ออกตังจ่ายค่าเหล้าให้ผมตอนเมางั้นหรอ? ไม่ใช่หรอกมั้ง ลำพังตัวผมคงไม่มีเสน่ห์กับผู้ชายขนาดที่ว่าเห็นหน้าแล้วเกิดอารมณ์อยากจะออฟไปปู้ยี้ปู้ยำขึ้นมาซะเมื่อไหร่ อย่ามาตอแหล! นี่ไม่ใช่การ์ตูนเกย์มือสองเล่มละ 25 บาทนะโว้ย!!!


แล้วตกลงมันเป็นใคร...
ไอ้ผู้ชายเจ้าของรอยสักภาษาอังกฤษที่ผมอ่านไม่ออกนั่นมันเป็นใคร!!!!!!!!!!!!!! 





“ผมเองครับ” 


“ก็ต้องเป็นมึงอยู่แล้วล่ะ” 


ไม่ต้องงงครับ ไอ้ประโยคตอบรับเมื่อครู่นั่นไม่ใช่คำตอบของคำถามในใจที่ติดค้างมาตั้งแต่ช่วงเช้าหรอก แต่เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากไอ้โนบิตะที่เพิ่งจะทรุดตัวลงนั่งเมื่อครู่ อาสาไปซื้อน้ำให้ผมกับไอ้ชานต่างหาก 


ผมมองตามหลังโนบิตะที่ค่อย ๆ ลุกออกจากโต๊ะอาหารด้วยความเนิบนาบ ไอ้แว่นนี่ นับวันจะยิ่งเหลวไหล จำได้ไหมครับสัปดาห์ที่แล้วก็มาสาย วันนี้นี่หนักเลย...เข้ามาเรียนก็ตอนเลิกคลาสหนึ่งไปแล้ว ยังดีนะที่มันมาเรียนคาบสอง ไม่งั้นของที่ผมเตรียมไว้ติดกระเป๋าตลอดก็เก้อแน่...


อีกสองวันก็จะหมดเขตอยู่แล้วด้วย...


“แล้วตกลงบอกโนบิตมันยังว่าเย็นนี้จะเลี้ยงข้าวมัน เดี๋ยวก็หนีกลับอีกหรอก” 


เชี่ยวชาญพูดขึ้นมาในขณะที่สูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก มันเลิกคิ้วมองมา ก่อนจะพยักหน้าให้ตอบเร็วๆตามประสาคนขี้เสือก


“ยัง” 


“อ้าว...ยังจะเขินอะไรอีก ก็บอกแล้วว่าให้รีบชวนมันตั้งแต่เนิ่น ๆ ”


“มึงชวนให้หน่อยดิชาน” 


“ไม่เอา ใครอยากเลี้ยงคนนั้นก็ชวนดิ”  เชี่ยชานเพื่อนรักส่ายหัวทำหน้าตากวนตีนสุดฤทธิ์ “หึ..แล้วทำมาเป็นปากดี บอกว่าจะพาแม่งไปกินอะไรเผ็ด ๆ ให้ร้องไห้ขี้มูกโป่ง ที่ไหนได้....” 


“ที่ไหนได้...เหี้ยไร” 


“บัตรลดราคาชาบูร้านแพงหูฉี่อะ อย่านึกนะว่ากูไม่เห็น” พูดไปก็ยิ้มไปแบบที่สมควรเอาตีนลูบหน้ามันมาก ๆ “จะทำตัวดี ก็ดีให้ได้ด้วยตัวเองสิวะ...เอ้า! โน่น โนบิตะเดินมาแล้วหันไปชวนเองเลย...เฮ้ย โนบิตะ!”


ชิบหาย! ผมตาโตจ้องไอ้ชานเขม็ง ไอ้ห่านี่ไม่ให้เพื่อนได้ทันตั้งตัวเลยซักนิด มันส่งเสียงเร่งโนบิตะที่เดินถือแก้วน้ำห่างออกไปไม่ไกลให้รีบสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้


“คุณชานเรียกผมมีอะไรหรอครับ?” 


โนบิตะที่ยืนค้ำหัวเอ่ยถามออกมาเบา ๆ มันวางแก้วน้ำเสร็จก็ขยับแว่นแล้วทรุดตัวลงนั่งที่ข้าง ๆ ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหน้าผมกับไอ้เชี่ยชานสลับกันไปมา 


“เอ้า มีอะไรจะพูดกับมันก็พูดดิพิก” ไอ้ชานเร่ง


“เอ่อ...กู....”


“พิก...มีอะไรกับผมหรอครับ”  โอ้ย หันไปเห็นหน้าแม่งแล้วอยากจะคำรามเป็นสำเนียงหมาป่า อย่ามาทำหน้าซื่อตาใสแบบนั้นเร่งกูอีกคนจะได้ไหม!!!


“คือ...กู....”


“คืองี้โนบิตะ...” กลายเป็นเชี่ยชานที่อดรนทนไม่ไหว มันตัดสินใจพูดเปิดประเด็นก่อนที่ผมจะทำเป็นไขสือแล้วเปลี่ยนเรื่องซะก่อน “ไอ้พิกมันอยากจะเลี้ยงชาบูมึงอะ...เป็นการตอบแทนที่มึงช่วยพวกเราทำการบ้านมาตลอด...”


“...อืม” ผมหันไปพยักเพยิดหน้าแบบส่ง ๆ ก่อนจะเสหน้าไปอีกทาง


“เย็นนี้มึงไม่มีนัดใช่ไหม...ไปกับพวกเรานะ?”


“...”


สภาพโนบิตะในตอนนี้กลายเป็นใบ้แดกไปแล้วครับ มันกระพริบตาปริบ ๆ ทำหน้าเหมือนควายงงอยู่พักนึงก่อนจะขยับแว่นดันขึ้นชิดสันจมูก แล้วจะลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะอาหารทันที 


“รอผมสักครู่นะครับ เดี๋ยวขอผมโทรเช็คกับที่บ้านก่อน แล้วจะมาให้คำตอบ รอสักครู่นะครับ” 


หันมาทิ้งท้ายอย่างลนลานจนเสร็จก็วิ่งปรู๊ดออกไปพร้อมโทรศัพท์เลย ผมส่ายหน้ากับการกระทำของมันขำ ๆ ไอ้โนบิตะนี่แม่งลูกแหง่ชัดๆ


“ยังจะไปหัวเราะมันอีก มึงก็ลูกแหง่ไม่ต่างจากมันนักหรอก” เชี่ยชานเอื้อมมือมาเคาะตะเกียบมาที่ชามผม “แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นกูที่ต้องพูดแทนให้...จะเอายังไงล่ะ หลังจากนี้ถ้าจะขอโทษ จะพูดจาดีๆกับมัน กูก็ไม่ช่วยเกริ่นให้แล้วนะ จัดการเองบ้าง”


“อะไร ใครจะพูดดีๆด้วย...” ผมวางช้อนกับส้อมลงบนโต๊ะ “กูก็เป็นของกูอย่างงี้ ไม่พอใจจะเป็นเพื่อนกับคนถ่อย ๆ อย่างกูก็ไปคบกับคนอื่นสิ”


“แหม ๆ มีน้อยใจด้วย...โนบิตะมันไม่ไปจากมึงหรอกครับ เพราะถ้ามันคิดจะไปนะ มันไปนานแล้ว ไม่มายอมทนให้มึงโขกสับเป็นหมูหน้าซองมาม่าอย่างงี้หรอก” 


“แล้วใครใช้ให้ทน” 


“ก็พูดไป พอมันจะไปมีเพื่อนใหม่ทีไร กูก็เห็นมึงเข้าไปขวางแม่งทุกที”


“...”


เออ คุณเชี่ยวชาญมันก็พูดถูก แต่ก็บอกไปแล้วไงว่าที่ขวางไม่ใช่เพราะอยากให้ไอ้โนบิตะมาเสนอหน้าอยู่ระดับเดียวกันกับผม แต่เพราะผมเห็นมันเป็นเหยื่อและไม่ชอบใช้เหยื่อร่วมกับใครต่างหาก!


แต่ไม่ทันที่จะได้อ้าปากเถียงอะไรกับไอ้ชานต่อ ไอ้บุคคลที่ถูกนินทาก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในรัศมี มันวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะหันหน้ามาจ้องตากับผม กลืนลายลงคออึกใหญ่ แล้วยกมือขึ้นดันแว่นเข้าสันจมูกด้วยความเขอะเขิน


“เอ่อ...ผม...ตกลงนะครับ”


“อะไร”


“เย็นนี้...ผมไปทานข้าวด้วยได้แล้วนะครับ”


____________________________________

ตอนหน้าก็จบแล้วค่ะ อิอิ ตอนหน้ายาวมากๆ ;_ ; เรทมากๆด้วย วันนี้เอามาลงให้เพราะเดี๋ยวไม่ค่อยว่าง
ขอบคุณที่ชอบนะคะ T_T เห็นมาเม้นตลอดเลยเลยรีบเอามาลงให้ ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 3/4 (16/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 16-04-2015 21:07:34
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด
นึกว่าตาฝาด
สนุกมากๆๆๆๆๆ
ตอนต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
มโนไปไกล :a14: อ่ะคึๆๆ
ป.ล.จบแล้วจะมีตอนพิเศษแถมให้ไหมน้าาา :confuse:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 3/4 (16/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 16-04-2015 21:36:56
มารอตอนจบค่ะ ฟืดดด  :hao7:
พิกจะรู้ตัวจริงของโนบิตะ(???)เมื่อไหร่ 55555555555555555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 3/4 (16/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 16-04-2015 21:52:02
พิกน่ารักสุดติ่งมากๆ เลยค่ะ..^^ ปากแข็งสุดๆ อยากเป็นเพื่อนกับโนบิตะจะแย่แล้วนะนั่นน่ะ แต่ก็ยังทำซึนอีกไง โอ๊ยๆ ชอบบุคลิกแบบนี้ของพิกกับกลุ่มเพื่อนๆ มากเลยค่าา.. อยากให้มีตอนพิเศษด้วยจัง~~ ≧﹏≦
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 3/4 (16/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 16-04-2015 21:54:46
2 ตอนในวันเดียว ดีจายยยย ^.^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 3/4 (16/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 17-04-2015 14:44:57
นั่งรอตอนจบอยู่ครับ ณ เวลา 14.49
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 3/4 (16/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Real_BFaf ที่ 18-04-2015 18:28:07
กริ้ดดด รอนะคะ เอร้ย  :hao7: :o8:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 3/4 (16/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 19-04-2015 22:01:04


GIANT’s PART




“คิวที่ 435 เชิญด้านในค่ะ”
 

ผมเงยหน้ามองครอบครัวสุขสันต์ที่เพิ่งจะกระเตงลูกสาวสองลูกชายหนึ่งเดินผ่านไป ก่อนจะก้มลง คลี่กระดาษในมือที่ถูกขยำเป็นก้อนกลมๆออกมาดูคิวด้วยความอนาถใจแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
 

ตอนนี้เพิ่งจะคิวที่ 435 เอง แล้วคิวของพวกผมตั้งเท่าไหร่? 455 โน่น จะต้องให้รอกันจนรากงอกเลยไหม? พอหันมองเข้าไปในกระจกแล้วเห็นคนอื่นกินชาบูกันหน้าระรื่นแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดใจ จะแดกกันอย่างสโลว์ไลฟ์อีกนานไหม ทำไมไม่รีบๆยัดห่าเข้าไป! กูหิวจนไส้แทบขาดแล้วครับ!
 

“อ้าวจะไปไหน”
 

ไอ้ชานเอ่ยถามขึ้นมาในขณะที่ผมพยุงตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ หันไปมองหน้าไอ้โนบิตะ กะจะฝากกระดาษคิวไว้กับมันแล้วก็ชั่งใจ คนที่เอาแต่ก้มหน้ากดโทรศัพท์อย่างนั้นสมควรที่จะฝากความหวังไว้ด้วยไหม? ถ้าหากเขาลัดคิวเรียกแล้วแม่งไม่ได้ยินขึ้นมาจะทำยังไง? ควรคว้านท้องแล้วเอาไส้มาห้อยคอประท้วงเลยไหม?

 
สรุปก็เลยหันไปทางอีคนช่างเสือกที่เลิกคิ้วมองมาอย่างคุณเชี่ยวชาญแทน
 

“จะไปเยี่ยว ฝากคิวไว้กับมึงแล้วกัน” เดินออกไปแล้วก็ยังไม่วายหันกลับไปตวัดตาคาดโทษไอ้แว่นที่นั่งติดกับไอ้ชานอีก “กูกลับมาแล้วต้องได้กินนะ ไม่งั้นก็โน่น กลับแดกก๋วยเตี๋ยวหน้าห้างแทนตามแพลนเดิมของกู”

 
อันที่จริงก็กะจะใจดีเลี้ยงไอ้โนบิตะแบบป๋า ๆ แหละครับ แต่พอมาถึงหน้าร้าน แค่เห็นคิวยาวเป็นหางพญานาคแล้วก็หมดอารมณ์ แต่ยังดีหน่อยที่ไอ้ชานมันช่วยพูดให้ใจเย็นลงเพราะหันไปเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของไอ้โนบิตะตอนที่ผมบอกว่าจะเปลี่ยนใจไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางแทน
 

‘ขอโทษครับพิก แต่ผมทานอาหารข้างทางไม่ได้จริง ๆ ทานทีไรท้องเสียยกใหญ่ทุกที…’
 

นึกถึงปากบาง ๆ ตอนที่บอกว่าแดกข้าวข้างทางไม่ได้ก็ยิ่งหงิด ชีวิตมึงนอกจากเรียนแล้วมีสีสันอะไรบ้างไหมเนี่ย ไม่แปลกใจเลยว่าผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งแถมหน้าตาก็ไม่ได้แย่อย่างทำไมมันถึงได้ดูจืดชืดน่าเบื่อขนาดนี้
 

เหอะ ไอ้ลูกคุณหนูเอ้ย!
 

“โอ้ย!”
 

คิดอะไรอยู่เพลิน ๆ ก็ดันมีคนมาเดินชน แล้วไม่ใช่ค่อย ๆ นะครับพี่! กับคนไร้เรี่ยวแรงแค่เดินยังจะกระเผลกอย่างผมแค่โดนบั้นเอวหนากระแทกเข้าให้อย่างนั้นหน้าก็แทบจะคะมำแล้ว แต่ไม่ทันที่จะได้ล้มลงไปจูบกับพื้นอย่างที่คิด ก็มีมือของใครไม่รู้พุ่งมาคว้าหมับเข้าให้ที่ต้นแขน...
 

ความรู้สึกตอนนี้เหมือนมีกระแสไฟฟ้ากว่าแสนโวลต์ของปิกาจูซัดลงตรงกลางกระหม่อม ให้ตายเถอะ! ทั้งกลิ่นทั้งแรงมือที่จับหมับเข้าตรงช่วงแขนกับหัวไหล่ มันชัดเจนและคุ้นเคยจนเกินไป! พาลทำให้เผลอนึกถึงสัมผัสจากคนเมื่อคืนจนผมเสียวสันหลังวาบไปถึงตูด


แต่พอรีบสะบัดหน้าหันขวับกลับไปดู แทนที่จะเป็นใครคนอื่นกลับเป็นไอ้แว่นจืดที่เพิ่งจะด่าในใจไปหมาด ๆ
 

“เป็นอะไรไหมครับพิก?”
 

เสียงของโนบิตะที่ฟังดูเป็นห่วงเป็นใยทำให้ใจผมเต้นตึกตัก เชื่อตัวเองเลย! นี่กูต้องเพ้อเจ้อขนาดไหนที่มโนไปว่าสัมผัสของไอ้แว่นจืดนี่คล้ายกับไอ้สัตว์นรกคนเมื่อคืนนี้ได้...
 

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
 

“มะ..ไม่เป็นไร...ปล่อยแขนกู”
 

นึกเกลียดตัวเองขึ้นมาตงิด ๆ นี่ขนาดว่ามันยอมปล่อยมือออกจากแขนผมแล้วนะ ตรงนั้นก็ยังเต้นตุบ ๆ ไม่เลิกเลย โอ้ย อยากจะบ้าตาย นั่นมันความอัปยศขั้นหายนะของชีวิตเลยนะโว้ย แล้วทำไมถึงเลิกคิดไม่ได้ซักทีล่ะวะ! 
 

 “พิก! เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
 

“ปะ..เปล่า!”
 

ด้านไอ้โนบิตะ พอเห็นว่าผมยกมือขึ้นมาถึงหัวตัวเองก็รีบถลาเข้ามาหาอย่างรู้งาน มันใช้มือเรียวอ่อนนุ่มคู่นั้นแตะลงเบา ๆ บนหลังมือผม และ ปัง! เหมือนมีเสียงหม้อแปลงระเบิดบริเวณแถว ๆ ท้ายทอย ยิ่งมือเราแตะโดนกันยิ่งทำให้ผมรู้เลยว่าตัวเองแม่งควรไปหาหมอเพื่อเช็คสภาพสมองได้แล้ว...
 

แย่ชิบหาย! นี่ขนาดแค่มือแตะกับมือนะ ยังรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตซะได้!
 

ผมรีบชักมือออกแล้วตวัดตามองมันอย่างคาดโทษ
 

“อย่ามาแตะโว้ย! ไม่ได้เป็นอะไรฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือยังไง!”
 

“แต่พิกทำท่าเหมือนคนปวดหั-”
 

“เสือก! ถอยออกไป ไม่! อย่ามาจับนะ ไม่ได้เป็นอะไร จะไปเยี่ยว เข้าใจไหม! คนจะเยี่ยว!”
 

ผมเม้มริมฝีปากแล้วชี้หน้ามัน ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งบอกให้ถอยมันยิ่งเดินเข้ามาหา ไอ้เก้ายกมือขึ้นเกาท้ายทอยทำหน้างง ๆ ขณะที่ผมรีบหมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำทันที
 

ฉี่ก็ปวดจนจะราดคาหน้าห้องน้ำอยู่แล้วยังมาแตะ มาจับกันอยู่ได้!
ไอ้แว่นเซ่อเอ้ย!

 
 


 
 
“นี่ไปฉี่หรือหิวจนต้องไปหาอะไรกินในส้วม ทำไมไปนานจัง”
 

ไอ้ชานที่เงยหน้าขึ้นจากหม้อชาบูเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงร่าเริง ผิดกับผมที่ถอนหายใจแรงก่อนจะเขยิบตูดเข้าไปนั่งที่ริมสุดใกล้รางเลื่อน เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบอะไร มันเลยหันหน้าไปซักไซ้เอากับไอ้โนบิตะที่เดินตามมาทีหลังแทน
 

“พิกเขาหกล้มน่ะครับ”
 

ไอ้เก้าพูดพลางทิ้งตัวลงนั่งที่ข้าง ๆ ผม อันที่จริงก็อยากจะหันไปด่านะเพราะไม่อยากนั่งตัวติดกับมันให้ไหล่สีกันแล้วเกิดความรู้สึกแปลกๆแบบนั้นอีก แต่อารมณ์ตอนนี้แม่งหิวจนนึกอะไรไม่ออก เลยได้แต่หยิบจานบนรางเลื่อนมากวาดลงหม้อรัว ๆ แล้วใช้อาการพยักหน้าแบบส่ง ๆ ในการต่อบทสนทนาบนโต๊ะชาบูแทน
 

“อ้าวแล้วเป็นอะไรมากไหม?”
 

ผมตวัดตามองไอ้ชาน เอ๊ะไอ้เหี้ยนี่ เห็นว่าไม่ตอบก็คือไม่อยากตอบไง ยังจะหันมาถามอะไรอีก ผมถอนหายใจเสียงดังพรืด แกะตะเกียบแล้วจะถูไปมาจนเกิดเสียงดัง มองหน้ามันที่ยังทำหน้าเหมือนควายงงก่อนจะเอื้อมตัวไปแย่งหมูลวกสุกที่นอนอยู่บนจานมันมาจิ้มน้ำจิ้มแล้วเข้าปาก
    

“เห็นกูเลือดตกยางออกไหมล่ะ ถ้าไม่เห็นก็เลิกถามได้แล้ว จะคุยอะไรนักหนาไม่รู้จักมารยาทบนโต๊ะอาหารหรือไง”
 

“อ้าวไอ้เหี้ยนี่ คนเขาถามเพราะเป็นห่วง” เชี่ยวชาญเคาะตะเกียบลงบนหัวผมอย่างแรง “ตกลงเป็นอะไรไหม?”



“ก็ไม่ได้เป็นไรไง เลิกถามได้แล้วไหม กูโมโห”
 

“โมโหหิวหรา”
 

“เออหิว! มึงก็หิว” พูดจบไอ้ชานก็เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “หิวตีนกูนี่ไง”
 

“แหมปากคอเราะร้าย” ไอ้ชานหัวเราะจนไหล่สั่นก่อนจะตักผักในหม้อมาใส่ในถ้วยของผมแล้วหรี่ตามองอย่างขบขัน “ปากอย่างนี้ไงถึงไปโดนเขาซ้อมมา”
 

“ซ้อม?” จบคำไม่ทันถึงวิ ไอ้โนบิตะก็เกิดอาการขี้เสือกเลยครับ
 

“เออ ก็สงสัยแม่งปากนี้อย่างงี้ล่ะมั้ง เมื่อวานเลยโดนเขาอัดมาซะน่วม”
 

“เมื่อวาน?” ไอ้เก้าทวนคำมันทำหน้าตาเหรอหราอย่างไม่น่าให้อภัย จะตกใจอะไรนักหนาสงสัยเกิดมาไม่เคยโดนต่อย
 

“ใช่ โดนซ้อมซะเดินกระเผลกเลยไม่เห็นหรอ” ไอ้ชานพูดพลางหันไปหยิบจานฮะเก๋าบนลางเลื่อนมาวางบนโต๊ะ “...ก็คงไปทำปากหมาไว้นั่นล่ะ อาทิตย์ก่อน ๆ ก็โดนมาแบบนี้”
 

“แบบนี้?” ไอ้เก้าพูดแล้วเสหน้าหันมาจ้องผมตั้งแต่หัวจรดปลายตะเกียบที่ถืออยู่ มันนั่งนิ่งขมวดคิ้วไปพักนึง ก่อนจะใช้ริมฝีปากสีชมพูน่าต่อยนั่นเอ่ยถามประโยคแทงใจ “แล้วทำไมถึงไม่เห็นมีร่องรอยโดนทำร้ายที่หน้าเลยล่ะครับ..”
 

“...”
 

“ปกติต่อยกันปากต้องแตกไม่ใช่หรอครับ?...พิก?” มันเล่นกูแล้วไง...สาบานได้ว่าแอบเห็นแววตาระยิบระยับภายใต้กรอบแว่นนั่นแวบนึง
 

“อย่าเสือก” พูดได้แค่คำเดียวเท่านั้นล่ะครับตอนนี้ เพราะไอ้ที่โดนซ้อมน่ะพูดให้ดูเท่ไปก็เท่านั้นเอง แล้วพอเหลือบตามองไปที่ไอ้ชานกะจะหาพวก ไอ้ซูเนโอะเพื่อนยากดันก็พยักหน้าเห็นด้วยกับข้อพิพาทของไอ้โนบิตะอย่างฉงนสงสัย
 

“เออว่ะ แล้วทำไมหน้าไม่โดนต่อยวะพิก”
 

“...”
 

“พิก”
 

“โอ้ยยยย จะถามอะไรกันอีก จำไม่ได้แล้ว...กูเมา ไม่เคยเมาหรือไง ใครเขาจำเรื่องตอนเมากันได้บ้าง!”
 

ไอ้ชานกับไอ้เก้าทำหน้าเหรอหราใส่ผมทันทีที่สิ้นเสียงตวาด หันมองซ้ายขวาก็พบว่าทั้งพนักงานและลูกค้าท่านอื่น ๆ หันมามองที่โต๊ะพวกเราเป็นตาเดียว
 

“ทำไมต้องให้ด่า” เพราะยางอายที่หน้ามันเริ่มทำงานขึ้นมาเลยกลายเป็นว่าต้องสบถใส่เสียงเบา ผมกระทุ้งศอกเข้าที่สีข้างไอ้โนบิตะ ก่อนจะเตะตีนไอ้ชานที่ใต้โต๊ะอย่างแรง “ไม่ตอบแล้วนะคำถามนี้ ถ้ายังถามไม่เลิกกูจะกลับบ้าน”
 

“โอเค แดกๆๆๆ โนบิตะ อย่าไปมองหน้าพิกมัน เดี๋ยวโดนก็กัดเข้าให้หรอก”
 

จุดนี้ไอ้ชานยังคงกวนตีนไม่เลิก แต่ใครจะสน! ผมเสหน้าไปทางรางเลื่อนแล้วหยิบแม่งทุกจานที่ผ่านเข้ามาในชีวิต กวาดแม่งลงหม้อให้หมด คิดซะว่าเป็นไอ้เวรนั่นที่ทำให้ชีวิตผมบรรลัยขนาดนี้
 

หึ! ร้อนไหมล่ะ คอยดูนะกูจะลวกมึงให้สุกด้วยน้ำซุปหม้อนี้ เคี้ยวให้ละเอียดแล้วกลืนลงท้องให้หมด


แค้น!
 

“เฮ้ย กุ้งเทมปุระมาเติมแล้ว มึงเอาไหมไอ้เก้า”
 

นั่งกินกันอยู่เงียบๆซักพักไอ้ชานก็ถามขึ้นมาพร้อมกับพยักเพยิดหน้าไปทางพนักงานสาวที่กำลังยกถาดสแตนเลสมาเติมกุ้ง คนข้างตัวผมส่ายหน้ายิก แต่มันกลับดึงจานสีส้มในมือไอ้ชานไปถือไว้เอง
 

“เดี๋ยวผมไปเติมให้ดีกว่าครับ” โนบิตะพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
 

“งั้นเติมน้ำให้กูด้วย”
 

ผมพูดเบา ๆ อ่อนลงแล้วหรอกนะถึงได้ยื่นแก้วชาเขียวรสดั้งเดิมไปให้ ยอมรับก็ได้ว่ารู้สึกผิดนิดนึงที่เมื่อกี้เผลอตวาดใส่มันไปแรง ๆ ทั้งที่มันก็ผมถามด้วยความเป็นห่วงแท้ๆ 
 

ผมมองโนบิตะที่รับคำด้วยท่าทางดีใจจนมันเดินหายลับตาไป กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีหันมาก็เจอสายตาช่างเสือกของไอ้ชานที่จ้องเขม็งมองหน้าผมอย่างกับมีอะไรติดอยู่
 

“กูโดนมึงด่าก็เห็นเป็นเรื่องปกตินะ แต่โนบิตะอ่ะ ไปด่ามันแรงๆอย่างงั้นเดี๋ยวมันก็คิดว่าโดนมึงเกลียดเข้าให้หรอก”
 

“...”
 

“ใจมึงน่ะดี แต่ปากอะดีให้เหมือนใจ--”
 

เพล้ง!!!
 

พูดไม่ทันจบคำก็มีอันต้องหันไปให้ความสนใจกับอย่างอื่น ผมผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วชะโงกหน้ามองไป ณ จุดเกิดเหตุ ภาพผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งที่กำลังก้มเก็บเศษแก้วอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ฉายชัดเต็มสองลูกตา



“ไม่ต้อง มึงเฝ้าของไป เดี๋ยวกูไปดูมันเอง”
 

ผมหันไปห้ามญาติไอ้ชานที่ทำท่าจะลุกตามขึ้นมา ก่อนจะดันตัวเขยิบออกจากเก้าอี้ไม้ แล้วรีบตรงไปหาไอ้โนบิตะทันที
 

“คุณไม่เป็นไรนะครับ”
 

ผมเห็นมันหันมาถามนักศึกษาสาวม.ดังที่กำลังกุลีกุจอเช็ดคราบน้ำหวานบนเสื้อให้ด้วยท่าทีสบาย ๆ รอยยิ้มกับดวงตาภายใต้กรอบแว่นนั่นแวบนึงดูไม่ใสอย่างที่ผมเคยคิด แต่ในใจมันก็ประท้วงว่า เฮ้ย! นั่นมันไอ้โนบิตะนะ ไอ้แว่นจืดนั่นจะไปมีอารมณ์กับชุดนักศึกษารัดติ้วตรงหน้าได้ไงวะ...
 

“ค่ะ แล้วคุณล่ะ ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
 

ได้ยินเสียงหวาน ๆ เอ่ยถามไอ้เก้าก็เลยเงยหน้าขึ้นไปดู เพราะเด็กซนจากครอบครัวสุขสันต์ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะใกล้ ๆ ทำให้ผมเดินเข้าไปไม่ถึงตัวมันซักที พอก้มลงมองทำหน้าดุ ๆ แทนที่เด็กมันจะกลัว มันก็ดันวิ่งเล่นต่ออย่างไม่สนใจ เออเอาเข้าไป ไม่เข้าไปช่วยแล้วก็ได้ ยังไงพนักงานก็เดินมาโน่นแล้ว
 

“ไม่เป็นไรครับ ให้ผมช่วยเก็บนะครับ”
 

สุภาพบุรุษ ไนซ์สุดอะไรสุด ไอ้แว่นจืดโนบิตะ... ผมเบะปากมองมันด้วยความหมั่นไส้ ปกติเวลาอยู่ต่อหน้ากู ต่อหน้าไอ้ช้างนี่หงอเป็นหมาเหงา แต่พออยู่ต่อหน้าสาวนี่แมนขึ้นมาทันทีเลยนะ
 

เห็นอย่างนั้นแล้วก็เลยตัดสินจะหมุนตัวกลับไปนั่งรอที่โต๊ะสบาย ๆ แต่จังหวะตอนที่กำลังจะหันหน้าหางตาก็เสือกเหลือบไปเห็น....
 

ไอ้เก้าทรุดลงนั่งยอง ๆ ปลดกระดุมแขนเสื้อแล้วถกขึ้นมาถึงข้อศอก มันกำลังเอื้อมมือไปช่วยพนักงานสาวหน้าตาน่ารักเก็บเศษแก้วชิ้นใหญ่อย่างทะมัดทะแมง
 

และประเด็นที่ทำให้ผมยืนตัวชาเหมือนมีไม้หน้าสามมาตีเข้าให้ที่กลางท้ายทอยอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะมันสามารถเก็บเศษแก้วได้อย่างเก่งกาจและคล่องแคล่ว...
 

แต่เป็นเพราะท้องแขนเรียวขาวที่มีรอยสักเป็นคำภาษาอังกฤษยาว ๆ ที่ผมอ่านไม่ออกนั่นต่างหาก...
 

Never underestimate
someones ability to find out the truth.




_________________________________________________________________

ขออนุญาตแบ่งพาร์ทนะคะ ตอนสุดท้ายนี่หมื่นกว่าคำ แอบตาลาย 555
เดี๋ยวไว้มาลงต่อให้จบนะ ขอไปแปลง ไปแก้คำผิดก่อน ;_ ; 
ขอบคุณค่ะที่ชอบ ♥

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 4/5 (19/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 19-04-2015 23:01:42
เอาล่ะสิ!!! โนบิตะโดนจับได้ล้าววว.. ป่านนี้พิกไม่เป็นลมไปแล้วเหรอคะเนี่ย :laugh: 
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 4/5 (19/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 19-04-2015 23:47:40
 :hao7: :hao7: เอาแล้วๆๆๆ พิกจะกินต่ออร่อยมั้ยเนี่ย  :z2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 4/5 (19/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 19-04-2015 23:57:14
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด
มาต่อแล้ววววววว
ดีใจๆๆๆๆๆ
จุดพลุ ฮู่เล่
ชอบมากๆๆๆ รอความจริงเผยออกมา
อารมณ์ร่วมมาเต็มที่
รอๆๆๆๆ ตอนจบค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 4/5 (19/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-04-2015 08:00:15
พิกช็อกเลยป่ะเนี่ย หรืออาจประมาณว่าระบบขัดข้องชั่วขณะ 55
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 4/5 (19/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 20-04-2015 10:00:38
5/5

 
“ทำไมมึงหนีกลับไปก่อนวะ”
 
เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าไอ้ชานแม่งเป็นตัวน่ารำคาญ...
 
เพราะงั้นพวกคุณไม่ต้องสงสัยเลยว่าไอ้ประโยคกวนหัวใจนี่ใครเป็นคนถาม เสียงทุ้มของมันที่ลอดออกมาจากลำโพงทำให้ผมพอจะนึกออกว่ามันกำลังทำหน้ายังไง ป่านนี้คงกำลังขมวดคิ้วเป็นโบว์อันใหญ่ แล้วนั่งพิงหัวเตียงจุดบุหรี่สูบอยู่แน่ๆ
 
“กูท้องเสีย”
 
เป็นข้อแก้ตัวที่โคตรสิ้นคิดเลยว่าไหม? แต่ถึงอย่างนั้นไอ้คนปลายสายก็ดันเชื่อซะสนิทใจ...
 
“อ้าวหรอ แล้วเป็นอะไรมากไหม บอกแม่มึงหรือยัง” 
 
น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยจากไอ้ชานทำให้ผมรู้สึกผิดเล็ก ๆ  ไม่รู้สิ คุณเคยโกหกเพื่อนไหม? ถึงจะเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้หนักหนาอะไรยังทำให้ไม่สบายใจ แล้วโดนอัดตูดมาอย่างนี้ควรจะบอกมันดีไหม? หรือควรจะเงียบ ๆ แล้วเก็บไว้ชำระแค้นตามลำพังดี
 
กระเด้งตัวลุกจากเตียงแล้วถอนหายใจออกมาหมดปอด สุดท้ายยางอายบนหน้าก็กระซิบบอกว่าควรเงียบเอาไว้จะดีกว่า เพราะถ้าขืนให้ไอ้ซูเนโอะเพื่อนยากรู้ มีหวังได้โดนล้อยันชาติหน้าแน่
 
“กูยังไม่ได้-”
 
“เนี่ยไอ้โนบิตะก็ถามถึงมึง มันเป็นห่วงมึงนะเว้ย อยู่ๆก็หายไปไม่โทรบอกพวกกูเลย...ว่าแต่เมื่อกี้มึงจะพูดอะไรนะ” คงจะรอฟังผมนานไปหน่อยถึงได้พูดสวนกันขึ้นมาอย่างนี้ ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินชื่อโนบิตะดังมาตามสาย
 
โอ้โห...พูดถึงไอ้โนบิตะแล้วเลือดหน้าขึ้นเลย นี่มันยังมีหน้ามาถามถึงผมอีกหรอ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ยิ่งนึกก็ยิ่งอาย ภาพตอนมันถามอย่างหน้าซื่อตาใสว่าทำไมโดนต่อยแล้วไม่มีแผลที่หน้านี่มาเลยครับ...
 
ได้ข่าวว่าเป็นมึงไม่ใช่หรอที่ซ้อมกูจนเดินกระเผลกเซเป็นแม่ปูอย่างนี้...
ไอ้เวรตะไล ไอ้ตอแหลได้โล่ห์!
 
“...”
 
“พิก” เสียงปลายสายเรียกขึ้นเมื่อผมเงียบไป กว่าจะรู้ตัวอีกทีตีนก็เหยียบอยู่บนสมุดรายงานที่ไอ้โนบิตะทำให้เมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ว
 
“อะไร”
 
“มึงเงียบทำไม ปวดท้องหรอ”
 
“ช่างกูเหอะ” ผมขยี้ตีนลงบนปกรายงานที่มีชื่อ ‘ศตวรรษ’ เด่นหราอยู่ใต้ชื่อตัวเองอย่างหนักหน่วง ก่อนจะเตะมันให้กระเด็นหายไปอยู่ใต้โต๊ะเขียนหนังสือแล้วล้มลงนอนเอาหมอนอัดหน้าตัวเองพร้อมพูดอู้อี้ตอบไอ้ชาน “ต่อไปนี้อย่าพูดชื่อแม่งให้กูได้ยินอีกนะ กูเกลียดมัน”
 
“อ้าว?”
 
น้ำเสียงของไอ้ชานฟังดูฉงนสงสัย แต่ก็นั่นแหละ กูไม่มีอารมณ์จะตอบอะไรแล้วโว้ย และเมื่อมันครางในลำคอทำท่าเหมือนจะถามถึงเหตุผล ผมเลยตัดบทสนทนาอันน่าปวดหัวนี้ด้วยการบอกว่าปวดขี้ จะไปเข้าห้องน้ำ มีอะไรไว้คุยกันในคลาสเรียนวันพรุ่งนี้แทน 
 
ไอ้ชานวางสายไปพักใหญ่แล้วหลังจากผมแสร้งทำเสียงเหมือนคนปวดหนักแบบสุดๆ นึกโทษไอ้โนบิตะหน้าแว่นนั่นขึ้นมาในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะมันผมก็คงไม่ต้องโกหกเพื่อนด้วยเรื่องเหี้ยๆนี่อีกเป็นครั้งที่สอง
 
ครั้งที่สอง...
 
“โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
 
ดีดดิ้นบนเตียงสุดแรงจนหอบเหนื่อยแล้วก็ยังไม่สามารถคลายความรู้สึกแย่ที่เกาะกินจิตใจนี้ได้ ทำไมวะ ทำไม ทำไมถึงไม่รู้ตั้งแต่ก่อนกินชาบูว่าเป็นแม่งที่อัดตูดตัวเองจนเดินเป๋มาถึงสองครั้งสองครา ทำไมถึงไม่ตั้งสติแล้วเดินไปกระชากหัวมันมาจับกดกับน้ำซุปในหม้อชาบูที่กำลังเดือดพล่าน
 
ทำไม!
 
ตอนนี้ผมแม่ง เกลียดเกลียดทุกอย่างบนโลกใบนี้เลย ให้ตายเหอะ...

 
เกลียดตัวเองนึกไม่ออกว่าควรทำอะไรในตอนนั้น เกลียดตัวเองที่ช็อคซีนีม่าจนต้องวิ่งหนีออกมาเหมือนนางเอกในละครช่องสาม เกลียดมันที่ไม่เคยถกแขนเสื้อออกมาแล้วยอมรับแมนๆเลยว่าเป็นคนเปิดซิงตูดผมในคืนนั้น...
 
เกลียด
ผมเกลียดมัน...
 
คอยดูพรุ่งนี้เถอะ...มึงเจอกูแน่
ต่อให้มีโดเรม่อนอีกสิบตัวก็ช่วยอะไรมึงไม่ได้แล้ว
 
 
ไอ้โนบิตะ...แว่นหนาชาติหมาหน้าปลาจวดยังต้องสวดศพให้มึง
 
มึงจะต้องตาย.. (กระซิบ)
ตายแน่ ๆ (เสียงเริ่มดัง)
ตายคามือกูนี่แหละ...สาบาน! (ตะโกนในใจให้ลั่น)
 
‘กร๊อบ!’ (หักนิ้วรอ)
 
 
 
 
 
“ได้ข่าวว่าไปโดนซ้อมมาหรอวะเชี่ยพิก”
 
ยังไม่ทันจะได้ย่างเท้าเข้าห้องแล็คเชอร์ดีๆ  เสียงกวนตีนของไอ้ช้างก็ดังเข้าหูมาแต่ไกล มันเต๊ะท่าเดินดูดจูปาจุ๊บเข้ามาใกล้ ก่อนจะก้มลงสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดชายกางเกง
 
“เสือก”
 
“อ้าวๆ พูดงี้เดี๋ยวก็สวย ถามดีๆก็ตอบดีๆสิวะ” มันพูดพลางควงจูปาจุ๊บในปากเล่น  “นี่เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะเว้ย”
 
“ใครเพื่อนมึง” ผมกอดอกแล้วยืนพักขา มองมันที่จ้องมาอย่างหาเรื่อง
 
“ก็มึงไง” มันหัวเราะเสียงแหลมเมื่อเห็นผมขมวดคิ้วยุ่ง “เพราะงั้น...ในฐานะที่กูเป็นเพื่อนมึงแล้วจะบอกอะไรให้อย่างนะครับพิก ลดความปากหมาลงบ้างเหอะ จริงๆนะ กูเป็นห่วงกลัวมึงจะตายแล้วไม่มีใครมาต่อล้อต่อเถียงด้วย”
 
“ไอ้สัตว์ช้าง”
 
“แหน่ะ โมโหอีกแล้ว ไม่รู้หรือไงว่าโมโหบ่อยๆแล้วหน้าจะเหี่ยวไว”
 
“ไปไกลๆตีนกูเลย ไอ้ห่า อย่าให้กูต้องฆ่าใครตอนนี้!”
 
พูดเสร็จก็ถกแขนเสื้อแล้วเตรียมง้างมือรอเลยครับ เห็นท่าทีเอาจริงของผมอย่างนี้ ไอ้ช้างเลยยอมเลิกราวีแต่โดยง่าย มันโบกมือบ๊ายบายแล้วเดินดูดจูปาจุ๊บไปนั่งที่โต๊ะประจำของตัวเอง ทิ้งให้ผมยืนผ่อนลมหายใจออกดั่งดอกไม้บานอยู่ที่ประตูตามลำพัง
 
“อ้าวพิก...กูนึกว่าวันนี้มึงจะไม่มาเรียนแล้วซะอีก”
 
คนต่อมาที่ต้องรับมือคือไอ้ชานครับ มันเดินดูดจูปาจุ๊บดังจ๊วบเข้ามาหาก่อนมือหนาๆจะตบลงที่ไหล่ผมเบาๆ
 
“กูก็แค่ท้องเสียปะวะ” ผมพยักเพยิดหน้าไปทางอมยิ้มยอดฮิตในปากเพื่อนสนิท “แล้วจูปาจุ๊บนั่นอะไร เดี๋ยวนี้หัดเป็นคนหวาน ๆ ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
 
“นี่หรอ” ไอ้ชานเลิกคิ้วแล้วดึงอมยิ้มออกจากปาก “เขาแจกฟรีหน้ามอไง สงสัยมึงมาเช้าเกินมั้งเลยไม่ได้”
 
ผมพยักหน้าใส่ไอ้ชานที่ควักจูปาจุ๊บอีกหลายอันในกระเป๋ามาอวด ตอนแรกก็กะว่าจะคุยต่อด้วยหรอกนะ แต่พอหันไปเห็นไอ้แว่นโนบิตะที่เดินถือจูปาจุ๊บสองอันตามมาข้างหลังก็หมดอารมณ์จะคุยทันที
 
“พิกครับ นี่จูปาจุ๊บครับ ผมเอามาเผื่อ”
 
ผมมองอีลูกอมแจกฟรีในมือของไอ้เก้านิ่ง ชั่งใจอยู่พักนึงเพราะไม่อยากรับของมาจากมือมันเท่าไหร่ แต่เพราะวิชาที่กำลังจะเรียนนี่แม่งเป็นคาบบรรยายที่น่าเบื่อมาก ๆ เลยตัดสินใจจกเอาตรงก้านที่เป็นรสครีมสตอเบอร์รี่มาอันนึงอย่างระมัดระวัง...
 
หึ...เสนียดจัญไร ไม่อยากโดนมือด้วยหรอก
เกลียด
 
“แล้วจะยืนตรงนี้กันอีกนานไหม? ถ้าใช่ก็แหวกทางให้กูหน่อย จะไปนั่ง”   
 
ผมเดินไปยืนบังทางเข้าไม่ให้ไอ้ชานได้ทำตามใจ ก่อนจะแกะอมยิ้มรสครีมสตอเบอร์รี่ออกมากัดอย่างแรง(แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่แตกเพราะมันแข็งมาก) แล้วตวัดสายตามองโนบิตะที่ยืนอึ้งอยู่ด้านหลังไอ้ชานเพื่อประกาศศึก
 
 
วันนี้ทั้งวันมึงจะต้องอึดอัดเพราะสายตาพิฆาตของกู
รอให้ถึงเวลาเลิกเรียนก่อนเหอะ
 
แล้วจะรู้ว่านรกมีจริง!





เออ...
นรกมีอยู่จริง ๆ ด้วยแหละ
 
หลังจากที่ประกาศไปกับตัวเองอย่างนั้นก็หลับเป็นตาย... ย้ำ หลับเป็นตาย! ทั้งที่หมายมั่นตั้งใจไว้แล้วว่าทั้งคาบจะจ้องไอ้โนบิตะจอมโกหกให้พรุนกันไปข้าง แต่ก็เสือกสิ้นฤทธิ์เพราะดันไปนั่งตรงกับมุมที่แอร์ลงพอดิบพอดี 
 
คือ...กูก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลับไหม? แต่นั่งตรงนี้แล้วแอร์มันเป่าหัวเย็นสบายไง กะจะงีบแค่แป๊บ ๆ แต่ตื่นมาอีกทีกลายเป็นว่าหมดคาบไปแล้วซะงั้น เพราะไอ้ชานคนเดียวเลย ดันเสือกไปเลือกที่นั่งริมสุด แล้วทำไมน่ะเหรอ? คนถัดมาก็เลยเป็นไอ้โนบิตะไง แล้วจะให้ผมไปนั่งข้างมันหรอ? เดี๋ยวเกิดเผลอเอาแขนไปโดนแขนมันแล้วไฟช็อตตายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ?
 
สรุปก็เลยต้องย้ายตัวเองมานั่งอีกฝั่ง บอกได้เลยว่านี่ไม่ใช่ความของผิดผมแน่ ๆ ทั้งหมดทั้งมวลผมจะขอโบ้ยให้ไอ้หน้าจืดนั่นรับผิดแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เป็นเพราะมันนั่นแหละ...เพราะมันคนเดียวที่ทำให้เมื่อคืนนี้ผมนอนหลับไม่สนิท พอเคลิ้มๆจะหลับลึกลงไปทีไร สัมผัสกับเสียงเรียก ‘พิกครับ’ มันก็ดังขึ้นมารบกวนอยู่ทุกรอบ...
 
เอาเป็นว่าเมื่อคืนผมแทบไม่ได้นอนเลย..ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ลงจริง ๆ เพราะไม่อยากจะฝันถึงเหตุการณ์ชวนเสียวซ่านอย่างนั้นขึ้นมาอีก ตอนตีสี่ก็เลยลุกไปล้างหน้าแปรงฟันจัดการตัวเองแล้วหยิบหัวขโมยแห่งบารามอสมาอ่านอีกรอบเพื่อฆ่าเวลา
 
“พิก....”
 
“พิก”
 
“พิกโว้ย!!!!”
 
เสียงเรียกจนเกือบจะตะคอกของไอ้ชานทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว ตื่นจากภวังค์ได้มองซ้ายมองขวาหาเป้าหมายทันที เพราะตอนนี้ทั้งห้องแล็คเชอร์ว่างเปล่าหมดแล้ว จะเหลือก็เพียงแค่ผมกับไอ้ชานสองคนที่นั่งอยู่กลางห้องเท่านั้น
 
“เฮ้ยชาน โนบิตะล่ะ”
 
“กลับไปแล้ว” มันเลิกคิ้ว “ก็กลับเร็วเป็นปกติของมันนั่นล่ะ”
 
“กลับไปนานหรือยัง”
 
ผมถามอย่างร้อนใจ ผุดลุกขึ้นมาก็ไม่ได้ดูว่าบานพับมันยังคาอยู่เอวเลยไปกระแทกเข้าอย่างแรง ความรู้สึกตอนนี้สุดยอดมาก ๆ เจ็บจนร้องไม่ออกกันเลยทีเดียว
 
“เฮ้ยเจ็บไหมวะ” ไอ้ชานก้มมาแตะมือลงบนเอวผมเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถาม “ทำไมวะมีอะไรกับมันหรือเปล่า”
 
“ไม่มี!”
 
ก็อยากจะคุยด้วยหรอกนะ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว ตอบมันเสร็จผมก็รีบหันไปคว้ากระเป๋าเป้ที่วางอยู่ข้างๆมาสะพายอย่างรีบร้อน
 
“เฮ้ย แล้วมึงจะไปไหนเนี่ย!”
 
มันตะโกนเรียกเสียงดังทันทีที่ผมพุ่งตัวออกจากแถวที่นั่ง หน้าตาไอ้ชานตอนนี้เหรอหรามาก อยากจะอธิบายให้ฟังนะ แต่ก็ใส่เกียร์หมาวิ่งกระเผลกออกมาแล้ว และก็นับว่าเป็นโชคดีของผมมาก ๆ ที่ไอ้โนบิตะยังเดินไปได้ไม่ไกลนัก
 
 

“โนบิตะ! หยุด!”
 
ผมตะโกนเรียกเสียงดังจนคอหอยแทบระเบิด และนั่นได้ผลมากๆกับคนอื่น...ใช่ คนอื่นแม่งหันมามองผมแทบจะทั้งตึก เว้นก็แต่ไอ้คนโดนเรียกที่ยังเดินล้วงกระเป๋าสบายใจเฉิบ เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งบันดาลโทสะหนักกว่าเก่า เรียกไม่ได้ยินอย่างนี้แม่งต้องใส่หูฟังเปิดเพลงดังกระหึ่มอยู่แน่ ๆ
 
“พิก!”
 
แล้วก็เป็นอย่างที่คาด ทันทีที่วิ่งเข้าไปประชิดตัวมันได้ผมก็กระชากสายรุงรังออกจากหูมันทันที
 
“พิกมีอะไรหรือเปล่าครับ”
 
เห็นมันทำหน้าซื่อตาใสถามเสียงอ่อนแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด เร็วเท่าความคิดก็เลยเอื้อมมือไปกระชากแขนมันแล้วออกแรงดึงให้เดินตามมาติด ๆ  ตอนนี้ไอ้เก้าหน้าตามันดูตกใจมากทั้งยังอุทานชื่อผมไม่หยุดอีก
 
“พิก พิกครับ พิก!”
 
“หุบปาก!”
 
ผมหันไปตวาดมันก่อนจะสอดส่ายสายตามองหามุมสงบ ฉุดกระชากลากถูกันอย่างนั้นอยู่พักใหญ่จนไอ้เก้าเลิกขืนมือเลิกต่อต้าน เดินวนกันอยู่พักนึงในที่สุดพระเจ้าก็เข้าข้าง ประทานห้องที่แลดูเป็นส่วนตัวมาให้ตรงหน้า
 
“เข้าไป”
 
ผมออกแรงเหวี่ยงแขนมันให้เซนำเข้าไปในห้องล็อกเกอร์แคบๆ ก่อนจะแทรกตัวตามเข้าไปแล้วปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา อาจจะเพราะชั้นนี้เป็นชั้นของห้องสมุดภาษาจีนจึงทำให้ผู้คนไม่พลุกพล่านนัก ซึ่งนั่นก็หมายความว่าผมจะสามารถอัดมันได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีใครแส่มือเข้ามาช่วย
 
 “พ...พิก?”
 
ไอ้โนบิตะครางชื่อผมเสียงสั่น กระเป๋าเป้ที่เคยอยู่บนไหล่ตอนนี้ไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว ผมโยนมันทิ้งไว้บนพื้นด้านล่าง ก่อนจะย่างสามขุมเข้าไปประชิดตัวจนอีกฝ่ายต้องถอยกรูดติดกำแพง
 
“มีอะไรจะบอกกูไหม?”
 
ผมว่าผมใจดีมากเลยนะที่เปิดโอกาสให้มันได้สารภาพก่อน แต่ถึงอย่างนั้นโนบิตะก็ยังขมวดคิ้ว และวินาทีต่อมาก็ส่ายหน้างง ๆ เป็นคำตอบ
 
“แน่ใจหรอ?...งั้นกูถามมึงอีกทีแล้วกัน”
 
“...”
 
“มีอะไรอยากจะบอกกูไหมโนบิตะ?”
 
“...”
 
“ได้...จะเอาใช่ไหม”
 
“ด...เดี๋ยวครับ...นี่มันอะไรกัน” ไอ้เก้าถามเสียงตะกุกตะกัก มันดูลนลานยิ่งกว่าเดิมเมื่อผมยกมือขึ้นไปที่ระดับหน้าแล้วจรดปลายนิ้วลงบนกรอบแว่นของมัน
 
“กูถามอีกที...ว่ามีอะไรอยากจะบอกกูไหม” ผมเค้นเสียง ชักจะโมโหแล้วนะ ให้โอกาสขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมสารภาพผิดอีกหรอ
 
“พ...พิกครับ.พิกอย่า”
 
เมื่อเห็นว่ายังปิดปากเงียบผมเลยต้องกระตุ้นให้มันเปลี่ยนความคิด โนบิตะพร่ำขอร้องเมื่อผมออกแรงดึงแว่นของมันหมายจะทำให้หลุดออกจากหน้า แต่แรงมันดันเยอะพอกันนี่สิ พอผมดึงมันก็รั้ง ยื้อยุดกันอยู่อย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ในห้องนี้ก็โคตรแคบ ธรรมดาผู้ชายสองคนยืนเฉยๆก็ยังต้องเบียดกันแล้วนับประสาอะไรกับตอนนี้ล่ะ แทบจะขี่คอกันให้ได้เพราะโนบิตะแม่งทำอารยะขัดขืนใส่ผมแบบสุด ๆ
 
“ไอ้เหี้ย!” ผมตะคอกเสียงดัง “มึงถอดแว่นของมึงออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ อย่าให้กูต้องต่อยมึงทั้งแว่นตา!”
 
“ไม่...ไม่ครับ” โนบิตะเบี่ยงหน้าขืนมือผม
 
“เฮ้ย!” ตะโกนขู่มันอีกทีแล้วจับหน้าให้หันมามองกันตรงๆ ครู่ใหญ่ที่ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น สายตาของไอ้เก้าดูอ้อนวอนขอร้อง แต่ผมไม่สน ยิ่งมันทำตาอย่างนั้นผมก็ยิ่งเดือด เลยเลื่อนสายตาไปที่อื่นแทน
 
ใช่ กระดุมข้อแขนด้านขวาของมันนั่นแหละ
 
“พิก! อย่า! อย่านะครับ”
 
เหมือนหูผมดับไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่ได้ใส่ใจแล้วว่าตอนนี้มันกำลังพูดอะไรอยู่ข้างหู รู้อย่างเดียวคือต้องปลดกระดุมเม็ดนั้นออกมาให้ได้ มันขืนตัว แต่ผมก็ไม่ละความพยายามเหมือนกันและสุดท้ายเมื่อปลดกระดุมเม็ดนั้นได้สำเร็จ รอยสักสวาทที่ผมตามหามาตลอดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
 
“ก็บอกแล้วไง...ว่าอย่า”
 
โดยไม่รอให้ผมได้ตั้งหลัก เร็วเท่าความคิดร่างทั้งร่างก็ถูกผลักออกโดยแรงที่เหนือกว่า แล้วให้ทายว่าเสียงปัง! ที่ดังก้องไปทั่วทั้งห้องนั่นคือเสียงอะไร? ใช่..มันคือเสียงหลังผมกระแทกอัดกับประตูล็อกเกอร์นั่นเอง
 
“ผมเตือนพิกแล้วแท้ ๆ” มันก้าวเข้ามาหา
 
“มึง...ม...มึงเป็นใครเนี่ย!”
 
รู้ตัวนะว่าถามคำถามปัญญาอ่อนออกมา แต่ ณ จุดนี้ใครไม่มาเป็นผมไม่เข้าใจหรอก ก็นาทีที่ไอ้โนบิตะกระชากแว่นตาออกจากหน้าตัวเองแล้วเหวี่ยงทิ้งก่อนจะกระแทกตีนเหยียบติดพื้นจนดังกรอบ! น่ะ บอกได้เลยว่าโคตรน่ากลัว...
 
ทั้งๆที่ตอนแรกตั้งใจจะลากมันมาต่อยแท้ ๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนผมจะกำลังเสียเปรียบนะ...
 
“นั่น...มึง....มึงจะทำอะไรกู”
 
ผมถามคำถามโง่ ๆ ขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมันใช้สองมือนั่นกั้นทางออกเอาไว้เสียหมด โนบิตะไม่ตอบอะไรออกซักคำ มันใช้ดวงตาเรียวรีคู่นั้นมองมาที่ผมอย่างตำหนิ แต่นั่นก็มากพอแล้วที่จะทำให้ขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัวอย่างไม่ได้นัดหมาย... ได้โปรดอย่ามองกันอย่างนี้ จะต่อยก็ต่อยเลยเถอะ กูชักจะใจไม่ดีขึ้นมาซะแล้ว...
 
“จ...จะด่าอะไรก็ด่าสิวะ! แต่อย่ามามองหน้ากูแบบนี้!”
 
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วจ้องมันกลับยิบตา เอาสิ กูก็สู้คนนะ มึงมองมากูก็มองกลับ จะเล่นเกมส์จ้องตากับกูก็ได้ แต่อย่ายื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแทบจะจูบกันแบบนี้...
 
กูขนลุก!
 
“ปากดีจังเลยครับ”
 
“...”
 
“ปากอย่างนี้มันน่าทำให้แตกนะว่าไหม”
 
มันพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ใจผมนี่เต้นตึกตักเลย สาบานเหอะว่าตั้งแต่แต่งตั้งให้มันเป็นเหยื่อมาไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่าวันนึงตัวเองจะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้  ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นเมื่อมันยื่นมือมาบีบลงบนสันกรามผมเบา ๆ สายตามันวาววับเหมือนเมื่อวานตอนมองนักศึกษาคนนั้นไม่มีผิด
 
ห่าเอ้ย!!! แล้วทำไมต้องรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตด้วยวะเนี่ย!
 
“เงียบอีกแล้ว” มันจุดยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากแล้วมองไล่ไปทั้งตัวผม “ป๊อดเหมือนคืนนั้นเลย”
 
“เหี้ย”
 
ผมด่ามันด้วยอารมณ์คุกรุ่น แต่ดูมันจะไม่สะทกสะท้านเท่าไหร่เลยมั้ง เพราะแทนที่จะตอบอะไรออกมา มันกลับก้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วใช้ปลายจมูกโด่งนั่นเขี่ยบนสันจมูกผมเล่น ให้ตายเถอะ แล้วสายตานั่นคืออะไร ทำไมต้องจ้องกูเหมือนจะกลืนเข้าไปด้วย!
 
“ครั้งที่แล้วก็สอนไว้ทำไมถึงไม่ยอมเก็บมาใช้บ้างเลยล่ะครับ?”
 
“สอนเหี้ยอะไรของมึง”
 
“ก็ที่บอกว่าให้พูดเพราะๆไง...สงสัยจะจำได้แต่อย่างอื่นนะครับเนี่ย” มันหัวเราะ ตลกมากนักหรอไอ้เหี้ย
 
“เสือก” ผมด่าออกไปเบา ๆ แล้วเสหน้าไปทางอื่นแทน
 
ตอนนี้เหตุการณ์ชักจะตัลปัตรไปหมด จากที่ผมเคยเป็นฝ่ายรุก ตอนนี้กลับโดนมันต้อนไล่ ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะต่อยมันให้หน้ายับ แต่ตอนนี้แค่หน้ามันยังไม่อยากจะมอง ผมกดหน้าตัวเองลงต่ำ สายตาแม่งพิฆาตมาก ถ้าเผลอจ้องตอบมันบ่อย ๆ มีหวังผมคงต้องติดอ่างอีกแน่!
 
เพราะงั้นกูจะไม่มองตามึง ไม่มอง...มองแค่ปากกับจมูกก็พอ
 
 “พิกครับ”
 
เรียกเสียงแผ่วไม่พอยังลดมือข้างนึงลงมาโอบไว้ที่เอวของผมอีก สาบานได้ว่าผมพยายามขัดขืนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นแรงของมันก็มากพอที่จะบังคับรั้งเอวผมให้เข้าไปประชิดตัวมันได้
 
“มองตากันหน่อย”
 
ผมได้กลิ่นน้ำหอมของมันตอนที่ริมฝีปากบางนั่นเลื่อนมากระซิบข้างหู... ชัดเจนและแจ่มแจ้ง นึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทันทีเลยที่ไม่เคยสังเกตในข้อนี้ ทั้งๆที่มันก็ใส่น้ำหอมกลิ่นนี้มาทุกวัน แต่ทำไมตอนเป็นโนบิตะถึงได้รู้สึกต่างออกไป...
 
ทำไมถึงไม่เคยรู้สึกเลย ว่ากลิ่นนี้มันโคตรอันตราย
ให้ตายเหอะ ตอนนี้หัวใจผมต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่แล้ว...
 
“ปล่อยกู”
 
สุดท้ายแล้วก็ทำใจกล้าหันมาสบตากับมัน บอกตรงๆว่าตอนนี้หมดอารมณ์จะต่อยตีด้วยละ อะไรก็ไม่รู้ประดังประเดเข้ามานอนเต็มหัวไปหมด ทั้งโกรธ ทั้งโมโห หงุดหงิด เสียใจ ทุกอย่างแม่งตู้ม! ระเบิดแรงจนสมองแจ้งเตือนว่ารับแทบไม่ไหว
 
ยื่นเจตนารมณ์จบก็พยายามขืนตัวออกจากการเกาะกุมของมัน แต่ยิ่งทำอย่างนั้นมันก็ยิ่งขยับตัวเข้ามาใกล้ ผมหดคอพยายามจะอยู่ให้ห่างริมฝีปากนั้น แต่เพราะส่วนสูงที่เตี้ยกว่ามันจึงทำให้ดูเหมือนว่าตอนนี้ปากรูปกระจับนั่นกำลังคลอเคลียอยู่บนหน้าผม
 
“ไม่ปล่อย” มันกระซิบเบาๆ
 
“บอกให้ปล่อย”
 
“ไม่ปล่อย”
 
“เอ๊ะไอ้เหี้ยนี่” ผมถลึงตามองมัน “กูปล่อยมึงแล้ว ไม่อยากรู้แล้ว มึงยังจะเอาอะไรจากกูอีก”
 
เทเลยครับ ยอมรับว่าผิดหวังมาก ๆ ยิ่งมาโดนมันทำเจ้าชู้ไก่แจ้ใส่แบบนี้ยิ่งหมดอารมณ์...
คิดว่ากูเป็นของเล่นของมึงหรือไง! ไม่อยากรู้ไม่อยากเข้าใจเหี้ยอะไรแล้วก็ได้โว้ย!
 
โนบิตะชะงักไป มันไม่พูดอะไรออกมาซักคำแต่กลับเลื่อนมือมาคว้าหมับเข้าให้ที่ข้อมือ ผมหลุบตามองต่ำหยั่งเชิงว่ามันจะทำอะไรต่อ แต่แล้วโนบิตะก็ทำให้ผมต้องอึ้งอีกเป็นครั้งที่สามของวัน…
 
“ก็ไม่อยากให้ปล่อย” มันกระซิบเบาๆแล้วออกแรงกระชากแขนผมก่อนจะดึงเข้าไปหาใกล้ๆ ริมฝีปากสีชมพูของมันตอนนี้อยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบ “อยากถามอะไรก็ถามมาสิครับ จะตอบให้ฟัง...”
 
ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ตอนที่มันแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง...
ไอ้ชิบหายยยย อย่าคิดเชียวนะพิก... บอกว่าอย่าคิดว่ามันเซ็กซี่ไง!
 
“...”
 
”แต่อย่าใช้อารมณ์ อย่าด่ากันแบบนั้นอีก...ถามกันดี ๆ พูดกันดีๆนะ...ได้ไหมครับ?”
 
เดี๋ยวนะ หรือเพราะว่ากูดูละครหลังข่าวกับแม่มากไป...
ทำไมกับอีแค่ถอดแว่นทิ้งไปถึงได้ดูออร่าจับขึ้นมาขนาดนี้
 
แล้วไอ้ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะละลายกลายเป็นน้ำนี่คืออะไร พอได้ยินเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขอร้องแล้วทำไมกูถึงต้องพยักหน้าตามมันด้วย! ผมนิ่งอยู่อย่างนั้นมองสำรวจเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบของมันอยู่พักใหญ่ จนรู้ตัวอีกทีมือทั้งสองข้างก็ถูกมันกุมเอาไว้หมดแล้ว
 
“ไม่!!...มึงหลอกกู”
 
ผมสะบัดแขนแล้วผลักมันออกอย่างแรง ไม่หนำใจยังยกขาขึ้นเตรียมจะถีบด้วย แต่ดูเหมือนโนบิตะจะไวกว่า มันยกเข่าขึ้นกระแทกสวนเข้ามาที่หน้าขาผมทันที
 
มันใช้มือที่เพิ่งจะเสยผมลวก ๆ ยกขาผมขึ้นแล้วล็อกไว้กับสีข้างของมัน ก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ “ผมไม่ได้หลอกคุณ”
 
“ไม่ได้หลอกกูแล้วมาทำเป็นใส่แว่น ทำตัวจืดชืดให้กูคิดว่ามึงอ่อนแอทำไม!”
 
ผมตะโกนออกไปสุดเสียง เชิดหน้าขึ้นจ้องตากับโนบิตะเขม็ง
 
“คุณคิดไปเองทั้งนั้น” มันทำเพียงแค่ยักไหล่ไม่ยี่ระแล้วโน้มตัวมาหาจนแทบไม่มีช่องว่างระหว่างเรา “ผมใส่แว่นก็เพราะว่าสายตาสั้น ที่ทำตัวจืดก็เพราะว่าตั้งใจมาเรียนหนังสือ ตอนกลางคืนก็แทบจะไม่ได้นอนอยู่แล้ว ตอนเช้าทำไมต้องรีบลุกขึ้นมาเพื่อแต่งตัวเซ็ทผมดีๆให้เหนื่อยกว่าเดิมด้วยล่ะครับ?”
 
“ไม่ใช่เรื่องนี้!” ผมเถียงขาดใจ “ก่อนหน้านี้มึงจะเป็นเหี้ยอะไรมากูไม่สน แต่มึงเอากูแล้วยังทำเป็นไม่รู้เรื่องทำเป็นตัวโนบิตะแบบที่ทำมาตลอดได้ยังไง มึงทำกับกูอย่างงี้ได้ยังไง!”
 
ข้อนี้แม่งจี้ใจสุด ยอมรับเลยว่าช็อคมากๆตอนที่รู้ว่ามันเป็นคนเดียวกับไอ้เวรนั่น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นผมคิดมาตลอดว่ามันใส แต่ไม่ใช่เลย.. ประเด็นคือ แม้แต่ตัวกูเองก็ยังคิดหาข้อแก้ตัวให้มึงตั้งมากมายจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องพบว่าตัวเองแม่งควายชิบหาย...
 
มันคงสะใจสินะที่หลอกผมได้...
สนุกมากไหม? สาแก่ใจมึงหรือยัง?
 
 “นั่นมันเหตุสุดวิสัย...ผมเห็นคุณมานานแล้ว คุณชอบมานั่งเฝ้าโซจินที่ร้านของผมเป็นประจำ แต่คืนนั้นคุณเมามาก ทะเลาะกับเธอแล้วอาละวาดจนไปทั่วเผลอไปโดนนักเลงแก๊งใหญ่ในแถบนั้น...ลองนึกภาพดูสิ ถ้าผมไม่ช่วยเพราะว่าเห็นแก่ความเป็นเพื่อนร่วมห้องของเรา...ป่านนี้คุณอาจไม่ได้มีขาไว้เตะผมอย่างเมื่อกี้นี้ก็ได้”
 
“...”
 
“แต่พอผมช่วยคุณออกมาได้ คุณก็เมามากจนนึกทางกลับบ้านไม่ออก คืนนั้นผมเลยต้องให้คุณไปนอนที่คอนโดของผม แต่ก่อนจะถึงห้อง คุณน่ะอ้วกเรี่ยราดไปทั่วเลย... เบาะรถผมแพงมากนะ รู้ไหมว่าอาทิตย์นั้นทั้งอาทิตย์ผมต้องอดทนกับกลิ่นของมันด้วยความรู้สึกยังไง”
 
“...”
 
“ไม่หนำใจ พอเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จจะพาไปนอนที่เตียงดีๆคุณก็ขึ้นมาคร่อมบนตัวผม รู้ไหมว่าคืนนั้นคุณเอาแต่พูดว่าอะไร?...ไม่ไหวแล้ว...มาทำอย่างว่ากันเถอะนะ เธอน่ารักจัง เรามามีเซ็กส์กันเถอะ ฉันจะรับผิดชอบเธอเอง...แล้วจะผมให้ทำยังไงในเมื่อคุณเกิดอารมณ์ขนาด---”
 
“พอ!!  พอโว้ย !!!”
 
โอ้ย! ไอ้ชิบหายยย ยังมาทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียนกูอีกนั่น! ผมยกมือสองทั้งข้างขึ้นแนบหูตัวเองทันที ทนฟังไม่ได้แล้วโว้ยยย  ไม่เคยนึกเลยว่าวีรกรรมที่เคยก่อไว้มันจะยิ่งใหญ่อะไรได้ขนาดนี้
 
“แล้วคืนสอง...ที่ผมทำกับคุณอย่างนั้น คุณไม่อยากรู้แล้วหรอว่าทำไม”
 
“ไอ้สัตว์ หุบปากไปเลย! อย่าให้กูต้องซัดมึงหน้าแหก...”
 
“ก็เพราะอย่างนี้ไงครับ” และระหว่างที่ผมกำลังเสียสติเพราะความบ้าของตัวเองในคืนนั้น ไอ้เก้าก็ยื่นปากเข้ามาใกล้แล้วพูดกระซิบที่บริเวณมุมปากของผม “เพราะว่าปากดีอย่างนี้ไง”
 
 “...”
 
“บอกให้พูดดี ๆ แต่ก็ไม่เห็นพูด...เอาแต่หยาบใส่คนอื่นอยู่ท่าเดียว สงสัยจะไม่ชอบให้พูดดี ๆ ด้วยเหมือนกันสินะครับ”
 
“...”
 
“ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่ทำอะไรคุณแล้วนะพิก...แต่คุณแม่ง”
 
“....”
 
“ตอนโกรธตอนโมโหนี่น่าเอาชิบหาย...ถ้าไม่ชอบแบบสุภาพ ต่อไปนี้กูก็จะพูดหยาบๆกับมึงเหมือนกัน ดีไหมครับพิก?”
 
ผมมองสบตามัน สายตาของมันกำลังทำให้ลมหายใจของผมติดขัด เพราะแม่งแสดงออกอย่างชัดเจนเลยว่าที่พูดน่ะ เอาจริงแน่ ๆ
 
“ไอ้เหี้ย!! ปล่อย!!! ปล่อยกู!”
 
ตั้งสติได้ก็รีบขัดขืนสิครับพี่น้อง จะอยู่ให้มันทำตัวพิศาลใส่ทำไม! ผมทั้งผลักทั้งทุบทั้งต่อยมันสุดแรง แต่ถึงอย่างนั้นโนบิตะก็ไม่มีท่าทีว่าจะสะเทือนซักเล็กน้อยเลย มันยืนนิ่งแข็งเป็นหุ่นยนต์ให้ผมอัดอยู่นานสองนานจนผมเริ่มหอบเริ่มหมดแรงมันจึงเริ่มขยับมือที่ล็อคขาผมเอาไว้บ้าง
 
“ไม่ปล่อย” มันกระซิบ นัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นแวววับเหมือนได้ของเล่นถูกใจ “เพราะวันนี้กูจะเอามึงแรงๆ แรงให้หายปากดี...แรงให้คลานกลับบ้านไม่ไหวเลย” 



สาบานได้ว่ามันเป็นคนพูดจริงทำจริง เพราะเมื่อสิ้นเสียงแหบพร่านั่น หน้าของผมก็ถูกดันให้เชิดขึ้นรับจูบทันที ริมฝีปากของมันบดเข้ามาแรงมาก ไม่หนำใจยังใช้มือสากเลื่อนมาบีบกราม แล้วบังคับให้ผมเปิดปากรับเรียวลิ้นร้อนที่ฉกเข้ามาอีก

[size=18]“อื้อ!” [/size]

ผมพยายามสะบัดหน้าหนี แต่แรงของมันมีมากกว่า! ไอ้เก้าจิกหัวผมให้เงยหน้าขึ้นรับจูบ ก่อนจะกวาดลิ้นร้อนฉกเล็มไปทั่วทั้งโพลงปาก น่าแปลกมากที่ผมไม่รู้สึกรังเกียจ ซ้ำยังเสียวแปลกๆตอนที่มันลากลิ้นผ่านเพดานปากอีกด้วย(ลองเอาลิ้นคุณลากเบา ๆ บนเพดานกวาดตามไร้ฟันด้านบนสิครับ ความรู้สึกนั้นเลย)

มันปล่อยมือแล้วถอยห่างออกช้า ๆ  ผมได้แต่มองเส้นใยเหนียวหนืดจากน้ำลายของเราที่ติดอยู่บนริมฝีปากสีเชอร์รี่ของมันนิ่ง คือ...อึ้งอยู่ คือ...นึกอะไรไม่ออกแล้วครับ ไม่คิดว่าจูบของมันจะมีพลังทำลายล้างขนาดนี้ ตั้งแต่คบกับผู้หญิงมายังไม่เคยเจอใครจูบเก่งเท่านี้เลย ทั้ง ๆ ที่ปากมันไม่ได้นุ่มเลยซักนิด แต่กลับมีแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาด…

โว้ยยยย อย่าเคลิ้มสิวะ! ดีดดิ้นหน่อย! ขัดขืนหน่อยสิไอ้เหี้ยพิก!

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 4/5 (19/4/2558)
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 20-04-2015 10:02:09


“จะไปไหน”

คิดว่าต่อยไปยังไงมันก็ไม่สะเทือนผมเลยพยายามมุดตัวออกจากวางแขนมัน แต่จังหวะที่กำลังจะผละตัวออกมาได้มันกลับคว้าเอวผมไว้แล้วสอดมือเข้ามาในเสื้อ เสียงนุ่มของมันเอ่ยถามอย่างคนที่เหนือกว่า และนั่นทำให้ผมรู้สึกสมเพชตัวเองมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า

“จะหนีกูหรอครับพิก...”

“...”

“ไม่ตอบ...” มันเลื่อนมือขึ้นเกลี่ยยอดอกผมแล้วใช้ปลายเล็บลากวนเป็นวงกลมจากด้านหลัง “งั้นนี่น่ะ...หยิกให้ขาดเลยดีไหม หืม”

“อย่านะ!”

โอ้ยโคตรเกลียดตัวเองเลยไอ้เหี้ยเอ้ย! พูดอะไรไม่ได้เลยนอกจาก ปล่อยนะ อย่านะ! ตอนนี้แม่งสลับกันชิบหาย ไอ้โนบิตะหน้าจืดนั่นอยู่ไหน เอากลับมาให้ที อย่าให้กูต้องมาเจอกับอะไรที่รับมือไม่ได้แบบนี้เลย

เพราะแม่งเลว...เลวถึงขั้นชั่วเลยไอ้เวรนั่นน่ะ!

“อึก...”

ผมหลับตาเม้มปากแน่นตอนที่มันใช้นิ้วโป้งขยี้ยอดอกผมเบา ๆ ความรู้สึกตอนนี้ไม่รู้เลยว่าควรจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดยังไง รู้อย่างเดียวคือกลัวใจมัน กลัวว่ามันจะหยิกเข้าให้จริง ๆ อย่างที่พูดขู่เมื่อกี้ ตอนนี้ได้แต่ยืนขาแข็งนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นแล้วปล่อยให้มันลูบคลำขยำขยี้ตามอำเภอใจ

“ผิวมึงเนียนมาก รู้ตัวบ้างไหมเนี่ย” ไอ้เก้าหมุนร่างผมให้หันมาประจันหน้ากันก่อนจะเอ่ยถามอีกทีผ่านทางสายตา แล้วตามึงนี่นะ จะวิบวับอะไรนักหนา ขนาดกูเป็นผู้ชายแมนทั้งแท่ง เห็นแล้วยังอดใจสั่นไม่ได้เลย

โอ้ย อย่าจ้องโว้ย อย่าเข้ามาใกล้! เดี๋ยวใจกูก็หยุดเต้นพอดี!

“...”

“เฮ่อ ไม่ตอบอีกแล้ว” มันถอนหายใจออกมาแล้วจุดยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก “ไม่ตอบก็ไม่ต้องนะ...แล้วอย่าให้ได้ยินเสียงล่ะ ไม่งั้นกูกัดของมึงขาดแน่!”

ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าที่มันพูดนั่นหมายความว่ายังไง แต่พอมันผลักผมจนหลังติดล็อกเกอร์อีกรอบแล้วเลื่อนตัวลงต่ำไปนั่งยองๆตรงหน้า ภาพนางเอกในหนังเอวีที่ดูประจำ ๆ ก็ฉายชัดขึ้นมาเลยครับ มันชัดเจนยิ่งกว่าเดิมเมื่อมันล็อกเอวผมไว้ กดจูบตรงกลางหว่างขาแล้วเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสายตาแบบที่คาดเดาอะไรไม่ได้ซักอย่าง

“อ...อย่า!”

ผมพยายามถดตัวถอยแล้ว! แต่ให้ตายเถอะ มือของมันที่ล็อคเอวไว้นั่นแน่นเกินไป แล้วไหนจะริมฝีปากที่อ้าออกก่อนจะงับเข้ามาที่น้องชายผมเสียเต็มคำอีก ความรู้สึกแบบที่ผมรู้จักดีในคืนที่เปลี่ยวแล่นจี๊ดขึ้นถึงก้านสมองเลย โอ้ยไอ้เหี้ย อย่าปลดกลางเกงกู!! อย่า!!!

“บอกว่าอย่าพูดไง กัดแม่งเลยดีไหมเนี่ย” 

มันใช้เวลาไม่นานเลยในการถกกางเกงผมลงไปถึงเข่า เร็วอย่างกับเล่นกล! ไอ้เก้ามองกางเกงในสีขาวของผมตาวาว ก่อนจะแลบลิ้นออกมา...และ....

“อ๊ะ!”

มันลากลิ้นเลีย!!!!!
เลียตามแนวยาวผ่านอันเดอร์แวร์ของผมเลยด้วย!!!!

ผมดิ้นพล่านเลยทีนี้ แต่เท่านั้นยังไม่พอ มันล็อคขาผมแล้วจับให้พาดกับไหล่มันก่อนจะก้มลงไปใช้ฟันขบเบาๆบนเนินเนื้อนั่น ให้ตายเหอะ ถ้าเท่านี้ผมยังจะพอทรงตัวยืนให้ตรงได้หรอก แต่เพราะมันล้วงมือเข้ามาด้านหลังแล้วขยำก้นผมอย่างแรงไปด้วยนี่แหละที่ทำให้ขาเขอมันสั่นไปหมด 

“อ....อา...”

ไอ้เก้าสาละวนอยู่กับด้านหน้าของผมนานมาก มันค่อย ๆ ใช้มือปอกชั้นในชิ้นน้อยของผมเหมือนปอกกล้วย ก่อนจะใช้ปากดูด แล้วเอาลิ้นดุนไปรอบๆบริเวณนั้นโดยไม่ยอมสัมผัสโดนแท่งเนื้อที่ขยายตัวชี้หน้ามันเลยแม้แต่น้อย

แม่งแกล้งกันชัดๆ แกล้งกันแน่ๆ!

ผมหลับตาผ่อนลมหายใจออกขาดห้วง แม่งเอ้ย! ความเจ็บจี๊ดปนเสียวเล็กๆ ตรงบริเวณแถวหว่างขาที่มันกำลังแต้มรอยทำให้ผมแทบจะทนไม่ไหว อยากจะเอื้อมมือไปดันหน้ามันออกแล้วทำซะเอง แต่พอทำอย่างนั้นมันก็จับมือผมล็อกไว้ แล้วเงยหน้าขึ้นหรี่ตามองมาอย่างย่ามใจ

“ใครอนุญาตให้มึงแตะ”

“แต่นี่มันของกูนะ!” ผมอยากจะร้องไห้ พยายามขืนมืออกจากมือมัน แต่ยิ่งทำอย่างนั้นมันก็ยิ่งบีบแขนผมแรงขึ้น “ปล่อยกู กูจะช่วยน้อง!”

“ไม่อนุญาต”  มันพูดอย่างนั้นแต่ก็ปล่อยมือผมออก ก่อนจะเอื้อมไปแหวกก้อนเนื้อที่ด้านหลังแล้วดันตัวเข้าหา ล็อคขาผมที่พาดบ่ามันให้แน่นยิ่งกว่าเดิม “เดี๋ยวกูทำให้เอง”

มันพูดแค่นั้นก่อนจะอ้าปากแล้วครอบครองโลกกว้างของผมไว้ทั้งหมด โพรงปากร้อนชื้นของมันทำให้ผมตัวกระตุก ต้องยืนเกร็งขนจิกปลายเท้ากับพื้นกระเบื้องแน่นกว่าเดิม ให้ตายเถอะ! สุดคอหอยเลยไหมนั่น! แล้วทั้งดูดทั้งเลีย ลากลิ้น เอาฟันครูดนี่คืออะไร ใครสอนมึงหรอ ทำไมเชี่ยวจัง...

ไม่ใช่แค่น้องเท่านั้นที่อยากจะร้องไห้ แต่ผมก็เหมือนกันอยากจะร้องไห้ด้วย...

สัมผัสอุ่นวาบจากไอ้เก้ากระตุ้นหัวใจของผมเต้นแรงเป็นจังหวะกลองรุมบ้า! สาบานได้เลยว่ามันงัดทุกเทคนิคออกมาเพื่อจะทำให้ผมร้องครางอย่างไร้ยางอาย ให้ตายเถอะๆๆๆๆ นี่ผมพูดประโยคนี้มากี่ครั้งแล้ววะ แต่ใครสน! ตอนนี้แม่งอยากจะปล่อยมาก เพราะมันทั้งชักทั้งเลียจนผมแทบจะทรงตัวยืนไม่อยู่ อยากจะกรีดร้องออกมาให้ลั่นแต่ก็ทำไม่ได้เพราะกลัวมันจะกัดอย่างที่ขู่ เลยได้แต่ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองแน่นแล้วกลั้นเสียงเอาไว้ในลำคอ

“อึก....อือ..อ...”

“ไง...อยากพูดแล้วหรอ”

มันส่งเสียงขึ้นมาจากด้านล่าง ดวงตาเรียวรีคู่นั้นดูสนุกสนานมากๆ กับอาการของผม มันหัวเราะหึในลำคอ ไม่รอให้ผมตอบอะไรออกมาซักคำก็หนีหน้ากันโดยการก้มต่ำลงไปกว่าเดิม

“อ....อย่า....มันสกปรก”

ผมตาเหลือกขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ถึงลิ้นชื้นที่เลียวนอยู่รอบช่องทางด้านหลัง ไอ้ห่านี่มันแกล้งผมอีกแล้ว! มันแลบลิ้นเลียวนที่พวงบอลแฝดสลับกับตรงนั้นอย่างจงใจ ไอ้เหี้ยเอ้ย! เกลียดตัวเองที่รู้สึกเสียวซ่านขึ้นมาทั้ง ๆ ที่สมองก็นึกหาคำด่ามัน แต่เชื่อไหมว่านึกไปก็มีแต่คำว่าถูกเอาลอยกระจายเต็มอยู่บนพื้นสมอง แม่งนึกอะไรไม่ออกเลยตอนนี้นอกจากภาพเหตุการณ์ของคืนก่อน ๆ นั่นที่วนมาฉายซ้ำให้ดูเหมือนโฆษณามายบาซินในโรงหนังของเมเจอร์...

นี่ผมกำลังจะเสียตัวอีกแล้วใช่ไหม...
ทำไมพระเจ้าแม่งไม่ยุติธรรมกับคนแมน ๆ อย่างผมเลยวะ

“อ๊า!!!”

ผมจิกไหล่มันแรงมากตอนที่มันแหย่ลิ้นเข้าไปในรูนั้น แล้วไหนจากมือมันอีก ทั้งรูดขึ้นรูดลงรัวเร็วจนผมนี่เสียวจี๊ด ภาพโฆษณาในหัวแตกกระจายเป็นเสี่ยงทันทีเมื่อมันเปลี่ยนไปฉกลิ้นรัวในช่องทางนั้นแทน ทั้งผลุบเข้าผลุบออกอย่างเอาแต่ใจ แล้วยังขยำขยี้ก้นผมไปมาเหมือนกับว่ามันเป็นลูกบอลน้ำอะไรทำนองนั้นอีก

ส่วนใจผมน่ะหรอ...
ตอนนี้ถ้าทะลุออกมาได้ก็คงกระดอนไปไกลแล้ว เพราะแม่งเต้นเร็ว รัว และแรงมาก...

ผมเม้มปากแน่น ยืนไม่ไหวแล้วเลยปล่อยตัวให้อ่อนปวกเปียกเอนติดกับประตูล็อกเกอร์ ดูเหมือนไอ้เก้าจะจับกระแสความอ่อนแรงของผมได้ มันเลยปล่อยก้นผมให้เป็นอิสระแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะพลิกตัวผมแล้วสวมกอดเอาไว้จากด้านหลัง

“ทนไม่ไหวแล้วหรอ...กูก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” กระซิบเสียงเบา เกยคางไว้กับไหล่ผมไม่พอ ยังชำแรกนิ้วเข้ามาในตัวผมก่อนจะดันเข้าไปจนสุดโคนอีก “แม่ง...ตอดยิบเหมือนที่ตอดลิ้นกูเมื่อกี้เลย...”

มันสบถที่ข้างหู งอนิ้วกระแทกเข้าช่องทางอย่างแรงก่อนจะคว้ามือผมแล้วจับให้ล้วงเข้าไปเค้นคลึงกับท่อนเนื้อในกางเกงของมัน นี่ขนาดแค่จับยังร้อนฉ่าขนาดนี้ แล้วไม่ต้องนึกถึงตอนที่มันเอาเข้าไปอยู่ในตัวผมเลย...

กระเพาะ ตับ ม้าม ไตผม คงได้ละลายกลายเป็นน้ำแน่ๆ

“ซี๊ดด......เห็นถ่อย ๆ อย่างนี้แต่มือมึงแม่งนุ่มเป็นบ้า”

มันเอยชมผมพร้อมกับกดจูบลงบนหัวไหล่ แม่งเอ้ย แค่ขบอย่างเดียวคงไม่สาแก่ใจมันสินะ ตอนนี้ถึงได้ทั้งกัดทั้งฟัด ทึ้งคอผมอย่างแรงเหมือนแปลงร่างเป็นหมาบ้า ไอ้เก้าตอนนี้แม่งสลัดคราบโนบิตะออกไปหมดแล้ว ทั้งคำพูดคำจาของมันที่เถื่อนและถ่อยกำลังทำให้ด้านล่างของผมเต้นรัวจนแทบเสร็จ

ผมแม่งโรคจิต โรคจิตชัดๆ !

ทั้งๆที่ตอนแรกก็ขัดขืนเขาซะเต็มกำลัง แล้วตอนนี้คืออะไร ทำไมผมถึงมาช่วยสาวน้องชายของมันอย่างเต็มใจได้วะ? แต่ก็นั่นแหละ! เออ! ช่างแม่งเหอะ! รู้อย่างเดียวคือตอนนี้โคตรทรมาน มันอยากให้ผมทำอะไรผมก็ทำ ปล่อยแม่งแล้ว! เท! เททุกอย่างทิ้งให้หมด!

“อืม...ขยับมือมึง...เร็วอีก” 

มันสั่งให้ผมขยับมือเร็วขึ้นพร้อมๆกับนิ้วของมันที่แทรกเข้ามาถ่างช่องทางของผม รู้ตัวอีกทีก็จุกจนแทบทรุด เพราะมันเล่นแหวกก้อนเนื้อของผมแล้วแทงเข้ามาโดยไม่บอกไม่กล่าว ผมเม้มปาก ยืนสั่น โน้มหัวเอาหน้าผากพิงผนังค้างอยู่ท่านั้นนานมาก เพราะเจ็บจนร้องไม่ออก

“เจ็บไหม...” มันถามเสียงแผ่ว ดูท่าจะไม่ไหวแล้วเหมือนกันเพราะสัมผัสได้เลยว่าช่องทางนั้นของผมตอดมันแรงมาก

“ยังจะถามอีก” ผมครางต่ำ “อย่าเพิ่งขยับเชียวนะ ไม่งั้นกู...อึก...เวรเอ้ย...ชิท!...บอกว่าอย่าเพิ่ง”

แม่งไม่ฟังผมเลยแม้แต่น้อย กลับขยับเข้าออกอย่างเอาแต่ใจทั้ง ๆ ที่ผมก็เพิ่งบอกไปว่าอย่า! แล้วนั่น! มันกำลังจะทำอะไรอีก! ยกตัวกูขึ้นจากพื้นทำไม!!!

“มึง!!! อ๊ะ...อ๊ะ...เหี้ย...โอ้ย...ทำเหี้ยอะไร” 

“ลิงอุ้มแตงไง” มันกระซิบเสียงหื่น “กูชอบท่านี้”

“โอ้ย ไอ้สัด...มันลึกเกินไปแล้ว ไอ้เหี้ยเอากูลงเดี๋ยวนี้!!!”

“ไม่!”  มันพูดพร้อมกับแหกขาผมให้กว้างขึ้นกว่าเดิม  “ลึก ๆ สิดี...มึง...อืม...จะได้จำเอาไว้...จำเอาไว้ว่ามึงเป็นของกู!”     

โนบิตะตอนนี้แม่งฮอตมาก ฮอตทั้งข้างบนฮอตทั้งข้างล่าง ที่บอกว่าฮอตข้างบนนี่คือ พอพูดจบก็แหย่ลิ้นเข้ามาในรูหูผมเลยครับ แล้วท่าที่มันทำตอนนี้ก็บอกได้เลยว่า แม่งเป็นอะไรที่สะดวกแก่การฟัดผมมาก มันโหย่งยกผมขึ้นให้สูงกว่าเดิม ก่อนจะกระเด้งเอวแล้วกระทุ้งขึ้นจนตัวผมลอยวืด หัวแทบชนเพดาน!

“มึงแม่งฟิต..ฟิตชิบหาย”

“โอ้ย...สึด ...ลึก...โอ้ย ลึก”

คือตอนนี้บทสนทนาไปคนละทางกันแล้วครับ พอมันยกตัวผมขึ้นจนน้องชายมันแทบหลุด มันครางอยู่ข้างหูว่าซี๊ด ๆ แต่พอใส่เข้ามาจนสุดโคน ก็บ่นว่าโอ้ยฟิต! แม่งจะเอายังไงกันแน่ กูงงมากแล้วตอนนี้ สมองเสมิงหูตาก็ฝ้าฟางไปหมด เพราะด้านล่างแม่งก็เสียวจี๊ดเหมือนกัน ให้ตายเถอะรับรู้ได้ถึงจังหวะการตอดรัดที่น่าอายได้เลย ดูดของแม่งถี่ยิบขนาดนี้แล้วต่อไปจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนดี...

“พิก”

มันเรียกชื่อก่อนจะอนุญาตให้ผมเอาตีนแตะลงกับพื้นได้อีกครั้ง ก่อนมือหนาคู่นั้นจะเลื่อนมากอบกุมที่ด้านหน้าแล้วรูดขึ้นลงให้พร้อมทั้งยังขยับสะโพกไม่หยุด

“ซี๊ด...ชอบไหม...ลึกไหม...”

“อื้อ....อื้อ.....ลึก.....แรง....เร็วๆ....เร็วๆเถอะกูจะไม่ไหวแล้ว”

เสียงเนื้อตอนนี้ตีกันดังพั่บๆลั่นห้องล็อกเกอร์กลบเสียงครางของเราเสียหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครยอมใครเลย ทั้งมันที่ซอยถี่ยิบ ทั้งผมที่สวนเอวเด้งตอบรัว พวกเรากระแทกกระทั้นใส่กันแรงมาก ในขณะที่มือมันก็ช่วยผมไม่หยุด

 ใกล้แล้ว...ใกล้แล้ว ผมบอกตัวเองในใจ และจังหวะที่สีขาวโพลนกำลังจะสาดไปทั่วทั้งสมองนั้น มันก็โน้มหน้าเข้ามาหา บดจูบแล้วเกี่ยวลิ้นของพวกเราเอาไว้ด้วยกัน ไอ้เก้าครางต่ำในลำคอ มันดูดลิ้นของผมเล่นดังจ๊วบ แล้วกระแทกสะโพกใส่เป็นครั้งสุดท้าย...

นาทีนั้นผมรับรู้ได้ถึงความอุ่นร้อนที่ฉีดอัดเข้ามาในร่างชัดเจนมาก พร้อม ๆ กับของผมที่พุ่งทะยานขึ้นไปเปียกแฉะอยู่ที่บริเวณปลายคางของมัน ไอ้เก้ากับผมกระตุกหนักหน่วงอยู่พักใหญ่ ก่อนจะยืนนิ่งค้างกันอยู่อย่างนั้น พวกเราทำได้แค่จ้องตามองสบกัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาซักคำและนั่นเป็นสัญญาณว่าทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป...

ใช่...ผมกับโนบิตะ

พวกเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว... 











 
 “ศตวรรษ...ไม่มาสินะ”
 
ผมขมวดคิ้วมองอาจารย์ที่นั่งชะโงกหน้าหาเจ้าของชื่อ หล่อนกำลังจะก้มหน้าลงไปติ๊กขาดในช่องมาเรียนของวันนี้ แต่มันไม่เหมือนกับวันนั้น ไม่เหมือนวันที่มันแค่มาสายแล้วหลังจากนั้นก็วิ่งเข้าห้องมาด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ
 
วันนี้ไอ้เวรนั่นไม่ได้มาเรียน อันที่จริงก็เป็นสัปดาห์แล้วที่มันขาดไปตั้งแต่วันที่พวกเรา... ผมเม้มริมฝีปากแล้วเปลี่ยนไปให้ความสนใจกับหนังสือที่กางไว้บนโต๊ะ จะไปคิดมากทำไมกับคนพรรณนั้น จะมาไม่มาก็ช่างแม่งแล้วตั้งใจเรียนดีกว่าไหม   
 
“เป็นอะไรของมึง ทำหน้ามุ่ยเชียว”
 
เป็นอีกครั้งที่ไอ้ชานจับความรู้สึกของผมได้ บางทีผมก็คิดนะว่ามันเป็นเพื่อนที่ดี ที่ใส่ใจผมมากเกินไปหรือเพราะนิสัยช่างเสือกของมันกันแน่ ผมถอนหายใจพรืดเดียวหมดปอด ก่อนจะส่ายหน้าแล้วพยักเพยิดชวนให้มันสนใจบทเรียนในกระดานแทน
 
แต่แม่ง...การหายไปของโนบิตะแม่งโคตรรบกวนจิตใจผมเลยวะ
 
“จะไปไหน” เชี่ยวชาญเพื่อนยากกระซิบขึ้นมาเสียงเบาตอนที่ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้แล็คเชอร์
 
“ไปเยี่ยว”
 
ผมตอบส่ง ๆ แล้วเดินออกมาจากห้อง ท้องฟ้าวันนี้แม่งโคตรหม่นเหมือนฝนกำลังจะตก ผมยืนหยุดที่หน้าห้อง เอนตัวพิงกับกำแพงข้างประตู แล้วควักโทรศัพท์ขึ้นมากดู
 
ไม่มีใครโทรเข้ามาเลย...ไม่มีแม้แต่ข้อความ...
 
เห็นอย่างนั้นแล้วก็ยุ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ไหนบอกจะโทรหาไง แล้วเงียบหายไปอย่างนี้คืออะไร
 
“แค่กๆๆๆ” ปลายสายไอเสียงขรมทันทีที่กดรับสายของผม ใช่ผมกดเบอร์โทรหามันเพราะทนไม่ไหวแล้วที่แม่งหายไปเป็นสัปดาห์อย่างนี้
 
“เป็นเหี้ยอะไร ทำไมวันนี้ไม่มาเรียน”
 
“แค่ก....ก็...ไม่สบายไงครับ..แค่กๆๆๆ...”
 
“แล้วทำไมไม่โทรมา ทำไมไม่มาเรียน ไหนวันนี้บอกจะมาเรียน” เอ้อ ผมนี่ก็แปลกนะ ถามซ้ำคำเดิมอยู่ได้ หงุดหงิดรำคาญใจตัวเองเหมือนกัน แต่ก็อยากได้คำตอบไงถึงถาม
 
“แค่ก...ช่วงนี้...แค่กๆๆๆ ที่ร้านยุ่งมาก...เมื่อเช้า...แค่กๆๆ เด็กในร้านมีปัญหานิดหน่อย”
 
“แล้ว?”
 
“ก็เลยต้องอยู่เคลียร์นะครับ...แค่กๆๆ...แล้วพิกเลิกเรียนแล้วหรอ ถึงโทร...แค่กๆๆ มาได้”
 
“เปล่า...แต่เบื่อ ไม่อยากเรียนละ..”
 
“แค่กๆๆ”
 
“แล้วนี่กินข้าวกินยาหรือยัง”
 
“ยังครับ”
 
“เออ งั้นนอนต่อไปเหอะ” ผมขมวดคิ้วแล้วผ่อนเสียงลงให้เป็นปกติ “เดี๋ยวซื้อเข้าไปให้ เอาโทรศัพท์ไว้ข้างเตียงล่ะ เดี๋ยวใกล้ถึงแล้วจะโทรไป”
 
“พิกจะโดดหรอครับ”
 
“เออ จะไปหามึงไง อาการมึงหนักขนาดนี้คิดว่ากูจะใจร้ายปล่อยให้มึงนอนป่วยได้โดยไม่แดกอะไรทั้งวันเลยหรอ” 
 
“...”
 
“แค่นี้นะ จะวางแล้ว เดี๋ยวจะเข้าไปเอากระเป๋าแล้วรีบออก”  ผมพูดตัดบทแล้วทำท่าจะกดปุ่มวางสาย แต่ยังไม่ทันจะได้กด เสียงปลายสายก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ
 
“พิกครับ” 
 
ผมแนบหูกับโทรศัพท์อีกครั้ง  “อะไร”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
“รีบมานะครับ...คิดถึง” 
 
 
 
 
 
ที่ผมบอกว่าผมกับมันกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้วน่ะ โกหกตรงไหน?
 
ก็แล้วจะเป็นอะไรกันต่อผมก็ตอบพวกคุณไม่ได้เหมือนกัน เพราะงั้นไม่ต้องทำมาเป็นขมวดคิ้ว เอาเป็นกับมันเป็นอะไรที่กำลังจะพัฒนาไปอีกขั้นล่ะมั้ง
 
ไม่ต้องมาเบะปากทำหน้าหมั่นไส้เลย ที่พูดไปน่ะจริงทั้งนั้น นั่น! ห้ามบ่นนะ! เล่าให้ฟังขนาดนี้แล้วยังจะบ่นอะไรอีก
 
 
คนเขินต้องเป็นกูนี่ไม่ใช่พวกมึง
เขินจะตายห่าอยู่แล้ว รู้ไหม!
(ปิดหน้า แล้วเดินหนี)
 
 
 
 
______________________________________
THE END


ขอ TALK ยาว ๆ หน่อย
 
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ “ชั่ววูบ” มากๆ
เราแค่อยากเขียนไอ้เก้าในแบบที่เนิร์ดแบบสุด ๆ (แต่เบื้องลึกมีอะไรมากกว่านั้น)
โดยได้แรงบันดาลใจมาจากนิยายเรื่องนึงที่เราเคยเขียนเอาไว้ในเล้า พล็อตเรื่องประมาณว่า
เมะไล่ตามหาเคะที่เคยเอาด้วยจากกลิ่นแชมพูที่ยังหลงเหลือไว้บนหมอน จึงเกิดเป็นนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา
 
จะว่าไปโนบิโนบินี่แทบไม่มีสาระอะไรเลย มันเหมือนอาหารจานฟาดฟู้ดข้อนี้เรารู้ดี
แต่สิ่งนึงที่เกิดขึ้นตอนเรากินเฟร้นฟรายแม็คคือ...
เรารู้สึกว่าเฟร้นฟรายที่นี่อร่อยมาก และเราไม่สามารถหากินที่ไหนได้แบบนี้
ซึ่งเราจะรู้สึกดีมากถ้าหากคนอ่านรู้สึกอย่างนั้นกับฟิคเรื่องนี้  คือ...ไม่ต้องคิดอะไรให้มาก
แค่รับรู้ว่ามันอร่อยและจดจำรสชาติความผ่อนคลายของมันไว้ก็พอ
 
สุดท้ายนี้เราอยากจะบอกว่า นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่เราเขียนเอ็นซีได้ยาวขนาดนี้
ปกติเราเขียนแค่ 1-2 หน้าก็เต็มกลืนแล้ว แต่บอกได้เลยว่าอยากให้มันออกมาลามก
และไม่ว่าจะด้วยความน่ารักของพิกหรืออะไรก็ตาม แต่ก็ขอบคุณมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 5/5 (20/4/2558) --- จบแล้วค่ะย้ายได้เลย♥
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 20-04-2015 10:26:17
กีสสสสสสสสสสสสสสสส
ชอบๆๆๆ
ไม่รู้จะเมนต์อะไร มันรู้สึกอิ่มๆๆๆๆ
ในที่สุดในที่สุด  :hao7: :hao7: :hao7:(บ้าไปแล้ว)
ชอบเก้าจังเลยน้าาาา เหมือน(เมะ)ผู้ชายในอุดมคติเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 5/5 (20/4/2558) --- จบแล้วค่ะย้ายได้เลย♥
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 20-04-2015 10:45:16
พิกปากแข็งนะตัว.. ชอบโนบิเขาแล้วล่ะสิน้า >///< จะไม่ให้เราเขินตามก็ไม่ได้หรอกนะคะ เพราะทั้งคู่เล่นร้อนแรงกันขนาดนั้นนี่นา :jul1: ยิ่งเวลาที่พิกกระวนกระวายถึงโนบิจะเป็นอะไรที่ดูน่ารักมากๆ เลยค่ะ อ่า~ โดนคนซึนๆ อย่างพิกครองใจเสียแล้วสิคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 5/5 (20/4/2558) --- จบแล้วค่ะย้ายได้เลย♥
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 20-04-2015 12:41:37
โนบิถอดคราบแล้วเป็นอะไรที่ สกหดาสกวหาดวกส
โอยยย นี่นายตัวจริงเหรอ ทำไมฮอตขนาดนี้ Y//////////Y
 :z3: :z3:
แต่ถึงขั้นพิกไปหาถึงห้องนี่คงไม่ใช่แค่ไม่เหมือนเดิมธรรมดาแล้ว /////////
ไม่สนใจเล่าต่ออีกหน่อยเหรอพิก ///////////////
 :ling1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 5/5 (20/4/2558) --- จบแล้วค่ะย้ายได้เลย♥
เริ่มหัวข้อโดย: raviiib❁ ที่ 20-04-2015 14:12:18
พิกซึนที่สุดดดดดดดดดดดดด โนบิตะร้ายลึกมาก :hao6:
ตอนแรกนึกว่าพิกฝัน พอโนบิตะบอกว่าครั้งนั้นเท่านั้นแหละ
ขุ่นพระ!!!!!
ฮอตมาก ชอบเรื่องนี้มากกกกก จะกลับมาอ่านบ่อยๆ
ติดตามเรื่องต่อไปนะคะ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 5/5 (20/4/2558) --- จบแล้วค่ะย้ายได้เลย♥
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-04-2015 15:12:00
แหนะมาทำเป็นเขิน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 5/5 (20/4/2558) --- จบแล้วค่ะย้ายได้เลย♥
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 20-04-2015 17:07:43
อ๊าาากกกกส์
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 5/5 (20/4/2558) --- จบแล้วค่ะย้ายได้เลย♥
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 22-04-2015 00:55:18
บอกตรงๆเลยเรื่องนี้โดนใจเรามากกก ไม่ได้อ่านอะไรแบบนี้เป็นปีละ หามานานมาก ชอบมากจริงๆ
ถึงจะเป็นฟาสฟู้ดก็เอาอะ! ชอบมากจริงๆ โดยเฉพาะตอนเก้าพูดมึงกูในห้องล็อกเกอร์เนี่ย บอกเลย โดนใจโจ๋มากกกก o13


เคยอ่านอีกเรื่องนะ รีจอยสีส้มใช่มั้ย เรื่องนี้ก็ชอบ น่ารักมากก

ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆทั้งสองเรื่องนะค่ะ ขอบคุณมาก :bye2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 5/5 (20/4/2558) --- จบแล้วค่ะย้ายได้เลย♥
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 22-04-2015 02:17:01
ให้อารมณ์หมอเทนกับนัทเลย มาแบบเรียลๆ เรียบร้อยแต่พอพูดหยาบแล้วอย่างฮอต  :heaven
ตอนแรกไม่คิดเลยว่าโนบิโนบินี่จะเป็นโนบิตะกับไจแอ้น แต่คู่นี้ของจริงมาก แบบ ไม่ให้ใครแกล้งเลยนอกจากตัวเอง
ปล.ตอนแรกนึกว่าจะหักมุมว่าชานเป็นพระเอก แบบแอบรักมานาน  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 5/5 (20/4/2558) --- จบแล้วค่ะย้ายได้เลย♥
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 22-04-2015 14:30:10

NOBITA’s PART
 

 
เอาล่ะ...ก่อนเราจะทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ มีสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับผม 3 ข้อ
 

ข้อที่ 1. ผมไม่ใช่คนหยาบคาย
ข้อที่ 2. ผมไม่ใช่คนถ่อย
ข้อที่ 3. ผมเป็นผู้ชาย ( ที่สามารถเปิดใจยอมรับได้แม้ว่าคนที่มีอะไรด้วยจะเป็นผู้ชายก็ตาม )
 

แล้วทำไมผมถึงทำอย่างนั้นกับพิกน่ะหรอ?
ก็คุณดูที่เขาพูดกับผมสิ
 

ไอ้เหี้ย , ไอ้สัตว์  สารพัดจะสรรหาคำมาด่า
 

ฟังดูแล้วมันน่ารักเหรอ? หรือยังไง? ผมไม่ค่อยเข้าใจตรรกะของเขาเท่าไหร่...
และถึงแม้จะเป็นคนที่มีความอดทนสูงกว่า ท้าพนันได้เลยว่ายังไงก็ทนไม่ไหวหรอกครับ
 

ก็ทำตัวน่าหมั่นไส้ซะขนาดนี้...
ชอบพูดจาหยาบคาย ทำตัวไม่ดี มันต้องโดนกันซักที...
 
 

เอาให้สาสมกับที่ชอบทำกิริยาอย่างนั้นกับคนอื่นเขา..
 
 
 

“มึงเป็นเกย์หรอวะ...”

 

นึกย้อนไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนที่เรานั่งพิงหลังกันด้วยร่างชุ่มเหงื่อหลังจากเพิ่งทำกิจกรรมเสร็จหมาด ๆ พิกก็เป็นคนถามขึ้นมาในความเงียบ ผมรู้แก่ใจดีว่าที่เขาทำอย่างนี้ เพราะไม่อยากมองหน้าผมที่เพิ่งทำให้เขาเสียศักดิ์ศรี(มาหลายครั้ง) แต่ยังไงล่ะ ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว จะปล่อยให้เขาหนีกลับไปดื้อ ๆ แล้วมาเจอหน้ากันตอนเรียนแบบอึมครึมโดยไม่เคลียร์อะไรกันให้เป็นเรื่องเป็นราวอย่างนั้นน่ะเหรอ
 


ไม่ใช่นิสัยผมหรอก...
 

“เปล่าครับ ไม่ได้เป็น” ผมพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบเศษแว่นที่แตกเป็นเสี่ยงบนพื้นมาพลิกดู …นี่กรอบเบอเบอร์รี่อันโปรดซะด้วย เสียดายชะมัด
 

“ไม่ได้เป็นแล้วทำไม....”
 

น้ำเสียงของเขาแผ่วลงในตอนท้าย ผมเข้าใจเขานะ...ถึงจะเป็นกับคนอื่นแต่มาเจอเรื่องแบบนี้ก็คงสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย ตอนนี้พิกเงียบเสียงไปแล้ว ผมเห็นเงาที่ทอดผ่านมาด้านข้าง เขากำลังผงกหัวลงทำเอี้ยวหน้ามามอง ท่าทางจะรอคำตอบของผมอย่างใจจดใจจ่อ...
 

“ทำไมถึงทำกับคุณอย่างนั้นตั้งสองสามครั้งน่ะหรอ?” ผมพูดพลางหัวเราะในลำคอ “ก็คง...ติดใจล่ะมั้ง”
 

เชื่อเถอะว่าที่พูดออกมานั่นไม่ได้หวังจะเอาใจเขาเหมือนเวลาที่นอนคุยกับสาว ๆ หลังเพิ่งทำกิจกรรมเสร็จหรอก แต่เพราะเขาถามออกมาตรง ๆ ผมก็เลยตอบออกไปตรงๆตามใจคิด แต่ก็นั่นแหละ คำตอบนี้ทำให้ผมต้องแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเอง ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่นึกสงสัย ผมก็พยายามหาเหตุผลอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ติดใจเจ้าของผิวสีแทนนี่นัก...
 

อ่า...ยอมรับก็ได้ว่าคงจะติดใจที่ได้เอาคืนให้หมอนี่ร้องไห้น้ำตาแตก...
 

นี่มันความแค้นส่วนตัวหรือเปล่านะ?
โรคจิตเป็นบ้าเลยว่าไหม?
 

“....ติดใจ?” เงาของเขาโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วตอนนี้ ถ้าให้ทายเขาคงกำลังทำท่ากอดเข่าตัวเองแล้วกุมขมับอยู่ “มึงแม่งโคตรบ้า บ้าของบ้าเลยไอ้เหี้ยเอ้ย”
 

“ก็บ้าน่ะสิ” ผมอมยิ้มอีกทีกับตัวเอง ก่อนจะเอนตัวพิงเขาให้มากกว่าเดิม “พูดไม่เพราะอีกแล้วนะ...”
 

“ขอทีเหอะ” พิกแหวขึ้นมา “ไอ้เรื่องพูดเพราะไม่เพราะนี่จะเอาให้เป็นประเด็นยันเรียนจบเลยไหม? พูดอย่างนี้อยู่ได้...”
 

“พูดอย่างนี้หมายความว่า...จะเอากันไปยันเรียนจบเลยหรอครับ?” ผมชิงถามสวนขึ้นทันทีก่อนที่เขาจะสบถคำหยาบคายอะไรออกมาอีก เชื่อไหม นาทีนี้ ตอนนี้ เวลานี้ ที่เราอยู่ด้วยกันแค่สองต่อสองอย่างนี้ แม้แต่จะเอนตัวนาบหลังให้ติดกับผิวผมอย่างแนบแน่นเขายังไม่กล้าเลย...
 

แล้วนับประสาอะไรกับจะลุกขึ้นมาต่อย ไม่มีทางหรอก...
 


“กูไมได้หมายความว่าอย่างนั้นสิวะ!”
 

“...”
 

“กูหมายถึงกูก็เป็นของกูอย่างนี้ จะห้ามให้กูไม่พูดหยาบคายกับเพื่อนมันก็กระดากปากไหม จะให้ครับ ๆ แบบมึง กูทำไม่ได้ มันไม่ใช่--”
 

“พิกเห็นผมเป็นเพื่อนด้วยหรอ?” เป็นผมเองที่ทนไม่ได้สุดท้ายก็ต้องหมุนตัวกลับไปแล้วจับไหล่เขาให้หันมาเผชิญหน้ากันตรง ๆ “ว่าไง?”
 

“ก็เออสิ” เขาเสหน้ามองไปทางอื่น “แต่มึงก็ยังทำกับกูได้...”
 

“ฮ่าฮ่าฮ่า...”
 

ผมหัวเราะออกมาเลย หัวเราะดังมาก ดังพอ ๆ กับเสียสบถแล้วก็ท่าทีมึนงงของพิกที่ตะโกนผ่านสีหน้าของเขาในตอนนี้
 

“หัวเราะเหี้ยอะไร ตลกมากนักหรอ”
 

“เปล่าหรอกครับ”
 

“แล้วหัวเราะทำไม”
 

“เปล่า...”  ผมส่ายหัว กลืนเสียงหัวเราะลงคอแล้วพยายามปรับสีหน้าให้จริงจังมากขึ้น “เอาอย่างนี้แล้วกัน...”
 

“เอาอะไร”
 

“คิดซะว่านี่เป็นการจ่ายค่าเสียหาย ค่าเหล้า ค่าเบียร์ ที่คุณติดหนี้ผมอยู่...”
 

“เท่าไหร่” พิกขมวดคิ้วแน่น “ทั้งหมดเท่าไหร่”   
 

“จำไม่ได้หรอกครับ...แต่ก็แพงมากพอสมควร” ผมเลียริมฝีปาก “ทำหน้าอย่างนั้นทำไมครับ หรือจะให้ส่งจดหมายไปหาผู้ปกครองที่บ้านแทนล่ะ?”
 

พิกถอนหายใจออกมาแรงมาก แถมยังกลอกตาทำหน้าเหมือนกับโลกแตกได้จริงๆถ้าหากผมตัดสินใจทำอย่างที่พูดขู่ เขาเม้มริมฝีปากอิ่มนั่นเข้าหากันแน่น แล้วกัดปากทำเสียง ฮึ่ย เบาๆในลำคอ
 

“อย่าเชียวนะ”
 

ให้ตายเถอะ ยิ่งเห็นเขาทำอย่างนั้นยิ่งอยากแกล้งเข้าไปใหญ่ ผมหัวเราะหึเบาๆก่อนจะแสร้งทำเป็นกอดอกเลิกคิ้วแล้วทำท่าเหมือนลำบากใจมากกับจำนวนเงินที่เขาติดผมอยู่
 

“แล้วคุณมีเงินจ่ายหรือไง...มันแพงมากนะครับ”
 

“โอ้ย รู้แล้วว่าแพง...ไอ้ห่า ย้ำอยู่นั่น” พิกตะโกนขึ้นมาอีกแล้ว ทำอย่างนี้ไม่รู้ตัวหรือไงว่ามันน่าหมั่นไส้จนต้องหาทางแกล้งแรง ๆ “แล้วจะให้ทำไง ต้องจ่ายเป็นก้อนเลยหรอ ผ่อนไม่ได้เลยหรือไง”
 

ให้ตายเถอะ ผมคงจะเป็นโรคจิตเข้าแล้วจริง ๆ ยิ่งเห็นเขามีอารมณ์เพราะคำพูดของผม ก็ยิ่งคิดว่าเขานี่ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตลกโคตร ๆ...
 

หยุดแกล้งไม่ได้เลย...
 

“ไม่ได้หรอกครับ...” ผมยังคงกอดอกอยู่อย่างนั้น แต่เพิ่มระดับความจริงจังของสีหน้าขึ้นมาอีกเท่าตัว  “นอกซะจาก...”
 

“นอกซะจากอะไร?” สีหน้าของเขาดูมีความหวังมากขึ้นประมาณ 1 %
 

“ถ้าคุณยอมสัญญาว่าจะไม่บอกใครเรื่องที่ผมไม่ได้เนิร์ดจริง...ผมจะยอมให้คุณผ่อน”
 

“...”
 

“แต่ถ้าคุณยอมสัญญาแล้วก็ยอมให้ผมเอาด้วย...ไม่ว่าที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ผมต้องการ...” 
 

“....”
 

“ผมจะยกหนี้ให้หมดเลย...”
 
 


 
 
 
 
มีใครเคยบอกหรือเปล่า...ว่าถ้าคนอย่างผมเอ่ยปากออกมาแล้วจะไม่ยอมกลับคำคืนง่ายๆ
 

นับจากวันนั้นมาถึงวันนี้เรื่องราวของผมกับพิกก็พัฒนาขึ้นอีกเป็นลำดับ(?) เริ่มต้นที่เราลากันด้วยประโยคเจ็บ ๆ คัน ๆ แต่ก็มันส์เพราะเขายอมโอนอ่อนให้ผมอีกครั้ง ใช่ พิกยอมผม แล้วทำไมจะต้องไม่ยอมด้วยล่ะ ในเมื่อหนี้ที่เขาติดผมน่ะมีจำนวนมากขนาดนี้ว่าภายในเดือนสองเดือนนี่เขาคงไม่มีปัญญาหามาจ่ายแน่

 
จนถึงวันนี้ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว จริงๆผมควรได้ไปมหาลัยแล้วก็ทำตามข้อตกลงของเราที่ว่า ‘ถ้าอยู่ที่ม.ผมจะยอมเป็นไอ้โนบิตะให้เขาโขกสับแต่ถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนอื่นเราก็เป็นอีกอย่างตามที่ผมอยากจะให้เป็น’ แต่เพราะหลายวันที่ผ่านมานี้ ที่ร้านมีปัญหาพอสมควร นั่นจึงทำให้ผมไม่ได้โผล่หน้าไปเรียนเพราะเป็นหวัดจากการพักผ่อนน้อยในช่วงนี้
 

“แล้วนี่กินข้าวกินยาหรือยัง”   
 

ยอมรับนะว่าตกใจที่เขาเป็นคนโทรหา ก็คนอย่างพิกน่ะฟอร์มจัดจะตาย ทั้ง ๆ ที่ผมไม่โทรไปเขาก็คงจะอยู่อย่างสบายแท้ ๆ แต่ถึงกับทนไม่ได้จนต้องโทรหาเนี่ย ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่..
 

“ยังครับ”
 

ที่ตอบไปไม่ได้คิดจะทำสำออยใส่ซักนิด แต่เพราะเสียงไอโขลก ๆ ที่ดังผ่านยังปลายสายนั่น ทำให้อีกฝ่ายคิดว่าผมอาการหนักมาก น้ำเสียงของพิกฟังดูร้อนรนขึ้นทันที และนั่น...เขาพูดประโยคน่ารัก ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว
 

“เออ จะไปหามึงไง อาการมึงหนักขนาดนี้คิดว่ากูจะใจร้ายปล่อยให้มึงนอนป่วยได้โดยไม่แดกอะไรทั้งวันเลยหรอ” 
 

ผมหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ คิดว่าเขาคงไม่ได้ยินหรอก แต่ถ้าให้เดาว่าตอนนี้พิกกำลังทำหน้ายังไง ผมคิดว่าเขาคงขมวดคิ้วแล้วเดินวนอยู่หน้าห้องแล็คเชอร์แน่ ๆ
 

พิกที่ผมรู้จักไม่ใช่ทั้งที่คนขยันและละเอียดอ่อน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ใจดี แล้วก็ดีในแบบที่เขาไม่รู้ตัว (รวมไปถึงซื่อบื้อเล็ก ๆ ด้วย) และถ้าจะคิดหาเหตุผลอะไรที่ผมยอมทำตัวเป็นโนบิตะให้เขาเล่นหัว ก็คงเป็นเพราะสองสามข้อที่ว่ามานั่นล่ะ
 

“รีบมานะครับ...คิดถึง”
 

ผมกระซิบโค้ดลับของเราก่อนจะยกหูออกมากดวางสายแล้วโยนเจ้าเครื่องมือสื่อสารนี่ไว้ซักที่บนเตียง ก่อนความเย็นจากเครื่องปรับอากาศในอุณหภูมิ 25 องศาจะทำให้ความงุนง่วงเข้ามาครอบงำให้เปลือกตาหนักอึ้ง และในที่สุด....
 
 

 
 



 
“ลุกขึ้นมาแดกข้าว!”
 

ผมกระพริบตาถี่ๆทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มคุ้นหู งัวเงียลุกขึ้นมาไม่เห็นว่ามีใครอยู่ในห้องนอนจึงลุกตามเงาที่เดินผ่านไปยังห้องครัว และแล้วก็ปรากฏภาพผู้ชายผิวแทนคนหนึ่งที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์ พิกที่ยืนในสภาพมึนงงทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว
 

“แค่กๆๆ...เข้ามาได้ยังไง?” ไอโขลก ๆ เสียงดังเป็นเชิงทักทายคนมาใหม่ ผมเอ่ยถามพลางเดินไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร ก่อนพิกที่กำลังง่วนกับการแกะถุงโจ๊กจะหันมาเท้าสะเอวเอียงหน้าแล้วส่งค้อนวงใหญ่มาให้
 

“เข้ามาได้ยังไง?” เขาทวนคำแล้วเดินถือชามโจ๊กควันฉุยมากระแทกลงตรงหน้า “ลุงยามพาขึ้นมา แล้วเนี่ยกูหาโทรจนสายแทบไหม้ ประตูก็ไม่ล็อค จะให้โจรเข้ามาปาดคอตายก่อนหรือไง”
 

ดูเอาเถอะ ถามดีๆแต่โดนสวนกลับมาเป็นคำด่า แล้วอย่างนี้จะไม่ให้แกล้งได้ยังไง
 

ผมเลิกคิ้วมองชามโจ๊กสลับกับมองคนตรงหน้า พิกเดินอ้อมมาทรุดตัวลงบนเก้าอี้ที่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะก้มลงค้นบางอย่างในกระเป๋าของเขาออกมาวางแล้วเลื่อนส่งมาให้
 

“แดกข้าวแล้วแดกยา เข้าใจไหม จะได้หายไว ๆ”
 

 “ดูแลดีจริง” ผมยักไหล่ “เพราะติดหนี้อยู่...แค่ก ๆ...หรือหลงเสน่ห์ผมแล้วกันแน่”
 

พูดจบก็ต้องกลั้นขำเลยครับ เพราะเขาชูนิ้วกลางมาให้ผมแบบเน้น ๆ เลยทีเดียว
 

“ไม่สบายยังมีหน้ามาพูดจา....เอานิ้วกลางกูไปแดกนี่ ข้าวยาอะไรไม่ต้องแดกแล้ว เอาคืนมาให้หมด”
 

ผมเอื้อมมือไปคว้ามือของเขาที่ทำท่าจะแย่งชามกลับไปทันที พิกมองมาตาขวาง ท่าทางของเขาดูจะไม่ชอบเวลาโดนผมล้อเล่นแรง ๆ ซะจริง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเสน่ห์ของเขาล่ะ พวกเราเล่นเกมจ้องตากันอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ จนผมไล้นิ้วทำปูไต่ใส่หลังมือเขานั่นล่ะ ไจแอนท์ของผมถึงกับชักมือกลับแทบไม่ทัน

 
“ผมจะกิน” เขายอมปล่อยมือจากชามแล้วแต่ยังชูนิ้วกลางส่งมาไม่เลิก “แล้วถ้ายังไม่เลิกทำมืออย่างนั้นอีกจะกัดให้ขาดเลย”
 

ผมพูดประโยคตอนมีเซ็กส์ออกมาอย่างหน้าตาเฉย ผิดกับพิกที่ตอนนี้เม้มริมฝีปากอิ่มเข้าหากันแน่น เชื่อเถอะว่าเวลาหมอนี่เขินอายนั่นดูน่าแกล้งกว่าปกติขึ้นสิบเท่า ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นหูของเขาเป็นสีอมชมพู ให้ตาย...มันน่าตลกชะมัดที่ไจแอนท์อย่างเขามาทำหน้าอย่างนั้นใส่โนบิตะอย่างผม ดูเขาสิ ท่าทางจะคิดลึกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
 

“แดกให้หมด กูจะกลับแล้ว”
 

“จะไปไหนล่ะ” ผมชะโงกหน้าไปหาพิกแล้วอมยิ้ม “ก็บอกแล้วไง...ว่าคิดถึง”   
 

ผมจงใจเน้นประโยคที่เป็นโค้ดลับของเรา และอาจจะเพราะโต๊ะกินข้าวไม่ได้ใหญ่นักจึงทำให้ผมเห็นชัดว่าใบหน้าของเขาขึ้นสีระเรื่อยิ่งกว่าเดิม ร่างสูงโปร่งจนแทบจะเท่ากันของพิกผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที นิ้วเรียวยาวนั่นชี้มาที่หน้าผมอย่างคาดโทษ ก่อนจะหันหลังไปทึ้งหัวเหมือนที่กำลังคนขัดใจแต่ทำอะไรไม่ได้
 

“อ๊ากกกกกกกก มึงงงงงงงงง”
 

ผมลอบหัวเราะเบา ๆ พิกก็เป็นอย่างนี้ทุกที ปากมอมไปอย่างนั้นเอง แต่เอาเข้าจริงเวลาเจอคนที่เหนือกว่าก็ทำอะไรไม่ได้ ( ผมขอจำกัดความตัวเองให้เป็นคนที่เหนือกว่าเขาแล้วกัน ) จนถึงตอนนี้เขาก็ยังชี้หน้าผมไม่เลิก แม้จะเดินวนจนรอบโต๊ะอาหารแล้วก็ตาม
 

“ครับ?”
 

“ยังจะมาครับอีก แดกไปเลย กูจะไปนั่งดูหนังรอ”
 

พูดจบก็สะบัดหน้าไปทางห้องนั่งเล่น พอเห็นว่าเขาไม่อยู่แล้วผมก็ขำจนตัวโยน
 

คิดไม่ผิดเลยที่ยื่นข้อเสนออย่างนั้นไป....
 
 
 

 
 
อีกครั้งแล้วที่เขาทำให้ผมต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ หลังจากจัดการอาหารมื้อแรกของวันเสร็จผมก็ทานยาตามที่เขาบอก แต่พอสังเกตว่าห้องนั่งเล่นไม่มีเสียงทีวีอย่างที่อีกคนบอกว่าจะหนีมาดูเลยต้องลากสังขารไปหาทั้งยังมึนๆ เพื่อดูว่าทำไมอีกคนถึงเงียบไปอย่างนี้
 

“ทำอะไรน่ะ?”
 

ผมเอ่ยทักออกไปเมื่อเห็นว่ามีวัตถุสีแทนนั่งยอง ๆ เป็นก้อนอยู่หน้าทีวี พิกหันขวับกลับมามองตามเสียงเรียกตาขวาง ก่อนจะถอนหายใจยาวเป็นพรืดแล้วหยิบถุงขนมเปล่าชูขึ้นมาระดับหน้า
 

“เก็บขยะให้มึงไง” เขาขมวดคิ้วใส่ “รกอย่างกับป่าดงดิบอย่างงี้ถ้าบอกว่าให้ห้องมึงมีงูกูก็เชื่อ”
 

ผมเลิกคิ้วฟังคำด่าของเขาอย่างประหลาดใจ คนอย่างพิกเนี่ยนะมาเก็บขยะให้ผม? เห็นเขาง่วนอยู่อย่างนั้นท่าทางตั้งใจเลยต้องเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ...อืม...ขยะเยอะจริงๆแฮะ
 

“ทำไมกินแล้วไม่รู้จักเก็บบ้างเลยวะเนี่ย นี่ห้องมึงรกมากจนเห็นแล้วทนไม่ได้ มีถุงเปล่าอีกใบไหม ไปเอามาให้หน่อยจะเคลียร์ตรงนี้ให้”
 

“ไม่ต้องหรอก...แค่กๆ” ผมกอดมองเขาที่แหงนหน้าขึ้นมาสบตา ก่อนจะไอโขลกๆแล้วส่ายหน้าให้ “ปล่อยไว้เถอะเดี๋ยวแม่บ้านก็มาเก็บ”
 

“ได้ไง!” เขาแหวขึ้น “ไม่อายเขาบ้างหรือไงทั้ง ๆ ที่ห้องรกขนาดนี้”
 

“เขาก็มาเก็บเป็นปกติอยู่แล้ว” 
 

“งั้นก็แปลว่าห้องมึงรกเป็นปกติเลยสิ” พิกถอนหายใจแล้วมองมาทางผมอย่างเหลือเชื่อ “ไอ้โนบิตะคนจริงจัง เรียนเก่งอย่างมึง...ไม่คิดเลยนะว่าจริงๆแล้วจะเป็นคนไร้ระเบียบอย่างนี้”
 

ให้ทายว่าเขากำลังทำสีหน้ายังไง ใช่ครับ สีหน้าของพิกดูภูมิใจมากที่ได้เหนือกว่าผมขึ้นมาอีกเรื่องนึง เจ้าของผิวสีแทนนั่นยักคิ้วหลิ่วตามาให้ เขาทำให้ผมรู้สึกราวกับมีคำว่า Win แปะตรงกลางหน้าผากเขาเลยกับอีแค่เรื่องไม่เก็บขยะบนพื้น ไม่จัดห้องให้เรียบร้อยเนี่ย...
 


“ผมไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ทั้งเรียนทั้งทำงานเลยไม่ค่อยได้จัดการเอง” จะว่าแก้ตัวก็ได้ครับ แต่ปัจจัยอื่นนอกเหนือจากคำว่าไม่มีเวลา...ก็เพราะว่ามีคนอื่นมาช่วยทำรกนั่นล่ะ
 

ผมคิดว่าพิกกำลังนึกบ่นอยู่ในใจ (มากกว่าที่เขาออกปากบ่นผม) เขาไม่ได้พูดออกมา แต่สีหน้าของเขาบ่งบอกได้เป็นอย่างดี เขาคงไม่เข้าใจหรอก ชีวิตนักศึกษาธรรมดาไม่มีภาระอะไรอย่างเขา จะทำอะไรก็ได้หลังเลิกเรียน ผิดกับผมที่มีหน้าที่มากมายต้องรับผิดชอบ รวมไปถึงเรื่องความต้องการของตัวเองด้วย
 

“เออๆๆ เลิกแก้ตัวซักที ไม่มีระเบียบก็ยอมรับมาสิว่าไม่มีระเบียบ มายืนเถียงอยู่ได้ รีบออกไปเอาถุงมาไว ๆ เดี๋ยวจะเก็บแล้วเอาลงไปทิ้งให้”
 

ผมเลิกคิ้วมองพิกที่โบกมือไหวๆ  ตอนนี้เขาหันกลับไปจัดข้าวของที่วางกองระเกะระกะอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่แทนที่ผมจะทำตามคำที่เขาสั่ง ขามันกลับเดินไปซ้อนที่ด้านหลังแล้วโน้มตัวลงไปคร่อมเขาไว้ก่อนจะเอาคางเกยที่ไหล่ลาดนั่นแทน
 

“ทำเหี้ยอะไร!”
 

สาบานได้เลยว่าพิกสะดุ้งสุดตัว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เกร็งตัวนิ่งตอนที่ผมสอดมือเข้าไปกอดเอวสอบนั่นไว้ เชื่อเถอะว่าผมออกแรงดึงแค่นิดเดียวเขาก็ยอมเซลงมานั่งเอาหลังแนบอกผมแล้วยังยอมให้จูบฟัดไปทั่วทั้งต้นคอสีแทนนั่นอีก
 

“ไม่ต้องทำแล้ว...ก็บอกแล้วไงว่าคิดถึง” ผมกระซิบโค้ดลับของเราเบา ๆ กับไหล่ลาดของเขาก่อนจะกดจูบลงไปแรง ๆ
 

คิดถึง ใช่ คิดถึงนั่นล่ะโค้ดลับของเรา เป็นคำที่ใช้แทนความหมายของความรู้สึกที่ว่า ‘อยากเอา มาเอากันเถอะ’ อะไรประมาณนั้น...และแน่นอน ไม่มีความรู้สึกมาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย...
 
“ค...คิดถึงเหี้ยอะไร...ห้องรกขนาดนี้...” พิกบ่นอย่างไม่จริงจังพลางขยับตัวยุกยิกในอ้อมกอด ผมเห็นลางๆ ว่ามือเรียวคู่นั้นเอื้อมมาแตะกับหน้าผากของผมเบา ๆ “ตัวร้อนจี๋เลย...ไข้ขึ้นขนาดนี้ยังจะเสือกขี้เอาอีกนะมึง”
 

“....”
 

“ไปนอนพักไหม?”
 

เสียงทุ้มขึ้นจมูกของเขาดังขึ้นเมื่อผมโน้มหน้าลงไปซบกับไหล่ลาดนั่นแบบเต็ม ๆ อา...ในหัวตอนนี้มันร้อนแล้วก็เต้นตุบ ๆ อย่างที่เขาบอกจริง ๆ นั่นล่ะ  คงจะปฏิเสธแรงพยุงที่ทุลักทุเลจากพิกไม่ได้แล้วล่ะมั้ง?
 

“นอนพักซะ”       
 

นับในใจได้ไม่ถึงสามวินาทีหน้าผมก็แนบสนิทลงกับหมอนขนเป็ดอีกครั้ง แต่คราวนี้มีไจแอนท์ของผมนั่งลงที่ข้างเตียงและกำลังเอื้อมมือมาห่มผ้าให้ถึงอกอีกด้วย
 
“จะกลับแล้วหรอ”
 

ผมกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบอะไรนอกจากหรี่ตามอง ผมจึงกระตุ้นด้วยการเอื้อมมือไปแตะลงบนหลังมือเขาเบา ๆ
 

“ยัง” พิกพรั่งพรูลมหายใจออกมา ก่อนจะทำหน้าเหมือนเสียไม่ได้ “จะอยู่ดูก่อนว่าอาการมึงหนักมากไหม แต่ถ้าทนไม่ไหวก็เรียกแล้วกัน จะพาไปโรงพยาบาล”
 

“โอเค”
 

แค่นั้นแหละครับไม่มีการรั้งเอาไว้อย่างที่คุณคิดหรอก...
 

มันเป็นเรื่องธรรมดานะว่าไหม? ไม่มีใครชอบการอยู่คนเดียวโดยเฉพาะเวลาที่ป่วยหรอก และผมก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดา ผมยอมรับตรง ๆ ก็ได้ว่าเหงา พิกทำให้ผมรู้สึกว่าคงจะดีถ้ามีใครมาเดินเพ่นพ่านในห้องบ้างนอกจากเวลาที่พามานอนค้างเท่านั้น...
 

อาจจะเป็นเพราะว่าเรารู้ความลับของกันและกัน...
นั่นจึงทำให้ผมไว้ใจเขาขึ้นมาอีกระดับ                 
 

ความสัมพันธ์แบบนี้มันน่าตลกดีนะ...   
 
 
 

 
บ่ายคล้อยกว่าแล้ว แต่เครื่องปรับอากาศในห้องนอนยังคงทำงานหนักตามหน้าที่ของมัน เป็นปกติที่ห้องของผมจะเงียบงันในช่วงเวลาอย่างนี้ ใช่ ที่จริงห้องนี้ก็เป็นแค่ที่ใช้ซุกหัวนอนเท่านั้นล่ะ เพราะชีวิตกว่าค่อนวันของผมส่วนมากก็หมดไปกับที่ร้าน มันจึงไม่แปลกนักหรอกที่ห้องผมจะให้ความรู้สึกจืดชืด ไร้สัญญาณการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตแบบนี้
 

แต่วันนี้แปลกไป …
 

หลังจากบิดตัวบนที่นอนเพื่อสลัดความเมื่อยขบ หับมาก็พบว่ามีผ้าขนหนูหมาดน้ำผืนหนึ่งตกอยู่ข้าง หมอน เสียงกุกกักที่ดังอยู่ด้านนอกบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าแขกคนเดียวของบ้านในตอนนี้ยังไม่ไปไหน นอกจากจะมีน้ำใจเข้ามาดูแลผมตอนหลับแล้ว ก็คงจะเก็บห้องอย่างที่เจ้าตัวเคยว่าไว้นั่นล่ะ
 


มีต่อ

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 5/5 (20/4/2558) --- จบแล้วค่ะย้ายได้เลย♥
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 22-04-2015 14:30:29
“ทำอะไรน่ะ”
 

ไม่รู้ว่าพูดประโยคนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวัน แต่พิกก็ทำให้ผมประหลาดใจได้ทุกครั้งจนต้องเอ่ยปาก คราวที่แล้วเขาทำอะไรนะ อ้อ! เก็บขยะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะลามปามกันไปใหญ่ เขาทำให้ผมถึงกับสบถออกมาเป็นคำหยาบเบา ๆ เมื่อเห็นว่าในมือเขามีบางอย่างที่ไม่ควรถือ
 

“ซักผ้าไง....นี่มึงใส่อะไรพวกนี้ด้วยหรอ?” เขาตอบก่อนจะชูชั้นในซีทรูสีดำขึ้นมาในระดับหน้า
 

มันไม่ใช่ของผม... เป็นของคู่นอนคนก่อน ๆ ที่ลืมเอาไว้ต่างหาก แต่แล้วคำแก้ตัวก็ต้องกลืนหายลงคอไป เมื่อเขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหยิบบ็อกเซอร์เควิลไคลน์ของผมขึ้นมาจากน้ำแล้วขยี้ต่อ
 

“หยุดเดี๋ยวนี้เลย!” ผมถลึงตาแล้วก้าวอาดๆเข้าไปแย่งชั้นในของตัวเองออกจากมือเขา
 

จะบ้าตาย! นายภาษิตกำลังทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้น นี่จิตใจเขาทำด้วยอะไรกัน ทำไมถึงได้ลุกขึ้นมาซักถุงเท้า ซักชั้นในให้คนอื่นได้หน้าตาเฉยอย่างนี้... 
 

จนถึงตอนนี้เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นไจแอนท์ขึ้นมาจริง ๆ ก็ไจแอนท์น่ะ ทำงานบ้านเก่งสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือไง?
 

“ไม่ต้องอายหรอกน่า ก็เสื้อผ้ามึงกองเป็นภูเขาอย่างนั้น กูเห็นแล้วทนไม่ได้เลยเอามาซักให้” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่น้ำเสียงของเขาน่ะทำให้หน้าผมเห่อร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “มีอะไรจะซักอีกไหม รีบไปเอามาสิ กูจะซักให้”
 

“ไม่ต้องเลยนะ” ผมย่อตัวลงไปเลื่อนกะละมังออกจากเขาที่นั่งยอง ๆ อยู่บนพื้นห้องน้ำ “ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
 

“เอ้า! อะไรเนี่ยมาขัดกูทำไม กูจะซักผ้า”
 

ไม่รู้จะพูดอะไรเลย ให้ตายเถอะ! ผมยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองแกรก ๆ จนถึงตอนนี้พิกก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เขาทำน่ะ เรียกว่า 'ดูแลสามี'  ดี ๆ นี่เอง
 

“ลุกครับ ไม่ต้องซักแล้ว...ขอร้องล่ะ”
 

เขาทำให้ผมอาย ผมก็ยังเป็นคนธรรมดาอยู่นะที่จะเขินเมื่อมีคนมาทำอะไรอย่างนี้ให้ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน พระเจ้า! หน้าผมเห่อร้อนจนแทบจะระเบิด ตอนนี้เขาทำตัวอย่างกับเป็นผมเมียเลย นี่ขนาดผู้หญิงที่ผมนอนด้วยยังไม่เคยลุกขึ้นมาทำอะไรอย่างนี้ให้ด้วยซ้ำ!
 

“แต่กู--”
 

ก๊อก  ก๊อก ก๊อก
 

และแล้วเสียงเคาะประตูก็ทำให้พวกเราต้องชะงักค้าง ผมผ่อนลมหายใจออกก่อนจะกลอกตามองเพดานแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำทั้งยังรู้สึกแปลก ๆ ไม่หาย ให้ตายเถอะ เขาไม่ฟังผมเลยแม้แต่น้อย เสียงซักผ้ายังคงดังก้องไปทั่วแม้ผมจะเดินมาถึงหน้าประตูของห้องชุดแล้วก็ตาม
 

“เชี่ยเก้า!!”
 

ผมเบิกตาโพลง มองผู้มาใหม่ที่โผเข้าตัวเข้ามาหาทันทีที่ประตูเปิดออกอย่างงงๆ  เธอดึงผมเข้าไปกอดแน่น ก่อนจะซุกหน้าฝังกับอกให้กระหม่อมบางนั่นจรดกับปลายคางของผม
 

“เนย มาได้ยังไงครับ?” ผมเอ่ยทักก่อนจะผละร่างบางนั่นออกมามองหน้า
 

“เนยลืมพาวแบงก์ไว้ค่ะ” เธอตอบพลางสอดส่ายสายตาหาอุปกรณ์ที่ลืมไว้ “เมื่อวานก็ไปหาที่ร้านมาแต่คนที่ร้านบอกว่าเก้าไม่สบาย แล้วนี่หายหรือยังคะ”
 

“ยังครับ...”
 

“งั้น...” เธออมยิ้มก่อนจะลากนิ้วไล่ตามแผ่นอกผม “ให้เนยอยู่ดูแลเก้าไหมคะ เนยว่างพอดีเลยวันนี้”
 

“เอ่อ” ยอมรับนะว่าตอนนี้เสียงของผมตะกุกตะกักพอสมควร ถ้าเป็นเวลาปกติก็จะขอให้เธอช่วยอยู่ดูแลหรอก แต่เพราะมีคนทำหน้าที่นั้นอยู่...และก็ทำดีอยู่(มากๆ)แล้ว ผมจึง...
 

“...เอ่อ....สวัสดีครับ”
 

แต่แล้วระหว่างกำลังกระอักกระอ่วนได้ที่ก็มีเสียงทุ้มของใครบางคนดังขึ้นมาขัดจังหวะ เนยละสายตาจากหน้าผมไปโค้งน้อย ๆ ให้กับคนที่เพิ่งเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา ก่อนมือขวาของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังจะตบเบา ๆ ลงบนไหล่ผม
 

“นี่แฟนมึงหรอ” เขากระซิบเบา ๆ “สวยจัง”
 

เชื่อเถอะว่าพิกมองเนยตาเป็นมัน จ้องซะจนคนที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในห้องนี้ถึงกับต้องเสหน้าหันไปทางอื่นเพราะอายสายตา ผมแค่นยิ้มออกมาก่อนจะเรียกให้พวกเขาเดินตามเข้ามาในห้องนอน
 

ต้องรีบจับแยกซะแล้ว...
 

“นี่ของคุณครับ” ผมพูดพลางหยิบพาวแบงก์จากหัวเตียงมาส่งให้เนย
 

“ขอบคุณค่ะเก้า....” เธอรับมันไปก่อนจะใส่ไว้ในกระเป๋าแล้วรูดซิปปิดเรียบร้อย ”งั้นเนยกลับก่อนนะคะ” 
 

“อ้าว...ไหนบอกว่าจะอยู่ดูแลมันก่อนไงครับ” บุคคลที่สามเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องเกรงใจผมนะ อยู่ได้เลย อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนก็ได้”
 

พิกพูดออกมาทั้งยังจ้องเธอด้วยสายตาแทะโลม ให้ตายเถอะ...นอกจากจะทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของห้องนี้อีกคนแล้วยังจะหน้าหม้อไม่เลือกจนน่าหมั่นไส้อีก
 

“ไม่เป็นไรค่ะ เก้าก็มีเพื่อนอยู่ด้วยแล้วนี่นา งั้นเนยกลับก่อนนะคะ ไว้จะมาค้างด้วยใหม่” เธอบอกลาอีกรอบโดยการเขย่งตัวขึ้นจูบที่แก้มผมเบา ๆ ก่อนจะหันมาโบกมือบ้ายบายพิกที่ทำตาละห้อยเหมือนเพิ่งเสียของรัก
 

น่าหมั่นไส้เป็นบ้า...
 

“แม่เจ้าโว้ยยยย  แฟนมึงโคตรเอ็กซ์เลย ไปหามาจากไหนเนี่ยยยยยยย”
 

ประตูปิดลงแล้ว เนยกลับไปแล้วพิกถึงได้กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา ดูจากสีหน้าของเขา คงอยากจะได้เบอร์เธอจนตัวสั่นเลยสินะ แต่ก็นั่นแหละ เพราะผมไม่ชอบแบ่งของกับใคร และพิกก็ควรรู้ไว้ว่าเขาก็เป็นของๆผมเหมือนกัน ผมถึงได้ลากเขาออกมาจากประตูทั้งยังยืนเพ้ออยู่แบบนั้น
 

ทำหน้าทำตาแบบนี้มันน่าหมั่นไส้เกินไปแล้ว...
 

“หยุดพูดถึงเธออย่างนั้นเลย ถึงเธอจะไม่ใช่แฟนผมแต่เราก็คุยกันอยู่” ผมพูดพลางกดไหล่เขาให้นั่งลงกับโซฟา พิกขมวดคิ้วหากันแน่น ก่อนจะจ้องมาที่หน้าผมแล้วเบะปากออกมาทีนึง
 

“แล้ว...จะมีอย่างงี้อีกไหมอะ ถ้ามีก็แนะนำให้เพื่อนอย่างกูบ้างดิ” 
 

ขอทีล่ะ... นี่เขาไม่รู้ตัวหรือไงว่ากำลังพูดอะไรออกมากับคนที่เขาตกลงสัญญาจะมีเซ็กส์ด้วย ? ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเองทีนึง ก่อนจะพยายามจะสลัดไล่ความรู้สึกหมั่นไส้เขาออกไปแล้วทรุดตัวลงหันไปจับไหล่ลาดนั่นไว้แน่น
 

“พิก” ผมว่าเสียงเรียบ
 

“หืม? พูดมาดิรอฟังอยู่...จะบอกว่าที่ร้านมีแบบนี้อีกเพียบใช่ไหม?...” ดวงตาของเขาเป็นประกาย

 
“....”
 

“ถ้าที่ร้านมีแบบนี้อีก...งั้นกูขอไปทำงานที่ร้านมึงด้วยได้ไหมอะ แบบว่าทำงานใช้หนี้ไรงี้ไง”
 

ให้ตายเถอะ ผมไม่รู้จะพูดอะไรกับคนที่เคยบอกว่ารักพี่พลอยอย่างโน้น รักพี่พลอยอย่างนี้เลย น่าหมั่นไส้ซะจนต้องเอื้อมมือไปดีดหน้าผากให้หยุดพูด... คนอะไรหน้าหม้อเป็นบ้า

 
“โอ้ย! เจ็บนะไอ้เหี้ย” เขาสบถเสียงแข็ง พลางลูบหัวปอย ๆ

 
“ก็ทำให้เจ็บน่ะสิ” ผมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ “แต่จะไปทำงานกับผมก็ได้นะ”
 

“เฮ้ยยยย จริงอะ” สีหน้าของพิกตอนนี้ดูตื่นเต้นซะจนอยากดีดหน้าผากนั่นให้ช้ำอีกซักรอบ

 
“จริง...แต่ไม่จ่ายเงินนะ”
 

“ห๊ะ?”
 

“ก็ไปทำงานใช้หนี้ไม่ใช่หรือไง?” ผมกอดอกแล้วเอนหลังกับพนัก ก่อนจะจ้องเขาที่กำลังลังเลใจอย่างหนัก “จะเอายังไง ยังอยากไปทำอยู่ไหม?”
 

“ไม่อะ” พิกหัวเราะออกมาแฮ่ะๆ “ลืมไปเลยว่าแม่เคยบอกว่าไม่ชอบให้ทำงานกลางคืน”
 

“เหรอ” ผมเลิกคิ้วข้างนึงแล้วยื่นหน้าไปหาเขา “ไม่อยากทำแล้วจริงๆน่ะหรอ?”

 
“เออ” เขาตอบกลับมาก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากโซฟา แต่ไม่ทันจะได้เดินผ่านหน้า ผมก็คว้าเอวสอบนั่นไว้แล้วออกแรงดึงให้มานั่งซ้อนลงบนตักทันที
 

“มึงทำอะไรเนี่ย กูจะไปซักผ้าต่อ”
 

เขาบ่นงิ้งเบา ๆ แต่ผมไม่สนใจหรอก ตอนนี้เรี่ยวแรงผมกลับคืนมาเกือบร้อยเปอร์เซ็นแล้ว และโทษฐานที่เขาทำให้ผมต้องอดทนต่อความน่าหมั่นไส้  ผมจะลงโทษเขาให้รู้ซึ้งไปเลยว่าก่อนจะหม้อใครให้หันมามองหน้าเจ้าของตัวเขาอย่างผมซะก่อน 


“เฮ้ยยยย”

 
พิกร้องแหวทันทีที่ผมพลิกตัวดันร่างเขาลงจนหลังแนบกับเบาะนุ่ม ผมแยกขาเขาออกแล้วแทรกตัวเข้าไปหา ใบหน้าเนียนนั่นขึ้นสีทันทีที่ผมก้มลงไปเล็มเบา ๆ ที่ริมฝีปากล่างของเขา โซฟาตัวโปรดของผมแคบลงไปถนัดเมื่อผู้ชายสองคนนอนเบียดกันในท่าทางล่อแหลมอย่างนี้
 

“เฮ้ยมึงจะทำอะไร มึงป่วยไม่ใช่หรือไง”

 
พิกขมวดคิ้วจ้องเขม็งก่อนจะออกแรงดันอกผมเบา ๆ แต่ผมไม่คิดจะตอบอะไรทั้งนั้นล่ะ ทำตัวน่าหมั่นไส้หลายรอบแล้วนะวันนี้....แถมยังทำให้ผมอายอีก แบบนี้ต้องโดนแรง ๆ

 
“อื้อออ!!” เขากรีดร้อง “อย่ากัดกู!!”

 
ใช่! ผมกัด ผมฝังหน้าลงไปกับไหล่ของเขาแล้วกัดแรง ๆ อย่างไม่มียั้ง พิกยังคงปัดป่ายมือเพื่อดันหน้าผมออก กลิ่นผงซักฟอกและสัมผัสเหนียว ๆ ที่ฝ่ามือนั่นทำให้ผมถึงกับต้องชะงักและหันมารวบมือเขาไว้เหนือหัว

 
“ทำไมไม่ล้างมือก่อนออกมาข้างนอก”
 

มือเหนียวขนาดนี้แน่นอนว่าเขาไม่ได้ล้างมือก่อนออกมาแน่ ๆ
 

“เอ่อ....” เขาเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ก่อนจะหดคอลงทำท่าทีเหนียมอาย “ก็รีบวิ่งออกมาดูคุณเนยไง...ก็เลย...ลืมล้างมืออะ”
 

“....คุณนี่มัน” ผมก้มหน้าลงไปฝังเขี้ยวกับคอเขาอีกรอบ “น่าหมั่นไส้!”
 

“โอ้ย ๆ อย่ากัดสิวะ” เขาดิ้น
 

แต่ถึงจะดิ้นแรงยังไงผมก็ไม่สนใจแล้ว ผมโน้มตัวลงไปทับเขาให้ร่างกายของเราแนบสนิทกันยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะลากลิ้นเลียวน ดูดจูบแถว ๆ ซอกคอสีแทนแล้วไล่ไปถึงไหปลาร้าก่อนจะกัดมันแรง ๆ
 

“โอ้ยยย บอกว่าอย่ากัด”  เขาจิกหัวผมอีกแล้ว แต่ยิ่งทำอย่างนั้นผมยิ่งมีอารมณ์นะรู้ไหม
 

“เอามือคุณออกไปเลย” ผมจ้องเขาเขม็ง “มือเหนียวอย่างนี้อย่ามาแตะต้องตัวผม”
 

“แต่...”
 

“ไม่มีแต่!” ผมพยักเพยิดหน้าไปด้านบนหัวของเขา พิกเม้มริมฝีปาก ขมวดคิ้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำตามช้า ๆ “ดีมาก...”
 

“แต่...”
 

“แต่อะไรอีก...”
 

ผมผละหน้าออกจากแผ่นอกของเขาขณะที่กำลังงับยอดอกผ่านเสื้อเชิ้ตตัวบาง พิกนอนขมวดคิ้วจ้องต่ำลงมา ก่อนจะกระพริบตาใส่ผมปริบ ๆ
 

“จะ...จะทำตอนนี้เลยหรอ”
 

“ใช่สิ” คำถามของเขาทำให้ผมเกือบหลุดขำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องทำเป็นเข้มใส่แล้วกลั้นเอาไว้ “ก็บอกแล้วไงว่าคิดถึง”
 

“หรอ” ตอนนี้เขามองไปทางอื่นแล้ว และนั่นยิ่งเปิดโอกาสให้ริมฝีปากผมสัมผัสกับต้นคอด้านข้างของเขาได้ง่ายขึ้น “งั้นก็...ทำเบา ๆ นะมึง”
 

“....”
 

“คราวที่แล้ว...มันแรงไปอะ...มันลึก...แล้วของมึงก็ใหญ่มาก...”
 

“...”
 

“ตอนใส่เข้ามาในตัวกู...แล้วพอกระทุ้งแรงๆใช่ไหม...คือ...มันจุกอะ...เพราะมันขยายใหญ่จนคับไปหมด”

 
“...”
 

“มันเหมือนจะขาดใจเลย...กู...เฮ้ย!!!”
 

ไม่รออะไรอีกแล้ว! ไม่รออะไรทั้งนั้นแหละ ! ยังไม่ทันจบคำผมก็ปลดกระดุมกางเกงเขาแล้วกระชากจนหลุดออกมาในทีเดียว ไหน! ริมฝีปากอิ่มที่พูดจาน่ารักออกมาเมื่อกี้ ผมจะกัดให้ขาดคาปากเลย บ้าเอ้ย! เขาไม่รู้หรือไงว่าพูดอะไรออกมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่พูดออกมาแต่ละอย่างมันกระตุ้นอารมณ์คนฟังแค่ไหน!
 
วันนี้ผมจะทำให้เขาขาดใจตายไปเลย...จะไม่มีการทำเบาอะไรทั้งนั้นล่ะ
ช่างยั่วดีนัก ! น่าหมั่นไส้เป็นบ้า!!!







 
Rrrr Rrrrrrrrr
 

หลังจากผ่านกิจกรรมกระชับมิตรอย่างหนักหน่วงกับพิกจนผล็อยหลับไป ผมก็ต้องตื่นมาขมวดคิ้วทั้งยังหลับตาเพราะเสียงเรียกเข้าน่ารำคาญที่ดังกระทบโสตประสาทนั่นมันลั่นไปทั่วทั้งห้อง ผมยกเท้าตัวเองขึ้นเขี่ยเท้าเขาเป็นเชิงเรียก แต่แทนที่เขาจะรีบกระเด้งตัวขึ้นไปรับโทรศัพท์ พิกกลับเอื้อมหยิบหมอนที่ตกอยู่ข้าง ๆ มาปิดหูแล้วนอนต่อแทน
 

“ตื่นครับ โทรศัพท์คุณดังใหญ่แล้ว” ผมดีดนิ้วเข้ากับหน้าผากเขาแรง ๆ ทีนึง ได้ผล พิกตื่นขึ้นมาผ่อนลมหายใจมองค้อนผมอย่างหงุดหงิดแล้ว
 

“รู้แล้ว ๆๆๆๆ” เขากระเด้งตัวขึ้นอย่างขัดใจ “ใครโทรมาวะเนี่ยคนจะหลับจะนอน”
 

อาจจะเพราะเรารีบร้อนจนเกินไป ทำให้เสื้อผ้าถูกถอดทิ้งระเกะระกะไม่เป็นที่เป็นทาง พิกยังคงสบถเสียงแผ่วอยู่แม้ว่าตอนนี้เขาจะคว้าบ็อกเซอร์มาใส่แล้ววิ่งออกไปรับโทรศัพท์แล้วก็ตาม
 

“ฮัลโหล แม่หรอ โทรมาทำไมอะ มีอะไรกับหนูหรือเปล่า”
 

“อุบ...”  มาถึงตอนนี้ผมกลั้นเสียงหัวเราะไม่อยู่แล้ว เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะ? แทนตัวเองว่าหนูกับแม่งั้นหรอ
 

“เสือก” พิกเอาหน้าห่างโทรศัพท์ก่อนจะหันมาด่าผมแล้วล้มตัวลงนอนข้าง ๆ “ว่าไงนะแม่ พูดใหม่อีกที”
 

ผมไม่รู้หรอกว่าแม่เขาพูดอะไรออกมาบ้าง แต่เสียงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ก็ทำให้พอจะเดาได้ว่าแม่เขาไม่พอใจนักที่เขากลับบ้านเย็นย่ำอย่างนี้ พิกเบะปากทำจมูกย่น ก่อนจะเอากลอกตาแล้วเอามือถือออกจากหู
 

“โอ้ยยยย แล้วทำไมไม่ให้ลูกสาวแม่มันช่วยเก็บก่อนเล่า ทำไมต้องหนูทุกทีเลยอะ” เขาตะโกนใส่โทรศัพท์บ้างทีนี้ แต่นาทีต่อมาก็ยอมเอาหูแนบแต่โดยดี
 

“...”
 

“รู้แล้วๆๆๆ” เขาทำหน้าเหม็นเบื่อ “เดี๋ยวรีบกลับไปช่วยเก็บร้านเดี๋ยวนี้แหละ อย่าบ่นนักซี่คุณนายแม่”
 

“....”
 

“ก็ไม่มีเรียนเย็น แต่เพื่อนมันไม่สบายไงหนูเลยต้องมาดูแล....ไม่...เปล่าไม่ใช่ไอ้ชาน...ไอ้ห่านั่นมันถึกจะตาย”
 

“...”
 

“โอ้ยยยย รู้แล้วค่ะ เดี๋ยวรีบกลับไปหาเลยนะคะ อย่าตัดเงินเดือนหนูเลย แค่นี้ก็จะไม่พอยาไส้อยู่แล้ว...อื้อ...รู้แล้วล่ะ งั้นแค่นี้นะเดี๋ยวรีบนั่งแท็กซี่ไปหา” วางหูเสร็จเขาก็หันขวับมาทางผมเลย พิกชี้มาที่หน้าผมอย่างคาดโทษ “เพราะมึงคนเดียวเลยทำให้กูกลับบ้านเย็น”
 

ผมหัวเราะออกมาแล้วยักไหล่เบา ๆ “งั้นหรอ...งั้นขอโทษแล้วกันนะที่ทำให้กลับบ้านเย็น”
 

“เออ...รู้ตัวก็ดี” นาทีนี้พิกใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว เร็วพอๆกับตอนที่ผมเปลืองเขาจนเปลือยเปล่าไปทั้งตัว ด้านคนผิวแทนพอกลัดกระดุมเม็ดสุดท้ายตรงเอวเสร็จก็หันมากอดอกแล้วทอดมองมาทางผมอย่างเหนื่อยใจ “ยาที่ซื้อมาให้ก็กินตามเวลาด้วย รู้ไหม”
 

“ครับ”
 

“เอ้อ...ผ้าที่ซักค้างไว้ก็เอาลงไปปั่นด้วยล่ะ ทิ้งไว้เดี๋ยวเน่าหนอนคาห้องน้ำพอดี”
 

“ครับ”
 

“เออ...ไม่มีอะไรแล้วมั้ง” เขาทำหน้าครุ่นคิด “งั้นกลับแล้วนะ”
 

“ผมไม่ไปส่งนะ” ผมว่าออกไปเสียงเรียบ “ก็ผมไม่สบายนี่นา”
 

“เออ ทีหลังจะไม่ไปส่งก็ไม่ต้องพูดก็ได้...กูกลับเองได้ เป็นผู้ชายต้องพึ่งตัวเอง”
 

พูดจบก็หมุนตัวออกไปเลยครับ  ทิ้งให้ผมนอนหัวเราะคนเดียวอยู่บนเตียงโดยที่คิดถึงสีหน้าของเขาเมื่อครู่...
 

ยาหรอ...ผ้าหรอ...ปกติอยู่คนเดียวก็ไม่เคยมีใครมาทำอะไรให้อย่างนี้นะนี่...
จะว่าไปนอกจากจะน่าหมั่นไส้แล้วยังน่าหมั่นเขี้ยวอีกนะครับหมอนั่นน่ะ...
 

คิดเหมือนผมเลยใช่ไหมล่ะ ...
ก็พิกน่ะ...น่าสนใจเป็นบ้า
 
________________________________________
 
THE END
 
ชอบผู้ชายพูดหนูกับแม่มากกกกกก ยิ่งพูดคะยิ่งน่ารัก
ไจแอนท์นี่ก็เอาความไจแอนท์มาเลย ทำงานบ้าน ดูร้านให้แม่ มีน้องสาว 1 คน  ส่วนโนบิตะเวอร์นี้ก็.....55555   
โดเรม่อนนี่งคงไม่มีนะคะ ก็จะฮาไป 
หวังว่าจะเต็มอิ่มกันนะคะ



หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 5/5 (20/4/2558) --- จบแล้วค่ะย้ายได้เลย♥
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 22-04-2015 14:55:03
โนบิตะชอบพิกเข้าจริงๆ แล้วยังไม่รู้ตัวอีกน้าา.. ช่างหาข้ออ้างมากลบเกลื่อนการกระทำเสียจริง จุ๊ๆ :hao3: เพราะถ้าไม่มีความรู้สึกอะไรกับพิกอย่างที่บอกมาจริงๆ ก็ไม่ควรหวงตอนพิกหม้อสาวสิค้าา ><

..ต่อตอนพิเศษอีกก็ดีนะค้าา :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 5/5 (20/4/2558) --- จบแล้วค่ะย้ายได้เลย♥
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae123 ที่ 22-04-2015 15:48:37
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
จากโนบิตะผู้อ่อนแอ เป็นเบี้ยล่างของพิก
กลายเป็นชายหนุ่มสุดเท่ หื่นกาม รุนแรง เร่าร้อน
อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  :hao7:
อยากอ่านตอนพิเศษจังเลย  :mew2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : like a wife (22/4/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-04-2015 16:15:13
จะไม่ให้ความรักเข้ามาเกี่ยวข้องจริงๆหรืือเก้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : like a wife (22/4/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 22-04-2015 16:33:27
ตอนแรกว่าจะเข้ามาขอตอนพิเศษ
แต่ยังไม่ทันจะขอก็ได้แล้ววว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : like a wife (22/4/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: beautifuldead ที่ 22-04-2015 17:05:29
โอ้ยยย ต่อเถอะค่ะ
แต่แบ่บบบ...นี่เป็นโนบิตะที่น่าหมันไส้ ตั้งแต่มีโนบิตะมาเลยนะคะ 
อยากแกล้งแรงๆ ซักที ...เรื่องนี้แอ้นท์นี่เป็นนางเอกไปเลยนะคะ 555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : like a wife (22/4/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 22-04-2015 17:45:48
เร่าร้อนมากกกก  โนบิตะเวอร์นี้เร่าร้อนสุดๆอะ
ลงตอนพิเศษอีกเยอะๆนะค่ะ :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : like a wife (22/4/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MinorMa ที่ 22-04-2015 18:28:09
ขอตอนพิเศษอีกก 
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : like a wife (22/4/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 22-04-2015 18:49:34
โฮฮฮ เค้าชอบไจแอนนนนท์ แอ้นน่ารักอะ ชอบชานด้วย ส่วนนายโนบินี่แอบหมั่นไส้ ชอบเค้าละยังบอกว่าไม่ได้คิดอะไร ใจร้ายนะ เอ๊ะ หรือไม่ได้คิดจริงๆ แต่ไจแอนท์น่ารักอะ บางทีก็อยากได้ฉากกุ๊กกิ๊กกะชานบ้าง แฮ่ๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : like a wife (22/4/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 22-04-2015 19:11:16
โหยยย ทิ้งปมอ่ะ... ยังไม่รักกันอย่างเนี้ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : like a wife (22/4/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 23-04-2015 00:50:47
แน่ใจนะเก้าว่ากำลังหมั่นไส้!!! /////////////
โอ้ยย น่ารักค่ะ อยากเห็นความสัมพันธ์ของคู่นี้อีก //////////////
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : like a wife (22/4/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-04-2015 02:06:14
โนบิตะน่ารักมาก หลงรัก  :katai2-1:

ปล.ทำไมคนที่พิกชอบตอนแรกชื่อพี่พลอย แต่ทำไมพาร์ทเก้าบรรยายชื่อโซจินล่ะคะ หรือเราตกอะไรไป
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : like a wife (22/4/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mm03 ที่ 23-04-2015 08:03:14
ทำไมพิกน่ารักขนาดนี้
เราเป็นเก้า เราก็จะไม่ทน!!!
*จับฟัดรัวๆ*
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : like a wife (22/4/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-04-2015 21:09:52
นึกว่ารักกันแล้วซะอีก
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : like a wife (22/4/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 24-04-2015 17:20:01
โอ๊ยๆ...น่ารัก ฮ่าๆ
ว่าแต่...เหมือนมันยังไม่จบอ่ะครับ อารมณ์มันแบบว่าต้องมีต่อสักนิดอะไรแบบนี้ >.<"
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : like a wife (22/4/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 03-05-2015 13:16:22
SHIZUKA : 1


ตอนนี้ผมกำลังเดินสะโหลสะเหลอยู่ใต้คณะ

หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่า อิดโรยหมดแรงก็ได้ เพราะหลังจากโดนไอ้โนบิตะมันกระหน่ำความ ‘คิดถึง’ ใส่แบบไม่ยั้ง  กลับบ้านไปก็เจอมรสุมคำด่าของคุณนายแม่ประดังประเดเข้ามาเหมือนโดนคลื่นสึนามิซัดสาดเข้าหน้าอย่างแรง แน่นอน ผมกลับไปไม่ทันช่วยคุณนายเธอเก็บร้าน และก็นั่นล่ะ ลูกสาวคนโปรดของเธอเลยต้องเข้ามาช่วยทั้ง ๆ ที่คุณนายเธอสั่งให้นอนอ่านหนังสือสอบอยู่บ้าน...

มันเป็นเรื่องผิดธรรมชาติมาก ผมว่า... ปกติแม่จะรักลูกชายมากกว่าไม่ใช่หรือไงวะ? แล้วทำไมครอบครัวผมถึงเป็นอย่างนี้...

แต่ถ้าจะให้โทษใครก็คงต้องโทษตัวเองนั่นล่ะ...
อะไรนะ จะให้ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อนตอนที่ผมอาสาช่วยแม่ล้างจานเป็นครั้งแรกงั้นหรอ?

ถ้าให้เล่าล่ะยาวแน่...เอาเป็นว่าหลังจากนั้นมาชีวิตผมก็หาความสงบสุขไม่ได้อีกเลย เพราะอะไรน่ะหรอ? ก็เพราะว่าโดนแม่จิกหัวใช้น่ะสิ ทั้งให้ล้างจาน ทำกับข้าว ซักผ้า ทิ้งขยะ รดน้ำต้นไม้ (รวมไปถึงบางทีก็ต้องออกไปเฝ้าร้านให้แม่ด้วย) มากมายจนนึกว่าเป็นนางซินในบ้าน โดยที่น้องสาวผมลอยชายสบายแฮ...ไม่ต้องทำไรซักอย่าง...มากหน่อยก็อ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว วัน ๆ เห็นมันเอาแต่นั่งวาดการ์ตูนเกย์...


“เฮ้ย! นี่ Far Cry 4 ที่กูสั่งมาจากเว็บ เพิ่งส่งตรงถึงบ้านเมื่อเช้านี่เอง...โนบิตะมึงเคยเล่นไหมวะ”

เดินยังไม่ทันถึงห้องเรียน เสียงไอ้ซูเนโอะเพื่อนยากก็ดังเซอร์ราวน์ออกมาถึงหน้าประตูห้องข้าง ๆ จากที่กำลังอิดโรยหมดแรง หูผมนี่ผึ่งเป็นกระด้งร่อนข้าวทันทีที่ได้ยินเลย อะไรนะ! Far Cry 4 ผมเพิ่งดูในเว็บสตรีมเมื่อคืนก่อนนี้เอง อยากจะเล่นแต่ก็สงสารเงินในกระเป๋า ก็คนมันไม่มีตังจะซื้ออะ...ขนาดลด 50% แล้วนะ ราคาแม่งยังตั้งเกือบสองพันกว่าบาท...

“ไม่ครับ ผมไม่ชอบเล่นเกมส์” เสียงต่อมาคือเสียงของโนบิตะครับ อาจจะเพราะที่ที่พวกมันนั่งอยู่ติดประตูทางเข้าด้านหลัง ผมถึงได้ยินเสียงมันชัดแจ๋วขนาดนี้ (แม้ว่ามันจะพูดด้วยโวลุ่มปกติก็ตาม)

“โห่ ได้ไงวะ เป็นผู้ชายแต่ไม่เล่นเกม” ไอ้ชานยังคงชูเกมขึ้นเหนือหัว อวดเข้าไป ๆ ทำท่าอย่างนี้แสดงว่ายังไม่เห็นผมที่เดินเข้าห้องเงียบ ๆ มาจากมาด้านหลัง 

“เฮ้ย! ฟาคราย 4 กูเพิ่งดูในสตรีมมาเมื่อคืนนี้เอง!” วางกระเป๋าเสร็จก็ถลาเข้าประชิดตัวแล้วเอื้อมมือไปแย่งมันมาจากมือเลยครับ ไอ้ชานหันขวับกลับมามามองผมที่ยกแผ่นเกมขึ้นดูในระดับสายตา แต่ใครจะสนใจสายตาละห้อยปนขอร้องของมันล่ะ เอาเกมมาอวดเพื่อนแบบนี้ก็แปลว่าอยากให้เพื่อนยืมอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ “กูยืมได้ไหมอะ กูอยากเล่นเกมนี้มานานแล้ว” 

ไอ้ชานทำหน้าเหี่ยวใส่ผม ทำท่าราวกับเตรียมจะพุ่งเข้าชาร์ตได้ทุกเมื่อ “ไม่ได้นะ ! กูเพิ่งได้มาวันนี้เอง มึงจะเล่นก่อนกูได้ไง” มันตะโกนแหว

“ไม่ได้ก็ต้องได้” ผมโยนแผ่นเอาไปให้ไอ้โนบิตะรับ “มึงจะขัดใจกูหรอเชี่ยวชาญ มึงอยากจะให้กูเครียดตายเพราะไม่มีอะไรเล่นระหว่างที่โดนแม่เทศน์อย่างงั้นใช่ไหม!”

“...แต่”

“ไม่ต้องแต่แล้ว” เห็นหน้ามันละห้อยหนักผมเลยต้องเขย่งตัวไปผลักหัวมันเบา ๆ “กูขอยืมแค่วันสองวัน จะรีบเล่นให้เสร็จแล้วเอามาคืนให้สภาพเดิมเหมือนทุกทีไง...กูเคยผิดคำพูดกับมึงเรื่องเกมด้วยหรอวะ” 

“แต่มึงชอบสปอยด์ตอนจบกูไง” ไอ้ชานกลอกตาแล้วถอนหายใจดังเฮือก “กูเล่นไม่มันส์เพราะมึงชอบทำงั้นทุกที”

“แต่คราวนี้กูไม่ทำงั้นแล้ว...” ในเมื่อลูกล่อไม่ได้ก็ต้องลูกชนนี่ล่ะครับ พอเห็นมันทำท่าจะถอนหายใจใส่หน้าผมอีกเป็นครั้งที่สอง ผมก็ทำหน้าเหมือนคนผิดหวังในชีวิตสุด ๆ ทันที

“....”

“นะ...” 

“...”

“นะนะนะ นะชานนะ...กูขอยืมเถอะ...ให้นี่เป็นสิ่งบันเทิงสุดท้าย สิ่งเดียวในชีวิตลูกชายคนเดียวของบ้านที่โดนโขกสับยังกับเป็นซินเดอเรลล่าอย่างกูเถอะนะ...” 

คุณอาจจะไม่เคยเห็นผมทำอย่างนี้หรอกครับ เพราะกับคนไม่รู้จักผมก็เก๊กเหี้ยมตลอด แต่ในเมื่อเราทำความรู้จักกันแล้ว คุณก็ควรที่จะเห็นและยอมรับ 50 เชด ออฟพิกเช่นเชดนี้ ผมกระพริบตาใส่ไอ้ชานปริบ ๆ นับหนึ่งถึงสิบในใจเบา ๆ และ...

“เฮ่อ...ก็ได้ ๆๆๆๆๆๆ เก็บใส่กระเป๋าไปเลย แล้วอย่าเอาออกมาให้กูเห็นอีกนะ...แค้น”

ในที่สุดมันก็ยอมครับ ไอ้ชานแม่งก็อย่างนี้ทุกทีแหละ จะว่าขี้อวดก็ขี้อวดนะ เหมือนซูเนโอะไง (ถึงมึงจะบอกว่าไม่อยากเป็นแต่กูก็ว่ามึงเหมือนว่ะเพื่อน) แต่เพราะมันไม่ค่อยมีเพื่อนที่ไหน มีแต่ผมคบกับมันอยู่สองคน มันเลยยอมผมขนาดนี้  (จริงๆแล้วมันก็คงจะมีเพื่อนมากกว่านี้แหละครับถ้าไม่ติดว่ามาคบกับผมก่อน)

“ม...มองอะไรไอ้โนบิตะ” อยู่ดี ๆ ก็เพิ่งรู้สึกตัวว่ามีส่วนเกินในบทสนทนานี้ด้วย ผมแหวขึ้นมาทันทีที่เห็นสายตาของโนบิตะมันมองมานิ่ง ๆ  นั่น ถามแล้วยังไม่ยอมตอบ ไม่ยอมส่งแผ่นเกมในมือมาให้ด้วย! แบบนี้ต้องจัดซักแปะ!

เพี๊ยะ!

“มองหน้ากูทำไม ห้ามมอง! ส่งแผ่นเกมในมือมึงมาเลย เร็วๆ อย่าให้ต้องโมโห” 

อย่าหาว่าผมเป็นคนโมโหร้ายเลย แต่ช่วงกลางวันในเวลาเรียนอย่างนี้นี่แหละเหมาะสมที่จะเอาคืนมันเป็นที่สุด! ก็ไอ้ห่าคนไหนมันเสนอตัวยอมให้ผมโขกสับล่ะ ในเมื่อเมื่อคืนมึงทำกูมาเยอะ ตอนนี้ก็ต้องเอาคืนให้สาแก่ใจแบบนี้แหละ

“เฮ้ย มึงไปตบหัวโนบิตะมันทำไม กูยังไม่เห็นมันจะทำอะไรเลย” ไอ้ชานถามขึ้นมา มันลากขายาว ๆ ลงไปทิ้งตัวนั่งข้างโนบิตะแล้วมองมาที่ผมเหมือนเพิ่งฆ่าคนไปหมด ๆ

“กะ...ก็...ท...ทำไม! ก็มันมองหน้ากู กวนตีนดีนักต้องตบหัวให้หลาบจำ” นั่น พูดขนาดนี้แล้ว ยังมองมาที่ผมไม่เลิก และไม่ใช่ว่าใช้สายตาธรรมดามองมานะครับ โนบิตะแม่งมองลอดแว่นเหมือนกับจะสื่อว่า ‘อย่าให้ถึงทีผมแล้วกัน จะเอาคืนให้นอนหงายไม่ได้เลย’

มองมาแบบนั้นนึกว่ากูจะกลัวหรือไง!
ที่สั่นเนี่ย สั่นสู้โว้ย! ไม่ได้สั่นเทาด้วยความกลัว!!

“โอ้ย มึงชักจะไปกันใหญ่แล้ว ไหนวันนั้นก็ดีกับมันแล้วไง” ไอ้ชานยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง “เป็นเพื่อนกันก็ทำดี ๆ กับมันหน่อยสิวะ เดี๋ยวมันร้องไห้ขี้มูกโป่งขึ้นมาจะว่าไง” 

หันไปจะด่า แต่ไอ้โนบิตะเสือกพยักหน้าหงึก ๆ

ห๊ะ มึงเนี่ยนะจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง...
ไอ้ชานมึงโดนหน้าติ๋ม ๆ แว่นติ๋ม ๆ หลอกเข้าให้แล้ว!
ไอ้เหี้ยเนี่ย ไม่ต่างอะไรจากพระเอกในการ์ตูนตาหวานเรื่องมาเฟียที่รักที่น้องกูชอบอ่านเลย...


เหี้ยม...ใจแม่งเหี้ยมสุด ๆ

“กลับมาแล้วจ้า!!!!!!”
 
แต่ไม่ทันที่จะได้สาธยายความเหี้ยม (+เหี้ย) ของโนบิตะผ่านสายตา เสียงแหบนุ่มจากทางหน้าห้องก็ทำให้คนอื่น ๆ ที่มานั่งรออาจารย์เหมือนกับพวกผมถึงกับต้องลุกขึ้นยืน แล้วก็ไม่ใช่แค่คนอื่นนะ พอไอ้ชานหันไปเห็นไอ้หมอนั่น มันก็ลุกขึ้นชี้หน้าคนมาใหม่ที่เพิ่งเดินมูนวอล์คเข้าห้องมาทันที

“มึง!!!” ไอ้ชานยังคงถลึงตาแล้วชี้นิ้วไปที่หมอนั่น

คนมาใหม่ส่งยิ้มเจิดจ้าอวดฟันขาวให้ไอ้ชานพร้อมกับโบกมือไหว ๆ “เฮ้ย สวัสดีเชี่ยวชาญ...กูเอง...”

“มึง...”

“...” ทุกคนในห้องกลั้นหายใจจนไม่มีเสียงใดดังรบกวน

“มึงชื่ออะไรนะ...” 

เหมือนได้ยินเสียงแป่ววว ดังขึ้นในใจ ถ้าให้ทายเพื่อนทั้งห้องที่เริ่มมากันเกือบจะครบก็ได้ยินเหมือนผมเช่นกันไม่อย่างนั้นไอ้ช้างที่วันนี้นั่งอยู่กลางห้องคงไม่ขยำกระดาษเป็นก้อนกลม ๆ แล้วปาใส่พุงไอ้ซูเนโอะเพื่อนผมแบบนั้น

“โธ่ไอ้ควาย นี่ไอ้เฮียไง” ช้างพูด

“รู้แล้วล่ะน่า กูแซวแม่งเล่นเฉย ๆ” ไม่ถึงวินาทีไอ้ชานก็เลิกทำหน้าเอ๋อ ๆ งง ๆ แล้วหันไปปาก้อนกระดาษส่งคืนให้ไอ้ช้าง ก่อนจะหันมาทักทายคนมาใหม่ที่ตอนนี้เดินเข้ามาประชิดตัวแล้ว “... เป็นไงมาไงวะเนี่ย ที่แคนาดาเป็นไงบ้าง สนุกไหม?”

พูดถึงแล้วก็นึกออกเลยครับ อ๋อ ไอ้เฮีย(ไม่ใช่สรรพนามนะครับ แต่มันชื่อเฮียจริงๆ)นี่เองที่ดร็อปไปแคนาดามาเมื่อปีที่แล้ว...(ปีที่แล้วดร็อปกันเยอะมาก ไปเมกา 2 คน แคนาดาคนนึง แล้วก็เนเธอแลนด์คนนึง)   

“ก็ไม่เป็นไงมาไงอะ...ฝรั่งก็หัวทอง หัวดำบ้างประปราย แต่ส่วนมากก็พูดภาษาอังกฤษกันนะ ” มันตอบแบบขอไปที...โถ ฝรั่งบ้านมึงเค้าพูดภาษาเกาหลีกันมั้งครับ...ไปถึงแคนาดานึกว่าจะมีอะไรมาเล่า แล้วนี่แม่งเป็นอะไรเนี่ยหันซ้ายหันขวาเหมือนมองหาอะไรอยู่เลย

“หาอะไรวะ” ผมเอื้อมมือไปสะกิดไหล่ไอ้เตี้ยตรงหน้า แล้วทำขมวดคิ้วหน้าเหี้ยมใส่มัน

“อ๋อ...ไม่มีอะไร มองหาเพื่อนว่ะ...แล้วนี่เพื่อนกูหายไปไหนกันหมดวะ พวกโอม อ๊อด ปิ่นอะ” ไอ้เฮียพูดพลางกวาดสายตาไม่หยุด 

“อ่า” นั่นเสียงโนบิตะครับ ในที่สุดก็ได้มีบทพูดกับเขาซักที “พวกนั้นเขาดร็อปไปตั้งแต่สามวันแรกแล้วครับ โอมโดนไทร์ อ๊อดดร็อป ส่วนปิ่นบอกอาจารย์ว่าจะรอเรียนกับแฟนเขา”

ผมหันไปมองหน้าไอ้โนบิตะ...โอโห นี่ขนาดว่ามึงกลับเร็วกว่าชาวบ้านเค้าตลอดนะ ยังมีความสามารถไปเสือกเรื่องคนอื่นเขามาได้ ผมหัวเราะหึในใจ แต่ดูเหมือนโนบิตะจะรู้ทัน มันขยับแว่นแล้วพูดออกมาเบา ๆ ทันที

“อาจารย์บอกมาน่ะครับ”

“อ๋ออออ” ไอ้เฮียร้องอ๋อสวนเสียงในใจของผมออกมาเสียดัง  มันพยักหน้าหงึก ๆ แล้ววางกระเป๋าลงตรงที่ข้าง ๆ โนบิตะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วยื่นมือทั้งสองข้างมาทางผมกับไอ้ชาน “ในเมื่อกูไม่มีกลุ่มจะอยู่แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปกูคงต้องขอเป็นปลิงเกาะกลุ่มพวกมึงซักพักจนกว่ากูจะหาเพื่อนใหม่ที่เข้ากับกูได้...” 

“...”

“เพราะมึงเป็นคนแรกที่ทักกู มึงเลยต้องรับผิดชอบนะเชี่ยวชาญ”

ยังไม่ทันได้อ้าปากพูดอะไรมันก็รัวใส่มาไม่ยั้งเลยครับ ไอ้หน้าแป้นยิ้มหวานแล้วกระชากมือผมกับไอ้ชานไปเช็คแฮนด์โดยไม่ให้ตั้งตัวซักนิด พอเขย่ามือกันเป็นพิธีเสร็จ มันก็หันหน้าไปหาเป้าหมายใหม่ แล้วยื่นมือออกไปหา...

จะใครซะอีกล่ะครับ ก็ไอ้โนบิตะที่นั่งทำหน้าติ๋มอยู่ข้าง ๆ มันนั่นไง...

“มึงด้วยนะ....ยินดีที่ได้รู้จักกันอีกรอบ”

“...” 

ไอ้เฮียเหล่ไปมองที่ชีทบนโต๊ะของโนบิตะ ก่อนจะแย้มยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม

“เก้า”


_________________________________________________

เฮียคือใคร ใครคือเฮีย....
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 1/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 03-05-2015 13:52:35
อะไรเนี่ยยยย ตอนพิเศษมาให้ใจวุนวายอีกแล้ววว
เฮีเป็นเครื่องปรุงมาม่าหรือเปล่า คงไม่ใช่นะ
ยังรอตอนต่อไปอยู่เสมอ จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 1/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 03-05-2015 14:45:25
ชิซูกะคนนี้เป็นเด็กร่าเริงดีนะคะ โผล่ออกมาทียังกับมีฉากดอกไม้บานตามมาข้างหลังด้วยแน่ะ สำคัญสุด ..เนียนได้โล่ห์เลยค่า~ :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 1/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 04-05-2015 18:56:19
หืมๆๆ ตัวละครใหม่  มาแนวไหนยังไง มีเค้าวุ่นวายละ :katai5:
ชื่อชิซูกะก็ต้องเข้าทางโนบิตะใช่มั้ย มาม่าจะมาใช่มั้ย ถ้าใช่ เราก็พร้อมนะ ฮี่
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 1/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-05-2015 21:06:48
ตัวละครใหม่!!!
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 1/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 05-05-2015 00:00:42
หวายๆๆ ชิซึกะนี่โนบิตะชอบเขาด้วยมั้ยเอ่ย???
จะดราม่ามั้ยนี่ 55555555555555555555
ตอนนี้แอบหมั่นไส้ไจแอนท์เบาๆ
แหม่ แหม่ แหม่ เวลาอยู่มหาลัยล่ะทำตัวใหญ่เชียวนะ
โดนเขาเอาคืนแล้วจะลุกไม่ขึ้นเอานา...
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 1/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-05-2015 11:36:05
ตัวละครใหม่โผล่มามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 1/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-05-2015 11:52:33
เฮียผู้ล่วงรู้ความลับของโนบิตะ ฮาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 1/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: beautifuldead ที่ 06-05-2015 19:28:36
หาาาาา...เดียวน้ะ มาต่อเลยนะค้า
เค้าอยากรู้ความ50 shades of พิคคคคคคคคคคค
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 1/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: fay_13 ที่ 24-05-2015 20:41:36
รอค่ะรออออออออออออออออออออออ

อ่านแล้วสนุกมากกกกกกกกกก พิกน่ารักสุดๆ โอยยยยย แพ้ทางเคะแบบนี้สุดๆ  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 1/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: propg ที่ 18-06-2015 16:21:35
พิกน่ารักจังงงงงง .///.
ตลกเวลาอยู่มหาลัยกัน พิกนี่แบบ5555555555
เฮียจะทำไรรรร  :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 1/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: piengtavan ที่ 01-07-2015 20:34:25
แอร๊ยยยสสยย  เฮียนี่พันเดียวกับอิโนบิแน่ๆ
จะบอกว่า เค้าเกลียดอิเก้าแหละ เชอะ!
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 1/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 04-07-2015 07:01:49
SHIZUKA : 2


ชั่วโมงของการเรียนวิจัยผ่านไปไวมาก ตื่นมาอีกทีก็ผ่านไปสองสามชั่วโมงแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะตอนที่ได้ยินเสียงสันหนังสือกระแทกเบา ๆ ก่อนไอ้เชี่ยวชาญที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จะยื่นหน้ามาแล้วขมวดคิ้วใส่

“พิก ตื่นได้แล้ว...หลับจนหมดคาบเลยนะมึงนี่”  มันพูดพลางตบลงมาเบา ๆ ที่แก้มของผมเป็นเชิงเรียกให้ตื่น

ผมหยีตามองมันแล้วยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองหนัก ๆ “เช้าแล้วหรอวะ” 

“เช้าที่หน้ามึง นี่จะเที่ยงอยู่แล้ว ไป ๆ ลุก ๆ กลับบ้าน”

ดูเหมือนสมองแม่งจะตีรวนไปกันหมด ผมค่อย ๆ ลุกจากเก้าอี้แล็คเชอร์อย่างสะลึมสะลือ เดินตามแรงมือของไอ้ชานที่โอบตรงหัวไหล่ ก้าวไปไม่ทันพ้นโต๊ะของไอ้โนบิตะที่นั่งคู่กับไอ้เฮีย รู้ตัวอีกทีก็มีใครกระชากเข้าให้ที่แขนขวา แรงจนตัวแทบจะหมุนติ้วเป็นลูกข่าง

“เฮ่อ..”

ผมเอี้ยวตัวไปขมวดคิ้วมองมือของไอ้เฮียที่รั้งแขนเสื้อเอาไว้ มันกำลังฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วเอาใช้อีกมือทึ้งขยี้หัวตัวเองอย่างแรง ก่อนเสียงร้องโอดโอยออกมาเหมือนเชื้อหมาบ้าในตัวกำเริบ
 
“โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” 

“...เฮ้ยมันเป็นไร เป็นลมบ้าหมูรึเปล่าวะ!!!” ไอ้ชานที่ยืนอยู่ด้านหลังอยู่ดี ๆ ก็ตะโกนสวนขึ้นมา ผมหันหน้าไปมองมัน แวบนึงนึกถึงเพื่อนสมัยเด็กที่ชื่อไอ้ป่าน ตอนเป็นลมบ้าหมูมันก็ชักอย่างนี้เลย นึกได้อย่างนั้นก็รีบถลาเข้าไปแล้วเอามือตัวเองยัดปากมันทันที!   

“เฮ้ยโนบิตะเอาปากกาให้มันคาบไว้ เดี๋ยวมันได้กัดลิ้นตัวเองตายห่า!!”

ผมหันไปสั่งไอ้โนบิตะที่ยังหน้าเหรอหราก่อนจะหันมาพยายามยัดนิ้วตัวเองเข้าปากไอ้เฮีย โอ้ยไอ้เหี้ยนี่ยังไง กัดฟันแน่นเลย แล้วไอ้โนบิตะอีก สั่งแล้วยังทำหน้าเหมือนหมางงอีก ต้องให้กูโดนงับนิ้วขาดก่อนใช่ไหมถึงจะลุกขึ้นมาขยับตัวเนี่ยยย!!

“อำเอี้ยอะไอเอี้ยยยยยยยยยย!!!”  ไอ้เฮียสะบัดหน้าไปมา

“เฮ้ยมันพูดอะไรวะ ตายห่าแล้ว! รีบยัดนิ้วเข้าไปเร็วพิก เดี๋ยวแม่งกัดลิ้นตัวเองตายก่อน!!” ไอ้ชานแหว

“ยัดไม่ได้โว้ย โอ้ยฟันแม่งแน่นชิบ!! ช่วยกันง้างปากมันเร็วสิโว้ยยยยย” นั่นผมเอง

และนาทีที่ยัดนิ้วเข้าไปได้ ไอ้เฮียก็เด้งตัวขึ้นมานั่งพูดอู้อี้พร้อมทำตาขวางแบบที่ทำลายความภูมิใจของมวลมนุษย์ชาติลง มันค่อย ๆ เอื้อมมือมากำรอบข้อมือผมแล้วดึงออกช้า ๆ แบบสโลว์โมชั่นเหมือนพระเอกหนังจีนกำลังภายในดึงดาบออกจากฝัก 

“กูบอกว่า กูไม่ได้เป็นอะไร ไอ้เหี้ย!” 

ไอ้เฮียขมวดคิ้วก่อนจะยกมือขึ้นจัดทรงผมที่ดูไม่ได้ของมัน อ้าว! ไม่ได้เป็นเหี้ยอะไรแล้วชักดิ้นชักงอเหมือนคนเป็นลมบ้าหมูทำไมวะ ชาวบ้านชาวช่อง (นอกจากไอ้โนบิตะ จนถึงตอนนี้แม่งยังทำหน้านิ่งอยู่เลย) เขาตกอกตกใจกันหมด

“ไม่ได้เป็นอะไรแล้วดึงเสื้อกูไว้ทำไม” ผมกระแทกเสียงถามมันพลางหันมาเช็ดน้ำลายออกจากนิ้วตัวเอง

“กูแค่ละเมอแล้วมือไปเกี่ยวเสื้อมึงหรือเปล่า...” มันทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะเกาหัวแกรก ๆ ส่วนผมนี่งงเต็กไปเลย ละเมอเกี่ยวเสื้อกูแล้วร้องเหมือนหมาโดนน้ำร้อนลวกเนี่ยนะ!

“เออ มันอาจจะละเมอจริงอย่างที่มันว่าก็ได้” ไอ้ชานพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะก้มลงมากระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูผม “กูว่าไอ้เฮียแม่งไม่ปกติว่ะ ยังไงเรารีบ—”

“รีบไปกินข้าวกันเถอะ” 

ไม่รอให้ไอ้ชานได้พูดประโยคถัดไปออกมา ไอ้เฮียมันก็ลุกขึ้นมาแทรกกลางระหว่างเราแล้วยกมือขึ้นกอดคอทันที ทายสิว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไง? ไอ้เหี้ยนี่โคตรไม่น่าคบเลย อารมณ์แม่งขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนไอ้โนบิตะไม่มีผิด

แล้วพอหันไปมองหน้าไอ้ตัวปัญหามันก็ทำแค่ยักไหล่ สรุปมื้อเที่ยงอันแสนสงบสุขของผมกับไอ้ชานก็มีอันต้องพับไป

เพราะไอ้เจ้าของรอยยิ้มรูปสี่เหลี่ยมนั่นล่ะ!
ไอ้เฮีย!!

____________________________________________

“พูดก็พูดเถอะนะ...”

โทนเสียงนุ่มหูดังขึ้นหลังจากที่ก้มหน้าก้มตากลับหมูสามชั้นบนเตามานาน ทุกคนในที่นี้ชะงักตะเกียบลงพร้อมใจกันหันไปมองหน้าแป้น ๆ ไม่เว้นแม้แต่ผม ไอ้เฮียกำลังใช้มืออีกข้างขยับคอเสื้อ และกระแอมไอเบา ๆ ออกมาทำท่าเตรียมจะพูด

“ช่วงนี้กูน่ะ รวยมาก”   

“....”

“....”

“พูดอวดงี้หมายความว่าไงวะไอ้เตี้ย!” นั่นเสียงผมเองครับ เนื่องจากไม่มีใครพูดอะไรออกมาผมเลยเปิดโครงการนำล่องให้โดยการตบโต๊ะเสียงดังจนคนทั้งร้านหันมามอง ไอ้เหี้ยนี่...พูดว่าตัวเองรวยได้หน้าตาเฉยแบบนี้ได้ยังไง? จะหาว่าพวกกูจนมากจนไม่มีปัญญาจ่ายค่าอีบุฟเฟ่ต์สันคอหมูคุโรบุตะลูกผสมพันธุ์ฮอกไกโดที่มึงพามากินงั้นหรอ!!!

“ใจเย็น ๆ ดิพิก ฟังมันพูดก่อน” ไอ้ชานที่นั่งฝั่งตรงข้ามแต่อยู่ข้างไอ้เฮียเอื้อมมือมาดีดเหม่งผมเบา ๆ มันถอนหายใจออกมาเหมือนทุกครั้งที่เห็นผมเลือดร้อน เป็นอีหรอบนี้เลยต้องหันไปหาแนวร่วมอย่างไอ้โนบิตะ แต่แม่งก็ดันทรยศ! มันพยักหน้าเห็นด้วยกับไอ้ไอ้ชานซะนี่!
 
“เออ ใจเย็นๆดิพิก กูไม่ได้หมายความอย่างนั้น กูแค่อยากระบาย” ไอ้เฮียว่าเสียงอ่อนก่อนจะเริ่มหยิบกระเป๋าตังขึ้นมานับแบงค์หมื่นเป็นฟ่อนในนั้นที่เพิ่งกดออกมาจากเอทีเอ็ม

“ระบายเหี้ยอะไร มีใครบ้างบ่นว่ารวยมากทั้ง ๆ ที่ช่วงนี้มันเป็นช่วงสิ้นเดือน” 

พูดจากใจจริงเลย ในฐานะคนที่บ้านฐานะปานกลางสุด ช่วงนี้แม่งเป็นมหาวิบัติ 10 วันสุดวิปโยคของเดือนเลยก็ว่าได้ นอกจากจะต้องบอกปัดเพื่อน ๆ ที่ชวนไปกินเหล้าแล้ว ยังต้องบอกลาเวลาว่างที่จะได้เล่นเกมเพื่อไปทำงานแลกเงินกับคุณนายคิมสุดโหดอีก!

“แต่กูเครียดจริง ๆ”

เห็นว่ามันพูดออกมาเสียงอ่อนเสียงค่อยหรอกนะถึงยอมฟังดี ๆ ผมวางตะเกียบลงปล่อยให้ไอ้ชานมันคีบหมูคีบผักมาใส่จานตามหน้าที่แล้วกอดอกแล้วพยักเพยิดหน้าไปทางไอ้เฮีย “ไหน อะไรทำให้มึงเครียด ลองระบายมา” 

“...”

แวบหนึ่งผมแอบเห็นไอ้เฮียส่งสายตาไปทางไอ้โนบิตะ แต่ไอ้เหี้ยนั่นมันกลับหลบหน้าโดยการก้มลงไปเขี่ยผักบุ้งในจานตัวเองแทน ก่อนเสียงนุ่มสบายหูของคนตัวเตี้ยที่สุดในที่นี้จะดังขึ้น ในใจผมก็ตะโกนดังออกมาว่าแล้วพวกแม่งโคตร ‘มีพิรุธ’

“บ้านกูอ่ะเป็นเศรษฐีใหม่...แม่น่ะชอบให้ตังทีละเยอะ ๆ เอามาเลี้ยงเพื่อน สมัยก่อนกูก็มีเพื่อนอยู่เหมือนกัน กูไม่ชอบให้เพื่อนออกอะไรเองเพราะพวกแม่งเป็นเพื่อนกู...” 

“...”

“แต่หลังกลับมาจากแคนาดา กูก็รู้สึกว่าแต่ละเดือนของกูช่างไร้ค่า...เงินในกระเป๋าตังกูแทบไม่ลดลงไปเลยพวกมึงเข้าใจใช่ไหม?...นั่นมันจะหมายความว่ายังไงได้อีกนอกจากว่ากูแม่งเป็นคนไม่มีเพื่อนอะ!”

“...”

“กูเครียดมาก กูต้องการเลี้ยงใครซักคน กูอยากพาเพื่อนมาแดกข้าวแบบนี้ เสร็จแล้วก็แดกของหวาน แล้วก็พาไปดูหนัง...เมื่อก่อนเวลากูพาเพื่อนไปดูหนัง แม่งจะพาแฟนพากิ๊กมากี่คนก็ได้ กูจ่ายให้ได้หมด แต่ตอนนี้กูแม่งเป็นคนไม่มีเพื่อน เวลากูจะดูหนังแล้วต้องจ่ายเงินค่าตั๋วแค่สำหรับที่นั่งเดียวแล้วกูไม่คุ้น!!!”

“...”

“กู...กูแม่งโคตรไร้ค่าเลยว่ะ” 

“...”

“...”

ทุกคนเงียบไปเลย... เงียบไปแบบอึ้ง ๆ คือกูก็อึ้งไปเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าอึ้งที่มันเครียดจนทำหน้าบิดหน้าเบี้ยวแทบจะเอาตะเกียบแทงคอตายเหมือนที่เห็นกันอยู่ตรงหน้าหรอกนะ แต่เครียดไปด้วยและอึ้งว่าในโลกนี้แม่งมีคนไร้สาระได้ขนาดนี้เลยหรอวะ

ด้วยความหวังดีผมเลยเอื้อมมือไปแตะเบา ๆ ที่มือของมันแล้วทำหน้าเห็นใจมันสุดฤทธิ์

“ไม่ต้องเครียดแล้วนะมึงน่ะ...ต่อไปก็เป็นเพื่อนพวกกูไง อยากเลี้ยงอะไรก็เอาเลย เต็มที่เลยนะเตี้ย กูชอบมากเลยของฟรี ชอบจริงๆ” ทีหลังถ้าอยากใช้เงินก็เรียกหาคิมพิกได้เลย กูจะไม่มีวันมองมึงผิดปกติอีกแล้วไอ้เฮีย

“หยุด ๆ ๆ  พอเลยพิก ที่ไถกูคนเดียวนี่ยังไม่พออีกหรอวะ” ไอ้ชานพูดพลางเอาตะเกียบแซะมือผมออกจากมือไอ้เฮีย

ผมรู้ว่าที่ไอ้ชานพูดออกมานี่เป็นเพราะมันมันกลัวจะเสียตำแหน่งเพื่อนซี้ปึ้กคนปัจจุบันไป ไอ้ไอ้ชานนี่ก็อีกคน เป็นเด็กบ้านรวยแต่มีปัญหา จำได้ไหมที่ผมเคยบอกว่าเราแม่งคบกันได้อยู่แค่สองคน เหตุผลไม่มีอะไรมาก เพราะไอ้เหี้ยนี่ไม่ยอมไปซี้กับใครตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว มันบอกว่าก็มีแต่ผมคนเดียวนี่แหละที่เป็นเพื่อนกับมันได้ (ผมเลย เลยตามเลยไป)

ไอ้ชานมันเป็นคนยึดติดครับ ยึดติดโคตร ๆ อะไรที่เป็นของมันก็ต้องเป็นของมันคนเดียว แล้วถ้าอะไรที่ได้ชื่อว่าเป็นของ ๆ มัน มันจะดูแลฟูมฟักอย่างดี นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาไม่มีตังไปกินข้าวผมถึงได้เจ้ามือเลี้ยงเกือบทุกที เพราะไอ้ชานแม่งเป็นคนอย่างนี้นี่แหละ มันถึงมีผมเป็นเพื่อนอยู่แค่คนเดียว

“แต่...”

“ไม่ต้องมีแต่เลยพิก” ไอ้ชานเป่าปากตัวเองแล้วหันไปทางคนข้างตัว “มึงก็เหมือนกันไอ้เฮีย ไม่ต้องมาจ่ายอะไรให้พวกกู พวกกูมากินกับมึงได้ ก็ต้องจ่ายได้ อย่าเห็นพวกกูเป็นคนเห็นแก่เงิน” 

อ้าว...มึงให้กูเงียบฟังมันมาตั้งนานแล้วก็มาขึ้นแบบนี้หรอครับไอ้ชาน  ผมมองไปทางโนบิตะ สงสารมันนิดหน่อยที่ไม่ค่อยได้พูดอะไร แต่พอเห็นมันพยักหน้าหงึก ๆ ก็เข้าใจแล้วว่ามันเห็นด้วยและคงไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความ

“ใช่สิ ก็พวกมึงมันคนมีตังนี่” ผมเบะปากใส่พวกมันสามคนที่มานั่งซีเรียสเรื่องขี้หมาอะไรแบบนี้ เซ็งนัก ไม่เกิดมามีแม่แบบคุณนายคิมอย่างกูพวกมึงคงไม่รู้หรอก!

“สรุปเลยนะ เอาเป็นว่าพวกกูจะจ่ายกันเอง” ไอ้ชานสรุปเองเสร็จสรรพ มันโหย่งตัวขึ้น ล้วงตังออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังแล้ววางลงบนโต๊ะ 

ไอ้โนบิตะก็เหมือนกัน มันควักแบงค์พันสามสี่ใบออกมาจากกระเป๋าตังออกมา วางแล้วเลื่อนไปตรงหน้าไอ้เฮีย ไอ้เตี้ยนั่นขมวดคิ้วเลย

“ไม่ได้” ไอ้เฮียยกมือขึ้นพนม “ขอร้องเหอะ ให้กูได้จ่ายเถอะนะ แค่ค่าข้าวก็ได้ นะ นะ” 

“...”

“ให้กูรู้สึกว่าได้เป็นเพื่อนพวกมึงบ้าง ให้กูได้ทำอะไรให้พวกมึงบ้าง” 

“ไม่ได้ / ไม่ได้ครับ”

ผมถอนหายใจออกมาเซ็ง ๆ เมื่อเห็นไอ้สองคนนั้นเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย จำไว้เลยนะพวกมึง! ผมคาดโทษในใจก่อนจะจำใจหยิบกระเป๋าตังตัวเองออกมานับอย่างเซ็ง ๆ ไอ้ห่าเอ้ย ถ้ารู้ว่าจะต้องมาจ่ายเองอย่างนี้จะชวนกินก๋วยเตี๋ยวข้างคณะซะตั้งแต่แรก 

แต่ไม่ทันที่จะได้หยิบตังออกมานับแล้ววางอย่างคนอื่น ไอ้ไอ้ชานที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ยื่นตะเกียบมาดันกระเป๋าตังผมให้ต่ำลง พร้อม ๆ กับไอ้เก้าที่คว้าหมับเข้าให้ที่ข้อมือ   

“กูจ่ายเผื่อมึงไปแล้ว / ผมจ่ายเผื่อพิกไปแล้วครับ” 

“...”

“...”

“...”

บรรยากาศในโต๊ะเงียบลงโดยไม่ได้นัดหมาย สาบานได้ว่าผมแอบเห็นสายฟ้าลั่นเปรี้ยงลงบนกลางเตา ไอ้ชานกับไอ้โนบิตะกำลังฟาดฟันกันด้วยสายตา มาคุซะจนคนกลางอย่างผมกับไอ้เตี้ยไอ้เฮียถึงกับทำอะไรไม่ถูก

“ฮ...เฮ้ย...ไม่เห็นต้องแย่งกันจ่ายขนาดนั้นก็ได้ งั้นกูจ่ายให้พิกด้วย” สงสัยไอ้เฮียมันจะอึดอัดมากจนเก็บไม่อยู่ มันทำท่าจะควักเงินออกมานับในส่วนของผมบ้าง แต่ก็มีอันต้องวางกระเป๋าตังลงเพราะเสียงดุ ๆ ของคนข้างตัวมันกับข้างตัวผมเสือกดังขึ้นมาพร้อมกันอีกครั้ง

“ไม่ได้! / ไม่ครับ!” 

โอ้ย อย่างกับศึกชิงนาง! นี่ถ้าไม่ได้กำลังนั่งอยู่หน้าเตาย่างหมู กูคงนึกว่าตัวเองอยู่ในละครช่วงไพร์มไทม์แล้ว!! 

“เฮ้ย ๆ ใจเย็น....” ด้วยบรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมถึงกับคิดอะไรไม่ออก รู้แต่ว่าถ้าปล่อยให้มันตกลงกันไปเรื่อย ๆ กูคงต้องเป็นคนออกปากจ่ายเองแน่ ๆ “งั้นเอางี้ไหม ก็จ่ายแม่งมาให้หมดแหละ เหลือแล้วก็เป็นค่าปริ้นงานวิจัย...ยังไงก็ต้องอยู่กลุ่มเดียวกันอยู่แล้ว” 

ถึงจะหลับแต่ก็พอจะรู้นะครับว่าอาจารย์แม่งสั่งทำงานกลุ่มสี่คน แล้วมาแดกข้าวกันขนาดนี้ แถมไอ้ไอ้เฮียก็ยังไม่มีเพื่อนที่ไหน ยังไงหวยก็ต้องออกที่กลุ่มผมนั่นล่ะ 

ทุกคนในโต๊ะดูจะลดกำแพงบาง ๆ ลง ไอ้ไอ้ชานผ่อนลมหายใจแล้วหันมาคีบหมูใส่จานผม ไอ้โนบิตะยกแก้วขึ้นดูดน้ำเหมือนไม่เคยเถียงกันเรื่องตัง ส่วนไอ้เตี้ยไอ้เฮียยักไหล่สบายใจที่ได้จ่ายให้คนอื่น 

สรุปว่าวิน ๆ ทุกฝ่าย กูก็วินเช่นกันที่ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ฮ่าฮ่าฮ่า 
อิ่มจังตังอยู่ครบ!

   ____________________________________________

ชั่งใจอยู่นานว่าจะมาต่อดีไหม
คือคิดว่าไม่มีคนอ่านแล้ว เอาจริง ๆ 55555 เลยไม่ได้มาต่อ
แต่วันก่อนเห็นเด้งขึ้นมาเลยเข้ามาลงไว้ ;_ ;

หนูตั้งผิดหมวดเองค่ะ จริงๆมันควรจบนานแล้วแต่ก็ยังอยากเขียนต่อ สนุกง่ะ 
ถ้าชอบก็ให้กำลังใจด้วยนะคะ <3 ขอบคุณค่าาา  :hao5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 2/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: piengtavan ที่ 04-07-2015 07:24:39
อยากเกิดเป็นพิกจุงเบย ดวงอุปถัมป์ดีแท้
ทีเราไม่ต้องเดือน มันก็สิ้นใจได้
ถ้าเฮียอยากเลี้ยงนะ มาเลี้ยงเค้านี่ เดี๋ยวเค้าจะใช้ให้ไม่เกรงใจเลยยยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 2/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae123 ที่ 04-07-2015 08:28:13
คิดถึงพิกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ปกติก็มีเพื่อนเลี้ยงข้าวอยู่แล้ว
เพิ่มเฮียมาอีก สบายแฮ่เลยนะพิก!!!
รอพาร์ทจบนะ ว่าจะเป็นไง~~<
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 2/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 04-07-2015 08:44:27
เก้าคะ..เรื่องอื่นไม่ค่อยมีปากมีเสียง แต่กับเรื่องของพิกนี่สู้กับชานยิบตาเลยนะค้าา >.< ทำดีแล้วค่ะ ถึงยังไงพิกก็เป็นของเก้าแค่คนเดียวเท่าน้านนน~ :impress2:

สำหรับเฮียนี่เราขอมอบเสียงหัวเราะแรงๆ ให้เลยค่าา 555555555555 :m20: อุเหม่~ เราอยากจะมีโมเมนต์คิดมากเพราะเงินเหลือใช้แบบนี้บ้างจังเลยนะคะเนี่ย ^^ คงจะดีไม่หยอกเลยเน้อ..

แต่เฮียก็แอบน่าสงสารอยู่เหมือนกันนะคะ เพราะว่าถ้าขืนเฮียยังคบกับทั้งสามคนอยู่แบบนี้ เฮียคงจะต้องรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเพื่อนไปอีกนานเลยล่ะค่ะ หนักใจแทนจริงๆ
เลยน้า :o11:

:laugh: :laugh: :laugh: ..
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 2/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 04-07-2015 09:13:08
ยังตามอ่านอยู่นะคะแฮะๆ
ทำไมรู้สึกเหมือนพิกมีป๋าๆคอยเลี้ยงจังเลยย 5555555555555555
แล้วเก้ากับชานจะเปิดศึกกันแล้วใช่หมาย...

ปล.มีบางประโยคที่ยังแก้ไม่หมดนะคะ

แวบนึงนึกถึงเพื่อนสมัยเด็กที่ชื่อคยองซู ตอนเป็นลมบ้าหมูมันก็ชักอย่างนี้เลย
กับ
ไอ้โนบิตะก็เหมือนกัน มันควักแบงค์หมื่นวอนสามสี่ใบออกมาจากกระเป๋าตังออกมา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 2/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 10-07-2015 20:47:24
 :jul1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 2/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 29-07-2015 10:59:16
โนบิตะ ร้ายว่ะ ...... อย่าลืมมาต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 2/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 29-07-2015 19:49:29
มารอพิกกับเก้า อย่าลืมมาต่อนะ :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | ตอนพิเศษ : SHIZUKA 2/3 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 05-08-2015 21:02:39
รออ่านตอนพิเศษต่ออยู่ค่ะ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 8 (03/05/2558) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 06-08-2015 00:30:19

9


“แล้วเรื่องงานวิจัยนี่ยังไงวะ?” 


ไอ้เฮียพูดขึ้นมาหลังจากอิ่มอกอิ่มใจอมยิ้มแก้มปริกับมื้อที่มันได้จ่าย นี่ก็วันที่สามแล้วที่มันเข้ามาอยู่ในกลุ่มของเราโดยสมบูรณ์แบบ ซึ่งถ้าผมเป็นไจแอนท์ ไอ้ชานเป็นซูเนโอะ ไอ้เก้าเป็นโนบิตะ มันก็ต้องเป็นชิสุกะนั่นแหละ ใจบุญสุนทานขนาดนั้น...


ตอนนี้พวกเรานั่งรวมตัวกันอยู่ร้านสเวนเซ่นหลังมอครับและถามว่าใครเป็นคนออกความคิดว่าจะมานั่งแดกไอติมทั้งที่เพิ่งยัดห่าข้าวหน้าปลาไหลไปตะกี้...ก็ผมนั่นแหละ จะให้ทำไงได้? ในเมื่อมีเจ้ามืออย่างไอ้เฮียก็ต้องเอาให้มันคุ้มหน่อยสิวะ! จิตใจจะให้กินแต่ข้าวหรือไง? กินคาวเสร็จมันก็ต้องของหวานล้างปากด้วยดิ


“คิดหัวข้อก่อนดีไหมวะ?” เชี่ยวชาญที่นั่งคนสมูทตี้มะม่วงพลางเหล่สาวสเวนเซ่นที่กำลังเช็ดโต๊ะเป็นคนออกความเห็น “พรุ่งนี้จะส่งอยู่แล้วหัวข้อยังไม่มีเลย”


“งั้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ดีไหมครับ? ผมว่าหัวข้อนี้น่าสนใจ”  ไอ้โนบิตะคนขยันขยับแว่นแล้วพูดขึ้นเบา ๆ และด้วยความน่าเชื่อถือ บวกกับเกรด A ของมันในทุก ๆ เทอม ก็ทำให้พวกเราเห็นด้วยอย่างง่ายดายแม้กระทั่งไอ้เฮียที่เพิ่งเข้ากลุ่มมาใหม่ก็พยักหน้าตามไปด้วยเช่นกัน


“เออ กูว่าหัวข้อนี้น่าสนใจ ถ้าช่วยกันทำขอบเขตดี ๆ คงพอฟัดกับอาจารย์ได้” ไอ้ชานละสายตาจากก้นกลมกลึงของพนักงานสาวก่อนหันมาดูดน้ำมะม่วงที่ละลายเป็นชั้นแล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับไอ้โนบิตะ “เห็นพวกรุ่นพี่แม่งบอกว่าอาจารย์คนนี้โคตรงกเกรด แต่ถ้าแน่นพอมาฟัดกับแกได้สูสี ก็ผ่านฉลุย”


“เหรอ” ไอ้เฮียครางในลำคอ มันตักไอติมรสมะนาวเข้าปากแล้วสั่นหัวแก้เข็ดฟัน “งั้นถ้าจะให้ช่วยทำอะไรบอกเลยนะ โดยเฉพาะเรื่องตัง กูเป็นนายทุนให้ได้”


“โอ้ยไม่ต้องทำไรหรอกมึง” เห็นมันอาสาอยากทำงานแล้วก็คันปากยิบ ผมเอื้อมมือไปแย่งเชอร์รี่จากถ้วยของไอ้โนบิตะมากินโดยไม่สนใจว่ามันจะทำตาขวางยังไง “เดี๋ยวเก้ามันก็จัดการให้หมดแหละ ปกติมันก็เป็นคนทำรายงานให้พวกกูตลอด...ใช่ปะวะโนบิตะ” 


นาทีนี้ต้องเน้นเล่นหนักเล่นจริงคร๊าบจะได้สมฐานะทาสของมันหน่อย เห็นเงียบ ๆ มาทั้งวันอย่าคิดว่ากูจะไม่รู้แผนมึงนะไอ้ตอแหล เมื่อวันก่อนก็เสือกเอาแรงจนเอวกูแทบเคล็ด นี่ยังไม่รวมตอนก่อนเข้าคลาสที่ทำตาเหลือกใส่กูอีกนะ…


คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างกูไม่มีทางลืมสิ่งที่มึงทำหรอก ถึงจะทำเป็นเงียบ ๆ แค่ไหนกูก็ต้องจ้องจองล้างจองผลาญมึงตามหน้าที่อยู่ดี อันดับแรกก็เชอร์รี่ที่แม่งกะจะเก็บไว้แดกเป็นอย่างสุดท้ายเนี่ยแหละ แย่งกินซะเลย ฮ่าฮ่าฮ่า


“จริงครับ...” มันตอบออกมาเสียงเบาอย่างเสียไม่ได้ ท่าทางจะแค้นหนักถึงได้ทำตาอย่างนั้นจ้องเขม็งมาที่ผมแบบนั้นอีกแล้ว!


“เออจริง โนบิตะแม่งโคตรเป็นเพื่อนที่ดี เวลามีรายงานยาก ๆ นี่พวกกูแทบไม่ต้องทำอะไรซักอย่าง โนบิตะทำให้หมดเลย” เชี่ยชานออกความเห็น ซึ่งนั่นจริงยิ่งกว่าจริง พวกผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่ชื่อตัวเองบางทีโนบิตะมันยังเขียนให้ นึกแล้วก็อดภูมิใจในความเหนือกว่าของตัวเองไม่ได้


ผมยักคิ้วใส่โนบิตะที่นั่งข้างไอ้เฮียเตี้ยด้วยความสะใจ มันไม่ได้โต้ตอบอะไรนอกจากส่งสายตาทอดมองมานิ่ง ๆ ก่อนจะก้มหน้าลงไปกดโทรศัพท์ตัวเองยิก ๆ

‘ไลน์!’
‘ไลน์!’
‘ไลน์!’
‘ไลน์!’



ไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงแจ้งเตือนไลน์ในมือถือผมก็ดังขึ้นรัว ๆ ถี่ซะจนคนในร้านหันมามองเป็นตาเดียว


“น้องสาวมึงหรือเปล่า ไลน์มาขนาดนี้แม่งฝากซื้อของชัวร์” ไอ้ชานที่นั่งกำหลอดพยักเพยิดหน้ามาทางผม เสียงไลน์แม่งหยุดไปแล้วล่ะ แต่พอนึกถึงหน้าน้องสาวตัวแสบที่ฝากซื้อผ้าอนามัยเมื่อเช้าก็รู้สึกเซ็งเป็ดขึ้นมาทันที 


แม่งมีอย่างที่ไหนฝากพี่ชายตัวเองซื้อผ้าอนามัย? นี่กะจะทำเป็นลืม ๆ ไม่ซื้อไปให้แล้วนะ แต่ก็ยังไลน์มาเตือนรัว ๆ อีก  ผมถอนหายใจแล้วโหย่งตัวขึ้นล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตัวเอง


“เห็นหน้าเถื่อน ๆ แบบนี้แม่งไม่น่ากลัวน้องตัวเองเลยว่ะ” ไอ้เฮียที่นั่งอมช้อนออกความเห็น ผมถลึงตาใส่มันไปทีนึงโทษฐานเสือกเรื่องครอบครัวชาวบ้าน ใช่ซี่! ลูกคนเดียวอย่างมึงมันจะไปรู้อะไร ที่กูกลัวจะโดนเพ่งกบาลแยกน่ะไม่ใช่เพราะกลัวมนุษย์น้อง แต่เป็นเพราะมนุษย์แม่ฝากซื้อผ้าอนามัยผ่านน้องมาต่างหาก! 


ผมสไลด์หน้าจอทัชสกรีนแล้วกดรหัสสี่ตัวปลดล็อคไลน์อย่างใจเย็น ไหนดูซิ ไลน์อะไรมานักหนา... จะให้ซื้อแยมมาทาคู่หนมปังด้วยหรือไง แต่แล้วข้อความที่ขึ้นเตือนไม่ได้เปิดอ่านอันล่าสุดกลับไม่ใช่น้องสาวเจ้าปัญหาอย่างที่ทุกคนเข้าใจ...

แต่เป็นไอ้แว่นหน้าจืดที่นั่งจิบกาแฟดำอยู่ฝั่งตรงข้ามต่างหาก!

ปากดีนักนะ เมื่อกี้ 6:28 PM
คืนนี้จะไปหา รอเปิดประตูให้ด้วย 6:28 PM
แล้วก็อย่านอนก่อนล่ะ 6:29 PM
ไม่งั้นได้เจอดีแน่  6:29 PM


“ว่าไง น้องมึงฝากซื้ออะไรอีก” 

เห็นผมเงียบไปไอ้เชี่ยวชาญก็สาระแนถามขึ้นมาตามประสาคนขี้เสือก แต่แทนที่จะสนมันผมกลับแกว่งตีนไปกระทุ้งน่องแน่นของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแทน ไอ้เก้ายักไหล่แกน ๆ  มันทำแค่ยักคิ้วใส่ แล้วยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบชิล ๆ 


ไอ้ห่าเอ้ย !!!! อยากทึ้งหัวตัวเอง ! ทำไมไม่เคยชนะแม่งได้ซักทีวะเนี่ย!!


“เชี่ยพิก! เงียบเลยห่า... กูถามว่าน้องมึงฝากซื้ออะไร” เชี่ยชานยังคงเซ้าซี้ไม่เลิก เห็นหน้าเพื่อนมึงบ้างไหมเนี่ย เห็นบ้างไหมว่านั่งหน้าเซ็งเป็นปลาวาฬขี้ไม่ออกแล้วยังจะกดดันให้กูต้องตอบอีก!


“ฝากซื้อเหี้ยอะไรล่ะ! อย่าเสือกนักจะได้ไหม มึงนี่!”


“อ้าว ถามดี ๆ ทำไมต้องมีน้ำโหล่ะคะเพื่อน” 


“แล้วจะอยากรู้ไปทำไมล่ะวะ!!!”  ผมหันไปจิ๊ปากใส่มัน ไอ้ชานแม่งพูดจาชวนขนลุกอีกละ บทจะกวนตีนนี่ก็สุด ๆ รู้แก่ใจว่าไม่ชอบให้เอา คะ ขา ที่กูพูดแค่กับแม่มาล้อก็ยังจะทำ! นั่งข้าง ๆ อย่างนี้ถ้าไม่เกรงใจสาวสเวนเซ่นที่แม่งแอบมองตูดเขาอยู่นี่จะเอื้อมมือไปบีบไข่แม่งให้สะดุ้งเยี่ยวซักที


“เอ้า! ก็จะไปส่งมึงซื้อของเหมือนทุกทีไง ไหนบ่นว่าซื้อของทีไรแม่ก็สั่งแต่ของหนัก เห็นมึงไม่มีรถกูก็แค่จะทำหน้าที่เพื่อนที่ดี...”


“เพื่อนที่ดีหรือผัวกันแน่วะเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า” 


ไอ้เฮียที่นั่งเงียบ ๆ เฝ้าสังเกตการณ์มานานพูดทะลุขึ้นกลางปล้อง และนั่นทำให้ไอ้ชานถึงกับชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมมาวางลงบนหัวผมทันที...   


“เฮ้ย ตลกแล้ว ผัวเผออะไรวะ กูก็แค่ดูแลเพื่อน”


“เพื่อนห่าอะไร กูเห็นตั้งแต่วันที่ไปกินชาบูหมูคุโรบุตะลูกผสมพันธุ์ฮอกไกโดด้วยกันแล้ว มึงเอาแต่นั่งจ้องว่าพิกแม่งจะแดกหมดถ้วยเมื่อไหร่ เฝ้าคีบ เฝ้าเติมโน่นเติมนี่ แถมยังบังคับให้มันแดกผักอีก...ถามจริงเหอะ เพื่อนกันเขาดูแลกันขนาดนี้เลยหรอวะ...ใช่ป่ะเก้า”


โอ้ย แล้วแม่งจะหันไปถามไอ้แว่นจืดนั่นทำไม หันมาเจอหน้าเชี่ยชานที่เหมือนจะช็อค ๆ ไป ก็อยากจะเอาช้อนเคาะหัวมันแรงๆ ! มึงจะสนใจทำไมล่ะโว้ยยยย ทำไมต้องทำหน้าเหมือนเพิ่งค้นพบแผ่นดินใหม่ในแผนที่แบบนั้นด้วย!


“ผมไม่รู้” ไอ้เก้าตอบออกมาเบา ๆ ตามประสามัน ในขณะที่ไอ้ชานหันหน้าไปมองก้นของสาวสเวนเซ่นสลับกับหันมามองหน้าผม

“พวกกูเหมือนผัวเมียกันจริง ๆ หรอวะ” เชี่ยวชาญที่ดึงตัวเองกลับมาได้จากอาการเหม่อก็หันไปถามไอ้เฮียพลางขมวดคิ้วมุ่น


เคร้ง!


เสียงช้อนคนกาแฟกระทบกับจานรองแก้วทำให้พวกเราทั้งสามละความสนใจจากประเด็นผัว ๆ เมีย ๆ ไปซะฉิบ มองไปตามมือยาวของไอ้เก้าที่เพิ่งจะเลื่อนแก้วกาแฟออกห่างตัวก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศเย็นเยียบที่แผ่ซ่านไปทั่ว นี่ถ้าเป็นคนชอบคิดไปเองก็คงจะนึกว่าแม่งกำลัง‘หึง’ผมอยู่แน่ ๆ


แต่ไม่เป็นงั้นหรอกมั้ง....


“ผมจะไปเข้าห้องน้ำ... ” 


พูดจบไอ้เก้ามันก็ทะลึ่งพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้วก้าวฉับ ๆ ออกไป เล่นเอาเชี่ยชานที่ไม่เคยเห็นโนบิตะในมุมนี้ถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ 

“ไอ้โนบิตะแม่งตลกจังวะ...สงสัยแม่งจะอั้นฉี่จนหงุดหงิด” 


“...” ตอนนี้หูผมไม่ได้ยินประโยคถัดมาของไอ้ชานเลย ในใจก็เอาแต่คิดว่า ถ้าแม่งปวดฉี่จริง ๆ ทำไมไม่ไปเยี่ยวตั้งแต่แรกวะ ทำไมต้องออกไปทั้งหน้าตาชวนหงุดหงิดตามแบบนั้นด้วย...


แต่ยังไม่ทันที่จะได้นึกอะไรต่อ ไอ้เฮียเตี้ยที่นั่งทำหน้าเจ้าเล่ห์อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ผุดลุกขึ้นมายิ้มใส่จนตาเป็นสระอิ


“เพิ่งนึกขึ้นได้ตะกี้...”

“...”

“กูก็ปวดฉี่เหมือนกัน”


   ____________________________________________

TBC
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 9 (06/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 06-08-2015 01:35:18
พิกงานเข้าซะล่ะมั้งเนี่ย อิเฮียนี่ก็ชงซะได้เรื่อง :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 9 (06/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 06-08-2015 04:30:42
เฮียนี่เหมือนจะรู้จักเก้ามาก่อนเลย โอ้ยมีหึงง ชอบมากกก อัพต่อไวๆนะคะ รออยู่ อิอิ ชอบมากกกกก พิกน่ารักเกินนนนน
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 9 (06/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 06-08-2015 06:33:11
เฮียแซวชานทีหนึ่งนี่พาบรรยากาศอึมครึมมาเยือนรอบโต๊ะเลยนะคะ ระวังจะถูกหางเลขคัดชื่อออกจากรายงานแบบไม่รู้ตัวเอาไว้ด้วยก็ดีน้าา~ o18

ส่วนพิก..ถูกเก้าคาดโทษเอาไว้เสียขนาดนั้นแล้ว ฟ้าเหลือง(อ๋อย~)นี่ไม่หนีพิกไปไหนแน่ๆ เลยนะคะงานนี้ :laugh: 
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 9 (06/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 06-08-2015 08:13:02
มโน 1. ชิสุกะชงให้สุเนโอะกิ๊กกับไจแอนท์หรือเปล่าเนี่ย แล้วกะหนีบโนบิตะ   น่าจะรู้จักกันมาก่อนนะเพราะว่ารวยเหมือนกัน

มโน 2. ชิสุกะเสี้ยมให้สุเนโอะชนกับโนบิตะกะแยกไจแอนท์ออกมาจากสุเนโอะ   เพื่อหนีบสุเนโอะไว้เอง (เราจิ้นตั้งแต่ที่นางมาแทรกระหว่างพิกกับชาญ)

มโน 3. เฮียกะหนีบพิก
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 9 (06/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 06-08-2015 12:01:22

10



“ไหนล่ะผ้าอนามัย” 


เงยหน้าขึ้นมาก็เจอน้องสาวบังเกิดเกล้าแบมือเข้ามาใกล้จนนิ้วแทบจะกระแทกตาแตก ผมถอนหายใจใส่ไอ้พิมพ์แล้วชี้นิ้วไปที่โต๊ะกับข้าวด้านหลังก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจกับละครช่อง7ที่แม่ผัวกำลังถลึงตาใส่จอต่ออย่างเซ็ง ๆ


“อีกแล้วนะ! บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ซื้อโมเดส ทำไมซื้อลอริเอะมาทุกทีเลย!” 


เสียงไอ้พิมพ์ยังคงดังหึ่ง ๆ ที่ด้านหลัง แต่นาทีนี้ผมไม่ใส่ใจจะหันไปเถียงกับมันเหมือนอย่างทุกที เพราะเสียงในละครทีวีมันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ประหลาด ๆ บางอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้...


‘ฉันรู้แล้วว่าคนที่แกแอบไปคบชู้ด้วยน่ะเป็นใคร รอให้ถึงเวลาก่อนเถอะ! ฉันจะแฉพวกแกให้อายจนไม่กล้าเดินผ่านหน้าเซเว่นเลยคอยดู!’


เสียงแม่ผัวที่แหลมจนเกือบทะลุแก้วหูแตกในทีวีนั่นทำให้ผมหายใจติดขัด อันที่จริงก็ไม่อยากจะนึกอะไรหรอกนะ แต่วันนี้แม่งโคตรประหลาด...ประหลาดจนต้องเก็บเอามาคิดมากทั้ง ๆ ที่ผมไม่ใช่คนคิดมากเลยอะคิดดูสิ 


คืองี้นะครับ...หลังจากที่ไอ้โนบิตะมันกลับมาจากห้องน้ำพร้อมกับไอ้เฮียบรรยากาศก็เปลี่ยนไปเลย จากที่มีคุยเล่นกันบ้าง แว่นจืดมันก็เงียบเป็นเป่าสากตลอดงานจนไอ้ชานยังบ่นว่าไปฉี่แล้วอาจได้ขี้มาด้วยแต่ห้องน้ำสกปรกเลยขี้ไม่ลงจนพาลต้องหงุดหงิดแบบนี้ (ขอบคุณความขี้มโนของมึงมาก ควายยังดูออกเลยมั้งว่าแม่งไม่สบอารมณ์) แต่เล่า ๆ มาเนี่ยก็ยังไม่เท่ากับประเด็นที่ไอ้เฮียแม่งยิ้มกรุ้มกริ่มตลอดงานอย่างกับเมื่อกี้ไปเยี่ยวออกมาเป็นทองยังไงอย่างงั้น


แล้วที่จี้ใจกันสุด ๆ ก็เห็นจะเป็นตอนยื่นมือไปหยิบตังทอนนั่นแหละ นิ้วก้อยผมกับไอ้เก้าเสือกแตะโดนกันโดยไม่ได้นัดหมาย...แล้วจะให้ทำไง ก็รีบชักมือออกสิวะ! แต่ถึงจะรีบอย่างนั้นก็ยังไม่ทันสายตาอันขี้เสือก(เบอร์สอง)จากไอ้เฮีย มันมองผมสลับกับโนบิตะไปมาแบบมีเลศนัย ( น่าเห็นใจเชี่ยวชาญมันนิดหน่อย เพราะมันออกจะหงุดหงิดเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครใส่ใจจะมองหน้ามันตอนพูดด้วยเลย ) หน้าด้านมองอยู่อย่างนั้นจนเป็นผมที่ต้องหลบสายตามันเอง


“ถามว่าทำไมถึงซื้อลอริเอะมา!”


ภาพแม่ผัวลูกสะใภ้ด่ากันโขมงโฉงเฉงในทีวีตัดฉับกลายเป็นหน้านางยักษ์ขมูหมีพร้อมผ้าอนามัย 1 ห่อถ้วนมาอยู่ตรงหน้าแทน ผมถอนหายใจแล้วเอนหลังลงกับพนักพิง กอดอกแล้วพยักเพยิดหน้าไปทางห่อผ้าอนามัยในมือน้องสาว


“ก็โมเดสมันไม่มีปีก เห็นชอบบ่นว่าแยมเปื้อนขอบกางเกงทุกที เลยซื้อไอ้ที่บาง ๆ แบบมีปีกมาให้แทน จะได้สวยเหมือนนางฟ้าวิคตอเรียซีเคร็ทไง...ใส่แล้วบินได้เลยนะ กลิ่นก็หอมชาเขียว--”


“กรี๊ดดดดดดดดด พูดมาได้ยังไง หน้าไม่อาย เป็นผู้ชายแท้ ๆ มาแยมเปื้อนอะไรไอ้บ้า!!!!” 


งานอดิเรกอีกอย่างที่นอกจากการปัดกวาดเช็ดถูบ้านก็แหย่น้องสาวเนี่ยแหละครับ ไอ้ที่บอกว่าตั้งใจซื้อแบบมีปีกนี่ก็มีเหตุผลจริง ๆ ก็กันไว้ก่อนดีกว่าแก้ทีหลังไม่ใช่หรอวะ พูดแค่นี้ทำมาเป็นอายแล้วทีเวลาฝากกูซื้อผ้าอนามัยนี่ไม่เคยจะอายเลย มาตะโกนใส่หน้าฉอด ๆ แบบนี้ใครจะเอามันไปทำเมียบ้างเนี่ย


“ทะเลาะอะไรกันอยู่ได้ เสียงดังไปถึงหลังบ้านเลย” นี่แม่ผมเองครับ เดินออกมาพร้อมตะหลิวที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำยาล้างจานจากอีเกีย แม่เดินออกมาหยิบผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อที่ซ่กหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเท้าสะเอวมองผมกับน้อง   


“ก็พี่พิกมันแกล้งหนู! / หนูเปล่าทำอะไรน้องนะแม่!” เราทั้งคู่ตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน


ผมรีบยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้แล้วแก้ตัวอย่างไว สกิลเอาตัวรอดนี้ต้องงัดออกมาใช้ก่อนที่ตะหลิวแม่จะลอยมากระแทกหน้า ก็บอกแล้วว่าเป็นลูกชัง เห็นน้องมันออดอ้อนเข้าหน่อยแม่ก็พร้อมจะตีผมให้ก้นลายแล้ว... ก็อย่างว่าเกิดเป็นลูกผู้ชายบ้านนี้โคตรอาภัพ แม่ไม่ค่อยแสดงออกว่ารักเท่าไหร่...


“ไอ้พิก! แกแกล้งอะไรน้องมัน—” 


ปรี๊นนนนนนนนนนนนน


ยังไม่ทันที่แม่จะได้ยกตะหลิวขึ้นมาชี้หน้าผมแล้วฟาดก้นให้พร้อยไปด้วยลายมือเหมือนเสื้อยี่ห้อบอดี้โกรพ เสียงบีบแตรจากยานพาหนะปริศนาก็ดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง พวกเราทั้งสามคนยุติการกระทำอันไร้ความเป็นกลางนี้ลง ก่อนจะพร้อมใจไปสามัคคีชุมนุมตรงหน้าต่างบานมุ้งลวดที่ข้างประตูแทน


“รถใครไม่คุ้นเลย” แม่ผมบ่นเบา ๆ


“กรี๊ดดดด ขับบีเอ็มดับบลิว ไอ8 ด้วย!!!” เสียงน้องสาวบ้าวัตถุ


“หรือว่าจะเป็น...”  นี่ผมเอง...ครางออกมาเบา ๆ แล้วรีบตวัดหน้าหันไปมองนาฬิกาติดผนังที่ด้านหลัง...   


Rrrrrr Rrrrrrrr


มันไม่รอให้สมองได้ประมวลผลอะไรเลยครับ พอสิ้นเสียงแตรครั้งที่สามมันก็โทรเข้าเครื่องผมเลย


จะใครซะอีกล่ะ ก็ไอ้โนบิตะไง!


“ฮัลโห--”


[ “ออกมาเปิดประตูบ้านครับพิก...เดี๋ยวนี้” ]


โอโห สั่งเสียงเข้มขนาดนี้กูเป็นคนรับใช้มึงปะเนี่ย? แต่ก็ไม่ได้อิดออดอะไรหรอกครับ พอมันพูดจบกดตัดสายปุ๊บ ผมก็รีบถลาไปคว้ากุญแจประตูรั้วทันที...


“ใครมาน่ะพิก” แม่ถามท่ามกลางความมึนงงของตัวแม่เองและน้องสาว คือไม่ใช่อะไรนะครับ รถไม่คุ้นตาเขาเลยงงกันนิดนึงว่าผมมีเพื่อนที่ไหนนอกจากไอ้ชานด้วยหรอ... แต่หลังจากนี้แม่ก็ควรรู้ได้แล้วนะว่าผมมีเพื่อนมากกว่าไอ้บ้านั่นเพิ่มมาอีกถึงสองคน...


  “เพื่อนหนูอะแม่ เดี๋ยวหนูมา ไปเปิดประตูให้มันแป๊บนึง”


ไม่อยากให้รอนานครับ กลัวมันบีบแตรอีกรอบแล้วข้างบ้านจะออกมาตะโกนด่าข้อหาทำเสียงดังรบกวนในยามวิกาล ผมวิ่งเหยาะ ๆ ไปไขกุญแจรั้วแล้วเปิดประตูให้กว้าง ๆ เปิดเสร็จมันก็พุ่งรถเข้ามาในตัวบ้านทันทีอย่างรู้งาน...ดับเครื่องเสร็จลงมาก็เจอผมล็อกประตูรั้วอีกรอบแล้ว


“คุณแม่คุณยังไม่นอนใช่ไหม?”


ผมหันไปหามันที่เดินเข้ามาซ้อนข้างหลัง ไอ้เก้าตอนนี้อยู่ในสภาพที่...  แต่งตัวดีโคตร ๆ มันใส่เชิ้ตขาวปกดำ กางเกงยีนเข้ารูปสีดำ เซตผมตั้งแต่ใส่แว่น (ไม่ใช่กรอบที่มันใส่ไปเรียนปกติ อันนี้ดูแพงกว่ามาก) แถมยังหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำหอมแบรนด์ที่ผมชอบแอบไปดมในช็อปของห้างดังบ่อย ๆ เข้าเซตกับถุงกระดาษแปะยี่ห้อขนมหวานชื่อดังอันเท่าเขื่องอีก...


เรียกได้ว่าดูดีเหี้ย ๆ ...ผิดกับสภาพผมตอนนี้มาก 


“ยังไม่นอน มาแล้วก็ไปหวัดดีแม่ก่อน ขอโทษเค้าด้วยที่บีบแตรเสียมารยาทเมื่อกี้อะ” ผมพูดพลางเดินนำมันเข้าบ้านไป ไม่อยากจะบอกแม่กับน้องเลยว่าเนี่ย เพื่อนที่มหาลัย เพราะจากสภาพผมกับมันตอนนี้เหมือนเจ้านายกับคนใช้มากกว่า...


ก็จะอะไรอีกล่ะ ก้มลงมองตัวเองตั้งแต่เสื้อนอนเก่า ๆ คอขาดวิ่น (แต่ก็ยังใส่) กางเกงบ็อกเซอร์ขาสั้นลายสปองบ๊อบ (ที่ใส่เดินร่อนไปร่อนมาทั่วบ้านจนยางยืด) แล้วยังจะอีแตะโชว์ตาตุ่มด้าน ๆ นี่อีก...ทุกอย่างรวมกันแล้วไม่มีอะไรที่เทียบชั้นกับมันได้เลยแม้แต่น้อย


เรียกได้ว่าไอ้โนบิตะแม่งฉีกภาพไอ้แว่นจืดออกไปได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว (แม้จะใส่แว่นตาเหมือนกันก็ตาม)



“แม่...นี่เพื่อนหนู ชื่อเก้า...เก้า นี่แม่กู...ชื่อนายแม่”

เข้ามาถึงในตัวบ้านผมก็รีบแนะนำนายแม่ให้เพื่อนรู้จักก่อนเลย ไอ้โนบิตะพอถอดรองเท้าเสร็จก็รีบเงยหน้าขึ้นมาพนมมือไว้กลางอกแล้วค้อมหัวไว้ลงอย่างนอบน้อมรู้งาน ส่วนแม่น่ะหรอ เห็นแล้วก็ทำหน้าเขิน ๆ มือไม้นี่พันกันยุ่ง...สงสัยไม่คิดว่าเพื่อนลูกจะหล่อขนาดนี้


“สวัสดีครับคุณแม่”


“สะ...สวัสดีจ้ะเก้า...เข้ามานั่งก่อนสิ” แม่ผายมือเชิญแขกไปทางโซฟาตัวใหม่ที่ซื้อจากอีเกีย แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาเหยียบพรมเปอร์เซียที่ช่างไม่เข้ากับสภาพบ้านก็ต้องยิ้มกว้างออกมาเมื่อโนบิตะมันยื่นถุงที่อยู่ในมือส่งไปให้ 


“ไม่ทราบว่าคุณแม่จะชอบหรือเปล่านะครับ แต่ขนมเจ้านี้คุณแม่ผมท่านก็ชอบ...เห็นพิกบอกว่าคุณแม่เปิดร้านขายอุปกรณ์ทำเบเกอร์รี่เลยคิดว่าคุณแม่คงจะชอบขนมเค้ก”


“อุ้ย” เรียกว่าเลือกของมาได้ฉลาดมาก แม่ผมนี่ตาวาวอย่างกับเห็นของลดราคาในท็อปส์ “แบรนด์นี้ที่เพิ่งมาเปิดตัวในพารากอนใช่ไหมจ้ะ แม่เล็งไว้นานแล้วว่าจะชวนลูกสาวออกไปชิมพอดี...ขอบคุณมากเลยนะจ้ะลูกชาย” แม่พูดแล้วก็ชี้ไปทางไอ้พิมพ์ที่ยืนตัวบิดอยู่ข้างหลัง สายตาน้องสาวผมนี่วาววับ ดูท่าทางอยากจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ของพี่ชายมันมาก แต่จากสภาพเสื้อผ้าที่มันใส่อยู่ตอนนี้คงจะไม่กล้าทำอะไรกระโตกกระตาก ก็ชุดพละเก่า ๆ สมัยม.ต้นนั่นมันดูเหมือนชุดจีบหนุ่มซะเมื่อไหร่


จะว่าไปก็เรียกได้ว่าไอ้เก้าประสบความสำเร็จในการเข้าหาแม่ผมมาก ขนาดเชี่ยชานเข้าบ้านผมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกแม่ผมยังไม่เคยเรียกมันว่า ‘ลูกชาย’ ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแบบนี้เลยซักครั้ง...น่าน้อยใจแทนแม่งไหมล่ะ ตาแม่งี้เชื่อมเชียว ส่วนน้องสาวบังเกิดเกล้างี้ถอยกรูดหลบมุมไปอยู่หลังเสาอย่างรู้หน้าที่...ไม่มีออกมาโวยวายเหมือนตอนผมเล่นเกมกับไอ้ชานเลยซักนิด...


“แล้วมาทำอะไรดึก ๆ ดื่น ๆ ป่านนี้ล่ะจ้ะ มีธุระสำคัญอะไรกับพิกเขาหรือเปล่า” แม่ถามขึ้นทันทีที่พวกเราหย่อนก้นลงสัมผัสกับความนุ่มของโซฟา ไอ้เก้าไม่ตอบอะไรในทันที มันทำเพียงแค่หัวเราะ แล้วก้มลงไปหยิบถุงกระดาษอีกอันมาวางไว้บนโต๊ะ


“มาติวหนังสือให้พิกน่ะครับ” 


“ติวหนังสือ? / อ่านหนังสือเนี่ยนะ? / ติวอะไรวะ” แม่ / น้อง / ผม ตกใจแบบเรียงตามลำดับ


ทุกคนในบ้าน(รวมถึงผม)กรีดร้องอย่างคนเสียประสาทเมื่อสิ่งที่มันพูดออกมาเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำเลยตั้งแต่เกิดมาในชีวิตนี้ ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นที่ตกใจสุดขีด แม่และน้องต่างก็ออกอาการมือไม้อ่อนทันทีเมื่อได้ยินไอ้โนบิตะมันพูดออกมาอย่างนั้น


“ใช่ครับ” มันยิ้มอย่างไว้ที “จะเป็นการรบกวนเกินไปไหมครับ ถ้าหากผมจะขออนุญาตติวกับพิกจนกว่าจะอ่านที่เตรียมมาจนหมด”


ได้ยินคำว่า ติว ที่มันเน้นเสียงก็ขนลุกวาบเป็นวงที่กลางสันหลังเลยครับ ไม่พูดเปล่านะ แม่งยังหันมาพยักหน้าแล้วยิ้มให้ผมอีกด้วย... จะมาไม้ไหนล่ะวะเนี่ย วันนี้ก็แกล้งมันไปซะเยอะด้วย....


ไม่น่าเลยกู....ไม่น่าเลย


“ได้สิจ๊ะ” แม่พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนพระแม่มารีตอนประทานพร “เดี๋ยวแม่ล้างจานเสร็จก็จะขึ้นไปนอนแล้ว ลูก ๆ ก็ไปอ่านหนังสือกันข้างบนนะ...พิมพ์ถ้าจะดูทีวีก็เบาๆเสียงหน่อยนะลูก พี่ๆเขาจะได้มีสมาธิอ่านหนังสือกัน”


โอโห นี่มันพระแม่มารีอาร้องเพลงของมาดอนน่ากับบียองเซ่!!! ไม่รู้จะอุทานเป็นภาษาอะไรเลย รู้แค่ว่าตั้งแต่จำความได้ก็ไม่เคยเห็นแม่ตัวเองพูดจาไพเราะเหมือนเคาะออกมาจากกลอนโบราณอย่างนี้! เชี่ยเก้ามันทำได้ไงวะ ทำให้แม่ผมเรียกผมว่า ‘เขา’ แล้วยังจะให้ไอ้พิมพ์เงียบเสียงเพื่อให้ผมได้ติวหนังสืออย่างเป็นสุขอีก??? 


ผมหันไปมองน้องสาวตัวเองที่หลบมุมหลับเสาพยักหน้าหงึก ๆ แล้วเสหน้ากลับมาหรี่ตามองไอ้เก้าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นมันกระตุกยิ้มนิด ๆ ก็รู้แล้วว่าแม่งเล่นไม่ซื่อ ! รู้ว่ากูกลัวแม่ก็เลยกะเข้าทางแม่กูสินะ... ไอ้คนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไอ้ตัวร้ายในการ์ตูนเล่มละ 45 บาท! มึงมันเลยจุดประสงค์ของคำว่าโนบิตะไปไกลแล้ว! มึงมันจอมมาร! มึงมันโวลเดอมอร์ในคราบดัมเบิ้ลดอร์ มึงมันเซารอนในคราบแกรนดาฟ!!!!!


“ขอบคุณมากนะครับ...งั้น...เริ่มติวกันเลยดีกว่านะครับพักเดี๋ยวจะดึกแล้วง่วงซะก่อน”


สาบานได้ว่ามันกำลังพูดกับผมด้วยน้ำเสียงแบบที่เริงร่าเป็นที่สุดเลย!!! หันไปเจอแม่ก็ทำหน้าเหมือนปลิ้มปริ่มซะมากมาย กะอีแค่ลูกชายมีเพื่อนรักเรียนมันจะอะไรกันนักกันหนา รู้แล้วว่าหล่อ! แต่ไม่เห็นต้องแสดงออกหน้าขนาดนี้เลย...


ไอ้พิมพ์ก็เหมือนกัน หันไปมองอีกรอบก็หายแว๊บไปแล้ว มาอีหรอบนี้ไม่ต้องเดาเลยว่าแม่งหายไปไหน ก็ไปแต่งตัวน่ะสิ เอาหัวเป็นประกันว่าอีกไม่กี่นาทีหลังจากนี้ต้องมีคนมาเคาะห้องผมระหว่าง ‘ติว’ อย่างหนักแน่นอน!

.
.
.

ขึ้นมาถึงห้องตัวเองก็ทางโปร่งโล่งสบายแล้วครับ พอปิดประตูหนีสายตาวิววับเป็นประกายมันวาวของแม่ได้ผมก็โยนถุงหนังสือทั้งหมดลงบนเตียงแล้วเอานิ้วโป้งตีนยกขึ้นชี้หน้ามันด้วยความหงุดหงิดทันที


“ติวหนังสือเหี้ยไรของมึงวะ พูดโกหกตกนรกกินขี้นกไปโรงเรียนนะโว้ย”


ผมออกปากด่าทั้งที่ตีนยังชี้หน้ามันอยู่ ส่วนไอ้โนบิตะน่ะหรอครับ ดูไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย มันเงยหน้ามองสำรวจห้องผมใหญ่ ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าสนใจหรือแกล้งทำเป็นหูทวนลมใส่ผมกันแน่


“กูถามว่าติวหนังสือเหี้ยอะไรของมึง!” พอสบโอกาสที่มันเดินเข้ามาใกล้ก็ออกแรงเหวี่ยงตีนกระแทกข้อพับมันอย่างแรง ไอ้เก้าเซไปข้างซ้ายนิดนึงก่อนจะหันขวับกลับมาหาผมที่นอนแผ่หลาเท้าศอกสองข้างชะโงกหน้ามองมันกลับอย่างกวนตีน


“ไม่ได้จะติวหนังสือหรอกครับ” พูดจบก็ถอนหายใจใส่ผมดังเฮือกเหมือนคนเซ็งในอารมณ์แบบสุด ขีด “กางโต๊ะญี่ปุ่นสิครับ เดี๋ยวจะบอก...ว่าทำไมถึงมาหา” 


ผมหันไปตามสายตาของมันที่มองไปยังโต๊ะญี่ปุ่นเล็ก ๆ ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ ไอ้เก้สส่งเสียงเบา ๆ ว่าเร็ว ๆ อีกครั้งในลำคอ มันเข้มซะจนต้องรีบพลิกตัวลงจากเตียงไปหยิบโต๊ะมากาง ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าจะทำตามคำสั่งของมันทำไม...


กางโต๊ะเสร็จมันก็ลงมานั่งขัดสมาธิแล้วหยิบหนังสือเป็นตั้งเลื่อนมาวางไว้ตรงหน้า ผมขมวดคิ้วมองไอ้กองหนังสือเท่ากระเป๋าแบรนด์เนมตั้งเล็ก ๆ ของไอ้พิมพ์สลับกับมองหน้าโนบิตะมันแบบคนกำลังงง


“นี่อะไรวะ”


ถามออกไปเพราะไม่รู้จริง ๆ ครับ หนังสือเท็กซ์เป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้น แถมมีกระดาษคั่นไว้ให้เรียบร้อยเลย แต่ประเด็นไม่ใช่ว่ามันเรียบร้อยไม่เรียบร้อย ประเด็นคือ...แล้วมึงมาซะดึกดื่นขนาดนี้ บีบแตรจนข้างบ้านแทบจะออกมาฟ้อนรำด่ากูเป็นเพลงกาพย์เพื่อมากางหนังสือให้กูดูเนี่ยนะ...


“งานวิจัยของกลุ่มเราที่ต้องส่งพรุ่งนี้ไงครับ” โนบิตะพยักเพยิดหน้าบนกองหนังสือ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองมาวางไว้บนโต๊ะแล้วสไลด์เข้าแอพไลน์


“แล้ว...ยังไงวะ”  ก็จะไม่ให้งงได้ยังไง ผมเคยต้องอ่านหนังสือพวกนี้ที่ไหน ปกติโนบิตะมันก็ทำจนเสร็จเป็นเล่มแล้วส่งให้ตลอด...


อย่าบอกนะว่า...


“จะให้คุณทำไงครับ...” มันเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์แล้วส่งยิ้มเย็นเตร็กที่ไม่ได้เป็นเจ้าของเดียวกันกับโทนาฟมาให้ “เห็นเมื่อเย็นปากดีนัก ลองทำเองดูบ้างซักครั้งสิครับ จะได้รู้ว่าทำงานแทนคนอื่นมันเหนื่อยแค่ไหน”

 
โอโห มาประโยคเดียวนี่กูเย็นวาบไปทั้งหน้าเลย... อันที่จริงก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อยแหละครับ หนังสือตั้งเท่าตึกช้างขนาดนี้มันอ่านแล้วสรุปเป็นการบ้านให้พวกผมได้ไงวะ... มันเอาเวลาตอนไหนไปทำถ้าไม่ใช่หลังเลิกงานที่เกือบจะเช้าตรู่ของทุกวัน?  ลองนึก ลองประติดประต่อเหตุการณ์ดูก็เท่ากับว่าช่วงไหนมีการบ้านเป็นงานกลุ่ม (ซึ่งบ่อยมาก ๆ) ก็เท่ากับว่ามันก็แทบไม่ได้นอนเลยงั้นสิ...


เห็นสีหน้าจริงจังของมันแล้วก็แอบกลัวนิด ๆ ครับ คือมันมองมาด้วยสายตาเย็นชาแบบสุด ๆ ใต้ตางี้ ถ้าไม่เอาแป้งกลบ ไม่มีแว่นบังก็เกือบจะน้อง ๆ หมีแพนด้าของพี่จีนแล้ว... แม่ง น่าสงสารชิบหาย...เอาไงดีวะ จะใจอ่อนหรือจะแข็งใจไว้...
 

“กูไม่ทำ” พอคิดได้ว่าไม่ควรทำตามให้มันย่ามใจก็รีบกระโดดขึ้นเตียงแล้วห่มผ้าทันที “กูง่วง จะนอนแล้ว ไม่ทำอะไรทั้งนั้นแหละ”


บอกมันเสร็จก็ตะแคงตัวนอนหันหลังให้...ใครอยากทำก็ทำไปสิ แต่กูไม่ทำแน่ ๆ


“แน่ใจนะ?” มันถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก และจากนั้นที่ว่างข้าง ๆ ผมก็ยวบไปตามร่างของมันที่ทิ้งตัวลงมานอนข้าง ๆ


“เออแน่ใจ” ผมตอบแล้วเอี้ยวตัวหันกลับไปมองมันที่นอนเท้าแขนอยู่ข้าง ๆ มองมาก็มองกลับสิวะ ไม่กลัวหรอก! “ถ้าอยากให้มีคนทำมากเดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปให้เชี่ยชาน--”


“อย่าพูดถึงคนอื่น” อยู่ ๆ มันก็พูดสวนขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย สีหน้ากับน้ำเสียงนี่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีนเลยครับ “งั้นทำอย่างอื่นดีไหมล่ะครับ...ทำอะไรก็ได้ที่ผมจะไม่รู้สึกว่าเสียน้ำมันรถมาที่นี่ฟรีๆ”

มาแล้วครับฉากเข้าพระเข้านาง... มันพูดพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเกินพอดี ใกล้จนลมหายใจของมันเป่ารดข้างแก้มผม... คือไม่ใช่ว่ากูจะสมยอมนะ แต่สถานการณ์นี้ ในห้องกูแบบนี้...ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะกล้าทำอะไรที่มากไปกว่าจูบบ้าง


“...”


“ไม่กลัวเลยหรือไง” มันถามเบา ๆ เพราะผมจ้องสู้มันกลับยิบตา 


“ไม่” ผมตอบทั้งยังคงจ้องตามันอยู่อย่างนั้น


ทุกอย่างค่อย ๆ ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทั้งจมูกโด่งเป็นสัน ทั้งดวงตาคู่เรียวรีและริมฝีปากสีแดงฉ่ำของมัน โนบิตะมันยอมป๊อดเพราะเป็นฝ่ายหลับตาก่อน แต่หลังจากนั้นรู้ตัวอีกทีท้ายทอยผมก็โดนรวบเข้าไปใกล้จนริมฝีปากของเราทั้งคู่สัมผัสกันแนบแน่น


อีกครั้งที่ต้องบอกว่าแม่งจูบโคตรเก่ง... โนบิตะเล็มริมฝีปากผมจากด้านนอก ทั้งบดคลึงทั้งขยี้เบา ๆ จนรู้สึกจั๊กจี้ ไม่รู้เป็นห่าอะไร แต่เวลาจูบกันแทบทุกครั้งมันจะต้องดูดกลีบปากผมจนช้ำไปหมด ลิ้นก็เหมือนกัน ชอบสอดเข้ามาแล้วดุนเล่นกับเพดานอยู่ได้ คือมันจั๊กจี้ไง...พอคัน ๆ ปนเสียว ๆ ผมก็ต้องถดหน้าออก พอถดหน้าก็เหมือนยิ่งเปิดทางให้มันคร่อมผมได้สะดวกอย่างนี้...


“วันนี้คุณแม่งโคตรน่าหมั่นไส้เลยรู้ตัวไหม” มันผละปากออกมากระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูโดยที่มือก็เลิกเสื้อลูบไล้แผ่นอกผมไปด้วย... แล้วเชื่อไหม ตอนมันบอกว่าหมั่นไส้นี่สะกิดยอดอกผมอย่างแรงจนต้องผวาจิกหลังมัน... ล่อแหลมสุด ๆ ไปเลยครับไอ้เหี้ย ทั้งเขี่ยทั้งบีบซะแรงเลย... นวดคลึงเฟ้นแม่งขนาดไหนก็ไม่มีน้ำนมคุณแม่ออกมาให้มึงดูดหรอกไอ้ห่า!


“ปากดีนักไม่ใช่หรอ แล้วทำไมตอนเฮียมันพูดถึงไม่หัดปฏิเสธซะบ้าง...”


“....”

“หรือว่าชอบใจกับตำแหน่งเมียที่คนอื่นเขายัดเยียดให้...”


สมงสมองตอนนี้ไปหมดแล้วครับ แม่งพูดอะไรมาก็ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องแล้ว ได้ยินอยู่ไม่กี่คำคืออะไรเฮีย เมีย ๆ ...แม่งบ่นอะไรวะ งุบงิบงุบงิบอยู่ได้ตรงคอชาวบ้าน พูดไปก็ดูดคอกูไปแบบนี้ใครเขาจะฟังมึงรู้เรื่อง!


“อะไรของมึงเนี่ย...จะพูดอะไรก็พูดออกมาดัง ๆ สิวะ”  ผมขมวดคิ้วมองไอ้เก้าที่ผละหน้าออกมาจากคอ มันถอนหายใจออกมาเบา ๆ กลอกตามองเพดาน แล้วกระแทกเสียงใส่ผมอย่างคนอารมณ์เสีย


“ถามว่าชอบนักหรือไง ที่ให้คนอื่นเขามองว่าเป็นเมียเชี่ยวชาญน่ะ!”


“ห๊ะ...” 


วิ๊งเลย...อึ้งเลย... เดี๋ยวนะ... คือกูไม่คิดว่านี่จะเป็นเรื่องที่น่าเก็บเอามาคิดไหม? ใครจะพูดอะไรก็ช่างมันสิวะ คนเป็นเพื่อนกันก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีอะไร แล้วมึงจะมาหงุดหงิดอะไรกูเนี่ย 


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“พี่พิก เปิดประตูหน่อย พิมพ์เอาน้ำมาให้”


อยู่ ๆ ก็เหมือนกับว่าได้ยินเสียงระฆังดังช่วยชีวิตในใจ ผมนี่แทบจะตีลังกาลงจากเตียงทันทีที่รู้ว่าน้องสาวมายืนเรียกอยู่หน้าห้อง... แต่ไม่ทันที่จะได้ลุกออกตากฟูกไปตามใจปรารถนา โนบิตะมันก็กระชากแขนผมให้กลับมานอนที่เดิม แล้วโน้มหน้าลงมาใกล้ ๆ


“จะไปไหนครับ” มันรวบแขนทั้งสองข้างของผมแล้วออกแรงกดล็อกแขนจนแทบขยับไม่ได้ 


“จ..จะไปเปิดประตูให้พิมพ์ไง...มันเอาน้ำมาให้...ไปเปิดช้าเดี๋ยวมันสงสัย”   


“ไม่ให้ไป” โนบิตะยื่นคำขาดแล้วหรี่ตามอง “ถามม่ตอบก็ไม่ให้ไป”


“โอ้ย...เป็นเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย ลุกออกไป กูจะไปหาน้องสาว” อยู่ดี ๆ ก็เกิดรักน้องสาวบังเกิดเกล้าขึ้นมาเฉย ผมแหวใส่มันเสียงเบาแล้วพยักเพยิดไปทางประตู สถานการณ์ล่อแหลมแบบนี้ยังจะเอาอะไรจากกูอีก ยิ่งผมดิ้นจะลุกจากเตียงมันก็ยิ่งล็อกแขนผมแน่นขึ้น เรียกว่าไม่ยอมลดราวาศอกให้เลยแม้แต่น้อย


“ก็บอกว่าไม่ให้ไปไงครับ ถ้าดิ้นอีกอย่าหาว่าไม่เตือนนะ”  มันพูดขู่แล้วเลื่อนมือมาหยุดอยู่ตรงหน้าอกทั้งสองข้างของผม แต่เรื่องอะไรกูต้องเชื่อมึงวะ พูดจาอย่างกับพระเอกละครหลังข่าว...กูไม่ใช่นางเอกนะที่เอะอะจะยอมให้มึงทำตามใจยังไงก็ได้...เพราะงั้นกูไม่สนใจหรอก จะพูดอะไรก็พูด ยังไงกูก็จะดิ้น!!


ดิ้น....

และ....

 
“โอ้ยไอ้เหี้ย!!! กัดมาได้เจ็บนะโว้ย! ” 


ผมตะโกนลั่นเมื่อมันโน้มลงมากัดหน้าอกผมแล้วใช้มืออีกข้างบีบแรง ๆ จนรู้สึกชาไปหมดทั้งร่าง... ไอ้ห่าเอ้ย กัดซะแรงเลย ชาติที่แล้วเป็นหมาหรือไงวะเนี่ย!


“ก็ให้เจ็บครับ... จะได้จำ” มันพูดอู้อี้กับหน้าอกผมแล้วแลบลิ้นเลียวนรอบ ๆ “ทีนี้จะจำได้หรือยังว่าเป็นของใคร”


“ของใครเหี้ยอะไรล่ะ มึงกับกูไม่ได้เป็นอะไรกันเลย” 


“แต่เราก็มีสัญญาต่อกันนี่ครับ”  มันพูดหน้าตาเฉยเลยเว้ย พูดออกมาได้หน้าไม่อายทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าพูด “ตราบใดที่ยังมีสัญญากับผม คุณก็ห้ามให้ความหวังคนอื่น” 


“เดี๋ยว ๆ โนบิตะ มึงคิดอะไรไปไหนต่อไหนเนี่ย กูงงไปหมดแล้ว มึงพูดอะไรช่วยพูดให้กูเข้าใจได้ไหม...ให้ความหวังใครวะ กูงง”


“ไม่เข้าใจก็งงต่อไปเพราะผมก็ไม่ได้คิดจะถือโทษโกรธคนโง่อยู่แล้ว”

แม่งไม่สนใจผมเลยครับตอนนี้...เอาแต่ลากปากกดจูบไปทั่วท้องผมอย่างเดียวเลย... แล้วแม่งสะท้านไปถึงม้ามถึงไตก็ตรงที่ตอนนี้มันเริ่มทำปากหนัก กดจูบหนัก ๆ ลงต่ำเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่น้องสาวผมยังคงตะโกนเสียงดังเคาะประตูห้องไม่หยุดไม่หย่อนเนี่ย!!!
 

“พี่พิก ได้ยินไหม เปิดประตูหน่อย!!!”


“อยากให้น้องคุณได้ยินก็ตะโกนอีกสิ”


ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ไง จุดที่เมื่อกี้กูยังปฏิเสธจะทำการบ้านให้มันอยู่เลย... แล้วตอนนี้คืออะไร จะให้น้องกูได้ยินอะไรที่นอกจากการ ‘ติวหนังสือ’ อีกกก ตกลงจุดประสงค์มึงคืออะไรแน่...แต่งตัวหล่อๆมาบังคับกูให้ทำการบ้านหรือมาคาดคั้นกันว่าห้ามเป็นเมียคนอื่น...


“มึงแม่งเป็นเหี้ยอะไรวะกูงงไปหมดแล้ว เดี๋ยวอารมณ์ดี อารมณ์ร้าย ตกลงมึงเป็นคนยังไงแน่วะเนี่ย”


ผมพูดใส่หน้ามันไปด้วยความมึน... คือกูก็ไม่ได้อะไรนะเรื่องที่เรามีเซ็กส์กันเพราะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก แต่คือกูก็งงไง สงสัยว่าเมื่อกี้มันก็ยังดี ๆ อยู่แท้ ๆ แต่ทำไมจู่ ๆ ก็อารมณ์ขึ้นแล้วฟาดงวงฟาดงาใส่ผมแบบนี้...


หรือถ้าเป็นรสนิยมมึงก็ช่วยบอกกันหน่อย....กูไม่เก็ทโว้ยยยย กูโง่!!!


“คุณไม่ต้องสนใจหรอกมั้งว่าผมเป็นคนยังไง” มันจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม


“....”


“สนใจแค่ว่า...ผมไม่ชอบบางสิ่งที่คุณทำ... ก็เท่านั้นแหละครับ”


จนถึงตอนนี้กูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี...
จะเรียกว่าโง่ก็ได้นะ...แต่ว่า...
แล้วกูไปทำอะไรให้มึงไม่ชอบล่ะโว้ย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

____________________________________________

TBC

ความเมีย ความผัว ความครอบครัวแตกแยก...
ความชิสุกะมีเงี่ยนงำอยู่เบื้องหลังแน่ๆ อิอิ

มันร้ายนะคะหัวหน้า!
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10 (06/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 06-08-2015 12:23:01
บางทีเราก็ปวดหัวกับพิกแทนเก้าเหมือนกันนะคะเนี่ย หนูจะใสไปไหนค้าา~ :serius2: ทางที่ดีเก้าก็บอกพิกเขาไปตรงๆ เลยดีกว่าค่ะ ก่อนที่จะถูกชานหรือไม่ก็เฮีย (บุรุษลึกลับ) ชุบมือเปิบแย่งไปเสียก่อนนน..
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10 (06/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 06-08-2015 17:35:42
หึงก็บอกว่าหึงสิโนบิตะ /////////////////////
แล้วเฮียนี่รู้อะไรบ้าง ตอนไปห้องน้ำพูดอะไรกับโนบิตะ
ไอ้สายตาวิบวับๆนี่มันอะไร 5555555555555555555555
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10 (06/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 06-08-2015 19:53:13
เปนเรื่องยาวใช่มั้ยน แอบดีใจจจ ชอบเก้ามาก ผช.คนนี้คือพ่อของลูกกก
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10 (06/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 06-08-2015 20:58:33
อันนนี้คือความพิกมาก
พิกโง่มาก 555555
ก็พอเข้าใจว่าไม่สนใจ เก้านี่ก็หวงมาก หวงเกิน วั้ยยยยย  ลืมไปว่าตกหลุมรักไปแล้ว  :laugh:
อิอิ

น่ารักเกินอะตอนนี้ น้องสาวอย่าพึ่งขัดจังหวะโลยยย ปล่อยพี่ๆไปก๊อนนนนน  :hao3:
ฮาาา

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ ชอบมาก
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10 (06/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 06-08-2015 22:12:57
เก้าไม่พูดตรงๆ แล้วใครจะเข้าใจ
แน่จริงพูดตรงๆสิ ให้พิกให้หายงง หายบื้อ
 :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10 (06/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 07-08-2015 20:10:00
เปิดตัวสมัครเป็นว่าที่ลูกเขยกับขุ่นแม่เหรอคะ มาอย่างหล่อเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10 (06/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 07-08-2015 21:19:32
เก้าหึงก็บอกพิกไปเถอะค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10 (06/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 08-08-2015 19:10:24
10.5

NOBITA’s PART





ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด


เสียงนาฬิกาปลุกถี่ ๆ ที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดทำให้ผมต้องขยับตัว รู้สึกราวกับว่าเพิ่งหลับไปได้แค่ไม่กี่วินาทีก่อนหน้า ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเมื่อวานยังไม่ทันถูกบิดออกจากตัวก็ต้องลุกขึ้นจากเตียงอีกแล้ว?


ผมเป็นคนงี่เง่า...พี่เกื้อก็เคยพูดอยู่เหมือนกันว่าสีหน้าของผมเวลาเมาง่วงดูไม่น่าคบเท่าไหร่ มันไม่ใช่แค่มึน ธรรมดา แต่ก้าวกระโดดไปไกลจนกลายเป็นการชักสีหน้าที่ใครเห็นก็เป็นต้องหงุดหงิดไปตาม ๆ กัน และสาเหตุนี้เองที่ทำให้ผมต้องซื้อคอนโดเพื่อแยกออกมาหาพื้นที่ส่วนตัว ก็เพราะช่วงเช้าของที่บ้านใหญ่น่ะมันโหวกเหวกโวยวายสิ้นดีน่ะสิ



“ฮ้าววววววว” 


เสียงใครบางคนที่หาวหวอดอยู่ข้าง ๆ ทำให้ผมต้องพลิกตัวเล็กน้อย หันไปก็พบร่างสีแทนที่กำลังบิดขี้เกียจทั้งยังหลับตา พิกกำลังยกมือขึ้นถูแขนตัวเองเบา ๆ แล้วเลิกผ้าขึ้นห่มร่างเปลือยเปล่าของตนจนถึงคอ เขานอนขยุกขยุยเป็นก้อนกลม ๆ อยู่อย่างนั้นพักนึงก่อนจะทะลึ่งพรวดขึ้นมาเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ดังเตือนเป็นครั้งที่ 2


“ง่วงโว้ยยยยย” 


“จะไปไหน?” 


ผมเอ่ยทักเบา ๆ เมื่อคนข้างตัวสบถพลางเอื้อมมือผ่านไปกดปิดเสียงนาฬิกาปลุก กล้ามท้องแบนเรียบเนียนมือที่เมื่อคืนผมลูบไล้จนนับครั้งไม่ถ้วนลอยเด่นอยู่ตรงหน้า แน่ล่ะ เขาคงไม่รู้ตัวสักนิดว่าผมตื่นอยู่ เพราะถ้ารู้...ก็คงไม่ตกใจจนสะดุ้งโหยงอย่างนี้


“ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” พิกกระซิบถามเสียงเบาราวกับกลัวว่าใครจะมาได้ยิน ตอนนี้เขาถดตัวแขม่วท้องให้ห่างจากจมูกผมแล้ว... แต่กลับเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ แทน 


“ถามว่าจะไปไหน”


ผมเลือกถามเสียงเข้มอีกรอบ... ซึ่งพิกคงไม่คุ้นเคยนักที่ต้องมาเจอผมในสภาพอย่างนี้ แน่นอนล่ะ ขนาดคนที่เป็นคู่นอนยังไม่เคยมีใครเห็นผมในสภาพแบบนี้เลย แล้วนับประสาอะไรกับเขาที่ผมไม่เคยเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้ได้เห็นกันล่ะ


“ไปทำกับข้าว...ของตอนเช้ากับใส่กล่องตอนกลางวัน” เขาพูดพลางผละหน้าออกจากบริเวณแก้มผมก่อนจะหันไปม้วนผ้าห่มมาพันทั้งร่างเอาไว้   


“แต่เช้าขนาดนี้น่ะนะ?”  ผมหันไปมองหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลที่เรืองแสงอยู่ข้างเตียงก่อนจะขมวดคิ้ว ตีสี่สี่สิบห้า? เขาตื่นเช้าขนาดนี้ทุกวันทั้ง ๆ ที่ไปเรียนสายตลอดเนี่ยนะ?


“ก็แล้วแต่วัน...จะถามอะไรอีกไหม กูจะไปแล้วเดี๋ยวสาย” พิกตอบอย่างไม่ใส่ใจ เขาหาวหวอดเป็นครั้งที่สามก่อนจะบิดขี้เกียจแล้วทำท่าจะลุกออกไป


 “...งั้นรอผมเดี๋ยวได้ไหม ขออีกงีบ” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้คว้าข้อมือของเขาเอาไว้ รู้แต่ว่าตอนนี้ผมง่วงและอยากนอนต่อโดยมีเขาเป็นหมอนข้างอีกซักนิด พิกเงียบไปพักหนึ่ง ไม่รู้หรอกว่าเขากำลังทำหน้ายังไง จนกระทั่งเสียงทุ้มขึ้นจมูกนั่นเริ่มบ่นแหว ๆ ขึ้นมาอีกระลอก


“เดี๋ยวกูก็โดนด่าอีก..ตื่นก็สาย...อะไรก็สาย ..กหวด่ำร้หเนว่ดฟวาหก” 


เขาบ่นงิ้ง ๆ อยู่ข้างหู แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ขัดขืนเมื่อผมออกแรงดึงให้ทรุดตัวลงนั่งกับเตียงอีกครั้ง และเมื่อสายตาปรับความชัดก็ทำให้ผมเห็นคิ้วหนา ๆ ที่ขมวดมุ่นเข้าหากัน มันดูตลกดีเมื่อการกระทำนั้นออกมาจากพิก...ผู้ซึ่งไม่เคยยอมลงให้ใคร 


แต่หนึ่งในจำนวนนั้น ก็เว้นไอ้แว่นจืดนี่ไว้คนนึงด้วยแล้วกัน : )


“เดี๋ยวผมลงไปด้วย...” ผมพูดพลางตวัดมือรั้งเอวสอบเข้ามาหาแล้วจับเขาให้พลิกตัวนอนตะแคงข้าง  พิกทำตัวขยุกขยิกอยู่ไม่สุขเมื่อผมสอดมือไปกอดเอวเขาแล้วซุกหน้ากระซิบเบา ๆ กับไหล่ลาดนั่น “รอผมก่อน...”


“จะลงไปทำไมเนี่ย ก็นอนต่อไปสิ...กูจะไปอาบน้ำ”


เขาบ่นขึ้นมาอีกแล้ว...แน่นอนแหละว่ามันชักจะทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็ก ๆ นี่ยังเช้าอยู่เลยแท้ ๆ มันควรเป็นเวลานอนไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมต้องทำเป็นหนักใจอะไรนักหนากับอีแค่ของีบอีกซักสิบยี่สิบนาที...


“อีกแป๊บนึง”


ผมยื่นคำขาด...ตอนนี้ไม่สนใจอะไรแล้ว รู้อย่างเดียวแค่ว่าผมต้องการนอนหลับให้สายตาที่ล้ามาจากการทำบัญชีได้รับการพักผ่อน เรื่องวิจัยนี่ก็อีก...พอทำอะไรต่อมิอะไรจนเสร็จพิกก็หลับเป็นตาย...มันดูไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ที่เขาเอาแต่นอนกินแรงทั้ง ๆ ที่ตอนทำผมก็เป็นคนออกแรงมากกว่า...แต่ก็เอาเถอะ ถือว่าเป็นรางวัลยอมให้แกล้งหรอกนะ...


ก็สีหน้าตอนที่โดนกระแทกใส่แรง ๆ ทั้งที่น้องของเขายังเคาะประตูโหวกเหวกอยู่ข้างนอกเนี่ย...

มันสุดยอดไปเลย... 


“แป๊บห่าอะไร...” คนผิวแทนขืนตัวดิ้นพล่านจะทำให้ตัวเองหลุดออกจากการเกากุมไปได้ “โนบิตะ...ตื่นสิโว้ย!” 


ผมหรี่ตามองเขาที่ทั้งกระทุ้งศอกใส่ ทั้งเขย่า เอาเถอะ จะไม่นอนกก็ได้ แต่อย่ามากวนใจกันแบบนี้ได้ไหม? ไม่มีมารยาทเอาซะเลย


“อีกแป๊บครับ... อีกสิบห้านาที...” 


ผมยอมปล่อยเอวบางนั่นให้เป็นอิสระ แต่ก็ไม่ถึงกับเต็มใจนักหรอกเพราะมือก็ยังรั้งข้อมือของเขาเอาไว้ ได้ยินเสียงฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียดแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาจะทำหน้ายังไงเมื่อเห็นผมยิ้มมุมปากใส่ทั้งยังหลับตา


“...”


“นะ”


เป็นครั้งแรกที่ผมส่งเสียงอ้อนใส่เขา จำมาจากที่บ้านใหญ่นั่นล่ะ... ทุกครั้งที่อยากให้แม่ใหญ่ แม่รองทำตามใจเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าเขาจะหงุดหงิดด้วยเรื่องอะไรมาก็มักจะยอมสยบกับน้ำเสียงแบบนี้ของผมไปซะทุกที..


และแน่นอนว่าผมไม่เคยทำเสียงแบบนี้กับคู่นอนคนไหน
นายภาษิตคนนี้...เป็นคนแรก


“ห่าเอ้ย...” เขาบ่นอุบอิบเสียงเบา


“อย่าแกะมือสิ...” ภาพที่เห็นมีแต่ความมืดและสัมผัสที่พยายามแกะมือของผมออกจากการเกาะกุม แต่ก็อย่างที่เขาว่านั่นแหละ ผมเป็นคน ‘กวนตีน’ เพราะงั้นยิ่งเขาพยายามดึงมือผมออกมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งกำรอบข้อมือเขาแน่นขึ้นท่านั้น


“ก็ปล่อยสิวะ! ไม่ใช่ธุระกงการอะไรเลย จะลงไปทำห่าอะไรเนี่ย”   


“บ่นอะไรได้ยินนะครับ...” 


“ไม่ได้บ่น แต่ด่าเลย...” น้ำเสียงของเขาอ่อนลงนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงความก้าวร้าวตามแบบฉบับเอาไว้ พิกบ่นเหมือนหมีกินผึ้งเลย มันหึ่ง ๆ ในลำคอจนทำให้ผมต้องหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู “จะลงไปทำไมก็ไม่รู้ เสียเวลาชิบหาย” 


ผมเปิดเปลือกตาช้า ๆ แล้วจ้องสบไปในดวงตาของเขาที่จ้องผมอยู่ตั้งแต่ก่อนหน้า พิกไม่ได้หลบสายตาเหมือนเมื่อคืน ไม่ได้แสดงท่าทีเขินอายอะไรนอกจากสีหน้าบึ้งตึงที่ชอบทำ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดูน่ามองอย่างประหลาด...


ตลกดีที่รู้ตัวอีกทีผมก็กระชากแขนสีแทนนั่นแล้วดึงให้เจ้าของผิวเนียนถลาลงมาอยู่บนตัวอีกรอบ


“ขอสิบห้านาทีนะ...” 


ผมกระซิบเบา ๆ กับกลุ่มผมของเขาแล้วยกคางตัวเองพักบนกระหม่อมแข็ง ๆ ของคนหัวแข็ง เขาเลิกขัดขืนแล้ว พิกแขม่วท้องจนซี่โครงขยายเมื่อผิวเนื้อไร้อาภรณ์ปกปิดของพวกเราสัมผัสกันแนบแน่นเหมือนเมื่อคืน


มันเหมือนกับมีกระแสไฟวิ่งปลาบไปทั่ว เมื่อเขาเงยหน้ามึน ๆ ขึ้นมาจ้องสบอยู่บนริมฝีปากผม


“...”


“นะครับ?” 


เห็นอย่างนั้นแล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้... ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหมู่นี้ถึงได้ยิ้มพร่ำเพรื่อ...
คงเพราะหมั่นไส้เขาและสนุกที่ได้แกล้งล่ะมั้ง

และอีกอย่าง...เขาก็มักจะมีคำตอบที่ทำให้ผมรู้สึกพึงพอใจอยู่เสมอ...


“เออ!”

________________________________________

TBC

ชอบแล้วก็บอกว่าชอบ ปากแข็งทั้งคู่เลย เฮ้อ  o18
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10.5 (08/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 08-08-2015 19:49:24
ไม่ระวังตัวเลยน้า.. ระวังขุ่นแม่ขึ้นมาตาม แล้วจะเห็นภาพบาดตาของลูกชายเข้าจะทำไง
ไล่โนบิตะออกจากบ้านข้อหาล่วงเกิณลูกชายบ้านนี้หรือ เรียกค่าสินสอดทองหมั้นกันแน่นะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10.5 (08/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 08-08-2015 22:47:59
ชอบอ่ะ โนบิตะแปลงร่าง
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10.5 (08/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 09-08-2015 00:56:18
พิกเป็นคนปากแข็งที่น่ารักมากเลยนะคะ ^^ เพราะไม่ว่าเจ้าตัวจะดื้อด้านสักเพียงใดสุดท้ายก็ต้องแพ้พ่ายให้แก่เก้าเขาอยู่ดีนั่นล่ะ~ :-[
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10.5 (08/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 09-08-2015 01:38:40
 :o8:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10.5 (08/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 09-08-2015 02:02:43
พิกเอ้ย เจอเก้าอ้อนเข้าไปนี่ใจอ่อนบ้างมั้ย :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10.5 (08/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 09-08-2015 02:50:13
แปะ เดี๋ยวมาอ่น รู้สึกสถานะแฟนฟิคของคนเขียนคือ รอชิสุกะอยู่นะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10.5 (08/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 09-08-2015 08:02:53
ช่วงนี้พิกดูมุ้งมิ้งสุดๆ โนบิตะก็เหลือเกิ๊นนนนนนนน
แต่ชีวิตพิกช่างน่าสงสารรร ต้องทนถูกโขกสับ ถถถถ
รอตอนต่อไปน้าา
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10.5 (08/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-08-2015 08:30:03
โนบิตะน่ารักขึ่้นทุกตอนเลย อวยหนักอวยแรงมากกกกก ฮาาาาา
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10.5 (08/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: dragonassist ที่ 09-08-2015 09:38:28
ชอบเรื่องนี้ค่ะ :o8:

โนบิตะหึงก็บอกตรง พิกแอ้นท์ไม่รู้เรื่องนะค้าาาาา
แถมดูไปดูมาคู่นี้เหมือนคู่รักมากกว่าคู่นอนอีก แว้รยยยยยยยยยย :ling1:




หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10.5 (08/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 09-08-2015 10:39:18
มารอ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10.5 (08/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 12-08-2015 08:56:51
ฮืมมม...โนบิตะคุง ของเค้าดีจริง!!
หึงอีก หึงอีก หึงอีก!!!
(หืดหาด หืดหาด - บอกเลยว่าเป็นสายสนับสนุนโนบิคุงสุดๆ กร๊ากกกก)

รออ่านตอนต่อไปค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10.5 (08/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 12-08-2015 16:31:52
น่ารักอะไรแบบนี้น้า โนบิตะคุงงงงง  :z10: :z10:
ระทวยมาก  พิกนี่สปาร์คมั้ยตอนสุดท้าย ?
แขม่วพุง  o18 ได้ข่าวว่าใกล้กันเดี๋ยวสปาร์ค  :m20:

รอติดตามชมตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10.5 (08/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 13-08-2015 22:35:59
เก้าอ้อนคืออะไรที่ดีมากค่ะ ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ
พิกก็ยอมได้ตลอด ///////////
ป.ล.ตกลงก็ไม่เปิดประตูให้น้องจริงๆเหรอ55555555555555555555555
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10.5 (08/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 16-08-2015 08:42:42
สองคนนี้ น่ารักในแบบแปลกๆ แฮะ
รออยู่นะครับ ชิซูกะยังไม่ออกลายเลย
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 10.5 (08/08/2558) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 16-08-2015 13:03:07


แจ้งข่าวค่า  :katai4:

เนื่องจากคอมคนเขียนฮาร์ดดิกส์เสีย
จึงทำให้ไม่สามารถมาลงต่อเนื่องได้ในตอนนี้
คงอีกพักใหญ่ ๆ เลย 

ตอนนี้ดูรูปปลากรอบย้อมใจกันไปก่อนน้า

(https://www.img.in.th/images/cfa6403c402e5acc330dea6c9c77004b.jpg)

เป็นรูปอิมเมจพิกกับเก้าที่สั่งวาดจ้า

 *ห้ามนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตนะคะ*
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ แจ้งข่าว + ภาพประกอบ (16/08/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 16-08-2015 13:23:24
ข้างบนนี่พิกคนโง่ใช่มั้ยคะ อิอิ สวดมนต์ขอให้คอมใช้ได้ไวๆค่า
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ แจ้งข่าว + ภาพประกอบ (16/08/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 16-08-2015 13:25:08
รอนะค้าา~ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ แจ้งข่าว + ภาพประกอบ (16/08/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 16-08-2015 13:27:10
อ้างถึง
ข้างบนนี่พิกคนโง่ใช่มั้ยคะ อิอิ สวดมนต์ขอให้คอมใช้ได้ไวๆค่า


5555 พิกอยู่ข้างล่างค่าาา 5555
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ แจ้งข่าว + ภาพประกอบ (16/08/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 16-08-2015 17:09:14
แอบลักหลับรึเปล่าเนี่ยโนบิตะะะะะะะ
ปูเสื่อรอเนาะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ แจ้งข่าว + ภาพประกอบ (16/08/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 16-08-2015 19:09:04
เอ่อ...       ภาพดูไม่ค่อยมีความแตกต่างกัน จนคิดว่าเป็นฝาแฝดท้องชนกันเลยล่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ แจ้งข่าว + ภาพประกอบ (16/08/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 17-08-2015 13:44:17
มาตามคำแนะนำของ Malimaru

คือ.....มันสนุกม๊ากกกกกก

รอลุ้นความซื่อของพิกต่อไป

หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ แจ้งข่าว + ภาพประกอบ (16/08/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 22-09-2015 17:49:06
11

NOBITA’s PART


“หนูบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ชอบกินปลากระป๋อง!”

 เสียงโหวกเหวกโวยวายดังเข้ากระทบโสตประสาททันทีที่ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ ก้าวต่อมาอีกไม่กี่ก้าวก็เห็นน้องสาวของพิกยืนเท้าสะเอวมองพี่ชายตัวเองตาขวาง ผิดกับเขาที่ออกจะเหม่อ ๆ หน่อย มือนึงก็จับทัพพีคดข้าวใส่ปิ่นโตน้อง ใส่จนล้นคามือแล้วก็ยังไม่เลิกใส่


“อุ้ย...พี่เก้า”

น้องพิมพ์เอ่ยทักทันทีที่หันมาเห็นผม ระยะทางจากห้องน้ำไปถึงโต๊ะอาหารอยู่ไม่ไกลกันนัก เพราะงั้นก้าวขาเดินไปไม่ถึงสามก้าวก็ลุยเข้าไปประชิดตัวไจแอ้นท์ที่เพิ่งจะตื่นจากภวังค์ได้ 


“สวัสดีครับคุณแม่ สวัสดีครับน้องพิมพ์”


ผมเอ่ยทักน้องแล้วค้อมหัวให้คุณแม่ที่กำลังจิบกาแฟพลางไล่สายตาอ่านหนังสือพิมพ์บนโต๊ะ ได้ยินเสียงผมใบหน้าที่คล้ายกับพิกนั่นก็เงยขึ้น ก่อนจะยิ้มรับแล้วกวักมือเรียกให้ไปนั่งข้าง ๆ


“สวัสดีค่า...พี่เก้าตื่นเช้าจัง”
 

แต่คนที่ทักว่าผมตื่นเช้ากลับไม่ใช่คุณแม่อย่างที่คิด เมื่อเห็นว่าผมหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ไม้น้องพิมพ์ก็รีบมานั่งที่ฝั่งตรงกันข้าม ทิ้งให้ชามปิ่นโตที่พิกเพิ่งเลื่อนให้ตะกี้เป็นหมันไปเสียฉิบ 


“อ่า...พิกเขาบอกให้ตื่นมารอทานข้าวเช้าพร้อมทุกคนน่ะครับ” ยิ้มให้น้องพิมพ์ก็สบสายตากับคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ไปด้วย จนถึงตอนนี้หน้าตาของพิกไม่ดูมึนง่วงเหมือนก่อนหน้าที่คนอื่นจะตื่นอีกแล้ว ดวงตาคมนั่นจ้องผมจนแทบจะถลึง แถมยังทำปากขมุบขมิบเหมือนด่าสาปผมในใจอีกแน่ะ   


“ดีแล้วลูก ต้องทานข้าวเช้านะ...ข้าวเช้าน่ะเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน”


จบประโยคของคุณแม่ ต้มยำปลากระป๋องถ้วยใหญ่ก็วางลงตรงหน้า มองตามเรียวมือสีแทนนั่นไปก็เห็นพิกกำลังทำปากเบะเหมือนเด็กถูกแย่งความรัก... ไม่อยากจะบอกว่าคาดไม่ถึงนะ แต่มุมนี้ของพิกน่ะหาดูได้ยากจริง ๆ


ผมรู้จักพิกมาก็ถือได้ว่านานพอสมควร... ตั้งแต่ครั้งแรกที่เรารู้จักกัน พิกมักทำตัวเป็นผู้นำ (ในทางไม่ดี) อยู่เสมอ แต่ด้วยหน้าตาหาเรื่องกับอุปนิสัยชอบตีกับปากร้าย ๆ ของเขาทำให้ใครต่อใครไม่ค่อยอยากจะอยู่ใกล้ ยิ่งมีลูกกระจ๊อกเป็นเชี่ยวชาญที่คอยแต่จะกันพิกให้อยู่กับตัวเองก็ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ว่าทำไมเขาถึงไม่ค่อยมีสังคมนัก


มันขัดกันตรงที่เมื่ออยู่กับคนที่บ้านเขาจะไม่มีปากมีเสียงเลย... ถึงแม้ใครจะบอกว่าพิกเป็นคนหงอ กลัวแม่กลัวน้องก็เถอะ แต่ผมกลับคิดว่ามันน่ารักมากที่เขาเอาใจใส่คนในครอบครัวขนาดนี้ ทั้งยอมตื่นก่อนคนอื่นเพื่อมาทำกับข้าวและดูแลบ้าน ตอนเย็น ๆ ก็ยังต้องมาช่วยเก็บร้านเพราะน้องสาวต้องอ่านหนังสือสอบ... ถึงปากจะบ่นแต่ก็ทำตามหน้าที่ที่ได้รับอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ในสายตาของคนที่ทำงานอย่างผมแล้ว มองยังไงมันก็น่าเอ็นดูไม่มีเบื่อจริง ๆ


“พี่เก้ารู้จักกับพี่พิกนานหรือยังคะ แล้วรู้จักกับพี่ชานมันด้วยไหม...ทำไมไม่เห็นเคยมาเที่ยวที่บ้านบ้างเลย”


น้องสาวของพิกเป็นคนช่างเจรจา น้ำเสียงของเธอฟังดูหวานหูเมื่อเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ผมกับพี่ชายของเธอรู้จักกัน จะว่ายังไงดีล่ะ ไม่ใช่จะดูไม่ออกว่าเธอถูกใจผมแค่ไหน แต่การจะทำเจ้าชู้ใส่ผู้หญิงที่เป็นน้องสาวของคนที่นอนด้วยเพราะความเคยตัวก็คงดูไม่เหมาะนัก...ผมจึงต้องแสดงท่าทีให้ดูสำรวมกว่าที่เป็นอยู่หน่อย


สาเหตุก็เพราะพี่ชายของเขาที่เพิ่งทิ้งตัวลงนั่งเยื้องไปทางขวามือนั่นแหละ
จ้องจิกผมตาขวางอย่างกับกลัวน้องสาวตัวเองจะโดนกลืนลงท้องยังไงอย่างงั้น 


 “รู้จักกันนานแล้วครับ แต่เพิ่งจะสนิทกันเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง” ผมยิ้มให้พิมพ์แล้วยิ้มให้พิกที่ยืนกำทัพพีแน่น


“โห....งั้นมาอีกบ่อย ๆ เลยนะคะ มีคนอื่นมาทานข้าวด้วยนอกจากเราสามแม่ลูกแล้วมันสนุกดี”


“พี่ก็ว่าอย่างนั้นครับ...อันที่จริง พี่ไม่ค่อยได้ทานข้าวเช้าซักเท่าไหร่”


ผมแสร้งทำเป็นยิ้มเจื่อนแล้วก้มลงเขี่ยข้าวในชาม ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของผู้ใหญ่ช่างเอาใจใส่อย่างแม่ของพิกอยู่แล้วที่จะถามว่าทำไมผมถึงไม่ได้รับสารอาหารอย่างดีในตอนเช้าของทุกวัน


“ทำไมล่ะลูก” คุณแม่ถามเสียงอ่อนแล้วจ้องสบตากับผมอย่างอาทร


“ผมอยู่คนเดียวน่ะครับ...แม่บ้านที่เคยอยู่ด้วยกันก็เพิ่งเสียไป พ่อก็มีแฟนหลายคนเลยไม่อยากอยู่บ้านใหญ่ให้รกตาเขาครับ” 


“อ่า...” น้องพิมพ์ครางออกมาเบา ๆ พร้อมกับพิกที่ทำหน้าเหมือนเพิ่งรู้ความจริง เห็นหน้าตาเหรอหราของเขาแล้วอยากจะขำ แต่ก็ต้องสำรวมไว้ก่อน


“แล้วนี่ใครช่วยดูแลบ้านล่ะจ้ะ...เป็นผู้ชายอยู่ตัวคนเดียวบ้านไม่รกแย่หรือ” 


“นี่ก็ว่าจะหาแม่บ้านใหม่อยู่ครับ...เพราะที่คอนโดออกจะ....”


“รกสิ...รกอย่างกับป่าดงดิบ”  พิกพูดสวนถึงสภาพคอนโดผมขึ้นมาทันที สีหน้าของเขาตอนนี้ดูจะจงใจให้ผมอับอายมากกว่าออกความเห็น “เมื่อวันก่อนหนูยังไปทำความสะอาดให้มันอยู่เลย ก็มันเนี่ยแหละที่ไม่สบายวันนั้นอะ” 


เมื่อความจริงเฉลยแม่ของพิกก็ทำหน้าราวกับเพิ่งถึงบางอ้อ ดูเหมือนข้อมูลที่เขาเพิ่งให้แม่ไปจะวกกลับมาเป็นภัยกับตัวเองอย่างร้ายแรง


“โอ้ย...ถ้างั้นไม่ต้องหาแม่บ้านใหม่ก็ได้มั้งลูก จริงๆ ...ให้เจ้าพิกมันไปช่วยทำงานบ้านก็ได้นะ จะได้พากันติวหนังสือด้วย...ตั้งแต่เรียนมาไม่เคยเห็นพิกมันจะขวนขวายหาความรู้ในตำรานอกจากหนังสือเกมที่มันชอบซื้อมาเลย... พอรู้ว่าลูกสนิทกันแล้วพากันไปสู่สิ่งดี ๆ แม่ก็สบายใจ หายห่วงไปได้หน่อยเพราะพิกน่ะ มันเป็นเด็กเกเรไม่ค่อยเอาไหนซักเท่าไหร่”


เจ้าของสันกรามสวยอ้าปากค้าง พิกได้ฟังอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้ายิก


“แม่! ได้ไงอะ จะให้หนูไปเป็นคนใช้มันหรอ!”   


เรียกว่าเข้าทางเลยก็ได้ครับ อันที่จริงแม่บ้านผมไม่ได้เพิ่งเสียหรือตายจากไปไหนหรอก เพียงแต่ว่าเขาต้องกลับไปช่วยดูแลแม่เล็กที่เพิ่งคลอดน้องชายที่บ้านใหญ่ก็เท่านั้นเอง จะว่าพิกตกหลุมที่ผมขุดแล้วเอื้อมมือกวาดดินมากลบหน้าตัวเองก็ได้ เพราะมันเข้าที่เข้าทางตามที่ผมตั้งใจจะให้เป็นไปซะทุกประการ


 “แม่!!!! หนูไม่เอา แค่งานที่บ้านก็เหนื่อยจะแย่แล้ว จะให้หนูไปทำงานบ้านให้มันอีกหรอ”  พิกเม้มปากอ้อนวอนขอร้องคุณแม่ที่นั่งกอดอกทำหน้านิ่ง ใบหน้าของเธอราวกับจะบอกว่านี่คือคำพิพากษาที่เหมาะสมสำหรับลูกไม่รักดีแล้ว


“จะดีหรอครับ...”  ผมแสร้งทำหน้าไม่สบายใจในขณะที่แม่ของพิกส่ายหน้ายิ้ม ๆ เห็นอย่างนั้นจึงต้องรีบยื่นข้อเสนอที่ดูเป็นธรรมไปให้  “ถ้าอย่างนั้นก็ถือซะว่าผมจ้างเขาแล้วกันนะครับ” 


คิ้วของคุณแม่กระตุกเล็กน้อยทันทีที่ผมพูดออกไป ไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกความสามารถใครครับ เพียงแต่ทำงานก็ควรได้ผลตอบแทนจากงานที่ทำ อีกอย่างคนเอ่ยปากก็เป็นผู้ใหญ่ ถึงจะไม่รู้ว่าท่านคิดอะไรอยู่ก็ควรรักษาน้ำใจเพราะเราเป็นคนจ้าง


“ดีแล้วลูก... เจ้าพิกมันจะได้มีรายได้แล้วยังได้อ่านหนังสือกับลูกอีก... แล้วไม่ต้องกลัวมันจะดูแลบ้านเราไม่ดีนะ ลูกชายแม่มันทำงานบ้านเก่ง แม่ฝึกมันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย...” 


ยังดีที่คุณแม่ตอบออกมาอย่างนั้น ทีแรกผมแอบคิดว่าคุณแม่จะไม่ยอมให้พิกรับค่าจ้างซะแล้ว อย่างนี้ก็ดีหน่อย เวลาเอาคืนจะได้ไม่ต้องมานั่งคำนวนเงินส่วนต่างของหนี้ที่จะยกให้...


“แม่...”   


“ไม่ต้องมาแม่เลย....ถ้าไปทำงานบ้านเก้าก็ไม่ต้องทำที่นี่ แม่จะให้พิมพ์มันจัดการบ้านแทนแกบ้าง...พิมพ์ แกไม่มีปัญหาอะไรกับแม่ใช่ไหม?”
 

พูดจบคุณแม่ก็หันไปหาน้องพิมพ์ที่พยักหน้าเนือย ๆ อย่างเสียดาย ที่จริงถ้ามีใครถามความเห็นของลูกชายลูกสาวบ้านนี้บ้าง พี่ชายคงอยากจะสลับตัวแล้วถวายน้องสาวมาทำงานบ้านผมแทน


“ถ้างั้นก็เริ่มตั้งแต่วันนี้เลยได้ไหมครับ...พอดีต้องมีติวต่อด้วยน่ะครับ”


ได้ฟังพิกก็ถลึงตาจนแทบหลุดออกมาจากเบ้า เขาออกปากด่าอย่างไม่มีเสียงว่า ‘ไอ้เหี้ย’ ก่อนจะก้มลงมองใต้โต๊ะแล้วยื่นเท้ามาสะกิดเข้าที่น่องผมอย่างแรง


ถามว่าเจ็บไหม ก็เจ็บครับ.. แต่เจ็บแค่นี้มันก็ยังน้อยกว่าเมื่อคืนที่เขาบีบรัดผมเสียแน่นจนแทบหายใจไม่ออก อันที่จริงไม่ได้มีเจตนาจะทำอะไรไม่ดีในคืนนี้เลยครับ เพียงแต่ว่าผมรู้จักนิสัยของใครบางคนดี และคาดคะเนไว้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพิกถ้าหากว่าผมไม่ออกปากกันคนของผมไม่ให้ไปไหนไว้ก่อน อย่างที่โบราณว่า สถานที่อันตรายที่สุดคือที่ ๆ ปลอดภัยที่สุด...เพราะงั้นผมจะไม่ให้คนของผมห่างตัวไปไหนหรือไปกับใครโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากผม

 
อ่า...ก็คนที่คุณก็รู้ว่าใครนั่นล่ะครับ...   
ไอ้เฮียนั่นน่ะ ร้ายกว่าที่คุณคิดไว้เยอะ


_____________________________________________________


GAINT’s PART


“มึงนี่มันร้าย...ไม่สิ เลวเลยดีกว่า”


ผมบ่นออกมาทันทีที่หย่อนกระเป๋าเป้ใบใหญ่ลงบนพรมหน้าประตูอันแสนคุ้นเคย...


นับจากเวลาที่นางพญามารทำสนธิสัญญากับซาตานจนถึงตอนนี้ก็ล่วงเลยมาแล้วเกือบชั่วยาม แต่ถามว่าตัวประกันนี่สมยอมพร้อมใจอยากโดนใส่ตะกร้าล้างน้ำมาเปลี่ยนสถานะเป็นนางซินคนรับใช้ไหม? ก็ไม่ เข้าใจไหมว่าไม่ได้อยากมาเลย แต่ต้องมาเพราะโดนแม่บังคับ...


แล้วนี่อะไร ตกลงปลงใจกันเสร็จยังไม่ถึงนาที คุณนายแม่ก็บังคับให้ขึ้นไปเก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าเดินทางชนิดที่ว่าไม่ต้องกลับมาอยู่บ้านอีกแล้ว เสร็จกิจนั้นก็ไล่ให้พวกเขารีบมาที่รังของไอ้ตัวร้ายที่ยืนหวีผม ขยับแว่นอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง...


โนบิตะ...
มึงมันร่างขั้นท้ายสุดของซาตาน...มึงมันตัวชั่วในหนังจีน!


“นี่กูด่ามึงอยู่นะ...ไม่ได้ยินเลยหรือไงวะ!”


“ได้ยินครับ” มันตอบแล้วกลัดกระดุมที่คอเสื้อก่อนจะรีดผ้าให้เรียบด้วยมือ “แล้วจะให้ตอบยังไงล่ะ ขอบคุณนะครับพิกที่ด่าผม อย่างนี้หรอที่คุณอยากฟัง?”


กวนตีนเสร็จก็หันมาทำตาแพรวพราวใส่ กูล่ะหมั่นไส้ อยากจะเตะผ่าหมากให้หายหงุดหงิดซักรอบจริง ๆ


“อย่ามากวนตีน ถามจริงเหอะ นี่พรากกูมาจากอกคุณนายแม่ไม่ใช่เพราะอยากจะติวหนังสือให้หรอกใช่ไหม” 


ผมกอดอกหรี่ตามองมันผ่านกระจก


โนบิตะได้แต่ยักไหล่ไม่ยี่ระ มันดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับคำด่าทอของผมเลยแม้แต่น้อย ก็อย่างว่าแหละ หนังหน้าไม่หนาเท่ามันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก คนเหี้ยอะไร หน้าด้าน หน้าเป็น ตอแหลที่สุด


“ถ้าตอบว่าใช่แล้วจะมีปัญหาอะไรหรอครับ”


หวีผมทรงเรียบแปล้เสร็จก็หันมากอดอกมองทำตาเจ้าเล่ห์ เห็นแล้วอยากจะต่อยให้ตาแตก แน่ะ พูดในใจแล้วยังยื่นหน้าเข้ามาหาอีก มาทำเป็นหนือกว่ากูซะมากมาย จริง ๆ ก็เป็นแค่ไอ้ขี้แพ้หลบอยู่หลังแว่นตัวเองล่ะวะ!


“เอาหน้ามึง...ไปห่าง ๆ” ผมยกมือขึ้นดันหน้ามันออกให้ห่าง รู้สึกว่าสู้ไม่ได้เลยต้องเสหน้าไปทางอื่นแทน แต่ยิ่งทำอย่างนั้นโนบิตะมันก็ยิ่งใช้สกิลมือปลาหมึกเข้ามารวบเอวผมไว้


“พิกครับ....”


“บอกว่า...เอาหน้ามึงไปห่าง ๆ” ทำไมต้องเรียกเสียงกระเส่าขนาดนั้นล่ะโว้ยยยย หน้านี่ก็บอกให้ห่าง  ๆ ไม่รู้เรื่องรึไง ทำไมต้องเอาหน้ามาใกล้คอกูขนาดนี้ด้วย


“พิก?...”


“เรียกทำไมวะ! จะพูดอะไรก็พูดเซ่! เอาหน้าออกไปให้ห่างกู!!” 


“มาอยู่ห้องผม...มาคอยดูแลผมนะ”


กริบ...


ผมเงยหน้าขึ้นจนแทบจะเอาหัวโหม่งคางมัน... เมื่อกี้มึงพูดอะไรนะ ล้อเล่นหรือเปล่า... 
แบบนี้มันขอแต่งงานชัด ๆ เลยไม่ใช่หรอวะ!


“ก...กู...กูไม่รู้”   


เหมือนมีอะไรติดอยู่ในลำคอ อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นคนพูดติดอ่างขึ้นมาซะงั้น ผมเม้มปากแล้วมองหน้าโนบิตะที่อยู่ห่างไปไม่ถึงคืบ สายตาของมันที่จ้องมองมาทำให้ผมหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ทำไมต้องเอาสายตาเจ้าชู้แบบนั้นมามองกันด้วยวะ เห็นแล้วอึดอัดจนต้องกลอกตามองเพดานเลย แม่งเอ้ย!


“ไม่รู้อะไร...มาเป็นแม่บ้านให้ผม...แล้วจะหักหนี้ที่ทำข้าวของแตกให้” 


“ห๊ะ” ผมกระพริบตาปริบ ๆ เมื่อน้ำเสียงที่มันพูดออกมาเมื่อกี้ไม่ได้เจือความพิศวาสเอาไว้เลย


“ยังพูดไม่ชัดอีกหรอ...คุณก็บอกว่าห้องผมรกเหมือนรังหนู เลยจะจ้างคุณมาเป็นแม่บ้านไงครับ...ไม่ต้องห่วงจะไม่มีงานทำนะ เมื่อวันก่อนมีแมลงสาปวิ่งพล่าน ผมไม่ชอบ ช่วยจัดการให้ด้วยนะ”


พูดจบก็ปล่อยมือจากเอวผมทันทีทันใด ไอ้ห่า...จะจ้างเป็นแม่บ้านดูแลบ้านเฉย ๆ ก็คุยห่าง ๆ สิวะ เอาหน้าเข้ามาใกล้ให้คนอื่นเค้าคิดลึกทำไม ไอ้สวะนี่!


โป๊ก!


“โอ้ย!”


โดยไม่ทันที่มันจะผละหนี ผมก็เขย่งตัวขึ้นจากพื้นอีกนิด เล็งเป้าดี ๆ แล้วเอาหัวโหม่งคางมันอย่างแรงเหมือนตอนโหม่งฟุตบอลในสนาม โดนไปแค่นั้นไอ้เก้าก็ยกมือขึ้นกุมคางตัวเอง มันทรุดลงกับพื้นก่อนจะร้องออกมาเสียงดังด้วยความเจ็บปวด


“เจ็บ...” มันสบถเสียงเบาแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมตาขวาง “คุณ! ทำอะไรวะเนี่ย!”


“อะไร” ผมแยกเขี้ยวใส่มัน “เจ็บแค่นี้ไกลหัวใจ ถ้าทนไม่ได้ก็ตายห่าไปเลยไป๊!”

“พิก!”


“อะไร! มึงมันผิดคำสัญญา ให้เอาแล้วยังจะมาทวงหนี้กันอีก ไอ้--” ผมแหวใส่หูมันแล้วทำเป็นตั้งท่าจะหนี แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาออกจากหน้ากระจกก็โดนกระชากแขนเอาไว้แล้วผลักให้ล้มจนหลังกระแทกที่นอนดัง กึก!


เหตุการณ์แม่งคุ้นชิบหาย อย่างกับฉากพระนางกำลังจะเข้าได้เข้าเข็มกันในทีวีแน่ะ...


นาทีนี้ผมได้แต่ถลึงตาใส่มัน พยายามดีดดื้นเต็มที่แต่ก็แพ้แรงที่จับข้อมือตรึงกับเตียงเอาไว้ หันไปมองเจอรอยสักสวาทก็ช้ำใจ ทำไมกูต้องมาตกเป็นเบี้ยมันแบบนี้ด้วยวะ!


“พูดดี ๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลังด้วยใช่ไหม”


“ก...กู....ปล่อยกู กูจะไปเรียนแล้ว!”


“ไม่ให้ไป...” 


“กูจะไป”


“อยู่เฉย ๆ เลย”


ยิ่งขืนมันก็ยิ่งรั้ง ยิ่งต่อสู้มันก็ยิ่งกำแขนผมแน่นขึ้นเหมือนเชือกเงื่อนกระตุกที่ยิ่งดึงก็ยิ่งแข็งแรง เราสองคนจ้องหน้าแล้วต่อสู้กันภายใต้ความเงียบอยู่พักใหญ่ จนสบโอกาส ผมเลยยกขาหน้าขึ้นกะจะกระแทกน้องชายมันให้สาแก่ใจซักที...


แต่ติดตรงที่ว่ามือแม่งไวกว่านี่สิ....


แล้วนั่น!! มึงจับตรงไหนนนน  ได้โปรด... เอามือออกไปจากน้องชายกู!!!!


“สั่งอะไรไม่เป็นสั่ง...มึงเจ็บแน่ครับพิก” มันกระซิบเสียงพร่า ก้มหน้าลงมาหาจ้องผมตาเขม็ง ไอ้เก้าในตอนนี้แม่งทำให้ผมรู้สึกขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก มันพูดพร้อมกับนาบปากลงมาจูบเบา ๆ ที่ขมับผม ก่อนจะผละออกมามองด้วยสายตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกอะไรซักย่าง


“...”


ยกเว้นปากของมันที่กำลังทำให้ผมรู้ว่าโนบิตะน้อยหื่นกามขึ้นมาอีกแล้ว...


“ชอบแบบหยาบคายใช่ไหมล่ะ...ได้ งั้นจะเอาให้ขาถ่างก่อนไปเรียนเลยดีไหมล่ะ จะได้สะใจคนเป็นมาโซอย่างมึง” 

______________________________________________________

TBC


แอร้ ซ่อมคอมแล้วน้า เดี๋ยวพรุ่งนี้มาลงตอน 12 รับรองเลือดพุ่ง ;_ ;  :katai1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 11 (22/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 22-09-2015 18:25:39
พิกไปกดถูกสวิตซ์ S ในตัวเก้าเข้าให้แล้ว~ :hao7: ..
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 11 (22/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 22-09-2015 18:29:43
ดิ้นนนนนน รักโนบิตะ เธอเถื่อนได้ใจเรา วะฮะฮ่าาาา
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 11 (22/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 22-09-2015 19:36:54
แหมมมมมมมมมม กลับมาพร้อมเลือดเลยเนาะะะ
ดีใจที่กลับมาต่อนะคะ รอตอนต่อไปเนาะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 11 (22/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 22-09-2015 19:44:38
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด

กลับมาแล้วววววววววววว :hao7:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 11 (22/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 22-09-2015 20:00:39
แผนการชิงตัวไจแอนท์สำเร็จ---แค่กๆๆ
เก้าเจ้าเล่ห์อะ ไปเอาลูกเขามาเฉยเลย 555555555555555
พิกก็ซื่อน่ารัก ////
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 11 (22/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 22-09-2015 20:56:55
ไอหย่าาาามาาแล้ว
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 11 (22/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-09-2015 22:21:54
หายไปซ่องสุมกำลังนี่เอง

เลือดท่วมแม้กระทั่งเพิ่งเริ่ม....

รอด้วยใจจดจ่อ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 11 (22/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 22-09-2015 22:55:22
หนูพิกก็น่าจะรู้นะว่าถ้ากวนตรีนเก้าแล้วจะโดนอะไร ก็โดนจับกดไปน่ะสิ :z1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 11 (22/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-09-2015 22:56:48
พิกโดนอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 11 (22/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: parn11 ที่ 22-09-2015 23:08:45
โอ้ย คิดถึงพิกกก หายไปนานนนนมากกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 11 (22/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 22-09-2015 23:19:22
เก้าดูเอาแต่ใจเนาะ
แอบสงสารพิกเบาๆนะเนี้ย
 :hao4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 11 (22/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 23-09-2015 00:41:42
เหยยยยย นี่อ่านไปกรี้ดไปตั้งแต่ตอนแรกยันปัจจุบันเลย ชอบอิมเมจทั้งคู่มาก ละมุน หื่น และลงตัวมั่ก น้องพิกแม่งน่ายักกกกก
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 11 (22/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-09-2015 01:24:53
#ทีมโนบิตะ  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 11 (22/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 23-09-2015 10:56:24
12

GIANT’s PART


“ทำไมวันนี้เดินขาถ่างจัง...ขี้ไม่ออกหรือเป็นริดสีดวงวะ”


จำได้ไหมว่าใครน่ารำคาญที่สุดในปฐพี?


ตัวยังไม่ทันเดินมาถึงเสียงก็แว่วดังมาก่อนใคร ไอ้เชี่ยชาญนั่นไง มันเดินกัดหลอดทำหน้าเหมือนควายเคี้ยวเอื้องมาแต่ไกล


“เรื่องของกู”


ผมหันไปตอบมันที่เดินมาประชิดตัว ไอ้โย่งชานเอื้อมมือมากอดไหล่ผมเอาไว้ แล้วหันไปยิ้มให้สาวต่างคณะที่เดินสวนมา ตอนนี้พวกเราอยู่ที่หน้าคณะครับ พรีเซนต์งานเสร็จแล้วเรียบร้อย โรงเรียนไอ้โนบิตะมันนั่นล่ะ


จะถามเรื่องพรีเซนต์งานวันนี้ใช่ไหม? ผ่านไปได้ด้วยดีไม่มีอะไรติดขัดยกเว้นแต่เรื่องที่ผมกับโนบิตะมาสายที่สุดในห้อง แต่ถึงอย่างนั้นรายงานของเราก็ดีซะจนอาจารย์งี้แทบจะลุกขึ้นมาตีลังกาแล้วปรบมือพร้อมบอกว่าบราโว่! ชมเสร็จสงสัยจะไม่หนำใจ แกยังบอกอีกว่ากลุ่มผมถ้าไม่มีโนบิตะอยู่ด้วยก็คงไม่ก้าวผ่านมาได้ถึงจุดนี้หรอก


จะว่าจริงไหมมันก็จริงนะ เพราะเราทุกคนล้วนก็เป็นตัวถ่วงของแม่งทั้งนั้น
แต่กูไม่แคร์นะ คนอื่นจะว่าไงก็ช่างแม่ง ในหัวตอนนี้สิ่งเดียวที่คิดคือ โนบิตะแม่งต้องชดใช้...
ใช่มันต้องชดใช้ให้ผม...


“แล้วตกลงเย็นนี้จะไปกินเหล้าไหมอะ ไอ้เฮียมันชวนตั้งแต่ต้นคาบแล้วไม่เห็นมึงตอบ?”


เชี่ยวชาญถามด้วยแววตาแบบนางเอกแจ่มใสเมื่อพูดถึงร้านเหล้า นานน๊านทีจะเห็นมันกระดี้กระด้าอยากไปกินเหล้ากับเพื่อน ทีเมื่อก่อนชวนไปหาพี่พลอยไม่เคยเห็นอยากจะไป ทีตอนนี้ล่ะมาทำตื่นเต้นดีใจ


เห็นมันรื่นเริงบันเทิงใจในฐานะเพื่อนซี้ก็อยากจะไปช่วยแบกมันตอนเมาหรอกนะครับ กำลังจะตอบตกลงด้วยความแช่มชื่นอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่ติดว่ามีมือเอื้อมมาสะกิดเบา ๆ ที่ด้านหลัง หันไปก็เจอสายตาแวววับใต้กรอบแว่นที่มองมาเหมือนกับจะรู้กัน


“เอ่อ...ขอโทษว่ะ...กูไม่ไปนะ...แม่...แม่ให้ไปปิดร้านอะวันนี้”


ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องยอม ต้องโกหกเพื่อนนี่ความรู้สึกผิดมหันต์เลยนะครับ อันที่จริงกูอยากหลุดพ้นจากวงเวียนชีวิตแสนรันทดนี้มาก แต่ก็ต้องยอมจำใจหาเรื่องปดใส่ไอ้ชานเพราะเก้าแม่งขู่ผมตั้งแต่ก่อนมาเรียนนี่สิ...


‘วันนี้ถ้าคุณเฮียชวนไปกินเหล้า ให้ปฏิเสธไปนะครับ...ไม่งั้นผมจะฟ้องแม่คุณ ว่าคุณทำตัวเหลวไหล หนีไปกินเหล้าแทนที่จะอ่านหนังสืออยู่ห้องกับผม’


ประเด็นคือมันรู้ได้ไงว่าไอ้เฮียเตี้ยจะชวนพวกเราไปกินเหล้าหลังพรีเซนต์งานเสร็จ ผมหันไปมองไอ้โนบิตะที่ยังมองมา ตอนนี้สายตามันเลื่อนลงต่ำไปยังมือของเชี่ยชานที่จับไหล่ผมเอาไว้


‘คุณไม่มีสิทธิ์เป็นของใคร ยกเว้นแต่ผมจะเบื่อคุณเอง’


อยู่ ๆ เสียงของมันก็ดังก้องขึ้นมาในหัว ยิ่งเห็นสายตาแวววับที่เหมือนกับจะจับผิดกันยิ่งรู้สึกประหลาด เมื่อเช้ามันก็พูดอย่างนี้ตอนบอกจะคิดถึงให้ขาถ่าง ไอ้เวรนี่...ไม่รู้จักกาลเทศะซักนิดเลยหรือไงวะ ชอบเข้ามาในหัวคนอื่นเขาตามอำเภอใจอยู่ได้


“ตกลงจะไม่ไปใช่ไหม?


น้ำเสียงของเชี่ยวชาญฟังดูหดหู่ลงไปถนัด หันไปก็เจอมันทำหน้าซังกะตายเหมือนปลาขาดน้ำ รู้สึกแย่เลยว่ะ นาน ๆ ทีจะเห็นแม่งตื่นเต้นดีใจนอกจากตอนได้เกมใหม่ซักที...


“ให้กูโทรบอกแม่มึงให้ไหม เผื่อมึงจะไปได้...”


ผมหันไปมองหน้าไอ้โนบิตะที่ยืนตัวจืดจางอยู่ด้านหลัง สีหน้ามันไม่บ่งบอกอารมณ์ซักนิด ได้ยินไอ้ชานมันพูดว่าจะเป็นคนโทรไปขอแม่ให้ก็ยิ่งลังเล ถ้าเกิดมันบ้าจี้โทรจริงจะทำไง? กูไม่ได้จะไปช่วยแม่ปิดร้านเลยด้วยซ้ำ ถ้ามันโทรไปความก็แตกสิวะ !


ระหว่างที่ยืนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ กระบิดกระบวนอยู่ เชี่ยชาญก็จี้ผมยิก ๆ


“เอายังไงวะพิก อย่ามัวแต่อ้ำอึ้ง เดี๋ยวกูโทรให้ตอนนี้เลย”


มันพูดพลางทำท่าจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า ตอนนี้พวกเราเดินมาหยุดกันอยู่ที่ร้านกาแฟหน้าคณะ จริง ๆ กะมารอไอ้เตี้ยซื้อกาแฟเลี้ยงให้สบายใจ แล้วไหงกูต้องมาเจอสถานการณ์ชวนอึดอัดใจแบบนี้ด้วยวะ !


นั่น ! นิ้วเรียวยาวของมันกำลังจิ้มที่หน้าจอไอโฟนแล้ว แต่ละวินาทีที่มันเริ่มจิ้มลงไปทีละตัวเลขทำให้ผมลุ้นจนตัวแทบจะโก่งเป็นคันศร ในใจนี่เต้นรัวอย่างกับมีคนเอากลองรุมบ้ามาตีเล่นจังหวะ นิ้วยาวขนาดมึงทำไมต้องสโลว์โมวชั่นตอนกดมือถือด้วยวะ ผมหลับตาปี๋ก่อนตะยื่นมืออกไปข้างหน้าหาทางหยุดมัน และ...


Rrrrrrr Rrrrrrr


เสียงริงโทนคุ้นหูดังขึ้นคามือเชี่ยชาญ ผมรีบลืมตาขึ้นมามองสถานการณ์ แล้วก็ต้องพบกับมันที่ทำหน้าเหรอหราอยู่ตรงหน้า

เชี่ยชาญกดวางให้เสียงริงโทน ost. จากเรื่องผ่าพิภพไททันดับลง ผมหันขวับไปมองไอ้เก้าที่ยืนทำหน้าเอ๋อ ๆ เหรอ ๆ หรา ๆ ไม่รู้รื่อง ก่อนจะกดสายตาลงไปมองนิ้วโป้งมือมันที่เพิ่งจะเลื่อนออกจากหน้าจอโทรศัพท์ตนเองหมาด ๆ


 “อ้าว...โนบิตะ มึงโทรหากูทำไมวะ” 


“อ่า...ขอโทษครับ สงสัยมือจะเผลอไปกดโดน”


ร้ายนักนะมึง...เล่นมุกเนี้ยะ


เรื่องตอแหลนี่ต้องยกให้โนบิตะเลยครับ มันทำหน้าตางงงวยไม่พอยังยกมือขึ้นเกาหนังหัวอย่างเป็นธรรมชาติ อีกคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นี่ก็พอกัน ไอ้ลานเลิกทำคิ้วขมวด ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าอย่างง่ายดาย 


“กาแฟมาแล้ววววว” 


เสียงไอ้เฮียที่ตะโกนมาจากหน้าร้านทำให้เราละความสนใจจากเรื่องเมื่อครู่ไป มันเดินต้วมเตี้ยมมาพร้อมกาแฟสี่แก้วทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรเมื่อก่อนหน้า ไม่มีใครทักเหี้ยอะไรอีก ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากพูดว่าเชี่ยชานกำลังจะทำอะไร แล้วเจ้าตัวมันก็นะ ลืมไปเสียฉิบเมื่อเห็นอเมริกาโน่หยอดนมจืดในมืออีกคน 


“อ๋า....อากาศร้อน ๆ มันต้องยกล้อนี่แหละ...ว่าแต่เมื่อกี้กูจะทำอะไรนะ...”


เชี่ยวชาญถามขึ้นมาพร้อมกับกัดหลอดตามสันดาน ผมกับไอ้เก้าหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนไอ้โนบิตะจอมตอแหลจะเป็นคนเอ่ยปากเฉลยคำตอบที่ไม่ถูกต้องเสียเอง


“คุณชานบอกจะรีบกลับไปงีบซักตื่นแล้วค่อยอาบน้ำแต่งตัวไปเที่ยวกับคุณเฮียครับ...รีบไปสิครับ นี่บ่ายสามแล้ว เดี๋ยวจะไม่มีเวลางีบ”


“เอ้อ หรอวะ...มึงนี่ความจำดีจังโนบิตะ...งั้นเดี๋ยวกูกลับแล้วนะ ไปก่อนนะเตี้ย เจอกันคืนนี้”


 ไอ้ซูเนโอะเพื่อนยากหันไปโบกมือบ้ายบายไอ้เตี้ยที่ดูไม่มึนงงซักนิด ชิสุกรังจังคนดีของกลุ่มทำแค่ยิ้มรับ บ้ายบายมันแล้วตะโกนไล่หลังว่า ‘เดี๋ยวเจอกัน’


คือผมจะไม่อะไรเลย ถ้าทุกคนไม่ทำท่าเหมือนปกติขนาดนี้  แล้วนั่นอะไรอีก ทำไมไอ้เฮียเตี้ยต้องหันไปทำตาสระอิมองโนบิตะมันด้วย แถมยังทำท่ามีลับลมคมในประหลาด ๆ


น่าหงุดหงิดชิบหาย...


“ตกลงจะไม่ไปด้วยกันจริงดิ”


เชื่อว่าประโยคนั้นเฮียมันถามผม แต่จนแล้วจนรอดมันก็ยังไม่ละสายตาออกจากหน้าโนบิตะ ไม่หนำซ้ำยังทำอมยิ้มเล็ก ก่อนจะยกแก้วลาเต้ขึ้นดูดท่าทีสบาย ๆ อีกด้วย


“ไม่อะ...ช่วยแม่ปิดร้านว่ะ”


ผมตอบตามสคริปต์ที่อีกคนต้องการให้เป็นไปตามนั้น ไอ้เฮียได้ฟังมันก็แค่ยักไหล่เล็ก ๆ ก่อนจะก้มมองนาฬิกา พึมพำเบา ๆ ว่าได้เวลากลับไปเตรียมตัวแล้ว ผมกับโนบิตะเห็นท่าทางมันดูสบาย ๆ ก็ไม่ได้อะไร เว้นแต่ถ้ามันไม่...


“มีอะไรสนุกอะไรก็บอกกูบ้างนะ อย่าอุบไว้คนเดียวล่ะ...งั้นกูไปก่อนนะ เจอกันคืนนี้”


ไอ้เฮียจากไปแล้ว มันลาผมเสร็จก็วิ่งดุ๊กดิ๊กไปทางรถตู้ของท่านหญิงแม่ที่คนขับรถสตาร์ทรอตั้งแต่ก่อนมันเข้าไปซื้อกาแฟ เชื่อไหมว่าวันนี้ผมรู้สึกว่าสมองมันตื้อ ๆ อย่างน่าประหลาด บางทีผมควรจะเชื่อแม่ได้แล้ว เรื่องที่ให้กินแบรนด์สามเวลาหลังอาหาร


“มองอะไรครับ”


โนบิตะถามขึ้นมาหลังจากเห็นผมขมวดคิ้วมองอยู่นาน มันจ้องเข้ามาในตาผมผ่านกรอบแว่นเชย ๆ บนหน้ามัน


“ทำไมเฮียมันต้องพูดว่าเจอกันคืนนี้วะ...หรือมึงจะไปไหนกับมัน...” พวกมึงมีลับลมคมในอะไรกันนักหนา เห็นแล้วคนโง่อย่างกูมันเดือดที่ไม่รู้อะไรเลย


“เปล่านี่ครับ” มันตอบแล้วยักไหล่ทีนึง “อย่าคิดมากเลย...รีบกลับห้องเรากันเถอะ เดี๋ยวผมต้องรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปทำงานต่อ” ไอ้โนบิตะพูดจบก็ทำท่าไนซ์ ๆ เดินนำไปที่รถ ระหว่างทางพวกเราไม่ได้คุยอะไรกันนอกจากฟังเพลงอกหักเป็นภาษาอังกฤษเพราะคลื่นที่เจ้าของรถฟังมันเป็นคลื่นอินเตอร์ ส่วนผมน่ะหรอ ได้แต่เอาหัวพิงกระจกด้านข้างแล้วมองท้องฟ้าเหมือนหมามองเครื่องบิน


ลองมานึกย้อนตรึกตรองดูดี ๆ แล้วนะ บางทีกูก็ยอมมันง่ายไปไหมวะ นี่มันก็หลายเรื่องแล้วนะตั้งแต่ที่ยอมให้มันเอาง่าย ๆ โดยมีเรื่องหนี้สินล้นพ้นตัวมาอ้าง ต่อมาก็เป็นเรื่องที่บ้านที่แม่ยอมให้มาเป็นนางซินส่วนตัวของไอ้คุณชายจอมตอแหล แล้วนี่ยังจะมีเรื่องอะไรอีกไหมให้กูต้องเซอร์ไพร์ส ควรจะนับเรื่องอีชิสุกะนี่เป็นความมหัศจรรย์ของโลกด้วยดีไหม


ตอนเด็ก ๆ ครูสอนนะว่ามีอะไรสงสัยให้ถาม แต่พอกูถามแล้วก็ไม่เคยได้คำตอบที่อยากได้ไง แล้วกับไอ้คนข้าง ๆ ที่กำลังเอาตาวางไว้บนถนนนี่ถ้าถามไปมันจะตอบไหม? ถ้าถามแล้วจะได้คำตอบที่อยากรู้ไหม?


“อยากพูดอะไรก็พูดมาสิครับ มองผมตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

 
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้ตัวอีกทีสายตาตัวเองก็มาจับอยู่บนใบหน้าของโนบิตะ มันหันมาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย มองสบตากลับมาแวบนึง ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับถนนตรงหน้าอีกรอบ


“...กู”


“....”


“มึงกับไอ้เฮียนี่...ยังไงวะ”


ทันทีที่ตัดใจพูดจนจบประโยค ล้อก็เบียดกับพื้นถนนดังเอี๊ยด เสียงแตรด่าพ่อล่อแม่จากรถคันหลังกระแทกเข้ากระดูกค้อน ทั่ง โกลนของผมอย่างจัง ยังไม่หนำใจ หันมาก็เจอโนบิตะมองมาหน้าตาอมยิ้มแปลก ๆ


“หึงหรอครับ”


“หึงที่หน้ามึงสิ ถามเฉย ๆ” ได้ยินมันหัวเราะหึ ในลำคอแล้วก็ต้องเบะปากออกมาแรง ๆ “กูไม่ได้หึงมึงเลย แค่เห็นพวกมึงชอบทำลับ ๆ ล่อ ๆ กันอยู่ได้....”


“...”


“หรือว่าพวกมึงรู้จักกันมาก่อน”


อันนี้จะยอมยกความดีความชอบให้การ์ตูนโคนันยอดนักสืบที่ดูตอนเบื่อ ๆ ทุกเช้าวันเสาร์ก็ได้นะ แต่พอมาประติดประต่อเหตุการณ์แปลก ๆ ในหัวมันก็ได้ความมาว่าอย่างงี้ว่ะ แล้วไหนยังจะสีหน้าของไอ้โนบิตะที่ดูราวกับจะชื่นชมว่าผมฉลาดขึ้นมาเป็นครั้งแรกนี่อีก...


“ตกลงยังไง” ผมหันไปเร้ามันยิก ๆ ทำตัวเหมือนสอบปากคำนักโทษไม่มีผิด


“ก็...จะว่าอย่างนั้นก็ได้” 


ผิดคาด หลังจากที่มันเงียบไปพักนึงไอ้แว่นจืดเพื่อนรักก็ตอบออกมาอย่างสบาย ๆ  โนบิตะดูโล่งใจขึ้นมานิดนึง นับเอาได้จากบรรยากาศที่ผ่อนคลายขึ้น


“ก็เลยไม่ยอมให้กูไปกินเหล้ากับพวกมันหรอ?”


“เพราะผมรู้ว่าเขาจะเล่นอะไรต่างหาก...” ไอ้เก้าพูดพลางหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าคอนโด “ผมรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร...จะว่าผมรู้จักเขาดีกว่าคุณก็ได้”


“พวกมึง...เคยเอากันหรอ”


คือกูก็รู้นะว่าตัวเองกำลังหลงประเด็น แต่อยู่ ๆ เหตุการณ์น่าอนาถใจของตัวเองก็ผุดขึ้นมาในหัวเหมือนฟิล์มฉายซ้ำว่ะ... ไอ้ว่าที่รู้จักกันนี่...ใช่เคยเอากันไหมนะ


จบคำถามคาใจของผมโนบิตะก็อึ้งไปอึดใจนึงก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เป็นเสียงหัวเราะที่ผมโคตรเกลียดเลยให้ตายเหอะ


“ฮ่าฮ่าฮ่า....อุบ....แปป...แปปนึงนะ...อึก....ครับพิก...”

“จะหัวเราะเหี้ยไรนักหนา อยากพูดไรก็พูดมาสิวะ”

ผมขมวดคิ้วใส่มัน หงุดหงิดแล้วนะ หัวเราะเหมือนกูเป็นตัวตลกไปได้ พอผมพูดไปอย่างนั้นโนบิตะก็ยังหัวเราะอยู่ แต่ซักพักมันก็หยุดแล้วกระแอมไอหันมาส่งยิ้มน้อย ๆ ให้แทน

“วางใจเถอะครับพิก...”


“...”

“ในมหาลัยนี้คุณเป็นผู้ชายคนแรกที่ผมเอา”


เห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของมันที่ชักจะเปิดเผยบ่อยครั้งมากขึ้นแล้วก็รู้สึกหน้าร้อนแปลก ๆ  แม่งตอบอย่างเดียวก็ได้มั้ง ไม่เห็นต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้กันขนาดนี้เลย


“และจะเป็นคนเดียวด้วย...พอใจหรือยังครับ?”


ถามมาแบบนี้แล้วจะให้กูตอบยังไงวะ?...
แล้วถ้าตอบว่าไม่พอใจจะทำไง? จะซื้อบ้านซื้อรถมาประเคนให้กูด้วยไหม? 
แม่ง หงุดหงิดเป็นบ้าเลยโว้ยยยยยยยย


 “จะเคยเอาใครมาก็ช่างมึงเหอะ...กูง่วง อยากนอนแล้ว ถ้าจะนั่งแช่อยู่อย่างนี้ก็เอากุญแจมาให้กู เดี๋ยวขึ้นไปเอง”


ผมแกล้งทำเป็นหาววอดเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่อยู่ในใจ ไม่อยากแสดงสีหน้าหงุดหงิดรำคาญใจ ไม่อยากให้โนบิตะมันทึกทักไปเองกว่าผมหึงมันขึ้นมาอีก แต่ยิ่งทำอย่างนั้นมันก็ยิ่งยิ้ม เป็นยิ้มทีผมโคตรไม่อยากมองเลยให้ตายเหอะ


“อยากได้หรอครับ อยากได้ก็ขอเอาดี ๆ สิ” มันพูดพลางยกกุญแจขึ้นในระดับสายตา


“งั้นกูไม่เอาแล้ว” ผมปิดประตูรถแล้วเดินหนีมันออกมา ทางเข้าตัวคอนโดอยู่ตรงไหนยังไม่รู้เลย รู้อย่างเดียวคือแค่ไม่อยากให้แม่งทำเหมือนผมเป็นเรื่องสนุกของมันอีก


หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมอีก ให้ตาย...เวลานี้กูควรนั่งแดกขนม ดูแคสเกมรอเวลาแม่เรียกไปปิดร้านไม่ใช่หรอวะนี่กูยอมมันทำไม...นี่กูทำอะไรอยู่ ?


“เดี๋ยว พิก”


ผมหันหลังไป แวบนึงเห็นมันรีบปิดประตูกดรีโมทล็อกอัติโนมัติแล้ววิ่งเหยาะ ๆ ตามมา ไอ้เก้าเรียกผมอยู่อย่างนั้นจนเข้ามาประชิดตัวได้ มันเอื้อมมือมาแตะเบา ๆ ตรงศอกผม ก่อนจะดึงให้หยุดเดินแล้วหันไปประจันหน้ากับมัน


“อะไรอีก” ผมตีหน้ามึนถามมัน พยายามอย่างมากที่จะไม่จ้องสบตากับมัน แต่แล้วก็โดนก้มลงมามองจนต้องมองตอบจนได้


“ง่วงจริง ๆ หรอครับ” 


“เอ้า โกหกได้โล่หรอครับคุณชาย มึงจะไปทำงานไรก็ไปทำเหอะ กูจะทำความสะอาดห้องแล้วนอนอยู่นี่ล่ะ”

เก้ามองผมแล้วนิ่งไปพักใหญ่ มันขมวดคิ้วน้อย ๆ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ


“งั้นไปนอนที่ร้านแล้วกัน เดี๋ยวอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปกับผมเลย”


ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าโนบิตะแทบจะในทันที มันเลื่อนมือมาคว้าหมับเข้าที่แขนผมแล้วกึ่งลากกึ่งจูงเข้าคอนโดไปโดยไม่ถามซักคำ


แล้วไอ้ที่จะมาเร่งอาบน้ำนี่ก็เร่งจริงนะ พอมันอาบเสร็จก็ออกมาลากผมเข้าไปอาบต่อ โน โน อย่าได้คิดอกุศลเชียว ก็แค่อาบน้ำเฉย ๆ  ไม่มีอะไรเกินกว่านั้นเลยแม้แต่น้อย


อาบเสร็จเดินห่มผ้าเช็ดตัวออกมาก็ได้กลิ่นอะไรหอมฉุยลอยมาเตะจมูก เดินตามกลิ่นไปก็เจอไอ้โนบิตะยืนท้าวสะเอวผัดข้าวอยู่หน้าเคาน์เตอร์โซนครัว มันหันมาเจอผมนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวก็ชี้ไปทางห้องแต่งตัวว่ามีเสื้อผ้ามันให้เอาไปใส่ก่อน 


คือเอาจริง ๆ นะ ผมก็งงว่าทำไมต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้นวะ  แต่พอนึกไปถึงเหตุการณ์ขายขี้หน้าที่ทำไว้ก็นึกขอบคุณแม่งขึ้นมาเลย ถ้าวันนี้แต่งตัวมอซออีกใครจะเชื่อวะว่ากูเป็นเพื่อนเจ้าของร้าน มีหวังโดนลากออกไปทิ้งให้ขายขี้หน้าโนบิตะมันอีก


“ข้าวเสร็จแล้ว เดี๋ยวกินรองท้องในรถไปก่อน ผมต้องรีบไปเคลียร์ของเข้าร้าน”


เดินเช็ดหัวออกมาก็เจอโนบิตะหัวหมุนอยู่กับข้าวในทับเปอร์แวร์ ตอนนี้มันก็ยังคงใส่แว่นกรอบดำหน้าเตอะเหมือนเดิม จะต่างก็ตรงที่มันใส่เชิ้ตสีทำ เซ็ตผมเผ้าไม่พะรุงพะรัง เรียกว่าดูดีผิดหูผิดตาเลยก็ว่าได้


อันที่จริงผมไม่ชินเลยเวลาที่โนบิตะมันดูดีแบบนี้ ผมรู้สึกว่าแพ้มันตั้งแต่แม่ยังไม่คลอด ทีหลังถ้าเจอหน้าพ่อแม่มันนะ จะถามซักหน่อยว่าให้ลูกกินอะไรตอนท้อง เพราะเอาจริง ๆ แล้วหน้าตาแม่งดีขนาดที่ชนะพระเอกช่องสามบางคนได้สบายเลย


แล้วนี่อะไร มาทำเป็นผัดข้าวผัดให้กูกิน เพิ่งรู้เหมือนกันว่าแม่งทำกับข้าวเป็น... แต่ทำไมต้องดูแลกูดีขนาดนี้วะ จริง ๆ หน้าที่นี้ควรเป็นของกูไหม? หรือมึงทำแบบนี้ให้แม่บ้านทุกคนวะเก้า ?




เราใช้เวลาไม่นานนักจากคอนโดของเก้ามาถึงร้าน มันวนหาที่จอดแถวด้านหลังอยู่สองสามรอบเพราะนี่เป็นย่านใจกลางเมือง เชี่ยเก้าขอโทษที่ทำให้ผมต้องเดินไกลทั้งที่ขายังถ่าง (ที่จริงมึงไม่ต้องขอโทษกูก็ได้จ้า ถ้าคิดจะทำแบบนั้นแต่แรก =_=) ก่อนจะดับเครื่องและก้าวอาด ๆ ข้ามถนนขำเข้าร้านไป


ร้านเหล้าที่คุ้นเคยกันดีเวลานี้ต่างออกไป สภาพเวลากลางวันของมันทำให้ผมรู้สึกว่าถ้าไม่รู้จักร้านนี้อาจจะคิดว่าเป็นร้านกาแฟแนวสตรีทก็เป็นได้ อาจด้วยเพราะสไตล์การแต่งร้านที่ดูชิค ๆ แต่ก็มีโซนเหมาะสำหรับนั่งคุยหรือนั่งประชุมจึงทำให้ร้านนี้เป็นสถานที่ยอดนิยม เสิร์ชหาในรีวิวร้านเหล้าทีไรก็มักมีร้านนี้ติดท็อปไฟว์ทุกที


‘บาร์กะโล’


ผมมองป้ายชื่อร้านที่ห้อยต่องแต่งอยู่เหนือประตูก็อดรู้สึกใจเต้นขึ้นมาไม่ได้ อันที่จริง ถ้านับจากวันที่โดนพี่พลอยสลัดรักมาเมาหยำเป๋จนโดนโนบิตะลากไปซั่มมันก็นานมาแล้วเหมือนกัน  และที่บอกว่าอดใจเต้นไม่ได้นั้น เพราะลึก ๆ ก็แอบคิดว่าจะได้เจอพี่พลอยอีกไหม


“สวัสดีค่ะคุณเก้า”


สาวนางนึงเอ่ยทักไอ้เก้าทันทีที่พวกเราเปิดประตูเข้าไปในตัวร้าน ตอนนี้สามโมงกว่า พนักงานอยู่กันพร้อมหน้า บางคนปัดกวาดเช็ดถูร้าน บางคนก็เตรียมตัวอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ ผมหันไปค้อมหัวสวัสดีคนอื่น ผิดกับไอ้โนบิตะที่ก้าวฉับ ๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงห้องกระจกใหญ่ที่ถัดเชิงบันไดวนไป


“นั่งตรงนี้ก่อน เดี๋ยวให้เด็กเอาน้ำมาให้”


มันพูดพลางไปทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะทำงาน กดโทรศัพท์บนโต๊ะ กรอกเสียงสั่งโค้กอึดใจเดียวโค้กก็มาเสิร์ฟถึงที่... คราวนี้เป็นพนักงานผู้ชายในชุดบริกร เขาเดินเข้ามาทำท่าเกรงอกเกรงใจ ก่อนจะรินโค้กให้ผมจนเต็มแก้วแล้วกลับออกไปหน้ายิ้ม ๆ


คือ...ยังไงหรอ จำหน้ากูว่ากูเคยมาเมาอ้วกแตกได้ใช่ไหมถึงได้ยิ้มแบบนั้น...


“คุณหนูครับ เหล้าจากร้าน....อ่า มีแขกหรอกหรอครับ”


หลังจากดูดโค้กนั่งมองโนบิตะมันหัวหมุนกับกองเอกสารเพลิน ๆ ก็มีเสียงนุ่ม ๆ ดังขึ้นมาขัดจังหวะ ชายคนนึงในชุดสูทดำทะเล่อทะล่าเข้ามาพร้อมเอกสารปึกหนึ่งในมือ เขาชะงักเท้าค้างไปเลยเมื่อเห็นว่ามีผมนั่งหน้าง่วงอยู่บนโซฟาสีแดงหน้าโต๊ะของไอ้โนบิตะ


“ไม่เป็นไรหรอก พี่เกื้อว่ามาเลยครับ” โนบิตะยกมือขึ้นแบออกทำท่าเป็นเชิงขอดูเอกสารในมือ  ‘พี่เกื้อ’ ในสูทชุดดำรายนั้นพอเห็นว่าเจ้านายเรียกเข้าไปหาก็รีบเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานทันที


“เซ็นต์ตรงนี้นะครับคุณหนู แล้วก็ตรงนี้...เช็คเงินสดด้วยครับ”  เรียกได้ว่าผมเห็นออร่าผู้บริหารเกาะบนตัวโนบิตะทันทีที่มีพี่เกื้อยืนเคียงข้างแล้วคอยชี้ว่าให้มันควรเซ็นต์ตรงไหน เหตุการณ์นี้ผมเจอบ่อยในละครช่วงไพร์มไทม์ พระเอกเป็น CEO เป็นคนมีเงิน และจะไม่ทำอะไรยกเว้นเซ็นต์เอกสาร


นั่นทำให้ผมเกิดความสงสัย...แล้วกูมานั่งอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรวะ เป็นเพื่อนมันหรอก็ไม่ หรือแค่เพื่อนนอน ก็ดูจะคุณตัวไปไหม? ในละครน่ะนะ บทแบบนี้ถ้าไม่ใช่นางเอกก็นางบำเรอล่ะวะ ว่าแต่มันเป็นโนบิตะแล้วกูเป็นไจแอนท์ไม่ใช่หรอ ? แล้วทำไมไจแอนท์มันไปเป็นนางบำเรอโนบิตะได้วะ =_ =


คิดวนไปเวียนมาได้ไม่ถึงห้านาทีก็เริ่มง่วง  แอร์นี่ก็ช่างเลือกที่ลงเหลือเกิน กลางหัวกูเหมาะเจาะอย่างกับจับวาง ผมปิดปากหาววอดใหญ่เพราะรู้สึกได้ถึงอาการมึน ๆ เบลอ ๆ  เมื่อคืนก็นอนไม่พอ เมื่อเช้ายังโดนจัดยกใหญ่อีก เล่นเอาล้าสะสม เมื่อยขบไปทั้งตัว แล้วจะไม่ให้ง่วงยังไงไหว?


เอนตัวพิงโซฟาพักสายตาซักสิบนาทีต่อหน้าคนของมันคงไม่เสียมารยาทเกินไปหรอกใช่ไหม? ได้ยินเสียงคุยกันจุกจิก คุณหนูอย่างโน้นคุณหนูอย่างนี้แล้วหมั่นไส้ งั้นขอถือวิสาสะงีบซักแปปแล้วกัน ขี้เกียจฟังไอ้โนบิตะสั่งงานชาวบ้าน
.
.



“คุณครับ...คุณ...คุณพิกครับ”


นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผล็อยหลับไป รู้ตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกได้ถึงแรงเขย่าเบา ๆ ที่แขน ผมงัวเงียลุกขึ้นจากโซฟา ยกมือปัดผ้านวมผืนเล็กเท่าคนเดียวห่มที่ไม่รู้ที่มาออกจากอก ก่อนจะเลิกคิ้วมองเด็กหนุ่มในชุดบริกรคนเดิมที่ก้มหน้าลงมาหา


“มีอะไรครับ”


ถามออกไปอย่างนั้นเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเรียกทำไม  รู้แค่ว่าหันไปมองบนโต๊ะรับแขกตัวเล็กด้านหน้าก็เห็นอาหารสองสามอย่างวางอยู่บนนั้น กลิ่นหอมฉุยเย้ายวนซะจนท้องมันร้องประท้วงดังโครกคราก


“คุณเก้าให้เอาอาหารมาเสิร์ฟให้คุณครับ...แล้วก็สั่งเอาไว้ว่า ถ้าไม่จำเป็นอย่าออกไปเดินเพ่นพ่านข้างนอกจนกว่าคุณเค้าจะกลับ”


ได้ฟังคำสั่งของ ‘คุณเก้า’ ผ่านจากปากบ๋อยหน้าซื่อแล้วก็ต้องขมวดคิ้วอย่างขัดใจ ไอ้โนบิตะมันคิดว่าตัวเองเป็นใครวะ คิดว่าเป็นคุณเก้าของที่นี่แล้วจะมีสิทธิ์สั่งให้ใครทำอะไรตามใจก็ได้งั้นหรอ 


ว่าแต่นี่มันไปไหน ตื่นมาแล้วก็ไม่เจอมันนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะตัวข้างหน้า... เหอะ ทีตัวเองล่ะออกไปเตร่ได้ แต่มาทำเป็นสั่งคนอื่นอย่างกับเขาเป็นทาส จ้างให้กูก็ไม่เชื่อหรอก


“โอเค ตามนั้นแหละ นายออกไปเหอะ ขอบใจสำหรับอาหารนะ”


ถึงใจจะไม่ค่อยโอเคกับคำสั่งเสียที่สั่งผ่านพนักงานในร้านมาก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องเหวี่ยงใส่ใคร ตอนนี้บ๋อยคนนั้นออกไปแล้ว แถมตรงหน้าก็ยังเป็นกับข้าวหน้าตาดีกลิ่นใช้ได้อีก แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่ฟาดมันให้เรียบกันล่ะ


แต่ทั้งที่คิดว่าตัวเองหิวไส้แทบกิ่ว พอกินไปได้คำสองคำก็นึกอยากวางช้อนขึ้นมาทันที จะว่ายังไงดี พอมองไปรอบ ๆ แล้วมันก็ไม่คุ้นเคยเหมือนอยู่ที่บ้าน ทั้งโทนสี ทั้งกลิ่นอายมันทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมาอย่างประหลาด ผมมันประเภทกินข้าวดื่มบรรยากาศซะด้วย จะให้มานั่งกินคนเดียวเปลี่ยว ๆ เหงา ๆ มันก็ใช่ที...


สรุปเลยตัดสินใจก้าวขาออกมาจากหอคอยงาช้างที่คุณเก้าของบ๋อยคนนั้นสั่งห้าม ความรู้สึกตอนนี้เหมือนตัวเองกำลังเป็นตัวการ์ตูนผมยาวสีทองของวอลดิสนี่ย์ที่กำลังแอบออกจากบ้านโดยไม่ให้แม่เลี้ยงใจร้ายรู้ แต่จะให้โทษผมที่ขัดคำสั่งไอ้โนบิตะก็กระไรอยู่นะ ต้องโทษมันด้วยสิที่หอบหิ้วผมมาด้วยแต่ดันทิ้งไว้ให้นั่งเปลี่ยวใจอยู่คนเดียวแบบนี้ !


“อ้าว...คุณ...คุณเก้าบอกว่าอย่าออกมาเดินเพ่นพ่านนะครับ”


ออกมาก็เจอน้องบ๋อยคนนั้นยืนจังก้าขวางหน้าทันที มันมองซ้ายมองขวาทำเป็นยกมือขึ้นเกาหัว ก่อนจะปิ๊งไอเดียให้ได้ออกไปจากหน้าห้องทำงานของไอ้โนบิตะซักที


“คือ...ผมปวดฉี่อะ...ห้องน้ำไปทางไหนหรอ จะไปห้องน้ำ”


ผมทำเป็นเม้มปากยืนหุบขาเข้าหากันเหมือนคนปวดฉี่จริง ๆ พอเห็นอย่างนั้นน้องบ๋อยก็ใจดีช่วยชี้บอกทางเดินไปห้องน้ำเสร็จสรรพ โดยไม่ลืมกำชับว่าเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วให้รีบกลับก่อนที่คุณเก้าเธอจะกลับมา 


แต่ใครจะทำตามทีมันบอก ออกมาได้ผมก็ตรงไปเข้าห้องน้ำเลย ไอ้ฉี่น่ะก็ปวดจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดจะต้องบิดให้ไส้เลื่อนขนาดนั้น ทำธุระเสร็จให้น้องชายได้ร้องไห้จนสมใจก็เดินออกมาดูแสงสีดนตรีสดที่ด้านหน้า ขายังไม่ทันจะก้าวไปถึงหน้าเวทีก็โดนกระชากจากด้านหลังให้หันกลับไปทั้งตัว


“เชี่ย! ไอ้พิก มึงมาได้ไง”


ชิบหายแล้วไหมล่ะ... ไม่ต้องเดาเลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผมเป็นใคร ! มันคือไอ้โย่งเชี่ยวชาญที่ยืนถือแก้วเหล้าหน้ากรึ่ม ! คนที่ผมบอกปฏิเสธโดยเอาแม่มาอ้างจนต้องรู้สึกผิดติดใจอยู่แบบนี้ 


“เอ่อ...กู”


นาทีนี้อะไร ๆ มันก็ตะกุกตะกักไปหมด ผมได้แต่เม้มปากแล้วยอมให้มันลากไปถึงโต๊ะใหญ่ใจกลางร้าน ที่โต๊ะนั่นมีทั้งไอ้เฮียและสหายไม่คุ้นหน้าค่าตาอยู่อีกสองสามหน่อ ด้านไอ้เตี้ยพอเห็นว่าคนที่เชี่ยชาญลากกลับมานั่งโต๊ะด้วยเป็นใครมันก็ลุกขึ้นปรบมือทำหน้าอัศจรรย์ใจทันที


“เฮ้ยยยยย มึงมาได้ไงพิก....โอ้ย ดีใจว่ะ...มา ๆ นั่ง ๆ ๆ”  ไอ้เฮียเอื้อมมือมาจับข้อแขนผมแล้วออกแรงดึงให้ไปทรุดตัวลงนั่งข้างมันพร้อมกับหันไปสั่งน้องเด็กนั่งดริ๊งให้ไปเอาเพื่อนมาเพิ่มโดยไม่ถามสุขภาพผมซักคำ


“ไม่ต้องหรอกมึง กูมาแปปเดียว เดี๋ยวกูก็ไปแล้ว” 



(มีต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 23-09-2015 10:58:06
เห็นมันสั่งเด็กชงเหล้าเต็มแก้วก็ใจคอไม่ดี คือจริง ๆ ก็แอบกลัวว่าไอ้โนบิตะจะมาเห็น แต่ที่กลัวกว่าคือถ้าเกิดเมาขึ้นมาแล้วหลุดพูดอะไรออกไป ความก็แตกหมดว่าตอนนี้ผมเป็นทาสไอ้โนบิตะอยู่น่ะสิ...


ผมนั่งยึก ๆ ยัก ๆ คิดว่าจะอยู่พอเป็นพิธีซักนาทีสองนาทีแล้วชิ่งกลับ แต่พอเห็นว่าสาวสวยที่เดินอ้อมมาจากหลังโซฟาไปนั่งปุอยู่ข้าง ๆ เฮียเป็นใคร ก็เปลี่ยนความคิดจะที่จะหนีแล้วกลับมานั่งหลังตรงทันที...


“พี่พลอย...”

ผมอุทานออกมาเบา ๆ อยู่ดี ๆ สมองมันก็พาลไปนึกถึงวันคืนเก่า ๆ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไอ้เฮียเพิ่งรับเหล้าจากเด็กมาส่งให้ผม

“เฮ้ย รู้จักพี่พลอยด้วยหรอมึงน่ะ”  ไอ้เตี้ยบังคับให้ผมถือแก้วเหล้าไว้ในมือ แล้วพยักเพยิดหน้าไปทางพี่พลอยที่ส่งยิ้มมาให้เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน “คนนี้น่ะเด็ด กูลองมาแล้ว สุดยอดไปเลย”


ไอ้เฮียยื่นหน้ามากระซิบเบา ๆ แล้วยิ้มอย่างภูมิอกภูมิใจ แต่สำหรับผมเหมือนได้ยินเสียงฟ้าผ่าลงกลางหัว อยู่ ๆ เลือดในกายมันก็เหมือนจะหยุดไหลเวียน ความรู้สึกนี้คืออกหักใช่ไหม ? รักแรกรักเดียว รักมานานคนเดียวคนนี้อยู่ ๆ ก็กลายเป็นเมียเพื่อนใหม่ไปซะฉิบ ความผิดหวัง ความโศกเศร้าที่ไม่ได้พบกันมานานอยู่ ๆ พรั่งพรูจนเต็มหัวใจ พี่พลอยคนสวยคนนั้นไม่แม้แต่จะแลหางตามองผมด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่เอาจากผมไปจนกระเป๋าแบนกลับบ้านทุกวันศุกร์...


งานโศกมาเลย...ยิ่งเห็นเขาคลอเคลียกันมันยิ่งเฮิร์ท ผมยื่นมือไปยกแก้วเหล้ามาซด กระดกอึก ๆ ลงคอต่างน้ำ ลำบากเชี่ยที่นั่งห่างออกไป ต้องขอแลกที่กับสาวนั่งดริ้งข้างตัวแล้วเขยิบมาหาผมใกล้ ๆ แทน


“กูคิดว่าจะไม่ได้แดกเหล้ากับมึงซะแล้ว...ไหนบอกว่าแม่ให้ช่วยปิดร้าน ทำไมมาได้”


รู้นะว่ามันจงใจเปลี่ยนเรื่อง แต่ตอนนี้กูไม่มีอารมณ์จะเปลี่ยนด้วยแล้ว เห็นมือพี่พลอยลูบไล้แผ่นอกไอ้เฮียเตี้ยแล้วก็รุ้สึกเจ็บแปลบ ๆ ตอนนี้ในกระเป๋าผมมีเงินไม่ถึงห้าร้อยด้วยซ้ำ แล้วจะมีปัญหาทำให้เขาหันมาสนใจได้ไง


“แล้วมึงล่ะ ทำไมมาร้านนี้ได้ มึงก็เหมือนกันเฮีย มึงมาร้านนี้ทำไมวะ!” รู้ตัวครับว่าเริ่มพาล แต่คนมันกำลังเศร้า เข้าใจไหม...  พอเห็นผมถามอย่างนั้นเฮียมันเลยค่อย ๆ อธิบายให้เขาใจไปทีละเปราะ


“ก็ตอนแรกไม่ได้คิดจะมาหรอก แต่เพราะมึงไม่มา ก็เลยคิดว่ามาร้านนี้ดีกว่า” เห็นหน้ามันยิ้มแล้วก็รู้สึกเกลียดรอยยิ้มของมันขึ้นมาอย่างประหลาด เบื่อตัวเองที่เป็นคนย้อนแย้งชิบหาย เมื่อกี้ยังไม่อยากนั่งก๊งกับมันอยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้ถึงซัดเหล้าต่างน้ำแบบนี้


“โธ่...กูถามดี ๆ เอาจริง ๆ ตกลงว่ายังไง ตามมาหากูหรอคะพิก?” เชี่ยชาญยิ้มแซว มันนิ่งไปพักนึงเมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบอะไร เพราะสายตาผมยังอยู่กับผู้หญิงใจร้ายคนนั้นอยู่เลย “หรือว่าโกหกกูเพื่อที่จะมาหา--”


“เฮ้ย มันมาได้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรอวะ มันคงตามมาเซอร์ไพร์สมึงแหละ จะซักไซ้อะไรมันมากมาย เสียบรรยากาศหมด เนอะ พิก” ไอ้เตี้ยจากแคนาดาหันมาขยิบตาให้ผมทีนึง ไม่รู้ว่ามันแกล้งโง่หรือจงใจสวนขึ้นมาอย่างนั้น แต่อารมณ์ผมตอนนี้ไม่พร้อมตอบเหี้ยอะไรทั้งนั้นแหละ รู้อย่างเดียวว่าถ้าอยากเลี่ยงไอ้ชานกับพี่พลอยก็ต้องเอาเหล้าเข้าปากตัวเองนี่ล่ะ...


เหล้าหมดไปอีกแก้วแต่ดูเหมือนความเฮิร์ทของผมจะยังไม่หมด พอน้องเด็กเสิร์ฟมาเติมเหล้าให้ใหม่ผมก็กระดกอีกจนหมดไปสามสี่แก้ว กินไวยิ่งกว่าพายุจนหนที่ห้าไอ้ชานต้องเอื้อมมือมาแตะแขนเอาไว้แล้วเปลี่ยนไปคุยเป็นเรื่องเกมแทน


“วันนี้กูเพิ่งได้เกมใหม่มา เกมที่มึงอยากเล่นไง...เดี๋ยวโทรหาแม่นะ บอกว่าขอไปค้างกับกู กูจะให้มึงเล่นก่อนใครเลย”


ได้ยินมันพูดเสียงตะกุกตะกักก็พอจะเดาได้แล้วว่ามันกำลังคิดจะทำอะไร เชี่ยชานตอนพยายามจะปลอบใจผมก็ดูน่ารักดีอยู่หรอก ถ้าไม่ติดว่ามากับโนบิตะผมก็คงจะกลับกับมันนี่ล่ะ


หรือจะแอบดอดกลับกับแม่งดีวะ กลับไปตอนนี้ยังไงโนบิตะมันก็ไม่รู้ตัวหรอก
คอยดูนะ พ่อจะเล่นเกมให้หายเฮิร์ทไปเลย !


“เออ...กูจะกลับกับมึ--”


แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบจนจบประโยค เงยหน้าขึ้นมาก็เจอสายตาของไอ้เฮียที่มองมาอย่างมีเลศนัย บอกตรง ๆ ว่าผมโคตรจะไม่ชอบสายตาแบบนี้ของมันเลย ดูแล้วไม่รู้ว่าตกลงแม่งคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ ซึ่งสายตาแบบนี้ คนแรกที่ผมรู้จักดีเลยก็คือไอ้โนบิตะ... แม่งชอบมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์เพทุบาย ถ้าเล่นใหญ่กว่านี้อีกหน่อยกูก็ว่าจะสนับสนุนให้มึงไปแคสเป็นพระเอกช่อง ONE  พี่พุฒเดชอุดรอยู่เหมือนกัน =_=


“คงไม่ได้หรอกครับ คืนนี้พิกเค้ามีนัดติวหนังสือกับผมต่อ”

พูดถึงโนบิตะ โนบิตะก็มาเลยครับ... ได้ยินเสียงเย็น ๆ ของมันที่ดังขึ้นจากด้านหลังก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ผมค่อย ๆ หันไปตามเรียวมือของมันที่วางไว้บนมือของไอ้ชานที่กอดไหล่ผมไว้ ริมฝีปากของมันตอนนี้ยิ้มกว้าง แต่ใบหน้าใต้กรอบแว่นนี่อำมหิตย์อย่างเห็นได้ชัด...

“อ้าว ไอ้โนบิตะ มึงก็มาหรอเนี่ย...วันนี้วันอะไรวะเนี่ย โชคดีจัง เพื่อนเต็มเลย”

 ไอ้คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็ยังเป็นคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เชี่ยชานโพลงขึ้นมาน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ยืนอยู่ตรงด้านหลังโซฟา โนบิตะในตอนนี้ไม่ได้เซ็ตผมหล่อเนี้ยบเหมือนอย่างที่มากับผมในทีแรก แต่มันหวีผมหน้าม้าลงจนปรกหน้า และสวมแว่นตาเชย ๆ เหมือนที่ชอบใส่เวลาอยู่ในคลาสแทน


“ขอนั่งด้วยคนนะครับคุณชาน”


ไม่รอให้ได้คำตอบ โนบิตะก็เดินอ้อมมาทิ้งตัวลงนั่งแทรกตรงกลาง เชี่ยชานที่พยายามจะปลอบใจผมโดยที่ไม่รู้อะไรเลยก็ไม่ได้ว่า มันเพียงแค่ขยับตัวออกห่างไปอีกนิดเพื่อให้โนบิตะได้นั่งสบายขึ้น


“วันนี้สนุกชิบหายเลย...กินเหล้าหน่อยไหมวะ โนบิตะ”


แทนที่จะเป็นผมหรือชานชวน คนพูดชื่อเฉพาะของไอ้เก้ากลับเป็นไอ้เตี้ยเพื่อนใหม่ของกลุ่มแทน พักนึงผมเห็นสายตาของพวกมันฟาดฟันกันกลางอากาศ บรรยากาศดูดุมากซะจนพี่พลอยยังต้องลุกออกไปจากตักไอ้เฮียทั้งที่เฟร้นฟรายยังคาปากมันอยู่เลย


“สั่งสิโนบิตะ เดี๋ยวกูเลี้ยงเองก็ได้” เชี่ยชานพูดสวยพลางยื่นเหล้าแก้วที่บ๋อยชงมาใหม่ไปให้อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่รู้ว่ามันเมาหรือโง่เป็นปกติอยู่แล้ว ถึงไม่ได้เอะใจเลยว่าเขากำลังเขม่นกันอยู่เนี่ย..

“เฮ้ยได้ไง กูบอกแล้วงวดนี้จะจ่ายเอง อย่ามาแย่งกู” เชี่ยเฮียรีบสวนขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าชานจะแย่งมันจ่าย มันเลิกฟาดฟันสายตากลางอากาศกับโนบิตะแล้วหันไปต่อกรกับเชี่ยชานแทน ไอ้พวกนี้นี่มันอะไร ทำเป็นอวดรวยอยู่ได้น่าหมั่นไส้จริง


“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ชอบดื่มแอลกอฮอล”


ทั้งสองหยุติสงครามแย่งจ่ายทันทีที่โนบิตะพูดทะลุเข้ากลางปล้อง ไอ้ชานทำหน้าเหรอหราซักพักก็พยักหน้าเข้าใจ ผิดกับไอ้เฮียที่ทำปากขมุบขมิบเหมือนกำลังบ่นอะไรซักอย่างในลำคคอ


“งั้นเดี๋ยวผมขอตัวเลยแล้วกันนะครับ...ไปครับ พิก ได้เวลากลับแล้ว”


ผมปรายตามองมันตอนที่พูดว่า ‘ได้เวลากลับ’ ถามมันผ่านสายตาว่าตกลงกลับน่ะกลับห้องมึงหรือกลับไปอยู่ที่ห้องกระจกกันแน่ แต่ไม่ทันจะได้อ้าปาก ไอ้คนแว่นจืดก็ลุกขึ้นยืนแล้วฉุดผมเสียเต็มแรง คอเสื้อนี่รังจนแทบจะหายใจไม่ออก


“จะไปไหนวะ เดี๋ยวพิกมันจะกลับไปเล่นเกมกับกู”


“เออ มึงจะรีบทำไม ก็ให้พิกมันกินให้เมาก่อนสิ...กูอยากเห็นมันเมา”


ได้ยินคำว่า ‘กินให้เมา’ ก็ตงิดแล้ว แต่ยังไม่เท่ากับที่พวกแม่งประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน พอทีนี้ล่ะเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย เชี่ยวชาญกับไอ้เฮียเตี้ยยกมือห้ามทัพทันทีที่ผมลุกขึ้นตามแรงดึงขอโนบิตะ แวบนึงแอบเห็นใต้แว่นของมันทำตาดุ ๆ ใส่ไอ้เฮีย แต่ก็แค่แว้บเดียวเท่านั้นแหละ เพราะพอตั้งตัวได้มันหันไปหาชานแล้วกดยิ้มมุมปากอย่างใจเย็น


“คืนนี้พิกต้องนอนกับผมครับ คุณแม่เขาฝากให้ผมช่วยติวการตลาดให้”


“เฮ้ย...อะไรวะ ติวกันสองคนได้ไง ทำไมไม่พากูไปด้วย”


“ก็คุณชานไม่ได้ติดเอฟการตลาดนี่ครับ...เก่งอยู่แล้ว ไม่ต้องติวก็ได้” 


เรียกได้ว่างงเป็นไก่ตาแตก พอได้ฟังประโยคยาวยืดกับน้ำเสียงที่ติดจะชื่นชมเชี่ยวชาญก็หมดข้อสงสัยทันที... บางทีกูก็งงนะว่าเพื่อนกูโง่หรือโง่มาก ทำไมถึงดูไม่ออกวะว่ากำลังโดนไอ้ห่านี่ตอแหลใส่อยู่ !


“เอ้าหรอ...ขอบใจมากเลยนะ ก็มีแต่มึงนี่แหละที่มองเห็นความเก่งของกู... เอางี้แล้วกัน งั้นติวกันดี ๆ นะพวกมึง...โนบิตะ คราวนี้มึงต้องทำให้มันผ่านให้ได้เลยนะเว้ย ! แล้วเอา A ไปตอกหน้าอาจารย์ป้ากัน !”


“โอเคครับ ผมจะพยายาม”



“มึงก็ตั้งใจฟังที่โนบิตะมันติวล่ะ เข้าใจไหมวะพิก...เออ ๆ งั้นพวกมึงรีบไปเหอะ ดึกแล้ว เดี๋ยวง่วงนอนกันก่อนพอดี”


จบคำอวยพรไอ้เชี่ยชาญก็หันไปสนใจแก้วเหล้าแบบไม่คิดจะสนใจผมอีก คือตอนนี้งงมากครับ งงตัวเองมากว่าตกลงควรจะรู้สึกยังไงดี กูควรยังเฮิร์ทเรื่องพี่พลอย หรือจะปวดหัวที่เพื่อนตัวเองโง่โนลิมิตแบบนี้?... เผลอไปสบตาเข้ากับไอ้เฮีย ยังดูออกเลยว่ามันก็พอจะตะขิดตะข่วงใจเรื่องที่โนบิตะพูดอยู่บ้าง แต่ก็เอาเหอะ ในเมื่อไม่มีใครรั้งกูก็ไม่อยากนั่งตรงนี้แล้วเหมือนกัน


ผมเดินนำไอ้เก้าออกมาโดยที่ไม่ต้องรอให้มันบังคับอีก ก้าวขาผ่านบาร์ เจอพี่พลอยนั่งสูบบุหรี่สวย ๆ ซบกับลูกค้าที่ดูมีกะตังค์แล้วก็ยิ่งเจ็บใจ ใช่สิ กูมันจนนี่ ไม่มีอะไรจะให้หรอกนอกจากตัวกับใจโทรม ๆ ดวงนึง...



“บอกแล้วใช่ไหม ว่าไม่ให้ออกไปเดินเพ่นพ่าน”


ปิดประตูมาได้ก็ไล่บี้กูเลย ผมทรุดตัวลงนั่งบนที่พักแขนบนโซฟาสีแดง ตาไม่ได้มองไม่ได้สนใจซักนิดว่าโนบิตะมันกำลังทำอะไร รู้แต่ว่าตอนนี้อยากจะก้มลงมองตีนตัวเองอยู่อย่างนั้น อยากมองตีนกรัง ๆ คู่นี้อีกซักพักเพื่อย้ำว่าตัวเองแม่งไม่มีอะไรดีเลยซักอย่างยกเว้นกระเป๋าแบน ๆ ที่มีเงินอยู่ไม่กี่ร้อย เงียบไปอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคืบมาด้านข้างตอนนี้กูไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงกับมึงหรอกนะ คนกำลังเฮิร์ทน่ะเข้าใจไหม?



“เป็นอะไร...โกรธหรอที่ห้ามไม่ให้ออกไปข้างนอก?”


แต่แทนที่เก้าจะด่าต่อมันก็เดินมาหยุดแล้วย่อตัวลงนั่งตรงหน้า ใบหน้าขาวของมันเงยขึ้นมามองหน้าผมนิ่ง ตอนนี้มันถอดแว่นตาอันเชยนั้นออกไปแล้ว เหลือแต่หน้าเกลี้ยงเกลากับผมทรงแฟชั่นที่ถูกสางลงมาปรกหน้านิด ๆ


“เปล่า” ผมตอบแล้วเสหน้าหันไปมองทางอื่นแทน ห้องกระจกของไอ้เก้ามันติดกับบันไดวนและเคาน์เตอร์บาร์ ด้านนอกมองเข้ามาน่ะไม่เห็นหรอก แต่ด้านในมองออกไปน่ะ ชัดเจนตำตา...


จะอะไรซะอีกล่ะ ก็พี่พลอยไง... กำลังป้อนคอกเทลลูกค้าหนุ่มคนใหม่กันซะใกล้ชิด
โอ้ย เฮิร์ทโว้ย!!!!!


“หันหน้ามานี่”


 ตะโกนในใจยังไม่ทันสุดเสียง โนบิตะมันก็ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงแล้วเชิดหน้าผมให้เงยขึ้นไปจ้องหน้ามัน ตอนนี้มันยืนอยู่ตรงกลางหว่างขาผมพอดิบพอดี แถมสายตาที่จ้องมองมาก็ดูดุอย่างกับหมาหวงกระดูก


“อะไร” ผมปัดมือมันออก พยายามจะหันกลับไปมองภาพพี่พลอยเพื่อตอกย้ำหัวใจ แต่ยิ่งดิ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งล็อกคางผมแน่นขึ้น


“อย่าไปมองเขา...มองผมนี่”


“....”


“อย่าเศร้า...มองผมสิ...เดี๋ยวจะทำให้ลืมเขาเอง”


เรายื้อกันอยู่อย่างนั้นจนรู้ตัวอีกทีหลังผมก็เอนลงกับโซฟา มันพร้อมกันกับริมฝีปากของโนบิตะที่โน้มลงมาทาบทับพอดิบพอดี... จะว่ากูใจง่ายเลยก็ได้ แต่พอโดนมันจูบก็เหมือนกับจะลืมเรื่องราวเฮิร์ท ๆ ไปซะหมด จูบคราวนี้ของโนบิตะเหมือนกับจะสูบลมหายใจผมออกไปหมด... มันล้วงลิ้นเข้ามาตวัดลิ้นผม ผละออกแล้วดึงเข้ามาจูบใหม่ จูบย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นจนมุมปากเราทั้งคู่เลอะน้ำลายไปหมด


 ถ้าให้เดานี่อาจจะเป็นวิธีการปลอบใจแบบนึงของมัน ซึ่งแม่งโคตรไม่เอาถ่าน... ถามจริงเหอะ จะมีผู้ชายดี ๆ ที่ไหนอกหักจากผู้หญิงแล้วจะยอมให้ผู้ชายเอาอย่างผมบ้าง แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นผมก็เริ่มเคลิ้มเมื่อมันลากปากลงมาเคล้าเคลียกับคอ ตอนที่มันซุกไซร้ ดูดดุน จูบฟัดที่หูนี่ทำเอาผมจนสั่นไปทั้งตัว 


“เดี๋ยว...เดี๋ยวมึง...จะทำกันตรงนี้หรอ...” 


ยอมรับเลยว่าถึงตอนนี้จะไม่ค่อยมีสติสตังหลงเหลือแล้ว แต่ที่หน้าก็ยังมียางอายอยู่ ผมผละจูบออกจากมันมาแล้วเงยหน้าขึ้นดูกลุ่มคนที่แด๊นซ์อยู่ข้างนอก ถึงจะบอกว่าด้านในนี้ไม่มีคนเห็น แต่กูก็เห็นคนข้างนอกอยู่ดีไม่ใช่หรอวะ


เอาจริง ๆ นี่แม่งก็ไม่ต่างอะไรจากโชว์เอากันให้คนอื่นดูเลยนี่หว่า...


“มึง...ไม่อายหรอวะ...คนเยอะแยะ” 


“ไม่มีใครรู้หรอกน่า”


มันพูดพร้อมกับยื่นปากลงมาจูบฟัดที่คอผมอีกรอบ ริมฝีปากมันใกล้หูผมซะจนได้ยินว่าเสียงของมันพร่าแค่ไหน...กลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่มันใช้ยิ่งชัดเจนเมื่อมันโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ผสมกับกลิ่นน้ำหอมเข้ม ๆ ที่มันฉีดมาในวันนี้


“แต่กู....”


ผมเลื่อนมือลงไปจับแขนมันทันทีที่สัมผัสได้ถึงอะไรที่ดุนดันอยู่ตรงหว่างขา มือของเก้าไวมาก ไม่ทันไรมันก็ปัดมือผมออกแล้วล่วงเข้ามาลูบไล้ด้านในจนตื่นตัวคับกางเกง


“ไม่ต้องกลัว...เชื่อผมสิ” 


ผมน่าจะรู้ว่าคำพูดของมันเชื่อไม่ได้ซักอย่าง เพราะเมื่อผมยอมให้มันปลดกระดุมกางเกง ยอมให้รูดปราการด่านสุดท้ายโยนออกไปไว้บนโซฟา ยอมให้มันล้วงมันควักน้องชายผมออกมาเตรียมจะก้มลงไปดูด แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรจู่ ๆ เสียงเคาะประตูกระจกก็ลั่นขึ้นรัว ๆ ดังจนเราทั้งคู่สะดุ้งสุดตัว !


ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก



“เปิดประตูเดี๋ยวนี้เลยนะมึง กูรู้ว่ามึงอยู่ในนี้ !!!”



หันไปก็เจอไอ้เฮียเตี้ยยืนมองมาจากด้านนอก เรามองมันสลับกับหันมามองกันอยู่สองสามรอบ จนถึงตอนนี้มันยังไม่เลิกทุบกระจกเลยด้วยซ้ำ อึ้งอยู่นาเป็นนาทีพอตั้งสติได้ผมก็รีบลนลานผลักอกให้โนบิตะให้ออกห่างทันที


ดูมันจะหัวเสียมากกว่าที่คิด เพราะเมื่อผมดันมันออกจากตัว โนบิตะมันก็จัดเสื้อผ้าตัวเองแล้วเดินไปกระชากประตูให้เปิดออกอย่างแรง แม่งไม่ถามสุขภาพกูเลยซักคำ ไม่ได้ให้สัญญาณอะไรเลยทั้งที่กูอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยแบบนี้ !


คือ...ตอนนี้กูก็ยังอยู่ในสภาพไม่ใส่กางเกงไหม ?
ทำอะไรคิดถึงสังคมบ้างสิโว้ย!!!!


“มีอะไรครับเฮีย”

 
มันถามขึ้นเสียงเรียบทันทีที่ไอ้เฮียชะโงกหน้าเข้ามา ในใจผมนึกอยากจะด่าไอ้เตี้ยนี่ที่ช่างไม่รู้กาลเทศะ แต่พอมองหน้าตาหงุดหงิดอารมณ์เสียของเก้าผ่านกระจกเงาสีดำนั่นแล้วก็นึกสงสารไอ้บ้าเฮียขึ้นมาตะหงิด...นี่มันจะรู้ไหมว่ากำลังเผชิญหน้ากับจอมมารเข้าให้แล้ว


“เปล่ากูแค่จะมาบอกว่าอย่าให้ชานมันจ่าย—อ้าวพิก...นี่มึงเข้ามาทำอะไรในนี้เนี่ย”


ยังดีที่ตอนมันโผล่หัวเข้ามาแล้วมีประตูกั้นไว้ ทำให้ผมมีเวลาใส่กางเกงทั้งที่ไม่มีกางเกงในประมาณเกือบสามวินาที ไอ้เฮียเสหน้าออกจากไอ้โนบิตะที่ยืนพิงอยู่ตรงกรอบประตู ก่อนจะเดินเข้ามาหาผมที่นั่งเม้มปากไขว่ห้างบังกระดุมกางเกงที่ไม่ได้กลัดเอาไว้


“อ๋อ...กูเข้ามาเอาของ เดี๋ยวจะไปแล้ว...เอ้อ งั้นกูไปก่อนนะโนบิตะ บาย...”

 
คือท่าทางของผมตอนนี้ดูยังไงก็มีพิรุธ แต่เห็นมันคุยกันสนิทสนมแล้วก็ยิ่งไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอ ผมรีบก้าวอาด ๆ พยายามจะแทรกตัวผ่านมันทั้งคู่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินออกไปจากวงกบประตู ไอ้เฮียเตี้ยก็เรียกผมเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่ไม่บ่งบอกอารมณ์


“เดี๋ยวสิ...พิก อย่าเพิ่งไป”


ผมหันขวับไปหามันที่เบี่ยงตัวเข้าไปอยู่ในห้องตอนที่ผมแทรกตัวออกมา ไอ้เฮียยืนยิ้มแล้วชี้มือไปทางโซฟา บางอย่างที่เด่นหราอยู่บนนั้นทำเอาผมหน้าแห้ง... 


“กูว่ามึงลืมของว่ะ”


มันหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นผมตาโต มองตามมือมันไปก็ต้องอุทานใจเสียงดังว่า... ไอ้เหี้ยเอ้ย! ลืมอะไรไม่ลืม กูลืมกางเกงในไว้ตรงนั้นได้ไงวะ!!


ผมรีบวิ่งไปปัดกางเกงในให้ตกลงลงจากโซฟาทันที ก่อนจะยืนเม้มปากมองมันที่นอนหายใจรวยรินเป็นเลข 8 เหมือนกับใบ้หวยอยู่บนพื้น ได้ยินเสียงหัวเราะเสียดหูที่ดังขึ้นลั่นห้องกระจกแล้วใจก็เหี่ยวแฟ่บ... ต่อจากนี้กูจะมองหน้าคนอื่นยังไง ไม่ต้องเอาคอไปไว้ที่ตีนเลยหรอ ?


“นี่พวกมึง...แน่ะ ๆ ๆ ๆ ๆ”


ไอ้เฮียเตี้ยพอเห็นผมพูดอะไรไม่ออกก็ตะโกนแซวซะใหญ่โต มือไม้ของมันชี้โบ้ชี้เบ้มาทางผมกับเก้าที่ยืนนิ่งเหมือนหุ่นหิน กูจะบ้าตาย ให้คนอื่นรู้ก็ไม่ได้ ทำไมต้องให้ไอ้บ้านี่เป็นคนรู้ด้วยวะ


แล้วท่าทางมันจะไม่โง่เหมือนไอ้ชานด้วย...กูต้องพูดยังไงมันถึงจะเชื่อว่าเราสองคนไม่ได้คบกันล่ะ !


เอ๊ะเดียว...ไม่ใช่คบ คือกูไม่ได้คิดจะคบกับโนบิตะ...ไม่ดิ ไม่ใช่ แค่นอนน่ะ นอน แค่นอนด้วยกัน ไอ้บ้าเอ้ย มาคิดมากอะไรตอนนี้วะเนี่ย!!!


“หุบปากได้แล้วครับคุณใหญ่...ถ้ายังไม่เลิกทำหน้าทำตาอย่างนั้นผมจะเดินออกไปบอกผู้จัดการว่าโต๊ะคุณกินฟรี ไม่ต้องจ่าย” 


เงียบ...ได้ผลชะงัด  เชื่อเขาเลยว่าเป็นคนกระเป๋าหนักจนต้องการระบายออกอย่างแรง ไอ้เฮียหน้าถอดสีไปเลยเมื่อได้ยินว่าโนบิตะจะทำยังไงกับมันถ้ามันยังไม่เลิกทำหน้าตาล้อเลียนอย่างนั้น... ว่าแต่ไอ้เฮียนี่ชื่อจริงๆคือคุณใหญ่หรอวะ...เออ กูไม่สงสัยแล้วว่าทำไมมันชอบให้คนอื่นเรียกเฮีย แม่งตัวเตี้ยอย่างกับหมาปั๊ก ชื่อใหญ่คงจะไม่เหมาะกับไซส์ตัวมันเท่าไหร่...


“เฮ้ย...อย่ามาทำเป็นขู่ ถ้าร้านนี้ฟรี กูหาไปจ่ายร้านอื่นก็ได้”


“งั้นผมจะให้ผู้จัดการไปบอกร้านอื่นในละแวกนี้ให้หมดว่าถ้าคุณใหญ่ไปกินให้กินฟรีตลอดชีวิต...เลือกเอาว่าจะเสี่ยงไหม ? คุณก็น่าจะรู้ดีนี่...ว่าเขตนี้ร้านไหนมีอำนาจที่สุด ?”


“...”


น้ำเสียงเย็นเยียบของโนบิตะกับสีหน้าซีดเผือดของไอ้เฮียใหญ่เกือบจะทำให้ผมขนลุกซู่แล้ว ฉากตรงหน้ามันคล้าย ๆ กับฉากมาเฟียกำลังขู่ลูกหนี้ในหนังไม่มีเพี้ยน แตกต่างอย่างเดียวก็ตรงแม่งเสือกขู่กันเรื่องที่จะไม่ยอมให้จ่ายตังค์หลังกินเสร็จนี่สิ...


นี่กูอยู่ในส่วนไหนของโลกใบนี้หรือ... เกิดมาไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเจอกับคนเพี้ยน ๆ อย่างพวกแม่งเนี่ย...


จะบ้าตาย...


“ก..กูขอโทษ ขอให้กูจ่ายให้มึงเถอะนะ ”  สีหน้าท่าทางที่ดูเหนือกว่าเมื่อครู่หายวับไปพริบตา ไอ้เฮียใหญ่ดูผิดหวังและเศร้าใจมากเมื่อเก้ายังคงปั้นหน้านิ่ง ๆ ใส่มัน “นะ ละแวกนี้ร้านมึงใหญ่สุดแล้ว ขอให้กูได้จ่ายตังค์ให้มึงเถอะ ขอร้อง”


“....แต่คุณต้องสัญญามาก่อนว่าจะไม่ล้อพิกอีก ไม่ว่าจะที่ไหน หรือเมื่อไหร่ ?”


ไอ้เฮียใหญ่หันขวับมาหาผมทันที มันเม้มปากแล้วพยักหน้ารัว ๆ


“โอเค กูสัญญา...กูจะไม่ล้อมึงอีก ถ้าไม่มีอะไรแล้วงั้นกูไปก่อนนะ กูกลัวมึงเปลี่ยนใจไม่ให้กูจ่ายอะ”


“รีบเถอะครับ ก่อนที่ผมจะหงุดหงิดมากไปกว่านี้” เก้าตอบเสียงเรียบ แล้วเดินเปิดประตูอ้ารอการจากไปของอีกคนอย่างใจจดใจจ่อ


“อือ งั้นกูไปก่อนนะ...พิก บายนะมึง ไว้เจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการ”


หันมาล่ำลาจนสนแกใจไอ้เฮียใหญ่ก็รีบสาวเท้าออกไปก่อนที่ไอ้โนบิตะจะหงุดหงิดตามที่ขู่ขึ้นมา อันที่จริงผมก็ไม่เห็นว่าที่มันขู่จะน่ากลัวเลยซักนิด ไอ้ที่มันขู่ผมยังดูน่ากลัวซะกว่า เล่นเอาผู้หญิงบนหิ้งมา ใครล่ะจะกล้าหือ


“ผมล็อกประตูปิดม่านให้แล้ว...มาต่อกัน”


ดูท่าทางมันคงจะหื่นจริง ล็อกห้องปิดม่านเสร็จก็เดินตรงดิ่งมาหาผมที่ยืนงงทำตาปริบ ๆ ไม่ใช่อะไรนะ แต่คือกำลังงงไง ว่าสรุปมันยังจะมีอารมณ์เอาต่ออีกหรอ ?


“กูไม่มีอารมณ์ละ หายเฮิร์ทแล้วด้วย...”   


ผมก้มลงมองน้องชายตัวเองที่ห่อเหี่ยวคามือ แหงล่ะ เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมา ใครมีอารมณ์จะทำต่อได้ก็แปลกแล้ว


แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ คนตัวสูงกว่าก็นั่งลงยอง ๆ ตรงหน้า มันปัดมือผมที่กุมน้องชายตัวเองไว้ให้เลื่อนออกจากกลางลำตัว ก่อนจะรั้งกางเกงแล้วรูดทีเดียวถึงข้อขา


“ไม่เป็นไร ผมจะปลุกให้เอง”   


ไม่รู้ว่ามันกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า ? รู้แต่ว่าพอเห็นมันช้อนตามองจากข้างล่างแล้วก็เริ่มจะมีอารมณ์ขึ้นมาแปลก ๆ ตามขึ้นมาซะได้ หมู่นี้ผมว่าตัวเองชักจะหมกหมุ่นเกินไปแล้ว แค่โดนกระตุ้นนิด ๆ หน่อย ๆ ไอ้ท่อนวิเศษตราพิกน้อยก็ผงกหัวตื่นขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย


“...ซี๊ด...มึง...”


ผมสูดปากเหมือนกินของเผ็ดเมื่อไอ้เก้าจับน้องชายผมให้ตรงกับริมฝีปากมันแล้วครอบครองทีเดียวจนมิดด้าม เรียกว่าลีลามันยังร้อนแรงไม่มีตก ไม่อยากจะอธิบายเลยตอนที่มันใช้ลิ้นรูดเอาตั้งแต่โคนมาจนปลาย มันเสียวจี๊ดไปทั้งไปทั้งตัวจนแทบยืนต่อไม่ไหว


“มึง...ดูดเบา ๆ อย่าแรง...กูเจ็บ”


ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหน พอไล่ไอ้เฮียไปได้มันก็สูดปากดูดแรงจนน้องผมน้ำตาเล็ด พยายามกลั้นก็แล้ว อดทนก็แล้ว แต่ก็ยังสู้ฤทธิ์ลิ้นกับท่าไม้ตายที่มันเอาฟันครูดไม่ได้ โนบิตะถอนปากออกแล้วเงยหน้ามองผมด้วยสายตานิ่ง ๆ นาทีนี้ยิ่งไม่แว่นบดบัง ยิ่งทำให้ผมเห็นหน้ามันได้ชัดเจนมากกว่าเดิม


“มีอารมณ์ขึ้นมาบ้างหรือยัง ?”


จะเรียกไอ้สิ่งที่มึงกำลังทำว่ายังไงดี ? ไอ้ที่มันพยายามปลุกผมให้ตื่นโดยการใช้ปากทำให้อย่างรุนแรง แถมยังเลื่อนมือมาขยำก้นจับแหวกแล้วแทรกนิ้วเข้ามาลูบวน ๆ จนมันสั่น ขมิบถี่ ๆ แบบนี้นี่เรียกว่ามีอารมณ์แล้วได้ไหม?...


ผมได้แต่เสหน้าไปมองทางอื่น จะให้ยอมรับว่ามีอารมณ์เพราะลีลาของมันแล้วก็ใช่ที่ ใจนึงก็ อยากแต่อีกใจก็ยังอาย จะให้หน้าด้านทำพยักหน้ายอมรับง่าย ๆ ก็ไม่ใช่เชี่ยพิกสิวะ !


ผมเม้มปากปิดสนิท ไม่ว่ายังไงก็ไม่อยากจะยอมรับว่าเริ่มตื่นตัวขึ้นมาแล้วนิด ๆ (?) เห็นอย่างนั้นมันก็ผละออกมาจ้องหน้าผมนิ่ง ๆ ยังจะจ้องกูอยู่อีก อยากทำอะไรทำไมไม่ทำให้เสร็จ ๆ เหมือนทุกทีล่ะวะ แม่งเอ้ย !


“ไม่ตอบ...สงสัยจะยัง” 


โนบิตะพูดด้วยโทนเสียงเย็นเยียบก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง มันทำท่าจะเดินไปที่โต๊ะทำงานทั้ง ๆ ที่มือและปากยังคงเลื่อมไปด้วย...อะไรต่อมิอะไรของผม โอ้ย ! อย่าบอกนะว่ามึงงอน ไอ้ชิบหาย ใครควรจะงอนกันแน่วะในสถานการณ์แบบนี้เนี่ย!!


“ดะ...เดี๋ยว!”


กูล่ะเบื่อตัวเองเป็นบ้า ขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะ! ว่าที่เอื้อมมือออกไปรั้งชายเสื้อมันไว้ ไม่ใช่เพราะกระเหี้ยนกระหือรืออยากให้มันทำต่อ... แต่เพราะสีหน้ากับแววตาของมันที่มองมานิ่ง ๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ต่างหาก ไม่ชอบโดนมองอย่างนั้นน่ะ เข้าใจไหม? ไม่ชอบรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองทำผิดซะเต็มประดา


“อะไร”  มันหยุดอยู่นิ่ง ๆ แล้วเอี้ยวหน้ากดสายตามองต่ำ


ยังจะถามอีกว่าอะไร...โอ้ย ไอ้ชิบหายยยยย 


“กู...กู...”


นาทีนนี้ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ถอนหายใจบ่นว่าเกลียดตัวเองเป็นรอบที่ล้าน  ยังไงล่ะพิก พอเค้าหันกลับมาแล้วก็พูดไปซิวะ บอกแม่งไปเลยว่า ‘จะทำอะไรก็ทำ’ 


“ถ้าไม่พูดผมจะไปทำงานต่อแล้วนะครับ”


“กู..เอ่อ...”  คำพูดแม่งคาอยู่ที่ปากนี่เอง แต่พูดไม่ได้ ไม่รู้จะพูดยังไง อายโว้ย! ไม่เข้าใจรึไง!


“พิก...” ผมมองมันที่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วเลื่อนมือลงมาปัดมือผมออก... “อย่าทำแบบนี้...คุณไม่มีอารมณ์ ผมก็ไม่ทำอะไรคุณแล้วไง ยังไม่พอใจอีกหรอครับ”


“...”


“หรืออยากกลับ? ถ้าอยากกลับก็บอกดี ๆ เดี๋ยวผมจะให้พี่เกื้อไปส่ง”


ให้ตายเหอะ ผมชักจะหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว มันคิดว่าตัวเองมีอารมณ์คนเดียวหรอวะ คิดว่าที่คนอื่นเค้าเอาแต่พูดว่าไม่ โง้นงี้งั้นเพราะไม่อยากทำหรอวะ ก็กูเป็นผู้ชายไง มึงน่ะเอากูเป็นคนแรก แล้วจะให้กูพูดออกมายังไงว่าชอบจัง รู้สึกดีนะ เอาอีกสิ งี้หรอ


อารมณ์เสียเป็นคนเดียวหรือไงวะ โลกนี้มีตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางรึไง ! 


“โอเคถ้าไม่ตอบ งั้นเดี๋ยวผมจะโทรเรียก--”


“กูอาย...”   



(มีต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 23-09-2015 10:59:33
ทันทีที่โพล่งออกไป โนบิตะก็ชะงักคำพูดที่กำลังจะออกจากปากมันทันที  ตอนนี้ผมไม่ได้มองที่ไหน ไม่ได้มองเพดาน พื้น หรือมองผ่านตัวมันไป...


แต่ผมกำลังจ้องมันกลับ... จ้องมันด้วยสายตาที่ทำให้มันต้องเบิกตามองผมอย่างไม่เข้าใจ


“กู...ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำ...แต่มึงเอาแต่ถามซักไซ้กูอยู่ได้ อยากทำอะไรก็ทำเลยสิวะ อย่าถาม! กูอาย ไม่เข้าใจหรอ ที่พูด ที่ปฏิเสธเป็นวรรคเป็นเวรนั่นกูอายชิบหาย อายเป็นบ้า ไม่เห็นหน้ากูหรอ แดงจนจะเขียวแล้วไอ้เหี้ยเอ้ย ! แล้วมึง...งอนเหี้ยอะไรนักหนาวะ!  มึงควรเป็นฝ่ายที่จะงอนกูหรอ มึงมีสิทธิ์อะไรมางอนกูทั้ง ๆ ที่มึงก็บังคับกูมาตลอ---อื้อ!!!”


โดยไม่ปล่อยให้ผมได้ระบายทุกอย่างในใจออกมาจนหมด ฟังไม่ทันจบโนบิตะก็ย่อตัวมาหาแล้วล็อกหน้าผมไว้ เราต่อสู้กันด้วยสายตาไม่ถึงสามวิในใจ มันก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วบดจูบอย่างแรงจนผมต้องเอนตัวหนี


“งั้นก็อย่าพูดว่าไม่  ห้ามพูดอีก เพราะถ้าพูดผมจะทำโทษให้หนัก จะเอาให้คลานไปเรียนเลย...เข้าใจไหมครับ”


น้ำเสียงมันฟังดูอ่อนโยนขึ้น และนั่นทำให้ความรู้สึกแย่ ๆ ในใจผมคลายไป... ว่าแต่ทำไมหายหงิดง่ายขนาดนี้วะ ทั้งที่เมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อนกูยังเฮิร์ทเรื่องพี่พลอยอยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้โล่งใจขึ้นมาง่าย ๆ เพียงแค่ไอ้โนบิตะมันกลับมาใช้น้ำเสียงอ่อนโยนพูดด้วย...


สมองกูกลับไปแล้วหรือยังไง...


“ถามว่า...เข้าใจไหมครับ? พิก”


มันถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมเงียบไป เงียบนี่คืออายไม่อยากตอบนะอยากให้เข้าใจ...แล้วก็ดูเหมือนมันจะเข้าใจด้วยเว้ย พอเห็นผมเม้มปากเข้าหากัน มันก็ยิ้มมุมปากแล้วจับผมเอนลงกับเบาะโซฟา


“โอเค เข้าใจแล้ว”


นานเป็นชาติกว่าจะตัดสินใจตอบได้ ก็คนมันอายชิบหาย จะให้ทำไงวะ ?  ผมเม้มปากเข้าหากันอีกรอบ นอนมองมันที่เลื่อนมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อตัวเอง โนบิตะไมได้พูดอะไรแล้วตอนนี้ มันเอาแต่ยิ้ม ยิ้มแล้วมองหน้าผม แล้วสลับกับมองเสื้อตัวเอง ผิวขาว ๆ กับกล้ามหน้าท้องมันที่กระเพื่อมเข้าออกอยู่ตรงหน้าทำให้ผมอยากปิดหน้าหนี... โอ้ย นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย กูควรจะใจเต้นเพราะเห็นนมขาว ๆ แทนที่จะเป็นลอนกล้ามสิโว้ย !!


“ช่วยปลดหน่อย”


ในหัวไอ้พิกตอนนี้มีแต่ความชิบหายเมื่อโนบิตะจับมือผมไปแปะอยู่บนเข็มขัดกางเกง มันพูดเสียงเบา แต่ดังก้องไปทั้งหู ไม่รู้จะทำไงเลยได้แต่หลับหูหลับตาช่วยมันปลดกางเกงทั้งที่อายแทบตาย


“คุณดูสิพิก...” พอปลดกางเกงเสร็จ โนบิตะก็เอื้อมมือมาจับแขนผมแล้วบังคับให้อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน มันจับท้ายทอยผมแล้วกดต่ำให้มองน้องชายตัวเองที่คับพองเต็มกางเกง “มันจะแย่แล้ว ช่วยมันหน่อยครับ”


อี...อีชิบหาย !


นึกออกแต่คำนี้เลยเมื่อได้ยินมันกระซิบกระซาบเสียงแผ่ว  ได้แต่มองหน้ามันอึ้ง ๆ ขณะที่มันยังไม่ยอมหุบยิ้ม มันทำเหมือนกับเหนือกว่าผมมากทั้ง ๆ ที่ประโยคนั้นเป็นเชิงว้อนวอนผมด้วยซ้ำ !


จะเอางี้ใช่ไหม...ได้ ได้เลย ! พี่พิกจัดให้เลยครับน้องแว่น!


“อะ...”


เสียงครางเบาหวิวนั่นไม่ใช่ของผมหรอก แต่เป็นของไอ้โนบิตะที่โดนจับน้องชายเป็นตัวประกันต่างหาก เป็นไงล่ะ เจอหัตถ์เทวะของเทพพิกเข้าไปหน่อยถึงกับสูดปากเหมือนคนกินของเปรี้ยวเลย  ก็ไม่อยากจะคุยนะ แต่แฟนทุกคนที่ผ่านมาชอบบอกว่ามือผมน่ะอบอุ่นเหมือนเตาไมโครเวฟ ก็เดาเอาแล้วกันว่าโนบิตะคุงมันจะทำหน้ายังไงในตอนที่ผมช่วยเค้นน้ำตาจากน้องชายมันอยู่


“อืม...ดีครับ”


ตอนนี้มันโถมลงมาหาผมทั้งตัวแถมยังสีหน้าขากับท้องผมอีก ปากนี่ไม่ห่างจากหูผมเลย พูดคำนึงก็งับทีนึง ทำตัวเหมือนหมาบ้า...ไม่รู้ขาดวัคซีนมากี่เดือนแล้ว เวลามีอะไรกันถึงได้ชอบกัดชอบงับอย่างกับว่าผิวของผมเป็นพลาสติกจะไม่รู้สึกเจ็บยังไงอย่างงั้น


แต่จะว่าไปก็เหมือนจะเข้าใจมันขึ้นมาหน่อย ๆ พอผมใช้นิ้วกรีดเบา ๆ ที่โคนมัน เก้าก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมาทำหน้าทำตาใส่ ตลกดี แต่ก็แอบอุ่นมือนิด ๆ เวลามันทำหน้าเสียวนี่ก็น่ารักดีไม่หยอกเหมือนกันเว้ย... สงสัยต้องเร่งมือหน่อยแล้ว


“พอก่อน พิก...พอก่อน”


“อะไร ไหนบอกให้ช่วยไง”


เก้าเลื่อนมือลงไปจับที่ข้อมือผม แล้วยื่นหน้ามาฟัดจูบแรง ๆ ที่ต้นคอ เลื่อนขึ้นมาที่สันกราม ก่อนจะเป่าลมร้อนเบา ๆ ที่ใบหูข้างขวาของผม


“พอก่อน...ไปด้วยกัน”


ทีเวลาอย่างนี้ล่ะทำออดอ้อนได้ เวลาเอาแต่ใจล่ะไม่เคยฟังคำขอร้องกู แต่ก็เอาเหอะ เห็นแก่สีหน้าเอ็กซ์ ๆ ของมึงที่มองกูตาฉ่ำขนาดนี้นะ จะหยุดมือให้ก็ได้...


“ไปด้วยกันนะ ?”


ไม่รู้ว่าใครเอาอะไรให้มันกิน หรือเพราะว่ามันเห็นใจที่เห็นผมเศร้าซึมเรื่องพี่พลอย ไอ้เก้าถึงได้ดูอ่อนโยนผิดปกติ ตอนนี้มันดูทะนุถนอมผมมาก พอหยุดมือปุ๊ป มันก็ดึงแขนผมแล้วจับพลิกตัวให้ไปนอนบนตัวมันปั๊บ มองตากันอยู่สามสี่วิก็จูบปากแลกลิ้นก็เหมือนปกติ แต่ประหลาดหน่อย ๆ ตรงที่มันค่อย ๆ เล็มไปทั่วแก้มผม แล้วใช้จมูกคลอเคลีย สูดกลิ่นฟุดฟิดเหมือนหมาดมกลิ่นเจ้านาย


ตอนนี้มือของมันกำลังเลื่อนเข้ามาในเสื้อของผม เก้าลูบไล้ไปทั่วทั้งหลังแล้วใช้มือเดียวเกี่ยวออกก่อนจะยื่นปากมาจูบเบา ๆ ที่แผ่นอก สายตาของมันที่ตวัดมองขึ้นมาทำให้ใจผมสั่นแปลก ๆ มันไม่เคยมองผมด้วยสายตาแบบนี้ ไม่เคยทำอย่างนี้ กระทั่งการจูบเบา ๆ ที่หน้าอกด้านซ้าย...


จะบ้าตาย..ทำอย่างนี้ทำไมวะ


“พิก...คิดอะไรอยู่”


มันถามทั้งที่ยังคลอเคลียอยู่ใกล้ ๆ หู ก่อนจะพลิกตัวกลับขึ้นมาคร่อมแล้วก้มลงมาฟัดจูบอีกรอบ... เอาจริง ๆ วันนี้แทบจะนับไม่ถ้วนแล้วว่ามันจูบผมไปกี่ครั้ง แต่ที่รู้ ๆ คือใจกูเต้นแรงเพราะมึงมาสองสามครั้งแล้ว...


นี่มันจะมากเกินไปแล้ว !


“...เปล่า”


ผมตอบพลางเสหน้าไปอีกทาง ไอ้เรื่องอายไม่อายนี่ก็ยอมรับไปแล้วไง แต่ไม่อยากจะยอมรับตัวเองว่าใจเต้นขึ้นมาเวลามันทำดีใส่ ตอนนี้ผมเหมือนเด็กหลงทางที่ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วกันแน่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เราเอากันมันคืออะไร มันสมควรหรือไม่เท่านี้ก็ยังนึกไม่ออก...


“อ....อืม...”


ผมกัดปาก พยายามไม่เกร็งตัวเมื่อมันจ่อของร้อนเข้าที่ช่องทาง เห็นว่าผมไม่ต่อว่าอะไรโนบิตะก็จับสะโพกผมให้แอ่นเข้าไปหา แล้วทำหน้าตึงหน้าเครียดเมื่อช่องทางของผมไม่รับของใหญ่ของมันเลยแม้แต่น้อย


“กู...เจ็บ” ผมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เมื่อปลายหัวของเก้าผลุบเข้ามาด้านใน รู้สึกได้เลยว่าตรงนั้นมันตอดตุบ ๆ เหมือนกับจะฉีก แต่แทนที่อีกฝ่ายจะรีบร้อนเหมือนทุกครั้ง เก้ากลับถอนมันออกแล้วใช้นิ้วนวดคลึงเบา ๆ ที่บริเวณปากทางแทน


“ตรงนี้ของคุณมันนิ่มอยู่แล้ว....” มันพูดพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับถมน้ำลายรดลงบนมือตัวเอง ผมหรี่ตามองมันที่ทำสีหน้าอ้อนวอนก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมันส่งนิ้วเข้ามาด้านในข้อนึงโดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว “ขอโทษนะพิก...อดทนหน่อยนะครับ ได้โปรด ผมจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” 


“แต่...” ผมยื่นมือไปจับไหล่มันแล้วดันออกเบา ๆ  เห็นสีหน้าเว้าวอนสุดฤทธิ์ของมันแล้วก็รู้สึกผิดถ้าจะพูดว่า ‘ไม่’ อีกรอบ...


“นะครับ...”


ผมล่ะเกลียดมันก็ตรงนี้...
เกลียดที่มันรู้ว่าจะทำยังไงให้ผมยอม แล้วมันก็ทำอยู่อย่างนั้นซ้ำ ๆ จนผมหาทางออกไม่ได้
เกลียดว่ะ...กูเกลียดมึงชิบหายเลย โนบิตะ...



“ก็ได้...”


สิ้นเสียงผมมันก็จับข้อพับขาทั้งสองข้างขึ้นพาดบ่าตัวเอง เก้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาช้าแล้วถอนออกช้า ๆ ทำอย่างนั้นอยู่ซ้ำ ๆ จนรู้สึกได้ว่าความร้อนมันแผ่ซ่านไปทั่ว นาทีนี้ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้ามันแล้ว ไม่ใช่ไม่อยากรู้ว่ามันทำหน้ายังไงอยู่ แต่แค่กลัวว่าหัวใจตัวเองจะเต้นแรงไปกว่านี้


แค่นี้ก็แทบจะน็อคเอ้าท์...แทบจะถึงอยู่รอมร่อทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เอื้อมมือไปแตะต้องอะไรของตัวเองเลยแม้แต่น้อย...


“อะ...อะอะ...” 


ยิ่งมันสวนตัวกระแทกเข้ามาเน้น ๆ ทุกจังหวะที่หนักหน่วงทำให้ผมต้องเกร็งเท้าจนแทบเป็นตะคริว ได้แต่ร้องครางออกมา แล้วกลั้นหายใจแอ่นตัวรับจังหวะรุกเร้านั้นจนหลังไม่ติดเบาะ เก้ากระแทกเข้ามาถี่บ้าง หยุดบ้าง แรงบ้างสลับกันทำให้ผมเดาทางไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงเมื่ออยู่ในสถานการณ์อย่างนี้


“พิก...ลืมตา มองหน้าผม”


มันหยุดขยับแล้วจับแก้มผม เสียงของมันแผ่วมากจนผมต้องหรี่ตามองมันเหมือนกลัว...


“ขยับเอง...ได้ไหม...”


แล้วสิ่งต่อมาที่มันปฏิบัติก็ทำให้ผมต้องใจเต้นแรงอีกครั้ง เก้ายกขาผมออกจากไหล่ ก่อนจะรวบให้อยู่คู่กันแล้วจับเท้าผมแนบอกของมัน...


อกที่สัมผัสได้ถึงแรงเต้นของหัวใจ...ถี่จนแทบจะทะลุออกมาอยู่แล้ว...


“นะ...”


“กู...” ผมส่ายหัวไปมา แต่ก็ต้องหยุดส่ายแล้วเบิกตาโพลงเมื่อมันก้มลงจูบเท้าของผมอย่างทะนุถนอม


“นะครับ”


เหมือนเจอค้อนอันใหญ่เท่าบ้านทุบหัวอย่างแรง... นาทีนี้สมองผมมันตื้อไปหมด ไม่ได้ยินอะไรเลยจนกระทั่งรู้สึกได้ว่าขยับตัวไปเอง โนบิตะผ่อนลมหายใจออกมาแรง ๆ มันขยับตัวให้ตรงก่อนจะกระแทกสวนผมที่ถีบอกมันแล้วไสตัวเข้าหาอยู่อย่างนั้น


จะเรียกว่านี่เป็นการร่วมรักก็ไม่ใช่ แต่มันอ่อนโยนจนผมสัมผัสได้ วันนี้โนบิตะมันดีกับผมมาก ไม่รู้อะไรเลยจนกระทั่งมันให้ผมเริ่มขยับเอง ถ้าให้เดาก็คิดว่ามันคงกลัวผมเจ็บไปนี้...เพราะก่อนหน้านี้มันเจ็บจนน้ำตาซึม ๆ ออกทางหางตา...


ไม่แปลกเลยที่พอเริ่มขยับเองอีกครั้งมันไม่เจ็บขนาดนั้น เมื่อเราเริ่มจับจังหวะเข้าหากันได้ โนบิตะก็โถมแรงเข้ามาอีก คราวนี้ลึกจนผมต้องผวาตัวเอื้อมกอดคอมันไว้ เก้าขยับถี่ ๆ กระทุ้งเนื้ออ่อนด้านในอยู่สองสามที มันรอให้ผมใกล้เจียนจะถึงก่อนจะถอนตัวแล้วกระแทกเข้ามาแรง ๆ อีกที...


 “วันนี้ผมปล่อยนอกให้...คุณจะได้ไม่ลำบาก”


พูดจบมันก็ทำท่าจะถอนตัวออกมาอย่างไว แต่ก็ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตัวไหนดลใจ...ผมถึงได้เอื้อมมือไปคว้าต้นแขนมันไว้...


นาทีนั้นผมจ้องตามัน กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่...และ...


“ไม่เป็นไร...ปล่อยข้างในนี่แหละ”


“...”


“กู...ไม่เป็นไรจริง ๆ”

_______________________________________________________
TBC


สาแก่ใจไหมล่ะ อิอิ 59 หน้า
พาร์ทนี้ โนบิตะเค้าฟุ้งฟิ้งกิงก่องแก้วไหมคะ


แอ๊ะ ๆ มีรูปพิกกับเก้ามาอวด ฉากนี้ในล็อกเกอร์ตั้งแต่พาร์ทแรก ๆ เลย คงจำกันได้เนอะ

 (http://upic.me/i/df/nobi1.jpg) (http://upic.me/show/56801671)

เปิดโหวตพระเอกดีกว่า อิอิ

เลือก #ทีมโนบิตะ กด 1
เลือก #ทีมซูเนโอะ กด 2

ว่าจะไม่เขียนเหมือนในฟิค มาโหวตกันน้า เลิฟ <3  
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 23-09-2015 12:10:32
มาไวเคลมไว งิ้งงง ตอนนี้เค้าหวานกันจังแกกก ปากแข็งทั่งคู่เลออออ
ปล. รูปน่ายักกกก รักร้อนหลังลอคเกอร์ อิ้อิ้
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: สตางค์ ที่ 23-09-2015 12:11:12
โนบินี่มันโนบิจริงๆเลย 5555555 แล้วไจแอนท์จะพ้นเงื้อมมือไปได้ยังไง
คนอะไรไบโพลาร์ได้ร้ายกาจขนาด  :katai3:

ป.ล. ตัวเองแต่งฟิคไคฮุนใช่ไหมเอ่ย อ่านตั้งแต่แรกนี่หน้าคิมไคคนเซะซี่โผล่มาในมโนเหลย
ส่วนซูเนะคุงนี่มันชยอลสินะเออ ตอนแรกคิดว่าเฮียคือจุนมยอนเพราะความล่ำซำ
แต่เพราะมีชยอลจัง เฮียนี่เค้าขอมโนเป็นป๋าแบคละกันเนอะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 23-09-2015 13:37:05
เจอเก้าอ้อนกันขนาดนี้ พิกคนขี้ใจอ่อนจะไม่ละลายได้ยังไง~~ :-[

แต่เฮียนี่ต่อจะให้ร้ายอย่างที่เก้าว่ามาสักแค่ไหนก็ยังมีจุดอ่อนที่ใครๆ ก็โจมตีเอาได้ง่ายๆ เหมือนกันนะคะ :m20: คนอะไรกลัวไม่ได้จ่ายตังค์

ปล. กด 1 #ทีมโนบิตะ จ้า ^^
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-09-2015 13:45:56
เก้าเนี่จะเอาจนพิกเดินไม่เป็นเลยใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 23-09-2015 17:47:21
ชอบโนบิตะมาเลย   อร๊ายยยยส
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 23-09-2015 18:16:25
ชอบบบบบ มาต่อเร็วๆนะคะ  :katai2-1: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 23-09-2015 18:25:45
1111111111 เก้าาาาาาน่ายักกกก
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 23-09-2015 18:27:02
ถึงกับต้องล็อกอินมา   แบบจิกริ๊ดดดดด โนบิภาคนี้ ขุ่นขาฝันของอิฉันถูกเติมเต็มเมื่อแอนท์โดน 'ข่ม' บ้าง   ฟินแรงงงง :hao6: :hao7: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 23-09-2015 20:02:48
โนบิตะ อ่อนโยนขึ้นบ้างก็ดี
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Kio ที่ 27-09-2015 20:34:59
โง้ยยยย อ่านรวดเดียวจบเลย ละมุนอุ๊งอิ๊งมากกกกกกกกกกกกกก คือรัก ♥
#ปักธงรอตอนต่อไปแบบใจจดใจจ่อ

เทใจให้โนบิตะหมดหน้าตักเลยค่ะ
กด 1 แรงๆ ฝากโนบิกดพิกอีกสักรอบด้วยนะคะ น่ารักไปล้าวววววววว งุ้ยยยยยยยยยย   :ling1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 29-09-2015 01:21:49
น้องพิกแอนท์ก็ต้องคู่กับโนบิตะอย่างเดียวสิคะ
ก็เนื้อเรื่องเขาปูมาอย่างนี้แล้ว... จะไปคู่กับคนอื่นให้เสียเคมีไปใย
หุ หุ หุ...ยิ่งเวลาน้องเค้าเล่นกันถึงเนื้อถึงตัวนี่ยิ่งเหมาะกันไปใหญ่เลยค่ะ

เป็นกำลังใจให้นะคะ รออ่านตอนต่อไปค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 29-09-2015 14:52:34
พิกของเราแพ้ทางตลอด เจอออดอ้อนเป็นตัวอ่อนทุกที 5555
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: veeveevivien ที่ 29-09-2015 21:58:53
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ชอบค่ะ เพิ่งเข้ามาอ่าน กำลังหาเรื่องใหม่ ๆ อ่านอยู่

ปกติไม่ชอบอ่านแบบยังไม่จบ

อย่าทิ้งกันน้าาาา

ปล.ชอบนุ้งพิกมากกก แม่บ้านแม่เรือนสุด ๆ  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-09-2015 22:54:33
ชอบความย้อนแย้งของพิกกับเก้า

เฮียรู้อะไรดีๆ งั้นเหรอ?
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 16-10-2015 19:36:59
โฮก.ก.ก.ก..ก.ก......กก..ก.กก.!!!!!!!!!  ก็ยั่วแบบไม่รู้ตัวเสียขนาดนี้ โนบิตะหรือจะทนไหว
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 17-10-2015 06:56:41
+1 หลงมาปลื้้ม...Nobita~~~
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 18-10-2015 16:36:11
สนุกมากกกกกกกก อ่านรวดเดียวจบเลย ชอบน้องพิกมากซึน ปากร้าย ขี้โวยวายแต่ใจดี ฮืออออ ขอให้รู้ใจกันไวๆ รักกันสักที เชียร์คุณเก้าสุดใจ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: goodgirls ที่ 21-10-2015 17:44:23
คิดถึงหนูพิกจะแย่แหลววววว แง  :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Paracetamol ที่ 21-10-2015 22:17:15
พิกน่ารักอ่ะ กลัวเก้าทำพิกเสียใจจัง
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 18-11-2015 15:11:35
1 ค่ะ 1 เท่านั้น ณ จุก ๆ นี้

ยกซุนิโอะให้ชิซูกะดีกว่า~
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: praewp ที่ 18-11-2015 20:31:37
ไม่ได้อ่านฟิคสนุกๆแบบนี้มานานนนนนมากแล้ว ชอบค่ะชอบ ผ่านไปสองเดือนแล้วจะมาเขียนต่อมั้ยคะ เรารอนะๆ
#1 เลือกโนบิตะคุงค่าา  :mew1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 12 (23/09/2558) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 14-12-2015 22:47:46
13 SP : Secert

NOBITA’s PART


ผมนอนก่ายหน้าผากมองเพดานห้องตัวเองมาได้สักพักแล้ว


หลังกลับมาจากร้านพิกก็หลับสนิท เขาหลับลึกไม่ได้สติจนผมต้องพยุงขึ้นมาไว้บนห้องแล้วทิ้งลงบนเตียง ทันทีที่หัวถึงหมอนเขาก็ละเมอเคี้ยวปากตัวเองยอบแยบเหมือนคนกำลังทานอะไรอยู่ในปาก ไม่อยากปฏิเสธตัวเองเลยว่าในสายตาผมตอนนี้เขาดูน่ารักกว่าเดิมเป็นสิบเท่า


“ก...เก้า”


ผมเอี้ยวหน้าไปหาคนหลับลึกที่ละเมอออกมาเป็นชื่อผม ได้ยินอย่างนั้นเลยต้องตะแคงตัวหันไปหา พิกกำลังนอนบิดกายทำหน้าบู้บี้เหมือนเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมาไม่มีผิด เสียงของเขาแหบพร่า แผ่วเบา และน่ากลัวว่าจะขาดห้วง ลักษณะอย่างนี้ถ้าไม่ฝันดีก็ฝันลามกอยู่แน่


“ครับ ๆ อยู่นี่แล้ว”


ผมเลื่อนมือลงไปกอบกุมมือของเขาที่จิกผ้าห่มแน่น ใช้นิ้วโป้งนวดวนเบา ๆ ที่หลังมืออีกฝ่ายเพื่อย้ำเตือนว่าผมอยู่ตรงนี้ เหมือนพิกจะได้ยินเสียงของผมนะ เพราะเมื่อสัมผัสได้ถึงมือของผมที่สอดประสานกับมือของเขาไว้ พิกก็คลายสีหน้าทรมานแล้วผ่อนลมหายใจเข้าออกตามปกติ


“ทำตัวอย่างกับเด็ก”


เห็นอีกคนนอนหลับใหลไม่ได้สติ กลับไปเคี้ยวปากแจ๊บ ๆ เหมือนเดิมแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปบีบจมูกรั้น ๆ นั่นให้บี้กว่าเดิม... เห็นสีหน้าอึดอัดของพิกแล้วก็อดพาลไปนึกถึงไอ้เฮียคนเจ้าเล่ห์ไม่ได้  ที่ว่าพิกเด็กน่ะไม่ได้ขาดไม่ได้เกินอะไรเลยสักนิด ทำอะไรแต่ละอย่างต้องให้สั่ง ต้องระวังหลังให้ตลอด


‘กูรู้นะว่ามึงเป็นใคร...กูจำมึงได้ ไอ้เก้า’


นึกไปถึงประโยคน่าชวนคิดว่าอีกฝ่ายจะแบล็คเมล์ที่ดังอออกจากปากของ ‘เฮีย’ เพื่อนร่วมกลุ่มคนใหม่ในวันที่เราไปเข้าห้องน้ำสองต่อสองกันวันนั้น


อันที่จริงมันก็ระยะหนึ่งมาแล้วที่เราได้ทำความรู้จักกันก่อนหน้าที่จะมาเจอกันในคลาสนั้น คิดว่าคุณคงจะเดาออกนะว่าหลังจากที่กลับมาจากแคนาดาเฮียจะทำอะไร? ใช่ครับ เขาพาวงศาคณาญาตินับสิบที่หน้าตาไม่ซ้ำกันสักนิดมาที่ร้านผมบ่อยมาก จากคืนเดียวเป็นสองคืน จากสองคืนกลายเป็นเกือบจะทุกวันที่เขามาร้านผมเพื่อถลุงเงินพ่อแม่แก้เหงา


เฮียเป็นคนน่าสงสาร ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ค่อยมีฝูง อยู่ตัวคนเดียว ใช้เงินเลี้ยงเพื่อนเหมือนเบี้ย จึงไม่แปลกหรอกที่ใคร ๆ จะรักเขาที่เงินของเขา เห็นอย่างนั้นเลยมีบางครั้งที่ผมถือแก้วเข้าไปนั่งคุยกับเขาบ้างจนเราเริ่มสนิทกันเพราะสนใจเรื่องรถเหมือนกัน...แต่ก็ไม่คิดว่าความหวังดีนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง


‘มึงทำอะไรอยู่วะ เก้า...เล่นสนุกอะไรอยู่’


 สีหน้าของเขาตอนนั้นไม่ได้ดูตึงเครียดเลยสักนิด ผมรู้เพราะผมเห็นประกายความสนุกในแววตาของเขา เฮียไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่เลิกคิ้วกดดันเป็นเชิงให้ผมต้องพูดต่อ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่รู้สึกกดดันอะไร ทำเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วตอบกลับไปตามจริง


‘ไม่ได้เล่นครับ ผมแค่รำคาญชีวิตเดิม ๆ’


เหมือนผมจะเคยเล่าให้คุณฟังแล้วนะว่าเมื่อก่อนชีวิตผมเป็นอย่างไร? ได้ยินอย่างนั้นเฮียก็ทำแค่ยักไหล่ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่เชื่ออะไรตามที่ตาเห็นมากนัก


‘แต่กูว่ามีเรื่องสนุกอะไรอีก มึงถึงจงใจปิดบังไอ้สองคนนั้นขนาดนี้’


‘…’


 ‘เอาเหอะ เขาว่าคนไม่รู้ไม่ใช่คนโง่ใช่ไหมวะ งั้นมึงอยากทำอะไรก็ช่างมึงเถอะ แต่ถ้ามีอะไรสนุก ๆ ก็อย่าลืมมาแบ่งปันกูด้วยแล้วกัน’


‘…’


‘เออ...ว่าแต่คนชื่อพิกนี่น่าสนใจนะ...ดูแม่งจะหลอกง่ายดี’



นาทีนั้นไม่รู้ว่าผมทำสีหน้าออกไปอย่างไร แต่ก็คงจะมากมายเสียจนเฮียจับพิรุธได้ เพราะเมื่อพูดถึงพิก เขาก็มองหน้าผมพร้อมกับยิ้มออกมาแปลก ๆ ตอนนั้นเราทำเพียงแยกกันด้วยความรู้สึกแปลก ๆ จนกระทั่ง...


‘พรีเซนต์งานเสร็จแล้วไปกินเหล้าร้านมึงได้ไหมเก้า กูจะชวนพวกไอ้พิก ไอ้ชานไปด้วย’


ในคืนก่อนพรีเซนต์งานเฮียเดินมาหาผมที่ห้องกระจกเพื่อพูดเป็นเชิงขออนุญาต ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในตอนนั้น รู้เพียงแค่แววตาของอีกฝ่ายดูระยิบระยับกว่าเดิม มันเหมือนกับว่าเขากำลังวางแผนเล่นสนุกอะไรลับหลังคนอื่นอยู่ในใจ


‘กูคิดว่าไอ้ชานมันหลงรักพิก แต่แม่งไม่รู้ตัว...มึงคิดดูสิ เกาะติดกันอย่างกับปลิง พิกก็เหมือนกัน ทำเป็นรำคาญแต่ก็อ้อล้อแค่กับแม่งคนเดียว...ไม่ถูกก็ผิด กูคิดว่าแม่งมีใจให้กัน’


‘...’


‘กูว่าจะมอมเหล้าแล้วจับให้มันล่อกันซะ จะได้สมใจกันสักที...มึงคิดว่าไงวะเก้า’



นาทีนั้นผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป รู้เพียงแต่ว่าเร่งมือรีบเซ็นต์เอกสารที่มีจนครบแล้วก็บึ่งกลับห้องไปหอบหิ้วเอกสารสำหรับทำพรีเซนต์งานในวันรุ่งขึ้น อันที่จริงผมไม่ได้คิดจะไปหาพิกเลยด้วยซ้ำ ที่ไลน์ไปหานั่นก็แค่เพราะหมั่นไส้ที่เขาออกจะทำเกินไปหน่อยตอนที่ผมยังเป็นไอ้แว่น แต่พอเรื่องกลายเป็นแบบนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะปฏิเสธตัวเองอย่างไร เพราะขาที่เหยียบคันเร่ง มือที่หมุนพวงมาลัยมันก็บังคับไม่ได้จนกลายเป็นรู้ตัวอีกทีก็จอดรถอยู่ที่หน้าบ้านทาวเฮ้าส์ของพิกแล้ว


เรื่องราวมันก็ดำเนินไปตามที่คุณทราบนั่นแหละครับ...


ผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไรที่เฮียเอ่ยปากชวนพวกเราตามที่มันบอกผมไว้ เพียงแต่ข้อเดียวที่ทำให้ผมแปลกใจก็คือพิก...


พรีเซนต์งานเสร็จเขาก็ทำหน้ามุ่ยมาตลอดทาง แถมเงียบจนผมต้องคาดคั้นเอาว่ากำลังรู้สึกอย่างไรเพราะผมไม่ชอบใจที่มีคนมาแสดงท่าทีอย่างนี้ใส่ ทีแรกพิกไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเห็นเขาเงียบไปก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามถึงก่อน


‘อยากพูดอะไรก็พูดมาสิครับ มองผมตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว’


ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ อันที่จริงอยากจะทราบว่าเขากำลังทำสีหน้าอย่างไรมากกว่า


‘มึงกับเฮียนี่...ยังไงวะ’


ไม่ทราบว่าพิกจะรู้ไหมว่าเขากำลังทำหน้าอย่างไร ตอนนี้คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเสียให้วุ่น น่าแปลกที่อยู่ ๆ ผมก็มองว่ามันดูน่ารักพิลึก พิกไม่ได้ทำอะไรเลยกับหูของเขาที่แดงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วไหนจะยังใบหน้ามึน ๆ ที่ทำเป็นเสมองออกไปนอกหน้าต่างอีก


‘หึงหรอครับ’


‘หึงที่หน้ามึงสิ ถามเฉย ๆ’
ผมหัวเราะหึในลำคอ ทำไมต้องด่ากันด้วยสีหน้าเหมือนคนเขินอายแบบนั้นด้วยนะ ‘กูไม่ได้หึงมึงเลย แค่เห็นพวกมึงชอบทำลับ ๆ ล่อ ๆ กันอยู่ได้....’


อ๋อเหรอ... ไม่ได้หึงก็ไม่ได้หึงสิ ทำไมต้องเบะปากด้วยนะ ผมหัวเราะเบา ๆ  เราพูดคุยเกี่ยวกับเฮียไปได้เรื่องสองเรื่อง ตอบคำถามที่เขาคาดคั้นจนคนถามดูจะผ่อนคลายมากขึ้นรวมไปถึงผมที่เอ่ยปรามไม่ยอมให้เขาไปกับสองคนนั้นด้วย... อ่า อย่าเพิ่งเข้าใจผิด... ผมไม่ได้หึงที่ชานจะชอบพิก ไม่ได้หึง...แต่ก็อย่างที่บอกนั่นล่ะ


ผมจะไม่ยอมให้เขาไปกับใคร...จนกว่าผมจะเป็นคนเบื่อเขาเอง


“อืม...กี่โมงแล้วเนี่ย...ปวดหัวว่ะ”


เสียงทุ้มขึ้นจมูกจากคนที่อยู่ข้างตัวทำให้ผมตื่นจากภวังค์ พิกงัวเงียหลับตาปี๋ยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองทั้งที่ยังนอนอยู่ ทำอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีใครนอนตะแคงมองเขาอยู่จากที่ข้าง ๆ ตรงนี้


“จ้องหน้ากูทำไม...มียาแก้ปวดไหมวะ...เหมือนไข้จะขึ้น”


ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเอง อันที่จริงก็อยากขอโทษนะเพราะที่เขาไข้ขึ้นอย่างนี้ก็เป็นเพราะผมเองที่บังคับเขาเสียหลายที พิกพยุงตัวลุกขึ้นนั่งกอดอกมองไปนอกหน้าต่าง ขณะที่ผมผุดลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่ครัวแล้วกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำและยาในมือ


“ทานน้ำเยอะ ๆ สิครับ”


พิกรับยาในมือไปทานแล้ว แต่เห็นเขากินยากินน้ำน้อยแล้วก็ขัดใจ พิกช้อนตาขึ้นค้อนผมเสียวงใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ดื้อและทำตามที่ผมบอก


“หมดแก้วเลย พอใจยัง”


เขายกแก้วขึ้นมาทำท่าเหมือนจะบอกว่า ‘บ๋อแบ๋’ เลย ผมจึงได้แต่หัวเราะแล้วส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับแก้วคืนจากเขา


“พอใจแล้วครับ...นอนกันนะ พักผ่อนเยอะ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปเรียนไม่ไหว”


ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันครับว่าทำไมต้องพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนด้วย อย่างที่บอกว่าผมไม่เคยคิดจะเอาใจเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะท่าทางของพิกไม่ได้ดูน่าทะนุถนอมเหมือนสาว ๆ คนอื่นที่ผมเคยนอนด้วย...แต่จะว่ายังไงดี เวลาที่เขาเลิกดื้อ เลิกทำตัวน่าหมั่นไส้ มันก็ดู...น่ารักอยู่เหมือนกัน


อาจเป็นพระแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง หรือหมึกตรงรอยสักที่ดูเหมือนจะจางลง ผมถึงได้ยื่นหน้าไปจูบเบา ๆ ที่หน้าผากของเขา พิกไม่ได้ถอยหนี ไม่ได้โวยวายแต่เขากลับเบิกตามองผม ไม่รู้ว่าไอร้อนจากลมหายใจที่เป่ารดคอเป็นเพราะเขาไม่สบายหรือเขิน หรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มองว่ามันน่ารักอยู่ดี...


คิดดูเอาสิ กับคนที่ถือตัวคิดว่าตัวเองเข้มแข็งกว่าคนอื่นมานอนมองหน้า ทำท่าทางเขินอายอย่างน่ารักแบบนี้เป็นคุณ คุณจะอดใจไหวไหม? ถ้าจะหาว่าผมไม่โทษตัวเองนั่นก็ถูก เพราะผมโทษอย่างอื่นไปแล้วในนาทีที่ก้มลงไปฉกชิมริมฝีปากของเขาอีกครั้ง


ผมคงเป็นคนใจร้ายน่าดู เพราะเมื่อเขาทำท่าจะหายใจไม่ออกผมก็จูบย้ำซ้ำลงไปให้ ริมฝีปากอวบอิ่มของพิกเผยออก ท่าทางของเขาดูทุรนทุรายเพราะขาดอากาศ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากสนใจอะไรแล้ว...


“ขอบคุณนะที่วันนี้มึง...” พิกเสหน้าไปอีกทาง เขานอนจ้องรอยสักที่แขนของผมท่ามกลางแสงสลัวจากดวงจันทร์ “ที่มึง...อ่อนโยนกับกูอะ”


เพราะเขาก็กำลังทำให้ผมเหมือนจะเป็นบ้าเช่นกัน

   

____________________________________________________

แฮ่ หายไปนานเลย เจอกันวันศุกร์ค่า  :z2:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 13 (14/12/2558) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: parn11 ที่ 14-12-2015 23:03:24
คิดถึงมากค่าาาา อยากให้ถึงวันศุกร์เร็วๆ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 13 (14/12/2558) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-12-2015 23:03:46
อร๊ายยยยยยยย :katai2-1:

พิกกับเก้ามาแล้ววววว

ละมุนมากกกก  พิกน่ารักอ้ะ ดูแก่นเซี้ยว แต่ก็ขี้อ้อนอยู่ในที

วันศุกร์นะ....เราจะรอ....
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 13 (14/12/2558) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 14-12-2015 23:05:55
คิดถึงมากกกกกค่ะ T////T
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 13 (14/12/2558) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-12-2015 23:40:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 13 (14/12/2558) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-12-2015 04:03:03
มาให้อ่านสักที  :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 13 (14/12/2558) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 15-12-2015 04:40:48
คิดถึงมากๆเลยค่ะ. รอวันศุกร์นะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 13 (14/12/2558) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 15-12-2015 11:50:48
คือกดสคิปเป็นวันศุกร์เลยได้มั้ย
 คิดถึงเรื่องนี้มากกกกกก
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 13 (14/12/2558) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: piglet205 ที่ 15-12-2015 12:56:02
 :katai1: อยากให้ถึงวันศุกร์เร็วๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 13 (14/12/2558) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 15-12-2015 13:31:09
หายไปนานเลย คิดถึงคนเขียนมั๊กมาก รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI NOBI ♦ ตอน 13 (14/12/2558) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 15-12-2015 16:08:42
โอ๊ย ฟินมาก!!!
แอบเชียร์ชานอยู่นะ ดูแลดีเหลือหลาย แต่ ฮึ๋ย! โนบิตะนะโนบิตะ!ฮอตโคตร!!!
รอค่ะรอ~
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 14 (15/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 15-12-2015 18:46:30
NOBI NOBI | SUNEO



“ไปทะเลกัน”


เพราะคำพูดคำเดียวของไอ้เฮียแท้ ๆ ในวันนี้พวกเราถึงได้มาหยุดอยู่หน้ารีสอร์ทแห่งหนึ่งใจกลางเกาะเสม็ด...


ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน หลังจากที่พรีเซนต์งานนั้นเสร็จพวกเราก็ต้องเจอกับมรสุมสอบย่อยจากบรรดาคณาจารย์ท่านอื่น ๆ  มันวันเว้นวันชนิดที่ว่าทำให้สมองของผมที่ไม่เคยมีอะไรนอกจากเรื่องเกมส์สามารถเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ได้


แม่รู้แม่คงเต้นบัลเล่ต์ท่าองค์หญิงสวอนมาหาโนบิตะมันแน่... ก็คนที่คุณก็รู้ว่าใครนั่นล่ะที่เข็นผมจนหายโง่ในห้องสอบอย่างนี้ !


“พูดถึงก็ตลกดี...กูนี่งงเลย พิกแม่งไม่หันมาขอลอกข้อสอบกูตอนทำวิชาอาจารย์แต๊กซักครั้ง”


นั่นเสียงของไอ้ชานครับ มันพูดแซวผมทันทีที่เงยหน้าขึ้นจากเมนู ตอนนี้พวกเราย้ายร่างมาสถิตอยู่ในร้านอาหารหน้าซอยเข้ารีสอร์ทเพื่อหาอะไรเติมเต็มให้กระเพาะที่ว่างมาตั้งแต่เช้า โดยที่ผมนั่งข้างชาน ส่วนไอ้เฮียนั่งข้างโนบิตะ


“โนบิตะมันคงติวมาดีล่ะสิ...ว่าไง วันหลังติวให้พวกกูบ้างนะแจ๊ะ โนบิตะคลุง”


น้ำเสียงกับท่าทางน่าหมั่นไส้จากเฮียเรียกให้ผมต้องละสายตาจากเมนูเครื่องดื่มในมือแล้วหันไปมอง จะว่าไปตั้งแต่วันนั้นที่มันรู้เรื่อง...เอ่อ...นั่นแหละ เกี่ยวกับผมกับไอ้โนบิตะ มันก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะขยะแขยงอะไร แถมยังดูออกจะสนิทใจกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างง่ายดายจนน่าสงสัย


แต่ก็นั่นแหละ ที่แคนาดาเขาคงจะเห็นเรื่องพวกนี้เป็นอะไรที่เบสิคมาก มันถึงไม่ได้ทวงถามอะไรจากผมอีก...แถมพวกเราทั้งสี่คนดูเหมือนจะสนิทกันแน่นแฟ้นกว่าแต่ก่อนมาก จะว่าพวกเราเปิดใจให้กันมากขึ้นก็ได้ อย่างไอ้โนบิตะก็พูดคุยกับคนอื่นมากขึ้น(หมายถึงไอ้ชานน่ะนะ)เมื่อมีไอ้ตัวเชื่อมสัมพันธ์อย่างไอ้เฮียเข้ามา


ผมเลยไม่ได้ติดใจคิดอะไร...ก็ทุกเรื่องนั่นแหละ
ถ้าไม่รวมเรื่องที่...
โนบิตะแม่งทำหน้าบึ้งเหี้ย ๆ มาตั้งแต่เช้าแล้ว...หงุดหงิดอะไรขึ้นมาอีกล่ะเนี่ย


“ครับ”


มันตอบรับคำเดียวแล้วเสหน้าออกไปมองชายหาดด้านนอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศดี ๆ ถูกทำลาย เพราะคนข้างตัวของผมกับไอ้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามดูเหมือนจะไม่เอะใจอะไรเลยสักนิด


“สรุปเลยนะ...อย่างที่คุยกันบนเรือ ตกลงว่าชานกับพิกด้วยกัน...ส่วนกูนั้นนอนกับโนบิตะเองจ้ะ ดีลนะ”


“โอเค ดีล” 


ไอ้เฮียกับชานดีลกันอยู่สองคน หัวเราะชอบอกชอบใจที่สามารถแบ่งสัดส่วนได้อย่างลงตัว พวกมันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางพายุที่ก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ เหลือบไปมองไอ้เก้าที่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ยุกยิกแล้วเสียวสันหลังยังไงชอบกล ยิ่งเห็นสายตาของมันที่มองลอดแว่นกลับมาก็ยิ่งรู้สึกขนลุก


ไลน์
ไลน์
ไลน์



เอาอีกแล้ว... ผมก้มลงมองโทรศัพท์ในมือตนเองสว่างวาบเป็นจังหวะเพราะมีข้อความเข้า เงยหน้าขึ้นไปก็เห็นไอ้โนบิตะถลึงตามองมา...เอ๊ะ ไอ้นี่ชักจะเอาใหญ่ เดี๋ยวนี้หัดเอาแต่ใจผ่านมือถือก็ได้ด้วย


“แปบนึงนะ ไปขี้ก่อน เดี๋ยวกูมา”


ชั่งใจอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยขอตัวจากบรรดามนุษย์อีกสองหน่อที่ยังคงนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ไอ้เฮียกับเชี่ยวชาญไม่ได้สนอกสนใจผมเท่าไหร่ พวกมันยกมือขึ้นปัด ๆ ทำเหมือนไล่แล้วหันกลับไปคุยกันต่อ


เดินมาถึงหน้าห้องน้ำก็มองหาที่นั่งดี ๆ กะจะเปิดอ่านไลน์ที่ไอ้โนบิตะส่งมาสักหน่อย แต่ยังไม่ทันจะได้กดรหัสผ่านเข้าไปดูก็มีมือของใครบางคนมาดึงโทรศัพท์ผมออกซะก่อน


“ไม่ต้องอ่านแล้วครับ...หันมาคุยกับผมนี่”


เจ้าของข้อความทางไลน์ยึดโทรศัพท์ของผมซ่อนไว้ด้านหลังตัวเองก่อนทรุดตัวลงนั่งบนที่ว่างข้าง ๆ วันนี้โนบิตะอยู่ในชุดเสื้อยืดสีฟ้า โทนสีดูผ่อนคลายผิดกับหน้ามันที่ดันตึงเครียดเหมือนกับเพิ่งเจอเรื่องแย่ ๆ มาทั้ง ๆ ที่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติสักอย่าง


“อะไรวะ”


ผมขมวดคิ้วมองมันแล้วเอื้อมมือไปทำท่าจะแย่งโทรศัพท์คืน แต่ไอ้แว่นจืดกลับยกมือที่ถือโทรศัพท์ขึ้นสูง แล้วจ้องจิกผมเหมือนไปฆ่าแม่พรากลูกมันมายังไงอย่างงั้น


“เดี๋ยวคืนให้ครับ...แต่สัญญากับผมมาก่อน” 


“สัญญาอะไร” ผมขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม


“สัญญาว่าจะทำตามที่ผมบอก”


“ห๊ะ”


“นั่นล่ะครับ” 


เราเงียบกันพักใหญ่ ผมกับมันจ้องตากันอย่างไม่มีใครคิดจะละสายตาออก และในที่สุดก็เป็นผมเองที่ไม่สามารถทนอยู่เฉย ๆ ได้


“โว้ย...ก็พูดมาสิ...ทำพิรี้พิไรอยู่ได้” 


ผมทำเป็นหงุดหงิดใส่ทั้ง ๆ ที่กลัวสายตาของมันที่จ้องมองมาแทบตาย โนบิตะถอนหายใจหน้าเครียด มันดันลิ้นดุนกระพุ้งแก้มก่อนจะจ้องลึกเข้ามาในแววตาผมยิ่งกว่าเดิม


“รับปากกับผม ว่าจะไปไปบอกเฮียว่าขอเปลี่ยนห้อง...”


“...”


“แต่ห้ามนอนกับคุณเชี่ยวชาญ”


ราวกับมันกำลังพูดคำประกาศิต สิ้นสุดคำสั่งของมันผมก็กะพริบตาปริบอย่างงง ๆ  เดี๋ยวนะ ...อย่าบอกว่านี่คือสิ่งที่ทำให้มันดูหงุดหงิดมาตั้งแต่อยู่บนเรือ ? จะบ้าตาย ถึงว่าแน่ะ พอไอ้เชี่ยชานบอกจะนอนกับผมมันก็...


เอ...หรือว่ามันจะคิดอะไรกับผม


จริงอะ...
เฮ้ยยยยย จริงดิ!



“อ๋อ...เออ...เปลี่ยนห้องหรอ...อื้อได้สิ...ได้...เดี๋ยวจะไปบอกนะ”


ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงตอบตกลงไปอย่างง่ายดาย แถมสมองมันยังมึน ๆ งง ๆไปหมด แต่พอเห็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่จุดไว้ตรงมุมปากของไอ้โนบิตะแล้วก็ใจสั่นแปลก ๆ เดี๋ยวนะ แล้วนี่ผมเป็นอะร๊ายยยย? จะดีใจไปทำไมวะที่มันอารมณ์ดีขึ้นมาเพราะแค่ผมตอบตกลงจะตามใจมัน


บ้าบอไปกันใหญ่แล้ว! ไม่ได้จะตามใจใครเลย แค่ไม่อยากมีปัญหา!


“อืม...ดีครับ น่ารักมาก”


แม่ง นอกจากจะยิ้มไม่เลิกแล้วยังมาพูดจาแปลก ๆ ใส่อีก กับอีแค่คำว่าน่ารักของมันทำเอาผมถึงกับต้องกลอกตามองท้องฟ้า... เหลือบไปมองก็เห็นมันจุดยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม แบบนี้ภาษาทางการเขาเรียกว่าอ่อยป่าววะ เฮ้ย...ไม่ดิ  ผมคงจะคิดไปเองมากกว่ามั้ง... แต่ขอโทษนะ ถึงมึงจะมีใจให้กูจริง กูก็คงจะคบกับมึงไม่ได้หรอก...


เพราะกูไม่ได้ชอบมึง...


มั้ง...


ทำไมต้องมั้งด้วยวะไอ้เหี้ย !! หงุดหงิดตัวเองโว้ย!!!


“แล้วนั่นจะไปไหนครับ”


เสียงโนบิตะดังขึ้นเมื่อเห็นผมลุกจากเก้าอี้หน้าห้องน้ำ กะว่าจะรีบเดินจ้ำอ้าวไปทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับมันให้เสร็จ ๆ ไป แต่พอหมุนตัวกลับไป...ใจก็เสือกสั่นเพราะหน้ายิ้ม ๆ ของมันอีก T_T


“ร้านอาหารอยู่อีกทางนะครับพิก”

 
พูดจบมันก็ผุดลุกขึ้นแล้วเดินนำออกไป แวบหนึ่งเห็นมันยิ้มหน้าตาดูชอบใจ ผิดกับผมที่ยืนคว้างอยู่กับที่ ทั้งตัวทั้งขาแข็งเหมือนคนเป็นอัมพาตเมื่อรู้สึกได้ถึงจังหวะของอะไรบางอย่างที่เต้นผิดไปในอก


แม่งเอ้ยหัวใจกู...
ทำไมต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วยวะ ?

 
______________________________________


“ขอภูมิใจนำเสนออออ รีสอร์ทเพื่อนแม่กู!!”


ผมปรบมือให้ไอ้เฮียที่ยืนผายมือออกทำท่าโอ้อวดถึงความหรูหราระดับบ้าน ๆ ของรีสอร์ทเพื่อนแม่มันอย่างภูมิใจ หลังจากที่ยัดทะนานใส่กระเพาะจนเต็มเหนี่ยวแล้วพวกเราก็ตกลงว่าจะกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปเล่นน้ำ ชมวิว หาเหล้ากินที่ชายหาด แน่นอนว่าผมยังไม่ได้พูดเรื่องที่จะขอเปลี่ยนห้องเพราะยังไม่มีโอกาส แต่สีหน้าของเก้าก็ไม่ได้ดูถมึงทึงเหมือนในคราวแรกแล้ว…


พูดง่าย ๆ เลยแล้วกันว่ามันเปลี่ยนมากดดันผมด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ แทน


“พวกมึงจะเอาไงตกลง เล่นน้ำก่อนไหม แล้วค่อยไปถ่ายรูป ชมบรรยากาศแทน”


ไอ้เฮียเสนอความคิดเห็นเป็นคนแรกอย่างเคย อาจเพราะมันมาที่นี่บ่อยที่สุด ถึงสามารถแนะนำได้ว่าเราควรทำอะไรก่อน ทำอะไรทีหลัง ดังนั้นผมกับเชี่ยวชาญจึงไม่ได้คิดจะแย้งอะไร ได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ ตามน้ำมันไป... เว้นแต่ไอ้โนบิตะที่ดันแว่นเข้าหน้าตัวเอง แล้วกระแอมไอออกมาเสียงดัง


“ตอนไปเข้าห้องน้ำเมื่อกี้...เห็นพิกบอกผมว่ามีเรื่องจะคุยกับชานไม่ใช่หรอครับ...”

 
ไอ้ชิบหาย! เล่นกันไม่ให้ทันตั้งตัวเลยเหรอ!


หันไปก็เจอไอ้ชานทำหน้าเหรอหรา มันเลิกคิ้วมองมาอย่างคนสงสัย “อ้าว...มีอะไรอยากบอกกูหรอพิก”


บอกตรง ๆ ว่าไม่รู้จะพูดยังไงเมื่อเห็นหน้าตาซื่อบื้อของมัน ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน เชี่ยชานยังไม่ได้สนิทอะไรกับไอ้เฮียขนาดนั้น แล้วอยู่ ๆ จะไล่ให้มันไปนอนด้วยกันแล้วย้ายตัวเองมานอนกับไอ้โนบิตะเนี่ยนะ?


ไม่อยากจะคิดเลย แต่ก็คิดขึ้นมาอีกแล้ว... หรือมันกำลังอ่อยผมวะ ตกลงไอ้เก้ามันกำลังอ่อยผมใช่ปะถึงได้อยากนอนห้องเดียวกับผมขนาดนี้?


เอาไงดีวะ...เอาไงดี โดนอ่อยมาขนาดนี้ขืนไปนอนกับมันผมต้องตัวเป่งเพราะโดนกรอกน้ำทั้งคืนแน่


เอาไงดี...
โอ้ย แล้วใจมึงจะเต้นทำไม มึงจะอมยิ้มเหี้ยอะไรวะพิกกก
หยุด หยุด หยุด ห้ามอมยิ้ม ดีใจเหี้ยอะไร มันเห็นมึงเป็นแค่คนใช้เท่านั้นแหละ ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยสักนิด!!!



“คือ...กูอยากขอเปลี่ยนห้องว่ะ”


สุดท้ายก็กลั้นใจพูดออกไปท่ามกลางความเงียบ ผมแอบเห็นเก้าแย้มยิ้มมุมปากอย่างพอใจ แต่แค่แวบเดียวเท่านั้นแหละ เพราะต้องหันมาให้ความสนใจกับเชี่ยวชาญต่อว่ามันจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ แต่พอหันไปมองไอ้ชานมันกลับทำแค่เบิกตามองผมนิดเดียว แล้วนาทีต่อมาก็เป็นเสียงไอ้เฮียที่โวยวายละความสนใจจากผมไปแทน


“กู...ขอนอนกับมึงได้ไหมวะเฮีย...”


“มึงแม่ง...ทำไมทำงี้วะ...ได้ไงอะ กูอยากนอนกับเก้าแท้ ๆ”


คนที่โวยไม่ใช่เชี่ยวชาญอย่างที่คาดไว้หรอก แต่ดันเป็นไอ้เตี้ยเฮียที่พูดสวนขึ้นมาเสียงแหว มันเบะปากหายใจฟึดฟัดทำหน้าทำตาเหมือนคนกำลังอกหัก เยื้องไปหน่อยก็เป็นไอ้ชานที่เอาแต่หัวเราะในลำคอ มันทำแค่ยักไหล่แล้วตอบออกมาอย่างเสียไม่ได้


 “เอางั้นก็ได้ ตามใจมึงเลยกูไม่มีปัญหา”


ผิดคาด...


ยอมรับว่าผิดคาดไปมาก ๆ สำหรับปฏิกิริยาของเพื่อนรักที่ปกติจะติดผมเป็นตังเม ความรู้สึกแรกเลยคือ มึงไม่สนิทกับกูเหมือนเดิมแล้วหรอวะ นั่นทำให้ความรู้สึกต่อ ๆ มากลายเป็นความน้อยใจที่ผสมปนเปกับอารมณ์ใหม่ ๆ ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองไอ้ชานเดินไปเก็บเสื้อในตู้ที่เพิ่งแขวนไป แทนที่จะเป็นตัวผมเองที่ต้องเก็บกระเป๋า


“งั้นเดี๋ยวรอกูแป๊บนึงได้ปะ เดี๋ยวกูเอาของไปเก็บที่ห้องก่อน...นี่อะ กุญแจเก็บไว้ที่มึงแล้วกันพิก”


เชี่ยวชาญล้วงกุญแจห้องที่ตัวเองเป็นคนเก็บไว้มายัดใส่ในมือผมหน้าตาเฉย


“ให้กูไปส่งไหม” ผมถามออกไปเสียงอ่อน กลัวมันจะงอนมากเลยตอนนี้


“ไม่ต้องอะ...เฮ้ย เฮีย มึงอะไปกับกูเลย กุญแจห้องอยู่กับมึงไม่ใช่หรอวะ มาแลกกัน”

 
พูดจบก็เดินมาเกี่ยวคอไอ้เฮียที่ทำหน้ามู่ทู่ออกไป ไม่รู้ว่าพวกมันไปสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน รู้อย่างเดียวคือตอนนี้ในใจมันโหวงวูบแปลก ๆ 


ทั้งสองคนเดินออกจากห้องไปแล้ว เพราะงั้นในห้องนี้ก็เหลือแค่ผมกับไอ้เก้าสองคน แน่นอนว่าไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผมจึงเดินไปกดเปิดทีวีให้มีเสียงแทรกกลางระหว่างความเงียบบ้าง... อยู่กับแม่งสองต่อสองแล้วอึดอัดเป็นบ้า


“ทำไมไม่บอกว่าจะนอนกับผม ไหนสัญญาไว้แล้วไง”


แสงในทีวีสว่างวาบไม่ถึงสิบวินาทีก็ดับวูบลงเพราะมีคนเดินไปปิด จะใครล่ะ ก็ไอ้โนบิตะที่ยืนจังก้าท้าลมแอร์อยู่นั่นไง 


“กูสัญญาแค่ว่าจะเปลี่ยนห้อง แต่ไม่ได้บอกว่าจะนอนกับมึง”


ผมตอบออกไปตามความสัตย์ เอ้า! ก็จริงนี่หว่า ในตอนนั้นมีประโยคไหนบ้างที่ไอ้โนบิตะบอกว่าจะนอนกับผม... มันแค่บอกว่าห้ามผมนอนกับไอ้ชานย่างเดียวก็เท่านั้น


“อยากจะนอนกับเชี่ยวชาญ? ว่างั้น?”


“มึงอย่ากวนตีนนะเก้า”

 
เห็นหน้าตากวนประสาทของมันที่ยื่นเข้ามาหาแล้วก็หงุดหงิด ไม่หนำใจมันยังโน้มตัวลงมาคร่อมผมไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ดวงตาเรียวรีของมันจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผม เราทั้งคู่ไม่มีใครยอมใครแม้กระบอกตาผมจะแห้งจนน้ำตาแทบไหลก็ตาม


“ใครกันแน่ครับที่กวน?”


จบคำก็รั้งท้ายทอยผมเข้าไปจูบอย่างรุนแรง มันทั้งกัดทั้งทึ้งกลีบปากด้านล่างผมจนเจ็บไปหมด ยังไม่พอ ไอ้โนบิตะยังโถมแรงเข้าใส่ชนิดที่ว่าไม่ให้ผมได้มีโอกาสเขยื้อนตัวหนีมันเลยแม้แต่น้อย พวกเราเล่นสงครามประสาทผ่านการขยี้จูบอย่างนั้นพักใหญ่ จนมันถอนปากออกมาให้ผมได้หายใจนั่นแหละ...ผมก็ยกตีนถีบมันจนเซไปด้านหลังทันที


“พิก!”


แม่ง...ยังมีหน้ามาถลึงตาตะคอกใส่กูอีก เห็นมันขมวดคิ้วตวาดอย่างโกรธ ๆ ก็หงุดหงิดขึ้นมาเฉยเลย นี่จะเอาแต่ใจเกินไปหน่อยแล้วมั้ง? เห็นกูเป็นอะไรเนี่ย สั่งเอาสั่งเอาอยู่นั่น! ชักไม่มีขอบเขตละ!


“มึงตะโกนใส่หน้ากูครั้งที่เท่าไหร่แล้วเก้า”


“...”


“หรือเห็นกูเป็นคนใช้มึง เลยคิดจะพูดยังไงกับกูก็ได้ งี้หรอ?”


น้ำเสียงผมตอนนี้คือไม่ได้ตวาดกลับเลยแม้แต่น้อย เพราะผมกำลังพูดด้วยโทนเสียงเรียบ ๆ ไม่แสงอารมณ์อะไรทั้งนั้น คือไม่ได้คิดอยากจะหาสาเหตุอะไรหรอกนะ แต่ผมไม่แน่ใจว่าตกลงแล้วสิ่งที่อยู่ในใจมึงคืออะไรกันแน่ ไอ้ที่แสดงอาการหงุดหงิดไม่ยอมโน่นยอมนี่ง่าย ๆ มันเป็นสิ่งที่โนบิตะเคยทำหรอวะ ตำแหน่งมันสลับกันขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่าเป็นตัวผมเองที่ยอมมันมากไป


“...”


“...”


เสียงแอร์ที่ดังหึ่ง ๆ ย้ำเตือนว่าเราทั้งคู่ยังอยู่ในห้อง แต่ไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมาแม้สักคำ ผมมองหน้าเก้าที่นิ่งและเรียบเฉยกว่าปกติ มองกันไปมองกันมาอยู่พักใหญ่ ๆ สุดท้ายไอ้คนที่ตัวสูงกว่าหน่อยก็ยอมถอนหายใจและอ้าปากพูดออกมา


“ผมขอโทษ...”


“อืม”


ผมครางเบา ๆ ในลำคอแล้วเสหน้าออกไปอีกทาง ทุกอย่างดูประจวบเหมาะไปหมดเมื่อหันไปเห็นซูเนโอะที่ยืนมองเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่ามันมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ว่ามันจะเห็นสิ่งที่ผมทำกับโนบิตะเมื่อกี้นี้ไหม รู้อย่างเดียวคือตอนนี้มันกำลังชี้นิ้วทำท่าทำทางราวกับว่าจะบอกใบ้ให้ผมออกไปข้างนอกด้วยกัน


“แล้วเจอกันข้างนอก”


ผมพูดแค่นั้นแล้วลุกขึ้นจากเตียงในทันใด ซึ่งโนบิตะมันก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่นั่งเฉย ๆ ในท่าเดิม  ตอนนี้ผมไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ รู้อย่างเดียวก็คือสถานการณ์เมื่อครู่แม่งโคตรน่าอึดอัด... ผมไม่ใช้น้ำเสียงจริงจังพูดกับมันอย่างนั้น อันที่จริง...ถึงผมจะข่มมันแต่ผมก็ไม่เคยทำตัวเหมือนคนขี้น้อยใจอย่างเมื่อกี้...


เหี้ยแม่งโคตรปรี๊ดอะ... ทำไมผมต้องยอมให้มันตวาดใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมต้องกลายเป็ไอ้ขี้แพ้ที่ไม่รู้ห่าอะไรเลยแม้แต่ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง? ไอ้พิกที่เคยเป็นไจแอนท์จอมหาเรื่อง โขกสับโนบิตะไม่เว้นวันคนนั้นอยู่ไหน

ขอซื้อคืนมาได้ไหมวะ... ชักจะไม่ไหวแล้ว


_______________________________________________________________


จริงๆก็ไม่ได้คิดว่าจะลงวันนี้หรอก กะจะลงวันศุกร์ทีเดียวเลยเพราะกลัวคิดถึงคนอ่านเก้ออยู่คนเดียว

แต่มาเจอเม้นที่คิดถึงกัน ก็เลยสคริปให้เป็นวันศุกร์เลย
อิอิ ขอบคุณนะคะ T_T ที่ยังรอกันอยู่ ขอบคุณที่ชอบ...
จริง ๆ มีสต๊อกไว้จนจบเรื่องแล้ว แต่เดี๋ยวทยอยเอามาลงให้อ่านแล้วกันเนอะ แง่ว ๆ

แล้วเจอกันอีกทีวันศุกร์ (คราวนี้ไม่สคริปให้แล้วนะ!) :z2:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 14 (15/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 15-12-2015 19:07:32
เย้ๆๆๆๆ รักคนเขียนที่สุดดด ใจดีจัง  :กอด1:
ปล.ชื่อเรื่องใหม่ไฉไลกว่าเดิม อิอิ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 14 (15/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ํYanika ที่ 15-12-2015 19:25:40
ล๊อคอินมาเพื่อประการฉะนี้แลเลยนะะ
ชอบไจแอนด์มากกกตั้ลล้าคคค เวอร์ชั่นนี้ที่รอคอย555555 เลิฟโนบิมากมายแต่ก็ชอบซูเนโอะด้วยยย :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 14 (15/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 15-12-2015 20:54:15
 :sad4:
ฮืออออออออ กลับมาแล้วใช่มั้ยมั้ยมั้ยมั้ยมั้ยยยยยยยยยยยยยย

กระโดดกอด :z6: (อ้าว ไม่ใช่หรอ 555555555)
เค้านึกว่าจะหายไปซะแล้ววว
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 14 (15/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-12-2015 20:56:50
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 14 (15/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 15-12-2015 21:40:47
รอตอนต่อไปนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 14 (15/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: thepopper ที่ 15-12-2015 22:07:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 14 (15/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: piglet205 ที่ 15-12-2015 22:25:11
นึกว่าตาฝาด ขอบคุณมากๆค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 14 (15/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 15-12-2015 23:04:41
ตอนนี้ดูสับสนวุ่นวายงงงวยกันจังนะ แอนท์อย่ายอมให้มันมากไปสิไม่โอค่ะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 14 (15/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 15-12-2015 23:29:19
เริ่มตามความรู้สึกไม่ทันกันทั้งสองฝ่ายหรือเปล่าน้า?
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 14 (15/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 16-12-2015 00:11:00
อย่างงี้ต้องง้อออ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 14 (15/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Moose ที่ 16-12-2015 03:41:07
เพิ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ สนุกมากกกกกกกกกกกกก ชอบพิกนางเฮฮาดีค่ะ  :mew3:
ขอบคุณสำหรับนิยาย รอตอนต่อไปนะคะ  :pig4:  :L1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 14 (15/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-12-2015 03:48:49
ในที่สุดก็มาาาา ไจแอนด์พิกควรรู้ตัวำนะว่าชอบโนบิตะแล้วววว
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 14 (15/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 16-12-2015 17:22:41
NOBI NOBI | SUNEO (2)
GIANT’s PART


“เป็นไร หน้ามุ่ยเป็นกะรี้ลง”


เดินออกมาจากหน้าห้องพักได้ไม่ถึงสิบก้าวก็มีอันต้องหันไปกลอกตาใส่ไอ้ชาน ความสูงกว่าผมเกือบห้าเซนต์ทำให้ต้องแหงนหน้าขึ้นไปหา และเมื่อมองพระอาทิตย์ที่ยิ้มแฉ่งเลียหัวเหม่งของมันก็ทำให้ผมต้องหยีตา และเมื่อหยีตามันก็เลยมีน้ำใจเอื้อมมือทั้งสองข้างมาช่วยบังแดดเอาไว้ให้


“แสบตามากปะ งั้นหลบไปเดินที่ร่ม ๆ กัน”


จบประโยคเพื่อนรักก็เอื้อมมือมาจับข้อมือผมให้เดินไปด้วยกัน นาทีนั้นหางตามันหันไปเห็นไอ้โนบิตะที่เดินออกมาพร้อมกับไอ้เฮียพอดี ไอ้เตี้ยจากแคนาดาเห็นผมก็โบกมือไหว ๆ ผิดกับคนข้าง ๆ ที่จงใจก้มลงมองพื้นแล้วขยับแว่นบนหน้าหนี


เอ้อออออ ให้มันได้อย่างงี้ เอาแต่ใจกับกู ตวาดกู ปล้ำจูบกู แล้วยังหลบหน้ากู...
โดนด่าไปทีเป็นไงล่ะ สำนึกเลยล่ะสิว่าที่ทำกับคนอื่นเขาเรียกว่านิสัยไม่ดี
ว่าแต่แม่ง...ตกลงว่าอ่อยกูไม่ใช่หรอวะ หรือว่ามันจะหึงกูกับ...


ผมแหงนหน้ามองไอ้ชานที่เดินอยู่ข้างตัวอีกครั้ง พวกเรากำลังเดินผ่านชายหาดที่มีแหม่มสาวนุ่งบิกินี่ปิดนมน้อยนิด ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวดังมาจากข้าง ๆ จะอะไรซะอีกก็ไอ้ชานนั่นแหละที่เป่าปากใส่ฝรั่งเสียงดังจนคนเขาหันมามองมันกันทั้งหาด


“วิ๊ดดดดด วิ๊วววววว”


น้ำหน้าขี้หม้ออย่างนี้นี่นะจะชอบกู?...มีแต่คนตาถั่วเท่านั้นแหละที่จะมองได้แบบนั้น...


เชี่ยเอ๊ย ไอ้โนบิตะตาถั่ว! มึงแค่สายตาสั้นไม่พอแล้วยังตาบอดอีกหรอวะ! เอาอะไรมาคิดแบบนั้นได้วะ บ้าชิบหาย... ถ้าจะมีใครที่กูชอบได้ก็คงจะเป็นมึงนั่นแหละ ไอ้เหี้ย เอากันทีแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน


เดี๋ยว...


ชิบหายละ!


ผมขมวดคิ้วนึกย้อนกลับไปยังฉากเอากันที่แย่งกันผุดขึ้นมาเหมือนภาพฉายซ้ำ...


“เป็นอะไรของมึงเนี่ยพิก เดี๋ยวก็ทำหน้ายิ้มเดี๋ยวก็ทำหน้ามุ่ย เจอลมทะเลเข้าหน่อยนี่เป็นบ้าเลยหรอ”


เชี่ยวชาญถามกลั้วเสียงหัวเราะ


ขอโทษเหอะครับ ไม่อยากจะบอกว่าไม่ต้องเจอลมทะเลก็พร้อมจะบ้าได้ตลอดเวลา แค่กูเจอพายุไซโคลนชื่อโนบิตะซัดเข้าให้เต็มปอดเมื่อวันก่อนก็เหมือนเป็นบ้าได้เช่นกัน คนห่าอะไรอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างกับเป็นไบโพล่า เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้ายเดี๋ยวก็ตอแหลมากมายปะปนกันจนไม่รู้ว่าตกลงมันเป็นคนแบบไหนกันแน่


“กูไม่ได้เป็นไร...ช่างแม่งเหอะ เล่นน้ำกัน”


เห็นว่าผมเงียบไปพักหนึ่งไอ้ชานก็ส่งความเป็นห่วงผ่านทางสายตามา มันคงจะคิดว่าผมเป็นบ้าอย่างที่พูดนั่นแหละ เพราะเมื่อผมพูดว่าไม่ได้เป็นไรสีหน้ามันก็เปลี่ยนทันที ผมรู้นะว่ามันคงเป็นห่วงผม แต่จะไม่ให้คิดเรื่องเก้าเลยก็คงห้ามยาก...


 เพราะในหัวของผมตอนนี้ก็มีแค่เรื่องของมันคนเดียวที่เวียนมาให้รกสมองอยู่นั่น





Zuneo’s part

หมู่นี้พิกดูแปลกไป


แปลกไปในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นบ้า หรือเสียสติเป็นพัก ๆ เพราะผู้หญิงเหมือนแต่ก่อน


จะว่ายังไงดี... ก็หลายอาทิตย์แล้วนะที่มันเริ่มทำตัวประหลาด ประหลาดที่ว่าคือพอผมชวนไปไหนก็ไม่ค่อยไปเหมือนแต่ก่อน ล่าสุดที่ดูเหมือนจะผิดปกติกว่าเดิมก็คือมันไม่ได้ไลน์มาถามเรื่องเกมส์ออกใหม่ในสตรีมทั้ง ๆ ที่ถ้ามี...มันจะต้องเป็นคนแรกที่รู้ก่อนเพื่อน


พิกดูขยันขึ้น...


อันนี้ผมไม่ค่อยอยากนับเป็นเรื่องปกติเพราะก็คิดว่าดีแล้วที่มันรู้จักขยันหาความรู้เอามาสอบโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาผม แต่ดูเหมือนในความขยันของมันจะมีอะไรมากกว่านั้น... เพราะตั้งแต่วันที่พวกเรานัดไปกินเหล้ากันกับเฮียที่ก็ดูเหมือนมันจะมีความลับอะไรปิดบังผมอยู่ แต่ผมไม่รู้ว่าเรื่องนั้นคือเรื่องอะไร...


มันคาใจนะที่อยู่ ๆ วันนึงเพื่อนที่เคยไลน์คุยกันทุกวัน โทรหากันทุกวันผิดแปลกไปจากปกติ มีคืนนึงที่ผมทนหงุดหงิดไม่ได้จนต้องโทรเข้าไปหามันที่บ้าน แล้วรู้ไหมว่าน้องสาวมันบอกอะไรกับผม? พิมพ์บอกว่าพิกไปค้างบ้านเพื่อนชื่อเก้าเพื่อติววิชาอะไรสักอย่าง...ทั้ง ๆ ที่ช่วงนั้นก็มีแค่สอบย่อยเล็ก ๆ ก็เท่านั้น...


ในใจผมคิดนะว่าที่หงุดหงิดขนาดนี้ก็แค่เพราะหวงเพื่อน
ก็เออจริง ๆ แหละที่ผมเป็นคนหวงเพื่อน หวงมากด้วย และไม่ได้เพิ่งหวง


อาจเป็นเพราะผมเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่มีน้อง ญาติ ๆ ก็ไม่ค่อยไปมาหาสู่กันเหมือนครอบครัวอื่น แถมพ่อแม่ก็ไม่ค่อยมีเวลากลับมาเล่นด้วยผมจึงต้องเล่นกับของเล่นที่พวกเขาซื้อให้มาตลอด เมื่อโตขึ้นพอผมเริ่มสนิทกับใครผมก็จะหวงเหมือนหวงของเล่นเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ซึ่งการกระทำแบบนั้นมันก็ออกจะน่ารำคาญไม่ใช่น้อย จึงทำให้ไม่มีเพื่อนคนไหนสามารถสนิทใจกับผมได้ทั้ง ๆ ที่ผมก็ทุ่มสุดตัวจนเรียกว่าเทหน้าตักกันเลยทีเดียว


แต่หนึ่งในนั้น...ยกเว้นพิก...


ความกวนตีนได้โล่ของมันทำให้ผมมีศัตรูเยอะขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยรู้สึกหวั่นใจเพราะรู้ว่ายังไงก็มีมันอยู่ข้าง ๆ ผมเสมอ... ที่จริงผมไม่ได้อยากจะรับใครเข้ามาเพิ่มนักหรอก แต่เพราะผมสงสารถ้ามันจะต้องไม่มีสังคมเพราะมีแค่ผมเป็นเพื่อน...ผมจึงรับเก้ากับไอ้เฮียเข้ามาในชีวิต


และแล้ววันนี้เราก็มาไกลจนสามารถเที่ยวด้วยกันแบบนี้ได้...  บอกเลยว่าในชีวิตผมไม่เคยออกมาเที่ยวเองเป็นกลุ่มแบบนี้นอกจากเที่ยวกับครอบครัว


ผมมีความสุข...


แต่ความสุขนั่นดูเหมือนจะหดหายไปเมื่อไอ้เฮียถามคำถามหนึ่งออกมา
คำถามที่ทำให้ผมเริ่มฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้


“ถ้ากูถามอะไรมึงคำนึงมึงจะโกรธไหมชาน?”


มันพูดขึ้นมาระหว่างที่เรานั่งเรือข้ามไปเกาะ ตอนนั้นมันเมาคลื่นจนต้องวิ่งไปอ้วกที่ท้ายเรือ ทีแรกก็เป็นพิกแหละที่จะตามมาดูอาการมัน แต่พอไอ้บ้านั่นลุกขึ้นยืนกะทันหันบนเรือที่โคลงเคลงก็เกิดหน้ามืดฉับพลันจนต้องฝากให้ไอ้โนบิตะดูแลต่อ และกลายเป็นผมที่ต้องมารับหน้าที่ลูบหลังลูบไหล่ไล่อ้วกให้ไอ้เฮียแทน

ตอนนั้นผมไม่รู้ว่ามันพูดเรื่องอะไร ไม่รู้ว่ามันหมายความประมาณไหนถึงได้พยักหน้าไปพาซื่อ


“ชอบดิ กูชอบมันที่สุดแล้ว...มันเป็นเพื่อนที่อยู่กับกูมาตลอด แถมมันยังไม่รำคาญเวลาที่กูพูดมากด้วย” ผมพูดออกไปยิ้ม ๆ นาทีนั้นนึกถึงแต่ภาพไอ้พิกชักสีหน้าอย่างไม่จริงจังโดยที่ไม่ได้สังเกตแววตาของคนตรงหน้าเลยสักนิด


“อ้าวเรอะ...กูเห็นสายตามึงเวลามองมัน...กูก็นึกว่ามึงชอบมันแบบคนรักซะอีก”


“เฮ้ย...จะบ้าหรอวะ...คิดเป็นงั้นได้ไง เมาเรือจนตาพร่าเหรอมึงน่ะ”



ตอนนั้นเฮียมันทำแค่อมยิ้มบาง ๆ ทั้งที่ปากเลอะคราบอ้วก


“ไม่ได้ชอบจริง ๆ หรอวะ...แต่จากประสบการณ์ของผู้ช่ำชองด้านความรักอย่างกู กูคิดว่ามึงหลงรักมันอยู่นะ”


“...”
ผมขมวดคิ้ว หยุดมือที่ลูบหลังแล้วสบตากับมันเพื่อค้นหาความผิดปกติในแววตา


ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ...มันไม่ได้กำลังล้อเล่น


“มึงคิดดูสิ...มีผู้ชายดี ๆ ที่ไหนอยากไปรับไปส่งเพื่อนตลอดเวลาวะ...แล้วไหนจะตอนไปแดกชาบูด้วยกันมึงก็ตั้งใจดูแลพิกเป็นพิเศษจนเหมือนกับมันเป็นง่อยแดกเองไม่ได้...”


“...”


“มึงทำตัวเหมือนผัวดูแลเมียเลยรู้ไหมวะ...อ๊ะ นี่กูไม่ได้กำลังหยอกมึงนะ กูพูดจริงจัง”



เชื่อเถอะว่าสีหน้าของไอ้เฮียเวลานั้นดูจริงจังซะจนผมเริ่มรู้สึกกลัวตัวเอง ผมเลยเอาแต่ขมวดคิ้วเข้าหากัน พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุดก่อนจะระบายยิ้มให้คนที่มองหน้าตัวเองอย่างฝืน ๆ


“ไม่มีไรหรอก กูว่ามึงคิดมาก...พวกกูก็ดูแลกันยังงี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว...มึงคงไม่ชินมากกว่าล่ะมั้ง”


“อ่า ก็แล้วแต่มึงจะคิดนะ...แต่ส่วนตัวกูคิดว่ามึงคงยังไม่รู้ตัว”


“...”


“เอาเป็นว่าถ้ามึงอยากพิสูจน์ว่าตัวเองชอบมันแบบนั้นไหมก็ค่อยเรียกกูแล้วกัน...กูมีวิธีพิสูจน์”



มันพูดเสียงหนักแน่นแถมทำท่ามั่นใจเสียเต็มประดาว่าผมจะต้องชอบไอ้พิกแน่ ๆ ซึ่งผมก็มั่นใจเหมือนกันว่าผมก็คิดกับมันเพียงแค่เพื่อนคนหนึ่ง แต่ทั้ง ๆ ที่คิดอย่างนั้นผมก็ดันเผลอสังเกตไอ้พิกไปด้วยในตัว... ช่วงนี้ผิวพรรณมันดูเปล่งปลั่งอย่างน่าประหลาด แถมยังชอบทำชอบทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ บางครั้งยังชอบเหม่ออีก


“เอางี้ดีกว่า...เดี๋ยวกูจะให้มึงได้นอนกับพิก...แล้วตอนนอนมึงก็ลองกอดมันดูนะ ถ้าเกิดว่ารู้สึกอะไรขึ้นมา...ก็แสดงว่ามึงหลงรักมันเข้าให้แล้ว”


ในตอนนั้นผมคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกว่ะ  พูดถึงเรื่องกอดก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยกอดแม่งซักหน่อย ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรพิเศษตรงไหนเลย... แต่ยอมรับว่าพอโดนไอ้เฮียพูดใส่แบบนี้บ่อย ๆ ตลอดการเดินทางไปเกาะก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา


“คือ...กูอยากขอเปลี่ยนห้องว่ะ”


สีหน้าพิกตอนนั้นคืออึดอัดจนถึงขีดสุด ยอมรับก็ได้ว่าผมถึงกับนิ่งไปเพราะกำลังอึ้งแดก ปกติแล้วพิกมันจะจองนอนข้างผมตลอดไม่ว่าจะไปทำกิจกรรมที่ไหน แต่วันนี้มันดูแปลกไป หน้าก็ไม่ค่อยมอง ตาก็ไม่ค่อยสบ... นั่นทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหรือที่จริงแล้วพิกก็คิดไปในทางเดียวกับไอ้เฮีย


“เอางั้นก็ได้ ตามใจมึงเลยกูไม่มีปัญหา”


ผมตอบออกไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากให้เพื่อนต้องอึดอัด เพราะถ้ามันกำลังรู้สึกอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ผมยังไม่ได้พิสูจน์ความในใจก็ดูเหมือนกับว่าจะไม่แฟร์กับมันเลย ผมเลยได้แต่ส่งยิ้มให้มันแล้วบอกว่าไม่เป็นไรเพียงเพราะแค่อยากให้มันมีสีหน้าดีขึ้น


ผมเรียกไอ้เฮียมาช่วยจัดของด้วยกัน ทั้งที่ความจริงผมก็สามารถจัดของคนเดียวได้สบาย ๆ แต่เพราะพิกมันเสนอตัวนั่นแหละเลยต้องหาตัวตายตัวแทน จะเลือกไอ้โนบิตะให้เดินไปด้วยกันก็ยังไง ๆ อยู่เพราะตั้งแต่เข้าห้องมามันทำเอาแต่ทำหน้ามุ่ย พอหันไปเจอไอ้เฮียที่มองมาทางผมอยู่ก่อนแล้วเลยตัดสินใจเรียกมันมาด้วย


“แผนกู...พัง พัง” เฮียทำท่าเหมือนโลกกำลังจะแตกสลายไปตรงหน้า


มันทำท่าเหมือนกับจะตายให้ได้ที่ผมกับพิกไม่ได้นอนด้วยกัน อันที่จริงเรามาเที่ยวทริปนี้แค่สองคืนหนึ่งวัน นั่นหมายความว่าจะมีเวลาแค่หนึ่งคืนให้ผมได้พิสูจน์ตัวเอง


ผมล้มตัวลงไปนั่งที่ตรงปลายเตียงข้าง ๆ เฮีย ก่อนจะยกมือขึ้นผลักหัวมันเบา ๆ “ไม่มีแผนเหี้ยตั้งแต่แรกนั่นล่ะ มึงนี่เพ้อเจ้อชิบหาย”


พูดกับมันแล้วก็เหมือนพูดกับตอ ไอ้เฮียได้แต่เบะปากผ่อนลมออกจมูก ดูมันทำหน้าเข้า เหมือนกับหมูป่าหงุดหงิดไม่มีผิด


“ก็แทนที่มึงกับพิกจะได้นอนด้วยกัน...นี่มันผิดแผนกูมาสองรอบแล้วนะ”


“สองรอบ ?”
ผมขมวดคิ้วแล้วทวนคำ


“เออออ สองรอบไง แม่งเอ้ย...ช่างแม่งก็ได้วะ...อยากไปเล่นน้ำละ รีบ ๆ จัดของแล้วฝากไปตามไอ้สองคนนั้นที่ห้องโน้นด้วย กูจะขอออกไปส่องฝรั่งให้อารมณ์ดีก่อน...ไปล่ะ”


พูดจบเฮียก็ลุกขึ้นก้าวอาด ๆ ออกไปจากห้องทันที ทิ้งให้ผมอยู่จัดของคนเดียวอย่างงง ๆ  ท่ามกลางความเงียบ ที่จริงก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก แค่เอาเสื้อผ้ามาแขวนใส่ตู้ให้มันไม่ยับก็เท่านั้น ทำไม่กี่นาทีก็เสร็จ พอทุกอย่างเรียบร้อยลงตัวแล้วผมก็เดินเอ้อระเหยจุดบุหรี่สูบออกมาจากห้องพักใหม่ ที่ ๆ ผมอยู่จะเรียกว่าใกล้กับห้องเก่าหรือไม่ใกล้ก็ได้ เพราะถึงตัวบ้านจะติดกัน แต่ประตูก็เสือกหันไปคนละทาง


ภาพที่เห็นตรงหน้าคือพิกกับเก้ากำลังมองหน้ากัน...


คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน จ้องตากันอยู่อย่างนั้นสักพักก็เป็นพิกที่ทำสีหน้าตกใจเมื่อเห็นผมยืนอยู่ด้านนอก มันพูดอะไรกับเก้าอีกสองสามคำก่อนจะเดินกึ่งวิ่งออกมาจากที่พักตามที่ผมบอกใบ้


เราเดินเลาะชายหาดให้เท้าสัมผัสกับน้ำทะเล ตลอดทางพิกดูเหม่อลอยจนผมรู้สึกเป็นห่วง อันที่จริงนอกจากความรู้สึกเป็นห่วงยังยังมีความรู้สึกอิจฉา จะว่ายังไงดี อาจเพราะมันไม่เคยทำหน้าแบบนี้เมื่ออยู่กับผมละมั้ง ผมถึงได้รู้สึกอะไรขึ้นมาเพียงเพราะคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนที่พิกจะมีสีหน้าแบบนี้ได้ด้วย


 “วิ๊ดดดด วิ๊ววววว”


ผมส่งเสียงออกไปอย่างนั้นเพราะเห็นว่าเพื่อนข้างตัวเหม่อเกินจำเป็น แล้วมันก็ได้ผลเมื่อพิกสะดุ้งแล้วมองมาทางผมก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ ที่จริงผมไม่ได้สนใจฝรั่งเลยด้วยซ้ำ สเป็กของผมคือคนชาติเดียวกันแต่ผิวเนียนละเอียดหมดจด ไม่ต้องสมเป็นกุลสตรีมากก็ได้แต่อยู่ด้วยแล้วต้องสบายใจ...


มองไปทางไหนคนที่มีคุณสมบัติแบบนี้ก็คือเจอแต่ไอ้พิก...
บอกตรง ๆ ว่าพอเป็นแบบนี้แล้วก็เริ่มจะกลัวหัวใจตัวเองว่ะ...
หรือผมจะชอบแม่งเข้าแล้วอย่างที่ไอ้เฮียมันพูดจริง ๆ ?


______________________________________

จะบอกว่าขอโทษที่มาก่อนจะเป็นไรไหมคะ
วันศุกร์ไม่ว่างแล้วฮือ เดี๋ยวต้องเตรียมตัวไปงานแต่งอย่างกระทันหันของเพื่อนสาว ;_ ;
ยังไงก็แล้วแต่ ขออนุญาตเปลี่ยนชื่อเรื่องนิดนึงนะคะ 5555

ขอบคุณทุกคอมเม้นเลย แฮ่ มาอัพบ่อยเพราะมีกำลังใจนี่แหละ
:z10:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 16-12-2015 17:36:20
เอาแล้วววววว โนบิตะกำลังจะมีคู่แข่งเป็น ซึเนโอะ   :katai5:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 16-12-2015 18:19:17
เกลียดเฮียอะ บอกเลย นิสัย วางแผนชั่วร้ายสินะ ไปทำให้ชาญสับสน พิก กะเก้าอีก เก้ากะนิสัย ชิชะ

รอตอนต่อไปครัฟ ^^
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 16-12-2015 20:20:28
เอาแล้วสิ โนว ดราม่ามาแต่ไกล โนวววววววววววว
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-12-2015 20:50:40
เอ๊า! ไอ้เฮียนี่ยังไง?

คนเขาเป็นเพื่อนกันมาดี ๆ มาสร้างความหวาดระแวงซะงั้น

เก้าก็หงอเลย เจอพิกภาคนิ่งสงบ สยบไบโพลาร์จอมหื่น
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Mintny14891 ที่ 16-12-2015 21:52:46
รออออออออ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 16-12-2015 22:09:38
สนุกมากอ่านรวดเดียวจบเลย
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: cinnsin ที่ 16-12-2015 22:26:19
โอ้วววโหววววว... ทำไม๊ทำไมถึงรู้สึกเกลียดซูเนโอะขึ้นมาซะอย่างงั้น...
เล่นกับความรู้สึกคนสนุกมากเหรอห๊ะ?! -_____- *กระโดดถีบ*
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Moose ที่ 16-12-2015 22:33:53
ขอบคุณทีีมาต่อค่า อยากรู้นิสัยที่แท้จริงของอิเฮียจริงๆ ภายนอกดูเหมือนใส แต่ข้างในนี่ร้ายมาก  :hao3:

รอตอนต่อไปนะคะ  :katai2-1:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: whistle ที่ 16-12-2015 23:24:02
อิเฮียนี่คือมาทำให้เรื่องทั้งหมดคลีคลาย? เก้าขาาาาหลงพิกแล้วก็บอกไปตรงๆเลย พฤติกรรมแบบนี้มันยิ่งกว่าชอบแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 17-12-2015 20:03:01
ขอให้อีเฮียผิดแผนแล้วโดนชาญกดแทน  :z3:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: piglet205 ที่ 17-12-2015 20:03:55
โอยดีใจมากอาทิตย์นี้วันสุขมาเร็วกว่าที่คิดดด :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: janeyuya ที่ 17-12-2015 22:38:28
ทำไมเรารู้สึกว่าทั้ง3คนนี่ซึนมาก
จริงๆไม่ต้องอะไรหรอก แค่พยายามรู้ใจตัวเองกันก็พอป่ะวะ *เตะพิก*
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 18-12-2015 10:48:15
อาเฮียเนี่ย เหมือนงูในสวยอีเดนเลย คอนยั่วยู่ให้อีฟแอปเปิ้ล ขอนักเขียนช่วยจัดหาคู่มาข่มอีตานี่ที เอาแบบ ใหญ่ ถึก อึด เอาให้สิ้นลายไปเลย
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: babyblue ที่ 19-12-2015 11:24:21
มาตามอ่านรวดเดียวจนทันแล้ววววววว 

โอ้ยยยย ชอบๆๆๆๆ สงสารชานเน๊าะมาก่อนแท้ๆ แงงงง ได้กับเฮียไปๆๆๆ 5555

แล้วโนบิตะกับไจแอนท์ เมื่อไหร่เขาจะยอมรับใจตัวเองกันซักที  แหม


มาต่อไวๆนะคะ  เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: windwrite ที่ 19-12-2015 12:04:10
โนบิช่วยทำอะไรให้ชัดเจนด้วยค้าบถ้าเกิดซึเนโอะเอาจริงขึ้นมาระหวังอดนะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 19-12-2015 15:30:45


เฮียนี่ก็ขาชงเกิ๊นนนน
งานจะเข้าพิกเอานะคะเฮีย
แถมเก้านี่ก็น่าจะองค์ลงได้ง่าย ๆ
แล้วก็ยังจะไปบิวท์ชาญอีก

เฮ่ออออ ป้าเหนื่อยใจแทนพิกจริง ๆ งานจะเข้าเอานะลูก
ติดตามตอนต่อไปค่ะ  :mew1:

 
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 19-12-2015 16:20:17
รอติดตามตอนต่อไปรู้สึกเหมือนจะหน่วงๆพิกล  o13 o13
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 19-12-2015 20:22:16
เพิ่งมาติดตามแต่ชอบพิกนะ โนบิตะยังไงก้อแพ้ทางไจแอนท์
เที่ยวทะเลครั้งนี้น่าจะรู้ใจตัวเองกัน
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 20-12-2015 11:42:09
เอาจริงๆคือมีสิทธิ์จะจีบหรือจะรักพิกทั้งคู่นะ เพราะยังไม่มีใครบอกเลย เก้าก็เอาอย่างเดียวไม่บอกความในใจอะไรเลย
เอะอะหึง เอะอะหวงของ สั่งอย่างเดียว บางที่ๆไม่ควรทำก็ยังจะทำ อย่างบ้านพิกอ่ะ
คือไม่ใช่ไร เชียร์ชาน ทั้งๆที่รู้ว่าสกิลพระรองแบบนี้ยังไงก็ไม่น่าชนะ แต่ก็เชียร์ 555
คิดว่าถ้าพิกอยู่ด้วยจะสบายใจและได้รับแต่ความอ่อนโยน โอ๋เหมือนแม่กระเตงลูก
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 21-12-2015 17:35:23
เพิ่งมาอ่าน

สนุกมากอ่ะ

โอ้ยชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 15 (16/12/2558) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 23-12-2015 17:38:03

16

GIANT’s PART


หลังจากเล่นน้ำทะเลจนเหนื่อยตัวเปื่อยไปครึ่งค่อนวันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเห็นไอ้โนบิตะถอดเสื้อลงมาเล่นน้ำด้วยกัน แหงล่ะ เพราะถึงแม้ผมกับไอ้เฮีบจะรู้ตัวจริงของมันแล้ว แต่ในที่นี้ก็ยังมีไอ้ชานอีกคนที่ยังมองไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของมัน


“เฮ้ยพิก ส่งถ้วยน้ำจิ้มตรงนั้นให้กูหน่อย”


เสียงโหวกเหวกโวยวายตามประสาคนพูดเบาไม่เป็นอย่างไอ้เฮียดังขึ้นเป็นรอบที่สามบนโต๊ะ เย็นวันนี้พวกเราตกลงกันว่าจะกินมื้อค่ำเป็นกุ้งทะเล และหมึกยักษ์ตัวโต ๆ ให้หนำใจ แกล้มด้วยเบียร์เย็น ๆ ที่ผมกับไอ้ชานขี่มอไซค์ออกไปซื้อด้วยกันจากชาวบ้านในแถบนี้เมื่อตอนบ่าย


“เบียร์ยี่ห้อนี้แม่งต้องแช่เป็นวุ้นนะถึงจะอร่อย...ไว้เดี๋ยวกูพาไปกินเบียร์วุ้นไหมพิก กูรู้จักอยู่ร้านนึง แม่งวุ้นแบบเด้งในปากเลย”


จนถึงตอนนี้ไอ้เฮียก็ยังไม่เลิกแสดงความป๋า มันหันมาให้คำมั่นสัญญากับผมเรื่องเบียร์เสร็จสรรพ ประเด็นคือถามสุขภาพกูซักคำไหม? เดี๋ยวนี้ระบบทาสมันเปลี่ยนผู้นำใหม่แล้ว จากที่ขอแม่ก็ไม่ต้องขอ คือกูต้องเปลี่ยนมาขอไอ้คนที่นั่งหน้าบูดอยู่หน้าจานกุ้งแทน


“ทำไมแดกนักน้อยล่ะวะ” ดูท่าไอ้เฮียจะเป็นห่วงโนบิตะที่เอาแต่มองกุ้งในจาน แต่ส่วนผมเหรอ? พอเห็นอย่างนั้นแล้วก็เหมาไปเองว่า “หรือมึงแกะกุ้งไม่เป็น ?”


 “ครับ....”


,มันตอบออกมาง่ายดายอย่างผิดวิสัย เห็นอย่างนั้นแล้วสัญชาตญาณที่ชอบดูแลชาวบ้านก็เหมือนโดนปลุกให้ตื่นขึ้นทันใด ผมเอื้อมมือไปหยิบกุ้งที่อยู่ในจานรวมมาแกะแล้วส่งไปบรรณาการจานไอ้โนบิตะก่อนจะจับหัวกุ้งดูดโชว์ให้ดูเป็นขวัญตา


“โอโห แกะกุ้งเก่งเว้ย ไหน แกะให้กูบ้างสิ”


“แกะแดกเองไปเลยไอ้เตี้ย  แดกมาจนเปลือกกองเป็นภูเขาแล้วยังบอกให้กูแกะให้อีก”


ผมก็บ่น ๆ ไปตามประสาแหละครับ บ่นเสร็จเงยหน้าขึ้นมาป๊ะเข้าให้กับสายตาของโนบิตะที่มองมาทางนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้


ผมรีบเสหน้าหนีทันที ! อยู่ดี ๆ ใจก็เต้นตึกตักจนเจ็บหน้าอก ความรู้สึกตอนนี้เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจแล้วเขย่าเช็คเหมือนบาร์เทนเดอร์กำลังผสมเครื่องดื่ม เห็นหน้ามันแล้วก็พาลนึกไปถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน...อะไรทำให้เราจูบกันทั้งที่รวนใส่กัน อะไรทำให้ผมกล้าแข็งข้อกับมันทั้ง ๆ ที่มันแยกเขี้ยวแทบจะกินหัวผมได้แล้ว...


อาจจะเป็นเพราะตัวผมเริ่มจะรู้สึก ‘อะไร’ กับมันขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
มันเริ่มชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นมาเมื่อไหร่วะ... เมื่อไหร่ที่ผมคิดว่าตัวเองอาจจะ ‘ชอบ’ มัน
เมื่อไหร่ที่สายตาของมันมีอิทธิพลกับผมขนาดนี้...



เราจบมื้อค่ำด้วยเบียร์เย็น ๆ ที่สั่งเพิ่มมาจากร้านอาหาร ก่อนจะเริ่มมื้อเหล้าด้วยสุรานอกที่เฮียบอกว่าแอบแฮ๊บมาจากกรุเหล้าของแม่มัน นับว่าเป็นบุญปากจริง ๆ ที่ได้ลิ้มรสกรีนเลเบิ้ลกลั้วกับน้ำแข็งเย็น ๆ ในแก้วพลาสติกที่ซื้อมาจากมินิมาร์ทแถวนั้น ถึงจะแลดูไม่ค่อยให้เกียรติเหล้าระดับนี้ แต่มันก็โคตรจะดีกับใจ ผมนี่ตื่นเต้นจนเฮียยิ้มไม่หุบ มันชงแล้วส่งให้ ทำอย่างนั้นจนรู้ตัวอีกทีผมก็ฟาดไปหลายแก้ว มองไปทางโนบิตะที่ดูสบาย ๆ ไม่ตื่นเต้นอะไรเหมือนแล้วกับเหล้าพวกนี้ก็นึกหมั่นไส้  ให้แพงกว่านี้มึงก็คงจะเคยกินมาแล้วสินะ  แค่กรีนเลเบิ้ลสำหรับมันคงธรรมดามาก


พวกเราพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่พักใหญ่ก่อนจะตกลงตัดสินใจเล่นเกมทรูออแดร์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฮียเป็นคนอาสาขอดวดเบียร์ที่เหลืออยู่ค่อนขวดจนหมดเพื่อเอามาเล่นเกม ก่อนพวกเราจะย้ายก้นจากร้านอาหารแล้วเปลี่ยนบรรยากาศเป็นโซนพักผ่อนหน้าซอยเข้าบังกะโลแทนแทน


“เฮ้ย เว้นไว้แก้วนึง ไม่ต้องมิกซ์ ขอเพียว ๆ ให้คนที่เลือกแดร์”


มาถึงเฮียมันก็จัดแจงขอจองที่นั่งข้างขวดเหล้าเพื่อเป็นอาสาคนชง แล้วแหม ที่มึงชงมาให้ ใช้285ด้วยนะคะ อร่อยมากเลยให้ตาย คนอะไรแม่งเก่งจัด สามารถเปลี่ยนเหล้าให้กลายเป็นรสน้ำมันเครื่องก็ได้ด้วย...


ไม่เอากรีนมาเล่นล่ะกูจะแดกให้ยับโดยไม่บ่นสักคำเลย


“ทีหลังไม่ต้องอาสาขอชงเลยนะ ที่มึงชงมานี่...กูไปแดกแฟ้บยังอร่อยกว่า” ผมบ่นอุบ แต่ก็ยังกระดกรวดเดียวหมดเพื่อเป็นการอุ่นเครื่อง


“พูดงี้เสียน้ำใจนะโว้ย...ทำเพื่อนเสียน้ำใจ ปรับแดกเพียวไปเลยคร๊าบ หนึ่งแก้ววว”


พูดไม่ทันขาดคำมันก็ยื่นแก้วเพียวไม่ผสมมิกซ์ห่าอะไรทั้งสิ้นมาตรงหน้า ผมมองลงไปยังมือของมันที่เลื่อนแก้วมา...โอโห นี่มึงกะเอาให้เรื้อนตายคาบ้านพักพรุ่งนี้ไม่ต้องกลับบ้านเลยใช่ไหม !


“หมดแก้ว หมดแก้ว หมดแก้ว”


ไอ้เฮียตะโกนเชียร์นำ ตามด้วยเชี่ยวชาญที่พยักเพยิดหน้าให้ หันไปมองไอ้โนบิตะมันก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่จ้องมาที่ผมแล้วมองผ่านแว่นด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ถูก


ผมกระดกหงส์เพียวรสชาติเหมือนน้ำมันเครื่องรวดเดียวลงคอ มันเจื่อนเสียจนผมต้องเบ้หน้ารีบควานหาแก้วน้ำเปล่าเป็นพัลวัน


“เชี่ยพิก...น้ำ”


“เออ ขอบใจ”


ผมรับแก้วโค้กมาจากไอ้ชานแล้วขอบคุณอย่างขอไปที มันพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือมายีหัวผมเมื่อเห็นว่าผมเอามือปิดจมูกตัวเองแล้วกรอกโค้กลงคออย่างโหดสัส


“แม่ง...จำไว้เลยนะมึง” มีแต่เฮียหัวเราะคิกคักแลดูสนุกสนาน ส่วนผมเหรอ ชี้นิ้วคาดโทษจนแทบจะแยงตามันอยู่แล้ว


“จ้า...แล้วอย่าลืมมาทวงล่ะ”


เออ หัวเราะได้หัวเราะไป เดี๋ยวถึงทีกูเมื่อไหร่พ่อจะเอาให้หัวเราะไม่ออกเลย 


แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้นล่ะครับ  เพราะเมื่อเราเริ่มเล่นเกมกันอย่างจริงจัง ก็ดูเหมือนหวยจะมาออกที่ผมกับไอ้ชานตลอดเวลา แน่นอนว่าพวกเราเลือกแดร์และต้องแดกเหล้าด้วยความบ้าคลั่งเหมือนคนอดอยาก(ทั้งที่ไม่ได้อยาก)อย่างไม่ต้องสงสัย  ไม่รู้เฮียแม่งแอบเล่นของใส่ขวดเบียร์รึเปล่า เห็นมันเอามาเป่า ๆ แล้วค่อยหมุนจากนั้นก็ แป่วววว...ขวดไม่เคยชี้ไปที่มันแม้แต่ครั้งเดียว


“มึงแม่งขี้โกงอะ ทำไมมีแต่กูกับชานที่โดน...อึก...แดกเหล้าวะ”


สติสตังเริ่มหดหายครั้ง ไม่รู้ทำไมตอนนี้ไอ้เฮียถึงได้มีสองหน้าในหนึ่งร่าง แต่ก็นั่นแหละ! คนโกงก็คือคนโกงสิวะ จะมีสองหน้าในหนึ่งร่างยังไงแม่งก็โกงแน่ ๆ ! โกงกันชัด ๆ !


“เอ้า พูดงี้ได้ไง...” เฮียขมวดคิ้วไม่จริงจัง ไอ้เตี้ยนั่นหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าผมเริ่มเอามือตบหน้าตัวเองให้สร่าง “งั้นเอางี้ไหมล่ะ...ให้มึงเป็นคนหมุนบ้าง จะได้ยุติธรรม”


“โอเคงั้นกูแดร์ชาน เก้า มึงด้วย เลือกอะไร”


“กูแดร์” เพื่อนชานยักไหล่


“ผมแดร์ครับ” โนบิตะตอบแบบขอไปที แล้วหันกลับไปมองท้องฟ้ามืด ๆ ด้านนอกอย่างเดิม


“งั้นกูทรู” ไอ้เฮียตอบยิ้ม ๆ


ผมมองเข้าไปในตามันแล้วเห็นแต่ความสนุกสนาน ลงเอยอีแบบนี้โดนโกงอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะงั้นผมจึงรีบยื่นมือออกไปแย่งขวดเบียร์มาไว้ที่ตัวเอง แล้วจับหมุนให้ตีวงประหนึ่งกำลังแข่งเบลเบลด ศึกลูกข่างสะท้านฟ้า!


ขวดเบียร์ยังคงหมุนเป็นวงกลมท่ามกลางเสียงเชียร์ของไอ้เฮีย ไอ้โนบิตะแทบไม่พูดอะไรออกมาเลยนับตั้งแต่เราเริ่มเล่นเกม แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องยืนยันว่ามันยังคงนั่งอยู่ในวงเดียวกับพวกเรานั่นก็คือเหล้าที่พร่องลงไป มันพร่องชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นปริมาณที่มอมตัวเองอย่างเลือดเย็นเลยครับพ่อแม่พี่น้อง


“เย่!!!!!”


และในที่สุดปากขวดเบียร์ก็หมุนช้าลง ช้าลงเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าผมอย่างไม่ต้องสงสัย นาทีนี้เชื่อเถอะว่าถึงเมาก็ยังถลึงตาทำหน้ากระฟัดกระเฟียดใส่สิ่งของไม่มีชีวิตที่โคตรไม่ยุติธรรมตรงหน้าได้


“ไอ้เหี้ย ได้ไงวะ”


ผมตะโกนลั่น ท่ามกลางความเงียบสงบของทะเลตรงหน้าผมได้ยินเสียงตัวเองสะท้อนกลับมาเหมือนกับจะตอกย้ำว่า ‘กูแพ้อีกแล้ว’ ไอ้ปากขวดเบียร์บ้านั่นสารเลว! ทั้ง ๆ ที่มันหมุนขว้างไปอยู่หยุดอยู่ตรงหน้าไอ้เก้าแท้ ๆ แล้วทำไมยังหันกลับมาที่กูอีกกกก


โลกแม่ง! โคตรลำเอียง!!!!


“แน่ะ...เห็นไหมว่ากูไม่ได้โกง” เฮียหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ มันทำท่าจะเทเหล้าเพียว ๆ ใส่แก้วให้ผมกระดกเหมือนหลายเกมที่ผ่านมา แต่แล้วจังหวะที่ลูกกลิ้งกำลังจะแตะลงบนขอบแก้ว ไอ้เตี้ยขี้อวดก็ชะงักมือค้าง “ไม่เอาดีกว่า...กินเหล้ามันง่ายเกินไป อีกอย่างแค่นี้มึงก็มึนจะแย่แล้ว”


“ไอ้สัด...แล้วจะให้ทำไร ก็ไหนตกลงว่าเลือกแดร์แล้วกินอย่างเดียวไง” ผมชี้หน้ามัน ชักจะเกินไปหน่อยละ คิดจะเปลี่ยนกฎก็เปลี่ยนง่าย ๆ งี้เลยหรอวะ


“ก็มันไม่สนุก อีกอย่างแค่นี้มึงก็เมาจนแทบคลานแล้ว คออ่อนยังไม่เจียมบอดี้อีก” เฮียยกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วยกมือขึ้นกอดอก “เอาตามที่กูจะสั่งต่อไปนี้ดีกว่า...”


ใจคอผมเริ่มไม่ค่อยดีละ ตอนที่เห็นมันส่งยิ้มให้เชี่ยชาน ไม่รู้ว่าในใจมันคิดอะไรอยู่ แถมสมองก็มึน ๆ งง ๆ เหมือนมีใครเอานิ้วมากวนจนเนื้อสมองละลายเป็นไอซ์สมูทตี้ แต่ก็นั่นแหละ ตราบใดที่ยังเห็นไอ้เฮียมีสองหน้าในหัวเดียวก็ยังต้องนิ่งเงียบรอมันพิพากษา


“กู...ขอสั่ง” มันเงียบไปอึดใจ คนอื่นทำหน้าเฉย ๆ แต่ผมงี้ลุ้นจนเห็นมันมีสามหน้าแล้ว


“เชี่ยยย พูดมา รีบพูด อย่าให้ทำอะไรทุเรศ ๆ แบบแก้ผ้าลงน้ำนะเว้ย” ผมสวนขึ้นไป ยกมือบีบขมับเพราะนึกภาพตัวเองแก้ผ้าลงน้ำแล้วสยองแปลก ๆ


“เออ ไม่สั่งแบบนั้นหรอกน่า” มันยังคงเล่นตัวด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ “ตื่นเต้นใช่ปะ”


“เออออ เร็วววววววววววว” สัดเด๊ย ผมยกมือขึ้นขยำหัวตัวเอง ในใจมันตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เมื่อเห็นว่าไอ้เฮียหันไปหาเก้าแล้วเลิกคิ้วทำหน้าอ้อล้อ เชี่ยเอ๊ย! ไม่ใช่ว่าจะสั่งให้ผมกับเก้า--


“กูขอสั่งให้มึงจูบกับไอ้ชาน” 


จบคำมันทุกสรรพเสียงก็เงียบลงจนคล้ายว่าผมจะเป็นหูหนวก คือ...แม้แต่เสียงลม เสียงคลื่นทะเลที่ซัดสาดเข้าฝั่งผมยังไม่ได้ยินอะคิดดู แล้วนับประสาอะไรกับไอ้ชานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตอนนี้มันอ้าปากพูดอะไรอยู่ผมยังฟังไม่ออกเลย


“เร็วสิคะพิก แค่จูบเอง...อะไรวะ ป๊อดหรอ”


ได้ยินเสียงไอ้เฮียที่ดังทะลุเข้ามาในโสตประสาทแล้วถึงได้สติ รู้ตัวอีกทีหน้าผมก็โดนดันให้เข้าไปใกล้ไอ้ชานแล้ว ซึ่งดูเหมือนมันจะกำลังตกใจอยู่เหมือนกัน ผมหันไปมองเฮียที่ไม่รู้ว่ามานั่งข้าง ๆ ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ซึ่งไอ้เตี้ยนั่นกำลังยิ้มให้ผมอย่างผู้กำชัยชนะ


“เร็วซี่ กูกับไอ้เก้ารอจนเหงือกจะแห้งอยู่แล้ว”


มันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากแล้วดันหัวผมให้เข้าใกล้ชานยิ่งกว่าเดิม นาทีนั้นผมแอบเห็นแววความไม่มั่นใจจากเพื่อนสนิท สายตาของมันเต็มไปด้วยความลังเล


“เอามือมึงออกไป”


ผมไม่เคยเห็นไอ้ชานพูดกับใครด้วยน้ำเสียงอย่างนี้ ครั้งสุดท้ายคือตอนที่ผมทะเลาะกับไอ้ช้างแล้วมันเข้ามาห้าม แน่นอนว่ามันใช้น้ำเสียงเย็นชาปนหาเรื่องพูดกับเฮีย... ส่วนกับผม มันกลับหรี่ตาลงแล้วถอนหายใจใส่แทน


ใจผมชื้นขึ้นมาอีกนิดเมื่อหันไปมองโนบิตะแล้วมันไม่ได้เบือนหน้าหนีเหมือนตอนที่ได้ยินไอ้เฮียสั่งในทีแรก ไอ้แว่นจืดนั่นมองตรงมานิ่ง ๆ ราวกับกำลังจะวัดใจผมว่าจะผละออกไปให้ห่างชานเมื่อไหร่ แต่ยังไม่ทันจะได้เอนตัวออกห่าง มือใหญ่ของเชี่ยวชาญก็แนบเข้าที่หน้าผมแล้วบังคับให้หันหน้ากลับไปจ้องตากัน


“กูขอโทษนะ...แต่มันเป็นเกม”


จบคำไม่ถึงวินาที ใบหน้าของเพื่อนสนิทก็เคลื่อนเข้ามาใกล้แล้วแนบริมฝีปากแตะกับกลีบปากของผม แน่นอนว่าก้อนเนื้อในอกมันเต้นถี่ราวกับจะหลุดออกมาเด้งนอกอก แต่ที่หนักกว่านั้นคือระหว่างไม่กี่วินาทีก่อนที่เชี่ยวชาญจะผละริมฝีปากออกไป มันก็ยังจ้องกับผมโดยไม่วางตาเลยสักนิด


“เฮ้ย จูบงี้ได้ไง ขี้โกง...จูบกันต้องแลกลิ้นด้วย แลกลิ้น แลกลิ้น แลกลิ้น!”


ผมยังคงนิ่งค้างมองหน้าไอ้ชานด้วยความตกใจ แต่เสี้ยววินาทีแรกเมื่อตั้งตัวได้ผมก็รีบหันไปมองหน้าโนบิตะทันที เรื่องราวมันเหมือนกับวนเข้าลูปเดิมตรงที่เชี่ยวชาญยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกแล้ว แต่คราวนี้มันจับท้ายทอยผมเอาไว้แล้วบดขยี้ริมฝีปากเข้ามาอย่างแรงจนปากผมเผยอ


“อื้อ!” รู้สึกได้ถึงแรงดูดตรงกลีบปากล่างจนต้องร้องประท้วง แต่ใครจะไปคิดว่าอยู่ ๆ มันก็แทรกลิ้นเข้ามาในจังหวะที่ผมเผลออ้าปาก แม่ง เจ็บมุมปากไปหมด ไม่ได้แค่สอดลิ้นเข้ามานะครับ ยังตวัดแล้วดูดปากล่างผมดังจ๊วบอีก


นาทีนี้เสียงเชียร์จากไอ้เฮยเงียบไปแล้ว ส่วนผมน่ะหรอ ยังตกอยู่ในภวังค์แห่งความมึนงง คือไม่รู้ผีห่าซาตานอะไรเข้าสิงไอ้ชาน มันถึงได้จูบผมซะจริงจังจนเจ็บไปหมดอย่างนี้! นี่มันไม่ใช่แค่จูบแล้วโว้ย นี่มันข่มขืนกันทางปากชัด ๆ


“ผมเมาแล้ว ขอตัวนะครับ”


เสียงแว่ว ๆ ของโนบิตะดังขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังมึนเมากับจูบของเพื่อน ไอ้บ้านี่ก็เล็มอย่างกับควายเล็มหญ้า ซึ่งกว่ามันจะผละออกไปได้ หางตาผมก็เห็นไอ้โนบิตะลุกออกไปแล้ว


“เฮ้ย ไปไหนวะ เหล้ายังไม่หมดเลย กลับมา!!!”


ไอ้เฮียตะโกนเรียกตามหลังเก้าที่เดินไกลออกไป ซึ่งจังหวะที่ยังแหกปากอยู่นั้น ไอ้ชานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมก็ผุดลุกขึ้นมาด้วย


“กู...ปวดฉี่ ง่วงแล้วด้วย ไปก่อนนะ”


ไอ้ชานเดินจากไปพร้อมกับความึนงงของผมกับเฮีย  ผมเท285เพียว ๆ ลงแก้วพลาสติกแล้วกระดกลงคอรวดเดียวจนหมด ความรู้สึกคลื่นเหียนตีขึ้นจนต้องโก่งคออ้อกออกมาทั้งที่ไม่มีอะไรจะอ้วก ที่นี่เหลือเพียงผมกับเฮียอยู่แค่สองคน ดังนั้นมือที่เข้ามาลูบไหล่ผมเบา ๆ จึงเป็นมือของไอ้เตี้ยนั่นแทนที่จะเป็นเพื่อนสนิทที่เพิ่งแลกลิ้นกับผมไปหมาด ๆ


“เฮ้ยพิก เบา ๆ โว้ย เดี๋ยวอ้วก”


“ไม่เป็นไร”


ผมพูดเบา ๆ แล้วกระดกน้ำเปล่าตาม  ก่อนจะเทเพียวลงแก้วอีกรอบ


เห็นหน้าไอ้ชานมันเหรอหราเหมือนไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็พอจะทำใจอภัยให้ได้ แต่กับอีกคนนี่ไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไงกับอาการที่มันแสดงออกมาอย่างนั้น คือตอนนี้ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าเก้ากำลังคิดอะไรอยู่ ตั้งแต่เมื่อบ่ายแล้วที่มันทำท่าเหมือนกับไม่สบอารมณ์ผมมาทั้งชีวิต แล้วไหนจะเหตุการณ์ชวนวิตกจริตเมื่อกี้อีก


ถ้ามันโกรธขึ้นมา...


อยู่ดี ๆ ความรู้สึกสับสน ปนน้อยใจก็ตีตื้นขึ้นมาจนอึดอัดไปหมดทั้งอก ผมกระดกเหล้าเข้าปากอีกรอบจนเล็ดออกมามุมปาก อยากอ้วกก็อยาก อยากตะโกนใส่หน้าแม่งก็อยาก... งงไปหมด แม่งเฟลไปหมดทุกทางจนไม่รู้จะคิดเรื่องไหนก่อนดี


รู้อย่างเดียวตอนนี้คืออยากเคลียร์อยากบอก รู้สึกอะไรก็อยากพูดไปซะให้แม่งจบ ๆ ไปสักที !
 

_________________________________________________



กลับมาแล้วค่ะ ไปเชียงใหม่มา
เวลาผ่านไปเร็วมาก แอบตกใจ...ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อเรื่องมาก็มีคนเข้ามาอ่านเพิ่ม 555
หรือจริง ๆ แต่แรกที่ไม่ค่อยมีคนอ่านเพราะไม่รู้ว่าชื่อเรื่องหมายถึงไรหว่า 5555

คิดฮอดทุกคนเน้อ สตอเบอร์รี่เชียงใหม่อร่อยขนาดดดด


เจอกันอีกทีวันศุกร์ค่าาา จะจบแล้วววว อีก 4 ตอนนนนน  :hao5:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 16 (23/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 23-12-2015 21:22:24
พิกไปง้อเก้าด่วนนน  :katai1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 16 (23/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 23-12-2015 22:16:25
ค้างมากกกกกกก
นี่อะไรดลใจให้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ว้าาาา
คือ แบบ ติดงอมแงมมมม
แม่เจ้าโว้ยยย หน่วงเบาๆแฮะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 16 (23/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 23-12-2015 22:18:08
รำคาญเฮีย เร้าหรือจะให้พิกกับชานชอบกันอยู่นั่นแหละ ทั้งๆที่รู้ว่าพิกกับเก้ามีซัมติงกันอยู่ก็ยังพยายาม เพื่ออะไร รำคาญมากๆ

ชานก็ฉวยโอกาสเกินไปหรือเปล่า เข้าใจว่าอยากจะรู้ใจตัวเอง แต่นั่นใช่วิธีที่ควรทำเหรอ

พิก ก็มึนงงต่อไปนะ ต่อให้ไอ้เฮียมันจับแก้ผ้าประเคนชานบนเตียงก็จงไม่รู้ตัวต่อไป

แล้วแบบอยู่ๆ ก็อยากหาเรื่องทะเลาะกับเก้าขึ้นมา อยากเว้นระยะห่าง อยากเลิกหรืออะไรยังไง

ส่วนเก้า ผิดอยู่เรื่องเดียวที่ไม่ยอมพูดไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน นอกนั้นเก้าไม่ผิดอะไรเลย //ใช่จ่ะ เราลำเอียง  :hao3:
สุดท้าย ถ้าพิกยังคิดว่าตัวเองไม่ผิด ทำถูกแล้ว ก็ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้โนบิตะมันบ้าไป
แล้วก็ไปรักกับชานให้จบๆ ไปซะ

หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 16 (23/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-12-2015 22:27:39
ห๊ะ?!

จูบแนบแน่น

เฮียมันร้าย
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 16 (23/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 23-12-2015 22:41:22
อิ๊เฮียใจร้ายยย ชงจนชาญเขว่

เก้าแอบหวงรึป่าวน๊าาาา หุๆ

#สั้นจุง  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 16 (23/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-12-2015 23:12:22
ทำไมเฮียต้องทำงี้ด้วย สงสารน้องเกาของเจ้ ฮืออออ  :hao7: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 16 (23/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 23-12-2015 23:42:26
เฮียนี่ ตัวปัญหาชัดๆ  :ling1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 16 (23/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: babyblue ที่ 23-12-2015 23:56:05
เฮียก็แกินไป๊  จะอะไรขนาดนั้นนนน 
แต่ก็ดีเก้าจะได้ชัดเจนขึ้นหน่อย  ป่ะ?55555 แต่แน่ๆคือชานแห้วละอ่ะ พิกรู้ใจตัวเองละอ่ะ
  โถถถถ ชานเอ๋ยยยยย น่าสงสาร  โอ๋นะๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 16 (23/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 24-12-2015 00:12:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 16 (23/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: PazZ ที่ 24-12-2015 00:17:56
แปะๆ เดี๋ยวมาอ่าน
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 16 (23/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 24-12-2015 02:43:36
หาคนมากดอีเฮียมันหน่อย เริ่มรำคาญมันล่ะ เฮียมันจะชอบเก้ารึเปล่านะ :hao4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 16 (23/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 24-12-2015 08:29:54
รำคาญเฮีย เร้าหรือจะให้พิกกับชานชอบกันอยู่นั่นแหละ ทั้งๆที่รู้ว่าพิกกับเก้ามีซัมติงกันอยู่ก็ยังพยายาม เพื่ออะไร รำคาญมากๆ

ชานก็ฉวยโอกาสเกินไปหรือเปล่า เข้าใจว่าอยากจะรู้ใจตัวเอง แต่นั่นใช่วิธีที่ควรทำเหรอ

พิก ก็มึนงงต่อไปนะ ต่อให้ไอ้เฮียมันจับแก้ผ้าประเคนชานบนเตียงก็จงไม่รู้ตัวต่อไป

แล้วแบบอยู่ๆ ก็อยากหาเรื่องทะเลาะกับเก้าขึ้นมา อยากเว้นระยะห่าง อยากเลิกหรืออะไรยังไง

ส่วนเก้า ผิดอยู่เรื่องเดียวที่ไม่ยอมพูดไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน นอกนั้นเก้าไม่ผิดอะไรเลย //ใช่จ่ะ เราลำเอียง  :hao3:
สุดท้าย ถ้าพิกยังคิดว่าตัวเองไม่ผิด ทำถูกแล้ว ก็ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้โนบิตะมันบ้าไป
แล้วก็ไปรักกับชานให้จบๆ ไปซะ

อะหือ กดไลค์หนักมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 24-12-2015 10:11:22
17
Zuneo’s part


ผมถอนหายใจยาวแล้วทรุดตัวนั่งพิงกับประตูห้อง ...


เหตุการณ์เมื่อครู่ยังคงจำได้ติดตา ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมทำแบบนั้นกับพิก รู้อย่างเดียวคือสัมผัสบางเบานั้นยังคาอยู่ที่ปาก


ก้มลงมองไอ้ตัวน้อยที่หืดพองเต็มกางเกงแล้วถึงกับต้องโขกหัวกับประตูเพื่อเรียกสติ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเอง ‘รู้สึก’ อะไรขึ้นมากับเพื่อนสนิท ไม่อยากยอมรับเลยว่าทำเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหนทั้งที่ไม่ได้เมาอะไรมาก


...ไม่อยากยอมรับตัวเองเลยว่ากำลัง ‘รู้สึกดี’


ปกติจูบปากกับเพื่อน ถ้าไม่ขยะแขยงก็ต้องขำ ๆ หรือเปล่า? แต่กับผมมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย สาบานได้ว่าตอนที่ผมเห็นพิกทำหน้าตกใจ ใจผมก็ตกไปอยู่ตาตุ่มเหมือนกัน... แน่นอนว่าถ้าผมยังเป็นคนปกติดีอยู่ ผมต้องไม่รู้สึกอย่างนี้ แต่นี่ผมกำลังทำอะไรวะ ผมกำลังรู้สึกยังไงวะ ทำไมผมตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าที่ร่างกายมันเป็นอยู่นี่เกิดจากอะไร


ทำไมถึงมีอารมณ์กับเพื่อนตัวเองได้?


ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งที่มือก็รูดซิปปลดตะขอกางเกงไปด้วย ผมประคองไอ้ตัวน้อยที่เต่งจนเส้นเลือดขอดขึ้นมา มองหน้ามันแล้วพูดเสียงแผ่วว่าพ่อขอโทษ ...


นานเกือบครึ่งชั่วโมงที่ผมรูดรั้งแก่นกายตัวเอง จนในที่สุดไอ้ตัวเล็กก็ขับพิษออกมาทางส่วนหัวอย่างเสียไม่ได้ อยากจะบ้า นี่ผมกำลังทำอะไรวะ? ช่วยตัวเองตรงหน้าประตูทางเข้าห้องพักทั้งที่คิดถึงหน้าเพื่อนสนิทตัวอย่างเนี่ยนะ?


ทำเสร็จแล้วก็เพิ่งมาสำนึกผิด สาบานได้ว่าหลังจากนี้คงเข้าหน้าพิกไม่ติดไปอีกหลายวัน  ผมผ่อนลมหายใจออกมาพลางรั้งกางเกงขึ้นแล้วจัดการติดกระดุม แต่ยังไม่ทันจะได้รูดซิปและจัดการกับคราบคาวบนมือตัวเอง เสียงเคาะประตูก็ทำให้ผมต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ


ก๊อก ก๊อก ก๊อก!



“ชานโว้ย ขอเข้าไปหน่อย”


นั่นเสียงเฮีย ... ผมรีบลุกขึ้นจัดการซิปตัวเองอย่างทุลักทุเล สูดลมหายใจเข้าปอดจนซี่โครงบาน ก่อนจะกลั้นใจเปิดประตูออกไป


“มึง...”


แต่แทนที่จะเป็นเฮียตัวคนเดียวอย่างที่คิด ไอ้เตี้ยนั่นกลับพยุงใครอีกคนที่เมาหน้าแดงจนเดินกระเผลกมาด้วย


จะใครซะอีกล่ะ... ก็เจ้าของผิวสีแทนคนที่อยู่ในความคิดผมเมื่อครู่นี้ไง


“หลบโว้ย พิกแม่งหนักชิบหาย!”


เฮียพยุงพิกเข้ามาในห้อง คนตัวเตี้ยที่สุดในห้องทิ้งร่างสูงโปร่งของคนไม่ได้สติลงกับเตียง ก่อนจะลุกขึ้นมาปัดคราบเศษอาหารบนกางเกงที่ใส่อยู่


“แม่ง...มึงหายมาทำเหี้ยไรวะ ทำไมไม่อยู่กับพวกกู....ไอ้ห่านี่ก็...” เฮียพยักเพยิดไปทางพิกที่หลับไม่ได้สติ “พอพวกมึงหายมาแม่งก็แดกอย่างกับจะไม่มีพรุ่งนี้ แดกเพียวเลยนะเว้ย สงสัยจะเขินว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”


ผมขมวดคิ้วมองหน้าเฮียที่ก่อนหน้านี้ยังตีหน้ายุ่ง แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็หัวเราะอย่างชอบใจ ทีแรกมันคงหงุดหงิดที่พิกอ้วกรดกางเกงมัน ถึงจะไม่ได้เลอะเยอะ แต่มันก็เริ่มมองหาทิชชู่ใกล้มือ แต่พอนึกอะไรสนุก ๆ ขึ้นมาได้ มันก็เริ่มยิ้มอย่างพอใจที่อะไรต่อมิอะไรก็เป็นไปตามแผนที่วางไว้หมด


“เอามันออกไป”


ผมพูดเสียงเรียบพลางกดสายตามองลงไปยังคนที่นอนอยู่ พิกกำลังเคี้ยวปากแจ้บ ๆ มือสีแทนนั่นล้วงเข้าไปเกาพุงก่อนจะพลิกตัวเปลี่ยนท่าให้นอนสบายขึ้น


“เฮ้ย ทำไมวะ” เฮียขมวดคิ้ว มันยืนเท้าสะเอวมองหน้าผมอย่างหาเรื่อง “นี่กูอุตส่าห์ช่วยมึงนะเชี่ยชาน”


“เก็บความหวังดีมึงไปเถอะ รีบเอามันออกไปได้แล้ว”


ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วจ้องสบตากับมันอย่างจริงจัง เฮียยกมือขึ้นเกาหัว มันขมวดคิ้วมุ่นยิ่งกว่าเดิม ดูท่าจะไม่เข้าใจว่าผมกำลังเป็นอะไร


ผมก็ไม่รู้เหมือนเองว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมกับอีแค่ทอดสายตาลงไปมองคนที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติถึงได้รู้สึกเหมือนจะบ้าอย่างนี้ ทุกอย่างมันย้อนกลับไปตั้งแต่เหตุการณ์บนเรือ สิ่งที่เฮียพูด รวมถึงสายตาของพิกไหลเวียนมาเป็นภาพแฟลชแบ็ก


ผมไม่รู้อะไรเลยกระทั่งตัวเองก้าวเท้าลงไปทรุดตัวนั่งบนเตียง ประคองพิกที่ไม่ได้สติขึ้นมาแล้วจับมันโถมใส่เฮียทั้งตัว 


“เฮ้ย อะไรของมึงวะ ก็ให้มันนอนกับมึงไม่ได้เหรอไง”


“หุบปากของมึงไปเลยนะเฮีย พอได้แล้ว สนุกพอรึยัง? กูไม่เอาแล้วแผนเหี้ย ๆ ของมึงเนี่ย!  อยากพิสูจน์อะไรก็ทำไปคนเดียวสิวะ ทำไมต้องทำให้กูรู้สึกแย่ที่ทำแบบนั้นกับเพื่อนตัวเองด้วย!”


“มึงพูดอย่างนี้...หรือว่ามึงชอบมันจริง ๆ”


คำถามของเฮียทำให้ผมถึงกับชะงัก น้ำลายที่กลืนลงคอดูเหมือนจะเหนียวหนืดจนน่าหงุดหงิดไปหมด นาทีนี้ผมเย็นไม่ไหวแล้ว นึกอะไรไม่ออกนอกจากต้องระบายความรู้สึกลงกับอะไรสักอย่าง


โครม!


ผมเหวี่ยงเท้าใส่เก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้งจนมันล้มไปกับพื้น เงยหน้าขึ้นมองหน้าเฮียก็เห็นมันเบิกตาด้วยความตกใจ มันคงนึกไม่ถึงหรอกว่าผมจะโมโหขนาดนี้ ถึงได้เม้มปากทำท่าเหมือนพูดอะไรไม่ออกอย่างนั้น


“เฮ้ย...เป็นไรวะ...มึงจริงจังหรอ ใจเย็น ๆ ก่อนเว้ยชาน”


“เย็นเหี้ยอะไรอีก มึงจะให้กูเย็นเหี้ยอะไรอีก!!!”


“ไอ้ชาน...”


“กูไม่เย็นแล้ว! ที่มึงทำมันเกินไปแล้วไอ้เหี้ย! มึงจะสนุกเหี้ยอะไรก็อย่าลากคนอื่นเข้ามายุ่งจะได้ไหม ก่อนหน้านี้ที่กูไม่เคยรู้อะไรมันก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่รึไง แล้วมึงมาทำอย่างนี้ คิดบ้างไหมว่าถ้าเกิดแม่งไม่ได้รู้สึกกับกูเหมือนที่กูรู้สึกกับมันแล้วพวกกูจะเป็นยังไงต่อไป”


“...”


“Kเอ้ย! มึงมัน...มึงมันเหี้ย! กูไม่สงสัยเลยทำไมมึงแม่งไม่มีเพื่อนสักคน... รีบพาพิกออกไปให้พ้นหน้ากูเดี๋ยวนี้เลยนะ เดี๋ยวนี้!”


“เฮ้ย....กู....เออ ๆ เดี๋ยวกูพามันออกไปแล้ว...ใจเย็น ๆ ก่อนนะ


เฮียพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นสีหน้ามันจ๋อยลงไปถนัด แววตาของมันเลิ่กลั่กไปหมด ทุกอย่างบอกเป็นทางอ้อมว่ามันเสียใจกับสิ่งที่ผมพูดไปมื่อครู่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากหันไปตบแก้มเรียกพิกให้ตื่นขึ้นมาแทน ด้านไอ้คนเมาก็ไม่รับรู้อะไรเลยสักอย่าง ได้แต่ไถลลงกับตัวของเฮียต่ำลงเรื่อย ๆ จนลำบากผมต้องเดินเข้าไปพยุงมันขึ้นมาแล้วยกแขนพาดบ่าให้


ไม่ใช่ว่าผมเกลียดพิก แต่สิ่งที่ผมทำกับมันในวันนี้ทำให้ผมไม่สามารถนอนข้าง ๆ มันได้เหมือนเคย สัมผัสที่ควรจะเป็นความเอื้ออาทรระหว่างเพื่อนมันเพี้ยนไปหมด... ขนาดตอนนี้ ตอนที่ผมกำลังช่วยพยุงมันให้ลุกขึ้นจากพื้นยังรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านไปทั่วทั้งตัว


“พามันไปนอนห้องโน้น แล้วคืนนี้มึงนอนกับกู”


ผมยื่นคำขาด นาทีนี้เฮียทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าแล้วยอมรับชะตากรรม ถ้าให้เดามันคงไม่คิดว่าผมจะจริงจังถึงขั้นนี้ แต่ก็รู้เอาไว้เถอะ ว่าเพราะมึงคนเดียวที่ทำให้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด


เพราะมึงคนเดียวที่ทำให้กู....
คิดว่าตัวเอง ‘หลงรัก’ พิกเข้าให้แล้ว


_________________________________________________


NOBITA’s PART


ผมพยายามข่มตานอนท่ามกลางเสียงแอร์ที่ดังหึ่ง เสียงลมหายใจจากตัวเองไม่ทำให้ห้องนี้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายยังทำให้เอาแต่คิดวนเวียนถึงสีหน้าของใครบางคนที่ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสักอย่าง


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งตอนบ่าย แล้วก็เมื่อครู่ทำให้ผมเริ่มคิด อันที่จริงผมก็รู้สึกหงุดหงิดมานานแล้วกับความซื่อบื้อของพิก แต่ก็ไม่คิดว่าจะมากมายถึงขนาดที่ว่ายอมให้เพื่อนจูบปากแล้วยังแลกลิ้นกันอีกต่างหาก


เขาเป็นบ้าอะไรไปแล้ววะ? ในหัวผมเอาแต่วนเวียนอยู่กับคำพูดเหล่านี้ ที่จริงผมไม่ควรรู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ พอยิ่งนึก ยิ่งเห็นภาพพิกขัดขืนผมก็ยิ่งโมโห ทั้งที่ขัดขืนผม ก็ยังยอมให้เชี่ยวชาญล้วงลิ้นเข้ามาในปากเนี่ยนะ?


โคตรงี่เง่า...
งี่เง่าจนทนดูไม่ได้ ต้องเดินออกมาทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่นิสัยของผมเลยแท้ ๆ


ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก



“เก้า...เก้าโว้ยยย อยู่ไหมเนี่ย”


เสียงเคาะประตูบวกกับเสียงตะโกนดังลั่นทำให้ผมขมวดคิ้ว ที่จริงผมกะจะปล่อยให้คนด้านนอกเคาะอย่างนั้นไปถึงเช้า แต่พอนึกถึงคนอื่นที่พักอยู่ห้องข้าง ๆ จะต้องเดือดร้อนกับความไร้มารยาทของเฮียก็จำต้องลุกขึ้นไปเปิดประตูอย่างไม่เต็มใจ


สีหน้าของเฮียดีขึ้นเมื่อเห็นว่าผมยังไม่นอน ผิดกับผมที่ถอนหายใจออกมาอย่างแรงเมื่อเห็นว่าคนที่เขากำลังพยุงอยู่นั้นเป็นใคร


“ยังไม่นอนใช่ไหม”


“เดี๋ยว” ผมยกมือขึ้นขวางทางเฮียแล้วหรี่ตามองเขาอย่างไม่พอใจ “จะทำอะไร”


เฮียห่อไหล หลับตาลง ทำท่าเหมือนกับว่าเหนื่อยแทบขาดใจ “โธ่...ขอร้องล่ะ ให้กูพามันเข้าไปก่อนได้ไหม เดี๋ยวกูจะอธิบายให้ฟัง”


“แต่นี่ไม่ใช่ห้องของเขา”


ผมพูดด้วยน้ำโทนนิ่งพลางมองไปที่คนเมาคอพับ แต่แทนที่เฮียจะทำหน้าสำนึกได้ว่าที่นี่คือห้องนอนของเชี่ยวชาญกับผม เขากลับกัดริมฝีปากเอ่ยออกมาเสียงอ่อนแทน


“ก็ชานมันไม่ยอมนอนกับพิก...แล้วจะให้ทำไงวะ แม่งเพิ่งจะไล่ตะเพิดกูมาเมื้อกี้เนี้ยะ”


“แล้วยังไง? ผมต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำไหมล่ะ?” ผมกลอกตามองเพดาน รู้ทั้งรู้ว่าเฮียนิสัยเป็นอย่างไรแต่ก็ยังไม่วายหงุดหงิดคนไม่ได้สติอยู่ดี


“...”


“พาเขากลับไป” 


“เก้า...”


“เฮีย”


“ถือว่ากูขอร้องแล้วกันนะ ขอร้องนะมึงนะ”


เฮียฉวยโอกาสที่ผมกางแขนขวางประตูจับแขนพิกออกจากไหล่ตนเองแล้วดันหลังอีกคนให้เข้าสู่อ้อมกอดของผมโดยถือวิสาสะ คนเมาไม่ได้สติพอเข้าอยู่ในอกผมก็ร่วงลงกับพื้นโดยเอาหน้าซบต้นขาผมอัติโนมัติ ท่าทางล่อแหลมจนลำบากผมต้องก้มลงไปพยุงไหล่เขาไม่ให้ไหลลงไปนอนกองกับพื้นเสียก่อน


“ฝากดูแลมันด้วยนะ กูจะไปดูชานมันก่อน”


ไม่รอให้ผมพูดอะไรสักคำ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีเฮียก็วิ่งออกไปไกลแล้ว ผมกลอกตามองเพดานแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน เห็นคนเมาคอพับจากทางหางตาเอนตัวซบหน้ากับไหล่ก็ยิ่งโมโห


“อือ....แจ๊บ ๆ ๆ” ปากนี่ก็เคี้ยวอะไรอยู่ได้ มันน่าดึงให้ขาดไปเลยไหม หมอนี่มันยังไงกันแน่ โดนจูบขนาดนั้นยังมีหน้ามานอนหลับสบายใจเฉิบอยู่ได้...


“พิกครับ...พิก”


ผมเรียกเขาเบา ๆ แล้วใช้มือข้างที่ว่างอยู่ตบแก้มเรียกสติ แต่แทนที่พิกจะตื่นขึ้นมาตามแรงตบ เขากลับปั้นหน้ามุ่ยแล้วกระเสือกกระสนดิ้นรนหาที่พักใหม่แทน


“อืม...” 


ผมถอนหายใจ กลอกตามองเพดานเป็นรอบที่ร้อยของวัน อยากจะบ้าตาย พิกไม่ให้ความร่วมมือเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้มันไม่ปกติ ไม่ใช่เพียงแค่เขยิบเข้ามาซุกอกผม แต่เขายังอ้าปากงับเสื้อผมแล้วเคี้ยวเข้าไปด้วย 


“พิก”


ผมกลั้นใจ ตั้งใจจะเรียกเขาให้ตื่นเป็นครั้งสุดท้าย แต่ยังไม่ทันจะได้เลื่อนมือขึ้นไปโยกหัวเรียกเขาอีกรอบ พิกก็ปรือตาขึ้นมามองท่าทางงัวเงีย ริมฝีปากของเขาเผยอน้อย ๆ อีกทั้งใบหน้าคมนั่นยังทำเหมือนกับว่าสับสนเสียเต็มประดา


“...มึง...” 


“...”


“มึงจูบกูทำไมวะชาน”   


ปึก!


หลังของพิกกระแทกกับพื้นทันทีที่ผมลุกขึ้นยืน ในตอนนี้เขายังคงอยู่ในสภาพขดตัวงอเหมือนด้วง แต่ผมไม่สนใจแล้วว่าเขาจะอ้วกรดพื้นหรือเมาจนแทบลุกไม่ไหว รู้เพียงอย่างเดียวว่าในหัวผมเป็นราวกับหม้อไฟ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองขมวดคิ้วแน่นขนาดไหน กระทั่งเดินผ่านกระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้งไปล้มตัวนอนบนเตียง


“อือ...หนาว”


เสียงของพิกที่นอนอยู่หน้าประตูทำให้ผมตัดสินใจลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง แสงสีส้มจากโคมไฟที่ส่องกระทบผิวสีแทนยิ่งทำให้เขาดูน่าเวทนากว่าเดิม ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบรีโมทเพื่อหรี่แอร์ ก่อนจะลากผ้านวมผืนเดียวในห้องไปห่มเขาไว้


พิกขยับตัวเข้าหาผ้านวมแทบจะในทันที นาทีนี้เขาก็แค่ต้องการความอบอุ่นเท่านั้น เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังทำอะไรอยู่  เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ากำลังทำให้คน ๆ นึงโมโหจนแทบจะเป็นบ้าแค่ไหน  เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าที่เขาละเมอเป็นชื่อใคร...นั่นทำให้ผม...


ช่างมันเถอะ...
หลังจากนี้ผมจะช่างมันให้หมดทุกอย่าง   


____________________________________

อ้าววันนี้ไม่ใช่วันศุกร์หรอ 55555
แต่ว ๆ ๆ ๆ สุขสันต์วันคริสมาสต์อีฟค่ะ
จะจบแล้วนะ ฮือ ;_ ;  :z3:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: tookta18515 ที่ 24-12-2015 10:22:23
 :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 24-12-2015 12:53:31
เฮ้อ เฮีย เล่นจนได้เรื่อง  :z6:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 24-12-2015 13:04:05
 :mew1: สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 24-12-2015 13:18:07
ม่ายน้าาาา อย่าเพิ่งจบบบบ

ร่วมโมโหพิกด้วยอีกคน  :katai4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 24-12-2015 15:04:17
ไม่โกรธพิกที่ไม่รู้

แต่เฮียนิสัยเสียมาก ทั้งๆ ที่รู้เรื่องระหว่างเก้ากับพิกยังทำแบบนี้อีก
อย่างที่ชานว่า ทำแบบนี้ถึงไม่มีใครคบ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ํYanika ที่ 24-12-2015 18:19:28
แม่เจ้าา เฮียจิชอบน้องชานรึเปล่าา
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: praewp ที่ 24-12-2015 19:35:31
เก้าชื่อจริงคือเซฮุนหรอคะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 24-12-2015 20:05:44
สมน้ำหน้าเฮีย น่าจะโดนชานด่าหนักกว่านี้
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: kjkjji ที่ 24-12-2015 20:08:03
เรื่องนี้ซึเนโอะน่าสงสารสุดแล้ว ฮืออ
อย่างที่ชานพูดเลยอ่ะ ไม่รู้ตัวก็ดีแล้วแท้ๆ
ให้ชิสุกะดามใจได้มั้ยคะ แอบเห็นเคมีเบาๆ 55555
ตอนอีเฮียจ๋อยนี่แอบสงสารเลยนะ เฮียแม่งนิสัยเด็กอ่ะ เล่นอะไรไม่คิดถึงใจคนอื่นเลย เอาตัวเองสนุกอย่างเดียว ยกให้ชานเถอะ พลีสส
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-12-2015 20:21:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 16 (23/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 24-12-2015 23:06:31
ขอตบเฮียร้อยหนนนนน

เฮียมันเคยมีเรื่องผิดใจกับเก้ามาก่อนใช่ไหมมมมม
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 25-12-2015 00:15:09
เห้ยยยย อุตะ
เรื่องยุ่งอีรุงตุงนังไปหมดแล้ววววว
5555+
เฮียแม่งเทพ เมิงมาคนเดียว ชาวบ้านมั่วหมด555
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-12-2015 02:45:07
เฮียรีบไปเคลียร์กับชานเลย
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Kio ที่ 26-12-2015 18:12:32
เฮียโดนด่าบ้างก็ดีค่ะ เล่นจนได้เรื่อง

ไม่มีใครคอยบอกก็เลยได้ใจ ฝากชานจัดการหน่อยนะคะ  :z3:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: kawaiineko ที่ 26-12-2015 20:53:14
เห็นชื่อเรื่องแล้วชอบเลยอ่ะ  o13
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 26-12-2015 21:11:17
เกลียดเฮีย สมควรที่ไม่มีเพื่อน ไม่สมควร
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 27-12-2015 22:17:59
เฮียรู้อยู่แล้วปะว่าพิกกะเก้ามีซัมติงกัน
ก็ยังไปยุ่งกะชานอีก หงุดหงิดดดด เล่นไม่รู้เรื่อง
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 28-12-2015 17:03:25


ไอ่เฮี่ยยยยยย!! เฮ่ย! ผิด ๆ !!
เอาใหม่! ไอ้เฮียยยยยยย ทำไมทำแบบนี้!!  งานงอกเลยไหม?
แล้วพิกจะโดนอะไรล่ะเนี่ย?

รอติดตามค่ะ
Happy New Year ล่วงหน้านะคะ ^^  :mew1:

หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: mintra ที่ 28-12-2015 23:28:14
 เซียร์พิกก ไม่ต้องสสนใจเก้าาเเล้วว   เก้ายังไม่สนใจพิกเลยยขนาด ตัวตนจริงๆของเก้าาเก้ายังไม่บอกให้พิกรู้เลยย ทีมพิก  ขิวเก้า  หลบทีนเเปป :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 29-12-2015 08:42:19
ฮึ้ยยยยยยย สับสนวุ่นวายเลยทีนี้ โนบิ ชัดเจนได้แล้วมั๊ย???
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 29-12-2015 09:03:09
สมน้ำหน้าไอ้เฮีย ไม่แปลกใจทำไมถึงไม่มีเพื่อนเพราะสันดานของแกคิดแต่ตัวเองสนุกไม่สนใจความรู้สึกคนอื่น
คนประเภทนี้สมควรจะต้องอยู่แบบไม่มีใครเลย
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 29-12-2015 14:36:52
กีสสสสสสส มาแต่งต่อเถิดค่าาาาาา กราบบบบ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 17 (24/12/2558) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 07-01-2016 09:15:32

แวะมาแจ้งข่าวฮะ



เนื่องจากเรื่องนี้อีกสามตอนจบ
ทำให้ช่วงนี้จัดการเรื่องหนังสืออยู่ ;_ ;
ก็เลยจะมาแปลงให้อ่านเป็นเวอร์ชั่นนิยายช้านิดนึงนะคะ


ขอบคุณทุกคนนะ ;_ ; สารภาพตรง ๆ เลยว่าก่อนหน้านี้หายไปนานเพราะท้อและ 555555555555
แต่ขอบคุณคนนึงในกระทู้นี้เลยอะ เขามาเม้น พอมันขึ้นหน้าแรก เรี่ยวแรงที่หายไปก็กลับมาาาาา


แล้วก็ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่สนใจเรื่องนี้นะคะ   
ระหว่างนี้ถ้าคิดถึงก็ไปอ่าน  ♦  เผลอ-ตัว  ♦ (http://♦ เผลอ-ตัว | ch.4 ♦)  ก่อนได้จ้า

แนวนายเอก(หรือพระเอกก็ไม่รู้) แมน ๆ ซึน ๆ ขี้โวยวาย
พระเอก (หรือนายเอกก็ไม่รู้) สุภาพ มีการศึกษา พูดจาไม่หยาบคาย
ประมาณนี้นะฮ๊าฟ  (ทำไมแนวเดิมเลยล่ะ 5555555555555 ช่างเหอะ สนุก ชอบบบบบบบบบบบบบบ)
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ แจ้งความเคลื่อนไหว (07/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 07-01-2016 09:44:48
เฮ้อออออ อีกสามตอนจะจบแล้ว ยังไม่อยากให้จบเลยยยยย เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ ยังรออ่านอยู่ค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ แจ้งความเคลื่อนไหว (07/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 08-01-2016 00:42:53
ชอบเรื่องนี้ เป็นกำลังใจให้นะ
มาต่อวีคละหน เดือนนี้จะได้อ่านตอนจบ ;)
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ แจ้งความเคลื่อนไหว (07/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 08-01-2016 20:36:49
แล้วจะรอค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ แจ้งความเคลื่อนไหว (07/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 08-01-2016 21:54:41
ไม่ได้ตามอ่านมาซักพัก จะจบแล้วเหรอคะ T_T
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ แจ้งความเคลื่อนไหว (07/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: hallowelt ที่ 09-01-2016 01:52:24
ไม่รู้ทำไม อ่านมาถึงตอนนี้แล้วผมยังอยากให้พิกได้เป็นแฟนกับชาญ
ในความเห็นของผม ผมคิดว่า ชาญดูเป็นคนที่ใส่ใจและแคร์พิกมาก  ส่วนเก้านี่เอาแต่ใจ พิกต้องยอมตลอด ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนเห็นแก่ตัว
ยังไงไม่รู้ พอมองพื้นฐานทางอารมณ์แล้ว คู่พิกกับเก้า เหมือนไฟเจอไฟ แต่ถ้าเป็นพิกกับชาญ ผมว่ามันคือความลงตัว...
แต่ยังไงก็เถอะ ทุกอย่างมันคงไม่หนีไปจากที่คาดไว้ พิกเก้า ชัวร์  :serius2:

ทำใจนะชาญ......  เขาเลิกกันเมื่อไหร่ค่อยรอเสียบ o18
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ แจ้งความเคลื่อนไหว (07/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 09-01-2016 03:12:47
วุ่นวายกันไปหมดเพราะมึงคนเดียวเลยไอ้เตี้ย. ชานคิดแบบเดิม ไม่รู้อะไรเลยก็ดีอยู่แล้วปะวะ   :ling1:  อยากตบสักร้อยหน  :katai1: ตอนคิดว่าร้ายลึก สรุปเป็นคนไม่คิดเหี้ยไรต่างหาก

ปล.เป็นกำลังใจให้คนเขียนน้าาา รีบๆกลับมา เดี๋ยวระหว่างนี้ ขอตัวไปอ่านเผลอใจรอพลางนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ แจ้งความเคลื่อนไหว (07/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Moose ที่ 12-01-2016 16:42:01
รอค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ แจ้งความเคลื่อนไหว (07/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 12-01-2016 16:46:47
ใครจะว่าพิกซึนจนน่ารำคาญ แต่เราว่านางก็ต้องนิสัยแบบนี้แหล่ะถึงจะไม่ประสาทกินกับสิ่งที่เก้าทำ
บังคับให้ได้ดั่งใจตลอด เอะอะก็ขู่ เจ้าเล่ห์จอมวางแผน ไม่ทำอะไรให้ชัดเจนก็ต้องโดนคนที่มึนๆไม่คิดมากอย่างนี้ถึงจะป่วนใจคืนได้บ้าง

ส่วนเฮีย น่าจัดผัวให้ซักคนสองนะ จะได้หายซ่าเลิกสอดเรื่องชาวบ้านซักที
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ แจ้งความเคลื่อนไหว (07/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-01-2016 16:54:29
สู้ ๆ นะ
การจัดการให้หนังสือหนึ่งเล่มได้ตีพิมพ์ออกมานี่ไม่ง่ายเลย

เราเคยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ แม้จะมีบทบาทแค่นิดหน่อย แต่ก็ซึ้งเลยว่า มันมีอะไรต้องทำเพียบเลย

หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 18 (12/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 12-01-2016 17:08:26
18
GIANT’s PART



ความแข็งของพื้นที่สัมผัสได้ทำให้ผมรู้สึกปวดระบมไปทั้งหลัง...


แสงไฟที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ต่างทำให้ผมถึงกับต้องหยีตา ม่านหน้าต่างบานที่แหวกออกไม่ได้บอกอะไรมาก แต่ผนังสีชมพูบานเย็นข้างกรอบประตูนั่นบอกว่าผมไม่ได้อยู่ห้องพักของตัวเอง


นานเกือบนาทีที่ได้ยินเสียงลมหายใจของใครบางคนระบายเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ มันเคล้าคลอกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่ฝั่งเดียวกับปลายเท้าผม อ่าใช่... ไอ้พื้นแข็ง ๆ ที่สัมผัสได้ตอนแรก กับผนังห้อง และอะไรหลาย ๆ อย่างรวมถึงเพดานฝ้าเฉลยให้ผมฟังว่าขณะนี้ตนเองกำลังนอนหมดสภาพอยู่บนพื้นที่ไม่ใช่ห้องพักของตัวเอง


ผมยันตัวขึ้นเชื่องช้า พยายามปรับโฟกัสสายตาตัวเองท่ามกลางความมืด เตียงอยู่ไม่ห่างจากตรงที่ผมนั่งมากนัก แต่มันก็ยากเกินที่จะคลานไปนอนบนนั้นขณะที่หัวสมองแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงอย่างนี้


ยอมรับว่ากินไปเยอะ อันที่จริงควรจะไปล้วงคออ้วกให้สร่างด้วยซ้ำ แต่ไม่ไหว สารร่างนี้อ่อนเปลี้ยเกินกว่าจะทำอะไรนอกจากเสือกตัวออกให้ห่างประตู คลานไปไม่กี่คืบก็พบว่าตัวเองนี่โคตรขี้เมาเลย จะปีนขึ้นเตียงไปนอนกับไอ้ชานสักหน่อย แต่ทำไมเห็นเป็นไอ้โนบิตะนอนอยู่แทนวะ   


“ไอ้ชาน... ช่วยกูหน่อย กูขึ้นเตียงไม่ได้” 


ผมคงลืมไปว่าขอแลกห้องกับใคร ถึงได้เกยหน้ากับเตียงแล้วเขย่าแขนคนที่นอนหลับไม่ได้สติอย่างเอาแต่ใจ คิดว่าหยีตาแล้วมองใหม่จะเห็นเป็นใบหน้าของเพื่อนสนิท แต่ที่ไหนได้ ไอ้คนที่ตื่นมากลับเป็นไอ้โนบิตะแทน


“เก้า?”  นาทีนี้ไม่สร่างก็ต้องสร่างแล้วล่ะ! ภาพโนบิตะนอนตะแคงลืมตามองมาชัดแจ๋วเต็มจอขนาดนี้! “มึงมานอนนี่ได้ไง” 


อย่าหาว่าถามอะไรโง่ ๆ ออกไปเลย ถ้าไม่เคยเมาก็คงไม่รู้หรอกว่าคนเราสามารเปิดวาร์ปได้ยามที่สติหาย ผมนั่งเกยหน้ากับเตียงอยู่อย่างนั้นเพราะไม่เห็นมันตอบอะไร และก่อนที่จะได้อ้าปากถามข้อสงสัย เก้าก็ผุดลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว 


“จะนอนใช่ไหม...งั้นก็ขึ้นมาสิ” 


มันเลิกผ้าห่มให้ทั้งที่ผมยังนั่งหน้ามึนอยู่ตรงนั้น ไม่เห็นว่าสายตาของมันที่กำลังจับจ้องมาเป็นยังไงหรอก แต่พอจะเดาได้จากน้ำเสียงว่ามันคงไม่พอใจผมขนาดหนักเลยทีเดียว


“ไม่อะ กู...คิดว่ามึงเป็นไอ้ชาน...ขอโทษที่กวนนะ งั้นกูกลับห้องแล้วกัน”   


รู้สึกได้เลยว่าน้ำเสียงของตัวเองที่ใช้พูดกับมันช่างตะกุกตะกัก แต่ช่างแม่งเหอะ จะให้นอนด้วยกันทั้งที่แม่งกำลังอารมณ์เสียขนาดนี้ก็ดูจะทำร้ายตัวเองเกินไป เกิดไม่พอใจหนักกว่าเดิมแล้วทำแรงใส่ทั้งที่ผมยังเมาอย่างนี้ไม่ต้องระบมก้นกันไปถึงชาติหน้าเลยเหรอวะ


ไม่เห็นว่ามันตอบอะไรออกมาก็ตั้งท่าจะลุกแล้วเชียว แต่พอหยัดตัวขึ้นได้ โนบิตะแม่งก็คว้าหมับเข้าให้ที่แขน แล้วกระชากพรวดเดียวจนถลาไปนอนบนเตียงทั้งตัว


“ไม่ต้อง นอนที่นี่นั่นล่ะ ผมจะไปเอง”   


จบคำมันก็โกยผ้าห่มปิดหน้าผมจนหายใจแทบไม่ออก ไม่ทันจะได้โวยวาย ตีโพยตีพายอะไรอีก ก็ได้ยินเสียงประตูปิดไล่หลังดัง โครม!  ไอ้ห่านี่แม่งอะไรวะเนี่ย! ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ จะหงุดหงิดอะไรนักหนา แค่เห็นหน้ากูก็ถึงกับต้องหงุดหงิดขนาดนั้นเลยรึไง!


พอตั้งตัวได้ ผมก็ลุกขึ้นปัดผ้าห่มออกให้พ้นตัวแล้ววิ่งตามมันออกมาทั้งที่ยังมึนอยู่อย่างนั้น นาทีนี้ถึงสร่างเต็มตาแต่อาการเมาก็ยังมีอยู่... ผมปล่อยไม่ได้หรอก มีอะไรก็ต้องพูดให้มันรู้เรื่องกันไปข้าง ไอ้เหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำก็เหมือนกัน ถ้าไม่พอใจอะไรทำไมไม่แสดงออกมาชัด ๆ วะ ทำไมต้องเดินหนีทำไมปล่อยให้คนอื่นเค้ากระวนกระวายใจจนแทบจะบ้าตายอย่างนี้ด้วย


“ไอ้โนบิตะ...โนบิตะ  ไอ้เก้า!!” 


ผมวิ่งออกมาจากห้องพักตามหลังมันมาติด ๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว แต่ดวงอาทิตย์ดูเหมือนจะเพิ่งโผล่พ้นจากขอบทะเล ท้องฟ้าตอนนี้เป็นสีคล้ายกับตอนพลบค่ำ แตกต่างก็อย่างเดียวตรงที่บริเวณหาดนั้นเงียบสงบจนได้ยินเสียงตะโกนของตัวเองดังก้องไปทั่ว


“ไอ้เก้า! มึง! หยุด!”


ผมยื่นมือออกไปกระชากแขนเสื้อมันให้หยุดเมื่อวิ่งตามจนทัน ซึ่งเก้าก็ชะงักค้างอยู่อย่างนั้นเหมือนกับจะรอให้ผมเป็นคนอ้อมไปหามันเอง


“มึงเป็นอะไรนักหนา ห๊ะ! เป็นอะไร! ไม่อยากเห็นหน้ากูขนาดนั้นเลยรึไง!”


แล้วใครจะอ้อมไปหามันวะ! ถาม! ไม่ใช่ผมแน่ ตอนนี้ผมผลักไหล่มันให้หันหน้ากลับมาหาแทน และด้วยความสูงที่ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ทำให้หน้าของเราอยู่ใกล้กันเกินความจำเป็น บรรยากาศก็ดูเหมือนจะโรแมนติคดีหรอก ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้มันไม่ได้กำลังมองกลับมาด้วยสายตาสุดจะเย็นชา


“ใช่ อยากถามอะไรอีกไหม ถ้าไม่ถามแล้วผมจะไปที่อื่น”

 
“มึงเป็นเหี้ยอะไรวะ มึงกวนทำไมวะ!” 


ไม่มีการเรียนโนบิตะเหมือนเคย นาทีนี้อารมณ์ผมแม่งก็ขึ้นเหมือนกัน ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรนักหนา ทำไมมีอะไรไม่พูดออกมา ทำไมต้องทำให้ผมหงุดหงิดที่ไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่อย่างนี้ด้วย


“ผมไม่ได้กวน พอเถอะ เลิกตะโกนใส่กันแล้วกลับไปนอนเถอะ คุณเมามากนะ”  มันถอนหายใจออกมา มือก็ยกขึ้นเสยผมด้วยความอารมณ์เสีย


“ไม่” ผมโผเข้าไปผลักไหล่มัน ภาพเมื่อตอนกลาวัน ภาพตอนจูบกับไอ้ชานย้อนกลับมาเหมือนกำลังส่องแผ่นฟิล์มเก่า ๆ “หันมาคุยกัน มึงเป็นอะไร ตั้งแต่ตอนมาแล้ว กูทำอะไรผิดมากนักเหรอ มึงกับกูจะพูดกันดี ๆ ไม่ได้เลยใช่ไหม” 


มันเงียบไป... ยิ่งเงียบก็ยิ่งชัดเจนว่ามันโมโหเรื่องอะไร เพียงแต่ในเหตุการณ์นั้นมันก็นั่งอยู่ด้วย มันก็เห็นว่าผมไม่ได้เต็มใจจูบกับไอ้ชาน มันก็เห็นว่าเรื่องทั้งหมดไอ้เฮียเป็นคนสั่ง แล้วทำไมต้องมาทำแบบนี้ ทำไมต้องมาแสดงอารมณ์ทุกอย่าง ตีรวน เททุกอย่างใส่ผมคนเดียวทั้งที่ตัวเองก็เอาแต่สั่งไม่ต่างจากไอ้เฮีย


ผมหอบ...หอบเพราะพูดรัวจนแทบไม่ได้หยุดหายใจ เราสองคนยืนจ้องหน้ากันท่ามกลางแสงดาวที่กำลังจะเลือนหายไปจากท้องฟ้า ไอ้เก้าไม่พูดอะไรนอกจากกลอกตาขึ้นมองด้านบน  ก่อนจะกระชากแขนผมให้เข้าไปใกล้มันยิ่งกว่าเดิม


“สีหน้าคุณมันดูไม่ได้เลย...ยิ่งคุณเป็นแบบนี้ ผมก็ยิ่งสำคัญตัว” 


“...”


“คุณทำเหมือนกับว่ากำลังชอบผม คุณให้ความสำคัญกับคำพูดของผม ยอมโอนอ่อนให้ผม แต่คุณก็ยังไม่รู้จักระวังตัว มันไม่ใช่แค่กับผมหรอก ไม่ว่ากับใครหน้าไหนคุณก็คงทำแบบนี้ ใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นคุณก็คงไม่ยอมให้เชี่ยวชาญจูบอย่างนั้น” ไอ้เก้าพูดเสียงเรียบ ดวงตาของมันแข็งกร้าว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทำให้ผมยั้งปากตัวเองไว้ได้


“กูไม่ได้ยอม มึงก็เห็นว่ากูไม่ได้ยอม” ผมเถียง เริ่มขึ้นเสียงในประโยคสุดท้าย


“แล้วอยู่เฉย ๆ ให้มันจูบทำไมล่ะวะ! ทำไมไม่ผลักออกมา!” 


ผมชะงักปากที่กำลังจะเอ่ยสวนมันทันที เสียงตะโกนของไอ้เก้าดังเสียดหูจนต้องขมวดคิ้วเข้าหากันอัตโนมัติ ใบหน้าของมันเวลานี้บิดเบี้ยวซะจนผมไม่กล้าพูดอะไรออกไป ท่าทางของมันดูหงุดหงิดมากจนต้องหันไประบายอารมณ์กับก้อนหินข้าง ๆ


“เหี้ยเอ้ย!”


ผมได้ยินมันสบถเต็มสองรูหู ไอ้เก้าเตะหินก้อนนั้นแรงจนทรายที่อยู่ล่างเท้าฟุ้งกระจายไปหมด ซึ่งน่าตลกดีที่ดันคิดว่ามันเหมือนกับความรู้สึกของผมตอนนี้


ฟุ้งกระจายไม่มีชิ้นดี 


“กู...ขอโทษ”


พูดไปทั้งที่ก็ยังไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิดอะไร ตลอดเวลาที่ผ่านมามีแต่ผมคนเดียวที่เอาแต่โมโหใส่มัน แต่พอถึงเวลาที่กลายเป็นฝ่ายถูกกระทำขึ้นมาเสือกบ่อน้ำตาตื้น ความรู้สึกอึดอัดที่แน่นในอกทำให้ผมอยากจะร้องไห้ พอนึกย้อนกลับไปแล้วก็พาลให้คิดว่าทำไมตัวเองถึงได้อ่อนแอขนาดนี้


“ขอโทษทำไม พูดออกมาทำไมทั้งที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง!”


มันยังคงตวาดลั่นราวกับว่ากำลังคุยกับคนหูหนวก เสียงน้ำทะเลซัดเข้ามากระทบฝั่งไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น หนำซ้ำ มันยังแย่ลงเมื่อผมปล่อยให้ตัวเองเงียบโดยไม่คิดจะพูดอะไรออกไปสักอย่าง


“...”


“รู้ไหมว่าทำไมผมโมโห ที่ผมโมโหมันก็เพราะว่าคุณนั่นแหละ”


“...”


“ทำไมคุณต้องเป็นอย่างนี้ด้วย ทำไมถึงยอมเขาง่าย ๆ... มันทำให้ผมคิดนะ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่คุณยอมให้ผมมันก็แค่เพราะว่าคุณง่ายอย่างนั้นเองใช่ไหม”


“กูไม่ได้ง่าย! ตอนนั้นกูอาจได้ไม่รู้สึกอย่างนี้...แต่ตอนนี้ที่กูยอมก็แค่เพราะว่า...”


“...”


“เพราะว่ากูชอบมึง” 


 “ไม่ได้ชอบเพราะว่าผมเอาเก่งหรอกเหรอครับ?” มันสวนขึ้นมาทั้งที่ปากก็แย้มยิ้ม ถ้อยคำที่มันพูดเสียดลึกเข้ามาในใจผมอย่างกับมีใครเอามีดมากรีด แถมสีหน้าของมันแสดงออกว่าไม่ได้กำลังล้อเล่น ให้ตายเหอะ แล้วผมก็น้ำตารื้นขึ้นมาเพียงเพราะว่ามันพูดอย่างนั้นกับผมเนี่ยนะ ? เพียงเพราะว่ามันคิดเหี้ย ๆ กับผมอย่างนี้เนี่ยนะ?


ผมหัวเราะออกมาไม่มีเสียง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหน รู้เพียงแต่ว่าไอ้เก้ากำลังใจร้อน ส่วนผมก็เสียใจ...จะมีใครบ้างยิ้มได้วะ ถ้าถูกหาว่าเป็นคนง่าย ทั้ง ๆ ที่เราทั้งคู่ก็เริ่มต้นความสัมพันธ์แบบนี้มาด้วยกัน 


“มึง...คิดได้แค่นี้เหรอ” เหมือนกับว่าจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว... ไม่อยากนึกเลยว่าตัวเองกำลังทำหน้าตาน่าสมเพชแค่ไหน “มึงคิดเหี้ย ๆ แบบนี้กับกูเองเหรอวะ เก้า?” 


ทั้ง ๆ ที่แอบคิดว่าเราใจตรงกัน แต่ทำไมทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่คิดว่ามันก็มีใจให้ผม ที่อ่อยผม ที่ทำทุกอย่างก็เพราะหวงผม ทุกอย่างผมคิดผิดเหรอ มันผิดไปหมดเลยใช่ไหม...เพราะสายตามึงก็เห็นกูเป็นแค่คนเหี้ย ๆ คนนึงที่จะอ้าขาให้ใครก็ได้


รู้สึกเหมือนกับโดนตีแสกหน้าก็ไม่ปาน ทั้งขาของผมมันชาไปหมดจนแทบจะยืนไม่ไหว เสียงอะไรไม่ว่าจะคลื่นซัด หรือลมโบกพลิ้วก็ไม่ได้ผ่านเข้าหูทั้งนั้น ตอนนี้ดวงตาของผมมันคลอไปด้วยน้ำใส ๆ มองเห็นอะไรไม่ชัดเลยสักอย่างกระทั่งไอ้เก้ากำลังชักสีหน้าหรือเปล่าก็ไม่รู้


“...ครับ ผมก็คิดได้แค่นี้แหละ”  พัง...พังไปหมดทั้งความรู้สึก “...แล้วถึงคุณจะชอบผมจริง ๆ เราก็ไปกันไม่รอดหรอก...ดูตัวเองหน่อยพิก อย่าคิดไปเองคนเดียวว่าบอกชอบแล้วก็จบ” 


ผมนิ่งงัน...คำที่มันพูดเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา..


“หนี้ทั้งหมดที่คุณเคยติดผม ผมยกให้”


“...”


“ต่อจากนี้ไป เราสองคนไม่มีอะไรติดค้างต่อกันแล้ว...วางใจเถอะ ผมจะไม่เข้ามายุ่งกับคุณเกินความจำเป็นอีก...แล้วเรื่องที่จ้างคุณทำความสะอาด คุณก็สามารถทำต่อไปได้ เข้ามาทำเวลาที่ผมออกไปทำงานแล้วกัน ผมจะไม่เข้ามาวุ่นวายเวลาคุณทำงาน”


“...”


“อยากจะพูดอะไรอีกไหม?”


“...”


“ถ้าไม่...งั้นผมขอตัว” 


มันคงเห็นว่าผมเงียบนานจนเกินไปถึงได้พูดอย่างนั้น แต่ที่จริงแล้วผมนึกอะไรไม่ออกต่างหาก ได้ยืนค้างเติ่ง ฟังมันพูดทุกอย่างด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เหมือนกับว่ากำลังเล่าเรื่องดินฟ้าอากาศ จากนั้นก็ตั้งท่าจะไป


เชื่อไหม มือผมไม่มีแรงแม้กระทั่งจะยื่นมือออกไปรั้งมันไว้ ไอ้เก้าก้าวฉับผ่านตัวผมไปราวกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้พูดอะไรที่ทำจิตใจใครออกมา น้ำตาของผมมันไหลลงแก้มขณะที่เสี้ยวหน้าของมันพ้นตัวไป ใบหน้าของมันดูเฉยชาซะยิ่งกว่าที่คิดเอาไว้อีก


มันจบแล้วเหรอวะ จบแล้วทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่างเนี่ยนะ? ทำไมเรื่องระหว่างคนสองคนมันแตกหักได้ง่ายขนาดนี้  ทำไมทุกอย่างมันง่ายไปซะหมดเหมือนกับว่าไม่เคยรู้สึกอะไรต่อกันสักอย่าง 


ผมทรุดตัวลงกับพื้นทราย นาทีนี้ยืนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ได้แต่นั่งกอดเข่าซุกหน้าลงกับกางเกง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องร้องไห้ นี่กูอ่อนแอขนาดนี้เลยเหรอวะ หรือว่าที่จริงแล้วผมชอบมันเอามาก ๆ ทั้งที่ไม่เคยรู้ตัวสักนิด


ก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ ผมคงชอบมันมาก มากจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปดูแผ่นหลังของมันไกลลิบออกไปเรื่อย ๆ ครั้งสุดท้ายที่เห็นคือเก้าก้าวเร็ว ๆ ไปแถวทางเข้าที่พัก มันคงไม่อยากเห็นหน้าผมแล้วจริง ๆ ถึงได้รีบเดินขนาดนั้น


ปัญญาอ่อนฉิบหายเลยว่าไหม? นี่ตกลงผมโง่ หรือบ้ากันแน่วะที่ดันไปรู้สึกอะไรกับคนที่เขาไม่ได้รักตัวเอง ทึกทักไปเรื่องว่าเขาคงจะมีใจ แล้วสุดท้ายทุกอย่างก็พังทลายลงเพราะมือของผมเอง... กูนี่แม่งโคตรโง่ งี่เง่าซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับเรื่องแบบนี้แต่ก็ยังไม่รู้จักจำ... ทุเรศตัวเองจริง ๆ สมเพชตัวเองเหลือเกินที่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากร้องไห้เงียบ ๆ คนเดียวอย่างนี้ 


เวลาผ่านไป แสงดาวจากด้านบนลาลับไปพร้อมกับแสงทองสีส้มที่โผล่พ้นขอบฟ้า นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่ผมยังนั่งอยู่ตรงนี้ ทั้งขามันชาไปหมด น้ำตาก็เหือดไปด้วยเพราะลมทะเล 


จะจบอย่างนี้จริง ๆ เหรอวะ...จบทั้งที่กูก็ยังมีหน้าที่ต้องสานต่อกับมันเนี่ยนะ?
ควรต้องทำอะไรสักอย่างไหม? โทรหาแม่ดีไหม? แล้วบอกว่าขอยกเลิกเรื่องทำงานกับไอ้เก้า?


ผมคลำหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง โชคดีที่มันไม่ได้หล่นไปไหนตอนที่ผมวิ่งเป็นบ้าเป็นหลังตามไอ้เก้าออกมา ผมกดเบอร์โทรหาแม่ทันที นึกขอบคุณตัวเองที่ติดนิสัยพกโทรศัพท์ติดตัวไว้ตลอดไม่ว่าจะทำอะไร ไม่เช่นนั้นผมคงต้องเข้าที่พักไปเอา แล้วก็คงจะต้องเห็นหน้าโนบิตะทั้งที่ยังไม่พร้อมอะไรสักอย่าง


“พิก!”


แต่ยังไม่ทันจะได้แนบโทรศัพท์เข้ากับหู เสียงหนึ่งก็เรียกให้ผมต้องหันไปหาทั้งที่มือยังกดเรียกเข้าสายของแม่ ภาพไอ้ชานวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทำให้ผมตัดสินใจกดปุ่มสีแดงเพื่อวางสาย ก่อนจะผุดลุกขึ้นจากทรายแล้วยิ้มให้มันไปทีนึง


“มึงเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรมึง” 


มันถลาเข้ามาจับตัวผมพลิกไปมา ยิ่งเห็นสีหน้ามันร้อนรนผมก็ยิ่งรู้สึกผิด 


“มึงรู้ได้ไงว่ากูอยู่นี่” 


ผมไม่ตอบคำถามมันแต่ถามกลับไปเสียงสั่น ๆ เห็นหน้ามันแล้วจะร้องไห้อีกรอบ รู้สึกแย่ที่โยนความผิดทุกอย่างไปให้มันทั้งที่แม่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม   


“กูนอนไม่หลับเลยออกมาดูดบุหรี่ที่ระเบียง...เห็นโนบิตะมันเดินกลับมาจากข้างนอกก็เลยถามมันว่าอยู่กับมึงหรือเปล่าเพราะตอนแรกกูไปหาที่ห้องแล้วไม่เจอ... มันเลยบอกว่าเมื่อกี้อยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้มึงอยู่คนเดียว”


“...”


“เป็นอะไร...มึงมีเรื่องอะไรบอกกูได้ไหม บอกให้กูฟังได้ไหมวะ” 


เชี่ยวชาญพูดพลางเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ มือของมันไม่ได้แตะต้องร่างกายผมแม้สักส่วน แต่สีหน้าเป็นห่วงเป็นใยจากมันกำลังแตะไปถึงหัวใจของผม...   


“กูไม่ได้เป็นอะไร...กูแค่คิดถึงแม่ เลยโทรหาแม่ไง” 


ผมยกมือถือขึ้นมาแล้วส่งยิ้มโง่ ๆ ให้ สีหน้ามันดูโล่งใจขึ้นมาหน่อยหลังจากที่ได้ฟังผมโกหก ไม่รู้ว่ามันสังเกตเห็นหรือสงสัยอะไรไหม แต่ท่าทางของมันดูจะไม่ใส่ใจอะไรนอกคำที่ผมพูด... รู้สึกแย่ขึ้นมาอีกแล้วที่ต้องโกหกมัน แต่สภาพนี้จะให้พูดออกมาได้ไงว่าเจออะไรมาบ้าง 


“อืม...ไปนั่งคุยกันตรงโน้นดีกว่า” 


ไอ้ชานเปลี่ยนเรื่อง มันชี้ไปทางชายหาดที่มองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นได้ชัดเจนกว่าตรงนี้ เหมือนจะเป็นประโยคเชิญชวน แต่พูดไม่ทันขาดคำมันก็เอื้อมมือมาดึงแขนผมให้เดินไปด้วยกันเสียแล้ว... ก้าวไปไม่กี่ก้าวก็ถึงที่หมาย พวกเราพากันทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นทราย ก่อนมันจะยื่นขาออกไปให้คลื่นน้ำซัดผ่านเข้ามาในกางเกง


“ยืดขาสิมึง ทำไข่เค็มกัน” 


มันพูดแล้วโน้มตัวมาจับขาผมที่นั่งขัดสมาธิอยู่ให้ยืดออก ไอ้ห่านี่ เห็นกูซึมแล้วยังมาทำตลกใส่อีก


“ไข่เค็มพ่อมึงสิ...อยู่งี้นาน ๆ น้ำทะเลกัดไข่เปื่อยพอดี”


เห็นมันยิ้มแล้วก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ยังไม่ทันจะได้โล่งใจ ไอ้ชานก็ถามคำถามที่จี้จุดเข้ากลางใจผมอย่างจัง


“ตกลงว่าเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม...แม่ว่าอะไรมึงหรือเปล่าถึงได้ร้องไห้แบบนี้?”


ที่ถามอย่างนั้นก็เพราะมันรู้ว่าถึงผมจะชอบบ่นเรื่องแม่ แต่ผมก็เป็นลูกแหง่ที่ติดแม่พอสมควร เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเชี่ยวชาญ มันไปบ้านผมทีไรก็เห็นผมยอมให้แม่โขกสับเสมอ มันรู้ดีที่สุดว่าผมคิดอะไร รักแม่แค่ไหน...


แต่ขอโทษว่ะ...ที่จริง กูไม่ได้คิดเรื่องแม่เลย
ขอโทษนะ...


“กู...ไม่มีอะไรหรอก เขาก็แค่พูดจาไม่ดีกับกู”


“ไม่เป็นไรนะมึง...กลับไปก็ไปคุยกันดี ๆ แม่เขาไม่ได้โกรธอะไรมึงนักหนาหรอก เขาอาจจะแค่หงุดหงิดไม่พอใจมึง แล้วบังเอิญมีเรื่องอื่นเข้ามาแทรกเลยทำให้เขาพูดจาแย่ ๆ กับมึง” 


“....” 


“ไม่เป็นไรนะ กูอยู่ข้าง ๆ มึงนี่ไง ไม่เป็นไร...เดี๋ยวแม่ก็หายโกรธมึงเองแหละ” 


ผมนี่โคตรเหี้ยเลย....โกหกไปตามเรื่องตามราวทั้งที่ไอ้ชานมันเป็นห่วงขนาดนี้ พูดถึงแม่แต่ในหัวดันมีแต่หน้าไอ้เก้า โคตรรู้สึกแย่เลย ยิ่งพูด ยิ่งนึกถึง ก็ยิ่งเห็นสีหน้าของมันชัดขึ้น ทุกอย่างชัดเจนไปหมดแม้กระทั่งตอนที่มันบอกว่าผมแม่งโคตรง่าย...


เหี้ยเอ้ย...ทำไมบ่อน้ำตาตื้นขนาดนี้ ผมกลั้นไม่ไหวแล้ว สุดท้าย...พอมองหน้าไอ้ชานที่จ้องกลับมาด้วยความเป็นห่วงก็ร้องไห้ออกมาอีกระลอก ร้องจนปวดคอไปหมด หนักใจที่ต้องกลั้นก้อนสะอึกมากมาย พยายามไม่ให้คนข้าง ๆ ต้องรับภาระมากไปกว่าการปลอบใจ เชี่ยวชาญไม่จำเป็นต้องมารับรู้เรื่องอะไรอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องอดหลับอดนอนออกมานั่งตากยุง เพื่อฟังผมโกหกแล้วบอกผมว่าไม่เป็นไร...


บางทีถ้ามึงปล่อยกูไว้ กูอาจจะหยุดคิดเรื่องนี้ไปแล้ว... แต่มันก็ยังดึงดันที่จะอยู่เป็นเพื่อนผม เราสองคนนั่งจ้องไอ้ลูกกลม ๆ สีแดงจนมันลอยขึ้นเหนือผิวน้ำสูงขึ้นมาอีกหน่อยโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ


ผมได้แต่ก้มหน้า มองตักตัวเองแล้วปล่อยให้น้ำในตามันเหือดไปเอง ไม่รู้ว่าวิธีนี้จะช่วยได้บ้างไหม แต่ผมไม่อยากร้องไห้อีกแล้ว แม่งปวดตาชิบหาย


“มึง...มึง” มันกระซิบเรียกชื่อผมแผ่วเบาหลังจากเงียบปากไปนาน เรียกอย่างเดียวไม่พอยังเอื้อมมือมาสะกิดไหล่ผมยิก ๆ  “เงยหน้าขึ้นสิ” 


ผมไม่ขานรับ แต่ยอมเงยหน้าขึ้นจากตักตามที่มันบอก เห็นดวงกลม ๆ สีส้มเข้มไกลลิบลอยอยู่ตรงหน้าถึงได้หันไปมองเสี้ยวหน้าของมันที่ทอดสายตาไปยังที่ตรงนั้น


“มึงดูพระอาทิตย์สิ” 


“อืม” 


“มึงเห็นไหมว่ามันเป็นสีอะไร”


“อืม”


“แต่จริง ๆ มันไม่ใช่สีนี้ มึงรู้ใช่ปะ” 


“อืม...” ผมยังคงครางอยู่ในลำคอ ไม่คิดจะพูดอะไรได้แต่ปล่อยให้มันเพ้อเจ้อไปตามประสา


“มันจะเป็นสีนี้แค่เฉพาะเวลาขึ้นกับตก...ส่วนมากไม่ค่อยมีใครสนใจแม่งหรอก ใครจะถ่อสังขารตื่นมาดูพระอาทิตย์ทุกวัน นอกจากเห็นมันตอนเที่ยง จริงปะ”


“อือ” เชี่ยนี่พล่ามอะไรวะ คนกำลังเศร้าชักเริ่มจะหมดฟิลแล้ว


“แต่วันนี้กูเห็นมันว่ะ” ผมหันไปมองดวงอาทิตย์นั่น มันเป็นขณะเดียวกันกับที่หางตาผมเห็นไอ้ชานหันกลับมามองตัวผมเอง ก่อนมือซ้ายของมันที่เคยเท้าด้านหลังเอาไว้ค่อย ๆ เลื่อนมากุมมือผมที่แปะกับพื้นทรายข้าง ๆ


“...” ผมก้มลงมองมือมันที่แปะอยู่บนมือผม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับมัน


“จะเป็นอะไรไหมวะ...ถ้ากูขอเห็นมันได้แค่คนเดียว?”



_____________________________________________________


พระรองนี่มันพระรองจริง ๆ
เฮ่อออออออออออออออออออออออออออออ


ไอ้เฮีย...แกจะชดใช้ยังไง บอกมาาาาาาา ;_ ;
*เขย่าคอเฮีย*   :z6:

หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 18 (12/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: windwrite ที่ 12-01-2016 18:06:56
รักคนใจร้ายก้งี้พิกเอ้ย ชานจับไอ้เฮียตุ๋ยแม่ง
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 18 (12/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 12-01-2016 18:28:41
สงสารพิก  :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 18 (12/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 12-01-2016 18:50:15
ความเห็นเดียวกับข้างบน อุ่ย! สงสารพิกแต่ถ้าเราเป็นเก้าเราก็เคืองนะ เอาใจช่วยทั้งคู่และขอให้พระรองได้นางเอกของตัวเองไวๆนะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 18 (12/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: piglet205 ที่ 12-01-2016 19:45:42
สงสารไจแอนท์ โนบิตะใจร้ายมาก :o12:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 18 (12/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 12-01-2016 19:52:19
ไอ้เก้า ไอ้เฮีย 2ตัวนี้สมควรถูกมัดรวมกันแล้วเฆี่ยนด้วยหวายอาคม
 :z6:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 18 (12/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 12-01-2016 20:13:48
สงสารพิกจัง
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 18 (12/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: iammilk ที่ 12-01-2016 20:19:38
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 18 (12/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: janeyuya ที่ 12-01-2016 20:53:58
น้องเก้าปากหมามากค่ะลูก *กระโดดถีบขาคู่*
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 18 (12/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 12-01-2016 21:15:53
สงสารพิกอ่ะทำไมเก้าใจร้ายแบบนี้อ่ะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 18 (12/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-01-2016 21:31:15
เฮียยยยยยย เลวร้ายมาก!

เก้าปากร้ายที่สุด!
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 18 (12/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-01-2016 21:32:36
 :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 18 (12/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 12-01-2016 21:45:02
ไอ้โนบิตะใจร้าย :m16:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 18 (12/01/16) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 13-01-2016 10:47:18
19
SP : next station
NOBITA’s PART


พิกทำให้ผมโมโห...


อันที่จริงผมไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดใครขนาดนี้มาก่อน นอกจากเวลาที่ลูกน้องทำอะไรผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย ผมไม่ใช่คนที่จะแสดงอารมณ์อย่างนี้กับใครหากเขาไม่ได้ทำผิดอะไร ดังนั้นพิกจึงเป็นคนแรกที่ได้เห็นผมในสภาพทุเรศแบบนี้


“กูไม่ได้ง่าย! ตอนนั้นกูอาจได้ไม่รู้สึกอย่างนี้...แต่ตอนนี้ที่กูยอมก็แค่เพราะว่า...”


 “...”


“เพราะว่ากูชอบมึง” 


“ไม่ได้ชอบเพราะว่าผมเอาเก่งหรอกเหรอครับ?”



ผมสวนกลับไปทันทีโดยไม่คิด คำพูดของเขาทำให้ผมสับสนอย่างมาก แน่ล่ะ พิกทำให้ผมคิดว่าเขาคงจะชอบผมขึ้นมาจริง ๆ ถ้าหากภาพที่เชี่ยวชาญจูบพิกวันนี้ไม่ได้ผุดขึ้นมาก่อน


ผมไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจว่าทำไมพิกถึงได้น่าหมั่นไส้นัก เขาทำให้ผมเกือบจะเป็นบ้าไปแล้วตอนที่เขาละเมอชื่อเชี่ยวชาญออกมา นั่นแสดงให้เห็นว่าทุกขณะความคิดของเขาแม้แต่ตอนที่หลับก็ยังมีแต่เชี่ยวชาญ... แล้วมันน่าขำไหม? กับที่เขามาตะโกนใส่หน้าว่าชอบผมทั้งที่เขาไม่ได้นึกถึงผมเลยแม้แต่น้อย


ผมไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้
ไม่ชอบอะไรที่ตัวเองควบคุมไม่ได้...


“มึง...คิดได้แค่นี้เหรอ...มึงคิดเหี้ย ๆ แบบนี้กับกูเองเหรอวะ ไอ้เก้า?” 


พิกพูดตัดพ้อ ยิ่งเห็นสีหน้าของเขาทำเหมือนกับว่าจะร้องไห้ ก็ยิ่งโมโห ทำไมกันนะ? ผมไม่เข้าใจอะไรเลย ทำไมเขาถึงได้มีอิทธิพลเหนือความคิดของผมขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เขากล่าวหาว่าผมคิดเหี้ย ๆ กับเขาแบบนั้น


วินาทีที่เขาพูดว่า ‘ชอบ’ ออกมาเพราะทนไม่ไหวมันทำให้ผมใจกระตุก ตอนที่เขาร้องไห้ออกมามันทำให้ผมอยากเข้าไปกอดเขา แต่พอนึกถึงหน้าเชี่ยวชาญ กับสิ่งที่เฮียพูดเอาไว้ผมก็เริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมา


หากลองย้อนมองมาที่พื้นฐานนิสัยจริง ๆ ของเราทั้งคู่ แน่นอนว่าเราไปกันไม่ได้เลย...มันดูไม่มีอนาคต อันที่จริงผมไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของเพศแม้แต่น้อย แต่เพราะนิสัยของเขาเป็นอย่างนี้ มึนงง ไม่รับรู้อะไรสักอย่างแม้กระทั่งมีเพื่อนมาหลงรักตัวเองก็ยังไม่รู้นี่มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าจะทนไม่ได้อยู่ตลอดเวลา ใช่ ผมยอมรับว่าคิดเหี้ย ๆ กับเขา...ตอนนี้ผมไม่มั่นใจอะไรเลยสักอย่าง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเดินออกไปทำไมในตอนนั้น? ไม่รู้ว่าทำไมต้องหงุดหงิดจนต้องระบายอารมณ์กับอะไรสักอย่างทั้งที่ตัวเองไม่เคยเป็นแบบนี้   


ผมบอกแล้วว่าไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้


ดังนั้นผมจึงพยายามไล่เขาออกไปจากหัวสมอง ผมพยายามจะไม่สนใจ แม้ว่าเขากำลังร้องไห้ทั้งที่ปกติแสดงแต่ท่าทีแข็งกร้าว... วันนี้ผมไม่เห็นตัวไจแอนท์ในร่างของเขา ไม่เห็นอะไรเลยที่ทำให้ผมรู้สึกพอใจกับการแกล้งเขา ไม่เห็นอะไรเลยในหัวตัวเองนอกจากน้ำตาของเขา


ผมไม่อยากใจอ่อน... ไม่อยากเป็นคนใจดีแล้ววันหนึ่งต้องตื่นขึ้นมาพบว่าแท้จริงแล้วพิกไม่ได้ชอบผมจริง ๆ ผมอยู่กับครอบครัวจอมปลอมมานาน คำว่ารัก หรือ ชอบมันเป็นอะไรที่ผิวเผินมาก สำหรับพ่อของผม คำเหล่านี้ไว้ใช้เพียงให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ แล้วมันผิดหรือ ถ้าหากผมจะมองว่าพิกแค่กำลังอินที่เรามีสามารถเซ็กส์กันในเวลาที่ทั้งคู่ต่างก็มีอารมณ์...


“...ครับ ผมก็คิดได้แค่นี้แหละ” ผมมองเข้าไปในดวงตาของพิก เวลานี้มันรื้นไปด้วยน้ำตาจนทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับจะเสียสูญได้ตลอดเวลาหากสบตากับเขาเกินนาที “...แล้วถึงคุณจะชอบผมจริง ๆ เราก็ไปกันไม่รอดหรอก...ดูตัวเองหน่อยเถอะพิก อย่าคิดไปเองคนเดียวว่าแค่บอกชอบแล้วทุกอย่างก็จบ”

 
ผมสังเกตมานานแล้ว ไม่ใช่แค่ตอนที่เฮียพูด เพียงแต่ว่าคำพูดเหล่านั้นเข้ามากระตุ้นผมให้คิดลึกลงไปอีกนิด ในสายตาของผม เชี่ยวชาญช่างเป็นคนดี ถึงแม้เขาไม่มีใคร แต่คนสำคัญเพียงคนเดียวที่อยู่ข้างเขามาตลอดคือพิก...ความสัมพันธ์แบบนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยมี และคิดว่าการผูกพันธ์แบบนี้สามารถพัฒนาไปเป็นความรักได้...


พิกควรจะรักกับเชี่ยวชาญมากกว่าผม...


มันไม่ใช่ความคิดแบบพระเอก เพียงแต่ว่าผมเห็นสัดส่วนที่ลงตัวสำหรับคนสองคน พิกไม่ได้ชอบผมจริง ๆ หรอก ที่เขาเป็นอย่างนี้ก็เพียงเพราะว่าผมเป็นผู้ชายคนแรกของเขา ซึ่งถ้ามองกลับกัน หากเชี่ยวชาญได้เป็นคนแรกของพิก...เขาก็คงจะชอบเชี่ยวชาญนั่นแหละ 


แย่จริง ๆ ที่เอาแต่คิดแบบนี้
นั่นก็เพราะว่าผมไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลยสักอย่าง


“หนี้ทั้งหมดที่คุณเคยติดผม ผมยกให้ ต่อจากนี้ไป เราสองคนไม่มีอะไรติดค้างต่อกันแล้ว...วางใจเถอะ ผมจะไม่เข้ามายุ่งกับคุณเกินความจำเป็นอีก...แล้วเรื่องที่จ้างคุณทำความสะอาด คุณก็สามารถทำต่อไปได้ เข้ามาทำเวลาที่ผมออกไปทำงานแล้วกัน ผมจะไม่เข้ามาวุ่นวายเวลาคุณทำงาน”


ผมรู้ว่าตัวเองกำลังพาล เหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ  ที่กำลังระบายอารมณ์ออกมาด้วยการตะโกนใส่หน้าใครก็ตามยามที่ไม่ได้ของเล่น ส่วนพิกได้แต่เงียบ เงียบทั้งที่เขาควรจะตะโกนใส่หน้าผมว่า ‘ไอ้เหี้ย’ ด้วยซ้ำ


“อยากจะพูดอะไรอีกไหม? ถ้าไม่...งั้นผมขอตัว” 


ยิ่งเขาไม่ตอบโต้อะไรผมยิ่งรู้สึกแย่...แน่นอนว่าเราทั้งคู่รู้สึกแย่ แต่ตอนนี้ผมคงแย่กว่าที่นึกอยากจะดึงเขาเข้ามากอดเอาไว้แล้วไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น แต่ผมทำไม่ได้ ผมยืนตรงนี้ไม่ได้ ทนมองเขาร้องไห้เพราะความสัมพันธ์บ้าบอแบบนี้ของเราไม่ได้... นานเกือบนาทีที่พิกเงียบไป และเวลาเหล่านั้นทำให้ผมตัดสินใจได้ว่าควรจบเรื่องนี้ด้วยตัวผมเอง


ผมเดินออกมาจากตรงนั้น รีบสาวเท้าก้าวออกมาทั้งที่รู้ว่ายังเขายืนร้องไห้อยู่ข้างหลัง ผมผิดเองที่เป็นคนเริ่ม และมันควรจะจบลงตรงนี้ด้วยมือของผมเอง





“เฮ้ย โนบิตะ! เห็นไอ้พิกไหมวะ กูหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ”


ผมเดินมาถึงโซนบ้านพักก็เห็นเชี่ยวชาญนั่งเหม่อลอยคาบบุหรี่อยู่บนเชิงระเบียงหน้าห้องของเขา อันที่จริงตั้งใจจะเดินผ่านไปโดยไม่ทักทาย แต่เจ้าของเสียงทุ้มนั้นก็เรียกให้ผมต้องชะงักเท้าเสียก่อน


“...อยู่ที่หาดครับ”


ผมตอบออกไปตามสัตย์จริง มองเขาทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นทันทีที่รู้ว่าพิกอยู่ไหนด้วยความรู้สึกแปลกๆ เชี่ยวชาญกำลังลุกออกจากระเบียง แล้วตรงมาหาผม


“หาดแถวไหน ไปคนเดียวเนี่ยนะ?”


ผมพยักหน้าเป็นคำตอบขณะที่เชี่ยวชาญวิ่งเหยาะ ๆ มาถึงตัว สีหน้าของเขาดูตกใจไม่น้อยเมื่อทราบว่าเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวกำลังอยู่ตามลำพัง


“ครับ อยู่ที่หน้า--”


“ขอบใจมึงมาก”


เชี่ยวชาญไม่รอให้ผมพูดจบด้วยซ้ำ เขายื่นมือมาแตะที่ไหล่ผมแล้ววิ่งสวนออกไปทันทีที่ตั้งสติได้ อันที่จริงควรจะบอกว่าเขาวิ่งไม่คิดชีวิตด้วยซ้ำเมื่อรู้ว่าพิกอยู่ที่ไหน ซึ่งสิ่งที่เขาทำให้พิก มันทำให้ผมคิดว่าตลกดีนะ... ตลกดีจริง ๆ ที่ตอนนี้หัวใจของผมมันเหมือนกับโดนบีบรัดจากมือที่มองไม่เห็น


มันดีแล้ว...เหรอ?
ดีแล้วใช่ไหม หากคนที่ดูแลพิกจะเป็นเชี่ยวชาญ...ไม่ใช่ผม


________________________________________


มาฝากถามในนี้ พอดีมีคนมาถามเรื่องหนังสือว่าจะทำเป็นเวอร์ชั่นวายไทยไหม
ไอ้ตัวเราก็ชั่งใจอยู่เหมือนกัน เพราะหนังสือเพิ่งทำเล่มเสร็จไป (เวอร์ชั่นฟิคที่ช้าโคตร ๆ แต่ตอนนี้กำลังส่งแล้วแฮ่ โล่งใจไป)

แต่ถ้าทำเล่มเดียวมันก็ไม่คุ้มอ่า เลยอยากถามคนในนี้ว่ามีใครอยากได้เล่ม NOBI เวอร์ชั่นเล้าไหมคะ
ถ้าเกิน 10 คนเราจะทำให้ ระยะเวลาที่จะได้ของ ภายใน 10 วันหลังโอนเงินค่ะ T_T
(ขอเวลาแปลงชื่อ กับสถานที่และบางวัฒธรรม ส่งโรงพิมพ์ 7 วัน)

เดี๋ยวพรุ่งนี้กิมได้ตัวเล่มมาแล้วจะถ่ายรูปให้ลองดูเพื่อประกอบการตัดสินใจเนอะ (พร้อมตอน 20)

อันนี้เป็นตัวอย่างรูปภาพในเล่ม
ถามก่อนเฉย ๆ เนอะยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร

(http://upic.me/i/k0/nobi1.jpg)
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 19 (13/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: piglet205 ที่ 13-01-2016 11:59:14
อยากได้เวอร์ชั่นเล้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 19 (13/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: parn11 ที่ 13-01-2016 12:59:34
ติดตามนะค้าาา เป็นกำลังใจให้ค่า
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 19 (13/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 13-01-2016 14:05:06
เก้านายงี่เง่าง่ะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 19 (13/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 13-01-2016 15:56:14
 :hao4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 19 (13/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: iammilk ที่ 13-01-2016 18:43:25
ยอมรับในการตัดสินใจของโนบิตะนะ
แต่จะบอกว่ามันไม่ดี
สุดท้ายคนที่จะเสียใจที่สุดอาจเป็นนายก็ได้
เราเข้าใจนะ น้ำตามาาาาาาาาาาา งื้อ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 19 (13/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: enjoy0189 ที่ 13-01-2016 21:22:27
 อยากได้เวอร์ชั่นเล้าค่ะ :mew3:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 19 (13/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: rk ที่ 13-01-2016 22:17:52
ชอบอะ อ่านรวดเดียวเลย
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 19 (13/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 14-01-2016 00:35:57
คิดว่าที่เก้าพูดแบบนี้ทำแบบนี้อาจทำให้พิกเข้าใจอะไรมากขึ้น
เข้าใจความรู้สึกตัวเองก็ดีแล้วแต่อย่าประชดกันเลยนะ ไม่มีใครมีความสุขหรอก
ชานเป็นคนดีสมกับบทพระรอง แต่เป็นได้แค่พระรองนะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 19 (13/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 14-01-2016 01:56:19
บีบหัวใจมากกก
จริงๆการเสียสละให้คนอื่นดูไม่ใช่โนบิตะเลยนะคะ 55
มันต้องแย่งมา อยากได้ก็อยากได้สิ แต่ก็นะ เพราะชอบมั้งก็เลยยอมเสียไป
รอโนบิตะมาทวงบัลลังก์คืนนนน

เรื่องของหนังสือ อยากเห็นรูปเล่มจังค่า
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 19 (13/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 14-01-2016 12:05:56
โนบิตะใจร้ายยยย
ยังไม่รู้ใจตัวเองอีก
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 19 (13/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 14-01-2016 14:49:37
โนบิตะใจร้ายไปป่ะ ? ไจแอนซ์มาชอบซุเนโอะที่แสนดี ดีกว่านะ เชียร์พระรองคะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 19 (13/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 16-01-2016 21:14:56
20
NOBI NOBI | GIANT



GIANT’s PART



หลังจากเช้าวันนั้น... พวกเราทั้งสี่คนก็เตรียมตัวออกจากเกาะด้วยบรรยากาศอึมครึม


ผมสังเกตว่าตัวเองพูดน้อยลง ในขณะที่ไอ้เฮียพูดมากขึ้น(แต่ไม่มีใครฟัง) ไอ้เก้าไม่พูดอะไรกับใคร ในขณะที่ไอ้ชานก็เอาแต่จ้องหน้าผม  ทุกอย่างมันดูน่าอึดอัดไปหมดจนกระทั่งพวกเราตกลงแยกย้ายกันที่ท่าเรือ


เป็นความโล่งใจ ที่โคตรบีบหัวใจ...


สรุปวันนั้นไอ้เฮียก็กลับเองเพราะแม่มารับ ส่วนไอ้เก้าขอแยกตัวกลับก่อนทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำตามแพลนที่ว่าจะไปหาร้านอร่อยกินกันก่อนกลับ จึงเหลือแค่ผมกับไอ้ชานที่ต้องกลับด้วยกันสองคนโดยที่ไอ้ชานเอาแต่เล่ามุกตลกโง่ ๆ ไปตลอดทาง ซึ่งนั่นก็ดี มันทำให้ผมไม่ต้องรู้สึกอึดอัดมาก แต่ถามว่าใจหวิวไหม? ก็ใช่...เพราะผมรู้แล้วว่าเรื่องราวต่อจากนี้ไป มันคืออะไร


ผมไม่สามารถมองหน้าโนบิตะได้อีกแล้ว


เรื่องแบบนี้ไม่เจอกับตัวเองคงไม่รู้สึก เรื่องราวของคนที่โดนหักอกซึ่ง ๆ หน้า ทั้งที่มั่นใจเหลือเกินว่าเขาชอบตัวเองนี่เจ็บมาก เมื่อก่อนผมเอาแต่ถามตัวเองตอนดูซีรี่ส์ว่าทำไมนางเอกมันต้องร้องไห้แทบขาดใจตอนที่พระเอกบอกเลิก หรือขอห่าง แต่วันนี้พอได้มีประสบการณ์ถึงได้รู้... ว่าแม่งเจ็บจริง ๆ 


Rrrrr RRrrrr


เสียงริงโทนที่ดังขึ้นเรียกให้ผมตื่นจากความคิดแล้วย้อนกลับมาที่ห้องนอนของตัวเองอีกครั้ง เพราะวันนี้เป็นวันหยุดยาววันสุดท้ายก่อนเปิดเรียนจึงทำให้ผมขี้เกียจกว่าปกติ โชคดีที่แม่บอกว่าไม่ต้องไปช่วยเปิดร้านเพราะจะฝึกลูกจ้างคนใหม่ ผมถึงได้กิน ๆ นอน ๆ สบายใจเฉิบอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เช้าโดยไม่คิดจะลุกออกจากเตียงไปทำอะไร


Rrrrr RRrrrr


ผมยังคงนอนมองเจ้าเครื่องมือสื่อสารบนโต๊ะข้างเตียงกรีดร้องโดยไม่คิดจะยื่นมือออกไปรับ เห็นที่หางตาก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากไอ้ชาน สองสามวันที่หยุดยาวนี้ก็มีแต่มันนั่นแหละที่โทรหาผม ส่วนเฮียก็ไลน์มาขอโทษเรื่องที่ทำอะไรเกินเลยแล้วนัดคุยกันจริง ๆ จัง ๆ ในวันพรุ่งนี้...


แต่ไม่มีแม้เงาของคนที่ผมรอ...


ไอ้เก้าแม่งหายไปเลย หายไปจากสาระบบชีวิตผมเหมือนกับว่าเราทั้งคู่ไม่เคยมีอะไรเกี่ยวโยงกันมาก่อน


“อะไรของมึงเนี่ย โทรมาจิกกูทำไม เพิ่งวางไปเมื่อไม่กี่นาทีนี้เองไม่ใช่รึไงวะ”


สุดท้ายผมก็รับสายไอ้ชาน ปลายสายหัวเราะคิดคักทันทีที่ได้ยินเสียงตวาดจากผม


[“จะถามว่ากินอะไรไหม แม่กูเปลี่ยนใจไม่กินข้าวนอกบ้านแล้ว กูเลยจะเข้าไปกินกับมึง”]


สุดท้ายแล้วคนที่คอยมาเป็นห่วง คอยมาอยู่ข้าง ๆ ผมก็มีแต่เชี่ยชานนี่ล่ะ ที่มันโทรมาบ่อย ๆ ก็แค่จะถามว่ากับแม่เป็นยังไงบ้าง โอเคขึ้นหรือยัง เป็นห่วงแม้กระทั่งว่าจะมานอนค้างด้วยเพราะไม่อยากให้ผมรู้สึกอึดอัดที่ต้องทะเลาะกับแม่  แต่ผมก็ปฏิเสธความหวังดีจากมันไปหมด เพราะรู้ตัวว่าที่จริงแล้วทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากปัญหาของผมเองล้วน ๆ ไม่ได้เกี่ยวกับแม่เลยแม้แต่น้อย


“เพิ่งกินไป กูก็บอกไปแล้วนี่ มึงความจำเสื่อมเรอะ”


[“เออ จำได้ กูหมายถึงจะเอาขนมอะไรไหม จะซื้อไปฝากไง”]


“ตอนนี้อยู่ไหนวะเนี่ย”  ผมผงกหัวขึ้นมองนาฬิกา ตอนนี้สี่โมงกว่าแล้ว... มาหาตอนนี้คงจะไม่แคล้วมาค้างด้วยแน่ ๆ


[“อยู่ห้างแถวบ้านมึงเนี่ย ว่าไง ตกลงเอาอะไร? บันปังมะ รสกาแฟที่มึงชอบอะ”]


ผมหัวเราะออกมาเมื่อคิดว่าไอ้ชานยังจำอะไรที่ผมชอบได้ แต่มันจะรู้ไหมนะว่ากูเปลี่ยนของที่ชอบไปนานแล้ว ไม่มีใครกินอะไรเดิม ๆ ได้ตลอดหรอก


ผมเป็นคนประเภทยัดง่าย มีอะไรก็กิน แต่ที่จริงก็เลือก...จะว่าไงดี อย่างบันปังรสกาแฟเนี่ย ผมก็เลือกกินแค่ของที่บ้านเท่านั้นเพราะรสชาติถูกใจที่สุด แต่ให้กินทุกวันก็คงไม่ไหวหรอก เบื่อตายห่า... แล้วอีกอย่างนะ ไอ้เพื่อนยากมันคงลืมไป ว่าบ้านผมประกอบสัมมาอาชีพเป็นร้านเบเกอรี่


เพราะงั้นไม่ต้องแคร์เลย ถ้าหากมันไม่ซื้อบันปังกลับมาให้น่ะ


[“ตกลงจะเอาไงวะ กูยืนถือถาดรอในร้านจนรากจะงอกติดพื้นอยู่แล้ว”]


“เว่อร์ตลอดมึงเนี่ย” ผมหัวเราะ “งั้นเอาทาร์ตมะนาว” 


[“โลกแตกแล้วมั้ง มึงกินอะไรแบบนี้”]


“ชีวิตนี้จะจมอยู่กับอะไรเดิม ๆ อย่างเดียวได้ไงวะ มีโอกาสมันก็ต้องลองของใหม่บ้างสิ”  มันไม่ตอบอะไรกลับมาแต่ได้ยินเสียงปลายสายกุก ๆ กัก ๆ ดังกลับมาแทน ถ้าให้เดาไอ้ชานคงกำลังเอาหูแนบมือถือแล้วมือหยิบขนมให้ผมแน่ 


[“เอาอะไรอีกไหม”]


“ไม่เอาแล้ว รีบมาเหอะ อย่าลืมซื้อข้าวตัวเองมาด้วยล่ะ ไม่ใช่นึกถึงแต่คนอื่น”


ต้องบ่นมันเพราะกลัวจะเอาแต่นึกถึงขนมผมแล้วลืมซื้อข้าวมากินเองครับ เป็นอย่างนี้ประจำเลยเวลาที่ผมฝากซื้ออะไร เพราะโดยปกติคนทั่วไปเขาจะลืมของของคนอื่นใช่ไหม? แต่ไอ้ห่านี่มันเสือกลืมของที่ตัวเองจะซื้อทุกครั้ง เพราะเอาแต่กังวลว่าจะไม่ได้ของที่ผมสั่งซื้อ


คือ...ถ้าใครเป็นแฟนมันเนี่ย โชคดี แต่ในความโชคดีนั้นก็ต้องโชคร้ายที่มีผมเป็นเพื่อนแฟนผู้แสนเอาแต่ใจ...


[“ไม่เอาอะไรงั้นกูกลับแล้วนะ แค่นี้แหละ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน”] 


ผมทำเพียงครางรับในลำคอ ไอ้ชานวางสายไปแล้วชีวิตผมก็ว่างเปล่าอีกครั้ง  นอนมองเพดานได้ไม่ถึงห้าวินาทีก็ตัดสินใจพลิกตัวไปกดเปิดไลน์... หรือที่จริงผมจะลองอะไรใหม่ ๆ ดูบ้าง? เหมือนขนมทาร์ตที่เพิ่งตัดสินใจจะกินตะกี้?


PM 4.15  เป็นยังไงบ้าง
PM 4.15  หายไปเลยนะมึง
PM 4.16  ไม่ต้องใส่ใจที่กูพูดไปวันนั้นแล้วก็ได้นะ กูโอเคแล้ว
PM 4.16 เดี๋ยวกูจะเข้าไปเอาของที่ห้องมึง ไปซักผ้าให้มึงด้วย
PM 4.17  พรุ่งนี้ตอนเย็นนะ


เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกว่าตัวเองโคตรน่าสมเพช นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่วะ? ทักไลน์หาโนบิตะทั้งที่ไม่กี่วันก่อนมันยังด่าผมว่าจะอ้าขาให้ใครก็ได้เนี่ยนะ แต่ก็อย่างว่า...กับคนที่รู้ตัวว่าชอบแล้ว อยู่ดี ๆ จะให้ตัดใจ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยมันก็ไม่ใช่ปะวะ...มานอนนึกย้อนดูแล้ว ที่ผ่านมาผมก็เอาแต่ใจกับมันเหมือนกัน ก็คงไม่แปลกที่คราวนี้ผมจะต้องเป็นฝ่ายง้อมันบ้าง


พิมพ์หามันเสร็จก็แสร้งทำเป็นเปิดเว็บดราม่าหาข่าวดาราอ่าน ทั้งที่จริง ๆ แล้วก็เปิดไลน์เช็คทุก ๆ 30 วินาทีว่าเมื่อไหร่มันจะเปิดอ่าน...


พรุ่งนี้ค่ำ ๆ แล้วกันครับ ช่วงนั้นผมไปทำงานแล้ว  4.20  PM


แจ้งเตือนที่หน้าจอทำให้ผมผงกหัวขึ้นมาดูทันที แล้วก็ต้องใจแป้วเมื่อพบว่าสิ่งที่โนบิตะตอบกลับมานั้นแสนจะเย็นชา สรุปแล้วมันคงไม่อยากเห็นหน้าผมเลยสินะ ถึงได้จงใจเลี่ยงทั้ง ๆ ที่ผมเลิกคิดเรื่องมันไม่ได้เลยแม้แต่นาทีเดียว


แทนที่จะใจชื้นกลับใจแป้วยิ่งกว่าเดิม ผมสไลด์มือถือออกไปให้ห่างมือทันทีที่เกิดความรู้สึกสุดจะนอยด์ แม่ง...นี่มันไม่เหมือนเวลาจีบหญิงเลยด้วยซ้ำ แน่นอนว่าโนบิตะดูใจแข็งกว่ามาก เพราะผมไม่รู้เลยว่าต้องเอาอะไรมาล่อมันที่ไม่ใช่กระเป๋าแบรนด์ หรือ ตังจำนวนน้อยนิดในบัญชีอย่างที่เคยทำกับพี่พลอยมาก่อน


ผมนอนนิ่งไม่รู้เวลาอยู่อย่างนั้นจนเสียงแตรดังขึ้นที่หน้าบ้าน โผล่หน้าต่างออกไปดูก็เห็นรถไอ้ชานจอดรอเตรียมจะเข้ามา ไอ้น้องสาวผมวิ่งออกไปเปิดประตูรั้วอย่างรู้หน้าที่ และไม่กี่วินาทีต่อมารถของมันก็เข้ามาจอดอยู่ในบ้านผมเรียบร้อย


“ซื้ออะไรมาเต็มเลยไอ้ห่า” 


วิ่งลงบันไดมาขายังไม่ทันเหยียบพื้นก็เห็นร่างโย่ง ๆ ของเพื่อนสนิทเดินเข้ามาพร้อมกับถุงพะรุงพะรังเต็มสองมือ ไอ้ชานยิ้มแกน ๆ แล้วเดินไปวางของฝากลงที่โต๊ะกินข้าว 


“อันนี้ของพิมพ์นะ เอาไว้กินตอนอ่านหนังสือล่ะเข้าใจปะ”


มันไม่ตอบผม แต่หันไปยื่นถุงขนมสีขาวดำให้พิมพ์ น้องสาวผมได้ยินแค่นั้นก็รีบรับไปเปิดดู ตามันนี่วาววับจนเห็นแล้วอดรู้สึกหมั่นไส้ไม่ได้


“กรี๊ด เค้กมะม่วง ชีสเค้กมะม่วง น้ำมะม่วงด้วย”


“อืม...ซื้อมาให้ไง ชอบมะม่วงไม่ใช่หรอ รีบรับไปสิ แล้วก็ไปอ่านหนังสือได้แล้วเดี๋ยวก็สอบไม่ติดหรอก”


ผมแอบเห็นดวงตาของมันหลุกหลิกตอนที่เดินเข้าไปชะโงกหน้ามองในถุงที่ไอ้พิมพ์ถือ


 “...ผีเข้ารึเปล่าเนี่ยพี่ชาน ทำไมซื้ออะไรมาเอาใจพิมพ์ขนาดนี้”


เออ...ไม่ใช่แค่น้องผมหรอกที่งง ผมก็งงเหมือนกัน ไอ้ชานไม่ตอบอะไรแต่เสหน้าหันไปทางอื่นแล้วยกมือขึ้นเกาหัวแกรก ๆ ...นี่อย่าบอกนะว่ามึงเขิน? เขินไอ้พิมพ์เนี่ยนะ? แล้วมาทำดีด้วยทั้งที่ปกติกัดกันอย่างกับหมาหวงเขตคืออะไร? หรือเพิ่งจะรู้ตัวว่าชอบน้องสาวผมเข้าให้แล้ว?


ผมหรี่ตามองมันในขณะที่พิมพ์เลิกทำสายตาไม่ไว้ใจ เห็นไอ้ชานเงียบไปพักใหญ่ ไอ้พิมพ์ก็เลยทุบเข้าให้ที่อกหนา ๆ นั่น


“บ้า...รู้ด้วยอะว่าเค้าชอบมะม่วง แต่ก็ขอบคุณนะคะพี่ชาน มองดี ๆ  พี่นี่ก็หล่อไม่ใช่เล่นนะเนี่ย”


ผมถึงกับเงยหน้าขึ้นมากลอกตามองเพดานทั้งที่มือยังคุ้ยหาทาร์ตมะนาวของตัวเองอยู่ นานทีปีหนจะเห็นไอ้พิมพ์ชมใครออกนอกหน้า แต่ที่ไม่เคยชมไอ้ชานเลยเพราะมาทีไรแม่งก็กวนประสาทใส่กันตลอด


ได้ของฝากถูกใจแล้วไอ้พิมพ์ก็รีบติดปีกปลิวลมหายไปบนห้องมันทันที เหลือแค่ผมที่นั่งตัดทาร์ตรสเปรี้ยวขึ้นสมองกินอยู่กับไอ้ชานสองต่อสอง เพื่อนตัวสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ โดยที่ตัวเองก็ควานหาเบอร์เกอร์มากินดับหิว แต่ผมไม่สนใจกลิ่นคาวของเนื้อที่มันกำลังสวาปามหรอก ความหวานของเมอแรงค์ไข่ขาวนี่สิน่าสนกว่า ผมตักกินคำโต เพราะไม่ถูกกับรสเปรี้ยวของเลม่อนที่อยู่ด้านล่าง กินอย่างเอร็ดอร่อย รู้ตัวอีกทีนิ้วโป้งของเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ยื่นมาแตะที่มุมปากแล้ว


“แดกเหมือนเด็ก ๆ เลยนะมึงเนี่ย”


มันหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วใช้นิ้วเช็ดมุมปากผมอย่างกับที่พระเอกในซีรี่ส์ทำ เห็นมันจ้องมาด้วยสายตาจริงจังแล้วก็รู้สึกแปลก ๆ...อย่างกับว่ามันกำลังทำสิ่งนี้ให้คนที่ชอบยังไงอย่างงั้น


นี่กูเป็นอะไรไปวะ กับอีแค่มันเช็ดปากให้ถึงกับต้องเข้าข้างตัวเองขนาดนี้เลยเหรอ แล้วไอ้ที่ผ่านมา ที่มันดูแล บังคับให้แดกผักแดกปลามาตลอดนี่ทำไมไม่คิดบ้าง?  ตอนนี้มันก็ทำของมันปกติ ดูแลมึงเป็นปกติ แล้วจะมาตกใจอะไรนักหนา... ไม่ไหวแล้วนะไอ้พิก โดนผู้ชายเอาไม่กี่ทีนี่มึงจะเหมาว่าเพื่อนชอบตัวเองไม่ได้นะโว้ย!


“กู...เช็ดเองได้” 


ผมทนจ้องหน้าแม่งไม่ไหวแล้วเลยรีบคว้ากระดาษทิชชู่ใกล้มือมาแปะปิดไว้บนปากตัวเอง ขยุ้มถูปากตรงมุมที่เปื้อนสองสามทีแล้วโยนมันทิ้งลงถังขยะขนาดเล็ก ใกล้ ๆ ตีน


“อ้อ...เออ นั่นสินะ มึงคงทำเองได้”


เชี่ยวชาญยกมือข้างที่เปื้อนซอสขึ้นเกาหัวแกรก ๆ ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อสัมผัสได้ถึงซอสรสเปรี้ยวที่เหนียวเหนอะอยู่บนมือตัวเอง... ผมเห็นหมดทุกอย่างแต่ไม่ได้เตือนมันเพราะมัวแต่อึ้งอยู่... คือ มึงจะเก้อทำพระแสงหอกหักอะไร ยิ่งมึงหน้าแดง ยิ่งมึงดูเขิน กูยิ่งรู้สึกประดักประเดิดแปลก ๆ


ไอ้ชานขอตัวไปล้างซอสในห้องน้ำโดยที่ผมหมดอารมณ์จะแดกทาร์ตต่อ...  ในใจก็เอาแต่คิดว่าที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะตัวมันเองคงยังไม่ลืมเรื่องที่เราจูบกันวันนั้นรึเปล่า ถึงแม้มันจะพยายามทำตัวเป็นปกติ ทักไลน์มาคุย โทรมาหายังไง แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราเจอกัน มองหน้ากันตรง ๆ หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่เราทั้งคู่จะตื่นมาแล้วลืมไปเลย...ว่าเคยได้สอดลิ้นใส่ปากเพื่อนสนิทมาแล้วอย่างร้อนแรง =_=


แล้วผมต้องทำตัวยังไงวะ ทำยังไงก็ได้ไม่ให้ไอ้ชานมันเก้อไปกว่านี้...   


สงสารแม่งชิบหายเลย... ขอโทษนะมึงที่ต้องมารู้สึกแปลก ๆ แบบนี้เพราะกู แต่ถ้าจะโทษใคร ก็อย่าโทษกูแล้วกัน เพราะถึงกูจะเป็นคนที่รับจูบจากมึง แต่ต้นตอตัวการที่ทำให้เราแปลกไปแบบนี้ก็เป็นเพราะไอ้เตี้ยเฮียคนเดียว...


เออ ต้องโทษมันสิ ถึงจะถูก


“ขึ้นไปข้างบนเลยไหม กูง่วงมากอะ ขอซักงีบได้ป่าววะ”


ไม่กี่นาทีไอ้ชานก็โผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำ มันเดินเสยผมเปียกลู่มาถึงตัวผมแล้วเอามือวางบนไหล่ ตอนนี้หน้าตามันไม่ดูเก้อเหมือนเมื่อครู่แล้ว คงจะหายไปทำใจมาสินะ


“เออ งั้นมึงขึ้นไปก่อน เดี๋ยวกูเอาของเก็บเข้าตู้เย็น” 


ผมบอกมันแล้วรวบถุงขนมที่แม่งซื้อมาเหมือนกับพรุ่งนี้จะไม่มีขนมอีกแล้วบนโลก แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหนไกล มันก็สาวเท้าเข้ามาหาแล้วแย่งทั้งหมดเอาไปถือเอง


“เก็บตรงไหน กูช่วยเก็บ”


นี่อาจจะเกินคำว่าช่วยไปหน่อยตรงที่มึงเอาทุกอย่างไปจากมือกูนี่แหละ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอย่างที่ใจคิดเพราะกลัวว่ามันจะเสียน้ำใจ (ไม่ได้ขี้เกียจหรอกบอกไว้เลย)


“เก็บในตู้เย็นนั่นแหละ ที่มันไม่เสียมึงก็วางไว้ตรงเคาน์เตอร์... เสร็จแล้วตามขึ้นมา เดี๋ยวกูไปรอบนห้อง” 


“เดี๋ยว” เป็นครั้งที่สองของวันที่มันรั้งผมเอาไว้อย่างเอาแต่ใจ แต่คราวนี้ต่างออกไปตรงที่มันเอื้อมมือมาคว้าเอวผมเอาไว้ “อย่าเพิ่งขึ้น...รอกูก่อนสิ ขึ้นไปด้วยกันจะตายเหรอ”


ผมก้มลงมองมือของมันที่แปะอยู่บนเอวของตัวเอง แล้วหันไปมองหน้ามัน สบตาที่จ้องกลับมาเจือด้วยแววจริงจัง เรานิ่งกันอย่างนั้นไปพักใหญ่ ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายคลายมือไปเอง


“รอก่อน...แค่แป๊บเดียว” 


มันหันไปหยิบของออกจากถุงแล้วจับใส่ตู้เย็นอย่างรู้งาน ส่วนผมน่ะเหรอ ได้แต่ยืนเฉย ๆ มองมันที่ทำอะไรอย่างคล่องแคล่วในบ้านตัวเอง เพิ่งจะได้มีโอกาสสังเกตมันจริง ๆ จัง ๆ ก็วันนี้... ที่จริงแล้วไอ้ชานแม่งหล่อมากนะ ตามันกลมโต จมูกโด่งเป็นสันสวย แถมยังสูงชะลูดตูดปอด...พอมองมันมาก ๆ เข้าก็เกิดความคิดว่าทำไมคนหล่อขนาดมันถึงได้โสดมาจนถึงทุกวันนี้


ประเด็นคือไม่ใช่ไม่มีคนเข้าหามันนะ เด็กมนุษย์ฯ เด็กวิทยาฯ ก็มีเข้ามา แต่ดูมันจะไม่สนใจอะไรเลยนอกจากเกม เกม เกม แล้วก็เกม... ผมว่าถ้าใครได้มันเป็นแฟนคงปวดหัวไม่น้อยหรอก น้ำหน้าอย่างมันอะ ต้องมีแฟนที่เล่นเกมด้วยกันได้ ไม่อย่างนั้นทะเลาะกันตายห่าพอดี


“ปะ ขึ้นกัน กูเก็บของเสร็จแล้ว”


เอากับกูสิ ยืนมองมันก้ม ๆ เงย ๆ เพลินจนลืมว่าจะขึ้นห้องไปเลย พอมันหันมาหาก็สะดุ้งสุดตัวแต่ไม่หลบตา ผมจ้องหน้ามันจนอีกฝ่ายถึงกับต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก่อนที่มันจะได้เอ่ยปากถามอะไรผมก็หมุนตัวเบี่ยงหน้าหันไปเสียก่อน


ขึ้นมาถึงบนห้องเพื่อนยากก็ทิ้งตัวลงบนเตียงของผมอย่างกับเป็นเจ้าของเสียเอง มันเลิกผ้าห่มที่ขยุกขยุยอยู่บนเตียงมาห่อตัวเองคล้ายหนอนชาเขียว ก่อนจะกลิ้งไปมาหน้าตาสบายอกสบายใจ


“โคตรชอบเตียงห้องมึงเลย เดี๋ยวกูจะงีบหน่อยนะ ถ้าแม่มึงมาแล้วก็ปลุกกูด้วยล่ะ กูซื้อของมาฝากแม่ตั้งเยอะ”


ผมเอื้อมไปหยิบมือถือแล้วทิ้งตัวลงกับพื้น ครางรับเบา ๆ ในขณะที่ไอ้ชานกลิ้งเข้ามาหา หน้าของมันเกยกับขอบเตียงจนจมูกแทบจะโดนไหล่ผมอยู่แล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเข้ามาใกล้ ถึงห้องของผมจะไม่ใหญ่มาก แต่เตียงมันก็ตั้ง 5 ฟุตนะเว้ย


“อะไรมึง”


ผมเงยหน้าขึ้นจากมือถือแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม กะจะเปิดไลน์เช็คข้อความจากโนบิตะสักหน่อยก็มีไอ้คนไร้มารยาทเสนอหน้ามาแอบมอง ไอ้ชานทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ตั้งท่าจะส่ายหัว แล้วสักพักก็เปลี่ยนเป็นตบเบาะแทน


“มานอนคุยกันดีกว่า”


ไม่พูดเปล่าแต่โน้มตัวลงมาจับแขนผมแล้วออกแรงดึงให้ลุกขึ้นด้วย สุดท้ายผมเลยต้องทิ้งมือถือที่เปิดหน้าไลน์ค้างไว้บนโต๊ะข้างเตียง แล้วเดินอ้อมไปทิ้งตัวลงข้างมันแทน


“อะไรของมึง จะนอนคุยอะไร นั่งคุยไม่ได้ไง๊”


ไม่ได้กวนตีนครับแต่คิดอย่างนั้นจริง ๆ ไอ้ชานไม่ได้ตอบอะไรนอกจากหลับตาใส่ผม มันทำท่าขยับตัวยุกยิกเหมือนกับนอนไม่สะดวก เห็นอย่างนั้นผมเลยได้แต่เงียบ แล้วฝากสายตาไว้กับฝ้าด้านบนแทน


“มึง...ไม่คิดจะมีแฟนบ้างเหรอวะ มาติดอยู่กับกูอย่างนี้ไม่เหงาบ้างเหรอวะ” 


ผมตัดสินใจถามมันขึ้นมาหลังจากเราเงียบไปสักพัก ไอ้ชานลืมตาขึ้นมาแล้ว และกำลังเท้าแขนกับเตียงมองผมอยู่ข้าง ๆ   


“ก็มีมึงเป็นเพื่อนคนเดียว...ไม่ให้ติดมึง แล้วจะให้ไปติดใคร” 


เสียงทุ้มของมันตอบออกมาเนิบนาบเหมือนกับว่ากำลังเล่าเรื่องชีวิตประจำวัน นั่นทำให้ผมตะแคงตัวหันไปมองหน้ามัน แต่สายตาที่มองกลับมานั้นไม่ได้ดูนิ่งเหมือนกับน้ำเสียง


“เฮียไง นั่นก็เพื่อนมึง” 


ผมแซวมันติดตลกเพราะรู้ว่ามันหมายความอย่างนั้นจริง ๆ  ส่วนไอ้ชานน่ะหรอ กลอกตามองเพดานแล้วล้มตัวลงนอนอีกรอบทันทีที่ได้ยินชื่อไอ้เตี้ยนั่น


“เหอะ...กูโกรธแม่งอยู่”  มันระบายลมหายใจออกมาเสียงดัง “เหี้ยแม่ง ทำไรไม่เคยคิด” 


 “เรื่องนั้นอะเหรอ...” 


“อืม” มันตอบกลับมาทันที ท่าทางดูหัวเสียจริง ๆ  แต่ก็อย่างว่าแหละ เป็นใครก็ต้องโกรธ เล่นไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างนั้น


“อืม กูก็โกรธเหมือนกัน แต่มันไลน์มาขอโทษกูแล้ว กูเลยว่าจะลืม ๆ ไปซะ” 


ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ มองมัน แล้วยกแขนขึ้นหนุนหัว เห็นไอ้ชานมันยังอารมณ์คุกรุ่น เลยอยากบอกให้รับรู้เอาไว้ว่าผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันคนนี้ปล่อยวางได้แล้ว


 “ลืม?...” มันทวนคำออกมาคล้ายกับว่าจะจริงจัง ก่อนจะยกผ้าห่มขึ้นปิดหน้าแล้วเอามือก่ายหน้าผากพูดเสียงอู้อี้  “อ้อ...เออ จริงสิ ลืมไปเหอะ เรื่องอะไรก็ไม่รู้ ทำกูกับมึงมองหน้ากันไม่ติดเลย ฮ่าฮ่าฮ่า” ไอ้ชานหัวเราะฝืด


“นั่นดิ...แต่มึงไม่คิดอะไรก็ดีแล้ว ขืนมึงชอบกูขึ้นมาคงขนลุกฉิบหาย”


“...”


“ใช่ปะ” 


 “อืม” มันครางเบา ๆ ในลำคอ เราเงียบจากกันไปอีกพักจนผมเริ่มคิดว่านี่อาจจะสิ้นสุดเรื่องคุยบนเตียงสำหรับผมกับไอ้ชานแล้วก็ได้ แต่ในระหว่างที่เงียบไปนั้น จังหวะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นจากเตียงไปเปิดคอมเล่น อยู่ ๆ มันก็โพล่งขึ้นมาเสียงหนักแน่น


“กูว่ากูจะหาแฟนว่ะ”


คำพูดนั้นทำให้ผมชะงักค้างกลางอากาศ ท่าทางตอนนี้เหมือนกับคนเป็นอัมพาตครึ่งตัวไปแล้ว ขาข้างหนึ่งของผมยังค้างอยู่บนพื้น แต่อีกข้างกลับลอยอยู่เพราะตกใจจนเกร็งตูดที่ชานมันพูดแบบนั้นออกมา 


“เหรอ เล็งไว้แล้วเหรอว่าคนไหน” 


“อ่าหะ” 


ตั้งสติได้ก็พลิกตัวกลับไปนอนใหม่ สรุปกูจะไม่ได้เล่นคอมใช่ไหม จะได้เตรียมใจว่าอีกไม่นานคงหลับไปพร้อมกับมัน


 “เป็นไงล่ะ น่ารักไหม” บอกตรง ๆ ว่านึกเสป็คมันไม่ออกเพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยเห็นมันสนใจใคร


“เป็นคนดี รักครอบครัว รักเพื่อนฝูง...คือ...กูเพิ่งจะรู้อะว่าชอบเขา”  ไอ้ชานพูดแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าอีกหน แต่คราวนี้มันแตกต่างจากครั้งแรกก็ตรงที่หูกาง ๆ ของมันขึ้นสีชมพูเรื่อ ๆ


“แม่ง กูถามว่าน่ารักไหม เสือกบอกว่าเป็นคนดี...”


ผมแซวแล้วกระทุ้งแขนใส่มัน ซึ่งไม่ต้องรอให้ฟังจนจบประโยคไอ้ชานก็กระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งแล้วพูดสวน ปกป้องคนที่มันชอบทันที


“ก็กูไม่ได้ดูที่หน้าตา! ไม่ได้ดูที่อะไรเลย... รู้แค่ว่าอยากอยู่กับเขา อยากกอดเขาเวลาเขาเศร้าอะ”  ประโยคสารภาพรักของมันฟังดูแผ่วเบาที่ตอนปลาย ไอ้ชานหน้าแดงขึ้นมาอีกแล้ว แถมยังจ้องผมจริงจังซะจนต้องนึกมุกควายออกมาแก้แล้วหัวเราะโง่ ๆ ใส่...


นี่ถ้าไม่บอกว่าชอบคนอื่น ก็จะคิดว่ากำลังบอกรักกูนะเนี่ย


“ห...เหรอคะ มึงดูดี ๆ นะเว้ย...สำหรับมึงอะ แค่คนดี ๆ ไม่พอหรอก แม่งต้องเล่นเกมเป็นด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า”


“นั่นเขาก็เล่นเกมเป็น” มันสวน “แข่งกับกูก็บ่อย” 


 “หวายยยย อะไร มึงชอบสาวในเกมเหรอวะ...จะดีเหรอ ชอบเขาทั้งที่ไม่รู้จักกันเนี่ย” 


“เปล่า” มันก็ยังคงปกป้องคนของมันเสมอต้นเสมอปลาย “คือ หมายถึงว่า ก็รู้จักกันในชีวิตจริงด้วย...แต่กูคิดว่าจะทำดี ๆ กับเขาไปก่อน ตอนที่กูไปบอกรักเขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดกับกู” 


ผมชะงักไปอึดใจ... อะไรวะ มันรู้จักชอบ รู้จักสนใจคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมเพื่อนอย่างผมไม่เห็นเคยรู้...


“เหรอ...เพื่อนกูรอบคอบจัง” 


“อืม” 


“เออ มีแฟนแล้ว...ก็อย่าทิ้งกูไปติดอยู่กับแฟนอย่างเดียวนะ” นึกไปถึงเรื่องตัวเองแล้วก็หงอย มองดูไอ้ชานมันก็หล่อดี เกิดเขาตกลงกับมันขึ้นมาแล้วทิ้งผมไว้ล่ะ


“...”


“มึงก็รู้ว่ากูไม่มีใครแล้ว...นอกจากมึงอะ” 


“ฮ่าฮ่าฮ่า มึงนี่เอาแต่ใจจัง” 


มันหัวเราะเสียงดัง ตาหยี ให้ตายเหอะเพื่อน มึงขำแต่กูไม่ขำเลยแม้แต่นิดเดียว อยู่ดี ๆ ความรู้สึกน้อยใจที่สะสมมาตั้งแต่เรื่องโนบิตะก็ก่อตัวขึ้น ไอ้ชานหยุดหัวเราะแล้วตอนนี้ มันเอื้อมมือมาแตะเบา ๆ ที่ไหล่ผมแทน


“กูไม่ได้เอาแต่ใจ แต่กูมีมึงเป็นเพื่อนสนิทคนเดียว ถ้ามึงทิ้งกูแล้วกูจะทำไง”  ผมบ่นกระปอดกระแปด


“...ก็ไม่ต้องทำไง” มันเงียบไปอึดใจ ก่อนจะค่อย ๆ คลายยิ้มออกมา “เพราะกูไม่มีวันทิ้งมึงแน่ ๆ”


“เออ จำที่พูดไว้ด้วยนะมึง ไม่ใช่ถึงเวลามาหากูแค่จะหาคนให้ปลอบใจ” 


“ไม่มีวันอะ...เชื่อกูดิ”


“...”


เหมือนกับว่ามันจะรอให้ผมพูดอะไรต่อ แต่ผมไม่... เราเล่นเกมจ้องตากันจนไอ้ชานหัวเราะในลำคอออกมา มันใช้ความยาวแขนที่ได้เปรียบเพราะสูงกว่าเอื้อมมาวางมือไว้บนหัวผม ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยเสียงทุ้มที่...ถ้าผู้หญิงคนที่มันชอบได้ฟัง พนันได้เลยว่าเธอต้องรู้สึกเหมือนจะละลาย


“กูจะไม่มีวันทิ้งมึงไปไหนแน่ ๆ ถ้ามึงไม่ได้ไล่กูไปเอง”


“....”


“กูสัญญา”


_____________________________________________________

คุยไรมากไม่ได้ฝากชาวบ้านลง
ขอบคุณนะคะที่ติดตาม
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 20 (16/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 16-01-2016 21:35:05
ชานพิกดีกว่าไหม
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 20 (16/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: iammilk ที่ 16-01-2016 21:35:45
ขัดใจโนบิตะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ  :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
ไจแอนนสู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 20 (16/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 16-01-2016 21:45:45
เมื่อไหร่จะผ่านวิกฤตมาม่าไปน้ออออ ?
สงสารชานที่ความรักของนายคงเป็นไปไม่ได้
สงสารพิกที่เก้าเย็นชา
และเข้าใจเก้าที่นางเองก็คงหึงคงนอยเป็นธรรมดา
ส่วนตอนนี้เกรียดไอ่เฮียที่จุดชะนวนมาม่า ขอให้นางตกเป็นเมียชานเร็วๆเทอน 5555
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 20 (16/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 16-01-2016 22:10:51
ยังคงต้มน้ำรอมาม่าชามต่อไป
คาดว่าคงอืดไปอีกหลายชามมมมม
เห้ออออ
ชานเอ๊ยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 20 (16/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 16-01-2016 22:38:32
พิก...รักชาน ดีกว่าอะ นะ...ขนาดชานยังไม่รู้ตัวเองว่ารัก ยังคอยดูแลตลอด
ถ้าเป็นแฟนกันแล้ว จะไม่ดูแลยิ่งกว่านี้หรอ ? โนบิตะ...ใจร้ายเกิน อย่าไปรักเลย
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 20 (16/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 17-01-2016 01:14:31
รักชานนั่นแหละดีแล้ว
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 20 (16/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 17-01-2016 02:02:01
ยังเป็นทีมชานอยู่.. หวังว่าเรื่องนี้จะมีบทพลิกกับเขาบ้าง.. พลิกบทพระเอกไปเลยยยยยยย เย้
ปล.จองตอนนี้ทันมั้ยคะ ฉบับนิยายเล้าน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 20 (16/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: janeyuya ที่ 17-01-2016 02:49:21
 :-[ ถ้าเราเป็นพิกเราคงชอบเชี่ยวชาญอ่ะ พ่ายแพ้ต่อผู้ชายอบอุ่น
มีแบบมัวแต่กลัวซื้อของให้พิกไม่ครบจนลืมของตัวเองด้วย เอร๊ยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 20 (16/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 17-01-2016 12:54:17
เก้าคิดมากเกิน สงสารพิก
ส่วนซานแสนดีจริงๆน้อง (พระรองชัดๆ)

ปล เกือบลืมเม้นว่าสนใจหนังสือเวอร์ชั่นเล้านะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 20 (16/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 17-01-2016 19:31:33
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 20 (16/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: princeofdark ที่ 17-01-2016 19:41:16
อยากได้หนังสือทำเถอะค่ะ ชอบเรื่องนี้มาก
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 20 (16/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 17-01-2016 20:56:21
ถ้าพิกกับชาญ.......

อ่านแล้วจะร้องไห้ รู้สึกได้ว่า คนดี ๆ จะต้องเสียใจ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 18-01-2016 07:31:30

21
NOBITA’s PART


“เก้าคะ...”


เสียงหวาน กับแรงขยับจากคนข้างตัวเรียกให้ผมตื่นจากความฝัน แรงกอดกับคางที่เกยบนบ่าและโทรศัพท์มือถือของผมที่ลอยมาอยู่ตรงหน้าทำให้ต้องลืมตาขึ้นทั้งที่ยังงุนง่วงอยู่


“ไลน์คุณดังไม่หยุดเลยค่ะ เห็นว่ามีใครจะมาซักผ้าให้ด้วย”


ผมพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจเพราะทีแรกคิดว่าอาจเป็นเด็กในร้านส่งไลน์มาขออนุญาตลางาน เพราะถ้าหากผมไม่โทรกลับ นั่นหมายความว่าเขาจะไม่สามารถลากะทันหันได้ แต่เมื่ออีกฝ่ายพูดถึงเรื่องซักผ้า จากที่มึนงงไม่อยากตื่นก็ตื่นขึ้นมาเต็มตาทันที


“ขอให้ผม”


ยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์มาไว้กับตัว แจ้งเตือนที่ขึ้นอยู่หน้าจอบ่งบอกว่าเจ้าของข้อความนั้นเพิ่งจะหยุดส่งเมื่อครู่นี้เอง ผมลุกขึ้นนั่งทั้งยังเปลือยกาย ก่อนจะรีบกดเข้าไปดูข้อความข้างในทั้งใจเต้นถี่


เป็นยังไงบ้าง PM 4.15 
หายไปเลยนะมึง PM 4.15 
ไม่ต้องใส่ใจที่กูพูดไปวันนั้นแล้วก็ได้นะ กูโอเคแล้ว PM 4.16 
เดี๋ยวกูจะเข้าไปเอาของที่ห้องมึง ไปซักผ้าให้มึงด้วย PM 4.16
พรุ่งนี้ตอนเย็นนะ  PM 4.17 



กวาดสายตาอ่านจนครบแล้วจึงปิดแอพนั้นก่อนจะโยนโทรศัพท์มือถือไว้ข้าง ๆ ดูเหมือนพิกจะไม่เข้าใจอะไรเลย เขาควรจะโกรธไม่ใช่เหรอที่ถูกผมทำท่าทีอย่างนั้นใส่ หรือว่าเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยกับสิ่งที่ผมพูดถึงได้ส่งข้อความแบบนี้กลับมาหา?


ความตั้งใจของเขาคืออะไรกันแน่?  สิ่งที่ผมต้องการคืออยากกันเขาออกไปให้ห่างจากตัว เพราะผมแทบจะเป็นบ้าทุกครั้งที่ต้องเห็นเขาอยู่ใกล้ไอ้ชาน ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นอย่างนี้เท่าไหร่ ตลอดเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมาแค่ไม่เจอกับเขาก็หงุดหงิดจะบ้าตาย แล้วนี่ยังส่งไลน์มาหา มาให้ผมเห็นหน้าแค่ดิสเท่านั้นอีกเหรอ


เหมือนทุกความพยายามสูญเปล่า ที่ผมต้องเอาคนอื่นมานอนด้วยก็เพราะหงุดหงิดที่ไม่มีเขา เสื้อผ้าพิกยังอยู่ที่เดิมอยู่เลย เมื่อคืนคนที่ผมพามานอนด้วยจะขอยืมใส่เสื้อยืดใหม่ในตู้ผมยังไม่ให้ เพราะนั่นเป็นของที่ผมตั้งใจจะให้พิก


“ดูท่าทางคุณอารมณ์ไม่ดีเลย ลูกน้องไม่ได้ดั่งใจเหรอคะ”


เสียงหวานใสยังคงพูดเอาอกเอาใจ แต่มันไม่ช่วยให้ผมดีขึ้นสักนิด เธอค่อย ๆ โน้มตัวลงมาหาแล้วกดจูบที่คอผม เมื่อคืนมันยังพอโอเค แต่ตอนนี้มันกลับน่ารำคาญไปหมดก็เพราะข้อความที่พิกส่งมา 


“ไปอาบน้ำเถอะ อีกพักผมต้องออกไปทำงานแล้ว”


ผมไล่เธอทั้งที่ตาก็ยังจับจ้องอยู่บนมือถือเครื่องกะทัดรัด ผู้หญิงที่ผมพามาได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วหายเข้าห้องน้ำไปเพราะเธอรู้ว่าจะไม่ได้อะไรจากผมเนื่องจากเราตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ผมไม่รู้ว่าทำไมต้องปล่อยเวลาให้นานออกไปอีกนิดทั้งที่พิกอาจกำลังคอยคำตอบจากผม แต่หากตอบกลับไปทันที มันก็คงดูราวกับว่าผมจงใจเกินไป


4.20  PM  พรุ่งนี้ค่ำ ๆ แล้วกันครับ ช่วงนั้นผมไปทำงานแล้ว 


สุดท้ายก็หยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความแล้วส่งกลับ ผมนั่งจ้องมือถืออย่างนั้นอยู่สักพักจนมันขึ้นอ่าน แต่ก็ไม่มีข้อความอะไรตอบกลับมาหลังจากนั้น ผมนั่งกดหน้าจอย้ำ ๆ อยู่หลายหนเพราะมันมืดดับไปจากการเปิดค้างไว้นาน จนเธอคนนั้นออกมาจากห้องน้ำก็ยังไม่มีทีท่าว่าพิกจะส่งกลับมา


ใจหนึ่งก็คิดว่าดีแล้วที่เขาไม่ส่งกลับมา
แต่อีกใจมันเหมือนกับโดนทุบ..


ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเขาต้องมาทำดีกับผมอย่างนี้ เพราะชอบผมเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้นพิกก็คงเป็นคนที่ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองมาก น่าขำ...ทั้งที่โดนผมทำขนาดนั้นใส่แล้วยังเป็นห่วงว่าผมจะไม่มีเสื้อผ้าใส่อีก


คิดถึง...


ผ่านมาไม่กี่วันที่ไร้เงาของเขา แค่ไม่กี่วันชีวิตของผมก็เหี่ยวเฉาไปขนาดนี้ มันทำให้ผมไม่อยากนอนบนเตียงที่เคยมีเขา ถึงแม้จะไม่นานนักแต่ช่วงเวลาที่เขามาอยู่กับผมก็ทำให้ผมรู้สึกว่าห้องนี้เป็นบ้านขึ้นมาก 


แต่เราไปด้วยกันไม่ได้...ไม่มีทางไหนเลยที่ผมกับพิกจะเข้ากันได้ ไม่ต้องให้หมอดูสำนักไหนมาบอกก็พอจะเดาได้ว่าถึงได้คบกันมันก็ดีแค่ในระยะแรก... ผมไม่อยากถลำตัวลงไปหาพิกทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าในอีกไม่นานเราคงจะต้องเลิกกัน 


แล้วถ้าหากผมรักเขามากกว่าที่เขารักผมล่ะ?


ตอนนี้พิกเพิ่งรู้ตัว เขากำลังเต็มร้อย แต่เมื่อเขาต้องอยู่กับคนที่เอาแต่ทำงานอย่างผม คนที่หงุดหงิดเอาแต่ใจ นิสัยไม่ดีอย่างผม...เขาจะรับความงี่เง่านี้ได้อย่างเต็มใจไหม?


มันอาจดูทุเรศถ้าผมบอกว่าที่เราทำมันก็เล่นกัน แต่ในหลาย ๆ ความรู้สึกเหล่านั้นคำว่า ‘หวง’ จากผมไม่เคยมีครั้งไหนที่ไม่จริงเลย


ผมเกลียดตัวเอง...ที่เอาแต่นึกถึงเขา
เกลียดที่เอาแต่คิดถึงทั้งที่ทำลายเขาไปแล้วด้วยสองมือของตัวเอง




GIANT’s PART


วันนี้โนบิตะไม่ได้มาเรียน


น่าแปลกที่นักเรียนดีเด่นอย่างมันขาดทั้ง ๆ ที่นี่เป็นวันแรกของการเปิดเรียน ดังนั้นความตั้งใจของผมที่คิดจะลากมันไปปรับความเข้าใจกันสองต่อสองจึงต้องพับไปก่อนเมื่ออีกฝ่ายหนีหนาไม่ยอมมาอย่างนี้


“แล้วกลับบ้านเลยไหม มึงน่ะ”


เพราะวันนี้เรียนแค่ครึ่งวัน จึงทำให้มีเวลาว่างเหลือพอจะไปเล่นเกมที่บ้านไอ้ชาน อันที่จริงก็ตกลงกันไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถ้าไม่ติดว่าไอ้เตี้ยไลน์มาขอนัดเจอเสียก่อนเพราะวันนี้มันไม่ได้เข้าเรียน


‘เจอกันที่ร้านกาแฟหน้าคณะ’


ผมเปิดไลน์อ่านทวนอีกครั้งเพื่อดูว่ามันไม่ได้เปลี่ยนสถานที่ แล้วจึงบอกไอ้ชานว่านัดพบกับไอ้เฮีย ทีแรกไอ้ซูเนโอะเพื่อนรักก็ไม่คิดจะตามมาหรอกเพราะมันยังโกรธไอ้เตี้ยนั่นอยู่ แต่พอจี้ถามผมได้ความว่าถ้าคุยจนเย็นแล้วอาจจะไม่ไปบ้านมัน แค่นั้นมันก็เปลี่ยนใจเลือกอยู่รอแทน


...แต่ขอรอแบบไม่เข้าไปเจอหน้าไอ้เฮียนะ


“ว่าไงมึง”


เข้ามาถึงในร้านก็เห็นไอ้เฮียอยู่ในชุดไปรเวทกำลังดูดอเมริกาโน่เข้าปาก ไอ้เตี้ยนั่นเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นผมก็โบกมือหย็อย ๆ ใต้ตาดำคล้ำเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน


“สั่งอะไรก่อนไหม”


มันชี้ไปทางเมนู โดยที่มืออีกข้างยังถูอยู่ที่แก้ว ท่าทางของมันดูลังเลที่จะพูดอะไรออกมา ดวงตาของมันไม่ได้มองที่หน้าผม แต่กลับเสไปมองทางอื่นแทน


“ไม่ล่ะ เข้าเรื่องเลยดีกว่า” ผมเอนหลังพิงพนัก กอดอกมองหน้ามันอย่างจริงจัง “ไหนจะพูดอะไรกับกู” 


“กู...”  ไอ้เฮียกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ มันละริมฝีปากออกจากหลอดดูด “อืม...กูขอโทษว่ะ”ในที่สุดมันก็กล้าพูดออกมาตรง ๆ อันที่จริงขอโทษในไลน์แล้วก็จบ แต่อย่างนี้ดูเป็นลูกผู้ชายกว่า ผมนับถือในความกล้าหาญของมันที่กล้าทำแล้วกล้ารับผิดอย่างแมน ๆ


“ไม่เป็นไร กูหายโกรธมึงแล้ว” ผมเหลือบตามองออกไปนอกหน้าต่าง พลางพยักเพยิดหน้าไปทางไอ้ชานที่นั่งรออยู่ข้างนอก “...แต่ยังมีอีกคนที่โกรธมึงอยู่ นั่งอยู่ข้างนอกโน่น”


ไอ้เฮียมองตามออกไป มันระบายลมหายใจออกมาเมื่อเห็นท้ายทอยของอีกคนกำลังเงยขึ้นมองฟ้า “กูไม่กล้าขอโทษมันว่ะ” 


“ทำไมวะ” ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ กับอีแค่ขอโทษไอ้ชานมันจะไปยากอะไร ในเมื่อก่อนหน้าทั้งคู่ก็ดูสนิทกันดี ถ้าเอ่ยปากพูดตรง ๆ แล้วก็คงจะเข้าใจกันมากขึ้นไม่ใช่เหรอวะ


“ก็...เพราะทั้งหมดแม่งจริงครึ่ง ไม่จริงครึ่งอะดิ” สายตาของไอ้เตี้ยดูเลิ่กลั่ก มันจับหลอดกาแฟดูดอีกหน แต่คราวนี้คงไม่สาแก่ใจ ดูดไปได้ไม่กี่อึกก็ดึงหลอดออกแล้วยกดื่มรวดเดียวหมดแก้วจนเหลือแต่น้ำแข็ง


“หมายความว่าไง” ผมหรี่ตามองมัน เริ่มจับสังเกตจังหวะแปลก ๆ ในน้ำเสียงนั่นได้


“...”ไอ้เฮียไม่พูดอะไร แต่เป่าลมหายใจจนผมกระจาย นั่นยิ่งเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นให้ผมได้มากกว่าเดิมเป็นสิบเท่า


“เชี่ย-เฮีย”

ผมกดดันมันด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นยิ่งขึ้น ไอ้เฮียไม่พูด แต่คว่ำปากแล้วลอบมองไปทางไอ้ชานที่นั่งอยู่ด้านนอกด้วยแววตากังวล


“ขอเวลากูหน่อยสิ...กูกำลังคิดว่าจะพูดดีรึไม่พูดดี”


“จะพูดอะไรก็พูดมา อย่าลีลา ไม่งั้นจากไม่โกรธกูจะโกรธมึงให้” 


“แต่ถ้ากูพูดไป มึงก็อาจจะหาว่ากูโกหก” 


“ก็แล้วถ้ามึงไม่พูดกูจะรู้ไหมล่ะว่าโกหกไม่โกหก...โตแล้วนะเว้ย มีวิจารณญาณเป็นของตัวเอง... มีอะไรก็พูดสิวะ เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” 


ชักเริ่มจะหงุดหงิดแล้วครับ ทุกอารมณ์ในหัวตอนนี้เกิดขึ้นเพราะไม่เข้าใจว่ามันจะอิดออดไปทำไม ไอ้เฮียที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอาแต่เม้มริมฝีปาก ในขณะที่ผมก็จ้องมันไม่วางตา


“โอเค ๆ บอกก็ได้” ไม่มีเล่ห์กลในดวงตาของมัน นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าคำพูดที่ไอ้เฮียจะพูดต่อไปนี่เป็นอะไรที่จริงจังที่สุดตั้งแต่เริ่มมาสนิทกัน “...อย่าเพิ่งตกใจนะ คือ...”


“...”


“ไอ้ชาน มันชอบมึงว่ะพิก”


“...”


“มันชอบมึงจริง ๆ แล้วไอ้ที่กูพยายามทำทุกอย่างก็แค่คิดว่าจะทำให้พวกมึงรู้ใจตัวเองได้เร็วขึ้น...เพราะกูคิดว่าพวกมึงน่าใจตรงกัน” สีหน้าของมันดูรู้สึกผิดจริง ๆ ในเวลานี้ “เอาจริง ๆ กูก็รู้เรื่องมึงกับเก้า แต่ก็คิดว่าแค่เล่น ๆ เพราะเก้ามันดูไม่อะไรเลย...กูรู้จักแม่งข้างนอก รู้อยู่แล้วว่ามันไม่เคยคิดคบใครจริงจัง” 


“...”



“แต่กับไอ้ชาน...กูก็ไม่คิดว่ามันจะมีปฏิกิริยาขนาดนั้น...ไม่คิดว่าจะทำให้เป็นเรื่องบานปลายขนาดนี้ ขอโทษว่ะ”   


ราวกับลมหายใจขาดห้วง นาทีที่ไอ้เฮียขยับปากนั้นหูผมได้ยินเป็นเสียงมันพูดยานคางคล้ายกับโดนกดปุ่มให้สโลว์โมชั่น ไม่รู้ว่าคำไหนกันแน่ที่กำลังกรีดใจผม ระหว่าง ‘เก้าแค่เล่น ๆ’ กับ ‘ไอ้ชานมันชอบมึง’  และมันจะไม่อะไรเลยถ้าไอ้คนที่อยู่ด้านนอกในตอนนี้ไม่ได้หันมาเคาะกระจกจนเกิดเสียงดัง ก๊อก ๆ


‘อีกนานไหม’


ผมกับไอ้เฮียหันไปมองคนที่อยู่นอกหน้าต่างโดยไม่ได้นัดหมาย อ่านปากก็จับใจความได้ว่าไอ้ชานกำลังเร่งให้ผมรีบกลับไปกับมัน ดวงตากลมโตคู่นั้นตวัดมองไอ้เฮียแค่แวบเดียวก่อนจะเสไปมองทางอื่น เชื่อว่าไอ้เฮียคงรู้สึกแย่แน่นอน แต่ผมสิ...แย่กว่า รู้สึกได้ถึงอาการชาที่วิ่งขึ้นมาจากปลายหัวแม่โป้งเท้าเลยทีเดียว


เกิดเดดแอร์กันไปพักใหญ่ระหว่างผมกับไอ้เฮีย เรานั่งมองหน้ากันไปมาอยู่อย่างนั้นจนเสียงโทรศัพท์ของมันดังขึ้น เชื่อไหมว่าทั้งที่มันกรอกเสียงคุยกับปลายสายอยู่ฝั่งตรงข้ามแท้ ๆ แต่หูผมกลับไม่ได้ยินอะไรเลยแม้แต่เสียงเครื่องทำกาแฟที่ดังอยู่เนือง ๆ ตลอดบทสนทนา


“เดี๋ยวกูต้องไปแล้ว นัดกับแม่เอาไว้” วางสายเสร็จมันก็ก้มมองนาฬิกาแล้วส่งยิ้มเจื่อน ๆ มาให้ “...ยังไงก็เหอะ ถ้ามึงคิดว่ากูพูดมามันไม่จริง มึงก็ลองถามไอ้ชานดูเอาเองนะ”


“...”


“กูคิดว่าน่าจะได้คำตอบที่ดีกว่ามาฟังเอาจากปากคนอื่นอย่างกู” 


พูดจบมันก็ลุกออกจากที่นั่งไป โดยทิ้งผมเอาไว้กับคำพูด และความคิดแปลกประหลาดที่ก่อตัวขึ้น แน่นอนว่าไอ้เฮียไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ มันทำตัวเหมือนกามเทพสื่อสารมาแล้วก็จากไป แต่คนที่มีผลกระทบกับเรื่องนี้จริง ๆ คือผม ไอ้ชาน แล้วก็ไอ้เก้า


จะทำยังไงดีวะ...ควรจะรู้สึกยังไงดีกับที่เรื่องราวมันกลายเป็นแบบนี้ ใจหนึ่งยอมรับเลยว่าอึ้ง แต่อีกใจผมกลับรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เชี่ยวชาญต้องแบกรับความรู้สึกใด ๆ ก็ตามที่มันเพิ่งรู้อยู่คนเดียว


ภาพที่มันตักผักให้ ภาพที่มันไปรับไปส่งผมไปไหนมาไหนแทบจะตลอด ภาพที่เราเล่นเกมด้วยกัน จนถึงภาพล่าสุดที่มันจูบผม และปลอบผมโดยไม่พูดอะไรมากเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาไหลย้อนกลับมาให้ผมได้ทบทวน อันที่จริงท่าทีของมันก็แสดงออกชัดเจนมาแต่แรกอยู่แล้ว ติดอย่างเดียวก็เพียงแค่ว่า มันไม่รู้จักตัวเองก็เท่านั้น


สำหรับผมไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิด จะว่าไงดี ถ้าที่ผ่านมาผมไม่ได้ประสบพบเจอเรื่องเหี้ย ๆ เกี่ยวกับความรักมาเองก็คงนึกรังเกียจมันอยู่เหมือนกัน แต่เพราะเจอมาแล้วถึงคิดว่าควรทำตัวยังไงก็ได้ให้ไอ้ชานไม่ต้องรู้สึกอึดอัดใจ...เพราะยังไง มันก็คือเพื่อนของผม


เพื่อนสนิท...ที่ผมรักที่สุด


________________________________________________________



จริงๆ จะจบอีกสาม แต่แยกออกมาได้หลายตอนมา
มีฉากที่สามารถตัดได้ เลยตัดออกมาให้ระทึกใจกัน  :z3:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 18-01-2016 11:00:55
กามเทพมาแล้วก็จากไป
อีกสามคนที่เหลือก็อยู่กับความสัมพันธ์ที่เหมือนภาพจิ๊กซอว์ที่แตกกระจัดกระจาย
จะต่อยังไงก็ไม่เหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 18-01-2016 12:24:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 18-01-2016 13:37:24
 :o12:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 18-01-2016 13:51:04
ใจนึงก็อยากให้พิกได้กับเก้าแต่อีกใจก็อยากให้ได้กับชาญเหมือนกัน :ling2:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 18-01-2016 16:34:37
โหยยยย พิกใจใหญ่มาก ดีแล้ว ถนอมหัวใจเพื่อนสนิทตัวเองอ่ะถูกต้องแล้วเพราะไงเพื่อนก็คือเพื่อนเนอะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 18-01-2016 18:15:16
ไม่รู้สิแต่คิดว่าอิเฮียเลวค่ะ
ปากว่างมากก็น่าจะหาอะไรคาบเสียยังจะดีเสียกว่า
ในเมื่อสร้างสถาณการสารพัดนี่ก็แค่ความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง
ที่คิดว่าเป็นแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้
ทำเรื่องขึ้นมาแล้วไม่รับผิดชอบเ-ี้ยอะไรเลย
สมน้ำหน้าที่นอกจากเงินแล้วก็ไม่มีใครอยากคบก็เพราะนิสัยเป็นแบบนี้
เหมือนกับว่านางสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อกันพิกออกจากเก้า
เหมือนหวงเก้า  ไม่อยากให้นางไปกับใคร  หรือไม่อยากให้เก้ามีความสุขกับใคร
ชาญอาจจะรักพิกแบบจริงๆจังๆ แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเฮียที่ควรมากวนน้ำให้ขุ่น
เพราะถ้าหากว่ามันเป็นไปตามนั้นไมไ่ด้ขึ้นมา เพื่อนก็อาจจะมองหน้ากันไม่ติดก็ได้

แหยงเก้าพิกล  ในเมื่อเก้าเลือกแล้ว 
พิกก็อาจจะใจให้กับชาน ลองดูๆกันในสายตาใหม่ก็ไม่ผิดนะ
ให้โอกาสตัวเอง
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 18-01-2016 18:35:15
เลือกชาน ช่างเก้ามัน
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: iammilk ที่ 18-01-2016 19:42:29
โนบิตะะะะะะะะะะะะะะ เราเข้าใจนายนะ แต่อีกใจหนึ่งก็เหมือนไม่เข้าใจอ่ะ พยายามหนีอยู่หรออ หนีจากความรู้สึกนี้ กลัวจะเจ็บใช่มั้ย กลัวจะเสียใจใช่หรือป่าว แต่ไม่ลองก็ไม่รู้หรอกนะ มันอาจจะสุขบ้างเศร้าบ้างทะเลาะบ้าง แต่นั่นมันคือความรักนะะะะะ ไม่ลองไม่รู้หรอกว่าจะดีหรือร้าย แต่หนีไปเรื่อยๆแบบนี้ไม่มีไรดีขึ้นหรอกกกกกกกก
ไจแอนนสู้ๆๆๆๆ ความรักของนายจะต้องประสบความสำเร็จจจจจจจจจ
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 18-01-2016 19:52:35
ไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไงดี แต่รู้อยู่อย่างนึงว่ามาถึงตอนนี้ เกลียดไอ้เฮียมากขึ้นจากที่แค่หงุดหงิดรำคาญ

คือ จะวุ่นวายกับคนอื่นไปถึงไหน ไอ้เฮียยยยเตี้ยยย  :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 18-01-2016 20:29:37
เคลียกันให้ดีน้าาาาาา
เพื่อนกัน คุยกันดีๆ อย่าให้เสียเพื่อนน้าา
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 20-01-2016 13:14:31




ืคือ ถึงเราจะโปรเก้านะ แต่เราว่าชานนี่เป็นคนที่น่าเลือกมากเลย
แบบว่า ชานดีอ่ะ... และสงสารชานล่วงหน้าเลย ถ้าพิกตัดใจจากเก้าไม่ได้ (ก็แน่ล่ะ... เค้ารักกันนี่เนอะ)
โปรดส่งใครมารักชานที อยู่ตรงนี้มันหนาวเกินไป!!! ป้าสงสารหนูจริง ๆ ลูก ดูดิ๊... เม้นท์คู่หลักไม่ออกเลย!
ส่วนไอ่เฮี่ย... นอกจากเรื่องใช้เงินแล้ว เก่งเรื่องอะไรอีกมั่งวะ? กระทั่งแก้ปัญหา เอ็งยังค้าง ๆ คา ๆ แถมยังมาวางระเบิดทิ้งท้ายเอาไว้อีก เฮ่อ! เพลียกับไอ่เฮี่ยนี่จริง ๆ !

เป็นกำลังใจให้นะคะ อย่าเพิ่งท้อ... มีคนรออ่านอีกเยอะเลย สู้ ๆ !!  :กอด1:


หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 20-01-2016 14:23:05
ตำแหน่งเพื่อนมันช่างค้ำยันเหลือเกิณสินะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 24-01-2016 23:13:29
อ่านถึงตอนล่าสุดนี่อึดอัดมาก เก้านี่ก็ชอบคิดแทนคนอื่นเนอะ อะไรดีไม่ดีกับตัวดิก พิกก็รู้ไหม ทำไมต้องผลักทิ้งทั้งที่เมื่อก่อนดึงพิกกลับมาแล้วกลับมาอีก เป็นคนทำให้พิกมายุ่งกับตัวเองแท้ๆ ไม่ชอบเลย อยากให้พิกทำอะไรคืนบ้าง ส่วนเรื่องชาน เพื่อนนี่คิดหนัก ยิ่งมาแอบชอบตัวเองอีก เชียร์พิก เชียร์คนเขียน
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: alice2488 ที่ 14-02-2016 01:00:22
#อยากได้เวอร์ชั่นในเล้าค่ะ

โนบิทำไมทำแบบนี้ยยยยย
สงสารพิก #ชอบแบบชาน #แต่พอดีทีมเก้า
สู้ๆ นะคะ อีกไม่กี่ตอนจะจบแล้วหรอคะ TT
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Nattiz ที่ 14-02-2016 17:35:44
ไหนใครว่าโนบิเวอร์ชั่นนี้ร้าย... ความคิดนางออกจะเป็นพระเอกขนาดนี้


พระเอกกับผีนะสิ!!!! พิกต้องสตรองค์นะคะ ขอร้อง โมโหเก้ายังไงไม่รู้
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 14-02-2016 18:15:13
อยากอ่านต่อแล้วววว คิดถึงเก้าพิก  :katai4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 14-02-2016 22:42:43
ทำเสียเรื่องแบบนี้ จับคู่อิเฮียกับชาน
ส่วนเก้ารีบคิดได้แล้วมาง้อเมียด่วน
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 17-02-2016 00:19:39
ถ้าเก้าจะขี้ป๊อดแถมป่กร้ายขนาดนั้นก็ปล่อยพิกไปเหอะว่ะ แค่ซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองยังทำไม่ได้
แต่ก็เข้าใจอยู่บ้าง คนมันมีปมชีวิต

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 03-03-2016 01:27:33
ระเบิดลูกใหญ่มาก  :ling2:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 02-10-2016 09:59:51
อยากกอ่านต่อ ฮือๆๆๆๆ :ling1: :katai1: :sad4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: FonJuz ที่ 06-10-2016 20:09:27
คนเขียนไปไหนน้ออออออ
อยากอ่านต่อมากกกกก
 :ling1: :katai1: :hao5:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: jaoosb ที่ 07-10-2016 03:00:13
เข้ามาอ่านยาวเลย 5555
สนุกมากเลยค่ะ ขอให้โนบิตะยังไม่คืนดีกับไจแอนท์น้าา
หมั่นไส้พระเอกมากๆเลย ขอให้มีอุปรรคเยอะๆ เป็นกำลังใจให้นักแต่งค่ะ
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: jaoosb ที่ 10-10-2016 23:13:58
หายไปไหนค้าาา
กำลังติดตามเลยอ่ะ อย่าหายไปนะ รีบๆมาต่อนะคะคนเขียน
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: diszalove_ ที่ 16-11-2016 14:56:17
บอกได้คำเดียวเลยค่ะ อยากให้พิกให้โอกาสชาน
ชานมีแต่พิกคนเดียวมาตลอด ลองให้โอกาสเขาได้ไหม?
เก้าเป็นคนที่เห็นแก่ตัว พิกเป็นคนที่ยึดติดพอๆ กับชาน
ให้พิกลองดูกับชานได้ไหมคะ? เราไม่อยากให้ชานเจ็บ
เราอยากให้ชานมีอะไรดีๆ ในชีวิตบ้าง ส่วนเฮียก็แค่คนขี้เล่นคนหนึ่ง
เฮียเป็นเหมือนตัวละครที่แทนคนภายนอกที่เป็นเพื่อนเลยขี้เสือกไปหน่อย
เราไม่รำคาญเฮียเท่าไหร่ แต่รำคาญเก้าแทน ถ้าพิกจะคบกับชาน
เราก็โอเค เราขัดใจตรงนายแม่ แบบว่ารักลูกไม่เท่ากันเหรอ? หรือไงดีล่ะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 23-12-2016 21:05:21
 อ่านรวดเดียวเลย. ขอเม้นท์ยาวๆ ทีเดียวเลยนะ คนเขียนสู้ มาต่อด้วยนะคะ. พลีสสส
พิกเอ้ย น่าสงสารนะ อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ คนที่ชอบก็ผลักไสเราออกมา ส่วนเพื่อนสนิทก็คิดเกินเพื่อน นางคงลำบากใจแทบตาย ไม่อยากเสียเพื่อน ไม่อยากทำให้เพื่อนเสียใจ แต่จะให้ตอบสนองความรู้สึกของชานมันก็มีคนอื่นในใจอยู่แล้ว. ถ้าดึงชานมาเยียวยาเเผลใจ ให้ลืมใครอีกคน ก็ไม่เเนะนำนะ. ถ้าคิดกับชานแบบเพื่อนเท่านั้นจริงๆ รักษามิตรภาพเพื่อนแท้คนไว้เถอะ มันยั่งยืนยาวนานมากกว่าความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักแน่แท้
ไม่ต้องเลือกใครก็ได้นะ. จริงๆ มีเพื่อนแท้รักษาไว้ ส่วนใครที่ผลักไสก็ปล่อยไปเถอะ อย่าง้อมันเลย ที่ผ่านมายอมมันมากไปแล้ว จนคิดว่าง่ายไปอีก  ปลดแอกจากการเป็นทาสเถอะ ไม่ทำ5ไรเลย นอกจากยัดเยียดความเป็นผัวแบบนี้อย่าทน
โว่ะ สุดท้ายขอด่าเชี่ยเฮีย เผือกจนเป็นเรื่อง เล่นสนุกกับความรู้สึกคนอื่น  คิดง่ายๆว่าทำตัวเป็นคิวบิก นี่ชีวิตคน ความรู้สึกคนจริงๆ นะ พอมันไม่เป็นอย่างที่คาด ความรู้สึกความสัมพันธ์ชาวบ้าน เค้าวุ่นวายบิดเบือนไปหมด
จุดชนวนแล้วก็เปิดตูดหนี แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน
รู้ล่ะ ทำไมเฮียมันไม่มีเพื่อน ต้องใช้เงินซื้อเพื่อน เป็นคนแบบนี้ เราก็ไม่คบ กลัวมันจับเราทดลองทำอะไรแบบไม่คิด
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Minzero ที่ 29-12-2016 16:14:29
มาต่อเถอะน๊าาาาาา :katai1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Panizzz3838 ที่ 26-02-2017 19:12:23
........ :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: sinee ที่ 23-06-2017 16:02:33
มาต่อได้แล้วววววว มันค้างคานะ งืออออ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 29-06-2017 17:54:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 04-07-2017 09:10:17
ตามอ่านมารวดเดียว อะจ๊ะ :a5: ยังไม่จบหรอกรึ  :katai1: ตอนแรกนึกว่าจบแล้วววว :mew5: อุส่านึกว่าอ่านรวดเดียวจบไม่เป็นไร ไม่ต้องหน่วงมาก รู้สึกว่าพลาดอย่างแรงรู้งี้น่าจะอ่านจั่วหัวก่อน :เฮ้อ: แต่ข้อดีคือได้คอมเม้น อยากจะให้ชานเป็นพระเอกอยู่นะ แต่มันน่าจะเป็นของเก้ามากกว่า แต่ถ้าเอาจริงๆแล้ว ถ้าพิกเลือกเก้าปุ๊บ มองหน้าชานไม่ติดเลยจ้าาา  :katai1: ถ้าเลือกชาน ก็หน่วงอีก :seng2ped: รอดูแนวต่อไป
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Kangpla:) ที่ 08-11-2017 20:10:58
เราทีมเก้านะ แต่เราชอบชานอ่ะ นางดูเอาใส่ใจ แต่ก็ยังทีมเก้าอยู่ อยากให้เก้าชัดเจน คิดอะไรก็พูดออกมาไม่ใช่เก็บไว้แล้วคิดไปเอง ยังรอให้มาต่ออยู่นะคะ :z3:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 11-11-2017 23:46:54
มาต่อได้แล้วค่าาาาาา
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: BloodyBlue ที่ 12-11-2017 01:51:47
 :z3: ไม่ต่อจนจบหรอคะ แงงงงงง รอน้าาสส :hao5:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 18-11-2017 10:25:28
มาต่อเถิดกำลังมัน  :z12:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 21-12-2017 13:20:49
พิกจอมซื่อบื้อ ถ้าจะเลือก เลือกชานดีกว่า

อยู่กับคนที่เข้าใจดีกว่า  :hao3:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 03-07-2018 19:37:13
งือออรอติดตามอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 04-07-2018 01:10:59
เฮียนี่คือตัวปลดล๊อคใช่ไหม ถ้าไม่มีเฮีย พิกจะบื้ออีกนานไหม ก็เข้าใจแหละว่าคนไม่คิด ทำอะไรแสดงอะไรมันก็ไม่คิด ยังไงก็เชียร์เก้าอยู่ ทุกอย่างมันเป็นไปตามแนวทางจริงๆ เก้าคิดเยอะตามนิสัยของคนที่โตเกินตัว คิดหน้าคิดหลัง คิดโน้นนั่นนี่ ส่วนพิกอื่อก็พิกนั่นแหละ สงสารลูกเอ้ย นี่ต้องทนอึดอัดงงๆอยู่แบบนี้อีกนานเท่าไร ขอให้คลี่คลายไวๆ อีกนัยนึงก็รีบมาต่อนะคะ ดีใจที่กลับมาเขียน ดีใจที่จะได้อ่านอีกนะคะ นึกว่าเพิ่งเอามาลงวายไทยแต่ที่ไหนได้ลงไว้ตั้งแต่ 58 วันนี้เห็นในทวิตก็เลยตามมารวดเดียวเลย สู้นะคะ ขอบคุณที่เขียนงานดีๆให้อ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 04-07-2018 06:28:11
ทำไมเราพึ่งเข้ามาอ่านเนื้อเรื่องสนุกกกก โนบิตะดู๊ดุ :hao6:
ส่วนชานก็ต้องเข้าใจนะบทพระรองเหมาะกับนายสุดแล้วเพื่อนรัก.อยากให้พิทกับเก้ารีบปรับความเข้าใจกันนน :hao5:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 21 (18/01/16) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 05-07-2018 00:05:42
22
ZUNEO’s PART
 



พิกดูเงียบผิดปกติ...


หลังกลับมาจากมหาลัย พอแวะร้านกาแฟไปเจอไอ้เฮียก็เหมือนกับว่ามันถูกขโมยความสดใสไป ผมไม่เห็นมันยิ้มเลยตั้งแต่เดินออกมาจากร้านนั้น ไม่รู้ว่ามันกับไอ้เฮียพูดอะไรกัน แต่ที่แน่ ๆ สิ่งนั้นทำให้ผมกระวนกระวายใจ


ผมนอนอยู่บนเตียง ลอบมองเสี้ยวหน้าของพิกที่นั่งหันหลังกดเกมเพลย์อยู่หน้าจอทีวีห่างออกไปจากปลายเท้าของผมประมาณหนึ่งคืบ ตอนนี้เราอยู่ด้วยกันสองคนบนห้องของผม ทีแรกพิกบอกปัดอยากจะกลับบ้าน แต่ผมก็ยังรั้งเอาไว้ ดึงดันจะให้มันมาเพียงเพราะอยากใช้เวลากับมันแค่สองคนโดยไม่ต้องมีใครมารบกวน


บ้านะ ว่าไหม? ก็แค่อยากใช้เวลาด้วยกันเท่านั้นเอง
ก็เพิ่งรู้ว่าความรู้สึก ‘ชอบ’ มันมีอิทธิพลมากมายขนาดนี้
...ขนาดที่ว่า แค่เห็นด้านหลังของมันก็ยังใจเต้นจนเจ็บ


“เฮ้ย ไอเท็มนั้นเก็บขึ้นมาด้วย มันจะช่วยเตือนว่าพาร์ทหน้ามึงจะต้องเจอกับอะไร” 


ผมร่นตัวลงไป เอาเท้าสะกิดหลังพิก และน่าแปลกใจมากที่ปฏิกิริยาหลังจากนั้นคือ...มันสะดุ้งสุดตัวอย่างกับว่าผมเอาน้ำร้อนไปราดใส่


“อ..อ๋อ เออ โอเค ขอบใจมากนะมึง”


ไม่รู้ว่าจิตใจมันไปผูกอยู่กับอะไร ทำไมถึงได้เหม่อลอยขนาดนั้น ดูเอาเหอะ ขนาดไอเท็มที่มันรับคำว่าจะเก็บเมื่อตะกี้ยังวิ่งผ่านเลยไป...นั่นแสดงให้เห็นว่าสมาธิของมันไม่ได้ติดอยู่กับเกมเลยแม้แต่น้อย


แปลก...


ปกติพิกไม่เป็นอย่างนี้ด้วยซ้ำ มันเป็นคนที่ตั้งใจเล่นเกมมากประหนึ่งว่านี่คือทั้งชีวิตของมัน ขนาดที่เคยสัญญาเอาไว้ด้วยกันว่าวันหนึ่ง...ถ้าจบออกไปจะเปิดบริษัทเกมด้วยกันเพื่อบรรลุสู่จุดสูงสุดในชีวิตของพวกเรา


เห็นสัญญาณแปลก ๆ จากปฏิกิริยาของมัน ผมก็ตั้งใจจะเอ่ยปากถาม แต่ยังไม่ทันจะได้เปล่งเสียง มือถือที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างตัวก็แผดเสียงดังขึ้นมาเสียก่อน


‘ไลน์’
‘ไลน์’
‘ไลน์’



ผมจับโทรศัพท์ขึ้นมากดหน้าจอเพื่อดูแจ้งเตือน ทีแรกเห็นว่าเจ้าของข้อความเป็นใครก็ไม่คิดจะกดเข้าไปอ่านด้วยซ้ำ... กะจะวางมือถือทิ้งแล้วไปนอนดูพิกเล่นเกมต่ออยู่แล้วเชียว ถ้าไม่สะดุดกับข้อความสุดท้ายเอาเสียก่อน...


‘แล้วนี่พิก....’


อยู่ ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความฉิบหายที่มาเยือน รู้สึกเหมือนถูกต่อยหน้าด้วยคำว่า ‘เพื่อน’ อีกหน มันชาไปหมดจนหลังเปลี้ย ความเย็นจากแอร์ที่ตอนแรกทำอะไรไม่ได้ตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าจะแข็งตายทันทีทีเปิดมาเจอข้อความของไอ้เฮีย


                                                              6 : 47 PM  กูขอโทษนะ...ขอโทษที่ไม่ได้พูดต่อหน้ามึงด้วยตัวเอง
                                                              6 : 47 PM  กูก็แค่หวังดีอยากให้พวกมึงรู้ใจตัวเองกันสักที
                                                              6 : 47 PM  แล้วนี่พิกไปถามมึงหรือยัง?


ผมขมวดคิ้วทันทีที่ไล่สายตาอ่านจนจบ ความอยากรู้อยากเห็นมันประดังประเดเข้ามาเหมือนคลื่นซัดสาด ทุกอย่างตีรวนไปหมดทั้งสมอง ทำไมพิกถึงต้องมาถามอะไรผมด้วย ไอ้เฮียพูดอะไรพิกอีก...หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนผิวแทนของผมมีท่าทีอึก ๆ อัก ๆ ตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา


ถามอะไร มึงพูดอะไรกับพิก   6 : 47 PM


ผมพิมพ์ข้อความกลับไปหา และทันทีที่ส่งไป อีกฝั่งก็ขึ้นอ่านทันที


                                                              6 : 48 PM  เรื่องของมึงกับพิก
                                                              6 : 47 PM  กูบอกพิกไปแล้วนะ ว่ามึงชอบมันอะ


ลำคอของผมแห้งผากเมื่อได้อ่านประโยคนั้น ไอ้เฮียเล่นผมอีกแล้ว มันทำแบบนี้อีกแล้ว นั่นทำให้ผมรีบหันไปมองเสี้ยวหน้าของอีกคนที่กำลังจดจ่ออยู่กับหน้าจอทีวีด้วยความกังวล


อา...ใจผมตอนนี้เหมือนกับว่าจะถูกบีบจนแทบสูบฉีดเลือดต่อไม่ได้แล้ว
จนถึงตอนนี้พิกก็ยังไม่ถามอะไรผมเลย...นั่นหมายความว่ามันรู้แล้วแต่ยังเฉยอยู่งั้นเหรอ?
เพราะอะไรล่ะ...


“เฮ้ย ! ไอ้ห่า กำลังจะเข้าได้เข้าเข็มแล้ว ไอ้สัดนี่ เอาจอยคืนมา”


โดยไม่รอให้ตัวเองได้อารมณ์เย็นลง ผมก็ลุกขึ้นจากเตียงก้าวฉับ ๆ ไปหาเพื่อแย่งจอยออกจากมือพิก ซึ่งก็ตามคาด คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นร้องออกมาอย่างหัวเสีย


“ไอ้เหี้ยยยยย ชานนนนน เดี๋ยวตายยยย”


มันยังคงแสดงท่าทีเหมือนกับว่าเป็นปกติทั้งที่ไม่สบตาผมเลยด้วยซ้ำ เห็นอย่างนั้นแล้วความน้อยใจที่ไม่เคยมีก็ก่อตัวขึ้นจนอึดอัดไปทั้งอก


“พิก...” ผมเรียกเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงจริงจัง และนั่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายชั่วโมงที่มันยอมช้อนตาขึ้นมามองผมตรง ๆ  “รู้แล้วทำไมไม่พูด”


“รู้อะไร” มันขมวดคิ้วแล้วหันหน้าไปอีกทาง... ที่จริง แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่ามันรู้ทุกอย่าง เห็นอย่างนั้นผมจึงทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ ที่ข้างตัวมัน แล้วเอื้อมมือไปจับหัวให้หันหน้ามาสบตากัน กลืนน้ำลายก่อนจะตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด


“เรื่องที่กูชอบมึง”


ราวกับว่าทุกสรรพเสียงเงียบไป คราวนี้พิกดูตกใจกว่าเดิมจนเผลอเบิกตาโพลงใส่ผม


เราสองคนเงียบใส่กันโดยที่ผมยังนั่งยอง ๆ อยู่อย่างนั้น พิกเอาแต่เม้มริมฝีปาก มันไม่พูดอะไรออกมาสักคำทั้งที่ใจผมแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ในคอมันแห้งไปหมด ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอดับความเฝื่อนในอารมณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้


“กู...”


จนในที่สุดมันก็ยอมขยับปาก แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกปวดใจยิ่งกว่าเดิมคือจากหันหน้าหนีธรรมดา ตอนนี้กลายเป็นว่ามันหันหนีทั้งตัว


“รู้แล้วทำไมไม่บอกกูล่ะ...รู้แล้วทำไมยังมาบ้านกู...ทำไมถึงยังทำทุกอย่างเป็นปกติแบบนี้” ผมพูดกับมันเสียงอ่อน ไม่เจือแววโมโห ไม่หงุดหงิดอะไรสักอย่าง...ยกเว้นผิดหวังที่มันรู้จากปากคนอื่นก่อนที่ผมจะได้เป็นคนเอ่ยปากบอกเอง


“กูขอโทษ...กูแค่ไม่อยากทำให้ต้องมึงอึดอัดใจ” มันหันหน้ากลับมาแล้ว แต่ดวงตาที่ใช้มองผมกลับเจือแววรู้สึกผิดอย่างที่สุด...อันที่จริงมึงไม่ควรต้องเป็นฝ่ายรู้สึกผิดเลยด้วยซ้ำ มึงไม่ควรต้องมารู้สึกอึดอัดใจขนาดนี้เพราะยังไงมึงก็ไม่ได้ผิด...ที่กูเพิ่งรู้ตัวว่าชอบมึงขึ้นมา


“นั่นควรจะเป็นกูไม่ใช่หรอ ที่ต้องรู้สึกกับมึงอย่างนั้น” ผมถามมันแล้วแค่นหัวเราะ “แต่มึงก็ยังดีนะ ยังเป็นห่วงเป็นใยกู...ยังมาทำปกติกับกู ทั้งที่มึงก็รู้แล้วว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง...” 


พิกกลืนน้ำลายลงคอ มันถอยห่างออกจากผม ก่อนจะก้มลงมองตักตัวเอง


“ก็เพราะมึงเป็นเพื่อนของกู...มึงเป็นเพื่อนรักกู แล้วจะให้กูทำไง...ต้องโกรธไหม ที่มึงชอบกู”


“...”


“เพราะกูไม่โกรธ...ไม่อยากทำให้มึงต้องอึดอัด กูถึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นดีกว่า”


ก็อาจจะจริงของมัน...บางทีคนเราก็เลือกจะเมินเฉยต่อสิ่งที่ทำให้อึดอัด ทั้งที่ควรจะเคลียร์ให้จบ แต่สิ่งที่กัดกินหัวใจผมต่อจากความรู้สึกที่มันกลัวว่าผมจะอึดอัดคือมันเห็นผมเป็นแค่เพื่อน...เพราะว่าเป็นเพื่อน ผมจึงไม่ผิดอะไรสักอย่าง ไม่ผิดกระทั่งคิดแบบนี้กับคนที่คิดว่าตัวเองเป็นเพื่อน


“มึงนี่...ใจร้ายนะ” ยิ่งคุย ก็ยิ่งเหมือนกับลำคอตัวเองจะตีบตันไปหมด ลมหายใจผมเหมือนจะขาดห้วง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำหน้ายังไง รู้แค่เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับมันนี่มันน่าตลกสิ้นดี


 “กูขอโทษ...” พิกเอ่ยเสียงเบา เงยหน้ามองผมแล้วเอื้อมมือมาแตะบนหลังมือราวกับจะให้กำลังใจ ผมรู้ว่ามันพูดได้เพียงเท่านั้น รู้ว่ามันกำลังรู้สึกอะไรที่ผมไม่กระดิกตัวแม้แต่จะชักมือกลับ


ความเงียบช่างยาวนาน ผมเพิ่งได้มีโอกาสสัมผัสมันเองก็วันนี้ นี่สินะที่เขาพูดกันว่า ‘เวลาทุกข์ นาฬิกามักเดินช้าเสมอ’ 


“กู...จะกลับแล้ว”  พิกพูดพร้อมกับขยับตัวออก มันค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้น ก้มลงมองผมด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ได้ ก่อนจะยิ้มฝืน ๆ ออกมา


“อืม”


นาทีนี้ผมทำได้เพียงแค่ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น มองมันลุกขึ้นไปเก็บกระเป๋าตัวเองช้า ๆ และในที่สุด ใช้เวลาเพียงไม่นานมันก็เดินไปถึงประตู... 


“กู...ไปแล้วนะ”


พิกเอื้อมไปแตะลูกบิดโดยที่มืออีกข้างก็จับสายสะพายเป้ แววตาของมันที่ใช้มองผมในเวลานี้ทำให้รู้สึกประหลาดจนบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกแย่ หรือรู้สึกดีกันแน่ที่มันยังพยายามทำตัวเป็นปกติขนาดนี้ ในขณะที่ผม...แค่จะลุกเดินไปส่งมันยังทำไม่ไหว


ผมทำตัวเป็นปกติอย่างมันไม่ได้จริง ๆ


“...ไม่ไปส่งนะ”


ผมส่งยิ้มให้กับพิก ด้วยคำสอนของม๊าที่เคยบอกเอาไว้ ‘ไม่ว่าจะทุกข์ แค่ไหน ถ้ายิ้มเอาไว้เดี๋ยวก็ดีเอง’ ดังนั้นผมจึงยิ้ม ยิ้มให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่พรุ่งนี้ผมกับมันจะยังคงคำว่าเพื่อนเอาไว้ได้


“อืม...เจอกันพรุ่งนี้”


พิกหัวเราะหน้าแห้ง...บานประตูอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว แต่แค่เดินไปหามันแล้วรั้งเอาไว้ยังทำไม่ได้ นาทีนี้ สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือนั่งมองมันเปิดประตูเดินออกไปจากห้อง ก่อนจะทอดตัวลงกับพื้น มองเพดานแล้วทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา...


ไม่ใช่ว่าไม่เคยอกหัก แต่ทุกครั้งที่เสียใจ ผิดหวัง หรือแม้แต่มีน้ำตา แค่กดเบอร์โทรหาพิกทุกอย่างก็เหมือนกับจะมลายหายไป ผมสามารถลุกขึ้นยืนและยิ้มได้อย่างจริงใจเมื่อมีมัน  แต่พอเรื่องราวกลายมาเป็นอย่างนี้ ผมก็ไม่รู้จะโทรหามันดีไหม เหมือนขาดที่พึ่งทางใจทั้งที่เราไม่ได้สะบั้นความเป็นเพื่อนให้ขาด แต่ลงท้ายเรื่องราวเป็นแบบนี้แล้วก็คงไม่มีหน้าจะโทรหามัน...ไม่มีหน้าจะยิ้มได้เพราะมันอีกแล้ว


ในเมื่อเรื่องกลายเป็นอย่างนี้แล้วผมควรจะทำอย่างไรต่อ
ควรจะชอบมันต่อไปไหม....หรือควรจะตัดใจดี?


_____________________________________________________


GIANT’s PART[/center]


ผมตัดใจเดินออกมาจากบ้านเชี่ยวชาญด้วยความรู้สึกไม่บอกไม่ถูก


ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นที่ตอนไหนเพราะไม่ได้ถาม แต่ที่แน่ ๆ มันทำให้เราทั้งคู่อึดอัดแทบตายในตอนที่รู้ ความจริง...

รู้สึกผิด ที่ผมไม่เอ่ยปากถามมันเองตั้งแต่แรกก็เพราะกลัวว่าจะเป็นอย่างนี้นั่นแหละ พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้ว ก็รู้สึกเหมือนกับว่าที่พึ่งมันหมดไปเลย จากที่เคยมีคนมาห่วงใย ก็โหวง ๆ ไป...

แต่คนที่หนักกว่าผมคือไอ้ชาน... มันจะต้องทำใจลำบากแน่ ๆ ถ้ายังมีผมวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ  แต่ก็ต้องนับถือความจริงใจของมันอีกนั่นแหละ ไม่รู้ว่ามันไปรู้มาจากไหนว่าผมรู้แล้ว ทั้งที่จะเก็บเงียบแล้วค่อย ๆ เฉลยก็ได้ แต่ก็ยังกล้าเข้ามาพูดคุยตรง ๆ เพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์ของเราคาราคาซังไปแบบนี้


ผมขึ้นรถเมล์โดยที่ไม่มองป้าย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะพาไปหยุดอยู่ตรงไหน ทุกอย่างเหมือนความสัมพันธ์ของผมกับโนบิตะ แล้วก็ไอ้ชานในตอนนี้ มันมองไม่เห็นทางเลยว่าจะมีอะไรดีขึ้น หรือถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย ผมเหมือนคนหลงทาง มีแต่หนามอยู่รอบกาย หันไปทางไหนก็เจ็บ แตะตรงไหนก็ปวด แต่ก็ช่วยไม่ได้เลย ในเมื่อต้นไม้มันขึ้นของมันเอง


“รถเสียนะครับ รบกวนลงไปเปลี่ยนคันด้วยนะครับ” ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยหันมายิ้มให้เขาฝืน ๆ ราวกับจะไล่ทางอ้อม


ผมมองผู้คนกำลังทยอยเดินลงอย่างเหนื่อยใจ อันที่จริงผมอยากจะนั่งอยู่อย่างนี้ให้รถเมล์มันพาผมวนไปสุดที่หมายใหม่ แต่ก็จำใจต้องลง เพราะดูเหมือนว่ารถจะเสียจริง ๆ


สุดท้ายก็ต้องลงจากรถเมล์ทั้งที่ยังไม่ถึงที่หมาย แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจคือเบื้องหน้าผมเป็นคอนโดของใครบางคนที่คุ้นเคย... ที่จริงผมไม่ได้คิดจะมาหามันเลย แต่เคยได้ยินไหม ถ้าใจเราพาไปไหน เท้าก็จะตามคุณไปทุกที่


แล้วตอนนี้ใจของผมอยู่ที่ไหน?
คำตอบมันก็เห็นชัด ๆ แล้วว่า...อยู่กับเจ้าของห้องหนึ่งในคอนโดนี้นั่นแหละ
โนบิตะ...
.
.
.
.
“นี่ห้องหรือรังหนูวะเนี่ย...”


ผมบ่นออกเสียงเป็นนางเอกซีรี่ส์เมื่อเปิดห้องออกมาแล้วเจอสภาพอย่างที่เห็น จำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วมันยังสะอาดเอี่ยมอ่องไม่มีฝุ่นผงเพราะผมเพิ่งจัดการไปเอง แต่มาวันนี้เสื้อผ้า เศษถุงขนม กล่องข้าวกลับวางระเกะระกะ แถมดูไม่มีชีวิตชีวาอย่างกับว่าร้างคนมานับแรมปี


มองเข้าไปไม่เห็นใครก็จัดการเก็บกวาดทำความสะอาดอย่างเร่งรีบ ใจหนึ่งก็รู้สึกดีที่ไอ้เก้ามันไม่อยู่ แต่อีกใจก็อยากให้มันอยู่ เพราะต้องการเคลียร์เรื่องเกี่ยวกับเราให้รู้เรื่อง ก็ไอ้วันนั้น มีแต่มันที่รู้เรื่อง แต่ผมไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ถึงได้ยังเอาแต่คิดถึงมันอยู่อย่างนี้ เลยคิดว่าบางที ถ้าได้มีโอกาสถามไถ่มันตรง ๆ ผมอาจจะยืนตรงกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้



ใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมงในการทำความสะอาดตั้งแต่หน้าประตูห้องจนถึงระเบียงด้านหลัง ทั้งขัดห้องน้ำ ขัดพื้นจนเงาวับ สุดท้ายผมก็ตรงไปที่ตะกร้าผ้าเพื่อจะทำภารกิจสุดท้ายให้เสร็จ น่าตลกดีใช่ไหมที่ผู้ชายวัยรุ่นอย่างผมทำความสะอาดเก่งขนาดนี้ จริง ๆ มันก็เป็นเพราะผลพวงจากการโขกสับของคุณนายแม่นั่นแหละ ที่ทำให้ผมแทบจะกลายเป็นแม่ศรีเรือนไปแล้วทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ชาย


ผมจัดการหอบตะกร้าผ้าที่ยังไม่ได้ซักเข้าห้องน้ำไป เทผ้าลงกะละมัง หันไปสำรวจก๊อกน้ำที่อยู่ด้านขวามือ เกือบจะเปิดน้ำใส่แล้วเชียวสายตาก็ดันเหลือบไปเห็น...


ชุดชั้นใน กับ กางเกงในแบบซีทรูสีดำเว้าหน้าเว้าหลังสุดเซ็กซี่...
อา...ถึงกับชะงักมือที่จะเปิดก๊อกน้ำกันเลยทีเดียว


อย่างนี้เองสินะ... จำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมเก็บกวาดจนเอี่ยมอ่อง แน่ใจแล้วว่าไม่มีชิ้นส่วนของใครหลงเหลืออยู่ (เพราะทิ้งเองไปกับมือ) แล้ววันนี้มันมาได้ไงวะ...มันมานอนตะแคงบิดเป็นเกลียวเลขแปดอยู่ในตะกร้าผ้าเจ้าของห้องนี้เองได้ไง?


หรือว่ามีขาเดินมาเอง
…ปัญญาอ่อน แม่งจะเดินมาเองได้ไง นอกจากเจ้าของห้องนี้มันพามา


แค่เห็นก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ผมผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งซักผ้าทันทีที่เห็นสิ่งนั้นชัด ๆ พยายามหยีตาแล้วเบิกเนตรมองใหม่ แต่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งสิ่งที่เห็นก็ยังเป็นภาพเดิม ไม่มีทางเป็นของไอ้เก้า... ไม่มีทางที่มันจะลุกขึ้นมาใส่อะไรแบบนี้เดินร่อนไปร่อนมาประมาณว่าเป็นรสนิยมที่แอบแฝงแน่


แล้วถ้างั้นจะเป็นของใครล่ะ?


สาบานได้ว่าในหัวผมเอาแต่คิดหาจุดบอดของเรื่องนี้ พยายามนึกหาเหตุผลร้อยแปดพันประการมาแก้ตัวให้โนบิตะ ทั้ง ๆ ที่ก็เห็นอยู่ตำตาว่าอะไรเป็นอะไร


ฮ่าฮ่าฮ่า...เหมือนคนบ้าเลยว่าไหม   
กูนี่ แม่ง..บ้าฉิบหาย ควายแท้ไม่มีวัวผสม


นี่ผมมาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย มาทำงานบ้านให้มันเป็นบ้าเป็นหลังทั้งที่เจ้าของเค้าก็ไม่ได้สนอกสนใจอะไร มาหามัน คิดถึงมันทั้งที่เจ้าตัวเขาก็เอาคนอื่นมานอนค้างทำเหมือนผมไม่เคยมีตัวตนในใจ


แม่ง...ไอ้เหี้ยเอ๊ย ไม่ชอบแล้วมาทำอย่างนี้กับกูทำไมวะ!
เออ ! อยากจะไปหาใครก็เรื่องของมึงเลย เชิญ... กูจะไม่ตามล้างตามผลาญให้มึงต้องรำคาญใจอีกแล้ว


คิดได้อย่างนั้นก็หันไปล้างมือแล้วตบหน้าตัวเองไปที ยืนเคว้งอยู่ตรงนั้นเกือบครึ่งนาทีก็ตัดสินใจได้ว่าควรจะต้องกลับ ผมเกี่ยวชั้นในซีทรูของคู่ขามันแขวนตรงลูกบิดประตูห้องน้ำ ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับทิ้งกุญแจสำรองเอาไว้บนโต๊ะรับแขกหน้าทีวี ทิ้งทุกอย่างคาไว้อย่างนั้นโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปอีก


ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่ผมมาทำบ้าบออะไรอยู่ตรงนี้ ความน้อยใจแล่นริ้วขึ้นมาเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าหมู่นี้บ่อน้ำตาชักจะตื้นแปลก ๆ ความเข้มแข็งที่เคยมีพังทลายลงมาหมด ไอ้ที่ผมกังวล เครียด เป็นห่วง คิดมากอยู่คนเดียวดูเหมือนอีกฝ่ายเขาจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย


ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ยิ่งโกรธก็ยิ่งเสียใจ ผมปล่อยวางไม่ได้เลยพอเป็นเรื่องอะไรเกี่ยวกับไอ้เก้า อันที่จริงมันก็ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะได้เสียกับมันแล้ว คิดตลบไปตลบมากี่หน พอเห็นคนอื่นแกล้งมันผมก็ทนไม่ได้... จริงอยู่ที่เริ่มจากการแกล้งกันแบบเด็ก ๆ จนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ แต่นี่มันมากเกินไปหน่อยแล้วมั้ง ใจผมแม่งไม่ได้แกร่งเหมือนหินผานะเว้ย ที่จะสามารถทนกับความรู้สึกแบบนี้ได้ตลอดเวลาโดยไม่หน่วง ไม่เหี้ยอะไรเลยเหมือนไอ้บ้านั่น!


จบแล้ว...พอกันที ผมรีบสาวเท้าออกจากคอนโดของมันก่อนจะโบกแท็กซี่แถวนั้นเพื่อให้ไปไกลจากที่นี่เร็วที่สุด นั่งอยู่ในรถ มองออกไปนอกหน้าต่างยังอดรู้สึกเจ็บในใจไม่ได้...


พัง พังฉิบหาย พังที่สุดในชีวิต..เลิก เลิกคิดได้ไหม ขอร้อง มึงจะคิดถึงมันทำไมวะ ในเมื่อมันไม่ได้คิดถึงมึงเลย มันไม่ได้ชอบมึงเข้าใจไหมพิก มันเบื่อมึงแล้ว เลิกคิดถึงมันสักที ขอร้องล่ะ...


อย่าร้อง ไอ้เหี้ย...ยิ่งห้ามน้ำตายิ่งไหล สองสามวันมานี้ผมร้องไห้เหมือนกับว่าทดแทนทั้งชีวิตที่ไม่ได้ร้องตั้งแต่ครั้งยังเป็นทารก ที่จริงผมเป็นคนนิสัยไม่ดีเลยนะ แข็งกร้าว เกเร ภาพลักษณ์ของคนเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่มีน้ำตา แต่สุดท้ายแล้ว น้ำตามันก็เป็นของคู่กับทุกคนไม่ใช่เหรอวะ ไม่ว่าใครก็ร้องไห้ได้ ไม่ว่าใครก็เสียใจได้ ไม่ใช่ว่าผมไม่มีสิทธิ์เสียใจนี่หว่า


นี่เป็นอีกครั้งที่ผมต้องแอบขึ้นบ้านเพราะไม่อยากให้ใครเห็นตัวเองในสภาพแบบนี้ รู้สึกแย่เหี้ย ๆ ที่จะต้องมาทำหลบ ๆ ซ่อน ๆ  เหมือนโจรที่กำลังจะปล้นบ้านคนอื่น ดีนะที่แม่กับไอ้พิมพ์หลับแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้ามีใครได้เห็นหน้าผมตอนนี้ต้องโดนถามว่าไปทำอะไรมาแน่ ก็ทั้งหน้าทั้งตาผมมันบวมไปหมด เหมือนศพลอยน้ำอืดมาติดชายฝั่งทั้ง ๆ ที่ยังเป็นคน
 

ผมเดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เห็นตาตัวเองบวมอย่างกับโดนผึ้งต่อยก็รู้สึกอเนจอนาถ อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงขึ้นมาทั้งที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมายังวิ่งรอกทำความสะอาดไปทั่วห้องโนบิตะอยู่เลย ไอ้อารมณ์แบบนี้ไม่เคยพบเคยเจอ รู้อย่างเดียวว่าอยากทิ้งตัวนอนบนเตียงนุ่ม ๆ แล้วหลับไปทั้งอย่างนั้นโดยที่ตื่นไม่ต้องจำอะไรที่สะเทือนกับใจทั้งสิ้น


ผมไม่รู้จะทำยังไงเลย ไม่รู้ว่ากำลังอดทนกับอะไรอยู่ ไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดที่ตรงไหน ปลายทางมันดูมืดมนขมุกขมัวไปหมด ไม่อยากโทษคนอื่น อยากโทษแต่ตัวเองที่เผลอถลำลึกลงไป เหนื่อยที่ทำอะไรไม่ได้ หดหู่ที่ทุกอย่างเหมือนกับโดนขวางให้มองทางไม่เห็น ไม่รู้ว่าจะสามารถระเบิดอารมณ์ลงกับใครได้บ้าง ตอนนี้จะมีใครรับฟังเราได้บ้าง เมื่อทุกอย่างมันพังทลายลงไปหมดแล้ว...


หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์หน้าจอดู ไม่มีเบอร์โทรเข้า ไม่มีไลน์ของใครเข้ามา อย่างหนึ่งก็น่าจะเพราะเหตุการณ์เมื่อก่อนหน้า... ทุกอย่างมันบีบบังคับไปหมด ผมไม่กล้าแม้แต่จะโทรหาเพื่อนตัวเองในขณะที่รู้สึกแย่ที่สุด ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร เพราะมันเป็นปัญหาของผมเอง ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นควรจะต้องมารับรู้หรือเครียดไปด้วย


สุดท้ายผมก็ทิ้งตัวลงบนที่นอน ปล่อยให้ลมจากเครื่องปรับอากาศลอยลงมาเป่าหน้า ไอเย็นจากแอร์คอนดิชั่นที่ติดอยู่บนหัวเยื้องไปสี่สิบห้าองศาทำให้น้ำตาผมแห้งเหือดไปในที่สุด อย่างน้อยก็ยังรู้สึกดีที่มีบ้านให้กลับ ได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่แสดงถึงความใส่ใจของแม่แล้วก็ได้แต่รู้สึกผิด บอกตัวเองว่าควรเข้มแข็งสิวะ เรื่องแค่นี้เอง กูต้องผ่านไปให้ได้ เพื่อคนที่เขารักเรา แล้วเราก็รักเขาเหมือนกัน


เจ็บแค่นี้คงไม่ตายหรอกมั้ง ข่มตาหลับ ๆ ไปเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็ดีขึ้นเอง...


_____________________________________________________


ขออนุญาตให้ชื่อแท็กว่า #โนบิโนบิ แล้วกันค่าเอาไว้ติดตามเนอะ

ตกใจมากอะ ไม่คิดว่ายังมีคนรออ่าน ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีแล้วกันนะคะ ที่ได้กลับมาเขียน
อนึ่ง ในฟิค และในนิยาย จะมีตอนพิเศษไม่เหมือนกันคะ จะเขียนเพิ่มตอนพิเศษมาอีกค่า

และนิิยายเรื่องนี้ กับ #ช่างรักของเรา ตอนนี้อยู่กับ ฟาไฉ จ้า ก็จะพอร์นๆกันไป

สุดท้ายนี้ขอบคุณที่ยังรอนะคะ บางคนรอมานานมาก ข้ามภพข้ามชาติเลย 555
ขอบคุณมากค่ะ

ติดต่อได้ที่

Twitter (https://twitter.com/viridianxx)



หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 22 (05/07/18) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 06-07-2018 15:52:58
23
NOBITA’s PART
 


เสียงร้องจากนาฬิกาปลุกบนมือถือแผดเสียงลั่นเรียกให้ผมตื่นจากการหลับใหล เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเห็นแสงรำไรจากไฟด้านนอกห้องทำงานแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว หันไปมองนาฬิกาติดผนังก็ได้ความว่าตอนนี้เป็นเวลาตีห้ากว่า...เช้าขนาดนี้ยังมีคนไม่กลับบ้านอยู่อีกหรือไง


ตัดสินใจเดินออกมาจากห้องทำงานก็เจอพี่เกื้อนั่งกดมือถืออยู่บนโซฟาที่โซนดนตรีสด ก้าวไปยังไม่ทันถึงตัวด้วยซ้ำอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมา คนสนิทของผมกำลังส่งยิ้มให้ทั้งสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรง



“อ้าว คุณเก้า ตื่นแล้วเหรอครับ”


 “ครับ...พี่เกื้อล่ะ ทำไมยังไม่กลับ”


ผมถามเขาในขณะที่ทรุดตัวลงข้าง ๆ สองสามวันมานี้ผมลุยงานอยู่จนดึก บางทีก็อยู่จนเช้า วันแรกก็มีลูกน้องในร้านอยู่ด้วยประปรายเพราะไม่กล้ากลับก่อนเจ้านาย แต่วันหลัง ๆ มานี่ ถ้าไม่ใช่พี่เกื้ออยู่รอ ก็เป็นคนเก่า ๆ ที่แวะเวียนมาหาหลังจากตกลงกันได้แล้วว่าผมจะกลับไปเป็นอย่างเดิม...


นั่นคือไม่มีพันธะใดใดต่อใคร ...ไม่ลงหลักปักฐานว่าจะมีใครในใจ ให้ทุกวันผ่านไปอย่างไม่มีจุดหมายเหมือนที่เคยผ่านมา


 “ก็รอคุณเก้านี่แหละครับ...ช่วงนี้คุณเก้าอยู่จนเช้าทุกวัน ให้ขับรถกลับเองก็กลัวจะเป็นอันตราย” พี่เกื้อกดปิดหน้าจอมือถือแล้วสไลด์มันออกไปให้ห่างตัว “แล้วนี่ไหวไหมครับ ไม่สบายหรือเปล่าทำไมเสียงแหบ ๆ”


 “ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ แค่เพิ่งตื่นเสียงเลยเป็นอย่างนี้” ผมยิ้มอ่อนแรงเนื่องจากเพิ่งตื่นและเหนื่อยสมองจากทบทวนอะไรหลาย ๆ เรื่อง  “ที่จริงผมไหวนะครับ...พี่ไม่ต้องอยู่รออย่างนี้ก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ผมโตแล้วนะ”


 “โตแล้วแต่ก็ยังต้องเป็นห่วงครับ” พี่เกื้อเงียบไป ทิ้งจังหวะเล็กน้อย  “คุณเก้าน่ะ ชอบคิดมาก ชอบฝืนตัวเอง...ตั้งแต่กลับมาจากไปเที่ยว หลายวันมานี้ก็ดูเหนื่อย ๆ นะครับ แถมข้าวก็ทานแทบไม่หมด...แน่ใจนะครับว่าไม่ได้กำลังป่วยอยู่”


พี่เกื้อถามย้ำด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ในแววตานั้นแสดงให้เห็นถึงความเอื้ออาทรที่มีให้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่อยู่ด้วยกัน พี่เกื้อก็เหมือนพี่ชายของผมคนหนึ่ง เราอยู่ด้วยกันมานานจนรู้ไส้รู้พุงหมด ยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่ผมเครียด พี่เกื้อก็มักจะเป็นคนแรกที่อยู่ข้างผมเสมอ


 “ครับ...ไม่ได้ป่วย เพียงแต่ว่าช่วงนี้มีเรื่องให้คิดเยอะหน่อย”


 “เรื่องคุณพ่อเหรอครับ” ผมส่ายหน้า อยากจะหัวเราะออกมาเมื่อคิดย้อนกลับไป ถ้าเป็นเมื่อก่อน คุณพ่อคือคนเดียวที่ทำให้อารมณ์ของผมไขว้เขวไม่คงที่ได้ แต่ตลกยิ่งกว่าที่ตอนนี้มีพิกเข้ามาทำให้ผมเครียดจนแทบไม่อยากทำอะไรแทน


แค่จะล้มตัวนอนเตียงของตัวเองที่มีกลิ่นของเขาก็ยังไม่อยาก
ถึงได้ต้องหาคนอื่นมาประทับตราเป็นตัวแทนวันต่อวันไปเรื่อย...


 “ไม่ครับ”


ผมกดยิ้มพลางระบายลมหายใจออกมา ได้ยินอย่างนั้นสีหน้าพี่เกื้อยิ่งไม่ดี อีกฝ่ายเขยิบตัวเข้ามาหา วางมือไว้บนบ่า ก่อนจะผ่อนน้ำหนักลงแล้วบีบเบา ๆ ราวกับจะให้กำลังใจ


 “...ถ้าอย่างนั้นจะมีเรื่องอะไรให้คุณเก้าไม่สบายใจได้อีก”


น้ำเสียงของพี่เกื้อดูเหมือนกำลังต้องการจะปลอบประโลม ฟังอย่างนั้นแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เพราะสาเหตุแห่งความวุ่นวายทั้งหมดมันเกิดขึ้นมาจากผม แต่ที่พูดอะไรไม่ออกก็เพราะในหัวมีแต่ภาพคนหนึ่งคนยืนร้องไห้อยู่ที่ทะเล จะว่าผมไม่เข้าใจอะไรเลยก็คงไม่ใช่ แต่ถ้าให้พูด น่าจะบอกว่าไม่พร้อมจะเข้าใจอะไรมากกว่า


ในความคิดของผม... ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วไป มันเร็วไปจริง ๆ สำหรับคนสองคนที่จะเปลี่ยนสภาพจากเพื่อนเป็นคนรักทั้งที่คนทั้งคู่ยังไม่เข้าใจความหมายของเหตุการณ์ที่ผ่านมาเลยด้วยซ้ำ จะว่าผมเป็นคนขี้กลัวก็ได้ ใช่ ผมขี้กลัว...แต่มันแปลกเหรอ ถ้าหากผมกลัวที่จะต้องเริ่มต้นมีใครอีกคนเข้ามานั่งในใจทั้งที่ในหัวของเขามีใครอีกคนตลอดเวลา


มันไม่ผิดที่พิกจะเอาแต่คิดถึงความรู้สึกของชาน แต่มันผิดที่ผมปรับสภาพอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย กับแค่คนหน้ามึนคนเดียวทำเอาผมเสียศูนย์ โดนผมเอาเปรียบไม่รู้ตั้งกี่ร้อยหนยังไม่รู้ตัว...แต่ถึงอย่างนั้นก็หยุดคิดถึงไม่ได้เลย...


ยิ่งตวาดไปก็ยิ่งห่วง


เขาทำได้ยังไงกันนะ... ทำได้ยังไงกันทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ฉลาดอะไรขนาดนั้น ทำได้ยังไงกันที่ทำให้ผมเอาแต่คิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลาจนลืมไปว่าตัวเองเคยเป็นที่ต้องการของใครต่อใครมากมาย


 “เงียบไปแบบนี้...หรือกำลังมีความรักครับ?” 


จากแววตาเห็นใจกลายเป็นเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นผมเงียบไป ตอนนี้พี่เกื้อปล่อยมือออกจากบ่าแล้ว และกำลังกอดอกนั่งเอนหลังหลังกับพนักโซฟาโดยใช้สายตาพิจารณาผมแทน


 “อา...” ผมขมวดคิ้ว พยายามคิดว่ามันใช่ไหม? แต่ถ้าให้พูด ก็น่าจะหมายถึงชอบมากจนพาลคิดเรื่องอื่นไม่ได้แล้วต่างหาก


 “ว่ายังไงครับคุณเก้า...เรื่องความรักจริง ๆ ใช่ไหม” ยิ่งถามสีหน้าก็ยิ่งเปลี่ยน จากเครียด กลายเป็นว่าตอนนี้พี่เกื้อยิ้มจนปากกว้าง ตาหยีไปหมด


 “ไม่รู้สิครับ...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเรียกว่าชอบได้ไหม” 


 “ทำไมล่ะครับ รักข้างเดียวเหรอ?” พี่เกื้อเลิกคิ้ว สีหน้าแช่มชื่นขึ้นผิดหูผิดตาราวกับจะล้อเลียน


ผมส่ายหน้า “ไม่ครับ...คนละเรื่องเลยต่างหาก”


 “หือ...”


 “ผมหักอกเขา...” ภาพใบหน้าพิกตอนร้องไห้ผุดขึ้นมาในหัว “ผมปฏิเสธเขาครับ”


เสียงเป่าลมฟู่กับเสียงหัวเราะในลำคอของพี่เกื้อทำให้ผมถึงกับต้องขมวดคิ้วมุ่น สายตาของอีกฝ่ายดูล้อเลียนในขณะเดียวกันก็ดูสงสารผมไปด้วย


 “ทำไมล่ะครับ...ปฏิเสธเขาเอง แต่กลับต้องมานั่งเครียดนี่ ยังไงกันแน่ครับครับคุณเก้า” คำพูดของเกื้อทำให้ผมฉุกคิด แต่ถึงอย่างนั้นก็เหมือนประโยคคำถามที่เว้นช่องว่างเอาไว้ให้ตอบ สายตาของคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าจ้องสบมาในนัยน์ตาผมราวกับว่ากำลังจะบอกอะไรบางอย่าง


 “...”


 “ถ้าไม่ได้ชอบเขาเหมือนกัน...ก็คงไม่เครียดขนาดนี้หรอก ใช่ไหมครับ? แต่ถ้าชอบ แล้วทำไมถึงได้ปฏิเสธเขาไปแบบนั้นล่ะครับ”


 “ผมคิดว่าเขาไม่ได้ชอบผมจริง ๆ  คิดว่าเขาควรมีเวลาทบทวนตัวเองมากกว่านี้”


 “เรื่องแบบนี้ คิดแทนกันได้ด้วยเหรอครับ...”


คำถามของพี่เกื้อจี้ตรงจุดเกินไป มันราวกับเอาเหล็กร้อนมานาบบริเวณแผลสดให้เหวอะยิ่งกว่าเดิม


 “ผม...” นาทีนี้ในหัวมีแต่คำถาม เสียงของพี่เกื้อเงียบไปแล้ว แต่มันยังทิ้งตะกอนบางอย่างที่กัดกินใจจนต้องถอยออกมาแล้วมองภาพรวมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


 “ผมเข้าใจคุณเก้านะ...เรื่องที่คุณเก้าไม่ยอมเปิดใจให้ใครตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว”


 “...”


 “แต่เรื่องบางเรื่อง ก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ว่าใครก็มีเหตุผลส่วนตัวกันทั้งนั้น...คุณเก้าไม่จำเป็นต้องเก็บทุกเรื่องเอาไปขีดเส้นให้ชีวิตหรอกครับ ไม่จำเป็นต้องเดินตามใครเพราะชีวิตใครก็เป็นของคนนั้น” 


 “...”


 “อย่ากลัวที่จะรักใครเลยครับ เพราะมันไม่ใช่ว่าเราจะสามารถใจตรงกันได้กับทุกคน วันนี้มีคนมารู้สึกดีกับคุณเก้า และคุณเก้าก็รู้สึกดีกับเขา เท่านั้นก็มากเกินพอแล้วไม่ใช่เหรอครับ...จะมีอีกสักกี่คนที่เราสามารถรู้สึกตรงกันในเวลาที่เหมาะสม? มันหายากนะครับคุณเก้า  อย่ากลัวอีกเลย ลองดูสักครั้งก็ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอครับ”


ผมเงียบ พิจารณาสิ่งที่พี่เกื้อพูดทีละประโยค ด้านคนโตกว่า เมื่อเห็นว่าผมนิ่งไปก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน ผมรู้ว่าพี่เกื้อคิดอะไร เขาคงคิดว่าผมรั้นเหมือนทุกครั้งที่เขาเข้ามาเตือนโดยไม่คิดจะเก็บคำพูดเขาเอาไปใส่ใจ พี่เกื้อคงคิดว่าตัวเองพูดอะไรเกินกว่าเหตุไป ถึงได้ผุดลุกขึ้นแล้วจงใจเปลี่ยนเรื่องแบบนั้น


 “อ่า...ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเลยดีไหมครับ ตอนบ่ายคุณเก้ามีเรียนใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปนอนพักผ่อนเถอะครับ”


 “ครับ”


ผมพยักหน้าพลางลุกขึ้นตามอีกคน ไม่คิดจะเอ่ยอะไรต่อเพราะยังไม่ถึงเวลาต้องพูด เห็นด้วยกับที่พี่เกื้อบอกให้กลับไปพักผ่อน ตอนนี้สมองผมต้องการความสงบเพื่อครุ่นคิดอะไรอีกสักอย่างสองอย่างก่อนจะตัดสินใจลงมือทำอะไร...


ก่อนที่ ‘คนสองคน’ จะไม่มีโอกาส ‘ใจตรงกัน’ อีก
.
.
.
.
.
.

“ขอบคุณมากครับ”


ผมเอ่ยขอบคุณพี่เกื้อที่อุตส่าห์เดินมาส่งถึงหน้าประตูทางเข้าหน้าคอนโด พี่ชายคนสนิททำเพียงส่งยิ้มกลับมาให้ ก่อนจะค้อมลงเพื่อทำความเคารพตามปกติที่ทำมาตลอด


 “วันนี้กลับขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะครับ นี่ครับ... โสมที่คุณนายฝากมาให้”


พี่เกื้อหยิบกล่องสีทองขนาดกะทัดรัดออกมาจากด้านในของเสื้อโค้ท ผมมองมันด้วยสายตาเย็นชา คิดว่าพี่เกื้อก็คงจับกระแสนั้นได้เช่นกัน ถึงได้ใช้มือข้างที่สะดวกเอื้อมมาจับมือผมไปรองมันเอาไว้ทั้งที่ผมไม่สนใจอยากจะได้มันด้วยซ้ำ


 “พี่เกื้อเอาไปกินเถอะครับ หมู่นี้พี่ก็นอนดึกเหมือนกัน” ผมดันมันกลับไปหาอีกฝ่าย ซึ่งพี่เกื้อได้แต่ส่ายหน้าทำเหมือนกับรู้ทัน ก่อนจะดันเจ้ากล่องนั้นกลับมา


 “รับไปเถอะครับ คุณนายเป็นห่วงคุณเก้านะครับ...ท่านอยากให้คุณเก้ากลับบ้าน--”


 “ผมเหนื่อยแล้วครับ” รู้ว่าเสียมารยาท แต่ผมก็ยังสวนออกไป ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกอย่างระอา “อยากขึ้นไปพักผ่อน ขอตัวได้ไหมครับ”


 “ได้ครับ...ถ้าอย่างนั้นพักผ่อนเถอะครับ แล้วพบกันครับคุณเก้า”


พี่เกื้อหน้าเสียไปนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมละความพยายามแล้วก้าวถอยออกไปแต่โดยดี พวกเรากล่าวลาเป็นพิธีอีกสองสามประโยคกว่าคนโตกว่าจะยอมขอตัวกลับนั่นจึงทำให้กว่าผมจะได้เริ่มต้นชีวิตประจำวันหลังจากเลิกงานก็ปาไปแล้วเกือบหกโมงเช้า


ผมเดินไปที่ตู้จดรับจดหมาย เริ่มตรวจตราหาใบแจ้งหนี้ค่าบัตรเครดิต ค่าไฟกับค่าส่วนกลางเหมือนที่ทำอยู่ทุกวัน จะแตกต่างก็ตรงคุณยามกะเช้าที่มักจะยืนดูดบุหรี่อยู่ด้านหน้าตอนนี้กำลังนั่งสัปหงกอยู่ในเคาน์เตอร์สำหรับเช็คกล้องวงจรปิด


ทั้งที่ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ความรู้สึกของผมกลับผิดปกติ อันที่จริงผมกดลิฟต์ผิด ๆ ถูก ๆ อยู่สองหน หนแรกกดชั้นผิด หนที่สองแทนที่จะกดปิดลิฟต์ กลายเป็นกดเปิดประตูแทน จิตใจไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเมื่อเริ่มต้นนึกถึงหน้าใครบางคนในคำพูดของพี่เกื้อ... ซึ่งป่านนี้คน ๆ นั้นคงจะหลับฝันดีไปแล้ว


ผมล้วงคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ยื่นไปทาบมันอยู่นานจนเกิดเสียงดังคลิก ไขกุญแจด้านบนระบบล็อกอัตโนมัติอีกครั้งจนประตูเปิดออกเหมือนทุกวัน แต่ภาพที่เห็นตรงหน้า แทนที่จะเป็นสภาพห้องเละเทะเหมือนทุกวัน กลับเป็นห้องนั่งเล่นสะอาดเอี่ยมที่ผมแน่ใจแล้วว่าไม่ได้วานแม่บ้านเข้ามาช่วยเก็บตั้งแต่ก่อนกลับจากไปเที่ยว


จู่ๆ ความรู้สึกหนึ่งก็ตีตื้นขึ้นมาในหัว ตั้งแต่เห็นสภาพห้องผมก็เหมือนจะลืมทุกอย่างไปสิ้น ลืมว่าเคยง่วงนอน ลืมว่าเคยเหนื่อยล้า ขามันขยับไปห้องโน้นห้องนี้เองโดยไม่ทันรู้ตัว


“พิก...พิก”


ผมพยายามเปล่งเสียงเรียก หาคนที่ควรจะอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่ก่อนผมกลับมา แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ หาที่ไหนก็ไม่เจอแม้แต่เงา


ผมสาวเท้าเข้าออกห้องตัวเองตั้งแต่ระเบียง ห้องนอน ห้องครัว โถงด้านนอกอยู่หลายหน ตะโกนเรียกจนแสบคอแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ จนในที่สุดท้ายสายตาก็เหลือบไปเห็นตะกร้าผ้าว่างอันหนึ่งที่บริเวณห้องน้ำระหว่างทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ผมถึงกับผุดลุก ถลาไปในห้องน้ำแทบจะทันที 


แต่ภาพตรงหน้าทำให้รู้สึกเหมือนโดนทุบด้วยค้อนอันใหญ่ที่มองไม่เห็น


นั่นคือบราสีดำของคนที่หิ้วมานอนด้วยเมื่อคืน ถูกแขวนเอาไว้กับลูกบิดประตูด้านในโดยที่ทุกอย่างถูกทิ้งระเกะระกะเอาไว้บนพื้น...



พิกเห็นมันเข้าแล้ว


_____________________________________________________


ขออนุญาตให้ชื่อแท็กว่า #โนบิโนบิ แล้วกันค่าเอาไว้ติดตามเนอะ

จริงๆเก้าเป็นคนคิดมากค่ะ ตามประสาคนทำงานมาแต่เด็กแหละ แหะ ๆ
ด่าได้เลย พระเอกนี่ มีไว้เพื่อด่า

ติดต่อได้ที่

Twitter (https://twitter.com/viridianxx)

หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 23 (06/07/18) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: 999296 ที่ 06-07-2018 16:41:47
ควรทำไงกับพระเอกเรื่องนี้ดี​ แต่ก่อนอื่นขอสมน้ำหน้าก่อน​   :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 23 (06/07/18) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 06-07-2018 17:22:49
24
GIANT’s PART
 


เช้าวันนี้ไม่สดใสเหมือนเคย...


ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับพบว่าตัวเองรู้สึกตัวก่อนเสียงนาฬิกาปลุกจะเตือนตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง นั่นทำให้หลับไม่ลงจนต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าเตรียมอาหารเช้าก่อนเวลาไปเกือบชั่วโมง ซึ่งอาหารที่ทำวันนี้ก็เป็นเมนูฟูลออฟชั่นอย่างที่คุณนายทั้งสองเห็นแล้วจะต้องตกใจในความอลังการ แต่พอทำกับข้าวเสร็จก็รู้สึกเหมือนชีวิตว่างเปล่าอีกครั้งจนต้องมานอนห้อยคอกดรีโมททีวีเปลี่ยนไปมาท่าทางหมดอาลัยตายอยาก นอนให้เลือดลงหัวอยู่อย่างนั้นไม่ถึงสิบนาทีทั้งคู่จึงทยอยลงมาที่ชั้นล่าง


“ได้นอนหรือยังเนี่ยพิก ตาแกคล้ำเหมือนหมีแพนด้าเลย”


แม่เอ่ยทักหลังจากออกมาจากห้องน้ำ นั่นทำให้ผมผงก ลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาดี ๆ


“นอนแล้วแม่ สงสัยเล่นเกมดึกไปหน่อย” 


แม่พยักเพยิดหน้าแล้วเดินไปที่โต๊ะอาหาร ผมเห็นไอ้พิมพ์ทำตาลุกวาว มันก้มหน้าลงสูดกลิ่นอาหารเหมือนกับว่าไม่เคยเจออะไรดูดีอย่างนี้อีกแล้วในชีวิต


“ทำไมวันนี้จัดเต็มขนาดนี้เนี่ยพี่พิก เลี้ยงฉลองอะไรเหรอ”  อยากจะบอกว่าไม่ได้เลี้ยงว้อย แต่กูนอนไม่หลับต่างหาก


ผมเดินตามสองสาวไปนั่งตักข้าวแจกที่หัวโต๊ะ พิมพ์กำลังใช้ตะเกียบคีบไข่เค็ม ในขณะที่แม่เลิกคิ้วจ้องผมไม่วางตา


“ตาแกบวมด้วย” 


ทัพพีแทบร่วงหลุดมือ ผมกระพริบตาถี่ ๆ ตั้งใจจะให้เนื้อหนังชั้นบวมมันหลุบเข้าไปในเปลือกตาบ้าง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่พ้นสายตาพิฆาตของแม่ แค่คุณนายแม่มองจิกผ่านแว่นตาอันใหญ่ ก็เหมือนผมได้ขายความลับให้ซาตานไปแล้ว


“ร้องไห้ทำไม”


และแล้ววินาทีที่ผมกลัวก็มาถึง ไม่อยากจะพูดอะไรออกมาเลย แต่ทุกคนบนโต๊ะอาหารดูเหมือนจะหยุดทุกการกระทำเพื่อรอคำตอบจากผม กระทั่งไอ้พิมพ์ที่กำลังจะคีบปลาสลิดทอดเข้าปาก มันยังถือคาจ่อเอาไว้ ส่วนแม่น่ะเหรอ ไม่ต้องพูด รายนั้นถึงกับวางหนังสือพิมพ์ที่กำลังจะกางลง แล้วชะโงกหน้าเข้ามาหาผมแทน


“ว่าไงพิก ร้องไห้ทำไม อกหักมารึไง” แม่ยังคงจี้จุดผมไม่เลิก ไม่อยากจะบอกว่านี่แม่งยิ่งกว่าอกหัก แต่เพื่อนมาแอบรัก แล้วยังหน้าด้านไปรักคนที่เขาไม่รักตัวอีก แม่งซวยซ้ำซวยซ้อน ซวยซ่อนเงื่อนจริง ๆ แม่คงช็อคตายถ้าหากผมสารภาพบาปว่าทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้ผมร้องไห้เป็นเผาเต่านั่นเกิดขึ้นจากผู้ชายสองคนที่แม่รู้จักเป็นอย่างดี


“ไม่ได้เป็นไร...แม่อย่ามาเซ้าซี้หนู รีบกินกาแฟสิเดี๋ยวก็เย็นหมด”


“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง อกหักใช่ไหม...ใช่สิ...แบบนี้ไม่อกหักจะเรียกว่าอะไร...” แม่หันไปบ่นคนเดียวก่อนจะหันมาซักไซร้ไล่เรียงเอากับผม “ว่ายังไง คราวนี้ดราม่ามากเลยเหรอ ตาถึงได้บวมยังกับเอาไข่ไก่มาแปะอย่างนี้”


ผมถึงกับวางทัพพีที่จะตักข้าวให้ชามตัวเองลงทันที ยกมือขึ้นสัมผัสบริเวณใต้ตาปูดนูนก็รู้สึกได้ถึงเท็กซ์เจอร์ที่แม่พูดถึง เลยได้แต่ยิ้มแหย ๆ ส่งไปให้


“ก็งี้แหละแม่ นอนดึกไง เล่นเกมเยอะไปหน่อย ช่วงนี้มันเครียด” 


“เครียดอะไรนักหนา เล่นไม่ผ่านก็เรียกพี่ชานมาช่วยเล่นสิ วันก่อนก็เห็นมาหา” ไอ้พิมพ์เอื้อมตัวมาหยิบชามข้าวตัวเองไปไว้ด้านหน้า ก่อนจะใช้ช้อนตักข้าวต้มคำโตใส่ปาก “อีหรอบนี้ ยังไงก็อกหักชัวร์ ไม่ได้เครียดเกมหรอก”


ผมถลึงตาใส่น้องสาวตัวดีที่มีหน้ามาออกความเห็นเรื่องชาวบ้าน แต่ดูเหมือนแม่จะเห็นด้วยกับคำพูดของพิมพ์ คนเป็นผู้ใหญ่กว่าถึงได้ผ่อนลมหายใจแล้วดึงแว่นตาออกก่อนจะเอื้อมมือมาแตะบนมือผมท่าทางจริงจังกว่าทุกครั้ง


“พิก ฟังแม่นะ” คุณนายแม่ถอนหายใจแรง “ไอ้เรื่องความรักเนี่ย ถึงไม่มีมันก็ไม่ตาย เข้าใจใช่ไหม” 


ผมหันกลับมามองแม่ แล้วพยักหน้าแกนๆ


“แต่ที่เรายังรู้สึกค้างคา ก็อาจจะเพราะเหตุผลอะไรหลาย ๆ ในตอนท้ายที่มันดูไม่ค่อยสวยงาม ทำให้เราจำได้แต่สิ่งไม่ดี...อย่างแม่เนี่ย ถามว่าตอนพ่อเราเขาตกลงจะจากไป แม่เจ็บไหม? ใช่แม่เจ็บ...แต่ถ้าแม่ปล่อยให้มันคาราคาซัง สุดท้ายแม่ก็จะยิ่งเจ็บ เพราะแม่จะไม่สามารถลืมพ่อได้เลย” 


“...”


“ไม่แปลกหรอกลูก ที่เราจะจำได้แค่เรื่องล่าสุดที่มันเกิดขึ้นกับเรา...แต่หลังจากเศร้าเสร็จแล้ว ก็ต้องลองมองย้อนกลับไปนะ ว่ามันมีปัจจัยอะไรที่ทำให้คนทั้งคู่ไปกันไม่ได้ หรือ ไม่มีทางไปด้วยกันได้... ลองมองย้อนกลับไปถึงเหตุผลนั้นหรือยัง? สำหรับแม่ ครั้งสุดท้ายที่เห็นเราเศร้ามันก็ยังไม่ถึงปี แต่นี่ก็มาเศร้าใหม่อีกรอบ? แม่ไม่ได้บอกว่าระยะเวลาจะสามารถกำหนดสัดส่วนของความรักได้นะ แต่ที่แม่กำลังจะพูดคือ เราให้เวลาคนที่เราชอบมากพอที่จะทำให้เขามั่นใจในตัวเราบ้างหรือยัง”


“...”


“บางที ความจริงใจมันก็ช่วยไม่ได้ทั้งหมดหรอกนะ ต้องใช้เวลาพิสูจน์ด้วย” 


ผมหรี่ตามองลึกเข้าไปในดวงตาของแม่ มันสั่นไหวเหมือนเคลือบด้วยน้ำใส ๆ นั่นทำให้ผมพลิกมือกลับแล้วเปลี่ยนเป็นกุมมือแม่เอาไว้แทน


“หนูเข้าใจว่าแม่เป็นห่วง...หนูจะลองเอาไปทบทวนดู” 


“อืม แม่ไม่อยากเห็นแกซังกะตายเป็นผีตายซาก ยิ่งมีความรักแย่ ๆ เกรดแกยิ่งตก  ตั้งใจหน่อยพิก ถ้ามันแย่นัก แกก็ต้องรู้จักที่จะให้เวลามันสักหน่อย”


“อือ หนูรู้แล้ว” ผมเพิ่มแรงบีบที่มือแม่พลางพยักหน้าไปด้วย


คิดอย่างนั้นจริง ๆ ถึงได้พูดออกไป แต่พอลองย้อนกลับไปมองแล้ว ผมก็อาจจะผิดเองที่เร่งรัดโนบิตะมันเกินไป(?) แต่ไอ้เรื่องที่กูเจอมาเมื่อวานก็มากไปหน่อย มันรู้สึกโกรธครึ่งไม่โกรธครึ่งว่ะ แต่ที่มีปฏิกิริยาออกมาแบบนี้ก็เพราะอย่างแรกเลย กูกับมันไม่ได้เป็นอะไรกันเลยไม่มีสิทธิ์จะโกรธ แต่อีกครึ่งที่ยังรู้สึกโกรธ ก็เป็นเพราะว่าชอบมันนี่แหละ


 “กินข้าวเถอะ” 


สงสัยคุณนายแม่จะเห็นผมเงียบนานเกินไป ถึงได้สะกิดเรียกเพื่อให้เริ่มเปิบข้าวเช้าสักที ผมทำได้แค่พยักหน้า แล้วเริ่มคีบกับใส่ชามที่มีข้าวต้มเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของความจุทั้งหมด ผมบรรจงตักข้าวใส่ปากอย่างเชื่องช้า เวลานี้ไม่มีอารมณ์กินข้าวจริงๆว่ะ


จะสลัดความรู้สึกพวกนี้ได้ไหมวะ...
ไม่อยากเป็นอย่างนี้เลย   
.
.
.
.
.
.

ภาพตรงหน้าคือรถติดยาวเป็นสาย เพราะห่างไปอีกนิดนั้นเป็นประตูมหาลัย ทั้งที่ตอนนี้เป็นช่วงบ่ายแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าจำนวนรถที่เลี้ยวเข้าม.จะไม่น้อยตามไปเลย


วันนี้ผมมีเรียนบ่าย เป็นวิชามาร์เก็ตติ้ง ที่จริงโคตรขี้เกียจ ง่วงชิบหาย ไม่อยากมาเลยด้วยซ้ำ แต่อาจารย์คนนี้โหดมาก เรียกว่าเป็นสเนปของภาควิชานี้เลยก็ได้ ขืนไม่มาเรียนตั้งแต่หนแรก ๆ มีหวังโดนกาหัวมาร์กไว้ให้ F ปลายเทอมแน่ จึงต้องจำใจมาเพราะต้องการรักษาสถานภาพความมั่นคงของเกรดเอาไว้เผื่อขาดปลายเทอมอีกที


เมื่อเช้าพอแม่กับน้องออกไป หลังจากล้างจานเสร็จผมก็หลับเป็นตายจนเกือบเที่ยง ตื่นมาอีกทีเพราะได้ยินเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ แต่พอลุกขึ้นมารับเจ้าของเบอร์ก็ไม่พูดอะไร ปล่อยให้ผมคุยกับอากาศ...ก่อนจะยอมวางเมื่อผมบอกว่าตื่นแล้วและกำลังเตรียมจะอาบน้ำ


จะใครซะอีก ก็ไอ้ชานนั่นแหละ... พอวางเสร็จก็ยืนมองมือถือนิ่ง ๆ ไปพักใหญ่ ไม่ใช่ไม่เข้าใจในสิ่งที่มันทำ แต่กลับรู้สึกเป็นห่วงมันที่ยังพยายามจะทำอะไรให้เป็นปกติทั้งที่จิตใจมันก็ไม่ได้ปกติ จะบอกว่าผมไม่เข้าใจมันเหรอ? คิดแบบนั้นใจร้ายไปหน่อยมั้ง...เพราะถ้าเจอกับโนบิตะผมก็พยายามจะปกติให้ได้เช่นกัน 


ปกติแบบย้อนกลับไปตอนเมื่อก่อนหน้าที่เราจะตกลงมีอะไรกัน...


“พิก” 


แต่ในระหว่างที่สมองเอาแต่หาคำตอบ เสียงจากด้านหลังก็เรียกให้ต้องเอี้ยวตัวหันไปหา ไอ้ไอ้เฮียนั่นเองครับ มันยืนตาคล้ำคล้ายหมีแพนด้า มือก็ดึงสายสะพายออกจากบ่าแล้วเดินมาหยุดค้ำหัวผมอยู่ข้าง ๆ


“กูขอนั่งด้วย” 


“เอาดิ”  ผมพยักหน้าให้มันแล้วกวาดปากกา ดินสอ ยางลบที่กระจายอยู่ตรงกลางมาฝั่งตัวเอง ไอ้เฮียพูดขอบใจไม่มีเสียง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ


“กูนอนไม่หลับเลยว่ะ” มันพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ใบหน้าเหมือนจะจมลงไปกับเสื้อ


“ทำไม” 


ผมถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันหมายความถึงอะไร เห็นหัวทุย ๆ ของมันส่ายไปมา ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายลงคอก็ได้แต่เอื้อมมือออกไปแตะเบา ๆ ที่บ่ามัน 


“มึงเกลียดกูแล้วหรือยังวะ”


จู่ ๆ มันก็พูดออกมาในขณะที่มือผมยังค้างเติ่งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่น้ำเสียงที่พูดออกมาถึงได้ฟังดูลำบากใจอย่างหนัก ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองมันจากตรงนี้ สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วฟุบหน้าลงไปหามันบ้าง


“จะบอกว่าเกลียดคงไม่ใช่...แต่ถามว่ากูรู้สึกแย่ที่ทุกเรื่องแม่งเหี้ยไปหมดไหม...ก็ใช่”


ผมตะแคงมองเสี้ยวหน้ามันจากด้านข้าง ตอนนี้ไอ้เฮียเงยหน้าขึ้นมาแล้ว มันยืดตัวนั่งหลังตรงแล้วใช้สายตาอ่อนระโหยมองผมแทน


“เฮ่อ กูมาคิดทบทวนแล้ว...กูแม่งแย่ว่ะ”  มันเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ตาสั่น ๆ เหมือนคนจะร้องไห้ “กูขอบอกอีกทีว่าไม่ได้หวังร้าย ที่ผ่านมากูแค่ไม่เคยมีเพื่อนสนิทที่ไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างนี้ กูก็แค่อยากช่วยให้มันดีขึ้น แต่แม่งก็แย่ลงอะ”


“เอาจริง...แค่มึงคิดได้ว่าที่ทำลงไปแม่งแย่ มึงก็ดูดีขึ้นมาอีกนิดละในสายตากู”


“แต่ก็ยังไม่ดีในสายตาไอ้ชานใช่ปะวะ”


“อืม...ก็มึงเหี้ยนี่ สาระแน แล้วยังทำเกินเรื่องจนชาวบ้านเค้าวุ่นกันหมด”


ที่พูดน่ะหมายความแบบนั้นจริง ๆ แต่จะดูดีในสายตาใครอีกไหม นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไอ้เฮียมันจะต้องเผชิญเอง คนที่เข้าใจมันอย่างผมก็มี แต่ก็อย่าลืมว่ายังมีอีกคนที่ไม่พร้อมจะเข้าใจเช่นไอ้ชาน...


พูดถึงในใจได้ไม่ทันขาดคำก็โผล่หัวเข้ามาในห้องพร้อมสภาพอิดโรย ไม่รู้ว่านี่เป็นวันรียูเนี่ยนคนเป็นโรคนอนไม่หลับหรือยังไง ทุกคนที่ก้าวเข้ามาในห้องถึงได้ขอบตาคล้ำราวกับเลี้ยงถุงใต้ตาไว้ดูเล่นอย่างนี้


ไอ้ชานเดินมาหยุดที่ด้านหน้าโต๊ะที่ผมกับไอ้เฮียนั่ง มันไม่พูดอะไรแม้แต่จะหันมาทักทายด้วยซ้ำ อาจเพราะข้างตัวผมมีคนที่มันไม่ต้องการเห็นหน้า วันนี้มันถึงได้ดูเย็นชากว่าปกติหลายเท่า อา...ขอให้เป็นงั้นเหอะ ไม่อยากจะคิดไปไกลเลยว่าที่แม่งไม่ทัก เพราะเหตุผลส่วนใหญ่นั่นมาจากตัวผมเอง


เมื่อเช้าก็ทีนึงแล้ว โทรมาไม่พูด ปล่อยให้ผมพูดอยู่คนเดียวตลอดการโทรเป็นสิบ ๆ นาที ไม่หนำซ้ำตอนนี้ยังเดินดุ่ม ๆ มานั่งโดยที่ไม่พูดคุยซักถามอะไรอีก ลำพังเรื่องที่เกิดขึ้นก็ทำให้หัวผมแทบระเบิดอยู่แล้ว ถ้ายังต้องมาเจอมันเย็นชาใส่อีกผมก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปเหมือนกัน


ผมได้แต่จ้องแผ่นหลังกว้างของเพื่อนสนิท ในตอนนี้มันคิดอะไรอยู่ดูไม่ออกเลยสักนิด ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน แค่เห็นเสี้ยวหน้าของมันก็ยังพอจะเดาอารมณ์ออกได้ แต่นี่อะไร เหมือนมีเมฆบังสายตาผมจนขมุกขมัวมองไม่เห็นทาง ไม่รู้กระทั่งว่าต้องทำอย่างไรต่อ ควรจะทักมันแล้วทำเหมือนปกติ หรือจะนั่งเฉย ๆ รอให้มันเป็นคนทักเองดี


“เก้า เก้า”


แต่แล้วเสียงจากประธานเอกสาวเนิร์ดก็ทำให้ผมละความสนใจจากแผ่นหลังที่อยู่ตรงหน้า หันไปตามเสียงเรียกก็เห็นไอ้ตัวปัญหาที่ทำให้ผมนอยด์ทั้งคืนเข้ามาในห้องพร้อมกับแฟ้มสีน้ำเงินเข้ม มันสาวเท้าเข้าไปหาประธานเอกหน้านิ่ง ทว่าแวบหนึ่งที่เราสบตากันตอนมันเดินผ่านแถวที่ผมนั่งก็ทำให้ใจผมเกิดกระตุกขึ้นมาเสียฉิบ


แม่ง อย่าไปมองหน้ามันสิวะ หันกลับมา หันมา


ผมเอาแต่คิดอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา แต่ไม่สามารถบังคับสายตาตัวเองให้มองไปทางอื่นได้ ภาพโนบิตะอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาว ผมเผ้ารุงรัง พอมาลองพิจารณาดูดี ๆ แม่งก็ไม่ใช่ขี้เหร่นะ แล้วทำไมก่อนหน้านี้ผมถึงมองไม่เห็นความดูดีของมันวะ ทั้งร่างกายก็สูงชะรูด บ่าใหญ่ ขายาว มองยังไงก็ทรงเดียวกับพระเอกในการ์ตูนแท้ ๆ


ทำไมกูโง่ขนาดนี้วะ  แม่ง...มองไม่ออกมาได้ไงวะเนี่ยตั้งหลายปี...


“ขออนุญาตนะครับชาน”


เชื่อไหมว่าผมมองมันอยู่อย่างนั้นจนมันเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะตัวข้าง ๆ ไอ้ชาน เห็นมันขออนุญาตอีกคนโดยที่คนมาก่อนไม่รู้อะไรเลยแล้วรู้สึกแปลก ๆ ว่ะ... ไอ้ชานก็ให้แม่งนั่งด้วยแหละ แต่ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่มันพูดขออนุญาตไม่ใช่เรื่องเก้าอี้ตัวข้าง ๆ


ก็เพราะสายตาของมันไม่จ้องผมไม่ยอมวางนั่นไง!


ทว่า พอโนบิตะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้เสร็จสรรพ ไอ้เตี้ยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เสียงดังจนคนทั้งเอกต้องหันมามอง ไอ้เฮียทำหน้าเบ้ ก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะอีกครั้ง แต่คราวหนี้มันหยิบโทรศัพท์มือกดเอาใต้โต๊ะแทน 


ผมไม่รู้ว่ามันกดอะไรยิก ๆ แต่ประหลาดใจที่เสียงไลน์มือถือตัวเองก็ดังขึ้นเช่นเดียวกัน ในใจนึกแล้วว่าเป็นข้อความจากไอ้เฮียแน่ แต่พอเปิดมาดู ที่ไหนได้...ดันเป็นข้อความของไอ้คนที่นั่งหลังตรงอยู่ข้างหน้าซะนี่


                                                   13:02   เมื่อวานขอโทษนะ
                                                   13:02   วันนี้กลับบ้านด้วยกัน มีเรื่องอยากคุย 


ผมเงยหน้าขึ้นมองไอ้ชานจากด้านหลัง นานจนอีกฝ่ายหันหลังกลับมาหากัน เราสองคนสบตากันภายใต้ดวงตาอีกสองคู่ ใช่ ตอนนี้โนบิตะกับไอ้เฮียกำลังมองอยู่ หางตาผมเห็นอย่างนั้น และเมื่อยิ่งเห็นว่าแววตาของคนที่แอบมองอยู่เมื่อครู่เย็นชาขนาดไหน ก็ทำให้ผมตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้นเยอะ 


ผมก้มหน้าลง กดเปิดหน้าจออีกครั้งแล้วตัดใจพิมพ์บางอย่างลงไปที่ไลน์ของโนบิตะแทนที่จะเป็นของเชี่ยวชาญ พิมพ์เสร็จอาจารย์ก็เดินเข้าห้องมาพอดี โชคดีที่อาจารย์เรียกโนบิตะไปหน้าห้องเพื่อทำอะไรบางอย่างตามหน้าที่นักเรียนดีเด่น ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าของมัน...


เพราะผมรู้... ถ้าหากมันเห็นข้อความนั้น
มันจะต้องหันมาหาผมแน่ 

((มีต่อ))

หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 23 (06/07/18) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 06-07-2018 17:23:29
suneo’s PART
 



ผมนั่งรอเสียงแจ้งเตือนไลน์จากพิกทั้งคาบ


ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนหนังสือ หรือวิเคราะห์ข้อความบนกระดานสักตัวอักษรเพราะพิมพ์ข้อความไปแล้วอีกฝ่ายไม่ตอบกลับมาสักที 


จนเข็มยาวของนาฬิกาข้อมือตีไปที่เลขสิบสองเป็นรอบที่สองนั่นล่ะ ขณะที่ทุกคนกำลังลุกขึ้นจากโต๊ะ ผมก็หันไปหามันทันทีด้วยความร้อนใจ อดทนได้เพียงเท่านั้นแหละ เพราะมันไม่คิดจะตอบอะไรกลับมาเลยสักอย่าง


“รู้แล้ว...กลับด้วยกันใช่ไหม”


ยังไม่ทันพูดอะไรพิกก็พูดออกมาราวกับรู้ใจ ผมพยักหน้า “ใช่...มึงไม่ตอบกูทั้งคาบ กูก็คิดว่า...”


“คิดว่าอะไร” 


“อืม...ช่างเหอะ ไว้คุยกันสองคน”


ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน  มองพิกที่นั่งอยู่กับที่พักหนึ่งก็ตัดสินใจเอื้อมมือไปจับข้อมือมันเอาไว้ สีหน้าของมันตอนโดนผมแตะตัวดูตื่นตกใจ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่คิดจะปล่อยมือจากมันเลยทั้งที่มันทำหน้าอย่างนั้น


“ไปกันเถอะ ไปคุยกัน”


เวลานี้ผมพูดได้แค่นั้น ไม่สนแม้จะมีสายตาของไอ้เฮียมองอยู่ ผมออกแรงฉุดพิกให้ลุกขึ้น พามันก้าวอาด ๆ อ้อมแถวที่เรานั่งออกไปที่ประตูโดยที่ตัวมันเองไม่ได้มองทางข้างหน้าเลยแม้แต่น้อย...
แต่ไม่ว่ามันจะหันไปมองใครที่อยู่ในห้อง ไม่ว่าจะไอ้เฮียหรือโนบิตะ ผมก็ไม่สนใจแล้ว ผมควรจบความรู้สึกแบบนี้ เอาให้แน่ใจไปสักทีเพราะผมไม่ชินเลยที่เราไม่มีกัน


ผมไม่ชินเลย...ที่ต้องเฉยชาต่อกัน
เพราะชีวิตของผมที่ผ่านมามีมันเติมเต็มอยู่ตลอดจนไม่รู้สึกว่าขาดหายสิ่งไหนไป
.
.
.
.
.
“มึง..ปล่อยมือกูได้แล้วมั้ง” 


เสียงติดจะแหบของพิกพูดเบา ๆ เมื่อรถของผมเคลื่อนตัวมาหยุดอยู่หน้าบ้าน ตลอดทางผมจับมือมันไม่ยอมปล่อยโดยไม่กลัวว่ามันจะอึดอัดหรือลำบากใจ แต่พอมันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแบบนั้นจู่ ๆ ผมก็เพิ่งรู้สึกได้ถึงแรงมือของตัวเองที่กำข้อมือมันแน่นไป... ผมตัดสินใจคลายแรงมือออกนิดหน่อย แต่ยังไม่ยอมปล่อยอย่างเป็นทางการ


“หิวหรือยัง”


 ผมเลี่ยงคำที่มันพูดเมื่อครู่เพื่อเบี่ยงประเด็นรอให้แม่บ้านลงมาเปิดประตูรั้ว  แต่พิกไม่ตอบคำถาม มันกลับพยายามดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมแทน


“ปล่อยกูก่อนชาน...กูอึดอัด”


คำพูดของมันทำให้ผมยอมปล่อยมือออกในที่สุด มันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่แม่บ้านของผมเดินออกมาเปิดประตูรั้วกว้างพอให้รถเข้าได้พอดี ผมจึงต้องเปลี่ยนไปตั้งสมาธิอยู่กับทางตรงหน้าแทน ตัดใจเหยียบคันเร่งไต่ขึ้นเนินแล้วดับรถในที่สุด


ระหว่างทางเข้าบ้านความเงียบก่อตัวเปิดทางให้ความอึดอัดเข้ามาแทรกซึมระหว่างเรา พิกทำเพียงโค้งให้คุณแม่บ้านตอนที่เดินผ่าน ก่อนจะสาวเท้านำขึ้นไปบนบันไดวนด้านที่จะเข้าสู่ห้องของผมอย่างรู้งาน 


“กู...ขอเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหมวะ”
ขึ้นมาถึงห้องมันก็เอ่ยปากขอตัวเข้าห้องน้ำก่อน ถึงจะรู้ว่ามันจงใจอยากหลบหน้า แต่ผมก็ยังพยักหน้าอนุญาตและทิ้งตัวลงบนเตียงเพื่อมองมันเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ


นานเกือบสิบนาทีที่พิกหายเข้าไปในนั้น ผมได้แต่นั่งมองพื้นอย่างไม่รู้จะพูดอะไร เหมือนทุกอย่างในตัวมันสั่นขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ  มองไปมือตัวเองที่แปะอยู่บนตักแล้วก็ได้แต่นึกสมเพช เมื่อคืนผมกัดมันจนกุดติดเนื้อด้านในของนิ้วไปแล้ว


ผมเครียด ยอมรับว่าเครียดที่สุดในชีวิตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน... เพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมมีเพื่อนสนิทตัวติดกันอย่างพิก พอรู้ว่าตัวเองคิดไม่ซื่อกับเพื่อนถึงได้เกิดอาการกลัวไปหมด 


ยิ่งเมื่อตอนกลางวันที่มันไม่ตอบอะไรกลับมายิ่งทำให้ผมเครียด ยอมรับเลยว่าตอนนั้นผมได้แต่นั่งฟังอาจารย์เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา ตาผมมันพร่า มองอะไรไม่เห็นแม้กระทั่งเครื่องหมายสัญลักษณ์บนกระดาน ผมได้แต่สูดลมหายใจเข้าปอด นับ 1-10 วนไปวนมาเป็นร้อย ๆ ครั้ง จนหมดเวลาผมถึงได้หมดความอดทนเช่นกัน


“กู...ขอโทษนะเว้ย พอดีปวดขี้” 


พิกออกมาพร้อมคำขอโทษด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ มันเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงแล้วมองซ้ายมองขวาก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวด้วยท่าทีเหมือนคนไม่คุ้นเคยกับห้องนี้ ผมรู้ว่ามันอึดอัด รู้ว่ามันกำลังกระวนกระวายกับสายตาของผมที่ช้อนมองมันจากด้านล่าง 


“ไม่เป็นไร...มานั่งสิ”


ผมตบลงบนที่ว่างข้างเตียงในขณะที่สายตาก็ยังไม่ละออกจากหน้ามัน ตอนนี้พิกทำได้เพียงพยักหน้าแล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้อีกนิดก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง เราสองคนอยู่ด้วยกันท่ามกลางความเงียบโดยสมบูรณ์แบบ 


“มึง...อยากคุยอะไร” 


น่าตลกดีที่คำพูดของมันฟังดูตะกุกตะกักไปหมด ผมไม่เคยเห็นพิกเป็นแบบนี้สักครั้งแม้กระทั่งตอนที่เถียงกับอาจารย์ ดวงตาของมันดูเลื่อนลอยอย่างกับว่าไม่ต้องการจะเห็นหน้าผมชัด ๆ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่คิดจะบังคับมันให้หันมามองอีกแล้ว


เพราะถ้ามันจะมอง มันควรมองผมด้วยความรู้สึกของตัวเองจะดีกว่า


“กูว่ากูอึดอัด” ผมสารถภาพออกไปพร้อมกับถอนหายใจ ตอนนี้ใบหน้าของพิกอยู่ห่างไม่ถึงคืบ แต่กลับรู้สึกไกลเหมือนยืนอยู่บนเขาคนละลูก เพราะเราไม่สามารถเปิดใจคุยกันได้เหมือนเคย


“อืม...กูก็เป็น” มันพูดแล้วแย้มยิ้มออกมา “แต่ก็ดีใจนะ...ที่เมื่อเช้ามึงยังโทรหากู กูดีใจจริงๆ”


“อืม...”


ผมครางรับในลำคอเมื่อเห็นมันยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อย บอกตรง ๆ ว่าสภาพตอนเราจากกันเมื่อวานมันกวนใจผมมาก ผมไม่เคยเห็นพิกเป็นแบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่มันแย่มากคือวันที่เรากลับจากเสม็ด วันนั้นผมสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะอยู่ข้างมัน อยู่เพื่อให้มันดีขึ้น...แต่แล้วผมก็เป็นคนลงมือทำร้ายมันอีกครั้งเนี่ยนะ?


คิดว่าพิกคงเห็นหน้าตาท่าทางผมดูไม่ค่อยดีถึงได้เอื้อมมือมาแตะเบา ๆ บนตัก แต่นั่นไม่ได้ช่วยปัดเป่าความรู้สึกแย่ออกไปเลยแม้แต่น้อย มันกลับยิ่งทำให้ผมเพ่งสายตามองมันได้ชัดขึ้น อันที่จริงผมน่าจะรู้ตัวเร็วกว่านี้สักหน่อย หลาย ๆ อย่างมันควรจะเข้าที่เข้าทางตามแบบของมันไม่ใช่ที่เป็นอยู่แบบนี้


“คิดอะไรวะ” 


มันถามขึ้นมาหลังจากเห็นผมเงียบไป เราจ้องตากันฟังเสียงเครื่องปรับอากาศทำงานดังหึ่ง ๆ ในห้องนอนโทนสีขาว ผมพยายามค้นหาอะไรบางอย่างในแววตามัน แต่เท่าที่พบก็มีเพียงความห่วงใยระดับเพื่อนที่ส่งมาให้ 


นั่นจึงทำให้ผมตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างออกไป


“กูอยากพิสูจน์” 


“หือ?” 


“กู...กูอยากรู้ว่าตัวเองชอบมึงจริง ๆ ไหม?  มึงก็รู้ว่าก่อนหน้านี้กูไม่มีท่าทีอะไรเลย กูก็เพิ่งมารู้เหมือนกันว่าตัวเองชอบมึงหลังจากไอ้เฮียบอก...กูแค่สงสัยว่าตัวเองแสดงออกอะไรขนาดนั้นเลยเหรอวะ แล้วถ้าทำขนาดนั้นทำไมมึงกับกูไม่เคยรู้ตัวเลย...”


“...”


“อย่างที่มึงก็รู้ กูไม่ได้ชอบผู้ชาย...แต่สำหรับมึง มันอาจเป็นข้อยกเว้น...เพราะงั้น ขอให้กูได้ทดลองอะไรบางอย่างหน่อยเหอะ...ให้กูมั่นใจหน่อยว่าตกลงกูชอบมึงเข้าแล้วจริง ๆ”


 “มึง...จะพิสูจน์ยังไง” 


“กูขอลองจูบมึงได้ไหมวะ” ผมระบายลมหายใจออกทางปาก รู้สึกเหมือนกับว่าโดนหินทุบเข้าให้ที่ท้ายทอย “แค่ครั้งเดียว...นะ”


พิกหรี่ตาลงเมื่อฟังประโยคยืดยาวจากผมจบ มันขมวดคิ้วและกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเลียริมฝีปากตัวเองท่าทางไม่แน่ใจ


“แค่จูบเท่านั้นใช่ไหม” 


“อืม” ผมพยักหน้า สายตาเลื่อนไปหยุดอยู่บนริมฝีปากของมันที่ฉ่ำไปด้วยน้ำลาย 


“เหรอ...” มันนิ่งไปอีกอึดใจ ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง  “งั้น...ลองก็ได้  กูอยากรู้เหมือนกัน” 


ทีแรกผมคิดว่ามันจะโวยวายด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้พิกกลับหลับตาพริ้มแล้วยื่นหน้ามาหา ผมไม่รู้หรอกว่ามันกำลังคิดอะไร แต่จากที่มองมันมาตลอด อย่างหนึ่งที่ผมแน่ใจคือมันก็ไม่ชอบลักษณะความสัมพันธ์ของเราในตอนนี้เช่นกัน


ผมค่อย ๆ บรรจงเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้มัน ด้วยความสูงของผมที่มากกว่ามัน ถึงจะนั่งแต่ผมก็ยังต้องโน้มหน้าลงไปหาทำให้สัมผัสได้ถึงลมหายใจผะแผ่วที่เป่ารดคางตัวเอง สีหน้าของพิกดูอึดอัด แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณที่มันสงบนิ่ง... เพราะถ้าหาไม่เป็นอย่างนั้น ไอ้ก้อนเนื้อเท่ากำปั้นในอกผมก็ไม่มีทางสงบลงได้ง่าย ๆ


เรากำลังจูบกัน... 


นาทีที่ริมฝีปากของผมแตะเข้ากับริมฝีปากของมัน ทำให้รู้สึกราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านไปทั่วตัว ผมสัมผัสได้ถึงอาการสั่นของพิกที่ดูเหมือนจะทวีคูณยามที่ผมบดริมฝีปากลงไป มันหนักหน่วงขึ้นตั้งแต่ตอนไหนผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  รู้อีกทีคือตอนนี้หลังของพิกเอนติดฟูกนอนไปแล้ว


เราจูบกันอย่างบ้าคลั่ง...ไม่สิ ผมคนเดียวต่างหาก ผมจูบพิกอย่างไม่คิดว่าจะสามารถจูบมันได้ด้วยความรู้สึกอย่างนี้ ทันทีที่ริมฝีปากของผมสัมผัสกับมัน แทนที่ผมจะนึกรังเกียจแต่มันกลับตรงกันข้าม ยิ่งจูบมันผมก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความโหยหา อยู่ดี ๆ สัมผัสตอนที่อยู่เกาะก็ประดังประเดเข้ามาทให้ผมหน้ามืดตามัวไปหมด


“พอ...มึง พอก่อน”


เสียงแหบพร่าของพิกพูดขึ้นเมื่อผมละริมฝีปากออก แต่ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตนไหนดลใจให้ผมประกบปากลงไปอีกครั้ง คราวนี้ผมสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของมัน รสจูบหวานชุ่มด้วยน้ำจากปากลิ้นของพิกทำให้ผมแทบบ้า ที่กลางตัวมันตื่นขึ้นมาทั้งที่ไม่จำเป็นต้องสัมผัสเลยด้วยซ้ำ


ชัดเจน... นี่ชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ยิ่งลากปากไปตามแก้มเนียนของมันก็ยิ่งรู้ตัวเลยว่าหลงรักเพื่อนคนนี้จนแทบบ้า นึกโทษตัวเองในความโง่เขลาว่าทำไมถึงได้รู้ตัวช้า ถ้าหากผมรู้ตัวเร็วกว่านี้อีกนิดผมก็คงได้ครอบครองมันทั้งหมด... ทั้งหัวใจและร่างกาย


“ชาน! ไอ้เหี้ย นี่มันเกินไปแล้วนะ”


แต่อยู่ ๆ ทุกอย่างก็เหมือนกับจะดับวูบลงทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนและแรงทุบที่บ่า รู้ตัวอีกทีสายตาก็เลื่อนไปหยุดอยู่ที่ลำคอของพิกเสียแล้ว... แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมเสียใจเท่ากับสายตาของมันที่มองผมขึ้นมาจากด้านล่าง ผมเหมือนคนขาดสติที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังคร่อมมันและตั้งใจจะทำอะไรเกินกว่าเหตุ...


“มึงทำเกินไปแล้ว...”


เสียงของมันขาดห้วงฟังดูน่าสงสาร นั่นทำให้ผมจำต้องเรียกสติตัวเองกลับมาโดยการผละออกจากตัวมันแล้วลุกขึ้นมานั่งห้อยขาลูบหน้าตัวเองตัวเองที่ปลายเตียง


“กูขอโทษ” 


ผมพูดได้แค่นั้น ได้เท่านั้นจริง ๆ เพราะใจผมมันแทบจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว... 
ยิ่งจูบมันก็ยิ่งรู้สึก ยิ่งรู้สึกก็ยิ่งเข้าใจว่ามันไม่ได้คิดไปในทางเดียวกันกับผมเลยแม้แต่น้อย


ผมเห็นสีหน้าของพิก ทั้งอึดอัด ทั้งลำบากใจจะพูด ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ ทุกอย่างที่ผมทำลงไปกลับยิ่งเลวทรามลงเรื่อย ๆ แทนที่มันจะดีขึ้น ก็แย่ลงจนผมไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น อยากจะอยู่คนเดียว อยู่เฉย ๆ อยู่อย่างนี้โดยที่ไม่ต้องมีใครเข้ามาปั่นป่วนหัวใจอีก 


เป็นแบบนี้อีกแล้ว
สุดท้ายก็ลงเอยแบบนี้...ไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่มีทางชอบมันได้จริง ๆ
เพราะสายตาของมัน ไม่ได้มีไว้เพื่อมองผมอย่างคนรักเลย

_____________________________________________________


ขออนุญาตให้ชื่อแท็กว่า #โนบิโนบิ แล้วกันค่าเอาไว้ติดตามเนอะ

ว้อยยยย จะจบแล้ว !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!   :z3:


ติดต่อได้ที่

Twitter (https://twitter.com/viridianxx)
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 24 (06/07/18) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 06-07-2018 18:37:57
อ่านเพลินมากกก รู้สึกติดหนึบหนับเลยเจ้าค่ะ หัวใจปวดหนึบๆด้วย หน่วงเหลือเกินค่ะ ฮือออ

รอติดตามตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อเลยค่า
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 24 (06/07/18) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 06-07-2018 20:21:49
25
GIANT’s PART
 


นี่เป็นอีกหนที่ผมต้องเดินออกมาจากบ้านไอ้ชานทั้งความรู้สึกอึดอัดปนเสียใจ


กลับมาถึงบ้านผมก็เอาแต่ซุกตัวลงบนเตียงโดยไม่สนใจเวลาอาหารเย็น หรือ รายการทีวีในช่องโปรดที่ต้องดูทุกครั้งที่มันฉาย ผมไม่อยากสนใจอะไรเลยกระทั่งจองอามาเคาะประตูเรียก ตั้งแต่ทิ้งตัวลงนอนผมก็เอาแต่คิดเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นจนลืมไปว่าตัวเองส่งข้อความอะไรไปหาเก้า 


 ‘ไลน์’


เสียงเตือนจากมือถือดังขึ้นหลังจากที่ผมลุกขึ้นไปกดเปิดคอม หันไปก็เจอมือถือตัวเองนอนแอ้งแม้งสั่นครืด ๆ อยู่บนเตียง... ตอนแรกไม่คิดจะหยิบมาเปิดออกดูหรอก แต่เพราะไม่อยากฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวถึงได้ถลาตัวลงไปนอนชั่งใจมองมันอยู่สักพัก

เอาวะ...เป็นไงเป็นกัน!


ผมตัดใจเปิดแอพไลน์ขึ้นมา และสิ่งที่โชว์หราอยู่ตรงหน้าก็ไม่ได้ผิดไปจากที่คาดนัก... เห็นไลน์ไอ้ชานเด้งเข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อห้านาทีก่อน... กับของโนบิตะที่โชว์เวลาครั้งสุดท้ายเมื่อหลายชั่วโมงก่อน


ควรจะเปิดอันไหนดูก่อนดีวะ... 


ผมเลียริมฝีปากที่ลำพังก็แห้งเป็นขุยอยู่แล้วอย่างหนัก ขมวดคิ้วมองมันอย่างกับว่าตัวหนังสือจะพุ่งออกมาจากมือถือได้ ในใจก็รู้สึกแห้ว ๆ แป่ว ๆ แปลก ๆ ...เอาวะ สรุปกดดูของโนบิตะก่อนแล้วกัน จะได้รู้ว่ามันตอบกลับผมยังไงที่พิมพ์หามันเมื่อบ่าย


ไม่อนุญาต 15 : 01


ไม่อนุญาต? ผมอ้าปากหัวเราะสมเพชตัวเองอย่างไม่มีเสียงก่อนจะเลื่อนขึ้นไปดูข้อความตัวเองที่ส่งหามันเอาไว้ 


                                                          13 : 04 กูขอลาออกนะ
                                                          13 : 04 เราอย่าเจอกันสักพักเลย
                                                          13 : 05  ขอโทษที่เคยเซ้าซี้ แต่ตอนนี้กูเจอกับมึงไม่ไหวจริง ๆ


แม่ง ยิ่งเลื่อนสายตาอ่านก็ยิ่งขายขี้หน้า ความเป็นไจแอนท์กูหายไปไหนหมด ทำไมต้องมาตายรังเพราะไอ้ห่านี่ด้วยวะ ! 


ผมกดส่งสติ๊กเกอร์ปัญญาอ่อนกลับไป พลางโยนมือถือไว้ข้างเตียงดั่งเดิม ทีแรกว่าจะลุกขึ้นมาเล่นเกมให้เลิกนึกเรื่องบ้า ๆ พวกนี้ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เลยล้มตัวลงนอนแทน...


ผมมองออกไป ไกลมาก...ไกลแสนไกลทั้งที่เบื้องหน้าตัวเองเป็นแค่ฝ้าเก่า ๆ ในห้องนอน แต่ที่ไกลดูเหมือนจะเป็นความคิดของผม มันเหมือนกับว่าความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวงไกลห่างออกไปเรื่อย ๆ ทั้งคำว่ารัก คำว่าชอบ และอะไรอีกตั้งมากมายที่ประดังประเดเข้ามาในช่วงนี้
.
.
.
.
.
.
.
.
ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ในฝันมันยาวนานอย่างกับเป็นปี ๆ  ตื่นมาอีกทีก็เพราะได้ยินเสียงร้องจากท้องตัวเองดังสนั่น ลุกขึ้นมาขยี้ตามองนาฬิกาติดผนังก็เห็นว่าเข็มสั้นตีเลยเลขหนึ่งจนใกล้จะทับกับเลขสอง


ตีสองกว่าแล้ว... นี่ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาทั้งที่ยังเปิดคอมค้างไว้เนี่ยนะ... แต่ก็เอาเหอะ เหมือนความเพลียความล้าสมองทั้งหมดมันหายไปเมื่อได้หลับเต็มตาหลังจากที่เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาก่อนเวลาปลุก


ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจ กำลังจะหย่อนก้นลงกับเก้าอี้แล้วเชียว แต่หูก็ดันไปได้ยินเสียงครืด ๆ จากด้านหลังเสียก่อน


 “โนบิตะ” 


ผมเบิกตาโพลง พึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัวทันทีที่สไลด์เก้าอี้ไปถึงมือถือที่นอนอยู่ปลายเตียง เห็นสายเรียกเข้าหราเป็นชื่อคนที่ไม่อยากคุยแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว นั่งจ้องแม่งอย่างนั้นสักพักจนดับไปก็สั่นขึ้นมาใหม่ 


 “เหี้ยไรนักหนาวะเนี่ย” 


อยากจะสบถให้เสียงดังกว่านี้แต่ก็กลัวแม่ตื่น เอาเป็นว่าถ้าให้คุณนายแม่ตื่นก่อนเวลาอันควรจะเป็นอะไรที่หายนะมาก แม่จะพังทุกสิ่งทุกอย่างและด่ากราดไม่เลือกหน้า แม้คนนั้นจะเป็นผู้มีพระคุณที่เคยอาสาช่วยติวหนังสือให้ผมและยังพ่วงตำแหน่งนายจ้างด้วยก็ตาม


โอ้ย เลิกโทรมาเหอะ 


จิตใจผมกระสับกระส่ายมาก ไม่เป็นอันมองหน้าจอกันเลยทีเดียวหลังจากหยิบโทรศัพท์มาไว้ที่บนโต๊ะ มันสั่นครืด ๆ ไม่หยุดเหมือนเจ้าเข้า คล้ายกับว่าเจ้าของเบอร์โทรนั้นต้องการระรานให้ผมไม่มีสมาธิจดจ่อกับอะไรทั้งสิ้นนอกจากตัวเอง


สุดท้ายพอทนไม่ได้ผมก็บ่นกับตัวเองเป็นนางเอกละครน้ำเน่าช่องน้อยสี บ่นไปบ่นมาก็เกิดปิ๊งไอเดียที่ว่าถ้าปิดโทรศัพท์แล้วแม่งคงโทรหาไม่ได้แน่


 “นี่แน่ะ ดูสิมึงจะโทรเข้าได้อีกไหม”


ผมกดปิดมือถืออย่างเลือดเย็นแล้วพูดกับตัวเองประหนึ่งเป็นตัวร้ายที่ต้องการประกาศความชั่วให้คนดูได้รู้เมื่อถึงพาร์ทตัวเอง นั่งยิ้มกระหยิ่มมองหน้าจอมืด ๆ ที่ดับไปด้วยฝีมือตัวเองได้ไม่ถึงห้านาที ก็ต้องสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง เมื่อคราวนี้เสียงที่ดังไม่ใช่เสียงสั่นจากมือถือของผม...


แต่เป็น...


ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนบ


ใช่ เสียงแตรรถนั่นแหละ...


พระมารดามึงสิ้น!!!!!!  จะบีบเรียกบรรพบุรุษมาประชุมรึไงวะ ดึกดื่นป่านนี้!!!


ผมสบถในใจ รีบถลาไปที่หน้าต่างทันที กะจะด่าพ่อล่อแม่ไอ้คนบ้านอื่นที่ไร้มารยาทมาบีบแตรเล่นยามวิกาลสักหน่อย แต่ใจกระต้องกระตุกเมื่อเพ่งมองไปแล้วเห็นซีรี่ส์ 8 สีดำจอดขวางทางเข้าบ้านตัวเองอย่างอาจหาญ


ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน



 “พิก! นั่นเพื่อนแกใช่ไหม! รีบลงไปเปิดประตูให้มันเลยนะ ก่อนที่บ้านอื่นเค้าจะแจ้งตำรวจจับฉัน!!!!”


เสียงแม่นั่นเองครับ ตะโกนดังผ่ากำแพง ผ่าผนังมาอย่างเซอร์ราว ท่าทางจะดูโมโหจัดมากแล้วด้วย ขืนปล่อยไว้อย่างนี้ไม่แคล้วพวกขี้เสือกบ้านข้าง ๆ ต้องโทรหาตำรวจแน่ 


ผมรีบจับลูกบิดประตูวิ่ง 4x100 ลงสนามทันทีที่ได้ยินแม่กรีดร้องขึ้นมาอีกระลอก วิ่งลงบันไดขาแทบขวิดจนไปถึงประตูก็เห็นไอ้โนบิตะกำลังนวยนาดออกมาจากรถที่มันจอดคาค้างเอาไว้ เห็นอย่างนั้นผมจึงรีบกระชากประตูแล้วก้าวอาด ๆ ไปประจันหน้ามันที่เดินมาถึงประตูรั้วพอดี


 “มาทำไม”


ไม่มีการทักทายห่าอะไรทั้งนั้นแหละ ในหัวนี่คิดแต่ว่า เป็นไงเป็นกันสิ วันนี้ ถึงจะไม่อยากเจอหน้ายังไง แต่มึงเกือบจะทำให้แม่ฆ่ากูได้นี่  ไอ้พิกก็มีน้ำโหเป็นเหมือนกันนะเว้ย!


 “เปิดประตู”


มันไม่ตอบคำถามผม แต่ดันสั่งเสียงเข้มแล้วมองไปที่แม่กุญแจตรงประตูรั้วแทน ผมส่ายหน้า จ้องตากับมันประหนึ่งว่าเราเคยเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อน


 “ไม่ให้เข้า”


 “บอกให้เปิด”


 “ไม่”


 “ได้ ไม่เปิดใช่ไหม”


พูดยังไม่ทันจบคำดี เก้าก็ทำท่าจะปีนรั้วเข้ามา ผมเห็นอย่างนั้นแล้วก็รีบถลาเข้าไปปัดขามันออกจากตะข่ายกั้นรั้วที่มันกำลังเหยียบ อีฉิบหายยยยยย สอดตีนเข้ามาแบบนั้นได้ไง เกิดแหว่งเกิดขาดขึ้นมาพรุ่งนี้เช้าหัวกูไม่ต้องหลุดออกจากบ่าเหรออออ


 “เฮ้ย อะไรของมึงวะ หยุดนะ ห้ามปีน!!!”


ยิ่งผมห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ยิ่งปัดขามันออกมันก็ยิ่งปีนเร็วขึ้น ตอนนี้ไต่ขึ้นมานั่งบนประตูรั้วที่แสนโงนเงนของบ้านผมแล้วครับ ไม่ได้สำเหนียกเลยว่าตัวเองน้ำหน้ำเท่าไหร่ เกิดแม่งพังโครมขึ้นมาเจ็บตัวแล้วใครจะรับผิดชอบ!!


 “ทำไม ผมจะปีน...ก็คุณไม่ยอมให้ผมเข้าบ้าน” โนบิตะสวน


ผมอ้าปากค้าง เชี่ยนี่แม่งโคตรจะดื้อ รั้นล่ะที่หนึ่ง ไม่เห็นใจคนใกล้ชะตาขาดอย่างผมบ้างเลย  “โอย ฉิบหาย ปวดหัว ช่างแม่งแล้ว มึงปีนมาขนาดนี้จะลงก็รีบลงมาเลย ก่อนที่แม่กูจะเปิดหน้าต่างออกมาด่า”


เห็นมันข้ามมาได้ครึ่งค่อนตัวแล้วก็ปลงครับ ในหัวนี่ปวดตุ๊บ ๆ ยังกับมีใครเอาระเบิดมาแขวนไว้ ขืนต่อล้อต่อเถียงกันในสภาพนี้อีกสักพัก มีหวังพรุ่งนี้เพื่อนบ้านแม่งคงได้เอาไปทอล์คออฟเดอะวิลเลจกันสนุกปากแน่ ด้านโนบิตะพอเห็นว่าผมอนุญาต มันก็กระโดดโถมทั้งตัวลงมาใส่ผมทันที 


 “โอ้ย!! เชี่ยเอ้ย ทำอะไรของมึงเนี่ย”


ผมร้องออกมาเพราะจังหวะที่มันทิ้งตัวนั้นผมไม่ทันได้ตั้งตัวดี ๆ ตอนนี้สภาพพวกเราขาอ่อนแทบจะล้มทับกันเหมือนละครตอนเย็นอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าผมยังงอขา เท้าแขนไปด้านหลังเอาไว้ เห็นอย่างนั้นมันก็รีบผละออกจากตัวผมครับ แต่กูไม่ขอบคุณหรอกนะที่มึงช่วยประคองจนกูยืนตรงจนได้เนี่ย ปวดไปทั้งขาเลยแม่ง... พื้นคอนกรีตมีเนื้อที่ตั้งเยอะตั้งแยกก็กระโดดลงไปสิวะ ควายเอ้ย


“ขอโทษ” 


เป็นครั้งแรกที่มันเอ่ยปากพูดออกมาก่อน ผมถึงกับอึ้งไปพักนึง แต่ด้วยไม่รู้ว่ามันกำลังขอโทษเรื่องอะไรถึงได้โบกมือปัดไล่ ๆ ทำเหมือนไม่ใส่ใจคำขอโทษของมัน


ด้านโนบิตะพอเห็นว่าผมทำอย่างนั้นแทนที่จะสลดกลับเขยิบเข้ามาใกล้ ใกล้จนเราทั้งคู่สามารถมองหน้ากันในระยะประชิดได้ 


ผมผงะ ก่อนหัวใจจะเต้นแรงขึ้นมาอีกรอบก็รีบตัดบทซะ  “เข้าบ้าน”


ผมพูดเสียงแข็งก่อนจะตวัดตัวเดินนำเข้าไป สาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่ยอมสบตากับมันอีกแม้อีกฝ่ายจะเลื่อนหน้าเข้ามาหาเกินพอดีจนทำให้ใจเกือบอ่อนก็ตาม ไม่รู้ว่าโนบิตะแม่งรู้หรือเปล่า เรื่องที่ผมพยายามไล่มันออกจากหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ทำยังไงก็ไม่สำเร็จ ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากทำตัวอ่อนหักให้มันไดปั่นหัวอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
.
.
.
.

หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 24 (06/07/18) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 06-07-2018 20:23:38
“มีอะไรก็ว่ามา”


ขึ้นมาถึงห้องผมก็เอ่ยปากถามมันเสียงแข็งเลยครับ ซึ่งไอ้คนโดนถามดูจะไม่ยี่หระเลยแม้แต่น้อย มันทำเพียงยักไหล่แล้วเดินไปนั่งที่เตียงของผมอย่างถือวิสาสะ ไอ้เก้าอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพาดขาวกับกางเกงแบรนด์เนม สไตล์ทีมันมักจะแต่งไปทำงานนั่นแหละ ผิดปกติแค่ว่านี่ควรจะเป็นเวลาที่มันนั่งทำบัญชีอยู่ร้าน ไม่ใช่มาเต๊ะท่าอยู่บนเตียงชาวบ้านเขาแบบนี้


 “ที่ห้องไม่มีคนซักผ้าให้”


“ห๊ะ”


ผมขมวดคิ้ว กอดอกมองหน้ามันเหวอๆ ประมาณว่าพูดจริงดิ?...นี่มึงคิดจะเปิดบทสนทนาแบบนี้จริงดิ


“ก็ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอไง...ที่บ้านผมผ้ากองเต็มไปหมด ห้องที่เพิ่งทำให้ก็รกหมดแล้ว” มันพูดหน้าตาเฉย ซ้ำยังกอดอกเอนตัวสบายใจเฉิบ ชักจะมากไปแล้วนะแบบนี้ คิดจะมากวนตีนกันถึงนี่ให้ได้อะไรวะ 


“ที่กูเพิ่งไปทำมาเมื่อวานเนี่ยนะ! รกอีกแล้ว!?”


ฉิบหายหนัก ด้วยความโมโหโทโสสุดติ่งกระดิ่งแมวทำให้ผมเผลอตะโกนใส่หน้ามันไป ข้อมูลห่าอะไรก็บอกเขาไปหมดเลย... ด้านไอ้โนบิตะจอมเจ้าเล่ห์ พอได้ยินผมพูดอย่างนั้นมันก็ทำหน้าซื่อตาใส พยักหน้าตอบกลับยิ้ม ๆ คล้ายกับเดาไว้แล้วว่าผมจะต้องพูดอย่างนี้


ผมโคตรโกรธมันเลย รู้สึกตัวเลยว่ากำลังโดนป่นหัวจนความรู้สึกคลำหาทางไปไม่ถูก อยากตวาดด่ามันให้เสียงดังกว่าเมื่อกี้ ยิ่งเห็นมันลอยหน้าลอยตาฉีกยิ้ม อย่างคนเหนือกว่าแบบนั้น ผมแม่งก็อยากโมโหมันให้มากขึ้นอีก


แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น อาจเพราะไม่ได้เห็นมันใกล้ ๆ อย่างนี้มาตั้งหลาย วันแล้วก็ได้ คราวนี้บ่อน้ำตาถึงตื้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ อีกแล้วนะ กูร้องไห้ทำไมเนี่ย อย่าร้องต่อหน้ามันดิ คิดอย่างนี้ซํ้าไปซํ้ามาแตกห้ามตัวเองไม่ได้ แม่งเกลียดตัวเองนัก ต้องโกรธสิโว้ยที่มันเห็นตัวเองเป็นแค่คนใช้เท่านั้น


“มึงจะซักผ้าก็เรียกแม่บ้าน กูลาออกแล้ว กูจะไม่ไปทำอะไรให้มึงอีก"


ผมพูดเสียงสั่น อารมณ์ที่ทนอดกลั้นเอาไว้เพื่อท่าตัวให้เป็นปกติทำท่าจะระเบิดออกมาตลอดเวลา ไม่ชอบน้ำตาที่มันกำลังซึมล้นนี่เลย ถ้ารวมกันสองสามวัน ที่ผ่านมาคงเติมน้ำได้เต็มบ่อใหญ่ ๆ ไปแล้ว


ผมกลั้นสะอีก กลืนก้อนแข็งในลำคอแล้วถอยห่าง ออกจากเตียงตัวเองจนหลังติดโต๊ะคอม


ไอ้เก้านิ่งกว่าปกติ น้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ได้ ผมไม่อนุญาต”

''เหี้ยเอ๊ย... กูต้องรอมึงอนุญาตด้วยเหรอวะ'' ผมสบถ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ กำลังไหลแบบลวก ๆ ''จะเอาไงกับกูกันแน่''


โนบิตะท่าหน้าเหมือนกับว่าเสียใจที่เห็นผมร้องไห้ มันถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นมาจากตรงนั้นแล้วสาวเท้าเช้ามาหาผมช้า ๆ ขนาดมองผ่านน้ำตาก็ยังเห็นว่า แววตามันเจือความอ่อนโยน คล้าย ๆ กับคืนที่บอกให้ผมลืมเรื่องพี่พลอยไม่มีผิด


''อย่าออกเลย กลับไป—'' ผมเม้มรีมฝีปากขณะฟังไอ้เก้า พยายามกลอกตา มองเพดานให้น้ำตาหยุดไหล ''กลับไปด้วยกันก่อน''


ผมอยากจะถามมันว่า จะให้กูไปไหนวะ นี่มึงต้องลงทุนขนาดนี้เพราะชีวิตขาดแม่บ้าน เหรอ จะเฮงซวยเกินไปหน่อยมั้งไอ้เหี้ย เล่นกับความรู้สึกกูเกินไปแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไร ผมก็ไม่อยากยอมมันง่าย ๆ ทั้งนั้น...


ง่าย เพื่อให้มันเอามาด่าผมอีกรอบ


''กูไม่อยากเกี่ยวข้องกับมึงแล้ว''


โคตรเจ็บเลยนะว่าไหม ผมอาจจะเคย ประเมินตัวเองผิดไปที่คิดว่าจากนี้คงกลับไปเป็นไจแอนท์กับโนบิตะได้เหมือนเมื่อก่อน ซึ่งอันที่จริงมันก็ผิดตั้งแต่ที่ยอมตกหลุมไปกับข้อเสนอบ้า ๆ นั่นแล้ว


''ไม่อยากแม้แต่ จะเจอ เหมือนวิ่งตามเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ กูเหนื่อย กูไม่ไหว''

ไอ้เก้าเงียบไปอึดใจ นานพอที่ผมจะเห็นลูกกระเดือกของมันขยับเพราะกลืนนํ้าลายลงลำคอ


''แต่คุณบอกว่าคุณชอบผม''


"ใช่ แต่กูพอแล้วไง!" ผมขึ้นเสียง หลุบตาหนีมันที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนสามารถเท้าแขนเข้ากับโต๊ะทำงานของผมได้ "มึงจะมาที่นี่อึกทำไมวะ กลับไปได้ แล้วไป ปล่อยกูเหอะ"


กลิ่นนํ้าหอมของมันยังเป็นกลิ่นเดิมเหมือนทุกทีที่ไอ้เก้าเข้ามาอยู่ใกล้ผม แล้วสร้างความทรงจำต่าง ๆ นานาจนเปลี่ยนผมไปโดยสิ้นเชิง ลมหายใจของมันรดเข้า มาใกล้ กระทั่งซบลงกับบ่าผมด้วยความเว้าวอน


"ขอร้อง... อย่าเพิ่งเลย" ไอ้เก้าเลื่อนมือที่เท้าโต๊ะทำงานมากุมมือผมเอาไว้ข้าง หนึ่ง "อย่าเพิ่งพูดว่าพอเลย วันนั้นผมอาจพูดอะไรที่มันไม่ดีเพราะไม่ทันได้คิด แต่ วันนี้ผมเก็บเอาไปคิดมาแล้ว ทบทวนดีแล้วถึงมาหา"


พล่ามอะไรอึกวะ ไม่อยากฟัง


"ตอนแรกผมยอมรับว่ากลัว เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก"


คำว่า 'เร็ว' ของมันบีบใจผมจนปวดหนีบ ใช่ ผมก็คิดว่ามันเร็วเพราะนี่มันแค่ ไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง แต่มันจะรู้ไหมว่าไอ้เวลาที่เร็วเกินไปของมันทำเอาผมไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว


"แต่พอคุณหายไป ผมยอมรับก็ได้ว่าผมแย่มาก...ที่รู้สึกว่าไม่อยากเสียคุณ ไป" มันค่อย ๆ เลื่อนมือมาโอบเอวผมไว้ ทั้งยังผละใบหน้าขึ้นจากลาดไหล่แล้วมองผม ด้วยสายตาจริงจัง "แต่ก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าคุณรู้สึกยังไง คุณคงเห็นแล้วใช่ไหมว่าผมพา ใครมาที่ห้อง"


“...”


"อย่างที่คุณเข้าใจนั่นแหละ... ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวเลย ผมคิดว่าทุกอย่างคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ เหมือนเดิมก่อนที่เคยมีคุณเข้ามาเติมเต็มทุกอย่าง"


“...”

"แต่ผมรู้แล้ว ผมกอดใครก็ไม่เหมือนกอดคุณ  ไม่มีใครเหมือนคุณ ถึงเราจะเริ่มกันแย่ๆ แบบที่ไม่ได้เรียนรู้กันให้ดีก่อน แต่ขอนะพิก กลับมาหาผมเถอะ ขอโทษที่สับสน ขอโทษที่ทิ้งให้ต้องรู้สึกแย่อยู่คนเดียว"


เอาจริง ๆ แค่มันเริ่มพูดตั้งแต่ประโยคแรกน้ำตาผมก็ไหลหลากเหมือนน้ำท่วมป่าแล้ว ในหูผมได้ยินแต่เสียงมันพูดวนไปวนมาแต่ฟังไม่ได้ศัพท์ว่าต้องการอะไรกันแน่ มาฟังออกเอาประโยคหลัง ๆ ก็ช่วงที่มันบอกว่าขอโทษที่ทิ้งให้ผมต้องอยู่คนเดียว...


ซึ่ง...แม่งโคตรทรงอานุภาพ


ทำเอาผมสะอึกสะอื้นหนักเข้าไปใหญ่


“ผมขอโทษนะ” มันกระซิบเบา ๆ แล้วกอดเอวผมแน่นขึ้น "ที่บอกว่าเข้ากัน ไม่ได้นั่นผมก็คิดจริง ๆ"


นํ้าลายเฝือนคอไปหมด แบบนี้ก็เทำกับมันยอมรับนั่นแหละว่าที่พูดเมื่อวันนั้น คือสิ่งที่คิดจริง ๆ ผมกับเก้าต่างกัน ทิ้งนิสัย ไลฟ์สไตล์ หรือแม้แต่ทัศนคติหลายต่อ หลายอย่าง เราทะเลาะกันก็บ่อย โมโหใส่กันนับครั้งไม่ถ้วน แม้แต่ตอนที่ผมสารภาพ ออกไปว่าชอบมันก็ยังไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซํ้า


"ไม่รู้หรอกว่าจะเป็นยังไงต่อไป แต่มาลองกันดูสักครั้งนะ ให้โอกาสผมอึกครั้ง ได้ไหมครับ''


ผิดคาด มันกลับลำสิ่งที่ตัวเองเคยพูดแล้วซบหน้าลงกับบ่าผม กระชับวงแขน ก่อนจะกอดแน่นเหมือนจะไม่ให้หนีไปไหนได้อีก


เมื่อกี้ไอ้เก้ามันพูดจริง ๆใช่ไหม ไม่ใช่ว่าผมหูฝาด แล้วเข้าข้างตัวเองอะไรเทือกนั้นหรอกนะ


“แล้ว คนที่มึงพามานอนจะทำยังไง”


ยอมรับว่าตอนนี้ใจอ่อนเหี้ย ๆ ใครจะว่าผมโง่งี่เง่ายังไงก็เชิญเลย แต่ของแบบนี้ต้องมาเจอกับตัวจริง ๆ นาทีนี้ผมได้แต่ถามมันเสียงอ่อน พูดกับมันแต่ละคำยังสะอึกฮึก ๆ อยู่เลยด้วยซ้ำ ตลกตัวเองที่เมื่อก่อนก็ยังซักชั้นในที่อยู่ในตะกร้าห้องมันโดยไม่คิด อะไร แต่ตอนนี้ดันมาคิดมากเสียฉิบ


ด้านโนบิตะ เมื่อได้ฟังผมถามอย่างนั้นมันก็ถอนหายใจแล้วผละผมออก มันส่งยิ้มมาให้ก่อนจะล้วงเอาอะไรในกระเป๋ากางเกงออกมาสองสามอย่าง


“นี่กระเป๋าตัง นี่โทรศัพท์ นี่กุญแจรถ” มันชูให้ดูในระดับสายตา ก่อนจะจับมือผมที่เท้าเอาไว้กับโต๊ะด้านหลังมาบังคับให้แบออก “ทุกอย่างที่มีอยู่ตอนนี้ ที่ติดตัวอยู่กับผม เอาไปให้หมดเลย ทุกอย่าง” 


“...”


“อยากจะลบชื่อใครในมือถือทิ้งก็เอาเลย ตามสบาย กระเป๋าเงินนั่นก็เอาไปเลย กุญแจรถด้วย...นะครับ”


“...” ผมขมวดคิ้วมองมัน...ไม่แน่ใจว่ากำลังโดนประชดอยู่หรือเปล่านะ


“ผมให้คุณหมดแล้ว แทนความจริงใจของผม จากนี้ไปคุณอยากจะให้ผมไปไหน อยากจะให้ทำอะไร ไม่อยากให้เจอใครคุณก็แค่พูด เท่านั้นเอง ผมให้คุณหมดแล้วจริง ๆ...มาเริ่มต้นกันใหม่นะพิก เริ่มต้นกันใหม่ ทิ้งอะไรร้ายๆไปให้หมด ผมขอโอกาสคุณแค่นี้ให้ผมได้ไหม?”


โอ้โห... ผมอยากจะหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา แต่น้ำเค็ม ๆ ในปากดูเหมือนจะไม่เป็นใจ เคยได้ยินไหมครับว่าถ้าเวลาผู้ชายขอความรักจากใครนี่แม่ง...เตรียมตัวไว้เลยว่าจะได้ฟังอะไรที่โคตรน้ำเน่า ซึ่งผมก็เคยทำอย่างมันนะ แต่สิ่งที่มันทำให้ผมเทียบไม่ได้เลยที่ผมเคยทำให้คนอื่น


นี่มันน้ำเน่า น้ำเน่ายุงบินชุมชัด ๆ


ไม่รู้แม่งไปเอามาจากไหน ไอ้บทพูดนี้... แต่ที่แน่ ๆ ผมใจอ่อนยวบไปแล้ว เรียกว่าแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ปล่อยหมัดไม้ตายเลยก็ได้


“เออ”

 
สุดท้ายก็ปล่อยให้ตัวเองทำตามหัวใจจนได้ ก็ไม่รู้หรอกว่าแม่งจะพาไปในทิศทางไหน แต่โกรธกันไปก็ไม่เห็นประโยชน์อะไร... ที่จริงกะว่าจะใจแข็งสักหน่อย แต่พอเห็นสายตาที่มันส่งมาออดอ้อนขนาดนั้นก็เหมือนกับว่าจะเดินไม่เป็นไปชั่วขณะ  อ่อนหัดจริง ไอ้พิกเอ้ย!


ด้านโนบิตะพอเห็นว่าตอบตกลงมันก็ยิ้มเลยครับ ยิ้มดีใจได้อย่างนั้นพักเดียวเท่านั้นแหละ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเหี้ยมเกรียมอย่างที่ผมไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน นี่มึงเป็นอะไรขึ้นมาอีก เป็นไบโพล่าหรือไงวะ เพิ่งจะง้อสำเร็จก็จะเล่นกูเลยใช่ไหม--


เดี๋ยวนะ...
ฉิบหายแล้ว มันกำลังจ้องมาที่คอ...


“แบบนี้ก็ถือว่าตกลงคบกันแล้วนะครับพิก...”  มันหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่ทำเอาขนหลังผมลุกวาบ

“...”

 “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยตอบผมด้วยครับ ว่ารอยที่คอน่ะ...ของใคร


ถึงจะบอกให้ผมตอบก็เหอะ แต่พอเห็นว่าผมทำอึกๆอักๆ พูดอะไรไม่ออก มันก็ถอนหายใจทีนึง แล้วยื่นหน้าเข้ามาจูบผมทันที ผมเบิกตาโพลงเมื่อริมฝีปากของเราสัมผัสกัน เป็นจูบที่ไม่ทันได้ตั้งตัวครั้งแรกหลังจากที่ห่างกันมานาน


โนบิตะกดริมฝีปากเข้ามาแน่นมาก มันทั้งกัดทั้งงับจนเหมือนกับว่าจะรั้งปากผมออกไปจากหน้าเสียอย่างนั้น ความรุนแรงที่มันมอบให้ทำให้ผมถึงกับต้องทุบไหล่มัน เพื่อจะสามารถหายใจได้อีกครั้ง แน่นอนว่ามันยอมผละริมฝีปากออกให้ แต่พอเห็นว่าผมโกยลมหายใจเข้าปอดได้ถนัดก็ก้มลงมาจูบอีกครั้งแล้วสอดลิ้นเข้ามา


“ฮ่า...”


กว่าจะได้หายใจหายคออีกครั้งก็ตอนที่หลังผมเอนติดเตียงไปแล้ว ไม่รู้ว่าเราเคลื่อนตัวออกมาจากโต๊ะทำงานโดยไม่เตะถังขยะด้านล่างได้ไง แต่ที่แน่ ๆ คือมีเก้าประคองหลังผมเอาไว้ แถมปากยังไม่ยอมห่าง เราจูบกันจนลืมไปว่าก่อนหน้านี้คุยอะไรกันอยู่ มือเริ่มล้วงควักให้กันโดยที่ลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เคยหน่วงมาหนักขนาดไหน


“ไอ้ชานใช่ไหม...”


จู่ ๆ เก้าก็พูดขึ้นมาโดยที่หน้าของมันซุกไซร้อยู่บริเวณลำคอของผม เห็นสีหน้า สายตาของมันจ้องมองมาก็รู้แล้วว่ากำลังข่มความโมโหเอาไว้


“อืม”


ผมตอบทั้งที่เสหน้าไปอีกทาง ไม่ได้หวังจะให้มันมาเข้าใจเหตุผลที่ผมสมยอมลงไปหรอกนะ แต่แค่คิดว่าทำอะไรไว้ ก็ควรจะได้สารภาพ... ซึ่งสิ่งที่โนบิตะโน้มตัวลงมาทำกับผมนั่นยอมรับเลยว่าผิดคาด แทนที่มันจะก่นด่าว่าผมโง่ มันกลับถอนหายใจแล้วโน้มตัวลงมาจูบทับรอยตรงคอนั้นแผ่วเบา


มันกดจูบอ้อยอิ่ง นานจนผมต้องก้มลงไปมองมัน 


“บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่า...คุณทำให้เขามีความหวังนะ แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อ”


มันถามเสียงอ่อน ขณะที่มือก็ไม่หยุดลูบไปทั่วตัวผม ตอนนี้ไม่ใช่แค่หัวใจที่ทำงานหนัก แต่สมองผมก็ทำงานหนักไปด้วยเมื่อต้องคิดหาคำตอบที่มันถามออกมาเมื่อครู่


“ไม่รู้” ใช่ไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นผมก็แค่หวังว่าจะหาทางออกได้ แต่ไม่ว่าจะหาทางยังไงก็ยิ่งตัน โดยเฉพาะกับตอนที่มันจ้องหน้าผมอยู่อย่างนี้


“เฮ่อ...คุณนี่นะ”  มันส่ายหัวแล้วยื่นหน้ามาหา เอาหน้าผากชนกับหน้าผากผม “ทีหลังอย่าไปยอมนะ รู้ไหม...ผมแม่ง---” 


“...”


โนบิตะหลับตาลง กลืนน้ำลายลงคอราวกับจะข่มอารมณ์ เราเงียบใส่กันไปพักนึง ก่อนมันจะลืมตาขึ้น ทอดมองมาที่ผมอย่างเว้าวอน “อยากจะบ้า ผมโมโหว่ะ แต่ผมไม่อยากทำให้คุณเสียใจแล้วอ่ะ... ผมแม่งเพิ่งรู้ว่าพอคนที่ชอบไปทำอะไรกับคนอื่นมันเป็นอย่างนี้”


“...”


“ทีหลังผมก็จะไม่ทำแล้ว และคุณก็ห้ามทำนะ”


“...”


“ได้ยินไหมพิก”


“ได้ยินแล้ว”


ทีแรกสีหน้าของมันดูเครียดขึงแทบตาย แต่พอผมตอบเบา ๆ มันก็ยิ้มออกมาเหมือนกับว่าโลกนี้โคตรสดใส เห็นแล้วหมั่นไส้ฉิบหาย นี่กูยังไม่ชำระแค้นเรื่องที่มึงใจร้ายใส่กูเลยนะ 


ผมมองหน้ามันแล้วเอื้อมมือไปยิกแก้มมันที ซึ่งโนบิตะร้องครางเบา ๆ ในลำคอแล้วแก้แค้นผมโดยการเอื้อมมือลงไปบีบหนอนน้อยที่ด้านล่างแทน แล้วแม่ง เชี่ยเอ้ย บีบแรงจนรู้สึกได้ว่ามันพองหนักกว่าเดิม นี่มันแกล้งกันอีท่าไหน ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนกับจะถึงอยู่ตลอดเวลาล่ะวะ !


“ไม่เอาไม่เล่นแบบนี้ พอเลยมึง ขอร้อง พอก่อน” ผมหอบหายใจทำท่าจะดันไหล่มันออก แต่พอเห็นอย่างนั้นโนบิตะก็รวบมือผมขึ้นเหนือหัว แล้วเลิกเสื้อก่อนจะลงลิ้นจากคอไล่ไปจนถึงบริเวณใกล้ขอบกางเกง 


จุดยุทธศาสตร์กู!!!!


ผมกรีดร้องในใจเมื่อผงกหัวขึ้นมาแล้วพบว่ามันกำลังอ้าปากทำท่าจะอมน้องชายผมผ่านกางเกง แม่งเอ้ย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน แขนก็ยาวเกิน จับมือผมไว้ทั้ง ๆ ที่อ้าปากงับน้องผมได้เนี่ยนะ จะดิ้นไงก็ดิ้นไม่หลุดเลย ไม่รู้ว่าตกลงแล้วอ่อนแรงที่ตรงไหน? ด้านบนหรือด้านล่างกันแน่


“อือ...”


ผมครางประท้วงในลำคอเมื่อมันเริ่มปลอกเปลือกผมด้วยมือข้างเดียว ตอนนี้โนบิตะยังคงจับแขนผมเอาไว้อยู่เลย แต่เมื่อมันถอดเสื้อผ้าผมได้จนหมด เห็นผมนอนปรือตาหมดแรงจะต้านมันก็ยอมปล่อยให้แขนผมเป็นอิสระ แล้วเริ่มถอดของตัวเองออกบ้าง 


ทุกอย่างในหูอื้ออึงเมื่อมันโน้มตัวลงมาคร่อมผมอีกครั้ง คราวนี้มันออกแรงใช้มือกระชากแขนผมจนแทบจะลุกขึ้นมานั่งได้ ก่อนจะจูบฟัดหูผม ทั้งกัด ทั้งทึ้ง แล้วเลื่อนมือลงไปขยี้ที่ส่วนปลาย ในท้องผมโหวงวูบ อย่างกับโดนควักไส้ออก ยิ่งเวลาที่มันขยับมือรูดทึ้งส่วนหัว ตัวผมยิ่งเหมือนกับว่าจะลอยละล่องออกไปจากเตียงให้ได้ 


“ตรงนี้ ไม่ได้ให้มันไปใช่ไหม” มันถามพลางลูบวนบริเวณหูรูดของผมอย่างเบามือ 


“เปล่า...ยังไม่เคยมีอะไรกับมันเลย กูแค่จูบกันเฉยๆอ่ะ ” ผมผงกหัวขึ้นไปตอบ ตอนนี้โนบิตะเริ่มเรียกไอ้ชานว่ามันแล้วครับ ฟังดูก็น่ารักดีเพราะผมรู้แล้วว่ามันหึงผม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ขมวดคิ้วใส่มันอยู่ดี “มึงนี่ อย่าเรียกไอ้ชานว่า มัน สิวะ มันก็ไม่ได้ทำอะไรให้มึงสักหน่อย”



“อะไรเรียกมันไม่ได้หรือไง ก็มันมาชอบแฟนผมทำไม...ว่าแต่คุณน่ะ ออกตัวแทนมันเหรอ ได้เลย...ออกตัวแทนดีนัก”


ได้ยินมันบ่นงึมงำอยู่ไม่ถึงวินาที ก็ถึงกับต้องสะดุ้ง ไอ้เหี้ย! โนบิตะมันก้มลงไปงับเนื้อด้านในต้นขาผมอย่างแรงโดยไม่ให้สัญญาณได้ทันตั้งตัวเลยสักนิด กัดซะนึกว่าชาติก่อนเคยเกิดเป็นหมา ไอ้เหี้ยเอ้ย! เจ็บจนน้ำตาแทบเล็ด เจ็บจนต้องร้องโอ๊ยออกมาดัง ๆ


“โอ้ยยยย เชี่ยยยยทำเหี้ยอะไร”


“ทำอะไร ก็ทำโทษไง นิสัยไม่ดี ชอบให้หึงนักใช่ไหม” ไม่พูดเปล่าแต่นิ้วทีแรกวนอยู่รอบๆ ก็ยังกระแทกกระทั้นเข้ามาในตัวผมด้วย


“ไม่ได้ชอบ โอ้ย เบาๆสิวะ โอ้ย”


แทนที่จะเป็นบทรักแสนหวานแต่ทุกอย่างกลับตัลปัตรไปหมด ผมร้องไห้ออกมาทั้งที่ปากยังสบถด่ามัน มือก็ทึ้งหัวมันที่ก้มลงมาครอบครองแก่นกายของตัวเองพร้อมกับเบิกช่องทางไปด้วย


เชี่ยเอ้ย เสียวก็เสียว อายก็อาย...ทำไงดีวะแม่ง!


“โอเค ๆ เบาแล้ว อย่าร้อง”


มันพูดพร้อมกับถอนมือออกไปจากช่องทางด้านหลัง รู้สึกได้เลยว่าแม่งโบ๋เป็นโพรงจนส่วนที่เป็นหูรูดตอดตุบ ๆ เพราะต้องการดึงกลับเข้าหากัน แต่ไม่ทันจะให้ผมได้พักหายใจหายคอสักเท่าไหร่ อยู่ดี ๆ โนบิตะที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงปลายขาก็รั้งผมเข้าไปหา และ...


“พิก”


มันรั้งผมเข้าไปหาแล้วจับแก้มก้นผมแหวกออก ก่อนจับแท่งร้อนหมุนวนด้านนอก เคล้าคลึงไปมาจนรู้สึกหน้าร้อน (ที่ไม่ใช่ฤดู)  มันค่อยๆแทรกตัวเข้ามาอย่างเอาแต่ใจ และด้วยความที่ไม่ได้มีอะไรกันมาหลายวันทำให้ตรงนั้นของผมตอดมันอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งไม่ต้องก้มลงไปมองหน้าโนบิตะก็ฟ้องว่าแม่งฟินแค่ไหน


“ตอดจนเจ็บ” มันพูดแล้วล็อกขาผมเข้าไปหา ก่อนจะส่ายสะโพกควงเข้าควงออกอย่างชำนาญ ส่วนผมน่ะหรอ ได้แต่นอนเอาหัวห้อยลงกับปลายเตียง โรมรันฟัดกันอีท่าไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีตัวผมก็กระเด้งกระดอนจนแทบจะตกเตียงคอหักอยู่แล้ว 


“อา...ซี้ด...คุณนี่แม่ง” มันพูดพลางเสียบเข้าเสียบออกอย่างบ้าคลั่ง ตาของมันหลับลงในขณะที่ผมลืมตามอง แก้มของมันตอนนี้กำลังเปล่งสีเหมือนผลไม้สุก แดงไปด้วยทั้งหน้าเลือดฟาด


“อือ...”


ผมเกร็งตัวร้องครางเมื่อมันกระแทกกระทั้นโดนจุดสำคัญ พอได้ยินอย่างนั้นเก้าก็ยิ่งกระแทกใส่รัว ๆ ทั้งควาน ทั้งกระแทกใส่จนหืดแทบจะขึ้นคอผม แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนมันจะยังไม่พอใจเท่าไหร่ ถึงได้รั้งแขนผมขึ้นมานั่งบนตักทั้งที่ปลายส่วนหัวของมันยังโดนของผมดูดอยู่เลย


“ท่านี้ดีกว่า” 


พูดจบมันก็โน้มหน้าผมลงมาจูบ แล้วอีจูบนี้แม่งแย่ตรงไหนรู้ไหม แย่ตรงที่พอมันกดไหล่ผมลงมาปลายหัวของมันก็เหมือนกับว่าจะแทงลึกเข้าไปในจุดที่ผมรู้สึก พอเห็นว่าผมหายใจไม่สะดวกมันก็ยิ่งแกล้งผมหนัก ยิ่งจับเอวผมแล้วกดลงไปพร้อมกับขยี้ปลายของตัวเองก่อนจะสวนขึ้นโดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว


“อ๊า!!”


“ซี๊ด”


เสียงร้องของผมกับมันดังประสานกันปนเสียงหอบ ด้วยความที่กลัวแม่รู้เราจึงไม่ได้ร้องดังมากไปกว่ากระซิบใส่กันให้ได้ยินแค่สองคน แต่ถึงอย่างนั้น จังหวะสอดใส่กับช่องทางของผมที่บีบรัดมันก็ทำให้รู้ว่าเราทั้งคู่กำลังจะถึงที่หมายในอีกไม่ช้า...


“พร้อมกันนะ”


นาทีนั้นผมได้แต่พยักหน้าตามมัน เราจูบกันอีกหนก่อนโนบิตะสะสวนเข้ามาอย่างเร็วและแรง จนในที่สุดของเหลวอุ่นร้อนก็จากแท่งในตัวผมก็ฉีดออกมา พร้อม ๆ กับของผมที่พุ่งปรี๊ดจนฉีดคางมัน...


และตอนนั้นเองที่เสียงหัวเราะเริ่มต้นอีกครั้ง
พร้อมกับสัมผัสของมัน ที่ปาดเบา ๆ บนแก้มผม 


“ขอบคุณนะ”  มันพูดเบา ๆ ก่อนจะดึงผมลงมานอนทับบนตัว มันจูบหัวผม จูบซ้ายจูบขวาแล้วย้ายกลับมาที่หน้าผากก่อนจะจ้องมองมาด้วยสายตาลึกซึ้ง “ขอบคุณที่ให้โอกาส”


“โอกาสเยกันอีกครั้งเหรอ แม่ง กูเจ็บไปหมดเลย”


ผมได้แต่บ่นกระปอดกระแปดแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนอนให้มันลูบหลังลูบไหล่โดยไม่ขัดขืนอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้โนบิตะไม่ตอบอะไรแล้ว มันเพียงแค่ส่งยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้ามากดจูบกับปากผมอีกรอบ เราจูบกันอีกครั้งอย่างอ่อนโยนใต้แสงไฟนีออน ปนกลิ่นเหงื่อและความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมในคืนนี้


ราวกับจะสัญญาว่า เราจะเรียนรู้กันให้ดีกว่านี้
จะเอาอะไรมากล่ะ สำหรับเรื่องความรัก ผมกับมันก็ยังเป็นมือใหม่อยู่นี่นะ?


_____________________________________________________


ขออนุญาตให้ชื่อแท็กว่า #โนบิโนบิ แล้วกันค่าเอาไว้ติดตามเนอะ


ง้อแล้ว แต่ยังไม่จบ แฮ่ก โอ้ยเหนื่อยจัง 5555555555


ติดต่อได้ที่

Twitter (https://twitter.com/viridianxx)


หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 24 (06/07/18) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 06-07-2018 21:05:27
เย้ คนแต่งมาต่อแล้ว ดีใจมากๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 25 (06/07/18) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 06-07-2018 21:12:46
ขอจนจบเลยนะคะ...รอ ๆ ๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 25 (06/07/18) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 07-07-2018 02:56:04
26
ตอนจบ
 


จะว่านี่เป็นโชคดีที่เราไม่มีวิชาเรียนในเช้าวันต่อมาก็ว่าได้ 


หลังจากสะโหลสะเหล เดินกระเผกไปอาบน้ำ ฝืนสังขารขุดตัวเองออกจากห้องไปทำกับข้าวให้น้องกับแม่จนเสร็จ ผมก็เอามือถือมาเปิดดูเฟสกลุ่มส่งงานระหว่างรอคนอื่นตื่นลงมา เพื่อเช็คว่ามีการบ้านอะไรบ้าง แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์มาโปรด เมื่อเลื่อนหน้าจอลงไปเรื่อย ๆ แล้วเห็นเพื่อนคนหนึ่งในเอกโพสไลน์ที่คุยกับอาจารย์ทิ้งไว้ โดยเนื้อหาข้างใน บอกว่าอาจารย์ตกบันได มาสอนไม่ได้ แต่จะสั่งงานให้คิดหัวข้อไว้พรีเซ็นต์เป็นรายคนในวันถัดมาแทน... เพราะอาจารย์แกสอนคนเดียวสองวิชา จะสลับปรับเปลี่ยนหมุนเวียนยังไงก็ได้


แต่ก็นั่นแหละ ยังไงก็ถือว่าโชคดีอยู่ที่มีเวลาว่างอีกตั้งหนึ่งวัน ไล่กวาดสายตาอ่านจนทั่วถ้วนทุกตัวอักษรก็รีบวิ่งขึ้นมาบนห้อง กะจะปลุกไอ้ตัวขี้เซาที่นอนคุดคู้อยู่ในผ้าห่มให้ตื่นมาเฮด้วยกันสักหน่อย แต่ก็ต้องพบกับความจริงที่ว่า โนบิตะแม่งนอนตัวร้อนเป็นไฟอยู่บนเตียง หายใจฮืดฮาด บ่นหิวน้ำเสียงแหบ แถมนอนพลิกไปพลิกมา ท่าทางดูจะไม่สบายตัวเลยสักนิด


คือ...ที่จริงคนที่ควรไม่สบายน่าจะเป็นผมไม่ใช่เหรอวะ?... คือเมื่อคืนก็ไม่ได้หนักหน่วงอะไรมาก แค่สองยกแม่งเป็นอะไรที่จิ๊บจ๊อยสำหรับผมกับไอ้เก้าโคตร ๆ  แต่แบบที่มันไม่สบายนี่คืออะไรวะ? ได้แต่หาคำตอบให้ตัวเองตอนที่พยุงมันขึ้นมาจิบน้ำจิบท่ากินยาลดไข้ ตอนนั้นเองที่ทำให้ผมรู้ว่าแม่งโคตรงอแงเลยเวลาป่วยแล้วมีแฟน...ยาก็ไม่แดก นอนก็ไม่ยอมนอนง่าย ๆ ต้องให้ผมนั่งเอามือแปะหน้าผากมันจนกว่าจะหลับไปทั้งอย่างนั้น


จากแพลนที่ว่าจะชวนมันเอาของไปเก็บที่คอนโด ก็กลายเป็นว่าต้องนั่งเช็ดตัวให้มันแทน ตอนลงไปเปลี่ยนกะละมัง แม่ก็ถามว่าเมื่อคืนใครมาหาเพราะเสียงดังจนป้าบ้านข้าง ๆ โทรมาด่า แต่ยังไม่ทันได้ตอบ ไอ้พิมพ์ก็ชิงตอบขึ้นมาก่อนเพราะมันบอกว่าเห็นซีรี่ส์ 8 จอดคาอยู่หน้าบ้าน


พอรู้ว่าเป็นเก้า แม่นี่เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ ยิ่งผมบอกว่ามันไม่สบาย ไม่มีใครดูแลแม่ยิ่งเปิดทางให้ง่าย ๆ อย่างกับไม่เคยด่าพ่อล่อแม่ใครที่บีบแตรเมื่อคืนตอนชาวบ้านเขานอนกันหมดแล้ว ที่จริงตอนแรกไอ้พิมพ์จะขออาสาเป็นคนดูแลพี่เก้าด้วยครับ  แต่พอผมบอกว่ามันมีแนวโน้มจะเป็นอีสุกอีใส ไอ้พิมพ์ก็ยิ้มแหย ๆ แล้วโบ้ยพี่เก้าคนดีคืนกลับมาให้ผมจัดการไปซะอย่างนั้น


ผมเลยต้องมานั่งเคี่ยวโจ๊กให้แม่งอยู่นี่ไง....


“โนบิตะ ตื่นมาแดกโจ๊กหน่อย”


เคี่ยวเสร็จได้ที่ก็ตักใส่ชามถือขึ้นมาบนห้อง เปิดประตูมาสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่ผิดปกติก็ต้องกลอกตามองเพดาน อย่าบอกนะว่าแม่งลุกขึ้นมาเร่งแอร์ทั้ง ๆ ที่นอนอุตุม้วนเป็นหนอนชาเขียวอยู่ในผ้าห่มอย่างนั้นน่ะ


“มึง...ตื่น”


จัดการวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะทำงานเสร็จก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างเตียง ผมค่อย ๆ บรรจงเปิดผ้านวมออก แล้ววางทาบมือลงไปบนหน้าผากของคนป่วย มันตัวเย็นขึ้นหน่อย แต่อุณหภูมิของร่างกายโดยรวมก็ยังอุ่นอยู่ดี


“เก้า ตื่น” 


“อืม...” 


“ตื่นมากินโจ๊ก”


ผมยังคงเรียกมันอย่างนั้น เอื้อมมือไปสะกิดบ่ามันทั้งที่อีกฝ่ายยังงัวเงีย  ไอ้โนบิตะทำตาหยี สะลึมสะลือปรือตาขึ้นมามองหน้าผม ก่อนจะยิ้มเนือย ๆ แล้วยอมลุกขึ้นนั่งแต่โดยดี 


“แต่ผมไม่หิวนะ” 


มันพูดขึ้นหลังจากที่ผมเดินไปหยิบถ้วยโจ๊กบนโต๊ะทำงานมาวางไว้ให้บนตัก เห็นมันก้มลงมองโจ๊กฟักทองหน้าตาแหย ๆ แล้วก็อดขำไม่ได้


แม่ง...หน้าตาแบบนี้ ไม่ชอบแดกฟักทองชัวร์ 


“ไม่ได้ ไม่หิวก็ต้องแดก เพราะมึงต้องกินยา” ผมพูดแล้วเอี้ยวตัวหันไปหยิบกระปุกยาแก้ไข้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงตั้งแต่เมื่อเช้ามาโชว์ให้ดู “สี่ชั่วโมงแล้ว ตัวยังไม่หายรุมเลย ต้องกินยาอีก...แต่ถ้ากินแล้วไม่ดีขึ้น เดี๋ยวพาไปหาหมอ” 


คนป่วยหน้าซีดเงยหน้าขึ้นจากชามโจ๊กสีเหลืองข้น ก่อนจะถอนหายใจใส่หน้าผมจนสัมผัสได้ถึงลมร้อนที่เป่าปะทะหน้า 


“แต่ผม...ไม่ชอบ” นั่นไง ทำไมเวลาแทงบอลไม่ทายถูกอย่างนี้


“ไม่ชอบก็ต้องแดก ต้องแดกเพราะกูสั่ง” ผมเลิกคิ้วมองมัน แล้วยิ้มอย่างผู้กำชัย “ไหนเมื่อคืนบอกขอโอกาส จะให้ทำไรก็ได้ไง แดกสิ พิสูจน์ว่ามึงคิดอย่างนั้นจริงๆ”


อันที่จริงไม่ได้ใจร้ายคิดอยากแกล้งคนป่วยหรอกนะครับ แต่แม่งมาทำออดอ้อน ทำหน้าหงอยทั้งที่เมื่อคืนเอาผมไปก็หลายรอบ ตอนจะเอาล่ะพูดอะไรก็ได้ แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ถ้าสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำด้วยสิ 


แฟร์ ๆ หน่อยโนบิตะ


“ก็ได้ครับ...” มันกลืนน้ำลาย แล้วยอมตักโจ๊กข้น ๆ ฝีมือผมขึ้นมาจ่อที่ระดับปาก เราสองคนสบตากันโดยมีช้อนโจ๊กคั่นกลาง ก่อนไอ้คนป่วยจะทำหน้าตาอิดออดแล้วยื่นช้อนนั้นมาทางผมแทน “แต่ป้อนให้กินหน่อยได้ไหม”


“เรื่องมากจริง ทำก็ทำให้กินแล้วยังต้องป้อนอีกเหรอ” ก็บ่นไปอย่างนั้นแหละครับ แต่ก็รับช้อนจากมือมันมา เป่าให้คลายร้อนแล้วจ่อปากอีกคนทันทีด้วยความสะใจ “อะ กินสิ” 


มันคงคิดว่าผมไม่กล้ามั้ง ถึงได้ทำอย่างนั้น แต่บอกไว้เลย ในเมื่อตกลงเป็นแฟนกันแล้ว ให้ทำอะไรผมก็กล้าทั้งนั้นแหละ


โนบิตะกลืนน้ำลายลงคออีกอึก มันหลับตาปี๋ ก่อนจะอ้าปากให้ป้อนเหมือนลูกนกรอแม่ป้อนอาหาร 


“เป็นไง อร่อยไหม หรือจะอ้วก?”


เห็นมันรับช้อนเข้าไปในปากแล้วมีท่าทีนิ่งเฉยผิดปกติผมก็กลัวว่ามันจะขย้อนโจ๊กคำนั้นออกมา กำลังจะผุดลุกขึ้นไปหาถังขยะให้มันได้คายออกมาแล้วเชียว แต่มือแกร่งที่โอบผมไว้ทั้งคืนก็ยื่นมารั้งแขนเอาไว้เสียก่อน


“ไม่ครับไม่ต้องไปไหน...อร่อยดี กินได้”


จบคำมันก็หยิบช้อนมาตักโจ๊กใส่ปากเองโดยไม่ต้องสั่งโดยมีผมนั่งให้กำลังใจอย่างนั้น เห็นมันเจริญอาหารขึ้นมาแล้วก็ดีใจ รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่รู้ว่าตัวเองฝีมือยังไม่ตก


ไม่นานนักโนบิตะก็กวาดคำสุดท้ายในชาม หยิบยาจากมือผมใส่ปากแล้วกระดกน้ำตาม ก่อนจะล้มตัวลงนอนตามที่สั่งโดยไม่มีงอแง มันนอนห่มผ้าถึงอก มองผมนิ่ง ๆ ไม่พูดอะไร เห็นแล้วก็พาลคิดไป ว่านอนสอนง่ายอย่างงี้นี่อยากให้ไม่สบายบ่อย ๆ เลย


“แล้วทำไมมึงถึงป่วยได้...ไม่ค่อยได้พักผ่อนเหรอช่วงนี้” ผมถามพลางยกมือขึ้นทาบหน้าผากมันอีกรอบ


“ครับ...ก็เอาแต่คิดเรื่องของคุณนั่นแหละ เลยไม่อยากกลับห้องเท่าไหร่ กลับไปก็รู้สึกแปลก ๆ”


“เหรอออออออคะ แล้วมึงก็เลยเอาคนอื่นไปนอนเพื่อจะได้ไม่ต้องรู้สึกแปลก ๆ ใช่ไหม” ผมแซวมันเล่น ๆ แต่พอเห็นว่าผมพูดอย่างนั้นโนบิตะก็รีบเอื้อมมือมาจับที่ข้อมือผมเลยครับ


“คุณ...โอเคหรือเปล่า” สีหน้าของมันดูไม่สบายใจเลย บวกกับคิ้วที่ขมวดมุ่นนั่น ผมคิดว่าแม่งคิดไปไกลเกินกว่าที่ผมคิดจะแซวมันละ


“เอาจริงเลยกูไม่โอเค แต่มึงขอโทษแล้ว กูเลยโอเคและแซวได้” ผมหัวเราะแล้วดันให้มันเขยิบออกไป ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ ห่มผ้าห่มมิดถึงคอ แล้วตะแคงตัวนอนยิ้มให้มัน


“แต่...”


“ช่างแม่งเหอะ แค่อย่าทำอย่างนั้นอีกระหว่างที่คบกับกู ความเชื่อใจอะสำคัญมึงรู้ใช่ปะ กูก็รู้นะว่ามึงกลัว แต่ช่วยกลัวให้มันน่ารักหน่อยเหอะ ไม่ใช่เอะอะตะคอก เอะอะเอาคนอื่นมานอน ถึงไม่ใช่กูแต่เป็นคนอื่นเขาก็ไม่ทนหรอกนะเว้ย”


มันพยักหน้าแล้วเอื้อมมากอดผมจากในผ้าห่ม 


“ผมรู้สึกดีจัง...ที่จริงผมชอบให้คุณดูแลผมมากเลยนะพิก ไม่ว่าจะตอนไหนก็แล้วแต่ ตั้งแต่ที่คุณไม่ยอมให้ใครรังแกผม ที่คุณมาหา มาดูแลผมตอนป่วยเมื่อครั้งก่อน ที่คุณเก็บกวาดที่บ้านให้ ทุกอย่างที่คุณทำมันมีความหมายหมดนะ”


“ที่จริง กูก็ไม่รู้ว่ากูทำไปทำไมเหมือนกัน แต่ครั้งแรกเลย ที่กูแกล้งมึงแต่แรกก็เพราะหมั่นไส้...ขอโทษนะเว้ยที่ทำอย่างนั้นกับมึง” ผมเขยิบเข้าไปใกล้มันอีกนิด ยังได้กลิ่นน้ำหอมจากตัวมันอยู่เลย “ที่จริงกูอยากเป็นเพื่อนที่ดีกับมึงนะ แต่ก็ไม่รู้อะไรยังไงว่ะ รู้ตัวอีกทีก็แกล้งมึงตลอด”


“เลยโดนผมเอาคืนไง” มันหัวเราะ “ผมก็หมั่นไส้เหมือนกัน คุณน่ะ เวลาทำด้วยกัน ปากก็บอกว่าไม่เอาอย่างโน้นอย่างนี้ แต่พอถึงเวลาคุณก็ชอบทำตัว--” 


“อะไร พูดให้ดีนะมึง”  ผมถลึงตาใส่มันที่นอนยิ้มอยู่ข้าง ๆ โนบิตะเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อีกก่อนจะจูบเบา ๆ ที่หน้าผากผมอย่างอ่อนโยน 


“ช่างมัน ต่อไปนี้ผมจะดีกับคุณให้มาก ๆ” 


“ช่างมันห่าอะไร พูดให้จบสิวะ อย่ามาทำกั๊ก” 


ผมไม่ได้โมโหนะ แต่คำพูดแบบนี้มันเป็นไปโดยสันดาน ด้านโนบิตะพอเห็นว่าผมเริ่มจะหาเรื่อง มันก็ใช้มือข้างที่กอดเอวผมเลื่อนขึ้นมารั้งท้ายทอยให้เข้าไปหา ก่อนจะพูดชิดปากอย่างไม่กลัวผมติดหวัด


“นี่ไงทำแบบนี้....ทำหน้าตาน่ารักอีกแล้ว” มันพูดแล้วจุ๊บลงที่ปากผมหนหนึ่ง “แบบนี้ไง ถึงไม่เคยอดใจได้สักที” 


โอ้ย เขิน...เขินเหี้ย ๆ นาทีนี้หน้าผมแทบจะมอดไหม้เป็นผุยผง เชี่ยไรเนี่ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคนวะ ไอ้ท่าทีจ๊ะจ๋าแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง... แม่ง เขินจนหัวแทบจะระเบิดอยู่แล้ว มึงทำกับกูอย่างนี้ได้ยังไงวะ!


เห็นมันนอนอมยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาวในระยะใกล้แล้วก็ถึงกับต้องนึกบทสวดขึ้นมาในใจ พุทธโธ ทัมโม แม่งไม่ไหวแล้ว ถึงจะเป็นแฟนกันก็ไม่ใช่จะมาทำให้คนอื่นเขาเขินเรี่ยราดได้นะโว้ย

 
“พอ เลิกพูดแล้วรีบนอนพัก” ผมทำเป็นเสหน้าหนีไปอีกทาง ก่อนจะเพิ่งนึกได้ว่าพรุ่งนี้ต้องมีส่งงาน “เดี๋ยวคืนนี้ต้องตื่นมาคิดหัวข้อไปพรีเซ็นต์งานพรุ่งนี้อีก” 


“พรีเซ็นต์งาน?” มันทวนคำ


“อืม อาจารย์ไม่มาสอนวันนี้เลยสั่งงานไว้ ก็แค่พรีเซ็นต์หัวข้อแหละมั้ง คิด ๆ หัวข้อกับเหตุผลไปงัดก็พอ ป้าเนิร์ดบอกในเฟสนะ” 


ผมบอกเล่าสิ่งที่อ่านมาจากเฟสที่ประธานเอกโพสไว้ให้โนบิตะฟังเป็นฉาก ๆ ซึ่งมันก็ทำเพียงพยักหน้าด้วยท่าทางอิดโรย เราเงียบจนเกิดเดดแอร์อยู่สักพัก ก่อนมันจะขยับตัวลงจากหมอน แล้วกอดผมโดยเอาหน้าซุกกับอก 


“ขอยืมเป็นหมอนข้างหน่อยนะครับ ผมง่วงแล้ว” มันบ่นอู้อี้อยู่ใต้คางผมเสียงแผ่ว รู้สึกได้ถึงลมหายใจเป่าร้อนจากปากของมันที่ช่วงอกเลยต้องพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้


“ง่วงก็นอนเหอะ เดี๋ยวมึงหลับแล้วกูไปนั่งเล่นเกม แล้วตอนเย็นตื่นมากินข้าวกันนะ”


ผมบอกมันแค่นั้นแล้วปล่อยให้เก้านอนหายใจรดหน้าอกโดยที่กอดเอวเอาไว้ไม่ปล่อย คิดไปคิดมามันก็มีมุมน่ารักเยอะอยู่เหมือนกันนะ เพียงแต่ว่าบางมุมมันยังไม่แสดงให้ใครเห็นชัดเจนขนาดนั้น ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ผมก็คิดว่าคงต้องใช้เวลาศึกษากันอีกหน่อย เพราะหลังจากที่ผ่านความอึดอัดใจกันมา ผมก็คิดว่าเราทั้งคู่ควรเปิดใจให้กันมากกว่านี้ แสดงให้เห็นในบางจุดที่ไม่เคยมีใครเข้าไปสำรวจ...แล้วถึงตอนนั้นค่อยมาคิดกันอีกที ถ้าไปไม่รอดจริง ๆ ก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกค้างคาอะไรอีก


เรื่องความรักบางทีก็พูดยากนะ บางคนเริ่มรักกันที่ความดี บางคนเริ่มรักกันที่หน้าตา บางคนเริ่มรักกันที่ฐานะ แต่สำหรับผมกับโนบิตะ เราเริ่มสถานะความรักกันจากคำว่า ‘เพื่อน’  ในที่นี้มันอาจดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่กับคนเป็น 'เพื่อน’ ซึ่งแกล้งมันมาตลอดอย่างผม แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ก็คือ ‘ถ้าไม่สนใจ คงไม่มองหาเพื่อแกล้ง’ มันอยู่ตลอดหรอก...เพราะผมก็ไม่ได้ว่างมากมายอะไรขนาดนั้น


ชีวิตวันๆ ก็หมดไปแล้วกับแม่ น้องสาว แล้วก็ไอ้ชาน...ตื่นเช้ามาก็ต้องทำกับข้าว ไปเรียน เล่นเกม ดูรายการช่องที่ติด ตอนเย็นบางวันก็ต้องไปช่วยปิดร้าน ถ้าวันไหนหยุดก็ต้องเปิดร้าน ทุกอย่างในชีวิตผมตอนนี้ไม่ได้แย่ มันดี เพียงแต่ตอนนี้ดีกว่าอีกนิดก็ตรงที่กำลังจะมีใครเข้ามาอยู่ในผังนี้อีกคน 


ผมกำลังมองอนาคต กำลังคิดว่าเราจะวางแผนมันอย่างไรดี ในขณะที่ชีวิตผมมีหน้าที่พวกนี้ กลับกันโนบิตะมันก็มีหน้าที่ของมันที่ต้องดูแลร้าน ดูแลพนักงาน ทำงานแทนที่บ้าน ภาระของมันหนักกว่าผมเยอะ มันดูเป็นคนที่ต้องแบกรับอะไรมากมายจนมองแล้วเริ่มรู้สึกว่าอยากช่วยแบ่งเบาอะไรบ้าง 


คิดได้เท่านั้นผมก็ค่อย ๆ แกะมือกาวของเก้าที่กอดเอวออก ก่อนจะถลาไปนั่งที่โต๊ะแล้วเปิดคอมเพื่อเสิร์จหาข้อมูลเพื่อจะใช้คิดทำหัวข้อวิจัย นั่งอยู่นาน พิมพ์ต๊อกแต๊กไปเรื่อย รู้ตัวอีกทีแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างก็ดูเหมือนจะบางลงจนแทบไม่มี ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มเข้มคล้ายรุ่งเช้า แต่ต่างกันตรงที่ตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน


ผมปริ้นเอกสารทิ้งไว้ นั่งนานเมื่อยหลังไปหมดจนต้องลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายด้วยการลงไปทำกับข้าวในครัว  ยืนหั่นผัก ต้มเนื้ออย่างนั้นพักหนึ่ง แพนงเนื้อ  ยำปลาสลิด กับไข่เจียวก็เสร็จสรรพพร้อมทานวางอยู่บนโต๊ะ ผมแยกบางส่วนเก็บไว้เป็นมื้อเช้าของวันรุ่งขึ้นเพราะเผลอทำแพนงเนื้อ ไปหน่อย ก่อนจะจัดเก็บทุกอย่างใส่ตู้เย็นแล้วย้ายตัวเองกลับขึ้นไปบนห้องแทน


เปิดประตูเข้าไปก็เห็นไอ้คนป่วยยืนก้ม ๆ เงย ๆ อยู่หน้าโต๊ะคอม เก้าหันขวับมาทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด มันหยิบเอกสารในช่องปริ้นกระดาษขึ้นมาแล้วขมวดคิ้วถามผมหน้าตาฉงน


“พิกทำนี่เองทั้งหมดเลยเหรอครับ” 


“ใช่สิ” ผมสาวเท้าเข้าไปหา หยิบเอกสารออกจากมือมัน “ก็มึงไม่สบาย กูเลยทำเผื่อไว้ให้ เดี๋ยวมึงมาอ่านแล้วก็แยกข้อดีข้อเสียเอาแล้วกัน จะได้ประหยัดเวลาอีกนิด”


“ไม่อยากจะเชื่อเลย” ฟังจบมันก็หัวเราะออกมาทั้งหน้าป่วย ๆ หัวเหอนี่ยุ่งอย่างกับรังนก “นึกยังไงทำงานเองครับเนี่ย”


ผมขมวดคิ้วให้กับคำถามของมัน ก่อนจะดึงมันให้เดินตามมานั่งลงที่เตียง เก้ายังคงอมยิ้มไม่เลิก ในขณะที่ผมถอนหายใจแล้วเอื้อมมือไปอังหน้าผากมันอีกรอบ


“ก็มึงไม่สบาย...ดูสิ ตัวยังรุม ๆ อยู่เลย...ไปหาหมอไหม”


“ผมไม่เป็นไรแล้ว ก็เป็นอย่างนี้แหละครับ นอนอีกตื่นเดี๋ยวก็หาย” เก้าตอบแล้วล้มตัวลงนอนที่ตักผม มันขยับจัดท่าทีจนสบายตัว แล้วเงยหน้าขึ้นสบสายตากับผมที่มองการกระทำทุกอย่างของมันอยู่ก่อนแล้ว “ขอบคุณนะครับ...”


“ไม่เป็นไร”


ผมยิ้ม...ยิ้มแบบยิ้มจริง ๆ ยิ้มอย่างที่ตัวเองก็ไม่รู้แน่เหมือนกันว่าจะยิ้มทำไมนักหนา แต่สิ่งหนึ่งในเรื่องนี้ที่ทำให้ผมเริ่มยินดีที่จะเรียนรู้ และเข้าใจความเป็นโนบิตะมากกว่าการมีเซ็กส์กันก็คือพฤติกรรมของมันที่ไม่เคยทิ้งอะไรเลยไม่ว่าจะเรียน หรือ งาน


เราทั้งคู่มองหน้ากันอย่างนั้นพักใหญ่จนโนบิตะเองที่เป็นฝ่ายโน้มหน้าเข้ามาหา มันเลื่อนมือมากุมมือผมเอาไว้ ก่อนจะแนบริมฝีปากแตะริมฝีปากแล้วกดจูบลงอ้อยอิ่งราวกับสัญญาว่าจะทะนุถนอมเป็นอย่างดี ริมฝีปากของมันบรรจงดูดดึง ฟันของมันค่อย ๆ กัดเล็ม ก่อนจะสอดลิ้นเข้ามากวาดความหวานออกไปไปช้า ๆ ยามที่ลิ้นเราแตะกัน ตอนที่หน้าเราเอียงให้กัน ตอนที่มือผมถูกกุมแน่นขึ้นตามแรงจูบ ทุกอย่างมันฉ่ำไปหมด ซ่านหัวใจจนในอกรู้สึกอุ่นวาบเหมือนมีใครเอาน้ำอุ่นมาราดเสียอย่างนั้น


จนในที่สุดเราก็ผละออกจากกันเพราะเสียงเคาะประตูที่หน้าห้อง ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นไอ้พิมพ์มาขัดจังหวะอีกแล้ว ผมกับเก้าหัวเราะให้กันเพราะดันนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคราวก่อนที่เราแอบกุ๊กกิ๊กกันในห้องนี้แล้วมีไอ้พิมพ์มาเคาะประตูให้จังหวะอยู่ด้านหน้า มันเหมือนเดจาวูไปหมดเว้นก็แต่วันนี้เก้าป่วยหนักจนไม่มีแรงทำอะไร...


และที่สำคัญ ที่ทำให้ไม่เหมือนวันนั้นเข้าไปใหญ่
คือ...เราคบกันแล้ว


(((((((((   มีต่อ  )))))))))))
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 25 (06/07/18) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 07-07-2018 02:57:04
.
.
.
.
.
“แน่ใจนะว่าไม่ลืมอะไร”


ผมเอ่ยถามโนบิตะเพื่อเพิ่มความแน่ใจอีกครั้งว่ามันไม่ได้ลืมอะไรที่บ้านผมอีกในเช้าวันนี้ ก่อนจะเหวี่ยงประตูรถปิด แล้วเดินอ้อมไปหามันที่กำลังลงจากเบาะออกมากดรีโมทล็อกรถ วันนี้เราเข้ามาจอดลานใกล้คณะหน่อย เพราะไม่ต้องการเดินไกลในวันที่เร่งรีบอย่างนี้


เมื่อวานหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ กลับขึ้นมาบนห้องผมกับโนบิตะก็ช่วยกันทำหัวข้อวิจัยต่ออีกนิด ก่อนจะตกลงนอนพร้อมกันเพราะวันนี้คาบวิชาวิจัยที่ต้องพรีเซ็นต์หัวข้อนั้นเริ่มเช้ามาก มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่คนในเอกจะรู้กันอยู่แล้วว่าหากใครมาเช้าก็จะได้ลำดับพูดที่เร็วกว่า นั่นทำให้เมื่อพรีเซ็นต์เสร็จ ก็จะเท่ากับว่าว่างไปทั้งวันเพราะวันนี้มีเรียนคาบเดียว


“ไม่ลืมแล้วครับ”


มันมองสำรวจรถแล้วตอบผมพลางใช้มือรีดกางเกงที่ใส่อยู่ให้เรียบกว่าเดิม วันนี้โนบิตะมาในชุดเดิมที่มันใส่มาหาผมตั้งแต่วันก่อน เพราะเสื้อผ้าของผมในตู้มันใส่ไม่ได้สักตัว โชคดีมากที่บ้านผมมีเครื่องอบผ้า นั่นทำให้มันไม่ต้องใส่ชุดเดิมซ้ำกันทั้งที่มีกลิ่นเหงื่อและเหล้าผสมอยู่ จะแตกต่างก็อย่างเดียวตรงที่วันนี้มันไม่ใส่แว่น (เพราะไม่ได้พกมาด้วย) ไม่ทำผมพะรุงพะรังมาเรียน แต่จับผมตัวเองแล้วเซ็ตให้ดูดีเหมือนเวลาไปทำงาน


เดินเข้ามาในตัวคณะก็ได้ยินเสียงฮือฮา ไม่ใช่ผมไม่รู้นะว่าสาว ๆ เขาฮือฮาอะไร แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทั้งที่เป็นตรรกะง่าย ๆ แค่ถอดแว่นใส่แว่นแต่กลับไม่มีใครจำโนบิตะได้ (ผมก็เหมือนกัน) ดังนั้นในสายตาของคนอื่นในตอนนี้ คนที่เดินตามผมอยู่นี่โคตรหล่ออย่างกับพระเอกละครช่วงเย็น ที่มาเดินเฉิดฉายอยู่ในคณะอย่างกับเป็นเวทีประกวดนายแบบระดับเอเชีย =_=


“เป็นอะไรครับ หน้าบึ้งเชียว” 


ท่าทางมันจะจับสังเกตที่ผมเดินเร็วกกว่าปกติได้ เห็นอย่างนั้นโนบิตะเลยรีบสาวเท้าตามมาจนเราทั้งคู่เดินเคียงกัน มันไม่พูดเปล่า แต่คว้ามือผมเอาไปจับแล้วสอดประสานไว้ด้วย


“เปล่า” ผมถอนหายใจ ตั้งท่าจะเลี้ยวเข้าห้องแล้วเชียว แต่มันก็ดันรั้งแขนผมไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีตอนนี้


โชคดีมากที่ห้องเรียนวิจัยอยู่มุมในสุดของชั้น ทำให้ภาพผู้ชายสองคนที่คล้ายกับกำลังจะตระกรองกอดกันอย่างหน้าไม่อายนั้นไม่มีใครเห็น ผมกัดปากแล้วถลึงตาใส่มัน แต่ยิ่งทำอย่างนั้นเก้าก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น


“หึงเหรอ” มันถามยิ้ม ๆ ดูน่าหมั่นไส้จริง


“เออ หึง ทำไม หึงไม่ได้เหรอ ไอ้ห่า แค่ถอดแว่นเสือกจำกันไม่ได้ว่าเป็นใคร มากรี๊ดกร๊าดอยู่ได้ น่ารำคาญฉิบ... คราวหน้ามึงใส่แว่นมาเลยนะ ห้ามถอดอีกตลอดไป” ผมตอบแล้วชักสีหน้าใส่มัน หงุดหงิดโว้ย มาทำหน้าตาอ้อล้ออยู่ได้ ที่ไม่ใส่แว่นมาคราวนี้ยังพอให้อภัยได้นะ แต่ถ้าไม่ใส่มาเรียนคราวหน้ามึงโดนแน่


เพราะกูขี้หวงมากกกก


“โอเคครับ...ไม่เอาไม่หึงนะ” มันหัวเราะเบา ๆ แล้วเลื่อนมือมากุมมือผมไว้ทั้งสองข้าง “เดี๋ยววันนี้กลับห้องเอาเสื้อผ้าไปเก็บแล้วไปกินข้าวร้านอร่อยกันนะ ผมลาพักวันนี้ วานให้พี่เกื้อดูร้านให้แล้ว”


นึกไปถึงเมื่อตอนเช้า อาบน้ำเสร็จออกมาเห็นมันนั่งโทรศัพท์อยู่ก็คิดว่ามีอะไร ที่แท้ก็โทรลาขอเบี้ยวงานนี่เอง 


“ยังไม่หายเหรอ...จริง ๆ มึงนอนพักอยู่ห้องก็ได้นะ แล้วทำอะไรง่าย ๆ กินกัน”


ผมเสนอ ซึ่งดูเหมือนว่าเก้าจะนิ่งคิดไปเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันที่มันจะได้ตอบอะไร เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากด้านหลังก็ทำให้เราต้องผละออกจากกัน คนอื่นเริ่มพากันทยอยเข้าห้องแล้ว รวมไปถึงไอ้ชานที่กำลังเดินเลี้ยวมาจากหน้าลิฟต์ด้วย


พอเห็นหน้าชาน จากที่เคยยิ้ม ๆ อยู่เมื่อกี้ หน้าเก้าก็เปลี่ยนเป็นนิ่งไปถนัด ส่วนผมเหรอ พอสายตาประสานกันเข้ากับเพื่อนสนิทที่เพิ่งจะมีเรื่องกันมาหมาด ๆ ก็ถึงกับหน้าม่าน หยุดจ้องกันอย่างนั้นพักใหญ่ ชานก็เดินนำเข้าไปที่หน้าห้องเพื่อจับฉลาก โดยมีผมเดินตามเข้าไปติด ๆ


“เดี๋ยวออกมาคุยกันหน่อยนะ”


และจังหวะที่มันหันหลังกลับมาคนตัวสูงกว่าก็ก้มลงมากระซิบเบา ๆ นาทีนั้นผมได้แต่ยืนนิ่ง รอให้มันเดินผ่านหลังไปจนพ้นหางตา ส่วนโนบิตะที่อยู่ด้านหลังก็ก้าวขึ้นมาจับฉลากให้แทน ก่อนจะแบ่งฉลากหนึ่งอันใส่มือผม แล้วจับแขนลากไปนั่งด้วยกัน


เรานั่งฟังพรีเซ็นต์คนอื่นท่ามกลางบรรยากาศรอบ ๆ ที่เย็นเฉียบ ห้องนี้เป็นห้องเรียนรวมขนาดกลาง เปิดแอร์เย็นฉ่ำแทบจะตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยหากมีใครนอนหลับรอก่อนจะถึงคิวตัวเอง


แต่ผมไม่เป็นอย่างนั้น ใจมันตุ้ม ๆ ต่อม ๆ จนชานพรีเซ็นต์เสร็จแล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของมมัน ซึ่งคิวต่อมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน...เป็นผมเองที่ต้องออกไปทำการพรีเซ็นต์หัวข้อ โชคดีที่อาจารย์ไม่ถามอะไรมาก อนุญาตให้ผมทำหัวข้อนี้ได้โดยง่าย ไม่อย่างนั้นผมคงค้างนานเพราะไม่สามารถตอบอะไรได้ ก็จิตใจแม่งเอาแต่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เพื่อนสนิทพูดไว้เมื่อต้นคาบน่ะสิ...


“ถ้าชานมาชวนออกไป อย่าไปนะ...เดี๋ยวผมมา”


กลับมานั่งที่ได้ไม่ถึงนาที โนบิตะที่กำลังจะลุกก็พูดไว้ก่อนเดินออกไปเพราะโดนเรียกชื่อในคิวต่อมา ซึ่งทีแรกผมก็ไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่ายังไง แต่พอเห็นไปมองไอ้ชาน ก็เห็นแม่งเดินเข้ามาหา หยุดตรงหน้าผมแล้วเอื้อมมือมาแตะเบา ๆ ที่ข้อศอก


“ออกไปด้วยกันหน่อย” 


ผมมองออกไปยังโนบิตะที่ยืนอยู่หน้าห้อง สายตาของมันแข็งกร้าวขึ้นมาเมื่อเห็นว่าไอ้ชานกำลังพยายามจะรั้งแขนผมให้ลุกขึ้นเดินตามมันไป ทีแรกผมจะไม่ไปหรอกเพราะไม่อยากมีปัญหากับเก้า แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกไม่แฟร์กับเพื่อนสนิทเลยถ้ามันจะเป็นคนเดียวที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้


สุดท้ายผมก็ตัดใจเดินออกมาพร้อมกับไอ้ชานโดยไม่หันไปมองเก้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้อง ปิดประตูออกมา ได้ยินเสียงมันดังออกไมค์ก็อวยพรในใจขอให้ผ่านหัวข้อได้โดยง่ายแล้วจึงเดินตามหลังไอ้ชานไป เราสองคนเดินไปด้วยกันเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็หยุดที่หน้าห้องน้ำ ซึ่งบริเวณนี้คนผ่านไปมาบางตาเพราะเป็นมุมอับพอสมควร


“กู...มีเรื่องที่ต้องคุยกับมึง” สีหน้าของไอ้ชานดูอมทุกข์ ขอบตาของมันดูคล้ำมาก ท่าทางเหมือนคนไม่ได้นอนติดกันมาหลายคืน “เรื่องวันนั้นกูเอาไปคิดมาแล้วนะ” 


“อืม” 


ผมทำได้แค่ครางในลำคอ ก่อนจะแกะมือของมันที่จับข้อมือไว้ออก ซึ่งไอ้ชานก็ทำได้เพียงแค่มองอย่างเศร้าสร้อย มันกลืนน้ำลาย เงยหน้าขึ้นมามองผมยิ้ม ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ


“กูคิดว่ากูชอบมึงจริง ๆ ....แต่มึง...คงไม่คิดอย่างนั้นใช่ไหม”


“กูคิดว่ามึงเป็นเพื่อนนะไอ้ชาน...ขอโทษด้วยว่ะ ที่ตอบรับความรู้สึกมึงไม่ได้” ผมพูดออกไปตามตรง ไม่เห็นประโยชน์ที่จะต้องมานั่งรักษาน้ำใจมันในเรื่องนี้ เพราะถ้าไม่พูดออกไปตรง ๆ มันก็จะยิ่งมีหวังและเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า


เรายืนมองหน้ากันนิ่งไปพักใหญ่ ซึ่งเพื่อนตัวสูงของผมดูเหมือนกับว่ากำลังพยายามทำใจยอมรับ ไอ้ชานทำเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอย่างฝืน ๆ


“ไม่เป็นไร...กูเข้าใจนะ เข้าใจทุกอย่างเลย”


มันยังคงยิ้มอยู่ เป็นยิ้มที่เพื่อนอย่างผมเห็นแล้วรู้สึกแย่ เพราะไม่มีอะไรที่สามารถทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นได้ในเวลานี้... ทุกอย่างต้องอาศัยเวลา ต้องอาศัยเยียวยากันไปช้า ๆ ...


“ถ้าอย่างนั้น...กูขอกอดมึงได้ไหม...ขอกอดมึงครั้งเดียว แค่ครั้งนี้ที่กูจะกอดมึงด้วยความรู้สึกแบบนี้”


ไอ้ชานว่า หน้าตามันน่าสงสารมาก แต่ถึงผมสงสารมันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมให้มันกอดซะ เพราะนี่จะช่วยให้มันสามารถตัดใจได้เร็วขึ้น ผมครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง มองหน้ามันก่อนจะก้าวเข้าไปหาแล้วอ้าแขนทั้งสองข้างออก


“มาสิ” 


จบคำไอ้ชานก็พยักหน้าแล้วก้าวเข้ามาหา แต่ไม่ทันที่ตัวเราจะได้สัมผัสกัน ในขณะที่มือของไอ้ชานกำลังจะสัมผัสกับหลังผม ตัวของมันก็ถูกกระชากปลิวออกไป โดยคนที่อยู่ในฐานะแฟนของผมเอง


ไอ้เก้า...

“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าออกมา” เสียงมันดังกึ่งตวาด ไม่ทันได้พูดอะไรต่อไอ้ชานที่เพิ่งตั้งสติได้ก็ถลาเข้ามากระชากคอเสื้อโนบิตะแล้วดึงเข้าไปหา ก่อนจะถลึงตาใส่เหมือนโกรธกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน


“ทำเหี้ยอะไรของมึงวะ!”


ไอ้ชานตะคอกใส่หน้าเก้าด้วยอารมณ์โมโห แต่ไม่ใช่เพื่อนผมที่โมโหเป็นอยู่ฝ่ายเดียว โนบิตะก็ใช่ย่อย ไอ้บ้านั่นก็กระชากคอเสื้อไอ้ชานเข้ามาใกล้แล้วตะคอกใส่กลับไปเหมือนกัน


“แล้วมึงล่ะกำลังทำเหี้ยอะไรกับแฟนกู!”


ขนาดยืนอยู่ข้าง ๆ มันสองคน ผมยังสัมผัสได้ถึงความมึนงงที่ก่อตัวขึ้นในความรู้สึกของไอ้ชาน พอมันฟังสิ่งที่เก้าพูดจบ ยืนนิ่งวิเคราะห์อยู่สักพัก มันก็ปล่อยมือออกจากคอเสื้อของอีกฝ่ายอย่างหมดแรง ผมแอบเห็นไหล่ของไอ้ชานดูเหี่ยวลงไปถนัด ในขณะที่เก้าก้าวเข้าไปหาแล้วยกมือขึ้นกอดอกราวกับจะประกาศว่าตัวเองเป็นผู้ชนะในศึกครั้งนี้


“พวกมึง...สองคน? เป็นแฟนกัน?” 


ไอ้ชานเซไปเลย... สีหน้าของมันมึนงงกับคำพูดของเก้ามากกว่าตัวผมเองทื่ยืนฟังอยู่ตรงนี้ มันทำหน้าเหมือนกับว่าทุกอย่างกำลังจะพังลง ก่อนจะยกมือขึ้นชี้หน้าเราทั้งคู่สลับกันไปมา


“กู...กูขอโทษ” ผมเม้มริมฝีปากแห้งผากของตัวเอง ก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้นเพราะรู้สึกผิดที่สุดแล้วที่ไม่ยอมบอกเล่าอะไรให้ไอ้ชานฟังเลยแม้แต่น้อย


“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”


ไอ้ชานขมวดคิ้ว สีหน้าของมันดูแย่มากเหมือนกับจะทรุดลงไปกับพื้นได้ทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่ 


“นานแล้วครับ...” ดูเหมือนอารมณ์ของเก้าจะเย็นลงบ้างแล้ว มันถึงได้กลับมาพูดสุภาพกับไอ้ชาน ผมเห็นเก้ายกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบา ๆ ก่อนจะกลับมากอดอกวางฟอร์มเหมือนเดิม “นานแล้วที่พวกผมรู้สึกตรงกัน”


“เหรอ...” ไอ้ชานตอบออกมาเพียงแค่นั้น แค่นั้นจริง ๆ ที่ดูเหมือนกับว่ามันจะพูดอะไรออกมาได้ ไม่มีคำยินดีอะไรหลุดจากปากมัน มีเพียงแค่สีหน้าแย่ ๆ ที่เหมือนจะกัดกร่อนใจผมให้รู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ 


“กูขอโทษนะ กูขอโทษ” 


“ช่างมัน...ไม่เป็นไร...” ไอ้ชานตอบ


ผมพูดได้เพียงเท่านั้นจริง ๆ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย ไอ้ชานทำเพียงแค่ยกมือขึ้นในระดับหน้า มันแบมืออกทำท่าเหมือนจะให้พวกเราหยุดพูดอะไรก็แล้วแต่ที่จะทำร้ายจิตใจมันได้อีก ไม่มีการบอกลาอะไรทั้งสิ้น ไอ้ชานเดินออกไปจากตรงนั้นทิ้งให้ผมกับเก้ามองหน้ากันด้วยสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก... 


เราหมดหนทางแล้วจริง ๆ
ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะพูดอะไรให้ดูดีกว่านี้ได้อีก?


“ไม่เป็นไรนะ...ผมว่าเขาจะต้องเข้าใจ...ผมขอโทษที่ทำอะไรใจร้อนไปหน่อย”


เก้าเดินเข้ามาหาหลังจากเห็นผมนิ่งไปนาน มันยื่นมือมาจับมือผมเอาไว้ กล่าวขอโทษแล้วเลื่อนมาลูบหลังลูบไหล่ บอกตรง ๆ ว่าผมกลัวที่จะต้องเสียไอ้ชานไป เพราะมันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมแล้วไม่ว่าจะตอนไหน ทุกอย่างมันมีแต่คำว่า ‘ไม่น่าเลย’ ไม่น่าเป็นอย่างนี้เลย... แต่เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ใช่ไหม?


ผมจะรอให้มันผ่านจุดนี้ไปให้ได้นะ 
ผมจะรอวันที่มันจะกลับมาเป็นเพื่อนกับผมได้อีกอย่างสนิทใจ


((((((((((((  มีต่อ )))))))))))))
หัวข้อ: Re: ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 25 (06/07/18) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 07-07-2018 02:58:11
22บทส่งท้าย   
 



หลังจากวันนั้นผ่านไป ผมก็ไม่ได้คุยกับไอ้ชานอีกเลย...


จนตอนนี้ก็เกือบเดือนมาแล้ว มีแต่ไอ้เฮียคนเดียวที่สามารถติดต่อกับมันได้   


ถามว่าร้อนใจไหม...ใช่ ผมร้อนใจ แต่จะให้ทำอย่างไร เมื่อไอ้ชานไม่ยอมรับโทรศัพท์จากผมเลย เจอหน้ากันที่ม.จะขอคุยเป็นการส่วนตัว หรือแม้แต่จะมานั่งใกล้ ๆ ก็ยังไม่มี จากที่เคยมาหาที่บ้านก็ไม่มา ผมก็เข้าใจนะว่าควรให้เวลามันทำใจ แต่ผมก็รู้สึกแย่อยู่ดี รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวที่เสียใจเพราะมันกำลังจะทิ้งผมไป


วันนี้เป็นวันส่งพรีเซ็นต์วันสุดท้าย ผ่านมาเดือนนึงนอกจากความทุกข์ที่ไม่ได้ปรับความเข้าใจ ผมก็ยังต้องทุกข์กับโปรเจ็คงานที่ล้นพ้นหัว ช่วงนี้ใกล้สอบแล้วด้วย จริงอยู่ที่ผมไปขลุกอยู่กับเก้าเพราะต้องทำพรีเซ็นต์งานเยอะแยะแต่เราทั้งคู่ก็ไม่ได้แฮปปี้ตามประสาคนเป็นแฟนกันอะไรขนาดนั้น 


เพราะเราทั้งคู่ยังมีความรู้สึกผิดที่ติดใจกันอยู่
ก็เรื่องไอ้ชานนั่นแหละ...


Rrrr Rrrrrr


นั่งกางโต๊ะญี่ปุ่นทำรายงานอยู่ในห้องเก้าหัวหมุ่นก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์แผดลั่นจากตรงที่ชาร์จ ซึ่งเก้าที่นั่งตรวจบัญชีอยู่บนโต๊ะกินข้าวก็ไม่ได้นั่งฟังเฉย ๆ มันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์จากตรงเคาน์เตอร์ ดึงปลักออกก่อนจะยื่นมาให้ตรงหน้า


“เฮียโทรมา” 


ผมยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์มาไว้ในมือ ส่งมือถือให้เสร็จเก้าก็เดินกลับไปนั่งที่ตัวเองแล้วทำบัญชีต่อ  ช่วงนี้ผมคุยกับไอ้เฮียบ่อยมากเรื่องของไอ้ชานเพราะฝากฝังให้มันคอยดูแลสารทุกข์สุกดิบของฝั่งโน้น ซึ่งไอ้เฮียก็ทำหน้าที่ได้ดีเพราะมันต้องการแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองทำแย่ ๆ ลงไป


[“พรุ่งนี้ที่ส่งเล่ม มึงเสร็จยังวะ”] เสียงปลายสายดังขึ้นทันทีที่ผมกดรับ เสียงไอ้เฮียดูร้อนรนเมื่อเอ่ยถึงเล่มรายงานที่ต้องส่งในวันพรุ่งนี้


“ยังเลย นั่งทำอยู่ แต่ของโนบิตะเสร็จแล้วนะ” ผมคลิกเข้าโฟลเดอร์ของโนบิตะก่อนจะกดเปิดดูรายงานที่มันทำเสร็จแล้ว “มึงจะดูไหม เดี๋ยวกูส่งไปให้” 


[“เออ ดู ส่งมาเลย...กูต้องช่วยชานมันแก้อีกเนี่ย”] ไอ้เฮียบ่นกระปอดกระแปด แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องที่มันบ่นเลยแม้แต่น้อย ผมสนใจมากกว่าเมื่อมันพูดถึงบุคคลที่สาม


“ไอ้ชาน...อยู่นั่นเหรอมึง” 


อาจจะดูงี่เง่าไปหน่อยที่ถาม ทั้งที่ไอ้เฮียก็เพิ่งพูดชื่อไอ้ชานไปเมื่อครู่ ด้านโนบิตะเมื่อได้ยินว่าผมพูดชื่อใคร มันก็ละออกจากงานที่กำลังทำอยู่ แล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ก่อนจะจับไหล่ผมเอาไว้ แล้วพูดอย่างไม่มีเสียง


‘ขอคุยสิ’ มันพยักเพยิดหน้ามาทางโทรศัพท์


“มึง...กูขอคุยกับไอ้ชานหน่อยได้ไหม”


จะว่าผมเป็นคนว่าง่ายก็ได้ แต่มันมีเหตุผลมากกว่าคำว่า ‘ว่าง่าย’ เพราะผมต้องการอยากจะคุยกับไอ้ชานอยู่ก่อนแล้ว ด้านปลายสายเมื่อได้ยินอย่างนั้นมันก็อึกอัก ไอ้เฮียถอนหายใจแรง ๆ ผ่านมาทางโทรศัพท์ก่อนจะหายไปพักหนึ่ง


ผมอดทนรอด้วยความตื่นเต้น เกือบเดือนที่ไม่ได้คุยกันมันทำให้ผมรู้สึกกระวนกระวาย ก้มลงมองมือตัวเองที่วางไว้บนหน้าตักก็เห็นได้ชัดว่าเหงื่อกำลังผุดขึ้นมา หันไปมองหน้าเก้าก็ได้แต่เม้มริมฝีปากใส่ ในขณะที่อีกฝ่ายพยักหน้าเป็นเชิงให้กำลังใจ


[“ว่าไง...”]


นานเกือบห้านาทีที่ผมนั่งเงียบรออยู่อย่างนั้น จนเสียงไอ้ชานดังขึ้นผมก็เหมือนกับจะร้องไห้ออกมาทันที ได้ยินเสียงมันแล้วในรอบหลายวัน การที่มันยอมคุยโทรศัพท์กับผมแบบนี้ แค่พูดมาเท่านี้ ผมก็มีสิทธิ์จะคิดว่ามันหายโกรธได้ใช่ไหม...


“กู...กู...” จู่ ๆ ก็รู้สึกปวดหนึบขึ้นมาในลำคอ ภาพโน๊ตบุ๊คตรงหน้าพร่าเลือนไปหมด ในหัวเหมือนกับจะนึกคำพูดไม่ออก กระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงตอบกลับมา


[“มึงร้องไห้เหรอ...ใจเย็น ๆ ร้องไห้ทำไม กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าร้องไห้”] ไอ้ชานพูดติดตลก แต่เสียงของมันกลับไม่ฟังดูตลกเหมือนอย่างคำพูด [“ว่ายังไง...จะคุยกับกูมีเรื่องอะไร พูดมาดิ ไม่ใช่มาร้องไห้ใส่กัน”]


“อึก”  ผมกลั้นก้อนสะอึกไม่อยู่แล้ว มันเหมือนกับจะพุ่งออกจากปากได้ทุกครั้งที่อ้าปาก ด้านเก้าเมื่อเห็นว่าผมกำลังร้องไห้ มันก็เลื่อนมือมาแตะเบา ๆ ที่ต้นแขน ก่อนจะบีบนวดออกแรงกระชับเพื่อบอกกลาย ๆ ว่าจะอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องกลัว พูดออกไปเลย


“กู...กูคิดว่ามึงเกลียดกู กูคิดว่ามึงโกรธกู กูคิดว่าเราจะไม่เป็นเพื่อนกันแล้ว” 


[“เออก็รู้สึกแย่ว่ะ...แต่เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว ตอนนี้กูดีขึ้นหน่อย...แม่งอย่าร้องไห้สิวะ เดี๋ยวก็ร้องตามหรอก”]


ได้ยินเสียงมันสั่น ๆ เหมือนกับจะร้องไห้ก็นึกออกเลยว่าตอนนี้มันกำลังทำหน้าแบบไหน ผมแม่งโคตรรู้สึกแย่เลยที่ทำให้มันเป็นอย่างนี้ แต่ตอนนี้ดีใจยิ่งกว่าที่อย่างน้อย ๆ มันก็ยอมคุยกับผมแล้ว ดีใจที่มันบอกว่าตอนนี้ดีขึ้น ไม่ได้ย่ำแย่เหมือนช่วงก่อน


“อือ...ดีแล้ว...กูดีใจ” ผมพูดพลางเม้มปากกลั้นเสียงไม่ให้ปล่อยโฮออกไปด้วย ซึ่งปลายสายก็เหมือนกัน ไอ้ชานเงียบไปพักหนึ่งก่อนเสียงสูดขี้มูกที่ดังออกมาแทน


[“กูก็ต้องขอโทษมึงเหมือนกัน...กูแค่อยากทำใจเลยหายไปสักพัก ขอโทษนะที่ทำให้มึงต้องเป็นห่วง”] มันตอบกลับมาเสียงอู้อี้


“อืม...ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรเลย...มึงโอเคแล้วใช่ไหม” 


[“อืม กูโอเค กูขอโทษที่ทิ้งมึงไปทั้งอย่างนั้น อย่างที่กูบอก กูก็แค่ต้องการเวลา ถามว่าตอนนี้ยังเจ็บไหม ก็ใช่...แต่กูพยายามจะทำให้ทุกอย่างมันดีอยู่ พยายามจะทำให้มันดีขึ้นด้วยมือของกู มึงรอกูหน่อยได้ไหม มันอาจไม่เต็มร้อยหรอก แต่กูจะพยายาม”]


“อืม”


ผมตอบได้เพียงเท่านั้นจริง ๆ เพราะตอนนี้ม่านน้ำตาแม่งบดทับทุกอย่างหมดแล้ว ยังรู้สึกได้ถึงแรงมือของโนบิตะอยู่เนือง ๆ แต่ที่ทำให้อบอุ่นกว่านั้นก็ตรงที่อีกฝ่ายบอกว่าจะพยายามกลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้ 


ผมเห็นแก่ตัวว่ะ รู้นะว่ามันยาก แต่ไอ้ชานก็ยังพยายามเพื่อผม เชื่อนะว่าความสัมพันธ์แบบเพื่อนแม่งตัดกันไม่ขาดหรอก แต่ก็คงต้องให้เวลามันทำใจสักพัก เพราะถ้าเป็นผมก็คงไม่ไหวเหมือนกันกับเรื่องราวที่แย่กับใจอย่างนี้ 


เราคุยกันอีกสองสามประโยค ช่วงหลัง ๆ ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ผ่านมา ไม่ได้เอ่ยขอโทษกันอีกเพราะรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น สิ่งที่จะช่วยเราได้คือเวลา เราแค่ต้องรอเวลาให้ทุกอย่างมันผ่านไปและกลายเป็นอดีตถึงจะยิ้มให้กันได้อย่างสนิทใจอีกครั้ง ผมฟังไอ้ชานพูดถึงรูปเล่มของตัวเองด้วยเสียงขาดห้วง พูดเรื่องของตัวเองอีกสองสามคำก่อนจะตัดสินใจลากัน และสัญญาว่าจะทักกันในวันพรุ่งนี้


“โอเคไหม” 


“อืม”


วางสายเสร็จหันมาก็เจอโนบิตะยิ้มให้ มันอยู่กับผมตั้งแต่ต้นสาย รู้ว่าผมเป็นอย่างไรบ้างแต่ก็ยังยิ้มให้ ต้องขอบใจมันมากที่อยู่ด้วยกันในวันที่อ่อนแออย่างนี้ ช่วงนี้มันปรับเปลี่ยนตัวเองหลายอย่างกระทั่งเวลาที่จะกลับบ้าน มาอยู่กับผมให้มากขึ้นเพราะช่วงก่อนผมเจอมรสุมเรื่องไอ้ชานและทำท่าเหมือนกับว่าจะเฟลอยู่ตลอดเวลา


“กู...ขอบใจมึงมากนะ ขอบใจว่ะ” ไม่รู้ว่าถ้าเป็นคนอื่นจะเข้าใจในสิ่งที่เราขอบคุณกันไหม แต่สำหรับผมกับโนบิตะ เรารู้กันอยู่ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ได้ยินอย่างนั้นมันก็สิ่งยิ้มมาให้ ถอดแว่นออกแล้วลูบหลังผมเบา ๆ


“ไม่เป็นไร...ตาบวมหมดแล้ว ไปล้างหน้าล้างตาแล้วพักก่อนไหม ค่อยตื่นมาทำรูปเล่มตอนดึก ๆ ก็ได้ เดี๋ยวผมปลุกเอง”


มันถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ส่วนผมที่ล้ามาทั้งวัน แถมยังตาล้าเพราะเพิ่งร้องไห้ไปก็ไม่รู้จะปฏิเสธอะไร ได้แต่แหวกกองหนังสือออกแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะญี่ปุ่นมองหน้ามันที่ส่งยิ้มมาให้


“จะนอนตรงนี้เหรอ”


“อืม..”


“มันจะไม่สบายตัวนะ” 


“ไม่เป็นไร....ขอบคุณมึงมาก”


ไม่รู้ตัวแล้วว่ากำลังพูดอะไรออกไป แต่ในใจนี่เหมือนยกภูเขาออกจากอก พอรู้ว่าไอ้ชานโอเคขึ้นกับความรู้สึกพวกนั้นตาผมก็เหมือนกับจะปิดได้ทันที ช่วงก่อนผมนอนแทบไม่หลับเลย รู้สึกไม่เป็นตัวเองทุกครั้งไม่ว่าจะทำอะไร...แต่ตอนนี้เคลียร์แล้ว...ได้มีโอกาสพูดเคลียร์กันแล้วเสียงโนบิตะถึงได้ฟังดูห่างไกลออกไป...ไกลออกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย 


ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ ตื่นมาอีกทีก็รู้สึกได้ถึงแรงมือที่กอดเอวผมเอาไว้ ได้ยินเสียงนกร้องที่นอกหน้าต่างก็ตกใจ ถึงกับทะลึ่งตัวขึ้นมานั่งแทบจะในทันที... ก้มลงมองก็เห็นเก้ากอดเอวผมเอาไว้อย่างนั้นโดยที่หัวไม่ได้อยู่บนหมอน มองไปทั่วห้องก็รู้สึกฉิบหายเพราะยังทำรายงานไม่เสร็จทั้งที่ตอนนี้ตะวันโด่งแล้ว


“เก้า เก้าตื่น...ทำไมมึงไม่ปลุกกู”


คนที่นอนอยู่ถึงกับปรือตาขึ้นมามองเมื่อเจอผมเขย่าเข้าให้อย่างแรง ไอ้เก้าเอื้อมมือมารั้งท้ายทอยผมให้ล้มตัวลงมานอนต่อ ก่อนจะกอดผมเอาไว้แล้วใช้คางเกยไหล่ซุกกับหน้าอกผมจนจมไปทั้งหน้า


“ตื่นมึง...ตื่นนนนน รายงานกูยังไม่เสร็จ ไอ้เหี้ย ตื่น”


“อะไร....อืม...เสร็จแล้ว อยู่บนโต๊ะโน่น”


ผมขมวดคิ้ว “อะไรเสร็จ”


“ก็รายงานคุณไง....เสร็จแล้ว อยู่บนโต๊ะโน่น” 


ด้วยความตกใจก็รีบทะลึ่งตัวขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้ไม่ได้กวาดสายตาไปรอบห้องอย่างสะเปะสะปะเหมือนเคย แต่จงใจหยุดสายตาไปที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเมื่อคืนที่ว่างโล่งไม่มีโน้ตบุ๊ค ไม่มีหนังสือวางกองเอาไว้อย่างที่ควรจะเป็น...


มีแต่รายงานสองเล่มที่วางทับกันเอาไว้เป็นมุมทแยง 


“มึง...ทำให้กูเหรอ” ผมกระพริบตาปริบแล้วเขย่าไอ้เก้าให้ตื่นขึ้นมาตอบอีกรอบ ด้านคนขี้เซาเมื่อถูกเขย่ามาก ๆ ก็ลืมตาขึ้นมาทั้งตาหยี ๆ


“ใช่” มันหาววอด “ผมไม่อยากปลุก อีกอย่าง คุณกำลังเศร้า คงไม่มีกะใจจะทำหรอก”


“มึงก็เลยทำให้กู?” ผมถามซ้ำ


“ใช่...เพราะผมรู้สึกขอบคุณที่คุณเลือกผมจนตัวเองต้องผิดใจกับชาน...บอกตรง ๆ ว่าทีแรกผมไม่คิดว่าคุณจะเลือกอย่างนี้ แต่เพราะคุณเลือกแล้วผมถึงต้องรับผิดชอบจนกว่าคุณจะหายดีเหมือนกัน”


“...” ผมมองหน้ามันนิ่ง


“ขอบคุณนะ...” เก้าพูดออกมายิ้ม ๆ ก่อนจะปิดเปลือกตาไปอีกครั้งเพราะถ้าให้เดากว่าจะทำเสร็จแม่งคงนั่งถึงเช้า... ได้ยินมันพูดขอบคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะนอนนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้นจนมันหลับสนิท พอได้ยินเสียงลมหายใจระบายออกมาสม่ำเสมอ ผมก็ลุกขึ้นไปดูรายงานที่มันทำทิ้งไว้ให้ทันที...


ในใจตอนนี้แม่งมีแต่คำว่าขอบคุณ... แม่งโคตรขอบคุณ รู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมากหลังจากได้คุยได้เคลียร์กับชานไป แล้วตื่นขึ้นมาเจอรายงานตัวเองเสร็จโดยที่มีแฟนทำให้ ฮ่าฮ่าฮ่า...


“ขอบคุณเหมือนกัน” ผมเดินกลับไปแอบจูบหน้าผากมัน แล้ววางรายงานไว้บนหัวเตียง ก่อนจะเข้าไปในโซนครัว ตั้งใจจะทำอะไรร้อน ๆ ให้มันกินก่อนจะออกไปส่งรูปเล่มในวันนี้...


เมื่อกี้มันอะไร เก้ามันขอบคุณที่ผมเลือกมันใช่ไหม? ซึ่ง ถ้ามันจะขอบคุณผมคนเดียวก็คงไม่ใช่ ผมไม่ได้ใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงในการคิดแล้วระลึกได้เลย เพียงแต่ย้อนกลับมามองมันแล้วทำให้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างในตัวคน ๆ นี้ คนที่ผมกำลังจะฝากชีวิตอีกไว้อีกครึ่ง คนที่พยายามทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี คนที่กระตุ้นให้ผมอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของมันได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ


ถ้าใครบอกว่าการจะชอบคน ๆ หนึ่งโดยใจบริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เขาหันมาสนใจนั่นผมคิดว่ามันไม่ค่อยถูกเท่าไหร่นะ การยอมเปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อให้เราเข้ากันได้และรักษามันไว้ให้นานที่สุดต่างหากที่ถูกต้อง แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วยังไม่มีอะไรดีขึ้นก็ถือว่าเราไปกันไม่ได้จริง ๆ เพียงแต่ว่าเปลี่ยนแล้วทั้งคู่ก็หวังจะเห็นอะไรงอกเงยออกมามากกว่าคำว่าชอบ...


ซึ่งต้นเล็ก ๆ นั่นอาจหมายความถึงการ ‘อยู่ด้วยกันได้’ หรือคำประเภทอื่นเช่น ‘ตลอดการ , ตลอดไป’ เหมือนในละครตอนจบที่งดงามด้วยคำว่า ‘อวสาน’ บนฉากหวาน ๆ ที่ทะเลแห่งหนึ่งในประเทศบางประเทศ


สำหรับบางคนผมก็ไม่รู้ว่าระบบความคิดเหล่านี้มันดูมีน้ำหนักบ้างไหม แต่สำหรับโนบิตะของผมที่กลัวการรักใครสักคน ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นยาดี ที่ทำให้มันมั่นใจว่าผมพร้อมจะอยู่กับมัน จะศึกษามันไม่ว่าจะมีอะไร หรือมีสิ่งไหนร้ายแรง ในเมื่อเราตกลงว่าจะคบกันแล้ว พวกเราก็แค่ต้องทำมันให้ดีที่สุดก็เท่านั้นเอง 


และนี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าจะทำมันให้ดีที่สุด
ถึงจะดูมือใหม่...แต่ก็จริงใจนะ

เอาใจช่วยด้วยล่ะ...
เพราะผมกับมันจะปลูกต้นนั้นด้วยกัน ‘ตลอดไป’ (เท่าที่จะทำได้นะ)



THE END


_____________________________________________________


ขออนุญาตให้ชื่อแท็กว่า #โนบิโนบิ แล้วกันค่า
เอาไว้ติดตาม พูดคุยย้อนหลัง ติชมไดน้า


โอ้ย จบแล้วเด้อ แต่มีสเป ของเสป สเป ๆๆๆ ต่ออีก 55555555555555
แต่สรุปว่าลงจบแล้ว ตอนแรกจะยังไม่ลง คิดไปคิดมาลงดีกว่า

เดี๋ยวค่อยมาลงสเปอาทิตย์หน้านะคะ ขอตัวไปเขียนเรื่องอื่นก่องงง 


แวะมาพูดคุย ติดต่อได้ที่

Twitter (https://twitter.com/viridianxx)

ไม่ค่อยเล่นทวิต แต่จะพยายามเข้ามาดูบ่อยๆจ้า 
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 26 (07/07/18) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: MoPPeT ที่ 07-07-2018 12:12:48
สนุกมากกกกกกกกกกกกกค่ะ อ่านรวดเดียสจบเลย รอสเปนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 26 (07/07/18) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: pradoza ที่ 07-07-2018 22:30:01
 แอบหวัง อยากให้ชานกลับเก้าได้คุยกันเปิดใจ พิกคงรู้สึกดีกว่านี้ ได้ขอโทษกันได้หัวเราะกัน ได้เป็นเพื่อน รู้แหละว่าไม่ได้โกรธแล้วก็มีผลมากมายเหมือนพิกกะชานแต่ถ้าได้คงดี ชอบตรงที่ไม่ได้เน้นไปเรื่องใดเรื่องนึงมีครบทุกอย่าง เพื่อน แฟน หน่วง อึดอัด และอยากด่าพระเอก นี่แหละ ถูกต้องแล้ว 555555 ชอบสุดๆไปเลย จะตามอ่านไปเรื่อยๆนะคะ รออ่านผลงานอื่นๆอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอน 26 (07/07/18) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 08-07-2018 15:19:03
SP : when

NOBITA’s PART

 

ช่วงนั้นของเดือนเป็นช่วงที่หนักที่สุดนับตั้งแต่เปิดร้านมา


ตอนนั้นหลายอย่างประดังประเดเข้ามาในชีวิตผมพร้อม ๆ กันอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นภาระที่ต้องจัดการเรื่องเงินเดือนของลูกน้อง หรือแม้แต่ต้องรองรับลูกค้าคนสำคัญ เช่นคนมีตำแหน่งในทางราชการบางคนกับเหล่าบริวารทั้งหลายที่จองโต๊ะเข้ามาเพื่อนัดประชุมคุยกันงานวันเว้นวัน นอกจากจะต้องดูแลสต๊อกของในร้านและจัดการส่วนอื่นแล้ว ผมยังต้องปลีกตัวออกมาจากกองเอกสาร เพื่อเข้าไปร่วมนั่งดูแลความเรียบร้อยให้กับแขกเหล่านั้นอีกด้วย


แต่นั่นไม่หนักใจเท่ากับเรื่องของพิก...


หลังจากคุยกับพี่เกื้อมา ผมก็คิดแล้วว่าควรจะทำอะไรให้มันเป็นชิ้นเป็นอัน เช่นเข้าไปคุยกับเขาให้รู้เรื่องก่อนที่ความรู้สึกของเราทั้งคู่จะบานปลายลงรากเป็นเรื่องอื่น ผมยอมรับว่านอนหลับไม่สนิทอยู่หลายคืน ไม่ว่าจะด้วยพิษไข้ หรือพิษเครียด อะไรก็ตามแต่ล้วนทำให้ผมพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่มันก็ยังไม่เท่ากับเรื่องของพิกที่คาอยู่ในใจ


มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมอึดอัดจนไปต่อไม่ได้ ยิ่งรู้ว่าเขาเห็นอะไรที่ห้องของผม ผมก็ยิ่งเครียด ไม่ใช่ว่ากลัวเขาเข้าใจผิด เพราะสิ่งที่เขาเข้าใจมันก็ถูกต้องดีแล้ว แต่ที่กลัวคือเขาอาจไม่ยอมฟังอะไรเลย แม้แต่คำแก้ตัวของผม แล้วมันจะยิ่งแย่ลงไปใหญ่ ถ้าหากเขาเปลี่ยนใจไปหาคนอื่นแทนอย่างที่ผมต้องการในตอนแรก...


จะผิดไหมถ้าตอนนี้ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้นแล้ว


มันอาจดูกลับไปกลับมาแต่สำหรับตอนนั้น สิ่งที่ผมเห็นคือพิกกำลังจะเดินออกไปจากห้องเรียนพร้อมชาน ผมนึกโทษตัวเองที่ขี้ขลาด ไม่กล้าพอที่จะเรียกรั้งเขาเอาไว้เพียงด้วยกลัวจะถูกปฏิเสธเพราะตัวเองก็มีชนักติดหลังอยู่ ทั้งที่ควรจะพาเขาออกไป ลากออกไปแล้วกล่าวขอโทษเขา พูดดี ๆ กับเขา แล้วจบความรู้สึกนี้ด้วยการบอกว่า ‘ชอบเหมือนกัน’


แต่ทำไม่ได้...


นั่นเพราะผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพิกส่งไลน์มาหา ถ้าหากรู้ตัวเร็วกว่านั้นสักนิด ผมอาจเดินไปกระชากแขนของเขาให้หลุดออกจากการเกาะกุมของชาน อาจจะประกาศให้ทุกคนรู้ตรงนั้นว่าพิกเป็นของผม


นั่นล่ะ....มันถึงทำให้ผมคิดว่า...ที่จริงแล้ว ตัวเองมันทิฐิสูงแค่ไหน






“มาแต่หัววันเลยนะครับ นี่เพิ่งจะบ่ายสามโมงเอง คุณเก้าเลิกไวเหรอครับ” 


จำได้ว่ารู้ตัวอีกทีผมก็เงยหน้าขึ้นไปพยักหน้าให้กับเจ้าของเสียงที่คุ้นเคย เป็นพี่เกื้ออีกแล้วที่เอ่ยทักผมในเวลาอย่างนี้


หลังจากกลับมาจากมหาลัย ผมก็บึ่งรถมาที่ร้านทันที แน่นอนว่าผมปิดโทรศัพท์มือถือเพราะไม่ต้องการให้ใครติดต่อได้ เช่น แม่ที่มักจะโทรมาเงียบใส่ในช่วงเย็นของทุกวัน ผมไม่ต้องการคุยกับใคร เพราะยังไม่มีอารมณ์อยากจะพูดอะไรกับใครทั้งสิ้น ไม่ได้อยากเปิดไลน์เช็คดู ว่าเฮียส่งสติ๊กเกอร์อะไรมาเพื่อแทนคำขอโทษที่ทำให้เรื่องทุกอย่างวุ่นวาย ไม่ได้อยากเห็น...ว่าข้อความสุดท้ายที่ตัวเองส่งไปหาพิกในวันนั้นคืออะไร


ถ้าจะบอกว่านี่เป็นอารมณ์เฉื่อย ผมคงเป็นเหมือนคนหมดสภาพที่เอาแต่บ้างานเพื่อทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง 


“ครับ” ผมตอบรับเสียงเบาขณะที่พี่เกื้อเลื่อนแก้วกาแฟควันฉุยมาให้ น้ำสีดำในแก้วนั้นกระเพื่อมไปมาทั้งที่ตัวแก้วหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า คล้ายกับว่ามันกำลังเยาะเย้ยผม ที่แม้แต่จะสงบใจให้เย็นลงยังทำไม่ได้


“ยังไม่ได้เคลียร์ตัวเองอีกเหรอครับ”


“ครับ...ทำอะไรไม่ได้ ถึงเข้ามาเคลียร์งานให้เสร็จ ๆ ไปดีกว่า” ผมหลับตาลง แล้วพิงหลังเอนกับพนักด้านหลัง ยกมือขึ้นนวดขมับเบา ๆ ก่อนจะลืมตาแล้วยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ “พี่เกื้อมีอะไรจะให้ผมเซ็นต์อีกไหม” 


“อ๋อ...ไม่มีครับ แต่คุณแม่คุณเก้าฝากบอกมาว่าให้เปิดโทรศัพท์หน่อยครับ ท่านมีธุระอยากคุยด้วย”


ผมถอนหายใจแล้วพยักหน้ารับอย่างเหนื่อยอ่อน ซึ่งคนสนิทของผมก็ดูจะจับอารมณ์นั้นได้ พี่เกื้อถึงทำเพียงแค่ก้มโค้งแล้วก้าวถอยออกไป ก่อนจะปิดประตูให้อย่างเงียบเชียบ ผมนั่งจิบกาแฟ มองโทรศัพท์มือถือที่ปิดตายอยู่บนโต๊ะอย่างชั่งใจพักหนึ่ง ก่อนจะวางแก้วมัคลง แล้วเลื่อนมือไปวางบนหน้าจอก่อนจะกดปุ่มเปิดมันแทน


หน้าจอพื้นหลังที่สว่างวาบเมื่อสมาร์ทโฟนโหลดโปรแกรมจนครบไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาแม้แต่น้อย มันกลับทำให้ผมเฉื่อยชาเมื่อเห็นสายเรียกเข้ามาแทบจะในทันทีของคนที่รู้ว่าเป็นใคร ผมได้แต่ถอนหายใจ แล้วกดรับสาย ก่อนจะเลื่อนนิ้วไปกดเปิดลำโพง แล้วเปิดดูแอพฯอื่นในโทรศัพท์ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ


[“เป็นยังไงบ้างลูก...กลับบ้านบ้างสิ เก้า”]


“...”


[“รู้ไหมว่าพ่อพาใครเข้ามาอีกแล้ว แม่แทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว อยากให้ลูกกลับมาที่บ้าน พวกมันจะเอาของ ๆ ลูกไปหมดนะ”]


“...”


[“หึ หมู่นี้พ่อก็ไม่เข้าร้านใช่ไหมล่ะ เกื้อบอกแม่ว่าลูกต้องรับรองแขกอยู่คนเดียว ที่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ก็เพราะความไม่รู้จักพอของเขานั่นแหละ...กลับบ้านมาเถอะนะลูก แม่เหงา ไม่อยากอยู่คนเดียว”]


“ครับ”


ผมครางรับไปคำเดียว ก่อนจะเลื่อนหน้าจอดูไปเรื่อย กดเข้ากดออกโปรแกรมโน้นโปรแกรมนี้เพราะเบื่อกับคำพูดเดิม ๆ ของแม่...อันที่จริงผมก็พอรู้ว่าที่แม่ต้องการให้ผมกลับไปอยู่บ้านมันด้วยสาเหตุอะไร แต่ก็เพราะเหตุผลนั้นนั่นล่ะที่ทำให้ผมไม่อยากกลับไปเพราะอึดอัดจนแทบจะเป็นบ้า


บ้านที่ไม่ใช่บ้านใครจะอยากอยู่ ถึงจะมีคนเอาอกเอาใจสารพัด แต่ที่ผมต้องการก็แค่ ‘คน’ ที่จะมาเป็น ‘บ้าน’ ให้ผมเท่านั้น... ซึ่งตอนนี้ผมเจอคน ๆ นั้นแล้ว...แต่ก็ยังไม่มีความกล้าพอจะไปคุยให้จบเรื่อง ไม่กล้าพอที่จะแยกเขาออกมาจากเพื่อนซึ่งเป็นทุกสิ่งที่อย่างของเขา


เพื่อน...คนที่แค่มองก็รู้อยู่แล้ว ว่าไม่ได้คิดกับเขาแค่เพื่อน


[“แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ แม่จะได้ให้คนเตรียมกับข้าวที่ลูกชอบเอาไว้”]


น้ำเสียงของแม่ฟังดูดีใจเมื่อได้ยินผมตอบรับในสิ่งที่ต้องการมานาน เกือบสามเดือนแล้วที่ผมไม่กลับไปเหยียบบ้านเลยหลังจากมีปากเสียงกับแม่คราวก่อน ในสายตาคนอื่นผมอาจเป็นลูกที่ไม่ดีนัก แต่ในความคิดผม หากเราอยู่ด้วยกัน ตัวติดกันไปตลอด ผมก็ไม่อาจทำหน้าที่ที่พ่อมอบหมายได้สำเร็จเช่นกัน


ผมเงียบ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หากนั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่มือไปเผลอแตะโดนแอพฯไลน์จนมันเด้งขึ้นมา และตอนนั้นเองที่ข้อความของพิกปรากฏสู่สายตา นั่นทำให้ผมแทบจะลืมทุกสิ่งที่คิดไปเสียหมด เสียงพูดของแม่ที่ยังเร่งเร้าไม่ได้เข้าหูเลยในนาทีนี้ ผมได้แต่กวาดสายตาอ่านข้อความเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมา แล้วสบถด่าตัวเองในใจว่าโง่เป็นบ้า...ทำไมไม่รู้จักเห็นตั้งแต่ก่อนหน้าที่เขาจะไปกับชาน !


13 : 04 กูขอลาออกนะ
13 : 04 เราอย่าเจอกันสักพักเลย
13 : 05  ขอโทษที่เคยเซ้าซี้ แต่ตอนนี้กูเจอกับมึงไม่ไหวจริง ๆ
                                                                 
                                                                 ไม่อนุญาต  15 : 01



ผมรีบพิมพ์กลับไปแล้วกดปิดโปรแกรมทันที


“แม่ครับ ผมไม่ว่างแล้ว ไว้ค่อยคุยกันอีกทีนะครับ”


นับเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือนก็ว่าได้ที่ผมกรอกเสียงใส่สายของแม่ยืดยาวกว่าทุกครั้ง หลังจากที่ กดวางสายของแม่ ผมก็กวาดข้าวของบนโต๊ะทำงานเก็บลงเก๊ะ แล้วรีบถลาตัวออกจากห้องทำงาน เดินสวนพี่เกื้อออกจากร้านโดยไม่สนใจเสียงตะโกนถามไล่หลังใด ๆ ทั้งสิ้น


ขึ้นมาบนรถได้ผมก็เหยียบคันเร่งแทบมิด มันยังเร็วไม่พอกับใจผมที่มาถึงบ้านพิกก่อนแล้ว แต่เมื่อมาถึงก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะตัวบ้านเงียบเชียบ ปิดสนิทคล้ายกับจะบอกว่าเวลานี้ไม่มีใครอยู่ แน่นอนว่าผมติดเครื่องนั่งรออยู่พักใหญ่ จนสุดท้ายพี่เกื้อโทรเข้ามาให้รีบเข้าร้านไปเตรียมรับรองแขกผมถึงได้ถอดใจ...


แต่ค่ำวันนั้นผมแทบไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเลย


ดูเหมือนพิษไข้ที่เล่นงานผมมาหลายวันจะตื่นตัวมากเป็นพิเศษในวันนี้ มันทำให้ผมมีอาการวิงเวียน ประกอบกับปวดเมื่อยตามเนื้อตัว รวมไปถึงปวดหัวเป็นระยะเมื่อนึกถึงข้อความในไลน์ที่พิกส่งมา


ผมนับสต๊อกผิด ๆ ถูก ต้องเช็คเวลางาน หรี่ตานับเงินอยู่หลายรอบจนมันกลายเป็นจำนวนเดียวกัน ดูน่าสมเพชเสียจนพี่เกื้อทนดูไม่ได้ ต้องไล่ให้ผมรีบกลับไปพักผ่อนทั้งที่ทุกอย่างยังไม่เสร็จ แต่ล่วงเวลามาเกือบจะเช้าอีกวันอยู่แล้ว สุดท้ายผมก็ตัดสินใจยกหน้าที่ให้พี่เกื้อดูแลต่อ เพราะนอกจากสภาพร่างกายจะไม่ไหวแล้ว จิตใจผมยังไม่อยู่กับร่องกับรอยอีกต่างหาก นั่นทำให้ผมตัดใจบึ่งรถไปหาพิกอีกครั้ง ทั้งที่สังขารแทบจะไม่ไหวแล้วก็ตาม


ผมอยากคุยกับเขา อย่างน้อยก็แค่คุยกันให้รู้เรื่อง


ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ในการขับรถมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านเขา ผมนั่งมองขึ้นไปบนห้องที่ยังเปิดไฟอยู่ เห็นเงาคนเดินไปเดินมาผ่านหน้าต่างก็คิดว่าเขาคงยังไม่นอน ถึงได้ตัดสินใจเหยียบคันเร่งแล้วหักพวงมาลัยมาจอดให้ชิดหน้าบ้านยิ่งกว่าเดิม ผมซบหัวกับพวกมาลัยรถ มองโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ ก่อนจะกดหาเขา นิ่งฟังสัญญาณเรียกเข้าอยู่นานจนมันตัดไปเป็นรอบที่สี่ ถึงได้ชันตัวขึ้นมาแล้วกระแทกมือลงไปบนแตรอย่างแรง


จะเรียกว่าได้ผลไหม... ก็ใช่ แลกกับการที่พิกเดินออกมาจากบ้านด้วยหน้าตาบูดเบี้ยว เขามองผมอย่างกับจะฆ่าแกงกันเสียให้ตายตกไปตรงนี้ แต่อย่างน้อย ๆ ก็ดีกว่าเฉยชาอย่างไม่ยอมรับโทรศัพท์กันในทีแรก ไม่ลงมาทำอะไรเลยทั้งที่ผมแทบจะตายต่อหน้าเขาอยู่แล้ว


 “มาทำไม”


 “เปิดประตู”


“ไม่ให้เข้า”


ผมเห็นเขาแอบเลียริมฝีปากตัวเองก่อนจะเม้มมันเป็นเส้นตรง แต่ผมไม่สนหรอก สิ่งที่ผมต้องการคืออยากจะคุยกับเขาให้รู้เรื่องไปเลยวันนี้ ทุก ๆ อย่างจะได้ดีขึ้นสักที ผมไม่อยากรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าแบบนี้อีกแล้ว


 “บอกให้เปิด”


 “ไม่”


 “ได้ ไม่เปิดใช่ไหม”


ผมไม่สนแล้วว่าเขาจะแง่งอนอะไรอีก เพราะตอนนี้ผมอยากกอดเขาเอาไว้ แล้วขอโทษกับทุกอย่างที่ทำลงไป เราเถียงกันอยู่พักใหญ่จนผมตัดสินใจปีนประตู แน่นอนว่าสีหน้าของพิกดูตกใจมาก เขาคงไม่คิดว่าคนอย่างผมจะกล้าลงมือทำอะไรบ้าบิ่นขนาดนี้ทั้งที่ปกติผมมีฟอร์มกับเขาตลอด


 “เฮ้ย อะไรของมึงวะ หยุดนะ ห้ามปีน!!!”


 “ทำไม ผมจะปีน...ก็คุณไม่ยอมให้ผมเข้าบ้าน” ผมสวนไปทั้งตาพร่ามัว ตอนนี้นี้พิษไข้เล่นงานผมอย่างหนัก ต้องรีบถึงพื้นให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นหงายหลังแน่


 “โอย ฉิบหาย ปวดหัว ช่างแม่งแล้ว มึงปีนมาขนาดนี้จะลงก็รีบลงมาเลย ก่อนที่แม่กูจะเปิดหน้าต่างออกมาด่า” ในที่สุดพิกก็ต้องเป็นฝ่ายยอมอย่างเสียไม่ได้ เห็นเขาหันรีหันขวางท่าทางจะกลัวคุณแม่ออกมาเห็นจริง ๆ ผมจึงรีบปีนข้ามไป แต่ในจังหวะที่ขากำลังจะเหยียบตาข่ายเพื่อดันตัวออกจากรั้วนั่นเอง...


 “โอ้ย!! เชี่ยเอ้ย ทำอะไรของมึงเนี่ย”


พิกสบถเสียงดังเมื่อทั้งตัวของผมโถมลงไปใส่จนตัวเขาล้มลงกระแทกพื้นด้วย ได้กลิ่นแชมพูของเขาที่โชยมาพร้อมกับลมแล้วก็ยิ่งคิดถึง พอได้มองใกล้ ๆ แล้วก็ยิ่งสังเกตได้ถึงดวงตาบวมช้ำไม่ต่างจากขาลับมาจากเกาะเลยด้วยซ้ำ


ทั้งหมดนั่น เพราะผมเอง...


 “ขอโทษ”


อยากจะเอื้อมมือไปแตะแก้มเขา อยากจะกล่าวขอโทษมากว่านี้แต่ก็ปากหนักเกินไป จนเขาเบือนหน้าหนีผมที่พยายามเข้าไปใกล้นั่นแหละ ถึงได้รู้สึกตัวว่าเข้าหามากเกินกว่าความจำเป็น


 “เข้าบ้าน” 


พิกพูดเพียงเท่านั้นแล้วชันตัวขึ้น เขาลุกจากพื้นแล้วสาวเท้าไปเปิดประตูค้างไว้ มองผมอย่างตัดพ้อ ก่อนจะเดินนำขึ้นไปยังห้องนอนของเขา...







ซึ่งก็คือห้องนี้ ในเวลานี้นั่นล่ะ


 “เหี้ยเอ้ย ไม่ไหวแล้วนะ ไม่เอาแล้ว กูเหนื่อย ไม่ทำแล้ว เหนื่อย!!!”


นึกย้อนยังไม่ทันจบ เสียงของพิกก็ดังขึ้นขัดจังหวะจนภาพทั้งหมดเลือนหายไป ใช้เท้าปิดประตูเสร็จ มองไปก็เห็นเขาลงไปนอนชักดิ้นชักง้ออยู่กับพื้น บนโต๊ะญี่ปุ่นสีน้ำตาลที่เราซื้อคู่กัน (มีที่บ้านเขาอันหนึ่ง ที่ห้องผมอันหนึ่ง) เต็มไปด้วยกองหนังสือสำหรับทำทีสิส รวมไปถึงเศษถุงขนม และ ขวดน้ำที่เกลื่อนกลาดอีกมากมายจนใกล้คำว่ากองขยะเข้าไปทุกที 


 “อดทนหน่อย เดี๋ยวก็เสร็จแล้วนี่”


ผมยกแก้วมัคควันฉุยสองแก้วเดินไปทรุดตัวนั่งข้าง ๆ แล้วพยักเพยิดไปทางหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่เปิดเวิร์ดทิ้งเอาไว้ ตอนนี้พิกอยู่ในชุดนอนลายหมี จะว่าอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอนก็คงไม่ใช่ เพราะที่จริงเขาอยู่ในสภาพนี้มาตั้งแต่เช้าตรู่ของเมื่อสองวันก่อน ตอนที่ผมบึ่งรถมาหาเพราะเขาบ่นว่าทำหัวข้อต่อไปไม่ได้ หัวตันไปหมดและต้องการกำลังเสริม


 “ไม่เอาแล้ว กูจะเท กูจะทิ้งแล้ว ไม่ไหว กูเหนื่อย ปีหน้าก็ปีหน้าสิ”


เขางอแงทั้งที่มือก็รับแก้วกาแฟจากผมไปด้วย ไม่คิดว่าหายลงไปชงกาแฟข้างล่างให้แป๊บเดียวกลับมาจะต้องเจอเขาอยู่ในสภาพท้อแท้ขนาดนี้


 “ไหนบอกว่าจะจบพร้อมกันไงครับ”


เห็นเขานอยด์ผมก็ทำได้แค่พูดปลอบ อันที่จริงจะว่าเขาก็ได้ที่ไม่ยอมรีบทำหัวข้อให้เสร็จแต่แรก ปล่อยให้มันเลยเถิดมาจนแทบจะเกินเวลาอย่างนี้ แต่ว่าไปก็เท่านั้นแหละ ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งหมดกำลังใจ ทำอะไรไม่ได้กันพอดี


 “ไม่เอาแล้ว เหนื่อย ไม่อยากทำแล้ว...มึงจบไปก่อนนะ นะ กูไม่ไหวแล้ว กูง่วง ไม่อยากทำแล้ว”


พิกพูดพร้อมกับใช้มือเขี่ยกองหน้าหนังสือออกแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ไหว จนหลัง ๆ ผมเริ่มไม่ทำงาน หรือ การบ้านอะไรต่อให้อีกเพราะต้องการดัดนิสัย นั่นทำให้พิกกระตือรือร้นขึ้นมาอีกหน่อย แต่ก็ไม่ใช่กับวันนี้


ทั้งที่สัญญากันไว้แล้วแท้ ๆ.... ทั้งที่สำคัญขนาดนั้น


แต่ผมก็รู้อยู่หรอกว่าเขาไม่ไหวจริงๆ ... เพียงแต่ว่าผลงานจบตัวนี้ เขาควรได้ทำเองจนสุดความสามารถสิ


 “ลุกขึ้นมาก่อน ไปล้างหน้าล้างตาแล้วมาทำอีกนิด ถ้าไม่ไหวแล้วค่อยนอน” ผมก้มหน้าลงไปกระซิบข้างหู ยื่นมือไปเขย่าเบา ๆ แขนเขาก็ตกลงมาจากโต๊ะอย่างง่ายดาย


พิกหลับไปแล้ว หลับสนิททั้งที่อยู่ในสภาพนั้น...


 “เฮ้อ” 


สุดท้ายก็ต้องระบายลมหายใจออกมาเพราะพิกหลับไปทั้งที่เมื่อครู่ยังคุยกันอยู่เลยด้วยซ้ำ ท่าทางจะหลับสนิทจริง ๆ เพราะไม่ว่าจะโดนผมงับหู นวดท้ายทอย หอมแก้มไปกี่ครั้งเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเห็นหน้าเขาตอนหลับแล้วก็ยิ่งหมั่นไส้จนต้องก้มลงไปแอบฟัดแก้มเนียนนั่นอีกรอบ ก่อนจะผละออกมามองเข็มนาฬิกาที่ยังเดินต่อเรื่อย ๆ  พร้อมกับกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้องอย่างชั่งใจ


นับตั้งแต่วันที่ผมเคลียร์กันในห้องนอนของพิกตอนนั้น มาจนถึงตอนนี้ก็เกือบ 2 ปีแล้ว เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายของการเรียนในมหาลัย พูดไปก็ตลกดี ไม่นึกว่า ‘บ้าน’ ของผมหลังนี้จะทั้งงี่เง่าและงอแงขนาดได้นี้ แต่ถ้าถามว่ามีความสุขไหม ก็สุขดีแหละครับ อย่างน้อย ๆ ก็รู้ว่าควรจะรับมือยังไง ทั้งกับพิก แล้วก็กับแม่แท้ ๆ ที่คลอดผมมา


ตั้งแต่คบกับพิกผมก็เริ่มเข้าหาแม่มากขึ้น อันที่จริงความสัมพันธ์ของเราดีขึ้นหน่อยหลังจากพาเขาไปเปิดตัวตอนที่จะพาแม่ไปพบคุณหมอเจ้าของไข้ซึ่งเป็นจิตแพทย์ที่ดูแลแม่ผมมาแล้วระยะหนึ่ง... แม่ของผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องที่มีแฟนเป็นผู้ชายเพราะเขาไม่ชอบผู้หญิงหน้าไหนนอกจากตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าทุกอย่างราบรื่นไปอย่างงง ๆ แถมเขายังเปรย ๆ ว่าดีอีกที่ผมไม่ได้มีแฟนเป็นผู้หญิง เขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าถูกผู้หญิงคนไหนแย่งสมบัติของตัวเองไปอีก ทั้งที่ถ้าเป็นแม่คนอื่นคงรับไม่ได้แล้ว


แต่ก็นั่นแหละครับ ที่ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ยังดีที่แม่ผมรับเรื่องนี้ได้ เพราะกับพิกสำหรับเรื่องนี้เรายังเปิดเผยกับครอบครัวเขาไม่ได้ นั่นจึงทำให้เราทั้งคู่ต้องคุยกันว่าหากจะตกลงมาอยู่ด้วยกันข้างนอก พิกกับผมควรจบพร้อมกันเพื่อมีข้ออ้างว่าจะได้ไปทำงานสะดวกขึ้น ซึ่งตอนนี้พิกก็ดูจะท้ออยู่มาก เพราะหัวข้อที่เขาทำมันยาก และไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงง่าย ๆ


แต่ผมไม่อยากให้เขาถอดใจง่าย ๆ อย่างนั้น... เพราะไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่มีความหวังว่าจะได้อยู่ด้วยกัน สำหรับตัวผมก็วาดฝันเอาไว้แล้ว ไกลเสียด้วยอนาคตที่มีพิกน่ะ...ไหนจะเรื่องร้าน เรื่องบ้าน แต่ที่ไม่พูดอะไรออกไปสักอย่างก็เพราะไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกกดดันมากเกินกว่านี้


ถ้าเขารู้ว่าผมเตรียมตัวจะทำร้าน จะซื้อบ้านที่มีชื่อเขาอยู่ด้วยจะทำหน้ายังไงนะ เพราะเขาชอบบ่นอยู่บ่อย ๆ ว่าผมมันเอาแต่ใจ ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง อารมณ์ร้อน แถมยังดูเหมือนจะไม่ได้รักเขาจริงอีกต่างหาก …ถ้าเขารู้เรื่องนี้ขึ้นมาคงตกใจมาก ตาคงโตเท่าไข่ห่าน แค่คิดก็รู้สึกแล้วว่าต้องตลกปนน่ารักมากแน่ ๆ


ดังนั้นผมถึงไม่สามารถปล่อยให้เขาจบทีหลังผมได้ คุณเข้าใจใช่ไหมครับว่าผมคาดหวังอะไรอยู่?  มันอาจดูเพ้อฝันนะ แต่ผมปล่อยให้เวลาของเราไม่ตรงกันไม่ได้จริง ๆ ผมจำเป็นต้องมีเขา จำเป็นต้องมีเรา จำเป็นต้องมีบ้านของผมในอนาคตกับทุก ๆ สิ่งที่ผมกำลังจะสร้าง 


เพราะงั้นอย่าว่าผมเลยนะ หากวันนี้ผมจะลงมือทำงานให้เขาอีกรอบ พิกอาจกลายเป็นคนนิสัยเสียไปอีกวัน ผมอาจดูเป็นคนเอาแต่ใจอีกสักครั้ง แต่แค่หนนี้ ที่จะทำให้ทุกอย่างที่ผมวาดหวังไว้เป็นจริงได้หากเราจบไปพร้อม ๆ กัน


อย่างน้อย ๆ ก็ตอนถ่ายรูปรับปริญญานั่นล่ะ...
เพราะผมจ้างช่างไว้ทั้งวัน เผื่อสำหรับถ่ายรูปเราสองแล้ว : )


_____________________________________________________


ขออนุญาตให้ชื่อแท็กว่า #โนบิโนบิ แล้วกันค่า
เอาไว้ติดตาม พูดคุยย้อนหลัง ติชมไดน้า


ยังมีสเปเหลือ อีกตอน  


แวะมาพูดคุย ติดต่อได้ที่

Twitter (https://twitter.com/viridianxx)

ไม่ค่อยเล่นทวิต แต่จะพยายามเข้ามาดูบ่อยๆจ้า 
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (1) (08/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 08-07-2018 22:04:12
โนบิตะตอนล่าสุดน่ารักจังเว้ย ส่วนน้องพิกก็ดูน่ารักน่าขยำขยี้เหมือนเดิม อ่านแล้วอยากบี้แก้มม
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (1) (08/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 09-07-2018 15:35:39
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (1) (08/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 10-07-2018 02:47:15
ยินดีต้อนรับที่กลับมาค่ะ แทบร้องตอนเห็นว่าอัพปี18 นึกว่าฝันไป ฮืออออ
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (1) (08/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-07-2018 09:23:08
ดีใจ ไรท์มาต่อ........
รอมาตลอดเลยนะ  :mew1: :mew1: :mew1:

แล้วก็จบอย่างมีความสุข  Happy Ending   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ขำ ที่แม่เก้ายอมรับลูกสะใภ้แบบพิกได้ง่ายดาย   :laugh:
ด้วยเหตุผล  ที่ว่าเก้ามีแฟนเป็นผู้ชายก็ดี  :m20:
เขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าถูกผู้หญิงคนไหนแย่งสมบัติของตัวเองไปอีก

ทั้งที่ถ้าเป็นแม่คนอื่นคงรับไม่ได้แล้ว

เก้า  พิก   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณไรท์มาก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (1) (08/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 11-07-2018 20:34:53
Special
I DO
 



“พิก...พิก”


เสียงเรียกจากที่ไกลแสนไกลสะกิดผมให้ต้องลืมตาตื่นขึ้น แสงจ้าจากม่านที่ถูกเปิดออกทำให้ผมต้องหรี่ตาลงมองไอ้ร่างสะท้อนแสงที่กำลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ มันหัวเราะเบา ๆ แล้วยกมือขึ้นมาแนบไว้ที่แก้วขวาของผมก่อนจะใช้นิ้วโป้งเรียวสวยนั่นปาดคราบสกปรกออกจากหางตาผมอย่างอ่อนโยน


“อืม...ปลุกแต่เช้าเลย”


ผมถูหน้ากับมือของมันอย่างอ้อน ๆ ตอนนี้ตื่นเต็มตายิ่งกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทำอิดออดไม่ยอมลุกตามแรงดึงของเก้าที่รั้งตัวผมให้ลุกขึ้นนั่ง


“อรุณสวัสดิ์นะ...ตื่นเถอะครับ...ผมชงกาแฟ ทำแซนวิชไว้ให้แล้ว”


มันกระซิบข้างหูแล้วผละออกมากดจูบเบา ๆ กับหน้าผากของผม แววตาของมันดูเหนื่อยอ่อน แถมหน้าตายังตอบ ๆ เหมือนคนขาดสารอาหารอีก


“แล้วมึงล่ะ”


“เหมือนกันครับ แต่รอพิกตื่นมากินพร้อมกัน”


ได้ยินเท่านั้นหน้าผมก็บานเหมือนกระด้งร่อนข้าวสาร ไม่ใช่ไม่รู้นะว่าช่วงนี้เก้ามันเจออะไรมาบ้าง แต่ก็ยังอดดีใจไม่ได้ที่มันดูแลผมดีมาก ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ตอนเริ่มคบ...


จะว่าไปก็นานพอสมควรเหมือนกันนะ ไม่คิดเลยว่าจะคบกันมาได้เกือบ 5 ปีแล้ว


“โอเค งั้นมึงงีบก่อนไหม เดี๋ยวกูอาบน้ำเสร็จแล้วออกมาปลุก” 


“ครับ...ถ้าอย่างนั้นรบกวนพิกด้วยนะ”


จบคำเก้ามันก็ทิ้งตัวนอนทั้งอย่างนั้น ส่วนผมน่ะหรอ พอมติเป็นเอกฉันท์ก็รีบกระเด้งตัวไปหาตู้เสื้อผ้าที่อยู่ไม่ไกล เลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ไปทำงานวันนี้เสร็จหันมาอีกทีก็เจอไอ้เจ้าของผับหลับใหลไม่ได้สติไปแล้ว ดูเอาเหอะ แอร์ก็เย็นยังเสือกนอนไม่ห่มผ้า ถ้าเป็นหวัดคัดจมูกน้ำมูกไหลใครจะดูแล...


ผมหรอ ? เหอะ น้ำหน้าอย่างมันคงยอมนอนให้ผมหยอดน้ำข้าวต้มให้หรอก เอะอะก็ร้าน ร้าน ร้าน ยิ่งตอนนี้มันกลายเป็น ‘เฮีย’ เจ้าของร้านแทนพ่อมันแล้วก็ยิ่งทำงานหนักกว่าเดิม เรื่องไม่สบายแล้วหยุดนะเบรกไว้เลย...ขี้คร้านจะลากสังขารเปื่อย ๆ หนีไปทำงานตอนผมหลับน่ะสิ


“จริง ๆ เลยมึงนี่นะ”


ผมทรุดตัวนั่งข้างเตียง จัดผ้าห่มถึงคอมันแล้วก้มหน้าลงไปจูบแก้มมันซ้ายทีขวาที ไอ้ที่บ่นน่ะ ไม่ได้จริงจังอะไรหรอก...ก็บ่นพอยิ้ม ๆ นั่นแหละ ความจริงเห็นมันหลับปุ๋ยได้ในครึ่งนาทีนี่อัศจรรย์ใจมากกว่า ปกติเห็นมันหลับยากจะตาย ถ้าไม่ได้ส่งผมไปทำงานก็ไม่มีทางที่มันจะหลับได้อย่างสนิทใจหรอก


ตอนนี้ผมทำงานเป็นแอดมินในบริษัทแอพฯแห่งหนึ่งย่านสาทรครับ ผมย้ายมาอยู่แถวสาทรกับเก้าได้ประมาณสอง-สามปีแล้วเพราะไป-กลับที่ทำงานสะดวกมากกว่าอยู่บ้าน


ช่วงสองปีแรกที่คบกันก่อนจะได้ทำงานกับที่นี่ก็ไปช่วยที่ร้านมันบ่อย ๆ  คิดดูแล้วกันว่าบ่อยจนเด็กในร้านมันเรียกผมว่า ‘ซ้อ’ กันหมด พูดถึงก็โมโหขึ้นมาเลย ชังน้ำหน้านักไอ้พวกเวรนั่นนัก! รู้ทั้งรู้ว่าไม่ชอบให้เรียกก็ยังจะเรียก มันบอกว่าถ้าจะโทษใครก็ให้ผมโทษตัวเอง ที่เสือกไปเป็นแฟนของเฮียพวกมันนั่นแหละ (อารมณ์ว่าช่วยไม่ได้อะนะ อะไรแบบนั้น)


ส่วนแม่กับน้องผมหรอ ตอนแรกที่เปิดตัวว่าคบกับเก้าแม่ถึงกับช็อคล้มตึงไปเลย คือแม่คิดไม่ถึงว่าการที่ตัวเองเอาผมใส่พานถวายเก้าจะทำให้ลูกชายคนเดียวของบ้านมีแฟนเป็นผู้ชายไปได้


ช่วงแรกแม่โทษตัวเองหนักมาก เอาแต่พูดว่าเพราะตัวแม่เองที่ทำให้ผมเป็นเกย์ แม่ทั้งร้องไห้ทั้งตัดพ้อ หนักสุดเลยคือขอให้เราเลิกกัน...แต่ช่วงนั้นเพิ่งคบกันใหม่ ๆ ไง เพิ่งเข้าใจกันได้ไม่นานใครมันจะอยากเลิกวะ? พอแม่ทำให้เราเลิกกันไม่ได้เลยยื่นคำขาดใหม่ คือไม่ยอมให้เราไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อสองอีกเลยโดยที่แม่ไม่อนุญาต


พูดแล้วก็ขำชิบ ทุลักทุเลเป็นบ้าเลยนะช่วงนั้น... นึกภาพเอาเลยแล้วกันว่าแม่ผมเป็นเอามาก ถึงขนาดแบกเตาอบสี่ลิตรมาทุ่มใส่รถเก้าตอนที่มันแอบดอดมารับผมไปฉลองครบรอบสามเดือนตอนตีสาม(คบกันแล้วถึงได้รู้ว่าแม่งเป็นคนที่โรแมนติกเชี่ย ๆ ) แต่แม่ดันรู้ตัวก่อน สรุปว่าแผนการฉลองวันนั้นจึงมีอันเลิกกันไป


ส่วนน้องสาวผมนี่ไม่ต้องถามถึง มันมึนตึงไปเลยจ้า ไอ้พิมพ์บอกว่าตอนนั้นมันน้อยใจ โกรธ เสียใจ และรู้สึกชีวิตพังมากเพราะไม่คิดว่าคนที่แอบชอบจะมาลักลอบได้เสียกับพี่ชายตัวเอง... สรุปในไตรมาสแรกของปี คนที่บ้านไม่ยอมพูดกับผมเหมือนปกติอีกเลย และนั่นนำพาความเครียดมาให้ผม



เหตุการณ์ช่วงนั้นเรียกว่าเป็นปัญหาชีวิตได้เลย มันทำให้ผมไม่สามารถอยู่บ้านอย่างสุขใจได้อีก คือมองไปทางไหนก็เห็นแต่ความอึดอัด พอเป็นอย่างนั้นมันก็เลยอยู่ไม่ได้ ต้องออกไปข้างนอกเพื่อสงบจิตสงบใจเพราะยังไงนั่นก็แม่กับน้องผม


ผมก็หาทางคลายความอัดอั้นบ้าง อาทิเช่น  สาระแนไปเล่นเกมที่บ้านไอ้ชาน แวะไปกินข้าวกับม๊าไอ้ไอ้ชาน บางทีก็ไปออกรอบกับพ่อมันเป็นการผ่อนคลาย (ช่วงแรกแม่ถึงกับโทรไปเช็คที่บ้านไอ้ชานเลยว่าผมไปจริงไหม ไม่อยากจะบอกแม่เลยว่าไอ้ไอ้ชานนี่ก็ตัวดี มันก็ชอบลูกชายแม่เหมือนกันแหละ แต่สรุปก็ไม่บอกเพราะเดี๋ยวแม่ไม่ไว้ใจขึ้นมาอีกแล้วจะลำบากกว่าเดิม)


จนสุดท้ายไม่ไหวแล้วครับ ไม่ได้เจอกับเก้าเกือบเดือน แหม คนมันก็เพิ่งคบเนอะ ก็คิดถึงเป็นธรรมดาอะ เลยต้องแบกหน้าไปขอให้ไอ้ชานช่วย แรก ๆ มันก็อิดออดนะครับ ทำท่าจะไม่ยอมท่าเดียวเลย มันถึงกับถามว่าทำไมต้องช่วย ในเมื่อมันชอบผมอยู่และอยากให้ผมเลิกกับเก้า ผมเลยตอบไปว่าเพราะมันเป็นเพื่อนคนเดียวของผม เป็นเพื่อนที่ผมรักที่สุด....มันก็เลยต้องยอมอย่างเสียไม่ได้


(ขอโทษนะ ตอนนั้นกูไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครจริง ๆ )


 ช่วงนั้นเก้ามันเปื่อยมาก ปิดร้านเสร็จก็ยังต้องถ่อสังขารมารับผมที่บ้านไอ้ไอ้ชาน (เขม่นกันแทบตายสุดท้ายก็แดกเหล้ากันเหมือนไม่เคยหมางใจกัน) แล้วยังต้องเอาผมมาส่งที่บ้านอีก (เพราะแม่ไม่ยอมให้ไปนอนกับเก้า ให้ถือว่าเป็นช่วงวัดใจ) มันเลยต้องเทียวไล้เทียวขื่อแม่ผมอยู่อย่างนั้นเกือบปี...จนสุดท้ายแม่ก็ยอมใจเพราะสภาพเศรษฐกิจช่วงนั้นทำให้ร้านขนมบ้านผมซบเซามาก ก็ได้เก้านี่แหละมาช่วยดูบัญชี ทำโปรโมชั่นให้อีก จากร้านที่เจอวิกฤต กลับกลายเป็นร้านที่ดังที่สุดในย่านนั้น แม่งอยู่ช่วยงานจนร้านผมกำไรอื้อ ตอนนี้แม่ผมนี่แทบจะเป็นตู้ทองเคลื่อนที่อยู่แล้ว ไอ้ที่เขม่นๆเก้า ก็ค่อยๆเบาลง จนในที่สุดก็กลับมาเอ็นดูมันเหมือนเดิม (แม่ไม่รักก็ต้องรักแล้วจุดนั้น)


เรียกได้ว่าเป็นช่วงวัดใจที่หนักหน่วงพอสมควร เพราะนอกจากมันกับผมต้องปรับนิสัยเข้าหากันแล้ว ก็ยังต้องผจญกับอารมณ์ของแม่ผมอีก ลำพังบ้านเก้าน่ะไม่มีปัญหาหรอก เพราะมันไม่คิดจะแต่งงานกับใครอยู่แล้ว แต่เราทั้งคู่นี่สิ อย่างกับไฟมาเจอไฟนี่แทบบรรลัยกัลป์ กว่าจะปรับตัวได้นี่หน่วงกันไปหลายรอบ จนในที่สุดก็ตกลงว่าจะครึ่ง ๆ ให้กันเพราะก็ไม่ได้อยากเริ่มต้นใหม่กับใครบ่อย ๆ ...อีกอย่างเลยนะ ผมว่าเวลาคนมีความรักเขาก็มักจะเปลี่ยนไปทั้งนั้น แต่ส่วนจะแย่จะดีนั่นอยู่ที่วิจารณญาณของคนทั้งคู่ จะให้ดีอย่างคู่ผมมันก็หลายปัจจัยอยู่ กว่าจะเดินทางมาถึงห้าปีได้เนี่ย


เล่ามาก็ตั้งเยอะ ไม่ได้ถามความสมัครใจคนอ่านเลย ว่าอยากรู้ไหม? แต่ก็ช่างเหอะ อยากรู้ไม่รู้ก็ไม่เป็นไรผมอยากเล่า ฮ่าฮ่าฮ่า...เอาเป็นว่าตอนนี้โคตรมีความสุขครับ งานโอเค เงินโอเค ครอบครัวโอเคมากกกก ไอ้ไอ้พิมพ์กำลังจะแต่งงานแล้ว ส่วนผมกับเก้าตอนนี้ก็เรียกได้ว่าให้และรับกันอย่างเต็มที่ จากที่เคยงอแงง้องแง้งไม่เข้าใจกันก็ต้องเข้าใจกันให้มากขึ้น ต้องแชร์กันให้มากเพราะมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยกว่าคู่ชาวบ้านเขา ก็เลยเป็นอย่างที่เห็นเนี่ยแหละ


หลังจากคบกันแล้วก็เพิ่งรู้ว่ามันเป็นเด็กมีปัญหา ไม่ได้เป็นแค่ลูกเมียน้อยธรรมดา แต่พ่อมันยังมีเมียน้อยอีกเป็นขโยง นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มันต้องขยันทำงานมาก เพราะต้องการเก็บเงินมาเปิดร้านเป็นเจ้านายตัวเอง ส่วนร้านเก่ามันบอกว่าบริหารให้ก่อน กะจะรอให้น้องชายต่างแม่โตแล้วเข้ามาเป็นขี้ข้าพ่อแทนมัน (ร้ายไหมครับแฟนผม) 


ช่วงนี้มันเลยแบกภาระเยอะจนหลังแทบเดาะ ไหนจะต้องเข้าไปทำบัญชีที่ร้านเก่า แล้วยังต้องคอยโฆษณาชวนเชื่อ ดึงลูกน้องเก่าไปทำงานที่ใหม่อีก...มันเจ้าเล่ห์ครับ ขี้หวงมากด้วย อะไรที่มันถือว่าเป็นของมันก็ต้องเป็นของมันเท่านั้น สิ่งของนอกกายมันไม่ค่อยสนหรอก แต่กับทรัพยากรบุคคล ถ้าใครจงรักภักดีกับมัน มันก็พร้อมจะปั้นทั้งนั้นแหละ 


อา...ชมแฟนเยอะเกินไปไหม อันที่จริงระหว่างนึกถึงเรื่องเก่า ๆ ผมก็อาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จแล้วนะ แต่เห็นมันนอนหลับสนิทขนาดนั้นก็ไม่กล้าปลุก เดินไปดูของที่มันเตรียมไว้ให้บนโต๊ะอาหารก็เลยตัดสินใจหยิบเอามากินก่อน จัดการตัวเองจนอิ่มก็เดินเข้าห้องนอนไปจุ๊บผากมันอีกที 


สรุปผมก็ไม่ได้ปลุกมันจริง ๆ นั่นแหละ ชิ่งออกมาเลยทั้งอย่างนั้น โดยที่ก่อนออกก็จัดเตรียมเสื้อผ้าเอาไว้ให้มันสักหน่อย อันที่จริงอะไรพวกนี้ก็ทำเป็นปกตินะ แต่เสื้อผ้าที่เตรียมไว้ให้วันนี้ดูดีกว่าปกติเพราะว่าโนบิตะของผมจะกลายเป็นอาเฮียเต็มตัวแล้วน่ะสิ วันนี้เป็นวันเปิดร้านใหม่วันแรก ให้มันนอนเต็มอิ่มเสียหน่อยคงไม่เสียเวลาอยู่ด้วยกันมากนักหรอกมั้ง หน้าจะได้ใสบลิ๊งบลั๊งเวลาเดินออกไปตัดริบบิ้นต่อหน้าลูกน้อง


อา...แค่คิดก็จั๊กจี้แล้ว ทำไมกูทำหน้าที่แฟนได้ดีขนาดนี้เนี่ย!





Rrrrr Rrrrrr


นั่งพรมคีย์บอร์ดต๊อกแต๊กไปเรื่อยเปื่อยเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ข้างมือก็แผดลั่นขึ้นมา เสียงดังซะจนพี่อาร์ทที่นั่งอยู่คอกข้าง ๆ ถึงกับต้องตวัดหน้าถลึงตาให้รีบรับอย่างไวเพราะดูมันจะรบกวนจนพี่แกจนนึกงานไม่ออก เห็นอย่างนั้นแล้วผมจึงไม่รอช้า รีบเอื้อมมือออกไปกดรับแล้วโน้มตัวต่ำลงมากรอกเสียงพูดเบา ๆ ที่ใต้โต๊ะ


“อะไรของมึง”


ผมเอ่ยทักคนโทรมาด้วยสำเนียงติดจะหงุดหงิดนิดหน่อย ที่ทำอย่างนี้ได้ก็เพราะปลายสายไม่ใช่คนอื่นคนไกลครับ...ไร้มารยาทจนฝังเป็นสันดรขนาดนี้ โทรมาได้ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าผมทำงานอยู่มีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ


ไอ้เตี้ยเฮีย


[“อะไร...อะไรล่ะ วันนี้มึงไม่หยุดได้ไง ทำไมเข้ามาช่วยเปิดร้านใหม่”]


 มันบ่นกระปอดกระแปด ดูท่าจะงอแงที่ผมไม่ยอมไปช่วยอีกแรง... อ้อ ลืมเล่าไปใช่ไหม ตอนนี้ไอ้เตี้ยมันเป็นหุ้นส่วนของแฟนผมครับ ดังนั้นจึงไม่แปลกหรอกถ้ามันจะไปโผล่อยู่ที่ร้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดินอย่างนี้


“ก็กูลาครบแล้วไหม วันกูหมดก็เพราะพวกมึงนั่นแหละเอาแต่ชวนเที่ยว ไอ้ฉิบหาย” ผมกระซิบ “เออ มึงอยู่โน่นก็ช่วย ๆ ดูร้านไปก่อนนะ ถ้าโนบิตะมาก็ฝากดูมันด้วย ท่าทางมันเหมือนจะไม่สบาย” 


[“กูก็ไม่สบายเหมือนกัน...ทำไมห่วงแต่แฟนตัวเองอะ ไม่คิดจะห่วงเพื่อนบ้างรึไง”] บ่นอีกแล้วครับ ถ้าจะงอแงขนาดนี้ทำไมไม่ให้คนของตัวเองดูแลล่ะวะ


“ก็แล้วทำไมไม่ให้แฟนมึงดูแลล่ะคะ” ผมแกล้งทำเสียงแต๋วแซวมัน ไอ้เตี้ยเฮียอึกอักไปเลย สงสัยจะจี้จุดโดนใจมันอย่างแรง


[“ฟ...แฟนไหน กูไม่มีแฟน”] มันสวนกลับทันทีที่ตั้งสติได้


“เหรอคะ แล้วงี้เพื่อนกูก็โดนมึงกินฟรีเหรอค๊า”


 [“ก็เปล่าไง...ก็ดูใจกันอยู่”] เฮียตอบกลับมาเสียงแผ่ว... ถึงขนาดอยู่ด้วย นอนกกกันทุกคืนอย่างนี้ไม่เรียกว่าแฟนแล้วเรียกปลาจวดอะไรวะ!


ถ้าถามว่าในมุมมองของเพื่อนนี่ตกใจแค่ไหน...ถ้านับเป็นระดับความสั่นไหวของแผ่นดินก็น่าจะประมาณ 50 ริกเตอร์ได้ครับ เอาเป็นว่าหน้าสั่นโคตร ๆ ตอนที่รู้ว่าพวกมันได้เสียกันในคืนหนึ่งที่ผมกับโนบิตะแอบดอดไปเที่ยวออนเซ็นด้วยกันสองคนที่กิฟู


แต่ประเด็นคือไม่ใช่ว่ามันจะเอากันแล้วสปาร์คจนเกิดเป็นความรักอย่างคู่ผม คู่มันนั่นปลูกต้นรักกันมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นเป็นปี ๆ แล้ว


โดยไอ้ซูเนโอะเพื่อนยาก ผู้เสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ให้การว่า มันถามเฮียขึ้นมาในวันหนึ่ง...ว่าแม่งจะรับผิดชอบยังไงที่ทำให้มันรู้ตัวว่าชอบผมไปแล้ว ด้านไอ้เตี้ยผู้ซึ่งมีชีวิตว่างเปล่ามาตลอด และดูเหมือนจะมีปฏิกิริยาอันน่ารักกับคำว่า ‘รับผิดชอบ’ จึงกระวีกระวาดได้ขออาสาดูแลไอ้ไอ้ชานผู้โดดเดี่ยว(ที่ไหน กูก็อยู่กับแม่งตลอด)เพราะอกหักอย่างเต็มใจ และช่วยสมานแผลใจจนเกิดเป็นความรักในที่สุด


แหม โรแมนติกซะไม่มี...แต่ก็อย่างว่า ใครจะมาเหมือนคู่ผมไม่มีอีกแล้วล่ะ เอากันก็ตั้งหลายเดือน หนีกันไปหนีกันมาขนาดหนังอินเดียยังอาย กว่าจะได้ลงเอยเป็นฝั่งเป็นฝา คนรอบ ๆ ข้างก็เหนื่อยใจกันเป็นแถบ


[“อ้าว...เก้ามาแล้วมึง หน้าตาก็อิ่มเอิบดีนี่ ไหนมึงบอกไม่สบาย”]


เสียงปลายสายเอ่ยถาม ผมขมวดคิ้วมุ่นทั่งที่ยังคงก้มอยู่ใต้โต๊ะ


“ไหนขอกูคุยกับมันหน่อย”   


กรอกเสียงบอกไป รอไม่นานอีกเสียงก็มารับสายแทน


[“ทำไมเมื่อเช้าไม่ปลุกผม”] 


อูย...รับสายแล้วมาทำเข้ม ผมได้แต่หัวเราะแฮะ ๆ ตอบกลับไป “ก็มึงไม่สบาย กูอยากให้มึงนอนเยอะๆ” 


เก้าเงียบไปอึดใจ จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงระบายลมหายใจก็ตีกลับมา


[“ก็บอกแล้วว่าให้ปลุก...ผมอยากไปส่ง อีกอย่างวันนี้ก็เปิดร้านเป็นวันแรก ผมไม่มีกำลังใจ”]


ดูมันออดอ้อน ไอ้เรื่องเห่อแฟนนี่ไม่เคยเลิกเลย คบกันมาตั้งห้าปีแล้ว จะทำการใหญ่ทีไรต้องอ้อนอย่างนี้ทุกที ผมฟังแล้วก็ได้แต่กลอกตามองเพดาน คือไม่ได้ระอาใจนะครับ แต่เขินจนมองตรง ๆ ไม่ได้


“เดี๋ยวก็เจอแล้วไง...เย็นนี้”


เหี้ยเอ้ย เขินจนตัวแทบจะบิดเป็นเกลียวอยู่แล้ว ข้างคอกก็เหมือนกัน ได้ยินเสียงผมพูดแผ่ว ๆ หน้านี่เงี่ยหูเข้ามาฟังจนแทบจะสมานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคอก เห็นพี่อาร์ททำเป็นพูดเลียนแบบท่าทางจ๊ะจ๋ากว่าปกติแล้วยิ่งเขินหนัก จะมาแซวชาวบ้านเขาทำไมกันวะตัวเองไม่มีเมียหรือไง


“ไรมึงพิก มองหน้าทำไม ก็คุยไปสิ ล้อเล่นแค่นี้ทำเป็นถลึงตาใส่” พี่อาร์ทจีบปากจีบคอพูด


“ไม่ต้องมาแอบฟังผมเลย มีเวลาว่างมากหรอ รีบทำงานตัวเองดิ  นิสัยเสียว่ะ เดี๋ยวโทรไปฟ้องพี่พีชแล้วจะหนาว”


พี่พีชที่ว่านั่นเป็นแฟนพี่อาร์ทครับ ตัวเล็กแต่หน้านิ่ง ที่สำคัญโหดชิบหาย...รู้จักกันเพราะรายนั้นขี้หึงเหี้ย ๆ พี่อาร์ทไปไหนเขาตามมาด้วยทุกงานจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของออฟฟิศไปแล้ว 


[“อย่าสนใจคนอื่นสิ สนใจผมก่อน”]


อีปลายสายนี่ก็ขี้ประท้วงจริง เก้ามันทำเสียงอ้อนแบบดุ ๆ เมื่อผมหันไปสนใจพี่อาร์ทแทนที่จะคุยกับมัน


“สนใจแล้วไง...เจอกันเย็นนี้ที่ร้านนะ เดี๋ยวเข้าไปพร้อมไอ้ชานเลย” 


บริษัทผลิตเกมของไอ้ชานอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้เท่าไหร่ นั่นทำให้ผมตกลงใจไปพร้อมกับมันตั้งแต่รู้ฤกษ์เปิดร้าน ได้ยินเสียงเก้าเป่าลมออกปากดังฟู่ก็ถึงกับต้องขำ ท่าทางจะงอนจริง ๆ ที่ผมตัดบทมันแล้วยังพูดถึงไอ้ชานอีก


นานจนเพื่อนมันกับเพื่อนผมได้เสียกันไปไม่รู้กี่รอบแล้วก็ยังหึง โนบิตะนี่มันโนบิตะจริง ๆ เลย


[“ถ้าไม่ได้ยุ่งขนาดนี้...จะไปรับเองถึงในห้องทำงานเลย”]


อย่าคิดว่ามันไม่กล้านะครับ พูดมาอีหรอบนี่ไม่ใช่แค่คำขู่หรอก ที่จริงแม่งมาบ่อยซะยิ่งกว่าอะไร มาถึงก็นั่งเต๊ะท่าอยู่ในห้องรับแขกยังกับเป็นเจ้านายเสียเอง แต่ที่ตลกกว่านั้นคือเจ้านายผมก็บ้าจี้ไปนั่งคุยกับมันเป็นวรรคเป็นเวรด้วย


“อย่างอแงน่า ไอ้ชานมันก็ไปหาแฟนมันเหมือนกัน ให้มันมารับกูนั่นแหละ แล้วมึงก็นั่งรอหล่อ ๆ ที่ร้านไป...อย่าดื้อ”


“อย่า ดื้ออออออ”


พี่อาร์ทนี่ก็แม่ง เอาอีกแล้ว เห็นคนเขาจี๋จ๋ากันหน่อยไม่ได้เลย ต้องมาร่วมวงเสือกด้วยทุกครั้ง ชักไม่ได้การละ ขืนคุยต่อมีหวังโดนแซวทั้งวันยันเลิกงานอะ


“มึง แค่นี้ก่อนนะ แล้วเจอกันตอนเย็น” ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ มือก็ชูนิ้วกลางให้พี่อาร์ทไปด้วย


[“เดี๋ยวก่อน”] แต่ในจังหวะที่กำลังจะกดวางสายแฟนช่างเอาแต่ใจของผมก็รั้งไว้เสียงเข้ม


“อะไร” ผมจัดการแนบหูเข้ากับโทรศัพท์อีกครั้ง


[“...”]


“พูดมาดิ เร็ว ๆ”   


[“คิด...”] มันส่งเสียงจิ๊ปากแล้วเว้นจังหวะไปพักหนึ่ง [“...คิดถึง”]


“ก็แค่นั้น”


ตอนนี้กลับมานั่งบนเก้าอี้ทำงานแล้วครับ พูดไปปากก็ยิ้มแทบจะถึงรูหู อยากจะเห็นหน้ามันตอนพูดซะเองเดี๋ยวนี้เลย...ก็ปกติมันไม่ค่อยพูดให้ฟังต่อหน้านี่หว่า


[“แค่นั้นอะไร ก่อนวางต้องทำไง”] ของตัวเองพูดแล้วนี่ ถึงมาทวงคนอื่นได้ แต่นึกเหรอว่ากูจะอาย...กูน่ะซื่อตรงกับความรู้สึกกว่ามึงเยอะ (ถึงจะอายเหี้ย ๆ ก็เหอะ)


“คิดถึง...เหมือนกัน” 


[“อืม”]


“อือ...งั้นวางก่อนนะ ต้องทำงานแล้ว มารแถวนี้มันเยอะ” 


สุดท้ายก็วางจนได้ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่บอสกลับมาจากข้างนอกพอดี พี่อาร์ทมันเลยไม่ได้แซวอะไรต่อเพราะบอสเดินมาวนเวียนแถวคอกทำงานของเราทั้งคู่ เรียกว่าใจนี่แทบจะกระเด็นหลุดออกมา เพราะนอกจากจะโดนแฟนอ้อนแล้ว ยังต้องซ่อนโทรศัพท์ให้ห่างตาบอสอีกต่างหาก


(((((  มีต่อ )))))
 
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (1) (08/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: กิมกวง ที่ 11-07-2018 20:42:23
“แน่ใจนะว่ามึงจะไปทั้งอย่างงี้”


ตกเย็น พอเลิกงานไอ้ชานก็โทรมาหาทันที ด้วยความที่ออฟฟิศเราอยู่ไม่ห่างกันมากจึงทำให้มันใช้เวลาไม่นานในการมารับผมไปต่อที่ร้านใหม่ของแฟนเราทั้งคู่ และตอนนี้ผมอยู่ในรถของมันแล้ว พร้อมจะออกเดินทางมาก แต่สายตาของมันที่ทอดมองสารร่างอันเปื่อยเฉาของมันบอกว่าผมไม่ควรไปฉลองเปิดร้านใหม่ด้วยสภาพแบบนี้


“เออ ไปเลย ขี้เกียจวนกลับบ้าน เส้นนั้นรถติด”


ถุ้ย! ใครจะไปเหมือนมึงล่ะ เป็นเจ้าของบริษัทนี่...จะเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนกี่ตัว ไปอาบน้ำจนเปื่อยคาห้องน้ำยังไงก็ไม่มีใครว่า กูนี่เป็นแค่พนักงานจน ๆ จะให้ไปเนรมิตตัวเอง แต่งตัวจัดเต็มทั้งที่เพิ่งเลิกงานอย่างมึงก็คงไม่ไหวหรอก


“แน่นะ?” มันยังถามย้ำคำเดิม


“เออออออ รีบไปเหอะเดี๋ยวโนบิตะรอนานแล้วมันงอแง”


ที่จริงแล้วเสียเวลาวนรถไปหน่อยก็ไม่ตายหรอก แต่เหตุผลที่แท้จริงก็แฝงอยู่ในคำพูดนี่ล่ะ เพราะไม่อยากให้โนบิตะมันรอนานต่างหาก ยิ่งรู้ว่ามากับไอ้ชานแล้วด้วย ก็ไม่อยากให้มันรู้สึกกระดากในใจทั้งที่วันนี้เป็นวันดีของมันแท้ ๆ


“เออ...น่าหมั่นไส้จริงพวกมึงเนี่ย”


ไอ้ชานพูดแค่นั้นแล้วหักพวกมาลัยเลี้ยวรถออกจากที่จอด ผมถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อเห็นมันขมวดคิ้วมุ่น


“อะไร แล้วคู่มึงล่ะ ไม่น่าหมั่นไส้บ้างหรือไง”


“หมั่นไส้ห่าอะไรล่ะ ทุกวันนี้ยังนิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย”


ผมหัวเราะก๊ากออกมาเลยเมื่อนึกถึงหน้าไอ้เตี้ยตอนเอาแต่ใจในสไตล์ป๋า ๆ ของมัน ลองนึกภาพดูนะครับ คนสองคนที่ชอบแย่งกันจ่ายค่าข้าวให้ผมถึงคราวต้องคบกันเองจะเป็นไง? ปัญหาของคนส่วนใหญ่ในเว็บกระทู้ชื่อดังของไทยมักจะเป็นประมาณว่า ‘ทำไงดี เขากินแล้วไม่ยอมแชร์กับฉัน’ เทือกนั้นใช่ไหม คู่นี้มันก็เป็นครับ เพียงแต่ต่างจากคนอื่นแบบกลับตาลปัตร 


“มันยังไม่ยอมให้มึงแชร์ด้วยอีกเหรอ...”  ผมอมยิ้มเมื่อนึกภาพไอ้ชานกับเฮียเถียงกันเวลาที่ต้องจ่ายค่าอาหาร


“น้อยไปสิ เมื่อเดือนที่แล้วแม่งชิงจ่ายค่าน้ำค่าไฟที่ห้องไปหมด เออ...ค่าโทรศัพท์กับค่าอินเตอร์เน็ตด้วย...โกรธกัน ด่ากันแทบจะทุ่มแม่งออกไปนอกหน้าต่างอะ ตอนที่รู้ว่ามันแอบเอาค่าโทรศัพท์กูไปจ่าย”


“ไอ้ห่า...ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” นึกถึงตัวเองที่ขอให้โนบิตะจ่ายค่าโทรศัพท์ให้แล้วขายขี้หน้าหน่อย ๆ “มึงก็...ความสุขของมันไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ยอม ๆ ไปบ้าง”


“ยอมเหี้ยไรล่ะ...กูก็มีตังเหมือนกัน ทำไมต้องแย่งกูจ่ายอยู่คนเดียวก็ไม่รู้”


“มันก็นิสัยแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มึงยังไม่ชินอีกเหรอ”


ท่าทางไอ้ชานจะหัวเสียจริงจังครับ เพราะสันดานนี้ของเฮียดูท่าจะขุดยากจริง ๆ


“...ไม่เชิงว่ะ...แต่กูก็แค่ไม่อยากให้มันรับภาระอยู่คนเดียว” มันถอนหายใจออกมา โดยที่ตายังคงมองถนน “แต่หลังจากเคลียร์กันมันก็ดีขึ้นมาหน่อยแหละ ยอมเข้าใจอะไรง่ายขึ้น ตกลงจะไม่แย่งกูจ่ายพวกค่าน้ำค่าไฟอีก แชร์กันครึ่ง ๆ อะ”


“หืม...ง่ายขนาดนั้นเลย? แล้วตกลงกันท่าไหนวะ ทำไมมันถึงยอม”


นึกไปถึงไอ้เฮียก็ไม่คิดนะว่ามันจะลงให้ง่ายดายขนาดนี้ อันที่จริงผมคิดไปไกลมากแล้ว แบบว่าลามกเหี้ย ๆ แต่ไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวเพื่อนสนิทจะหาว่าผมเป็นคนหมกหมุ่น


“ก็หารครึ่งอะ...มันบอกให้กูจ่ายค่าน้ำ ส่วนมันจะรับผิดชอบค่าไฟเอง...”


ได้ยินแล้วถึงกับต้องหัวเราะออกมาอย่างไม่มีเสียง ไอ้เชี่ยนั่น...เจ้าเล่ห์ชิบหาย มองหน้าเพื่อนตัวเองที่ยังจดจ่อกับทางข้างหน้าแล้วก็อยากจะตบหน้าผากแม่งสักสามที ไอ้ควายเอ้ย มึงไม่รู้หรือไงว่านี่ไม่ได้เรียกว่าแชร์กัน 


ค่าน้ำแม่งจะสักเท่าไหร่กันเชียว...ค่าไฟนี่มหาศาลจนแทบจะซื้อบ้านได้ทั้งหลังแล้ว เพราะแม่งเปิดแอร์ให้แมวอยู่ด้วย 


แต่ก็นั่นแหละ ได้แค่คิดแต่ไม่พูดอะไร อยากให้ไอ้ชานมันเข้าใจไปเลยว่านี่คือการแชร์กัน เพราะมันก็นานมาแล้วที่พวกมันยังหาข้อสรุปให้กับเรื่องนี้ไม่ได้ ทะเลาะกันทีไรก็เห็นมีแต่เรื่องปัญญาอ่อน ติงต๊องนี่ทุกครั้ง


แล้วในฐานะเพื่อนจะไปพูดอะไรได้...นอกจากดีใจที่ในที่สุดพวกมันก็สามารถหาตรงกลางให้กันและกันได้อย่างลงตัวสักที =_=








“โอโห กว่าจะมาถึง”


เฮียบ่นกระปอดกระแปดเมื่อเห็นผมกับไอ้ชานเดินเข้ามาพร้อมกัน ตอนนี้มันนั่งอยู่บนนั่งร้าน กำลังจัดดอกไม้ใส่แจกันแล้ววางไว้บนเสารูปสี่เหลี่ยม


“มาช้าหน่อย รถมันติด”


ผมยกมือขึ้นนวดขมับเพราะรู้สึกเวียนหัวเหมือนจะอ้วกจากอาการเมารถที่ไอ้ชานเป็นคนขับ ก็ไอ้ห่านั่นซิ่งรถอย่างกับว่าตัวเองเป็นพระเอกฟาสฯภาคยี่สิบ เหยียบมิดคันเร่งเหมือนจะมาไม่ทันทั้งที่ยังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง (?)


“แล้วนี่เก้าอยู่ไหน”


หันซ้ายหันขวา มองไปมองมาไม่เจอโนบิตะไงถึงได้ถาม แต่เห็นเฮียมันมองมาด้วยสายตากรุ้มกริ่มแล้วก็เลยไม่อยากพูดอะไรต่อ ไอ้ห่านี่ไม่เปลี่ยนเลย ชอบล้อคนอื่นด้วยสายตาจนติดเป็นสันดร


“อยู่ห้องทำงานใหม่ คุยกับพี่เกื้ออยู่ เดี๋ยวก็คงออกมา” 


ผมพยักหน้ารับ ทีแรกตั้งใจจะไปหามันในห้อง แต่พอได้ยินอย่างนี้ก็เปลี่ยนแผนไปช่วยดูโซนเครื่องดื่มแทน ร้านนี้เป็นร้านอาหารกึ่งผับ เก้ากับเฮียตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้นมากกว่าจะเป็นสถานที่เที่ยวกลางคืนอย่างเดียว เพราะจริง ๆ แล้วแนวคิดของทั้งคู่ค่อนข้างตรงกัน ที่ว่าอยากจะให้เป็นร้านแบบนั่งกินบรรยากาศมากกว่า


ทั้งร้านเป็นสไตล์โคโลเนียล คุมโทนด้วยเขียว น้ำตาล ครีม ดูคลาสสิค อีกทั้งยังเป็นร้านของลูกเถ้าแก่ใหญ่ จึงไม่แปลกหรอกที่ตอนนี้จะเริ่มมีรถเคลื่อนตัวเข้ามาที่ลานจอดเพื่อรอยินดีกับฤกษ์ดีในวันนี้


ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จากที่แขกเหรื่อมากันบางตาก็เริ่มหนาแน่นจนรู้สึกหายใจลำบาก เห็นหลังไว ๆ ของโนบิตะ กะจะเข้าไปทักก็เจอมันพูดคุยอยู่กับเจ้าสัว หรือ ผู้ใหญ่ไปซะทุกที เป็นอย่างนี้จนถึงเวลาตัดริบบิ้นเปิดร้าน ผมเลยตัดสินใจอยู่ห่าง ๆ ทั้งที่เราก็จ้องตากันอยู่ตลอด


สายตาที่มันมองมาราวกับจะบอกทางอ้อมว่าต้องการพูดคุย แต่ก็โดนขัดไปเสียทุกครั้ง จนมาถึงจังหวะเปิดเหล้าฉลองอย่างจริงจัง ผมถึงได้มีโอกาสเข้าไปหามัน ทั้งที่เจ้าตัวยังยืนคุมงาน อีกข้างก็มีเฮียประกบ

ผมเห็นมันพูดกับเฮียโดยที่อีกฝ่ายหรี่ตามองเจ้าเล่ห์ ยืนอยู่ตรงนั้นได้ไม่ถึงนาที ไอ้ไอ้ชานที่มาไหนไม่รู้ก็ดันหลังให้เข้าไปหา


“มาพอดีเลย มีเรื่องต้องคุยกันนะ”


มันพูดแค่นั้นแล้วก็จูงผมออกไปจากตัวร้าน ท่ามกลางสายตาของเพื่อนสนิททั้งสอง พี่เกื้อ และลูกน้องที่รู้จักเราทั้งคู่เป็นอย่างดี ทุกคนมองมาที่ผมดวงตาเป็นประกาย เหมือนกับจะลุ้นอะไรอยู่ในใจ ว่าแต่แม่งลุ้นอะไรกันวะ ทำตาอย่างกับทีมฟุตบอลที่ตัวเองเชียร์กำลังจะยิงเข้าประตูยังไงยังงั้น






ผมกับเก้าแอบเดินออกมาข้างนอกด้วยกันในขณะที่ในร้านล้งเล้งไปด้วยเสียงพูดคุยบวกเสียงดนตรี เราสองคนเดินไกลออกมาเรื่อย ๆ จนมาถึงที่จอดรถข้าง ๆ ร้าน กลิ่นหอมของต้นกุหลาบที่มันสั่งปลูกเอาไว้ประดับลานกับแสงไฟดวงเล็ก ๆ ที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนรั้วทำให้บรรยากาศดูโรแมนติกขึ้นอีกสามขุม


“ไหน มีอะไรก็พูดมา”


ผมเลิกคิ้วใส่ มองมันที่ยืนล้วงมือในกางเกงเต๊ะท่าหล่อ ๆ ห่างไปไม่ถึงคืบด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ


“นั่งก่อนสิ” 


ดูเหมือนจะเพิ่งนึกได้ว่าคงจะคุยนาน จบคำโนบิตะมันก็เอื้อมมือมาลากผมให้เดินไปนั่งตรงขอบซีเมนต์บนรั้วสีขาวที่ประดับประดาไปด้วยไม้เลื้อย พอกดไหล่ผมให้นั่งลงได้ มันก็ทิ้งตัวลงที่ข้าง ๆ แล้วเขยิบเข้ามาหาจนขนแขนแทบจะสีกัน


“มีอะไรจะบอก”


มันพูดเสียงเรียบ หน้าตาไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ ยามที่มองผม...อา อย่าบอกนะว่า


“จะเลิกกับกูเหรอ...” 


พูดออกมาทั้งหน้าตาช็อก ๆ ที่จริงผมก็นึกไม่ออกหรอกว่าหน้าตาตัวเองเวลาช็อกนั้นเป็นยังไง แต่คงจะดูไม่ดีขนาดหนัก เก้าถึงได้เม้มปากใส่ผมอย่างนั้น


“เปล่า...ทำไมคิดแบบนี้ล่ะ” มันไม่พูดอย่างเดียว แต่ยังเอื้อมมือมาแตะเบา ๆ ที่หลังมือ ก่อนผมจะหงายมันขึ้นเพื่อให้มือของเราทั้งคู่ได้สอดประสานกัน 


“กูไม่รู้นี่...ก็มึงทำหน้านิ่งขนาดนั้น” ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นกวาดสายตาไปรอบ ๆ “แล้วยังเรียกมาคุยกันสองคนในที่เปลี่ยวแบบนี้...กูก็เลย...”


“คิดว่าจะขอเลิกเหรอ ติงต๊องจริงคุณเนี่ย โตแล้วนะพิก” มันสวนขึ้นมา แถมด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยันในลำคอ


“ก็กู...” ผมเลียริมฝีปากตัวเอง ก็คนมันกลัว...จะให้ทำยังไง? อีกอย่างตอนนี้เก้ามันก็กลายเป็นเสี่ยไปแล้วจริง ๆ เท่ากับว่าเป็นเจ้าของกิจการตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นแค่พนักงานบริษัทแอพฯจน ๆ คนหนึ่ง...แม่ง แล้วยังเรื่องที่มันชอบบ่นว่าผมไม่ยอมแต่งตัว อย่างโน้นอย่างนี้อีก


“อย่าคิดแบบนั้นสิ ถ้าคิดอีกจะโกรธจริง ๆ นะคราวนี้” มันพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ในขณะที่นิ้วโป้งหัวแม่มือก็เกลี่ยผิวผมไปด้วย “อยู่กันมาก็ตั้งนานแล้วนะทำไมถึงคิดว่าผมจะทิ้งคนที่ตัวเองรักได้ลง”   


“ไม่รู้” ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ


“ก็รู้ตัวหน่อยเถอะว่ารักตั้งมากมายขนาดนี้...ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครที่ผมสามารถอยู่ด้วยแล้วสบายใจเท่ากับคุณ...หลายปีที่เราอยู่ด้วยกันมันบอกไม่ได้เลยเหรอ ว่าผมรักคุณแค่ไหนน่ะ พิก”


เวรเอ้ย...น้ำเน่าฉิบหาย แต่ทำไงดี กูยิ้มจนแก้มจะปริอยู่แล้วเนี่ย “เออรู้”


“อืม...แล้วรู้ใช่ไหมว่าคนอย่างผมมันเอาแต่ใจมาก ๆ ทนได้ใช่ไหมถ้าจะอยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ กับคนงี่เง่าแบบผม”


“เออ ทนได้” ผมตอบเสียงหนัก แม่งจะถามทำไมวะ ถ้าทนไม่ได้คงไม่หอบผ้าหอบผ่อนหนีแม่มาอยู่ด้วยอย่างนี้หรอก


“อืม...คุณคงเหนื่อยใช่ไหมล่ะ” มันหัวเราะ แล้วเหม่อมองออกไปยังร้านใหม่ของตัวเองที่ประดับประดาด้วยไฟสวยงาม “แต่ถ้าจะขอให้เหนื่อยอย่างนี้ตลอดไป...ถ้าขอแบบนั้นแล้วจะทำเพื่อผมได้ไหม” 


จากที่มองตามสายตามันไป ผมก็หันขวับกลับมาขมวดคิ้วมองหน้ามันทันที ว่ากันว่าพอถึงเวลาที่จะมีเรื่องสำคัญ คนเราจะสามารถรู้ได้เองโดยสัญชาตญาณ แล้วสิ่งที่โนบิตะพูดออกมาทุกอย่าง หากลองนึกย้อนกลับไปทบทวนดี ๆ นี่คล้ายกับว่ามันกำลัง...


“แต่งงานกันไหมพิก...” 


“...”


“มาทดลองอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตดูสักครั้งดีไหม?”


“...”


“มาดูแลกันตลอดไปนะ...เพราะผมไม่รู้แล้ว ว่าชีวิตนี้จะยอมลงให้ใครได้เท่าคุณอีกไหม ไม่รู้แล้วว่าจะอยากเริ่มต้นทำสิ่งดี ๆ ให้ใครได้เท่าคุณอีกไหม ไม่รู้แล้วว่าจะมีใครรักผมได้เท่าคุณอีกไหม และสำคัญที่สุด”


“...”


“ผมไม่รู้แล้ว...ว่าชีวิตนี้จะรักใครได้เท่าคุณอีกไหม?”


 อย่างกับเขื่อนแตก จากทีแรกที่ได้ยินมันขอแต่งงานธรรมดา ๆ ลำคอผมก็ตันไปหมดเหมือนกับจะกลืนก้อนสะอึกไม่ลงอยู่แล้ว และนี่ยังไปสรรหาคำพูดหวาน ๆ อะไรมาบอกผมอีกตั้งมากมายทั้งที่ไม่เคยทำ ไหนจะคำสัญญาว่าจะดูแลไปตลอดชีวิต ไหนจะบอกว่ารักใครไม่ได้อีก นี่มันอะไรกันวะ...มันทำขนาดนี้ได้ยังไง ทำให้ผมร้องไห้ออกมาขนาดนี้ได้ยังไง


“อึก...”


ไม่ได้ร้องไห้ออกมาเพราะความเสียใจ แต่เป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสได้ถึงคำว่า ‘ตื้นตัน’ อย่างเต็มเปี่ยม พอเห็นผมร้องไห้ โนบิตะก็เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ดึงผมไปกอดแล้วจูบเบา ๆ ตั้งแต่ขมับ ลงมาซับน้ำตาที่ข้างแก้ม ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังสะอึกสะอื้นขนาดไหน รู้อย่างเดียวว่าทั้งใจแม่งเต็มอิ่มไปหมด


ผมหันไปกอดโนบิตะ ซบหน้าลงกับไหล่มันเพราะกลั้นน้ำตาไม่อยู่... ไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้จะได้มีโมเม้นต์สุดน้ำเน่าอย่างในละคร ต้องขอบคุณมันจริง ๆ ที่ทำฝันของใครหลายคนให้เกิดขึ้นกับชีวิตผม แม่งตลกฉิบหายเลย เขาขอแต่งงานแท้ ๆ กูดันร้องไห้...แม่งเอ้ย... 


“ตก...ตกลง”


ตอบไปอย่างไม่คิดอะไรทั้งนั้น ซึ่งโนบิตะก็ดูยินดีกับคำตอบนั้น มันกระชับกอดของเราให้แน่นขึ้น แล้วผละออกมากดจูบที่หน้าผากมันเลื่อมของผมอย่างไม่รังเกียจ 


“งั้นอีกสามเดือนเราไปอังกฤษกันนะ...ผมเตรียมตัวไว้หมดแล้ว” 


“ไปทำไม...”


“อ้าว...” เก้าหัวเราะ มันยิ้มตาหยี “ตกลงแต่งงานกับผมทั้งทีนี่ไม่คิดจะจัดงานหรอกเหรอพิก ก็ต้องไปสิ ต้องพาแฟนไปหาพยาน เขาจะได้รู้ว่าเราเป็นของกันและกันแล้ว” 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ปัญญาอ่อน ดูพูดจาเข้า” ผมหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา รสชาติเค็มปร่ายังไม่เลือนหายไปจากปาก


“...เสร็จแล้วไปหาแม่กันนะ จะได้ฝากตัวเป็นลูกเขยจริง ๆ จัง ๆ สักที” มันเอื้อมมือมาปาดน้ำตาให้ผมแล้วทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก “เออ...แหวนหมั้นผมไม่มีให้คุณหรอกนะ” 


“ไม่เป็นไร กูไม่ชอบใส่แหวน” ผมตอบทันที...คือ ไม่ต้องแหวนอะไรก็ได้ แค่มันพูดมาขนาดนี้ผมก็แทบจะบ้าตายแล้ว


“แต่ผมมีหุ้นร้านครึ่งของผม กับบ้านเดี่ยวหนึ่งหลัง...ชื่อร้านน่ะ มีคุณเป็นเจ้าของด้วยนะ ...ส่วนบ้าน ก็ชื่อคุณอีกเหมือนกัน” 


ผมตาโตเป็นไข่ห่านเมื่อได้ยินสิ่งที่มันกำลังเซอร์ไพร์สผม “เฮ้ย...ได้ไง” 


“ได้สิ...เพื่อเป็นหลักประกันว่าผมจะไม่ทิ้งคุณไปไหน...ที่จริงผมหมดตัวแล้วนะพิก จนมาก ทำร้านกับซื้อบ้านไป...หลังจากนี้คุณต้องดูแลผมบ้างแล้วนะ ต้องเลี้ยงผมตลอดไป จะไหวไหมเนี่ย”     


มันหัวเราะออกมาตาปิด ผมก็หัวเราะเหมือนกันเมื่อนึกถึงสภาพมันใส่ชุดมอซอมาขอเงินรายสัปดาห์จากผม เราทั้งคู่เอนไหล่ชนกันแล้วกระชับมือที่จับกันไว้ให้แน่นกว่าเดิม ไฟประดับตรงหน้าดูสวยงามกว่าทุกหนที่มองไปเจอ แต่คนข้างผมนี่หล่อกว่ามากเมื่อเงยหน้าแล้วหันไปมอง


โนบิตะยิ้มไม่หุบ ที่นัยน์ตาของมันเลื่อมไปด้วยน้ำใส ๆ เป็นหลักฐานว่าไม่ได้มีผมคนเดียวที่ร้องไห้ด้วยความตื้นตัน เห็นอย่างนั้นก็สุขใจจนต้องเลื่อนหน้าขึ้นไปจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากของมัน เราบดคลึงกดจูบอยู่อย่างนั้นจนอิ่มเอิบไปทั้งใจ แล้วยกมือข้างที่จับกันไว้ขึ้นมาในระดับริมฝีปากเพื่อจูบสัญญา 


ไม่ว่าจะทุกข์ จะสุขก็ยังจะยืนอยู่ข้าง ๆ กัน
วันใดที่ล้มอีกคนจะช่วยพยุง วันใดที่ป่วยอีกคนจะช่วยดูแล
วันใดที่เศร้าอีกคนจะช่วยปลอบโยน วันใดที่ท้อ อีกคนจะเป็นกำลังใจ 

ขอบคุณที่เกิดมา ขอบคุณที่เราทั้งคู่ไม่ละความสนใจเมินกันไปเสียก่อน
ขอบคุณในความอดทนที่มีให้ ขอบคุณสำหรับทุก ๆ อย่าง


เราจะมีความสุขครับ ขอบคุณทุกคนที่อ่านและเอาใจช่วยมาถึงตรงนี้
ขอให้มีความสุขเช่นกัน


_____________________________________________________


ขออนุญาตให้ชื่อแท็กว่า #โนบิโนบิ แล้วกันค่า
เอาไว้ติดตาม พูดคุยย้อนหลัง ติชมไดน้า


จบแล้ว จบแบบจบจริงๆ  
ถ้าอยากอ่านอะไรต่อ คงต้องไปต่อที่เล่มแล้วค่ะ T_T
เรื่องนี้คุยว่าจะออกกับ ฟาไฉ ในเล่มมีสเปเพิ่มมาเป็นตอนโตแล้ว 555
แบบ คนอ่านคงแบบ  เฮ้ย สเปอะไรมึงเยอะแยะ 555 ได้ข่าวว่าเรื่องสั้น 5 ตอนจบ งอกสเปมาเกือบจะ 30 ตอน 555
เอาน่ะ555  ขำๆ ฮาๆนะคะ

ใครที่คิดถึงสเป เรียกเลือดๆ ก็ไปต่อกันในเล่มเนาะ 55 เรียกเลือดกันหน่อยตอนโต อิอิ 

แล้วเจอกันน้า จบแบบ จบจริงๆแล้ว ♥ 

ใครคิดถึงก็ไปอ่านเรื่องพวกข้างล่างได้น้า เราเปลี่ยนนามปากกาแย้วว

เรื่องยาว

 ◘ เพียงคุณที่มองไม่เห็น ◘  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67468.0) (ยังไม่จบ)
 ♦ โอบบดินทร์ ♦   (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62507.0) (ยังไม่จบ)

เรื่องสั้น

 - - - - ช่าง ♦ รัก - - - - | ตอนเดียวจบ |   (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67557.0) (ที่คงมีต่อสเปหลายๆๆๆตอน )
  เด็กมันร้าย | ตอนเดียวจบ |   (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67725.0)







แวะมาพูดคุย ติดต่อได้ที่

Twitter (https://twitter.com/viridianxx)

ไม่ค่อยเล่นทวิต แต่จะพยายามเข้ามาดูบ่อยๆจ้า  [/center
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 12-07-2018 02:18:33
เขาน่ารักกันมากเลยค่ะคุณ

ปล.แอบสงสัยโพสิชั่นคู่เฮียเก้าจังค่ะ เขาเป็นเฮียเก้าใช่ไหมคะ 5555
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 13-07-2018 23:17:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 14-07-2018 16:27:16
อ่านแทบจะรวดเดียวเลย มีหลายๆเรื่องตีวนกันไปหมด ขอแยกเม้นท์ตามนี้ละกันค่ะ

1. สี่ตอนแรก (ซึ่งเป็นตอนหลัก) เราชอบมาก ทั้งโทนเรื่อง คาแร็คเตอร์ และสถานการณ์ต่างๆ มันพอดี ลงตัวไปหมด โดยเฉพาะการระเบิดอารมณ์ตอนท้ายของเก้า คือมันดีมากๆ ตอนแรกเห็นว่าสี่ตอนจบ แต่พอเลื่อนดู เอ้า มีอีกนี่ ก็ตามอ่านกันต่อเลยค่ะ

2. ตอนที่อ่านตอนหลัก เรามีความเข้าใจว่าเก้านั้นมีความหลงใหลในตัวพิกอยู่พอสมควร ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่พอมาเป็นตอนพิเศษหลังจากสี่ตอนแรก เรากลับค้นพบว่าเก้านั้นแทบจะไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรกับพิกเลย เก้าบอกว่าอาจจะแค่ติดใจ ตรงนี้เลยทำให้เรารู้สึกว่าโทนเรื่องมันค่อนข้างจะเปลี่ยนไปจากตอนหลักอยู่บ้างเหมือนกันค่ะ

3. เฮียเป็นตัวละครเราเกลียดมากเป็นการส่วนตัว เกิดมาเพื่อทำให้เกิดความร้าวฉานแท้ๆ แต่ก็อีก เรื่องคงไม่ได้ดำเนินมาจนถึงจุดนี้ถ้าไม่มีเฮีย (ยิ้มเย็น)

4. ต่อเนื่องจาก ข้อ 3. เราสงสารชานมากๆ ตรงนี้เรารู้สึกว่าชานไม่ควรจะมามีความรู้สึกอะไรแบบนี้กับพิกเลย เค้าควรเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของพิกและมีความรู้สึกดีๆในฐานะเพื่อนให้กันตลอดไป เราชอบที่ชานดูแลพิกทุกอย่าง คอยเป็นห่วง คอยปลอบ คือเค้าเป็นตัวละครที่ไม่ควรจะถูกทำร้ายขนาดนี้เลยจริงๆค่ะ (ร้องไห้เสียงดัง) คือแทบจะเป็นทุกอย่างให้พิกแล้ว ชอบที่ชานทำหน้าโง่ๆ แม้จะฟังเรื่องโกหกของพิก คือมันจริงใจมาก คนเขียนทำไมใจร้ายกับชานได้ลงคะ ฮืออออออ

5. ต่อเนื่องจาก ข้อ 4. จริงๆแอบคิดว่าช้างอาจจะมีบทมากกว่านี้นะ เอาจริงๆคือชอบคาแร็คเตอร์นางแหละค่ะ ดูแมนๆคุยกันดี ถ้ามีใครเหมาะจะเป็นเหยื่...อะแฮ่ม เหมาะกับบทพระรอง เราคิดว่าเป็นช้างก็โอเคค่ะ (ทั้งหมดทั้งมวลคือสงสารชานเท่านั้นเอง)

สรุปก็คือสนุก ชอบมากโดยเฉพาะตอนหลัก ช่วงกลางเรื่องก็เกลียดเก้ามาก เอาจริงๆก็ไม่รู้สึกชอบเก้าอีกเลยหลังจากจบตอนที่สี่นั่นแหละค่ะ หลายครั้งก็อยากไปตบบ้องหูสักที ผลักไสเค้าด้วยคำพูดทุเรศๆ สุดท้ายกลับไปขอโอกาส ถ้าเราเป็นพิกจะใจแข็งให้ถึงที่สุดเลยค่ะ พอกันทีผู้ชาบเฮงซวยแบบนี้
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-07-2018 13:05:00
ชอบความหนักแน่นของเก้า ความซื้อบ้านความขอแต่งงานฮือ อิจฉาพิกมากเลยค่าา ขอบคุณนะคะที่มาลงจนจบ รอซื้อเล่มค่าา  :mew1:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: mrsnikiforov ที่ 15-07-2018 23:58:25
โอ๊ยยยคาร์แบบเก้านี่กร๊าวววใจบ่าวมากค่าาา
พูดครับๆ สุภาพๆแต่พอบทจะโซแดมฮอตนี่ก็เล่นเอาเข่าอ่อนเลยจย้าาา
เรียนก็ได้ ธุรกิจก็เป็น รวยด้วย อหห เพอเฟ็คไปไหนนพ่อคุณณ แถมลีลาบนเตียงก็...
เอาเป็นว่าเด็ดจนพิกระทวย คนเกาะขอบจอแบบเราก็ดีใจที่สองคนที่มีใจแต่ก็ลังเลๆ :katai1:
แถมพอมีชานมาเอี่ยวอีก โอ๊ยย อีรุงตุงนัง เกียสสอิเฮียสุดละ รำมากกก

งื้ออ แต่ในที่สุดคู่นี้ก็เข้าใจกันซะที ลุ้นจนเหนื่อย ดีที่เก้าคิดได้เร็วนะ แล้วพิกก็ยอมลงด้วย ฮือออ
ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆ
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 16-07-2018 06:11:05
อ่านรวดเดียวจบแบบติดหนึบไปไหนไม่ได้เลยค่ะ ชอบมากกก ช่วงแรกนี่เราชอบมาก ช่วงหน่วงๆก็น้ำตาแตกกันไป ช่วงหลังตอนหวานนี่กัดหมอนจะขาดเลยค่ะ มีครบรสครบอารมณ์จริงๆ
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 16-07-2018 20:16:22
โคตรจะลุ้นกับพระเอก เดาใจไม่ออกทำไร ชอบเขาแต่ก็ไม่เชื่อใจ ตีตัวออกห่าง
ทำให้เสียใจ บีบบังคับสารพัด ไหนข้อดีวะ 5555 อ๋อ มีๆ นางเรียนเก่ง ช่วยเหลือเพื่อนมาตลอด
นางทำงานเก่งด้วย คงเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี แต่เป็นคนที่เย็นชาอย่างไม่น่าเขื่อเลยจริงๆ
ทีมนายเอกน่ะค่ะทางนี้

พิกบ้าง ใครว่าร้าย น่าจะเป็นพวกปากร้ายใจดีมากกว่า ไม่คิดอะไรเลย ไม่โกรธใครด้วย ขนาดเสียตัวให้เขา
ทำใจปลงได้สุดๆ พิกยอมเก้าเยอะมาก เยอะมากๆๆๆ ช้างเท้าหลังที่ดีมีความเชื่อในผัว
ตอนพิกเสียใจเราก็เสียใจมาก แต่บางทีก็น่าโกรธเพราะพิกโคตรจะไม่คิดไรนี่แหละ
เช่นตอนให้ชานจูบ แต่ก็เพราะไม่คิดไรจริงๆ เลยไม่โมโห ทีมนายเอกจริงๆ เรา

ชาน น่ารักนะ เป็นเพื่อนที่ดี แทบไม่มีมุมด้านแย่ออกมาเลยทำให้บางครั้งดูดีกว่าพระเอก 5555
สงสารมากอีตอนรักเขาเขาไม่รักเนี่ย คิดช้าไปหน่อย เราอ่ะโกรธเฮียมากเหมือนกันเรื่องนี้
เฮีย ไม่พูดถึง ไม่ชอบอ่ะส่วนตัว คิดถึงแต่ความสนุกอย่างเดียวเลย จบ

ขอบคุณค่ะ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Ujeen ที่ 16-07-2018 21:50:52
อ่านจบด้วยความรู้สึกฟุ้งมากกกกก มันดีมากจริงๆ
คือเราอินกันตัวละครทุกตัวเลยอะ โดยเฉพาะพิก(แน่นอนสิ) ตอนที่เก้าว่าพิกง่ายนี่แบบอื้อหืออออ อยากสาปเก้ามาก5555
ชอบในความคิดของแต่ละคนที่ค่อยๆเปนผู้ใหญ่ขึ้น เปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ดีขึ้น และเฮียที่ยอมรับผิดกับความผิดของตัวเองอย่างแมนๆ55555
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่านนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: IöLIKE ที่ 16-07-2018 23:29:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 19-07-2018 10:11:22
ชอบมากกกก หลงรักโนบิตะ ทีแรกจะไม่กดเข้ามา

พออ่านละไม่วางเลย ขอบคุณค่ะ :pig4: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: freze ที่ 19-07-2018 18:52:33
ดีงามมากเลยค่ะ เราอ่านแบบnon-stopไม่หลับไม่นอนเลย สนุกมาก เข้ามาเพราะเห็นคนมาเล่าให้ฟังในทวิต แล้วมาอ่านละเห้ยแกมันดีกว่านั้น ยิ่งตอนแรกเราเชียร์ชานเพราะดูเหมาะกัน ละถึงจุดพีคที่เก้าก็คิดว่าตัวเองไม่เหมาะ แบบเห้ยเหมือนโดนตบหน้าเลย คำว่าเหมาะสมคืออะไร แค่รักก็พอสิวะ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 21-07-2018 00:21:37
อ่านรวดเดียวจบเลย  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 5/5 (20/4/2558) --- จบแล้วค่ะย้ายได้เลย♥
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 21-07-2018 15:58:30
 :laugh: ตอนแรกก็สงสารเก้า แต่พอเจอเก้าแบบจังๆ นี่ละก็ทั้ง

ฮาทั้งสงสารพิก  :m20: ถถถถถ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] NOBI NOBI | 5/5 (20/4/2558) --- จบแล้วค่ะย้ายได้เลย♥
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 21-07-2018 16:11:50
ไอ้ตรงที่มีคนอื่นมาช่วยทำรกด้วยเนี่ย จะมีม่าตามมาหรือเปล่านะ  :undecided:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 21-07-2018 20:31:25
แง้ จบแล้ว เกือบร้องไห้ตามไปหลายตอนเหมือนกัน

เฮียก็ตัวป่วนชิบเลย แต่ก็ขอบคุณนะคะลุ้นมาก 55
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 22-07-2018 21:24:39
พิกน่ารักมาก ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Kio ที่ 27-07-2018 15:35:48
อ่านจบแล้ว เย้! เป็นเรื่องที่รอคอยมานานมาก ชอบมากๆ ที่ได้อ่าน (นานๆ จะหาที่สำนวนถูกใจเราเจอ) รอมาตลอด จนวันหนึ่งไรท์บอกจะกลับมาอัพต่อ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะที่กลับมา เป็นเรื่องที่โนบิตะมีสเน่ห์มาก โรแมนติกมาก หลัวมากและเพลย์บอยมาก อ่านแล้วไม่รู้สึกเลี่ยนเลย ฮือ หลงรักกกก อิสสาพิก เป็นไจแอนท์ขี้แกล้งที่โชคดีที่สุดเลยมั้งเนี่ย 555555 และจะพูดถึงไม่ได้เลยคงเป็นชาญ ตอนเฮียมานี่หงุดหงิดมาก ลูกอิบ่างช่างยุบ่หนิ แต่พอคิดกลับกันว่าถ้าไม่มีเฮีย ทั้งโนบิกะไจแอน์คงมาไม่ถึงจุดนี้ องค์ประกอบทุกอย่างมันสมเหตุสมผลกัน เราชอบทั้งมู้ด ทั้งโทน ทั้งอะไรตั่งต่าง ถ้ามีรวมเล่มเมื่อไหร่จะเก็บเงินซื้อค่ะ สัญญา
 :pig4:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 28-07-2018 22:48:19
ไม่ได้เข้ามาแบบจริงๆจังๆกับเล้าเป็ดนานมาก พอมาเจอ nobi nobi ในนิยายที่ลงจบแล้วนี่แทบกรี๊ดเลย
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: gibari ที่ 16-08-2018 06:37:24
เก้าเนี่ย พอรู้ใจตัวเองและคิดได้แล้ว ก็รู้สึกว่าจะหลงพิกเอามากเลยนะคะ อย่างกับคนโดนของแหน่ะ....

เป็นเรื่องน่ารักแล้วก็ยาวมากเลย 55555
 ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 18-09-2018 20:11:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: yellowxxpeach ที่ 27-09-2018 22:08:04
ขอบคุณนะคะ ทั้งน่ารักทั้งเขินเลยยย ((แซ่บๆด้วย))
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 29-09-2018 13:09:02
 :hao5:  :katai2-1: :hao7: :z2: ชอบบบบบบ แต่แอบเกลียดเฮีย เกลียดเก้า เอ็นดูพิก ชอบๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 29-09-2018 17:08:10
ตกหลุมพลางชื่อเรื่องเข้ามาอ่านค่ะ พิกน่ารักมากเลย อ่านแล้วเหม็นความรักมากเลย ชอบคู่เฮียกับเก้าจังเลยค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 20-10-2018 11:07:36
ขอบคุณมากคนเขียน ดีใจที่คิดถูกให้เฮียมาดามใจชาน555
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 25-10-2018 02:04:54
 o13
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-10-2018 10:27:19
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: marsmarseiei ที่ 26-10-2018 12:51:52
อ่านจบแล้ว สนุกมาก แบบชอบความเป็นคนพูดเพราะของเก้าแต่พอถึงเวลาหยาบนี่กร๊าวใจมากอะแม่ มันเป็นงี้นี่เอง สงพี่ชาญ แต่นางน่าจะมีคนฮีลใจแล้วมั้ยยังไง5555555
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 03-11-2018 22:29:14
รวดเดียวจบบแบบทำไมเพิ่งรู้จักเรื่องนี้อ่ะ. มันดีมากเลยอ่ะะ มันอบอุ่นด้วยความหวานซึนๆอ่ะะะ ตื้นตันใจแทนเค้าเนาะ เหใอนเติมเต็มส่วนที่หายขาดแล้วมาเจอกัน.น่ารักมากๆๆๆเลยยยยยย งื้อออ
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 05-11-2018 21:46:29
โอ่ยยยย ดีใจกับโนบิตะและไจแอนท์ด้วยเด้ออออ รอลุ้นตั้งนานว่าตกลงจะไปทางไหน 55555
สงสารเชี่ยวชาญอะ ไอ้เฮียไม่น่าพูดมากเลย เลยต้องรับผิดชอบไปเลย  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: yokibear ที่ 06-11-2018 01:21:21
 :hao5: :กอด1:
ดีมากๆเลยค่ะ อบอุ่นมากกกก
ความรักของทั้งคู่เติบโตไปด้วยกันจริงๆ
ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆ กอดดดด
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 07-11-2018 03:14:52
ว่าแล้วเฮียต้องเสร็จซูนิโอะ 555555
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Nbear ที่ 07-11-2018 19:39:24
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: whistle ที่ 09-11-2018 03:33:56
ชอบบบบบบ...... มีเรื่องแบบนี้อีกมั้ย......
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 10-11-2018 10:32:21
น่ารัก สนุก  :กอด1:

ขอบคุณคนเขียนน้าาา  o13
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: abc_b ที่ 10-11-2018 15:50:23
เสียดายเรื่องนี้ไม่มีโดเรม่อน5555  :hao7:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 10-11-2018 21:05:30
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ellemm ที่ 30-12-2018 20:27:38
 :hao6:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: meanmena ที่ 31-12-2018 00:03:37
ปักกกกก​ 
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 22-02-2019 16:31:09
กว่าโนบิตะจะหายซึนน้าา สงสารไจแอ้นท์เลย
 ขอบคุณนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 09-06-2019 19:44:26
ก็ยังมีความหมั่นไส้เก้าอยู่ดีแบบบางทีนางก็มีตรรกะแปลกๆดี ดีที่ว่าพิกแบบใจอ่อนง่าย
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 16-08-2019 18:11:40
งื้อออ จบแล้ว
อยากให้มีตอนพิเศษอีก  o13
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: MaidenQueen ที่ 17-08-2019 16:13:30
กว่าจะยอม่ีบในความรู้สึกของกันและกันเสียเลือด?ไปตั้งเยอะ  พอเห็นสเปช่วงฝ่าฟันแล้วทั้งคู่รักและประคองกันมาดีมากกก
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: PanGii ที่ 20-08-2019 21:15:49
โนบิตะมันร้ายยยยยย 555555 โอ้ยอ่านไปขำไปอ่า สนุก
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 26-08-2019 03:30:44
สนุกก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่าา
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: nekodollzz ที่ 19-09-2019 22:00:26
อ่านแทบจะรวดเดียวเลย มีหลายๆเรื่องตีวนกันไปหมด ขอแยกเม้นท์ตามนี้ละกันค่ะ

1. สี่ตอนแรก (ซึ่งเป็นตอนหลัก) เราชอบมาก ทั้งโทนเรื่อง คาแร็คเตอร์ และสถานการณ์ต่างๆ มันพอดี ลงตัวไปหมด โดยเฉพาะการระเบิดอารมณ์ตอนท้ายของเก้า คือมันดีมากๆ ตอนแรกเห็นว่าสี่ตอนจบ แต่พอเลื่อนดู เอ้า มีอีกนี่ ก็ตามอ่านกันต่อเลยค่ะ

2. ตอนที่อ่านตอนหลัก เรามีความเข้าใจว่าเก้านั้นมีความหลงใหลในตัวพิกอยู่พอสมควร ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่พอมาเป็นตอนพิเศษหลังจากสี่ตอนแรก เรากลับค้นพบว่าเก้านั้นแทบจะไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรกับพิกเลย เก้าบอกว่าอาจจะแค่ติดใจ ตรงนี้เลยทำให้เรารู้สึกว่าโทนเรื่องมันค่อนข้างจะเปลี่ยนไปจากตอนหลักอยู่บ้างเหมือนกันค่ะ

3. เฮียเป็นตัวละครเราเกลียดมากเป็นการส่วนตัว เกิดมาเพื่อทำให้เกิดความร้าวฉานแท้ๆ แต่ก็อีก เรื่องคงไม่ได้ดำเนินมาจนถึงจุดนี้ถ้าไม่มีเฮีย (ยิ้มเย็น)

4. ต่อเนื่องจาก ข้อ 3. เราสงสารชานมากๆ ตรงนี้เรารู้สึกว่าชานไม่ควรจะมามีความรู้สึกอะไรแบบนี้กับพิกเลย เค้าควรเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของพิกและมีความรู้สึกดีๆในฐานะเพื่อนให้กันตลอดไป เราชอบที่ชานดูแลพิกทุกอย่าง คอยเป็นห่วง คอยปลอบ คือเค้าเป็นตัวละครที่ไม่ควรจะถูกทำร้ายขนาดนี้เลยจริงๆค่ะ (ร้องไห้เสียงดัง) คือแทบจะเป็นทุกอย่างให้พิกแล้ว ชอบที่ชานทำหน้าโง่ๆ แม้จะฟังเรื่องโกหกของพิก คือมันจริงใจมาก คนเขียนทำไมใจร้ายกับชานได้ลงคะ ฮืออออออ

5. ต่อเนื่องจาก ข้อ 4. จริงๆแอบคิดว่าช้างอาจจะมีบทมากกว่านี้นะ เอาจริงๆคือชอบคาแร็คเตอร์นางแหละค่ะ ดูแมนๆคุยกันดี ถ้ามีใครเหมาะจะเป็นเหยื่...อะแฮ่ม เหมาะกับบทพระรอง เราคิดว่าเป็นช้างก็โอเคค่ะ (ทั้งหมดทั้งมวลคือสงสารชานเท่านั้นเอง)

สรุปก็คือสนุก ชอบมากโดยเฉพาะตอนหลัก ช่วงกลางเรื่องก็เกลียดเก้ามาก เอาจริงๆก็ไม่รู้สึกชอบเก้าอีกเลยหลังจากจบตอนที่สี่นั่นแหละค่ะ หลายครั้งก็อยากไปตบบ้องหูสักที ผลักไสเค้าด้วยคำพูดทุเรศๆ สุดท้ายกลับไปขอโอกาส ถ้าเราเป็นพิกจะใจแข็งให้ถึงที่สุดเลยค่ะ พอกันทีผู้ชาบเฮงซวยแบบนี้
ฮืออออออ ขอบคุณค่ะ
คอมเม้นนี้ได้บรรยายความรู้สึกของเราไว้หมดแล้ว
ปล.ไม่รู้เดี๋ยวนี้ปุ่มบวกเป็ดหายไปไหน  :hao5:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 30-10-2019 01:15:41
 :pig4:เห็นกระแสมาแรงเลยเข้ามาอ่านจนจบ สนุกมากค่ะสมที่มีกระแสมา :L1:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ ตอนพิเศษ (2) (11/07/18)
เริ่มหัวข้อโดย: YLibraryRoom ที่ 09-12-2019 01:24:11
โอ้โหหหห ทำไมถึงเพิ่งได้อ่าน ชอบคาแรคเตอร์เก้ามากอ่ะ มันกร้าวใจมากๆ เนิร์ดๆแต่พอถอดแว่นเซ็ทผมคือโคตรฮอต แล้วยังมีความเป็นผู้ใหญ่ในการสร้างเนื้อสร้างตัว แม้ช่วงแรกจะดูจิตๆหน่อยที่แอบมีอะไรกับพิกแล้วแบบเถื่อนๆรุนแรง แต่พอเปิดเผยกะพิกคือแพ้มากกกก กรี้ดโดดโดดอยากได้ ส่วนพิกคือความดื้อแบบเออน่ารักอ่ะ หาเรื่องเค้าแกล้งเค้าแต่ก็ปกป้องเค้า มีความแม่ศรีเรือนสูงอีก ชอบบบบบบ พอเค้าเปิดใจว่ารักกันเรานี่เขินมากกกกกกก  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ (ขออนุญาตรีไรท์จ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 20:53:09
 :pig4: