<< END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ (ขออนุญาตรีไรท์จ้า)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: << END >> ♦ NOBI โนบิตะตัวร้าย vs ไจแอนท์จอมบื้อ ♦ (ขออนุญาตรีไรท์จ้า)  (อ่าน 194542 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kangpla:)

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เราทีมเก้านะ แต่เราชอบชานอ่ะ นางดูเอาใส่ใจ แต่ก็ยังทีมเก้าอยู่ อยากให้เก้าชัดเจน คิดอะไรก็พูดออกมาไม่ใช่เก็บไว้แล้วคิดไปเอง ยังรอให้มาต่ออยู่นะคะ :z3:

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มาต่อได้แล้วค่าาาาาา

ออฟไลน์ BloodyBlue

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :z3: ไม่ต่อจนจบหรอคะ แงงงงงง รอน้าาสส :hao5:

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
มาต่อเถิดกำลังมัน  :z12:

ออฟไลน์ พัดลม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
พิกจอมซื่อบื้อ ถ้าจะเลือก เลือกชานดีกว่า

อยู่กับคนที่เข้าใจดีกว่า  :hao3:

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
งือออรอติดตามอยู่นะคะ

ออฟไลน์ pradoza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
    • twitter
เฮียนี่คือตัวปลดล๊อคใช่ไหม ถ้าไม่มีเฮีย พิกจะบื้ออีกนานไหม ก็เข้าใจแหละว่าคนไม่คิด ทำอะไรแสดงอะไรมันก็ไม่คิด ยังไงก็เชียร์เก้าอยู่ ทุกอย่างมันเป็นไปตามแนวทางจริงๆ เก้าคิดเยอะตามนิสัยของคนที่โตเกินตัว คิดหน้าคิดหลัง คิดโน้นนั่นนี่ ส่วนพิกอื่อก็พิกนั่นแหละ สงสารลูกเอ้ย นี่ต้องทนอึดอัดงงๆอยู่แบบนี้อีกนานเท่าไร ขอให้คลี่คลายไวๆ อีกนัยนึงก็รีบมาต่อนะคะ ดีใจที่กลับมาเขียน ดีใจที่จะได้อ่านอีกนะคะ นึกว่าเพิ่งเอามาลงวายไทยแต่ที่ไหนได้ลงไว้ตั้งแต่ 58 วันนี้เห็นในทวิตก็เลยตามมารวดเดียวเลย สู้นะคะ ขอบคุณที่เขียนงานดีๆให้อ่านค่ะ

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ทำไมเราพึ่งเข้ามาอ่านเนื้อเรื่องสนุกกกก โนบิตะดู๊ดุ :hao6:
ส่วนชานก็ต้องเข้าใจนะบทพระรองเหมาะกับนายสุดแล้วเพื่อนรัก.อยากให้พิทกับเก้ารีบปรับความเข้าใจกันนน :hao5:

ออฟไลน์ กิมกวง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
22
ZUNEO’s PART
 



พิกดูเงียบผิดปกติ...


หลังกลับมาจากมหาลัย พอแวะร้านกาแฟไปเจอไอ้เฮียก็เหมือนกับว่ามันถูกขโมยความสดใสไป ผมไม่เห็นมันยิ้มเลยตั้งแต่เดินออกมาจากร้านนั้น ไม่รู้ว่ามันกับไอ้เฮียพูดอะไรกัน แต่ที่แน่ ๆ สิ่งนั้นทำให้ผมกระวนกระวายใจ


ผมนอนอยู่บนเตียง ลอบมองเสี้ยวหน้าของพิกที่นั่งหันหลังกดเกมเพลย์อยู่หน้าจอทีวีห่างออกไปจากปลายเท้าของผมประมาณหนึ่งคืบ ตอนนี้เราอยู่ด้วยกันสองคนบนห้องของผม ทีแรกพิกบอกปัดอยากจะกลับบ้าน แต่ผมก็ยังรั้งเอาไว้ ดึงดันจะให้มันมาเพียงเพราะอยากใช้เวลากับมันแค่สองคนโดยไม่ต้องมีใครมารบกวน


บ้านะ ว่าไหม? ก็แค่อยากใช้เวลาด้วยกันเท่านั้นเอง
ก็เพิ่งรู้ว่าความรู้สึก ‘ชอบ’ มันมีอิทธิพลมากมายขนาดนี้
...ขนาดที่ว่า แค่เห็นด้านหลังของมันก็ยังใจเต้นจนเจ็บ


“เฮ้ย ไอเท็มนั้นเก็บขึ้นมาด้วย มันจะช่วยเตือนว่าพาร์ทหน้ามึงจะต้องเจอกับอะไร” 


ผมร่นตัวลงไป เอาเท้าสะกิดหลังพิก และน่าแปลกใจมากที่ปฏิกิริยาหลังจากนั้นคือ...มันสะดุ้งสุดตัวอย่างกับว่าผมเอาน้ำร้อนไปราดใส่


“อ..อ๋อ เออ โอเค ขอบใจมากนะมึง”


ไม่รู้ว่าจิตใจมันไปผูกอยู่กับอะไร ทำไมถึงได้เหม่อลอยขนาดนั้น ดูเอาเหอะ ขนาดไอเท็มที่มันรับคำว่าจะเก็บเมื่อตะกี้ยังวิ่งผ่านเลยไป...นั่นแสดงให้เห็นว่าสมาธิของมันไม่ได้ติดอยู่กับเกมเลยแม้แต่น้อย


แปลก...


ปกติพิกไม่เป็นอย่างนี้ด้วยซ้ำ มันเป็นคนที่ตั้งใจเล่นเกมมากประหนึ่งว่านี่คือทั้งชีวิตของมัน ขนาดที่เคยสัญญาเอาไว้ด้วยกันว่าวันหนึ่ง...ถ้าจบออกไปจะเปิดบริษัทเกมด้วยกันเพื่อบรรลุสู่จุดสูงสุดในชีวิตของพวกเรา


เห็นสัญญาณแปลก ๆ จากปฏิกิริยาของมัน ผมก็ตั้งใจจะเอ่ยปากถาม แต่ยังไม่ทันจะได้เปล่งเสียง มือถือที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างตัวก็แผดเสียงดังขึ้นมาเสียก่อน


‘ไลน์’
‘ไลน์’
‘ไลน์’



ผมจับโทรศัพท์ขึ้นมากดหน้าจอเพื่อดูแจ้งเตือน ทีแรกเห็นว่าเจ้าของข้อความเป็นใครก็ไม่คิดจะกดเข้าไปอ่านด้วยซ้ำ... กะจะวางมือถือทิ้งแล้วไปนอนดูพิกเล่นเกมต่ออยู่แล้วเชียว ถ้าไม่สะดุดกับข้อความสุดท้ายเอาเสียก่อน...


‘แล้วนี่พิก....’


อยู่ ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความฉิบหายที่มาเยือน รู้สึกเหมือนถูกต่อยหน้าด้วยคำว่า ‘เพื่อน’ อีกหน มันชาไปหมดจนหลังเปลี้ย ความเย็นจากแอร์ที่ตอนแรกทำอะไรไม่ได้ตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าจะแข็งตายทันทีทีเปิดมาเจอข้อความของไอ้เฮีย


                                                              6 : 47 PM  กูขอโทษนะ...ขอโทษที่ไม่ได้พูดต่อหน้ามึงด้วยตัวเอง
                                                              6 : 47 PM  กูก็แค่หวังดีอยากให้พวกมึงรู้ใจตัวเองกันสักที
                                                              6 : 47 PM  แล้วนี่พิกไปถามมึงหรือยัง?


ผมขมวดคิ้วทันทีที่ไล่สายตาอ่านจนจบ ความอยากรู้อยากเห็นมันประดังประเดเข้ามาเหมือนคลื่นซัดสาด ทุกอย่างตีรวนไปหมดทั้งสมอง ทำไมพิกถึงต้องมาถามอะไรผมด้วย ไอ้เฮียพูดอะไรพิกอีก...หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนผิวแทนของผมมีท่าทีอึก ๆ อัก ๆ ตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา


ถามอะไร มึงพูดอะไรกับพิก   6 : 47 PM


ผมพิมพ์ข้อความกลับไปหา และทันทีที่ส่งไป อีกฝั่งก็ขึ้นอ่านทันที


                                                              6 : 48 PM  เรื่องของมึงกับพิก
                                                              6 : 47 PM  กูบอกพิกไปแล้วนะ ว่ามึงชอบมันอะ



ลำคอของผมแห้งผากเมื่อได้อ่านประโยคนั้น ไอ้เฮียเล่นผมอีกแล้ว มันทำแบบนี้อีกแล้ว นั่นทำให้ผมรีบหันไปมองเสี้ยวหน้าของอีกคนที่กำลังจดจ่ออยู่กับหน้าจอทีวีด้วยความกังวล


อา...ใจผมตอนนี้เหมือนกับว่าจะถูกบีบจนแทบสูบฉีดเลือดต่อไม่ได้แล้ว
จนถึงตอนนี้พิกก็ยังไม่ถามอะไรผมเลย...นั่นหมายความว่ามันรู้แล้วแต่ยังเฉยอยู่งั้นเหรอ?
เพราะอะไรล่ะ...


“เฮ้ย ! ไอ้ห่า กำลังจะเข้าได้เข้าเข็มแล้ว ไอ้สัดนี่ เอาจอยคืนมา”


โดยไม่รอให้ตัวเองได้อารมณ์เย็นลง ผมก็ลุกขึ้นจากเตียงก้าวฉับ ๆ ไปหาเพื่อแย่งจอยออกจากมือพิก ซึ่งก็ตามคาด คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นร้องออกมาอย่างหัวเสีย


“ไอ้เหี้ยยยยย ชานนนนน เดี๋ยวตายยยย”


มันยังคงแสดงท่าทีเหมือนกับว่าเป็นปกติทั้งที่ไม่สบตาผมเลยด้วยซ้ำ เห็นอย่างนั้นแล้วความน้อยใจที่ไม่เคยมีก็ก่อตัวขึ้นจนอึดอัดไปทั้งอก


“พิก...” ผมเรียกเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงจริงจัง และนั่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายชั่วโมงที่มันยอมช้อนตาขึ้นมามองผมตรง ๆ  “รู้แล้วทำไมไม่พูด”


“รู้อะไร” มันขมวดคิ้วแล้วหันหน้าไปอีกทาง... ที่จริง แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่ามันรู้ทุกอย่าง เห็นอย่างนั้นผมจึงทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ ที่ข้างตัวมัน แล้วเอื้อมมือไปจับหัวให้หันหน้ามาสบตากัน กลืนน้ำลายก่อนจะตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด


“เรื่องที่กูชอบมึง”


ราวกับว่าทุกสรรพเสียงเงียบไป คราวนี้พิกดูตกใจกว่าเดิมจนเผลอเบิกตาโพลงใส่ผม


เราสองคนเงียบใส่กันโดยที่ผมยังนั่งยอง ๆ อยู่อย่างนั้น พิกเอาแต่เม้มริมฝีปาก มันไม่พูดอะไรออกมาสักคำทั้งที่ใจผมแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ในคอมันแห้งไปหมด ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอดับความเฝื่อนในอารมณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้


“กู...”


จนในที่สุดมันก็ยอมขยับปาก แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกปวดใจยิ่งกว่าเดิมคือจากหันหน้าหนีธรรมดา ตอนนี้กลายเป็นว่ามันหันหนีทั้งตัว


“รู้แล้วทำไมไม่บอกกูล่ะ...รู้แล้วทำไมยังมาบ้านกู...ทำไมถึงยังทำทุกอย่างเป็นปกติแบบนี้” ผมพูดกับมันเสียงอ่อน ไม่เจือแววโมโห ไม่หงุดหงิดอะไรสักอย่าง...ยกเว้นผิดหวังที่มันรู้จากปากคนอื่นก่อนที่ผมจะได้เป็นคนเอ่ยปากบอกเอง


“กูขอโทษ...กูแค่ไม่อยากทำให้ต้องมึงอึดอัดใจ” มันหันหน้ากลับมาแล้ว แต่ดวงตาที่ใช้มองผมกลับเจือแววรู้สึกผิดอย่างที่สุด...อันที่จริงมึงไม่ควรต้องเป็นฝ่ายรู้สึกผิดเลยด้วยซ้ำ มึงไม่ควรต้องมารู้สึกอึดอัดใจขนาดนี้เพราะยังไงมึงก็ไม่ได้ผิด...ที่กูเพิ่งรู้ตัวว่าชอบมึงขึ้นมา


“นั่นควรจะเป็นกูไม่ใช่หรอ ที่ต้องรู้สึกกับมึงอย่างนั้น” ผมถามมันแล้วแค่นหัวเราะ “แต่มึงก็ยังดีนะ ยังเป็นห่วงเป็นใยกู...ยังมาทำปกติกับกู ทั้งที่มึงก็รู้แล้วว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง...” 


พิกกลืนน้ำลายลงคอ มันถอยห่างออกจากผม ก่อนจะก้มลงมองตักตัวเอง


“ก็เพราะมึงเป็นเพื่อนของกู...มึงเป็นเพื่อนรักกู แล้วจะให้กูทำไง...ต้องโกรธไหม ที่มึงชอบกู”


“...”


“เพราะกูไม่โกรธ...ไม่อยากทำให้มึงต้องอึดอัด กูถึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นดีกว่า”


ก็อาจจะจริงของมัน...บางทีคนเราก็เลือกจะเมินเฉยต่อสิ่งที่ทำให้อึดอัด ทั้งที่ควรจะเคลียร์ให้จบ แต่สิ่งที่กัดกินหัวใจผมต่อจากความรู้สึกที่มันกลัวว่าผมจะอึดอัดคือมันเห็นผมเป็นแค่เพื่อน...เพราะว่าเป็นเพื่อน ผมจึงไม่ผิดอะไรสักอย่าง ไม่ผิดกระทั่งคิดแบบนี้กับคนที่คิดว่าตัวเองเป็นเพื่อน


“มึงนี่...ใจร้ายนะ” ยิ่งคุย ก็ยิ่งเหมือนกับลำคอตัวเองจะตีบตันไปหมด ลมหายใจผมเหมือนจะขาดห้วง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำหน้ายังไง รู้แค่เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับมันนี่มันน่าตลกสิ้นดี


 “กูขอโทษ...” พิกเอ่ยเสียงเบา เงยหน้ามองผมแล้วเอื้อมมือมาแตะบนหลังมือราวกับจะให้กำลังใจ ผมรู้ว่ามันพูดได้เพียงเท่านั้น รู้ว่ามันกำลังรู้สึกอะไรที่ผมไม่กระดิกตัวแม้แต่จะชักมือกลับ


ความเงียบช่างยาวนาน ผมเพิ่งได้มีโอกาสสัมผัสมันเองก็วันนี้ นี่สินะที่เขาพูดกันว่า ‘เวลาทุกข์ นาฬิกามักเดินช้าเสมอ’ 


“กู...จะกลับแล้ว”  พิกพูดพร้อมกับขยับตัวออก มันค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้น ก้มลงมองผมด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ได้ ก่อนจะยิ้มฝืน ๆ ออกมา


“อืม”


นาทีนี้ผมทำได้เพียงแค่ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น มองมันลุกขึ้นไปเก็บกระเป๋าตัวเองช้า ๆ และในที่สุด ใช้เวลาเพียงไม่นานมันก็เดินไปถึงประตู... 


“กู...ไปแล้วนะ”


พิกเอื้อมไปแตะลูกบิดโดยที่มืออีกข้างก็จับสายสะพายเป้ แววตาของมันที่ใช้มองผมในเวลานี้ทำให้รู้สึกประหลาดจนบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกแย่ หรือรู้สึกดีกันแน่ที่มันยังพยายามทำตัวเป็นปกติขนาดนี้ ในขณะที่ผม...แค่จะลุกเดินไปส่งมันยังทำไม่ไหว


ผมทำตัวเป็นปกติอย่างมันไม่ได้จริง ๆ


“...ไม่ไปส่งนะ”


ผมส่งยิ้มให้กับพิก ด้วยคำสอนของม๊าที่เคยบอกเอาไว้ ‘ไม่ว่าจะทุกข์ แค่ไหน ถ้ายิ้มเอาไว้เดี๋ยวก็ดีเอง’ ดังนั้นผมจึงยิ้ม ยิ้มให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่พรุ่งนี้ผมกับมันจะยังคงคำว่าเพื่อนเอาไว้ได้


“อืม...เจอกันพรุ่งนี้”


พิกหัวเราะหน้าแห้ง...บานประตูอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว แต่แค่เดินไปหามันแล้วรั้งเอาไว้ยังทำไม่ได้ นาทีนี้ สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือนั่งมองมันเปิดประตูเดินออกไปจากห้อง ก่อนจะทอดตัวลงกับพื้น มองเพดานแล้วทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา...


ไม่ใช่ว่าไม่เคยอกหัก แต่ทุกครั้งที่เสียใจ ผิดหวัง หรือแม้แต่มีน้ำตา แค่กดเบอร์โทรหาพิกทุกอย่างก็เหมือนกับจะมลายหายไป ผมสามารถลุกขึ้นยืนและยิ้มได้อย่างจริงใจเมื่อมีมัน  แต่พอเรื่องราวกลายมาเป็นอย่างนี้ ผมก็ไม่รู้จะโทรหามันดีไหม เหมือนขาดที่พึ่งทางใจทั้งที่เราไม่ได้สะบั้นความเป็นเพื่อนให้ขาด แต่ลงท้ายเรื่องราวเป็นแบบนี้แล้วก็คงไม่มีหน้าจะโทรหามัน...ไม่มีหน้าจะยิ้มได้เพราะมันอีกแล้ว


ในเมื่อเรื่องกลายเป็นอย่างนี้แล้วผมควรจะทำอย่างไรต่อ
ควรจะชอบมันต่อไปไหม....หรือควรจะตัดใจดี?


_____________________________________________________


GIANT’s PART[/center]


ผมตัดใจเดินออกมาจากบ้านเชี่ยวชาญด้วยความรู้สึกไม่บอกไม่ถูก


ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นที่ตอนไหนเพราะไม่ได้ถาม แต่ที่แน่ ๆ มันทำให้เราทั้งคู่อึดอัดแทบตายในตอนที่รู้ ความจริง...

รู้สึกผิด ที่ผมไม่เอ่ยปากถามมันเองตั้งแต่แรกก็เพราะกลัวว่าจะเป็นอย่างนี้นั่นแหละ พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้ว ก็รู้สึกเหมือนกับว่าที่พึ่งมันหมดไปเลย จากที่เคยมีคนมาห่วงใย ก็โหวง ๆ ไป...

แต่คนที่หนักกว่าผมคือไอ้ชาน... มันจะต้องทำใจลำบากแน่ ๆ ถ้ายังมีผมวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ  แต่ก็ต้องนับถือความจริงใจของมันอีกนั่นแหละ ไม่รู้ว่ามันไปรู้มาจากไหนว่าผมรู้แล้ว ทั้งที่จะเก็บเงียบแล้วค่อย ๆ เฉลยก็ได้ แต่ก็ยังกล้าเข้ามาพูดคุยตรง ๆ เพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์ของเราคาราคาซังไปแบบนี้


ผมขึ้นรถเมล์โดยที่ไม่มองป้าย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะพาไปหยุดอยู่ตรงไหน ทุกอย่างเหมือนความสัมพันธ์ของผมกับโนบิตะ แล้วก็ไอ้ชานในตอนนี้ มันมองไม่เห็นทางเลยว่าจะมีอะไรดีขึ้น หรือถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย ผมเหมือนคนหลงทาง มีแต่หนามอยู่รอบกาย หันไปทางไหนก็เจ็บ แตะตรงไหนก็ปวด แต่ก็ช่วยไม่ได้เลย ในเมื่อต้นไม้มันขึ้นของมันเอง


“รถเสียนะครับ รบกวนลงไปเปลี่ยนคันด้วยนะครับ” ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยหันมายิ้มให้เขาฝืน ๆ ราวกับจะไล่ทางอ้อม


ผมมองผู้คนกำลังทยอยเดินลงอย่างเหนื่อยใจ อันที่จริงผมอยากจะนั่งอยู่อย่างนี้ให้รถเมล์มันพาผมวนไปสุดที่หมายใหม่ แต่ก็จำใจต้องลง เพราะดูเหมือนว่ารถจะเสียจริง ๆ


สุดท้ายก็ต้องลงจากรถเมล์ทั้งที่ยังไม่ถึงที่หมาย แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจคือเบื้องหน้าผมเป็นคอนโดของใครบางคนที่คุ้นเคย... ที่จริงผมไม่ได้คิดจะมาหามันเลย แต่เคยได้ยินไหม ถ้าใจเราพาไปไหน เท้าก็จะตามคุณไปทุกที่


แล้วตอนนี้ใจของผมอยู่ที่ไหน?
คำตอบมันก็เห็นชัด ๆ แล้วว่า...อยู่กับเจ้าของห้องหนึ่งในคอนโดนี้นั่นแหละ
โนบิตะ...
.
.
.
.
“นี่ห้องหรือรังหนูวะเนี่ย...”


ผมบ่นออกเสียงเป็นนางเอกซีรี่ส์เมื่อเปิดห้องออกมาแล้วเจอสภาพอย่างที่เห็น จำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วมันยังสะอาดเอี่ยมอ่องไม่มีฝุ่นผงเพราะผมเพิ่งจัดการไปเอง แต่มาวันนี้เสื้อผ้า เศษถุงขนม กล่องข้าวกลับวางระเกะระกะ แถมดูไม่มีชีวิตชีวาอย่างกับว่าร้างคนมานับแรมปี


มองเข้าไปไม่เห็นใครก็จัดการเก็บกวาดทำความสะอาดอย่างเร่งรีบ ใจหนึ่งก็รู้สึกดีที่ไอ้เก้ามันไม่อยู่ แต่อีกใจก็อยากให้มันอยู่ เพราะต้องการเคลียร์เรื่องเกี่ยวกับเราให้รู้เรื่อง ก็ไอ้วันนั้น มีแต่มันที่รู้เรื่อง แต่ผมไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ถึงได้ยังเอาแต่คิดถึงมันอยู่อย่างนี้ เลยคิดว่าบางที ถ้าได้มีโอกาสถามไถ่มันตรง ๆ ผมอาจจะยืนตรงกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้



ใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมงในการทำความสะอาดตั้งแต่หน้าประตูห้องจนถึงระเบียงด้านหลัง ทั้งขัดห้องน้ำ ขัดพื้นจนเงาวับ สุดท้ายผมก็ตรงไปที่ตะกร้าผ้าเพื่อจะทำภารกิจสุดท้ายให้เสร็จ น่าตลกดีใช่ไหมที่ผู้ชายวัยรุ่นอย่างผมทำความสะอาดเก่งขนาดนี้ จริง ๆ มันก็เป็นเพราะผลพวงจากการโขกสับของคุณนายแม่นั่นแหละ ที่ทำให้ผมแทบจะกลายเป็นแม่ศรีเรือนไปแล้วทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ชาย


ผมจัดการหอบตะกร้าผ้าที่ยังไม่ได้ซักเข้าห้องน้ำไป เทผ้าลงกะละมัง หันไปสำรวจก๊อกน้ำที่อยู่ด้านขวามือ เกือบจะเปิดน้ำใส่แล้วเชียวสายตาก็ดันเหลือบไปเห็น...


ชุดชั้นใน กับ กางเกงในแบบซีทรูสีดำเว้าหน้าเว้าหลังสุดเซ็กซี่...
อา...ถึงกับชะงักมือที่จะเปิดก๊อกน้ำกันเลยทีเดียว


อย่างนี้เองสินะ... จำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมเก็บกวาดจนเอี่ยมอ่อง แน่ใจแล้วว่าไม่มีชิ้นส่วนของใครหลงเหลืออยู่ (เพราะทิ้งเองไปกับมือ) แล้ววันนี้มันมาได้ไงวะ...มันมานอนตะแคงบิดเป็นเกลียวเลขแปดอยู่ในตะกร้าผ้าเจ้าของห้องนี้เองได้ไง?


หรือว่ามีขาเดินมาเอง
…ปัญญาอ่อน แม่งจะเดินมาเองได้ไง นอกจากเจ้าของห้องนี้มันพามา


แค่เห็นก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ผมผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งซักผ้าทันทีที่เห็นสิ่งนั้นชัด ๆ พยายามหยีตาแล้วเบิกเนตรมองใหม่ แต่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งสิ่งที่เห็นก็ยังเป็นภาพเดิม ไม่มีทางเป็นของไอ้เก้า... ไม่มีทางที่มันจะลุกขึ้นมาใส่อะไรแบบนี้เดินร่อนไปร่อนมาประมาณว่าเป็นรสนิยมที่แอบแฝงแน่


แล้วถ้างั้นจะเป็นของใครล่ะ?


สาบานได้ว่าในหัวผมเอาแต่คิดหาจุดบอดของเรื่องนี้ พยายามนึกหาเหตุผลร้อยแปดพันประการมาแก้ตัวให้โนบิตะ ทั้ง ๆ ที่ก็เห็นอยู่ตำตาว่าอะไรเป็นอะไร


ฮ่าฮ่าฮ่า...เหมือนคนบ้าเลยว่าไหม   
กูนี่ แม่ง..บ้าฉิบหาย ควายแท้ไม่มีวัวผสม


นี่ผมมาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย มาทำงานบ้านให้มันเป็นบ้าเป็นหลังทั้งที่เจ้าของเค้าก็ไม่ได้สนอกสนใจอะไร มาหามัน คิดถึงมันทั้งที่เจ้าตัวเขาก็เอาคนอื่นมานอนค้างทำเหมือนผมไม่เคยมีตัวตนในใจ


แม่ง...ไอ้เหี้ยเอ๊ย ไม่ชอบแล้วมาทำอย่างนี้กับกูทำไมวะ!
เออ ! อยากจะไปหาใครก็เรื่องของมึงเลย เชิญ... กูจะไม่ตามล้างตามผลาญให้มึงต้องรำคาญใจอีกแล้ว


คิดได้อย่างนั้นก็หันไปล้างมือแล้วตบหน้าตัวเองไปที ยืนเคว้งอยู่ตรงนั้นเกือบครึ่งนาทีก็ตัดสินใจได้ว่าควรจะต้องกลับ ผมเกี่ยวชั้นในซีทรูของคู่ขามันแขวนตรงลูกบิดประตูห้องน้ำ ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับทิ้งกุญแจสำรองเอาไว้บนโต๊ะรับแขกหน้าทีวี ทิ้งทุกอย่างคาไว้อย่างนั้นโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปอีก


ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่ผมมาทำบ้าบออะไรอยู่ตรงนี้ ความน้อยใจแล่นริ้วขึ้นมาเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าหมู่นี้บ่อน้ำตาชักจะตื้นแปลก ๆ ความเข้มแข็งที่เคยมีพังทลายลงมาหมด ไอ้ที่ผมกังวล เครียด เป็นห่วง คิดมากอยู่คนเดียวดูเหมือนอีกฝ่ายเขาจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย


ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ยิ่งโกรธก็ยิ่งเสียใจ ผมปล่อยวางไม่ได้เลยพอเป็นเรื่องอะไรเกี่ยวกับไอ้เก้า อันที่จริงมันก็ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะได้เสียกับมันแล้ว คิดตลบไปตลบมากี่หน พอเห็นคนอื่นแกล้งมันผมก็ทนไม่ได้... จริงอยู่ที่เริ่มจากการแกล้งกันแบบเด็ก ๆ จนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ แต่นี่มันมากเกินไปหน่อยแล้วมั้ง ใจผมแม่งไม่ได้แกร่งเหมือนหินผานะเว้ย ที่จะสามารถทนกับความรู้สึกแบบนี้ได้ตลอดเวลาโดยไม่หน่วง ไม่เหี้ยอะไรเลยเหมือนไอ้บ้านั่น!


จบแล้ว...พอกันที ผมรีบสาวเท้าออกจากคอนโดของมันก่อนจะโบกแท็กซี่แถวนั้นเพื่อให้ไปไกลจากที่นี่เร็วที่สุด นั่งอยู่ในรถ มองออกไปนอกหน้าต่างยังอดรู้สึกเจ็บในใจไม่ได้...


พัง พังฉิบหาย พังที่สุดในชีวิต..เลิก เลิกคิดได้ไหม ขอร้อง มึงจะคิดถึงมันทำไมวะ ในเมื่อมันไม่ได้คิดถึงมึงเลย มันไม่ได้ชอบมึงเข้าใจไหมพิก มันเบื่อมึงแล้ว เลิกคิดถึงมันสักที ขอร้องล่ะ...


อย่าร้อง ไอ้เหี้ย...ยิ่งห้ามน้ำตายิ่งไหล สองสามวันมานี้ผมร้องไห้เหมือนกับว่าทดแทนทั้งชีวิตที่ไม่ได้ร้องตั้งแต่ครั้งยังเป็นทารก ที่จริงผมเป็นคนนิสัยไม่ดีเลยนะ แข็งกร้าว เกเร ภาพลักษณ์ของคนเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่มีน้ำตา แต่สุดท้ายแล้ว น้ำตามันก็เป็นของคู่กับทุกคนไม่ใช่เหรอวะ ไม่ว่าใครก็ร้องไห้ได้ ไม่ว่าใครก็เสียใจได้ ไม่ใช่ว่าผมไม่มีสิทธิ์เสียใจนี่หว่า


นี่เป็นอีกครั้งที่ผมต้องแอบขึ้นบ้านเพราะไม่อยากให้ใครเห็นตัวเองในสภาพแบบนี้ รู้สึกแย่เหี้ย ๆ ที่จะต้องมาทำหลบ ๆ ซ่อน ๆ  เหมือนโจรที่กำลังจะปล้นบ้านคนอื่น ดีนะที่แม่กับไอ้พิมพ์หลับแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้ามีใครได้เห็นหน้าผมตอนนี้ต้องโดนถามว่าไปทำอะไรมาแน่ ก็ทั้งหน้าทั้งตาผมมันบวมไปหมด เหมือนศพลอยน้ำอืดมาติดชายฝั่งทั้ง ๆ ที่ยังเป็นคน
 

ผมเดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เห็นตาตัวเองบวมอย่างกับโดนผึ้งต่อยก็รู้สึกอเนจอนาถ อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงขึ้นมาทั้งที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมายังวิ่งรอกทำความสะอาดไปทั่วห้องโนบิตะอยู่เลย ไอ้อารมณ์แบบนี้ไม่เคยพบเคยเจอ รู้อย่างเดียวว่าอยากทิ้งตัวนอนบนเตียงนุ่ม ๆ แล้วหลับไปทั้งอย่างนั้นโดยที่ตื่นไม่ต้องจำอะไรที่สะเทือนกับใจทั้งสิ้น


ผมไม่รู้จะทำยังไงเลย ไม่รู้ว่ากำลังอดทนกับอะไรอยู่ ไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดที่ตรงไหน ปลายทางมันดูมืดมนขมุกขมัวไปหมด ไม่อยากโทษคนอื่น อยากโทษแต่ตัวเองที่เผลอถลำลึกลงไป เหนื่อยที่ทำอะไรไม่ได้ หดหู่ที่ทุกอย่างเหมือนกับโดนขวางให้มองทางไม่เห็น ไม่รู้ว่าจะสามารถระเบิดอารมณ์ลงกับใครได้บ้าง ตอนนี้จะมีใครรับฟังเราได้บ้าง เมื่อทุกอย่างมันพังทลายลงไปหมดแล้ว...


หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์หน้าจอดู ไม่มีเบอร์โทรเข้า ไม่มีไลน์ของใครเข้ามา อย่างหนึ่งก็น่าจะเพราะเหตุการณ์เมื่อก่อนหน้า... ทุกอย่างมันบีบบังคับไปหมด ผมไม่กล้าแม้แต่จะโทรหาเพื่อนตัวเองในขณะที่รู้สึกแย่ที่สุด ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร เพราะมันเป็นปัญหาของผมเอง ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นควรจะต้องมารับรู้หรือเครียดไปด้วย


สุดท้ายผมก็ทิ้งตัวลงบนที่นอน ปล่อยให้ลมจากเครื่องปรับอากาศลอยลงมาเป่าหน้า ไอเย็นจากแอร์คอนดิชั่นที่ติดอยู่บนหัวเยื้องไปสี่สิบห้าองศาทำให้น้ำตาผมแห้งเหือดไปในที่สุด อย่างน้อยก็ยังรู้สึกดีที่มีบ้านให้กลับ ได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่แสดงถึงความใส่ใจของแม่แล้วก็ได้แต่รู้สึกผิด บอกตัวเองว่าควรเข้มแข็งสิวะ เรื่องแค่นี้เอง กูต้องผ่านไปให้ได้ เพื่อคนที่เขารักเรา แล้วเราก็รักเขาเหมือนกัน


เจ็บแค่นี้คงไม่ตายหรอกมั้ง ข่มตาหลับ ๆ ไปเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็ดีขึ้นเอง...


_____________________________________________________


ขออนุญาตให้ชื่อแท็กว่า #โนบิโนบิ แล้วกันค่าเอาไว้ติดตามเนอะ

ตกใจมากอะ ไม่คิดว่ายังมีคนรออ่าน ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีแล้วกันนะคะ ที่ได้กลับมาเขียน
อนึ่ง ในฟิค และในนิยาย จะมีตอนพิเศษไม่เหมือนกันคะ จะเขียนเพิ่มตอนพิเศษมาอีกค่า

และนิิยายเรื่องนี้ กับ #ช่างรักของเรา ตอนนี้อยู่กับ ฟาไฉ จ้า ก็จะพอร์นๆกันไป

สุดท้ายนี้ขอบคุณที่ยังรอนะคะ บางคนรอมานานมาก ข้ามภพข้ามชาติเลย 555
ขอบคุณมากค่ะ

ติดต่อได้ที่

Twitter



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2018 00:13:01 โดย กิมกวง »

ออฟไลน์ กิมกวง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
23
NOBITA’s PART
 


เสียงร้องจากนาฬิกาปลุกบนมือถือแผดเสียงลั่นเรียกให้ผมตื่นจากการหลับใหล เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเห็นแสงรำไรจากไฟด้านนอกห้องทำงานแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว หันไปมองนาฬิกาติดผนังก็ได้ความว่าตอนนี้เป็นเวลาตีห้ากว่า...เช้าขนาดนี้ยังมีคนไม่กลับบ้านอยู่อีกหรือไง


ตัดสินใจเดินออกมาจากห้องทำงานก็เจอพี่เกื้อนั่งกดมือถืออยู่บนโซฟาที่โซนดนตรีสด ก้าวไปยังไม่ทันถึงตัวด้วยซ้ำอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมา คนสนิทของผมกำลังส่งยิ้มให้ทั้งสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรง



“อ้าว คุณเก้า ตื่นแล้วเหรอครับ”


 “ครับ...พี่เกื้อล่ะ ทำไมยังไม่กลับ”


ผมถามเขาในขณะที่ทรุดตัวลงข้าง ๆ สองสามวันมานี้ผมลุยงานอยู่จนดึก บางทีก็อยู่จนเช้า วันแรกก็มีลูกน้องในร้านอยู่ด้วยประปรายเพราะไม่กล้ากลับก่อนเจ้านาย แต่วันหลัง ๆ มานี่ ถ้าไม่ใช่พี่เกื้ออยู่รอ ก็เป็นคนเก่า ๆ ที่แวะเวียนมาหาหลังจากตกลงกันได้แล้วว่าผมจะกลับไปเป็นอย่างเดิม...


นั่นคือไม่มีพันธะใดใดต่อใคร ...ไม่ลงหลักปักฐานว่าจะมีใครในใจ ให้ทุกวันผ่านไปอย่างไม่มีจุดหมายเหมือนที่เคยผ่านมา


 “ก็รอคุณเก้านี่แหละครับ...ช่วงนี้คุณเก้าอยู่จนเช้าทุกวัน ให้ขับรถกลับเองก็กลัวจะเป็นอันตราย” พี่เกื้อกดปิดหน้าจอมือถือแล้วสไลด์มันออกไปให้ห่างตัว “แล้วนี่ไหวไหมครับ ไม่สบายหรือเปล่าทำไมเสียงแหบ ๆ”


 “ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ แค่เพิ่งตื่นเสียงเลยเป็นอย่างนี้” ผมยิ้มอ่อนแรงเนื่องจากเพิ่งตื่นและเหนื่อยสมองจากทบทวนอะไรหลาย ๆ เรื่อง  “ที่จริงผมไหวนะครับ...พี่ไม่ต้องอยู่รออย่างนี้ก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ผมโตแล้วนะ”


 “โตแล้วแต่ก็ยังต้องเป็นห่วงครับ” พี่เกื้อเงียบไป ทิ้งจังหวะเล็กน้อย  “คุณเก้าน่ะ ชอบคิดมาก ชอบฝืนตัวเอง...ตั้งแต่กลับมาจากไปเที่ยว หลายวันมานี้ก็ดูเหนื่อย ๆ นะครับ แถมข้าวก็ทานแทบไม่หมด...แน่ใจนะครับว่าไม่ได้กำลังป่วยอยู่”


พี่เกื้อถามย้ำด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ในแววตานั้นแสดงให้เห็นถึงความเอื้ออาทรที่มีให้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่อยู่ด้วยกัน พี่เกื้อก็เหมือนพี่ชายของผมคนหนึ่ง เราอยู่ด้วยกันมานานจนรู้ไส้รู้พุงหมด ยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่ผมเครียด พี่เกื้อก็มักจะเป็นคนแรกที่อยู่ข้างผมเสมอ


 “ครับ...ไม่ได้ป่วย เพียงแต่ว่าช่วงนี้มีเรื่องให้คิดเยอะหน่อย”


 “เรื่องคุณพ่อเหรอครับ” ผมส่ายหน้า อยากจะหัวเราะออกมาเมื่อคิดย้อนกลับไป ถ้าเป็นเมื่อก่อน คุณพ่อคือคนเดียวที่ทำให้อารมณ์ของผมไขว้เขวไม่คงที่ได้ แต่ตลกยิ่งกว่าที่ตอนนี้มีพิกเข้ามาทำให้ผมเครียดจนแทบไม่อยากทำอะไรแทน


แค่จะล้มตัวนอนเตียงของตัวเองที่มีกลิ่นของเขาก็ยังไม่อยาก
ถึงได้ต้องหาคนอื่นมาประทับตราเป็นตัวแทนวันต่อวันไปเรื่อย...


 “ไม่ครับ”


ผมกดยิ้มพลางระบายลมหายใจออกมา ได้ยินอย่างนั้นสีหน้าพี่เกื้อยิ่งไม่ดี อีกฝ่ายเขยิบตัวเข้ามาหา วางมือไว้บนบ่า ก่อนจะผ่อนน้ำหนักลงแล้วบีบเบา ๆ ราวกับจะให้กำลังใจ


 “...ถ้าอย่างนั้นจะมีเรื่องอะไรให้คุณเก้าไม่สบายใจได้อีก”


น้ำเสียงของพี่เกื้อดูเหมือนกำลังต้องการจะปลอบประโลม ฟังอย่างนั้นแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เพราะสาเหตุแห่งความวุ่นวายทั้งหมดมันเกิดขึ้นมาจากผม แต่ที่พูดอะไรไม่ออกก็เพราะในหัวมีแต่ภาพคนหนึ่งคนยืนร้องไห้อยู่ที่ทะเล จะว่าผมไม่เข้าใจอะไรเลยก็คงไม่ใช่ แต่ถ้าให้พูด น่าจะบอกว่าไม่พร้อมจะเข้าใจอะไรมากกว่า


ในความคิดของผม... ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วไป มันเร็วไปจริง ๆ สำหรับคนสองคนที่จะเปลี่ยนสภาพจากเพื่อนเป็นคนรักทั้งที่คนทั้งคู่ยังไม่เข้าใจความหมายของเหตุการณ์ที่ผ่านมาเลยด้วยซ้ำ จะว่าผมเป็นคนขี้กลัวก็ได้ ใช่ ผมขี้กลัว...แต่มันแปลกเหรอ ถ้าหากผมกลัวที่จะต้องเริ่มต้นมีใครอีกคนเข้ามานั่งในใจทั้งที่ในหัวของเขามีใครอีกคนตลอดเวลา


มันไม่ผิดที่พิกจะเอาแต่คิดถึงความรู้สึกของชาน แต่มันผิดที่ผมปรับสภาพอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย กับแค่คนหน้ามึนคนเดียวทำเอาผมเสียศูนย์ โดนผมเอาเปรียบไม่รู้ตั้งกี่ร้อยหนยังไม่รู้ตัว...แต่ถึงอย่างนั้นก็หยุดคิดถึงไม่ได้เลย...


ยิ่งตวาดไปก็ยิ่งห่วง


เขาทำได้ยังไงกันนะ... ทำได้ยังไงกันทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ฉลาดอะไรขนาดนั้น ทำได้ยังไงกันที่ทำให้ผมเอาแต่คิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลาจนลืมไปว่าตัวเองเคยเป็นที่ต้องการของใครต่อใครมากมาย


 “เงียบไปแบบนี้...หรือกำลังมีความรักครับ?” 


จากแววตาเห็นใจกลายเป็นเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นผมเงียบไป ตอนนี้พี่เกื้อปล่อยมือออกจากบ่าแล้ว และกำลังกอดอกนั่งเอนหลังหลังกับพนักโซฟาโดยใช้สายตาพิจารณาผมแทน


 “อา...” ผมขมวดคิ้ว พยายามคิดว่ามันใช่ไหม? แต่ถ้าให้พูด ก็น่าจะหมายถึงชอบมากจนพาลคิดเรื่องอื่นไม่ได้แล้วต่างหาก


 “ว่ายังไงครับคุณเก้า...เรื่องความรักจริง ๆ ใช่ไหม” ยิ่งถามสีหน้าก็ยิ่งเปลี่ยน จากเครียด กลายเป็นว่าตอนนี้พี่เกื้อยิ้มจนปากกว้าง ตาหยีไปหมด


 “ไม่รู้สิครับ...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเรียกว่าชอบได้ไหม” 


 “ทำไมล่ะครับ รักข้างเดียวเหรอ?” พี่เกื้อเลิกคิ้ว สีหน้าแช่มชื่นขึ้นผิดหูผิดตาราวกับจะล้อเลียน


ผมส่ายหน้า “ไม่ครับ...คนละเรื่องเลยต่างหาก”


 “หือ...”


 “ผมหักอกเขา...” ภาพใบหน้าพิกตอนร้องไห้ผุดขึ้นมาในหัว “ผมปฏิเสธเขาครับ”


เสียงเป่าลมฟู่กับเสียงหัวเราะในลำคอของพี่เกื้อทำให้ผมถึงกับต้องขมวดคิ้วมุ่น สายตาของอีกฝ่ายดูล้อเลียนในขณะเดียวกันก็ดูสงสารผมไปด้วย


 “ทำไมล่ะครับ...ปฏิเสธเขาเอง แต่กลับต้องมานั่งเครียดนี่ ยังไงกันแน่ครับครับคุณเก้า” คำพูดของเกื้อทำให้ผมฉุกคิด แต่ถึงอย่างนั้นก็เหมือนประโยคคำถามที่เว้นช่องว่างเอาไว้ให้ตอบ สายตาของคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าจ้องสบมาในนัยน์ตาผมราวกับว่ากำลังจะบอกอะไรบางอย่าง


 “...”


 “ถ้าไม่ได้ชอบเขาเหมือนกัน...ก็คงไม่เครียดขนาดนี้หรอก ใช่ไหมครับ? แต่ถ้าชอบ แล้วทำไมถึงได้ปฏิเสธเขาไปแบบนั้นล่ะครับ”


 “ผมคิดว่าเขาไม่ได้ชอบผมจริง ๆ  คิดว่าเขาควรมีเวลาทบทวนตัวเองมากกว่านี้”


 “เรื่องแบบนี้ คิดแทนกันได้ด้วยเหรอครับ...”


คำถามของพี่เกื้อจี้ตรงจุดเกินไป มันราวกับเอาเหล็กร้อนมานาบบริเวณแผลสดให้เหวอะยิ่งกว่าเดิม


 “ผม...” นาทีนี้ในหัวมีแต่คำถาม เสียงของพี่เกื้อเงียบไปแล้ว แต่มันยังทิ้งตะกอนบางอย่างที่กัดกินใจจนต้องถอยออกมาแล้วมองภาพรวมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


 “ผมเข้าใจคุณเก้านะ...เรื่องที่คุณเก้าไม่ยอมเปิดใจให้ใครตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว”


 “...”


 “แต่เรื่องบางเรื่อง ก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ว่าใครก็มีเหตุผลส่วนตัวกันทั้งนั้น...คุณเก้าไม่จำเป็นต้องเก็บทุกเรื่องเอาไปขีดเส้นให้ชีวิตหรอกครับ ไม่จำเป็นต้องเดินตามใครเพราะชีวิตใครก็เป็นของคนนั้น” 


 “...”


 “อย่ากลัวที่จะรักใครเลยครับ เพราะมันไม่ใช่ว่าเราจะสามารถใจตรงกันได้กับทุกคน วันนี้มีคนมารู้สึกดีกับคุณเก้า และคุณเก้าก็รู้สึกดีกับเขา เท่านั้นก็มากเกินพอแล้วไม่ใช่เหรอครับ...จะมีอีกสักกี่คนที่เราสามารถรู้สึกตรงกันในเวลาที่เหมาะสม? มันหายากนะครับคุณเก้า  อย่ากลัวอีกเลย ลองดูสักครั้งก็ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอครับ”


ผมเงียบ พิจารณาสิ่งที่พี่เกื้อพูดทีละประโยค ด้านคนโตกว่า เมื่อเห็นว่าผมนิ่งไปก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน ผมรู้ว่าพี่เกื้อคิดอะไร เขาคงคิดว่าผมรั้นเหมือนทุกครั้งที่เขาเข้ามาเตือนโดยไม่คิดจะเก็บคำพูดเขาเอาไปใส่ใจ พี่เกื้อคงคิดว่าตัวเองพูดอะไรเกินกว่าเหตุไป ถึงได้ผุดลุกขึ้นแล้วจงใจเปลี่ยนเรื่องแบบนั้น


 “อ่า...ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเลยดีไหมครับ ตอนบ่ายคุณเก้ามีเรียนใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปนอนพักผ่อนเถอะครับ”


 “ครับ”


ผมพยักหน้าพลางลุกขึ้นตามอีกคน ไม่คิดจะเอ่ยอะไรต่อเพราะยังไม่ถึงเวลาต้องพูด เห็นด้วยกับที่พี่เกื้อบอกให้กลับไปพักผ่อน ตอนนี้สมองผมต้องการความสงบเพื่อครุ่นคิดอะไรอีกสักอย่างสองอย่างก่อนจะตัดสินใจลงมือทำอะไร...


ก่อนที่ ‘คนสองคน’ จะไม่มีโอกาส ‘ใจตรงกัน’ อีก
.
.
.
.
.
.

“ขอบคุณมากครับ”


ผมเอ่ยขอบคุณพี่เกื้อที่อุตส่าห์เดินมาส่งถึงหน้าประตูทางเข้าหน้าคอนโด พี่ชายคนสนิททำเพียงส่งยิ้มกลับมาให้ ก่อนจะค้อมลงเพื่อทำความเคารพตามปกติที่ทำมาตลอด


 “วันนี้กลับขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะครับ นี่ครับ... โสมที่คุณนายฝากมาให้”


พี่เกื้อหยิบกล่องสีทองขนาดกะทัดรัดออกมาจากด้านในของเสื้อโค้ท ผมมองมันด้วยสายตาเย็นชา คิดว่าพี่เกื้อก็คงจับกระแสนั้นได้เช่นกัน ถึงได้ใช้มือข้างที่สะดวกเอื้อมมาจับมือผมไปรองมันเอาไว้ทั้งที่ผมไม่สนใจอยากจะได้มันด้วยซ้ำ


 “พี่เกื้อเอาไปกินเถอะครับ หมู่นี้พี่ก็นอนดึกเหมือนกัน” ผมดันมันกลับไปหาอีกฝ่าย ซึ่งพี่เกื้อได้แต่ส่ายหน้าทำเหมือนกับรู้ทัน ก่อนจะดันเจ้ากล่องนั้นกลับมา


 “รับไปเถอะครับ คุณนายเป็นห่วงคุณเก้านะครับ...ท่านอยากให้คุณเก้ากลับบ้าน--”


 “ผมเหนื่อยแล้วครับ” รู้ว่าเสียมารยาท แต่ผมก็ยังสวนออกไป ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกอย่างระอา “อยากขึ้นไปพักผ่อน ขอตัวได้ไหมครับ”


 “ได้ครับ...ถ้าอย่างนั้นพักผ่อนเถอะครับ แล้วพบกันครับคุณเก้า”


พี่เกื้อหน้าเสียไปนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมละความพยายามแล้วก้าวถอยออกไปแต่โดยดี พวกเรากล่าวลาเป็นพิธีอีกสองสามประโยคกว่าคนโตกว่าจะยอมขอตัวกลับนั่นจึงทำให้กว่าผมจะได้เริ่มต้นชีวิตประจำวันหลังจากเลิกงานก็ปาไปแล้วเกือบหกโมงเช้า


ผมเดินไปที่ตู้จดรับจดหมาย เริ่มตรวจตราหาใบแจ้งหนี้ค่าบัตรเครดิต ค่าไฟกับค่าส่วนกลางเหมือนที่ทำอยู่ทุกวัน จะแตกต่างก็ตรงคุณยามกะเช้าที่มักจะยืนดูดบุหรี่อยู่ด้านหน้าตอนนี้กำลังนั่งสัปหงกอยู่ในเคาน์เตอร์สำหรับเช็คกล้องวงจรปิด


ทั้งที่ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ความรู้สึกของผมกลับผิดปกติ อันที่จริงผมกดลิฟต์ผิด ๆ ถูก ๆ อยู่สองหน หนแรกกดชั้นผิด หนที่สองแทนที่จะกดปิดลิฟต์ กลายเป็นกดเปิดประตูแทน จิตใจไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเมื่อเริ่มต้นนึกถึงหน้าใครบางคนในคำพูดของพี่เกื้อ... ซึ่งป่านนี้คน ๆ นั้นคงจะหลับฝันดีไปแล้ว


ผมล้วงคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ยื่นไปทาบมันอยู่นานจนเกิดเสียงดังคลิก ไขกุญแจด้านบนระบบล็อกอัตโนมัติอีกครั้งจนประตูเปิดออกเหมือนทุกวัน แต่ภาพที่เห็นตรงหน้า แทนที่จะเป็นสภาพห้องเละเทะเหมือนทุกวัน กลับเป็นห้องนั่งเล่นสะอาดเอี่ยมที่ผมแน่ใจแล้วว่าไม่ได้วานแม่บ้านเข้ามาช่วยเก็บตั้งแต่ก่อนกลับจากไปเที่ยว


จู่ๆ ความรู้สึกหนึ่งก็ตีตื้นขึ้นมาในหัว ตั้งแต่เห็นสภาพห้องผมก็เหมือนจะลืมทุกอย่างไปสิ้น ลืมว่าเคยง่วงนอน ลืมว่าเคยเหนื่อยล้า ขามันขยับไปห้องโน้นห้องนี้เองโดยไม่ทันรู้ตัว


“พิก...พิก”


ผมพยายามเปล่งเสียงเรียก หาคนที่ควรจะอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่ก่อนผมกลับมา แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ หาที่ไหนก็ไม่เจอแม้แต่เงา


ผมสาวเท้าเข้าออกห้องตัวเองตั้งแต่ระเบียง ห้องนอน ห้องครัว โถงด้านนอกอยู่หลายหน ตะโกนเรียกจนแสบคอแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ จนในที่สุดท้ายสายตาก็เหลือบไปเห็นตะกร้าผ้าว่างอันหนึ่งที่บริเวณห้องน้ำระหว่างทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ผมถึงกับผุดลุก ถลาไปในห้องน้ำแทบจะทันที 


แต่ภาพตรงหน้าทำให้รู้สึกเหมือนโดนทุบด้วยค้อนอันใหญ่ที่มองไม่เห็น


นั่นคือบราสีดำของคนที่หิ้วมานอนด้วยเมื่อคืน ถูกแขวนเอาไว้กับลูกบิดประตูด้านในโดยที่ทุกอย่างถูกทิ้งระเกะระกะเอาไว้บนพื้น...



พิกเห็นมันเข้าแล้ว


_____________________________________________________


ขออนุญาตให้ชื่อแท็กว่า #โนบิโนบิ แล้วกันค่าเอาไว้ติดตามเนอะ

จริงๆเก้าเป็นคนคิดมากค่ะ ตามประสาคนทำงานมาแต่เด็กแหละ แหะ ๆ
ด่าได้เลย พระเอกนี่ มีไว้เพื่อด่า

ติดต่อได้ที่

Twitter


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ 999296

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ควรทำไงกับพระเอกเรื่องนี้ดี​ แต่ก่อนอื่นขอสมน้ำหน้าก่อน​   :laugh: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ กิมกวง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
24
GIANT’s PART
 


เช้าวันนี้ไม่สดใสเหมือนเคย...


ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับพบว่าตัวเองรู้สึกตัวก่อนเสียงนาฬิกาปลุกจะเตือนตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง นั่นทำให้หลับไม่ลงจนต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าเตรียมอาหารเช้าก่อนเวลาไปเกือบชั่วโมง ซึ่งอาหารที่ทำวันนี้ก็เป็นเมนูฟูลออฟชั่นอย่างที่คุณนายทั้งสองเห็นแล้วจะต้องตกใจในความอลังการ แต่พอทำกับข้าวเสร็จก็รู้สึกเหมือนชีวิตว่างเปล่าอีกครั้งจนต้องมานอนห้อยคอกดรีโมททีวีเปลี่ยนไปมาท่าทางหมดอาลัยตายอยาก นอนให้เลือดลงหัวอยู่อย่างนั้นไม่ถึงสิบนาทีทั้งคู่จึงทยอยลงมาที่ชั้นล่าง


“ได้นอนหรือยังเนี่ยพิก ตาแกคล้ำเหมือนหมีแพนด้าเลย”


แม่เอ่ยทักหลังจากออกมาจากห้องน้ำ นั่นทำให้ผมผงก ลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาดี ๆ


“นอนแล้วแม่ สงสัยเล่นเกมดึกไปหน่อย” 


แม่พยักเพยิดหน้าแล้วเดินไปที่โต๊ะอาหาร ผมเห็นไอ้พิมพ์ทำตาลุกวาว มันก้มหน้าลงสูดกลิ่นอาหารเหมือนกับว่าไม่เคยเจออะไรดูดีอย่างนี้อีกแล้วในชีวิต


“ทำไมวันนี้จัดเต็มขนาดนี้เนี่ยพี่พิก เลี้ยงฉลองอะไรเหรอ”  อยากจะบอกว่าไม่ได้เลี้ยงว้อย แต่กูนอนไม่หลับต่างหาก


ผมเดินตามสองสาวไปนั่งตักข้าวแจกที่หัวโต๊ะ พิมพ์กำลังใช้ตะเกียบคีบไข่เค็ม ในขณะที่แม่เลิกคิ้วจ้องผมไม่วางตา


“ตาแกบวมด้วย” 


ทัพพีแทบร่วงหลุดมือ ผมกระพริบตาถี่ ๆ ตั้งใจจะให้เนื้อหนังชั้นบวมมันหลุบเข้าไปในเปลือกตาบ้าง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่พ้นสายตาพิฆาตของแม่ แค่คุณนายแม่มองจิกผ่านแว่นตาอันใหญ่ ก็เหมือนผมได้ขายความลับให้ซาตานไปแล้ว


“ร้องไห้ทำไม”


และแล้ววินาทีที่ผมกลัวก็มาถึง ไม่อยากจะพูดอะไรออกมาเลย แต่ทุกคนบนโต๊ะอาหารดูเหมือนจะหยุดทุกการกระทำเพื่อรอคำตอบจากผม กระทั่งไอ้พิมพ์ที่กำลังจะคีบปลาสลิดทอดเข้าปาก มันยังถือคาจ่อเอาไว้ ส่วนแม่น่ะเหรอ ไม่ต้องพูด รายนั้นถึงกับวางหนังสือพิมพ์ที่กำลังจะกางลง แล้วชะโงกหน้าเข้ามาหาผมแทน


“ว่าไงพิก ร้องไห้ทำไม อกหักมารึไง” แม่ยังคงจี้จุดผมไม่เลิก ไม่อยากจะบอกว่านี่แม่งยิ่งกว่าอกหัก แต่เพื่อนมาแอบรัก แล้วยังหน้าด้านไปรักคนที่เขาไม่รักตัวอีก แม่งซวยซ้ำซวยซ้อน ซวยซ่อนเงื่อนจริง ๆ แม่คงช็อคตายถ้าหากผมสารภาพบาปว่าทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้ผมร้องไห้เป็นเผาเต่านั่นเกิดขึ้นจากผู้ชายสองคนที่แม่รู้จักเป็นอย่างดี


“ไม่ได้เป็นไร...แม่อย่ามาเซ้าซี้หนู รีบกินกาแฟสิเดี๋ยวก็เย็นหมด”


“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง อกหักใช่ไหม...ใช่สิ...แบบนี้ไม่อกหักจะเรียกว่าอะไร...” แม่หันไปบ่นคนเดียวก่อนจะหันมาซักไซร้ไล่เรียงเอากับผม “ว่ายังไง คราวนี้ดราม่ามากเลยเหรอ ตาถึงได้บวมยังกับเอาไข่ไก่มาแปะอย่างนี้”


ผมถึงกับวางทัพพีที่จะตักข้าวให้ชามตัวเองลงทันที ยกมือขึ้นสัมผัสบริเวณใต้ตาปูดนูนก็รู้สึกได้ถึงเท็กซ์เจอร์ที่แม่พูดถึง เลยได้แต่ยิ้มแหย ๆ ส่งไปให้


“ก็งี้แหละแม่ นอนดึกไง เล่นเกมเยอะไปหน่อย ช่วงนี้มันเครียด” 


“เครียดอะไรนักหนา เล่นไม่ผ่านก็เรียกพี่ชานมาช่วยเล่นสิ วันก่อนก็เห็นมาหา” ไอ้พิมพ์เอื้อมตัวมาหยิบชามข้าวตัวเองไปไว้ด้านหน้า ก่อนจะใช้ช้อนตักข้าวต้มคำโตใส่ปาก “อีหรอบนี้ ยังไงก็อกหักชัวร์ ไม่ได้เครียดเกมหรอก”


ผมถลึงตาใส่น้องสาวตัวดีที่มีหน้ามาออกความเห็นเรื่องชาวบ้าน แต่ดูเหมือนแม่จะเห็นด้วยกับคำพูดของพิมพ์ คนเป็นผู้ใหญ่กว่าถึงได้ผ่อนลมหายใจแล้วดึงแว่นตาออกก่อนจะเอื้อมมือมาแตะบนมือผมท่าทางจริงจังกว่าทุกครั้ง


“พิก ฟังแม่นะ” คุณนายแม่ถอนหายใจแรง “ไอ้เรื่องความรักเนี่ย ถึงไม่มีมันก็ไม่ตาย เข้าใจใช่ไหม” 


ผมหันกลับมามองแม่ แล้วพยักหน้าแกนๆ


“แต่ที่เรายังรู้สึกค้างคา ก็อาจจะเพราะเหตุผลอะไรหลาย ๆ ในตอนท้ายที่มันดูไม่ค่อยสวยงาม ทำให้เราจำได้แต่สิ่งไม่ดี...อย่างแม่เนี่ย ถามว่าตอนพ่อเราเขาตกลงจะจากไป แม่เจ็บไหม? ใช่แม่เจ็บ...แต่ถ้าแม่ปล่อยให้มันคาราคาซัง สุดท้ายแม่ก็จะยิ่งเจ็บ เพราะแม่จะไม่สามารถลืมพ่อได้เลย” 


“...”


“ไม่แปลกหรอกลูก ที่เราจะจำได้แค่เรื่องล่าสุดที่มันเกิดขึ้นกับเรา...แต่หลังจากเศร้าเสร็จแล้ว ก็ต้องลองมองย้อนกลับไปนะ ว่ามันมีปัจจัยอะไรที่ทำให้คนทั้งคู่ไปกันไม่ได้ หรือ ไม่มีทางไปด้วยกันได้... ลองมองย้อนกลับไปถึงเหตุผลนั้นหรือยัง? สำหรับแม่ ครั้งสุดท้ายที่เห็นเราเศร้ามันก็ยังไม่ถึงปี แต่นี่ก็มาเศร้าใหม่อีกรอบ? แม่ไม่ได้บอกว่าระยะเวลาจะสามารถกำหนดสัดส่วนของความรักได้นะ แต่ที่แม่กำลังจะพูดคือ เราให้เวลาคนที่เราชอบมากพอที่จะทำให้เขามั่นใจในตัวเราบ้างหรือยัง”


“...”


“บางที ความจริงใจมันก็ช่วยไม่ได้ทั้งหมดหรอกนะ ต้องใช้เวลาพิสูจน์ด้วย” 


ผมหรี่ตามองลึกเข้าไปในดวงตาของแม่ มันสั่นไหวเหมือนเคลือบด้วยน้ำใส ๆ นั่นทำให้ผมพลิกมือกลับแล้วเปลี่ยนเป็นกุมมือแม่เอาไว้แทน


“หนูเข้าใจว่าแม่เป็นห่วง...หนูจะลองเอาไปทบทวนดู” 


“อืม แม่ไม่อยากเห็นแกซังกะตายเป็นผีตายซาก ยิ่งมีความรักแย่ ๆ เกรดแกยิ่งตก  ตั้งใจหน่อยพิก ถ้ามันแย่นัก แกก็ต้องรู้จักที่จะให้เวลามันสักหน่อย”


“อือ หนูรู้แล้ว” ผมเพิ่มแรงบีบที่มือแม่พลางพยักหน้าไปด้วย


คิดอย่างนั้นจริง ๆ ถึงได้พูดออกไป แต่พอลองย้อนกลับไปมองแล้ว ผมก็อาจจะผิดเองที่เร่งรัดโนบิตะมันเกินไป(?) แต่ไอ้เรื่องที่กูเจอมาเมื่อวานก็มากไปหน่อย มันรู้สึกโกรธครึ่งไม่โกรธครึ่งว่ะ แต่ที่มีปฏิกิริยาออกมาแบบนี้ก็เพราะอย่างแรกเลย กูกับมันไม่ได้เป็นอะไรกันเลยไม่มีสิทธิ์จะโกรธ แต่อีกครึ่งที่ยังรู้สึกโกรธ ก็เป็นเพราะว่าชอบมันนี่แหละ


 “กินข้าวเถอะ” 


สงสัยคุณนายแม่จะเห็นผมเงียบนานเกินไป ถึงได้สะกิดเรียกเพื่อให้เริ่มเปิบข้าวเช้าสักที ผมทำได้แค่พยักหน้า แล้วเริ่มคีบกับใส่ชามที่มีข้าวต้มเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของความจุทั้งหมด ผมบรรจงตักข้าวใส่ปากอย่างเชื่องช้า เวลานี้ไม่มีอารมณ์กินข้าวจริงๆว่ะ


จะสลัดความรู้สึกพวกนี้ได้ไหมวะ...
ไม่อยากเป็นอย่างนี้เลย   
.
.
.
.
.
.

ภาพตรงหน้าคือรถติดยาวเป็นสาย เพราะห่างไปอีกนิดนั้นเป็นประตูมหาลัย ทั้งที่ตอนนี้เป็นช่วงบ่ายแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าจำนวนรถที่เลี้ยวเข้าม.จะไม่น้อยตามไปเลย


วันนี้ผมมีเรียนบ่าย เป็นวิชามาร์เก็ตติ้ง ที่จริงโคตรขี้เกียจ ง่วงชิบหาย ไม่อยากมาเลยด้วยซ้ำ แต่อาจารย์คนนี้โหดมาก เรียกว่าเป็นสเนปของภาควิชานี้เลยก็ได้ ขืนไม่มาเรียนตั้งแต่หนแรก ๆ มีหวังโดนกาหัวมาร์กไว้ให้ F ปลายเทอมแน่ จึงต้องจำใจมาเพราะต้องการรักษาสถานภาพความมั่นคงของเกรดเอาไว้เผื่อขาดปลายเทอมอีกที


เมื่อเช้าพอแม่กับน้องออกไป หลังจากล้างจานเสร็จผมก็หลับเป็นตายจนเกือบเที่ยง ตื่นมาอีกทีเพราะได้ยินเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ แต่พอลุกขึ้นมารับเจ้าของเบอร์ก็ไม่พูดอะไร ปล่อยให้ผมคุยกับอากาศ...ก่อนจะยอมวางเมื่อผมบอกว่าตื่นแล้วและกำลังเตรียมจะอาบน้ำ


จะใครซะอีก ก็ไอ้ชานนั่นแหละ... พอวางเสร็จก็ยืนมองมือถือนิ่ง ๆ ไปพักใหญ่ ไม่ใช่ไม่เข้าใจในสิ่งที่มันทำ แต่กลับรู้สึกเป็นห่วงมันที่ยังพยายามจะทำอะไรให้เป็นปกติทั้งที่จิตใจมันก็ไม่ได้ปกติ จะบอกว่าผมไม่เข้าใจมันเหรอ? คิดแบบนั้นใจร้ายไปหน่อยมั้ง...เพราะถ้าเจอกับโนบิตะผมก็พยายามจะปกติให้ได้เช่นกัน 


ปกติแบบย้อนกลับไปตอนเมื่อก่อนหน้าที่เราจะตกลงมีอะไรกัน...


“พิก” 


แต่ในระหว่างที่สมองเอาแต่หาคำตอบ เสียงจากด้านหลังก็เรียกให้ต้องเอี้ยวตัวหันไปหา ไอ้ไอ้เฮียนั่นเองครับ มันยืนตาคล้ำคล้ายหมีแพนด้า มือก็ดึงสายสะพายออกจากบ่าแล้วเดินมาหยุดค้ำหัวผมอยู่ข้าง ๆ


“กูขอนั่งด้วย” 


“เอาดิ”  ผมพยักหน้าให้มันแล้วกวาดปากกา ดินสอ ยางลบที่กระจายอยู่ตรงกลางมาฝั่งตัวเอง ไอ้เฮียพูดขอบใจไม่มีเสียง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ


“กูนอนไม่หลับเลยว่ะ” มันพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ใบหน้าเหมือนจะจมลงไปกับเสื้อ


“ทำไม” 


ผมถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันหมายความถึงอะไร เห็นหัวทุย ๆ ของมันส่ายไปมา ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายลงคอก็ได้แต่เอื้อมมือออกไปแตะเบา ๆ ที่บ่ามัน 


“มึงเกลียดกูแล้วหรือยังวะ”


จู่ ๆ มันก็พูดออกมาในขณะที่มือผมยังค้างเติ่งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่น้ำเสียงที่พูดออกมาถึงได้ฟังดูลำบากใจอย่างหนัก ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองมันจากตรงนี้ สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วฟุบหน้าลงไปหามันบ้าง


“จะบอกว่าเกลียดคงไม่ใช่...แต่ถามว่ากูรู้สึกแย่ที่ทุกเรื่องแม่งเหี้ยไปหมดไหม...ก็ใช่”


ผมตะแคงมองเสี้ยวหน้ามันจากด้านข้าง ตอนนี้ไอ้เฮียเงยหน้าขึ้นมาแล้ว มันยืดตัวนั่งหลังตรงแล้วใช้สายตาอ่อนระโหยมองผมแทน


“เฮ่อ กูมาคิดทบทวนแล้ว...กูแม่งแย่ว่ะ”  มันเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ตาสั่น ๆ เหมือนคนจะร้องไห้ “กูขอบอกอีกทีว่าไม่ได้หวังร้าย ที่ผ่านมากูแค่ไม่เคยมีเพื่อนสนิทที่ไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างนี้ กูก็แค่อยากช่วยให้มันดีขึ้น แต่แม่งก็แย่ลงอะ”


“เอาจริง...แค่มึงคิดได้ว่าที่ทำลงไปแม่งแย่ มึงก็ดูดีขึ้นมาอีกนิดละในสายตากู”


“แต่ก็ยังไม่ดีในสายตาไอ้ชานใช่ปะวะ”


“อืม...ก็มึงเหี้ยนี่ สาระแน แล้วยังทำเกินเรื่องจนชาวบ้านเค้าวุ่นกันหมด”


ที่พูดน่ะหมายความแบบนั้นจริง ๆ แต่จะดูดีในสายตาใครอีกไหม นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไอ้เฮียมันจะต้องเผชิญเอง คนที่เข้าใจมันอย่างผมก็มี แต่ก็อย่าลืมว่ายังมีอีกคนที่ไม่พร้อมจะเข้าใจเช่นไอ้ชาน...


พูดถึงในใจได้ไม่ทันขาดคำก็โผล่หัวเข้ามาในห้องพร้อมสภาพอิดโรย ไม่รู้ว่านี่เป็นวันรียูเนี่ยนคนเป็นโรคนอนไม่หลับหรือยังไง ทุกคนที่ก้าวเข้ามาในห้องถึงได้ขอบตาคล้ำราวกับเลี้ยงถุงใต้ตาไว้ดูเล่นอย่างนี้


ไอ้ชานเดินมาหยุดที่ด้านหน้าโต๊ะที่ผมกับไอ้เฮียนั่ง มันไม่พูดอะไรแม้แต่จะหันมาทักทายด้วยซ้ำ อาจเพราะข้างตัวผมมีคนที่มันไม่ต้องการเห็นหน้า วันนี้มันถึงได้ดูเย็นชากว่าปกติหลายเท่า อา...ขอให้เป็นงั้นเหอะ ไม่อยากจะคิดไปไกลเลยว่าที่แม่งไม่ทัก เพราะเหตุผลส่วนใหญ่นั่นมาจากตัวผมเอง


เมื่อเช้าก็ทีนึงแล้ว โทรมาไม่พูด ปล่อยให้ผมพูดอยู่คนเดียวตลอดการโทรเป็นสิบ ๆ นาที ไม่หนำซ้ำตอนนี้ยังเดินดุ่ม ๆ มานั่งโดยที่ไม่พูดคุยซักถามอะไรอีก ลำพังเรื่องที่เกิดขึ้นก็ทำให้หัวผมแทบระเบิดอยู่แล้ว ถ้ายังต้องมาเจอมันเย็นชาใส่อีกผมก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปเหมือนกัน


ผมได้แต่จ้องแผ่นหลังกว้างของเพื่อนสนิท ในตอนนี้มันคิดอะไรอยู่ดูไม่ออกเลยสักนิด ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน แค่เห็นเสี้ยวหน้าของมันก็ยังพอจะเดาอารมณ์ออกได้ แต่นี่อะไร เหมือนมีเมฆบังสายตาผมจนขมุกขมัวมองไม่เห็นทาง ไม่รู้กระทั่งว่าต้องทำอย่างไรต่อ ควรจะทักมันแล้วทำเหมือนปกติ หรือจะนั่งเฉย ๆ รอให้มันเป็นคนทักเองดี


“เก้า เก้า”


แต่แล้วเสียงจากประธานเอกสาวเนิร์ดก็ทำให้ผมละความสนใจจากแผ่นหลังที่อยู่ตรงหน้า หันไปตามเสียงเรียกก็เห็นไอ้ตัวปัญหาที่ทำให้ผมนอยด์ทั้งคืนเข้ามาในห้องพร้อมกับแฟ้มสีน้ำเงินเข้ม มันสาวเท้าเข้าไปหาประธานเอกหน้านิ่ง ทว่าแวบหนึ่งที่เราสบตากันตอนมันเดินผ่านแถวที่ผมนั่งก็ทำให้ใจผมเกิดกระตุกขึ้นมาเสียฉิบ


แม่ง อย่าไปมองหน้ามันสิวะ หันกลับมา หันมา


ผมเอาแต่คิดอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา แต่ไม่สามารถบังคับสายตาตัวเองให้มองไปทางอื่นได้ ภาพโนบิตะอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาว ผมเผ้ารุงรัง พอมาลองพิจารณาดูดี ๆ แม่งก็ไม่ใช่ขี้เหร่นะ แล้วทำไมก่อนหน้านี้ผมถึงมองไม่เห็นความดูดีของมันวะ ทั้งร่างกายก็สูงชะรูด บ่าใหญ่ ขายาว มองยังไงก็ทรงเดียวกับพระเอกในการ์ตูนแท้ ๆ


ทำไมกูโง่ขนาดนี้วะ  แม่ง...มองไม่ออกมาได้ไงวะเนี่ยตั้งหลายปี...


“ขออนุญาตนะครับชาน”


เชื่อไหมว่าผมมองมันอยู่อย่างนั้นจนมันเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะตัวข้าง ๆ ไอ้ชาน เห็นมันขออนุญาตอีกคนโดยที่คนมาก่อนไม่รู้อะไรเลยแล้วรู้สึกแปลก ๆ ว่ะ... ไอ้ชานก็ให้แม่งนั่งด้วยแหละ แต่ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่มันพูดขออนุญาตไม่ใช่เรื่องเก้าอี้ตัวข้าง ๆ


ก็เพราะสายตาของมันไม่จ้องผมไม่ยอมวางนั่นไง!


ทว่า พอโนบิตะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้เสร็จสรรพ ไอ้เตี้ยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เสียงดังจนคนทั้งเอกต้องหันมามอง ไอ้เฮียทำหน้าเบ้ ก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะอีกครั้ง แต่คราวหนี้มันหยิบโทรศัพท์มือกดเอาใต้โต๊ะแทน 


ผมไม่รู้ว่ามันกดอะไรยิก ๆ แต่ประหลาดใจที่เสียงไลน์มือถือตัวเองก็ดังขึ้นเช่นเดียวกัน ในใจนึกแล้วว่าเป็นข้อความจากไอ้เฮียแน่ แต่พอเปิดมาดู ที่ไหนได้...ดันเป็นข้อความของไอ้คนที่นั่งหลังตรงอยู่ข้างหน้าซะนี่


                                                   13:02   เมื่อวานขอโทษนะ
                                                   13:02   วันนี้กลับบ้านด้วยกัน มีเรื่องอยากคุย 



ผมเงยหน้าขึ้นมองไอ้ชานจากด้านหลัง นานจนอีกฝ่ายหันหลังกลับมาหากัน เราสองคนสบตากันภายใต้ดวงตาอีกสองคู่ ใช่ ตอนนี้โนบิตะกับไอ้เฮียกำลังมองอยู่ หางตาผมเห็นอย่างนั้น และเมื่อยิ่งเห็นว่าแววตาของคนที่แอบมองอยู่เมื่อครู่เย็นชาขนาดไหน ก็ทำให้ผมตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้นเยอะ 


ผมก้มหน้าลง กดเปิดหน้าจออีกครั้งแล้วตัดใจพิมพ์บางอย่างลงไปที่ไลน์ของโนบิตะแทนที่จะเป็นของเชี่ยวชาญ พิมพ์เสร็จอาจารย์ก็เดินเข้าห้องมาพอดี โชคดีที่อาจารย์เรียกโนบิตะไปหน้าห้องเพื่อทำอะไรบางอย่างตามหน้าที่นักเรียนดีเด่น ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าของมัน...


เพราะผมรู้... ถ้าหากมันเห็นข้อความนั้น
มันจะต้องหันมาหาผมแน่ 

((มีต่อ))


ออฟไลน์ กิมกวง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
suneo’s PART
 



ผมนั่งรอเสียงแจ้งเตือนไลน์จากพิกทั้งคาบ


ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนหนังสือ หรือวิเคราะห์ข้อความบนกระดานสักตัวอักษรเพราะพิมพ์ข้อความไปแล้วอีกฝ่ายไม่ตอบกลับมาสักที 


จนเข็มยาวของนาฬิกาข้อมือตีไปที่เลขสิบสองเป็นรอบที่สองนั่นล่ะ ขณะที่ทุกคนกำลังลุกขึ้นจากโต๊ะ ผมก็หันไปหามันทันทีด้วยความร้อนใจ อดทนได้เพียงเท่านั้นแหละ เพราะมันไม่คิดจะตอบอะไรกลับมาเลยสักอย่าง


“รู้แล้ว...กลับด้วยกันใช่ไหม”


ยังไม่ทันพูดอะไรพิกก็พูดออกมาราวกับรู้ใจ ผมพยักหน้า “ใช่...มึงไม่ตอบกูทั้งคาบ กูก็คิดว่า...”


“คิดว่าอะไร” 


“อืม...ช่างเหอะ ไว้คุยกันสองคน”


ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน  มองพิกที่นั่งอยู่กับที่พักหนึ่งก็ตัดสินใจเอื้อมมือไปจับข้อมือมันเอาไว้ สีหน้าของมันตอนโดนผมแตะตัวดูตื่นตกใจ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่คิดจะปล่อยมือจากมันเลยทั้งที่มันทำหน้าอย่างนั้น


“ไปกันเถอะ ไปคุยกัน”


เวลานี้ผมพูดได้แค่นั้น ไม่สนแม้จะมีสายตาของไอ้เฮียมองอยู่ ผมออกแรงฉุดพิกให้ลุกขึ้น พามันก้าวอาด ๆ อ้อมแถวที่เรานั่งออกไปที่ประตูโดยที่ตัวมันเองไม่ได้มองทางข้างหน้าเลยแม้แต่น้อย...
แต่ไม่ว่ามันจะหันไปมองใครที่อยู่ในห้อง ไม่ว่าจะไอ้เฮียหรือโนบิตะ ผมก็ไม่สนใจแล้ว ผมควรจบความรู้สึกแบบนี้ เอาให้แน่ใจไปสักทีเพราะผมไม่ชินเลยที่เราไม่มีกัน


ผมไม่ชินเลย...ที่ต้องเฉยชาต่อกัน
เพราะชีวิตของผมที่ผ่านมามีมันเติมเต็มอยู่ตลอดจนไม่รู้สึกว่าขาดหายสิ่งไหนไป
.
.
.
.
.
“มึง..ปล่อยมือกูได้แล้วมั้ง” 


เสียงติดจะแหบของพิกพูดเบา ๆ เมื่อรถของผมเคลื่อนตัวมาหยุดอยู่หน้าบ้าน ตลอดทางผมจับมือมันไม่ยอมปล่อยโดยไม่กลัวว่ามันจะอึดอัดหรือลำบากใจ แต่พอมันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแบบนั้นจู่ ๆ ผมก็เพิ่งรู้สึกได้ถึงแรงมือของตัวเองที่กำข้อมือมันแน่นไป... ผมตัดสินใจคลายแรงมือออกนิดหน่อย แต่ยังไม่ยอมปล่อยอย่างเป็นทางการ


“หิวหรือยัง”


 ผมเลี่ยงคำที่มันพูดเมื่อครู่เพื่อเบี่ยงประเด็นรอให้แม่บ้านลงมาเปิดประตูรั้ว  แต่พิกไม่ตอบคำถาม มันกลับพยายามดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมแทน


“ปล่อยกูก่อนชาน...กูอึดอัด”


คำพูดของมันทำให้ผมยอมปล่อยมือออกในที่สุด มันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่แม่บ้านของผมเดินออกมาเปิดประตูรั้วกว้างพอให้รถเข้าได้พอดี ผมจึงต้องเปลี่ยนไปตั้งสมาธิอยู่กับทางตรงหน้าแทน ตัดใจเหยียบคันเร่งไต่ขึ้นเนินแล้วดับรถในที่สุด


ระหว่างทางเข้าบ้านความเงียบก่อตัวเปิดทางให้ความอึดอัดเข้ามาแทรกซึมระหว่างเรา พิกทำเพียงโค้งให้คุณแม่บ้านตอนที่เดินผ่าน ก่อนจะสาวเท้านำขึ้นไปบนบันไดวนด้านที่จะเข้าสู่ห้องของผมอย่างรู้งาน 


“กู...ขอเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหมวะ”
ขึ้นมาถึงห้องมันก็เอ่ยปากขอตัวเข้าห้องน้ำก่อน ถึงจะรู้ว่ามันจงใจอยากหลบหน้า แต่ผมก็ยังพยักหน้าอนุญาตและทิ้งตัวลงบนเตียงเพื่อมองมันเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ


นานเกือบสิบนาทีที่พิกหายเข้าไปในนั้น ผมได้แต่นั่งมองพื้นอย่างไม่รู้จะพูดอะไร เหมือนทุกอย่างในตัวมันสั่นขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ  มองไปมือตัวเองที่แปะอยู่บนตักแล้วก็ได้แต่นึกสมเพช เมื่อคืนผมกัดมันจนกุดติดเนื้อด้านในของนิ้วไปแล้ว


ผมเครียด ยอมรับว่าเครียดที่สุดในชีวิตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน... เพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมมีเพื่อนสนิทตัวติดกันอย่างพิก พอรู้ว่าตัวเองคิดไม่ซื่อกับเพื่อนถึงได้เกิดอาการกลัวไปหมด 


ยิ่งเมื่อตอนกลางวันที่มันไม่ตอบอะไรกลับมายิ่งทำให้ผมเครียด ยอมรับเลยว่าตอนนั้นผมได้แต่นั่งฟังอาจารย์เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา ตาผมมันพร่า มองอะไรไม่เห็นแม้กระทั่งเครื่องหมายสัญลักษณ์บนกระดาน ผมได้แต่สูดลมหายใจเข้าปอด นับ 1-10 วนไปวนมาเป็นร้อย ๆ ครั้ง จนหมดเวลาผมถึงได้หมดความอดทนเช่นกัน


“กู...ขอโทษนะเว้ย พอดีปวดขี้” 


พิกออกมาพร้อมคำขอโทษด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ มันเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงแล้วมองซ้ายมองขวาก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวด้วยท่าทีเหมือนคนไม่คุ้นเคยกับห้องนี้ ผมรู้ว่ามันอึดอัด รู้ว่ามันกำลังกระวนกระวายกับสายตาของผมที่ช้อนมองมันจากด้านล่าง 


“ไม่เป็นไร...มานั่งสิ”


ผมตบลงบนที่ว่างข้างเตียงในขณะที่สายตาก็ยังไม่ละออกจากหน้ามัน ตอนนี้พิกทำได้เพียงพยักหน้าแล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้อีกนิดก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง เราสองคนอยู่ด้วยกันท่ามกลางความเงียบโดยสมบูรณ์แบบ 


“มึง...อยากคุยอะไร” 


น่าตลกดีที่คำพูดของมันฟังดูตะกุกตะกักไปหมด ผมไม่เคยเห็นพิกเป็นแบบนี้สักครั้งแม้กระทั่งตอนที่เถียงกับอาจารย์ ดวงตาของมันดูเลื่อนลอยอย่างกับว่าไม่ต้องการจะเห็นหน้าผมชัด ๆ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่คิดจะบังคับมันให้หันมามองอีกแล้ว


เพราะถ้ามันจะมอง มันควรมองผมด้วยความรู้สึกของตัวเองจะดีกว่า


“กูว่ากูอึดอัด” ผมสารถภาพออกไปพร้อมกับถอนหายใจ ตอนนี้ใบหน้าของพิกอยู่ห่างไม่ถึงคืบ แต่กลับรู้สึกไกลเหมือนยืนอยู่บนเขาคนละลูก เพราะเราไม่สามารถเปิดใจคุยกันได้เหมือนเคย


“อืม...กูก็เป็น” มันพูดแล้วแย้มยิ้มออกมา “แต่ก็ดีใจนะ...ที่เมื่อเช้ามึงยังโทรหากู กูดีใจจริงๆ”


“อืม...”


ผมครางรับในลำคอเมื่อเห็นมันยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อย บอกตรง ๆ ว่าสภาพตอนเราจากกันเมื่อวานมันกวนใจผมมาก ผมไม่เคยเห็นพิกเป็นแบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่มันแย่มากคือวันที่เรากลับจากเสม็ด วันนั้นผมสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะอยู่ข้างมัน อยู่เพื่อให้มันดีขึ้น...แต่แล้วผมก็เป็นคนลงมือทำร้ายมันอีกครั้งเนี่ยนะ?


คิดว่าพิกคงเห็นหน้าตาท่าทางผมดูไม่ค่อยดีถึงได้เอื้อมมือมาแตะเบา ๆ บนตัก แต่นั่นไม่ได้ช่วยปัดเป่าความรู้สึกแย่ออกไปเลยแม้แต่น้อย มันกลับยิ่งทำให้ผมเพ่งสายตามองมันได้ชัดขึ้น อันที่จริงผมน่าจะรู้ตัวเร็วกว่านี้สักหน่อย หลาย ๆ อย่างมันควรจะเข้าที่เข้าทางตามแบบของมันไม่ใช่ที่เป็นอยู่แบบนี้


“คิดอะไรวะ” 


มันถามขึ้นมาหลังจากเห็นผมเงียบไป เราจ้องตากันฟังเสียงเครื่องปรับอากาศทำงานดังหึ่ง ๆ ในห้องนอนโทนสีขาว ผมพยายามค้นหาอะไรบางอย่างในแววตามัน แต่เท่าที่พบก็มีเพียงความห่วงใยระดับเพื่อนที่ส่งมาให้ 


นั่นจึงทำให้ผมตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างออกไป


“กูอยากพิสูจน์” 


“หือ?” 


“กู...กูอยากรู้ว่าตัวเองชอบมึงจริง ๆ ไหม?  มึงก็รู้ว่าก่อนหน้านี้กูไม่มีท่าทีอะไรเลย กูก็เพิ่งมารู้เหมือนกันว่าตัวเองชอบมึงหลังจากไอ้เฮียบอก...กูแค่สงสัยว่าตัวเองแสดงออกอะไรขนาดนั้นเลยเหรอวะ แล้วถ้าทำขนาดนั้นทำไมมึงกับกูไม่เคยรู้ตัวเลย...”


“...”


“อย่างที่มึงก็รู้ กูไม่ได้ชอบผู้ชาย...แต่สำหรับมึง มันอาจเป็นข้อยกเว้น...เพราะงั้น ขอให้กูได้ทดลองอะไรบางอย่างหน่อยเหอะ...ให้กูมั่นใจหน่อยว่าตกลงกูชอบมึงเข้าแล้วจริง ๆ”


 “มึง...จะพิสูจน์ยังไง” 


“กูขอลองจูบมึงได้ไหมวะ” ผมระบายลมหายใจออกทางปาก รู้สึกเหมือนกับว่าโดนหินทุบเข้าให้ที่ท้ายทอย “แค่ครั้งเดียว...นะ”


พิกหรี่ตาลงเมื่อฟังประโยคยืดยาวจากผมจบ มันขมวดคิ้วและกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเลียริมฝีปากตัวเองท่าทางไม่แน่ใจ


“แค่จูบเท่านั้นใช่ไหม” 


“อืม” ผมพยักหน้า สายตาเลื่อนไปหยุดอยู่บนริมฝีปากของมันที่ฉ่ำไปด้วยน้ำลาย 


“เหรอ...” มันนิ่งไปอีกอึดใจ ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง  “งั้น...ลองก็ได้  กูอยากรู้เหมือนกัน” 


ทีแรกผมคิดว่ามันจะโวยวายด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้พิกกลับหลับตาพริ้มแล้วยื่นหน้ามาหา ผมไม่รู้หรอกว่ามันกำลังคิดอะไร แต่จากที่มองมันมาตลอด อย่างหนึ่งที่ผมแน่ใจคือมันก็ไม่ชอบลักษณะความสัมพันธ์ของเราในตอนนี้เช่นกัน


ผมค่อย ๆ บรรจงเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้มัน ด้วยความสูงของผมที่มากกว่ามัน ถึงจะนั่งแต่ผมก็ยังต้องโน้มหน้าลงไปหาทำให้สัมผัสได้ถึงลมหายใจผะแผ่วที่เป่ารดคางตัวเอง สีหน้าของพิกดูอึดอัด แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณที่มันสงบนิ่ง... เพราะถ้าหาไม่เป็นอย่างนั้น ไอ้ก้อนเนื้อเท่ากำปั้นในอกผมก็ไม่มีทางสงบลงได้ง่าย ๆ


เรากำลังจูบกัน... 


นาทีที่ริมฝีปากของผมแตะเข้ากับริมฝีปากของมัน ทำให้รู้สึกราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านไปทั่วตัว ผมสัมผัสได้ถึงอาการสั่นของพิกที่ดูเหมือนจะทวีคูณยามที่ผมบดริมฝีปากลงไป มันหนักหน่วงขึ้นตั้งแต่ตอนไหนผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  รู้อีกทีคือตอนนี้หลังของพิกเอนติดฟูกนอนไปแล้ว


เราจูบกันอย่างบ้าคลั่ง...ไม่สิ ผมคนเดียวต่างหาก ผมจูบพิกอย่างไม่คิดว่าจะสามารถจูบมันได้ด้วยความรู้สึกอย่างนี้ ทันทีที่ริมฝีปากของผมสัมผัสกับมัน แทนที่ผมจะนึกรังเกียจแต่มันกลับตรงกันข้าม ยิ่งจูบมันผมก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความโหยหา อยู่ดี ๆ สัมผัสตอนที่อยู่เกาะก็ประดังประเดเข้ามาทให้ผมหน้ามืดตามัวไปหมด


“พอ...มึง พอก่อน”


เสียงแหบพร่าของพิกพูดขึ้นเมื่อผมละริมฝีปากออก แต่ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตนไหนดลใจให้ผมประกบปากลงไปอีกครั้ง คราวนี้ผมสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของมัน รสจูบหวานชุ่มด้วยน้ำจากปากลิ้นของพิกทำให้ผมแทบบ้า ที่กลางตัวมันตื่นขึ้นมาทั้งที่ไม่จำเป็นต้องสัมผัสเลยด้วยซ้ำ


ชัดเจน... นี่ชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ยิ่งลากปากไปตามแก้มเนียนของมันก็ยิ่งรู้ตัวเลยว่าหลงรักเพื่อนคนนี้จนแทบบ้า นึกโทษตัวเองในความโง่เขลาว่าทำไมถึงได้รู้ตัวช้า ถ้าหากผมรู้ตัวเร็วกว่านี้อีกนิดผมก็คงได้ครอบครองมันทั้งหมด... ทั้งหัวใจและร่างกาย


“ชาน! ไอ้เหี้ย นี่มันเกินไปแล้วนะ”


แต่อยู่ ๆ ทุกอย่างก็เหมือนกับจะดับวูบลงทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนและแรงทุบที่บ่า รู้ตัวอีกทีสายตาก็เลื่อนไปหยุดอยู่ที่ลำคอของพิกเสียแล้ว... แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมเสียใจเท่ากับสายตาของมันที่มองผมขึ้นมาจากด้านล่าง ผมเหมือนคนขาดสติที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังคร่อมมันและตั้งใจจะทำอะไรเกินกว่าเหตุ...


“มึงทำเกินไปแล้ว...”


เสียงของมันขาดห้วงฟังดูน่าสงสาร นั่นทำให้ผมจำต้องเรียกสติตัวเองกลับมาโดยการผละออกจากตัวมันแล้วลุกขึ้นมานั่งห้อยขาลูบหน้าตัวเองตัวเองที่ปลายเตียง


“กูขอโทษ” 


ผมพูดได้แค่นั้น ได้เท่านั้นจริง ๆ เพราะใจผมมันแทบจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว... 
ยิ่งจูบมันก็ยิ่งรู้สึก ยิ่งรู้สึกก็ยิ่งเข้าใจว่ามันไม่ได้คิดไปในทางเดียวกันกับผมเลยแม้แต่น้อย


ผมเห็นสีหน้าของพิก ทั้งอึดอัด ทั้งลำบากใจจะพูด ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ ทุกอย่างที่ผมทำลงไปกลับยิ่งเลวทรามลงเรื่อย ๆ แทนที่มันจะดีขึ้น ก็แย่ลงจนผมไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น อยากจะอยู่คนเดียว อยู่เฉย ๆ อยู่อย่างนี้โดยที่ไม่ต้องมีใครเข้ามาปั่นป่วนหัวใจอีก 


เป็นแบบนี้อีกแล้ว
สุดท้ายก็ลงเอยแบบนี้...ไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่มีทางชอบมันได้จริง ๆ
เพราะสายตาของมัน ไม่ได้มีไว้เพื่อมองผมอย่างคนรักเลย

_____________________________________________________


ขออนุญาตให้ชื่อแท็กว่า #โนบิโนบิ แล้วกันค่าเอาไว้ติดตามเนอะ

ว้อยยยย จะจบแล้ว !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!   :z3:


ติดต่อได้ที่

Twitter

ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1690
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
อ่านเพลินมากกก รู้สึกติดหนึบหนับเลยเจ้าค่ะ หัวใจปวดหนึบๆด้วย หน่วงเหลือเกินค่ะ ฮือออ

รอติดตามตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อเลยค่า

ออฟไลน์ กิมกวง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
25
GIANT’s PART
 


นี่เป็นอีกหนที่ผมต้องเดินออกมาจากบ้านไอ้ชานทั้งความรู้สึกอึดอัดปนเสียใจ


กลับมาถึงบ้านผมก็เอาแต่ซุกตัวลงบนเตียงโดยไม่สนใจเวลาอาหารเย็น หรือ รายการทีวีในช่องโปรดที่ต้องดูทุกครั้งที่มันฉาย ผมไม่อยากสนใจอะไรเลยกระทั่งจองอามาเคาะประตูเรียก ตั้งแต่ทิ้งตัวลงนอนผมก็เอาแต่คิดเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นจนลืมไปว่าตัวเองส่งข้อความอะไรไปหาเก้า 


 ‘ไลน์’


เสียงเตือนจากมือถือดังขึ้นหลังจากที่ผมลุกขึ้นไปกดเปิดคอม หันไปก็เจอมือถือตัวเองนอนแอ้งแม้งสั่นครืด ๆ อยู่บนเตียง... ตอนแรกไม่คิดจะหยิบมาเปิดออกดูหรอก แต่เพราะไม่อยากฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวถึงได้ถลาตัวลงไปนอนชั่งใจมองมันอยู่สักพัก

เอาวะ...เป็นไงเป็นกัน!


ผมตัดใจเปิดแอพไลน์ขึ้นมา และสิ่งที่โชว์หราอยู่ตรงหน้าก็ไม่ได้ผิดไปจากที่คาดนัก... เห็นไลน์ไอ้ชานเด้งเข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อห้านาทีก่อน... กับของโนบิตะที่โชว์เวลาครั้งสุดท้ายเมื่อหลายชั่วโมงก่อน


ควรจะเปิดอันไหนดูก่อนดีวะ... 


ผมเลียริมฝีปากที่ลำพังก็แห้งเป็นขุยอยู่แล้วอย่างหนัก ขมวดคิ้วมองมันอย่างกับว่าตัวหนังสือจะพุ่งออกมาจากมือถือได้ ในใจก็รู้สึกแห้ว ๆ แป่ว ๆ แปลก ๆ ...เอาวะ สรุปกดดูของโนบิตะก่อนแล้วกัน จะได้รู้ว่ามันตอบกลับผมยังไงที่พิมพ์หามันเมื่อบ่าย


ไม่อนุญาต 15 : 01


ไม่อนุญาต? ผมอ้าปากหัวเราะสมเพชตัวเองอย่างไม่มีเสียงก่อนจะเลื่อนขึ้นไปดูข้อความตัวเองที่ส่งหามันเอาไว้ 


                                                          13 : 04 กูขอลาออกนะ
                                                          13 : 04 เราอย่าเจอกันสักพักเลย
                                                          13 : 05  ขอโทษที่เคยเซ้าซี้ แต่ตอนนี้กูเจอกับมึงไม่ไหวจริง ๆ


แม่ง ยิ่งเลื่อนสายตาอ่านก็ยิ่งขายขี้หน้า ความเป็นไจแอนท์กูหายไปไหนหมด ทำไมต้องมาตายรังเพราะไอ้ห่านี่ด้วยวะ ! 


ผมกดส่งสติ๊กเกอร์ปัญญาอ่อนกลับไป พลางโยนมือถือไว้ข้างเตียงดั่งเดิม ทีแรกว่าจะลุกขึ้นมาเล่นเกมให้เลิกนึกเรื่องบ้า ๆ พวกนี้ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เลยล้มตัวลงนอนแทน...


ผมมองออกไป ไกลมาก...ไกลแสนไกลทั้งที่เบื้องหน้าตัวเองเป็นแค่ฝ้าเก่า ๆ ในห้องนอน แต่ที่ไกลดูเหมือนจะเป็นความคิดของผม มันเหมือนกับว่าความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวงไกลห่างออกไปเรื่อย ๆ ทั้งคำว่ารัก คำว่าชอบ และอะไรอีกตั้งมากมายที่ประดังประเดเข้ามาในช่วงนี้
.
.
.
.
.
.
.
.
ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ในฝันมันยาวนานอย่างกับเป็นปี ๆ  ตื่นมาอีกทีก็เพราะได้ยินเสียงร้องจากท้องตัวเองดังสนั่น ลุกขึ้นมาขยี้ตามองนาฬิกาติดผนังก็เห็นว่าเข็มสั้นตีเลยเลขหนึ่งจนใกล้จะทับกับเลขสอง


ตีสองกว่าแล้ว... นี่ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาทั้งที่ยังเปิดคอมค้างไว้เนี่ยนะ... แต่ก็เอาเหอะ เหมือนความเพลียความล้าสมองทั้งหมดมันหายไปเมื่อได้หลับเต็มตาหลังจากที่เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาก่อนเวลาปลุก


ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจ กำลังจะหย่อนก้นลงกับเก้าอี้แล้วเชียว แต่หูก็ดันไปได้ยินเสียงครืด ๆ จากด้านหลังเสียก่อน


 “โนบิตะ” 


ผมเบิกตาโพลง พึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัวทันทีที่สไลด์เก้าอี้ไปถึงมือถือที่นอนอยู่ปลายเตียง เห็นสายเรียกเข้าหราเป็นชื่อคนที่ไม่อยากคุยแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว นั่งจ้องแม่งอย่างนั้นสักพักจนดับไปก็สั่นขึ้นมาใหม่ 


 “เหี้ยไรนักหนาวะเนี่ย” 


อยากจะสบถให้เสียงดังกว่านี้แต่ก็กลัวแม่ตื่น เอาเป็นว่าถ้าให้คุณนายแม่ตื่นก่อนเวลาอันควรจะเป็นอะไรที่หายนะมาก แม่จะพังทุกสิ่งทุกอย่างและด่ากราดไม่เลือกหน้า แม้คนนั้นจะเป็นผู้มีพระคุณที่เคยอาสาช่วยติวหนังสือให้ผมและยังพ่วงตำแหน่งนายจ้างด้วยก็ตาม


โอ้ย เลิกโทรมาเหอะ 


จิตใจผมกระสับกระส่ายมาก ไม่เป็นอันมองหน้าจอกันเลยทีเดียวหลังจากหยิบโทรศัพท์มาไว้ที่บนโต๊ะ มันสั่นครืด ๆ ไม่หยุดเหมือนเจ้าเข้า คล้ายกับว่าเจ้าของเบอร์โทรนั้นต้องการระรานให้ผมไม่มีสมาธิจดจ่อกับอะไรทั้งสิ้นนอกจากตัวเอง


สุดท้ายพอทนไม่ได้ผมก็บ่นกับตัวเองเป็นนางเอกละครน้ำเน่าช่องน้อยสี บ่นไปบ่นมาก็เกิดปิ๊งไอเดียที่ว่าถ้าปิดโทรศัพท์แล้วแม่งคงโทรหาไม่ได้แน่


 “นี่แน่ะ ดูสิมึงจะโทรเข้าได้อีกไหม”


ผมกดปิดมือถืออย่างเลือดเย็นแล้วพูดกับตัวเองประหนึ่งเป็นตัวร้ายที่ต้องการประกาศความชั่วให้คนดูได้รู้เมื่อถึงพาร์ทตัวเอง นั่งยิ้มกระหยิ่มมองหน้าจอมืด ๆ ที่ดับไปด้วยฝีมือตัวเองได้ไม่ถึงห้านาที ก็ต้องสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง เมื่อคราวนี้เสียงที่ดังไม่ใช่เสียงสั่นจากมือถือของผม...


แต่เป็น...


ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนบ


ใช่ เสียงแตรรถนั่นแหละ...


พระมารดามึงสิ้น!!!!!!  จะบีบเรียกบรรพบุรุษมาประชุมรึไงวะ ดึกดื่นป่านนี้!!!


ผมสบถในใจ รีบถลาไปที่หน้าต่างทันที กะจะด่าพ่อล่อแม่ไอ้คนบ้านอื่นที่ไร้มารยาทมาบีบแตรเล่นยามวิกาลสักหน่อย แต่ใจกระต้องกระตุกเมื่อเพ่งมองไปแล้วเห็นซีรี่ส์ 8 สีดำจอดขวางทางเข้าบ้านตัวเองอย่างอาจหาญ


ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน



 “พิก! นั่นเพื่อนแกใช่ไหม! รีบลงไปเปิดประตูให้มันเลยนะ ก่อนที่บ้านอื่นเค้าจะแจ้งตำรวจจับฉัน!!!!”


เสียงแม่นั่นเองครับ ตะโกนดังผ่ากำแพง ผ่าผนังมาอย่างเซอร์ราว ท่าทางจะดูโมโหจัดมากแล้วด้วย ขืนปล่อยไว้อย่างนี้ไม่แคล้วพวกขี้เสือกบ้านข้าง ๆ ต้องโทรหาตำรวจแน่ 


ผมรีบจับลูกบิดประตูวิ่ง 4x100 ลงสนามทันทีที่ได้ยินแม่กรีดร้องขึ้นมาอีกระลอก วิ่งลงบันไดขาแทบขวิดจนไปถึงประตูก็เห็นไอ้โนบิตะกำลังนวยนาดออกมาจากรถที่มันจอดคาค้างเอาไว้ เห็นอย่างนั้นผมจึงรีบกระชากประตูแล้วก้าวอาด ๆ ไปประจันหน้ามันที่เดินมาถึงประตูรั้วพอดี


 “มาทำไม”


ไม่มีการทักทายห่าอะไรทั้งนั้นแหละ ในหัวนี่คิดแต่ว่า เป็นไงเป็นกันสิ วันนี้ ถึงจะไม่อยากเจอหน้ายังไง แต่มึงเกือบจะทำให้แม่ฆ่ากูได้นี่  ไอ้พิกก็มีน้ำโหเป็นเหมือนกันนะเว้ย!


 “เปิดประตู”


มันไม่ตอบคำถามผม แต่ดันสั่งเสียงเข้มแล้วมองไปที่แม่กุญแจตรงประตูรั้วแทน ผมส่ายหน้า จ้องตากับมันประหนึ่งว่าเราเคยเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อน


 “ไม่ให้เข้า”


 “บอกให้เปิด”


 “ไม่”


 “ได้ ไม่เปิดใช่ไหม”


พูดยังไม่ทันจบคำดี เก้าก็ทำท่าจะปีนรั้วเข้ามา ผมเห็นอย่างนั้นแล้วก็รีบถลาเข้าไปปัดขามันออกจากตะข่ายกั้นรั้วที่มันกำลังเหยียบ อีฉิบหายยยยยย สอดตีนเข้ามาแบบนั้นได้ไง เกิดแหว่งเกิดขาดขึ้นมาพรุ่งนี้เช้าหัวกูไม่ต้องหลุดออกจากบ่าเหรออออ


 “เฮ้ย อะไรของมึงวะ หยุดนะ ห้ามปีน!!!”


ยิ่งผมห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ยิ่งปัดขามันออกมันก็ยิ่งปีนเร็วขึ้น ตอนนี้ไต่ขึ้นมานั่งบนประตูรั้วที่แสนโงนเงนของบ้านผมแล้วครับ ไม่ได้สำเหนียกเลยว่าตัวเองน้ำหน้ำเท่าไหร่ เกิดแม่งพังโครมขึ้นมาเจ็บตัวแล้วใครจะรับผิดชอบ!!


 “ทำไม ผมจะปีน...ก็คุณไม่ยอมให้ผมเข้าบ้าน” โนบิตะสวน


ผมอ้าปากค้าง เชี่ยนี่แม่งโคตรจะดื้อ รั้นล่ะที่หนึ่ง ไม่เห็นใจคนใกล้ชะตาขาดอย่างผมบ้างเลย  “โอย ฉิบหาย ปวดหัว ช่างแม่งแล้ว มึงปีนมาขนาดนี้จะลงก็รีบลงมาเลย ก่อนที่แม่กูจะเปิดหน้าต่างออกมาด่า”


เห็นมันข้ามมาได้ครึ่งค่อนตัวแล้วก็ปลงครับ ในหัวนี่ปวดตุ๊บ ๆ ยังกับมีใครเอาระเบิดมาแขวนไว้ ขืนต่อล้อต่อเถียงกันในสภาพนี้อีกสักพัก มีหวังพรุ่งนี้เพื่อนบ้านแม่งคงได้เอาไปทอล์คออฟเดอะวิลเลจกันสนุกปากแน่ ด้านโนบิตะพอเห็นว่าผมอนุญาต มันก็กระโดดโถมทั้งตัวลงมาใส่ผมทันที 


 “โอ้ย!! เชี่ยเอ้ย ทำอะไรของมึงเนี่ย”


ผมร้องออกมาเพราะจังหวะที่มันทิ้งตัวนั้นผมไม่ทันได้ตั้งตัวดี ๆ ตอนนี้สภาพพวกเราขาอ่อนแทบจะล้มทับกันเหมือนละครตอนเย็นอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าผมยังงอขา เท้าแขนไปด้านหลังเอาไว้ เห็นอย่างนั้นมันก็รีบผละออกจากตัวผมครับ แต่กูไม่ขอบคุณหรอกนะที่มึงช่วยประคองจนกูยืนตรงจนได้เนี่ย ปวดไปทั้งขาเลยแม่ง... พื้นคอนกรีตมีเนื้อที่ตั้งเยอะตั้งแยกก็กระโดดลงไปสิวะ ควายเอ้ย


“ขอโทษ” 


เป็นครั้งแรกที่มันเอ่ยปากพูดออกมาก่อน ผมถึงกับอึ้งไปพักนึง แต่ด้วยไม่รู้ว่ามันกำลังขอโทษเรื่องอะไรถึงได้โบกมือปัดไล่ ๆ ทำเหมือนไม่ใส่ใจคำขอโทษของมัน


ด้านโนบิตะพอเห็นว่าผมทำอย่างนั้นแทนที่จะสลดกลับเขยิบเข้ามาใกล้ ใกล้จนเราทั้งคู่สามารถมองหน้ากันในระยะประชิดได้ 


ผมผงะ ก่อนหัวใจจะเต้นแรงขึ้นมาอีกรอบก็รีบตัดบทซะ  “เข้าบ้าน”


ผมพูดเสียงแข็งก่อนจะตวัดตัวเดินนำเข้าไป สาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่ยอมสบตากับมันอีกแม้อีกฝ่ายจะเลื่อนหน้าเข้ามาหาเกินพอดีจนทำให้ใจเกือบอ่อนก็ตาม ไม่รู้ว่าโนบิตะแม่งรู้หรือเปล่า เรื่องที่ผมพยายามไล่มันออกจากหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ทำยังไงก็ไม่สำเร็จ ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากทำตัวอ่อนหักให้มันไดปั่นหัวอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
.
.
.
.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2018 02:58:46 โดย กิมกวง »

ออฟไลน์ กิมกวง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
“มีอะไรก็ว่ามา”


ขึ้นมาถึงห้องผมก็เอ่ยปากถามมันเสียงแข็งเลยครับ ซึ่งไอ้คนโดนถามดูจะไม่ยี่หระเลยแม้แต่น้อย มันทำเพียงยักไหล่แล้วเดินไปนั่งที่เตียงของผมอย่างถือวิสาสะ ไอ้เก้าอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพาดขาวกับกางเกงแบรนด์เนม สไตล์ทีมันมักจะแต่งไปทำงานนั่นแหละ ผิดปกติแค่ว่านี่ควรจะเป็นเวลาที่มันนั่งทำบัญชีอยู่ร้าน ไม่ใช่มาเต๊ะท่าอยู่บนเตียงชาวบ้านเขาแบบนี้


 “ที่ห้องไม่มีคนซักผ้าให้”


“ห๊ะ”


ผมขมวดคิ้ว กอดอกมองหน้ามันเหวอๆ ประมาณว่าพูดจริงดิ?...นี่มึงคิดจะเปิดบทสนทนาแบบนี้จริงดิ


“ก็ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอไง...ที่บ้านผมผ้ากองเต็มไปหมด ห้องที่เพิ่งทำให้ก็รกหมดแล้ว” มันพูดหน้าตาเฉย ซ้ำยังกอดอกเอนตัวสบายใจเฉิบ ชักจะมากไปแล้วนะแบบนี้ คิดจะมากวนตีนกันถึงนี่ให้ได้อะไรวะ 


“ที่กูเพิ่งไปทำมาเมื่อวานเนี่ยนะ! รกอีกแล้ว!?”


ฉิบหายหนัก ด้วยความโมโหโทโสสุดติ่งกระดิ่งแมวทำให้ผมเผลอตะโกนใส่หน้ามันไป ข้อมูลห่าอะไรก็บอกเขาไปหมดเลย... ด้านไอ้โนบิตะจอมเจ้าเล่ห์ พอได้ยินผมพูดอย่างนั้นมันก็ทำหน้าซื่อตาใส พยักหน้าตอบกลับยิ้ม ๆ คล้ายกับเดาไว้แล้วว่าผมจะต้องพูดอย่างนี้


ผมโคตรโกรธมันเลย รู้สึกตัวเลยว่ากำลังโดนป่นหัวจนความรู้สึกคลำหาทางไปไม่ถูก อยากตวาดด่ามันให้เสียงดังกว่าเมื่อกี้ ยิ่งเห็นมันลอยหน้าลอยตาฉีกยิ้ม อย่างคนเหนือกว่าแบบนั้น ผมแม่งก็อยากโมโหมันให้มากขึ้นอีก


แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น อาจเพราะไม่ได้เห็นมันใกล้ ๆ อย่างนี้มาตั้งหลาย วันแล้วก็ได้ คราวนี้บ่อน้ำตาถึงตื้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ อีกแล้วนะ กูร้องไห้ทำไมเนี่ย อย่าร้องต่อหน้ามันดิ คิดอย่างนี้ซํ้าไปซํ้ามาแตกห้ามตัวเองไม่ได้ แม่งเกลียดตัวเองนัก ต้องโกรธสิโว้ยที่มันเห็นตัวเองเป็นแค่คนใช้เท่านั้น


“มึงจะซักผ้าก็เรียกแม่บ้าน กูลาออกแล้ว กูจะไม่ไปทำอะไรให้มึงอีก"


ผมพูดเสียงสั่น อารมณ์ที่ทนอดกลั้นเอาไว้เพื่อท่าตัวให้เป็นปกติทำท่าจะระเบิดออกมาตลอดเวลา ไม่ชอบน้ำตาที่มันกำลังซึมล้นนี่เลย ถ้ารวมกันสองสามวัน ที่ผ่านมาคงเติมน้ำได้เต็มบ่อใหญ่ ๆ ไปแล้ว


ผมกลั้นสะอีก กลืนก้อนแข็งในลำคอแล้วถอยห่าง ออกจากเตียงตัวเองจนหลังติดโต๊ะคอม


ไอ้เก้านิ่งกว่าปกติ น้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ได้ ผมไม่อนุญาต”

''เหี้ยเอ๊ย... กูต้องรอมึงอนุญาตด้วยเหรอวะ'' ผมสบถ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ กำลังไหลแบบลวก ๆ ''จะเอาไงกับกูกันแน่''


โนบิตะท่าหน้าเหมือนกับว่าเสียใจที่เห็นผมร้องไห้ มันถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นมาจากตรงนั้นแล้วสาวเท้าเช้ามาหาผมช้า ๆ ขนาดมองผ่านน้ำตาก็ยังเห็นว่า แววตามันเจือความอ่อนโยน คล้าย ๆ กับคืนที่บอกให้ผมลืมเรื่องพี่พลอยไม่มีผิด


''อย่าออกเลย กลับไป—'' ผมเม้มรีมฝีปากขณะฟังไอ้เก้า พยายามกลอกตา มองเพดานให้น้ำตาหยุดไหล ''กลับไปด้วยกันก่อน''


ผมอยากจะถามมันว่า จะให้กูไปไหนวะ นี่มึงต้องลงทุนขนาดนี้เพราะชีวิตขาดแม่บ้าน เหรอ จะเฮงซวยเกินไปหน่อยมั้งไอ้เหี้ย เล่นกับความรู้สึกกูเกินไปแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไร ผมก็ไม่อยากยอมมันง่าย ๆ ทั้งนั้น...


ง่าย เพื่อให้มันเอามาด่าผมอีกรอบ


''กูไม่อยากเกี่ยวข้องกับมึงแล้ว''


โคตรเจ็บเลยนะว่าไหม ผมอาจจะเคย ประเมินตัวเองผิดไปที่คิดว่าจากนี้คงกลับไปเป็นไจแอนท์กับโนบิตะได้เหมือนเมื่อก่อน ซึ่งอันที่จริงมันก็ผิดตั้งแต่ที่ยอมตกหลุมไปกับข้อเสนอบ้า ๆ นั่นแล้ว


''ไม่อยากแม้แต่ จะเจอ เหมือนวิ่งตามเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ กูเหนื่อย กูไม่ไหว''

ไอ้เก้าเงียบไปอึดใจ นานพอที่ผมจะเห็นลูกกระเดือกของมันขยับเพราะกลืนนํ้าลายลงลำคอ


''แต่คุณบอกว่าคุณชอบผม''


"ใช่ แต่กูพอแล้วไง!" ผมขึ้นเสียง หลุบตาหนีมันที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนสามารถเท้าแขนเข้ากับโต๊ะทำงานของผมได้ "มึงจะมาที่นี่อึกทำไมวะ กลับไปได้ แล้วไป ปล่อยกูเหอะ"


กลิ่นนํ้าหอมของมันยังเป็นกลิ่นเดิมเหมือนทุกทีที่ไอ้เก้าเข้ามาอยู่ใกล้ผม แล้วสร้างความทรงจำต่าง ๆ นานาจนเปลี่ยนผมไปโดยสิ้นเชิง ลมหายใจของมันรดเข้า มาใกล้ กระทั่งซบลงกับบ่าผมด้วยความเว้าวอน


"ขอร้อง... อย่าเพิ่งเลย" ไอ้เก้าเลื่อนมือที่เท้าโต๊ะทำงานมากุมมือผมเอาไว้ข้าง หนึ่ง "อย่าเพิ่งพูดว่าพอเลย วันนั้นผมอาจพูดอะไรที่มันไม่ดีเพราะไม่ทันได้คิด แต่ วันนี้ผมเก็บเอาไปคิดมาแล้ว ทบทวนดีแล้วถึงมาหา"


พล่ามอะไรอึกวะ ไม่อยากฟัง


"ตอนแรกผมยอมรับว่ากลัว เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก"


คำว่า 'เร็ว' ของมันบีบใจผมจนปวดหนีบ ใช่ ผมก็คิดว่ามันเร็วเพราะนี่มันแค่ ไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง แต่มันจะรู้ไหมว่าไอ้เวลาที่เร็วเกินไปของมันทำเอาผมไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว


"แต่พอคุณหายไป ผมยอมรับก็ได้ว่าผมแย่มาก...ที่รู้สึกว่าไม่อยากเสียคุณ ไป" มันค่อย ๆ เลื่อนมือมาโอบเอวผมไว้ ทั้งยังผละใบหน้าขึ้นจากลาดไหล่แล้วมองผม ด้วยสายตาจริงจัง "แต่ก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าคุณรู้สึกยังไง คุณคงเห็นแล้วใช่ไหมว่าผมพา ใครมาที่ห้อง"


“...”


"อย่างที่คุณเข้าใจนั่นแหละ... ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวเลย ผมคิดว่าทุกอย่างคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ เหมือนเดิมก่อนที่เคยมีคุณเข้ามาเติมเต็มทุกอย่าง"


“...”

"แต่ผมรู้แล้ว ผมกอดใครก็ไม่เหมือนกอดคุณ  ไม่มีใครเหมือนคุณ ถึงเราจะเริ่มกันแย่ๆ แบบที่ไม่ได้เรียนรู้กันให้ดีก่อน แต่ขอนะพิก กลับมาหาผมเถอะ ขอโทษที่สับสน ขอโทษที่ทิ้งให้ต้องรู้สึกแย่อยู่คนเดียว"


เอาจริง ๆ แค่มันเริ่มพูดตั้งแต่ประโยคแรกน้ำตาผมก็ไหลหลากเหมือนน้ำท่วมป่าแล้ว ในหูผมได้ยินแต่เสียงมันพูดวนไปวนมาแต่ฟังไม่ได้ศัพท์ว่าต้องการอะไรกันแน่ มาฟังออกเอาประโยคหลัง ๆ ก็ช่วงที่มันบอกว่าขอโทษที่ทิ้งให้ผมต้องอยู่คนเดียว...


ซึ่ง...แม่งโคตรทรงอานุภาพ


ทำเอาผมสะอึกสะอื้นหนักเข้าไปใหญ่


“ผมขอโทษนะ” มันกระซิบเบา ๆ แล้วกอดเอวผมแน่นขึ้น "ที่บอกว่าเข้ากัน ไม่ได้นั่นผมก็คิดจริง ๆ"


นํ้าลายเฝือนคอไปหมด แบบนี้ก็เทำกับมันยอมรับนั่นแหละว่าที่พูดเมื่อวันนั้น คือสิ่งที่คิดจริง ๆ ผมกับเก้าต่างกัน ทิ้งนิสัย ไลฟ์สไตล์ หรือแม้แต่ทัศนคติหลายต่อ หลายอย่าง เราทะเลาะกันก็บ่อย โมโหใส่กันนับครั้งไม่ถ้วน แม้แต่ตอนที่ผมสารภาพ ออกไปว่าชอบมันก็ยังไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซํ้า


"ไม่รู้หรอกว่าจะเป็นยังไงต่อไป แต่มาลองกันดูสักครั้งนะ ให้โอกาสผมอึกครั้ง ได้ไหมครับ''


ผิดคาด มันกลับลำสิ่งที่ตัวเองเคยพูดแล้วซบหน้าลงกับบ่าผม กระชับวงแขน ก่อนจะกอดแน่นเหมือนจะไม่ให้หนีไปไหนได้อีก


เมื่อกี้ไอ้เก้ามันพูดจริง ๆใช่ไหม ไม่ใช่ว่าผมหูฝาด แล้วเข้าข้างตัวเองอะไรเทือกนั้นหรอกนะ


“แล้ว คนที่มึงพามานอนจะทำยังไง”


ยอมรับว่าตอนนี้ใจอ่อนเหี้ย ๆ ใครจะว่าผมโง่งี่เง่ายังไงก็เชิญเลย แต่ของแบบนี้ต้องมาเจอกับตัวจริง ๆ นาทีนี้ผมได้แต่ถามมันเสียงอ่อน พูดกับมันแต่ละคำยังสะอึกฮึก ๆ อยู่เลยด้วยซ้ำ ตลกตัวเองที่เมื่อก่อนก็ยังซักชั้นในที่อยู่ในตะกร้าห้องมันโดยไม่คิด อะไร แต่ตอนนี้ดันมาคิดมากเสียฉิบ


ด้านโนบิตะ เมื่อได้ฟังผมถามอย่างนั้นมันก็ถอนหายใจแล้วผละผมออก มันส่งยิ้มมาให้ก่อนจะล้วงเอาอะไรในกระเป๋ากางเกงออกมาสองสามอย่าง


“นี่กระเป๋าตัง นี่โทรศัพท์ นี่กุญแจรถ” มันชูให้ดูในระดับสายตา ก่อนจะจับมือผมที่เท้าเอาไว้กับโต๊ะด้านหลังมาบังคับให้แบออก “ทุกอย่างที่มีอยู่ตอนนี้ ที่ติดตัวอยู่กับผม เอาไปให้หมดเลย ทุกอย่าง” 


“...”


“อยากจะลบชื่อใครในมือถือทิ้งก็เอาเลย ตามสบาย กระเป๋าเงินนั่นก็เอาไปเลย กุญแจรถด้วย...นะครับ”


“...” ผมขมวดคิ้วมองมัน...ไม่แน่ใจว่ากำลังโดนประชดอยู่หรือเปล่านะ


“ผมให้คุณหมดแล้ว แทนความจริงใจของผม จากนี้ไปคุณอยากจะให้ผมไปไหน อยากจะให้ทำอะไร ไม่อยากให้เจอใครคุณก็แค่พูด เท่านั้นเอง ผมให้คุณหมดแล้วจริง ๆ...มาเริ่มต้นกันใหม่นะพิก เริ่มต้นกันใหม่ ทิ้งอะไรร้ายๆไปให้หมด ผมขอโอกาสคุณแค่นี้ให้ผมได้ไหม?”


โอ้โห... ผมอยากจะหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา แต่น้ำเค็ม ๆ ในปากดูเหมือนจะไม่เป็นใจ เคยได้ยินไหมครับว่าถ้าเวลาผู้ชายขอความรักจากใครนี่แม่ง...เตรียมตัวไว้เลยว่าจะได้ฟังอะไรที่โคตรน้ำเน่า ซึ่งผมก็เคยทำอย่างมันนะ แต่สิ่งที่มันทำให้ผมเทียบไม่ได้เลยที่ผมเคยทำให้คนอื่น


นี่มันน้ำเน่า น้ำเน่ายุงบินชุมชัด ๆ


ไม่รู้แม่งไปเอามาจากไหน ไอ้บทพูดนี้... แต่ที่แน่ ๆ ผมใจอ่อนยวบไปแล้ว เรียกว่าแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ปล่อยหมัดไม้ตายเลยก็ได้


“เออ”

 
สุดท้ายก็ปล่อยให้ตัวเองทำตามหัวใจจนได้ ก็ไม่รู้หรอกว่าแม่งจะพาไปในทิศทางไหน แต่โกรธกันไปก็ไม่เห็นประโยชน์อะไร... ที่จริงกะว่าจะใจแข็งสักหน่อย แต่พอเห็นสายตาที่มันส่งมาออดอ้อนขนาดนั้นก็เหมือนกับว่าจะเดินไม่เป็นไปชั่วขณะ  อ่อนหัดจริง ไอ้พิกเอ้ย!


ด้านโนบิตะพอเห็นว่าตอบตกลงมันก็ยิ้มเลยครับ ยิ้มดีใจได้อย่างนั้นพักเดียวเท่านั้นแหละ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเหี้ยมเกรียมอย่างที่ผมไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน นี่มึงเป็นอะไรขึ้นมาอีก เป็นไบโพล่าหรือไงวะ เพิ่งจะง้อสำเร็จก็จะเล่นกูเลยใช่ไหม--


เดี๋ยวนะ...
ฉิบหายแล้ว มันกำลังจ้องมาที่คอ...


“แบบนี้ก็ถือว่าตกลงคบกันแล้วนะครับพิก...”  มันหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่ทำเอาขนหลังผมลุกวาบ

“...”

 “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยตอบผมด้วยครับ ว่ารอยที่คอน่ะ...ของใคร


ถึงจะบอกให้ผมตอบก็เหอะ แต่พอเห็นว่าผมทำอึกๆอักๆ พูดอะไรไม่ออก มันก็ถอนหายใจทีนึง แล้วยื่นหน้าเข้ามาจูบผมทันที ผมเบิกตาโพลงเมื่อริมฝีปากของเราสัมผัสกัน เป็นจูบที่ไม่ทันได้ตั้งตัวครั้งแรกหลังจากที่ห่างกันมานาน


โนบิตะกดริมฝีปากเข้ามาแน่นมาก มันทั้งกัดทั้งงับจนเหมือนกับว่าจะรั้งปากผมออกไปจากหน้าเสียอย่างนั้น ความรุนแรงที่มันมอบให้ทำให้ผมถึงกับต้องทุบไหล่มัน เพื่อจะสามารถหายใจได้อีกครั้ง แน่นอนว่ามันยอมผละริมฝีปากออกให้ แต่พอเห็นว่าผมโกยลมหายใจเข้าปอดได้ถนัดก็ก้มลงมาจูบอีกครั้งแล้วสอดลิ้นเข้ามา


“ฮ่า...”


กว่าจะได้หายใจหายคออีกครั้งก็ตอนที่หลังผมเอนติดเตียงไปแล้ว ไม่รู้ว่าเราเคลื่อนตัวออกมาจากโต๊ะทำงานโดยไม่เตะถังขยะด้านล่างได้ไง แต่ที่แน่ ๆ คือมีเก้าประคองหลังผมเอาไว้ แถมปากยังไม่ยอมห่าง เราจูบกันจนลืมไปว่าก่อนหน้านี้คุยอะไรกันอยู่ มือเริ่มล้วงควักให้กันโดยที่ลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เคยหน่วงมาหนักขนาดไหน


“ไอ้ชานใช่ไหม...”


จู่ ๆ เก้าก็พูดขึ้นมาโดยที่หน้าของมันซุกไซร้อยู่บริเวณลำคอของผม เห็นสีหน้า สายตาของมันจ้องมองมาก็รู้แล้วว่ากำลังข่มความโมโหเอาไว้


“อืม”


ผมตอบทั้งที่เสหน้าไปอีกทาง ไม่ได้หวังจะให้มันมาเข้าใจเหตุผลที่ผมสมยอมลงไปหรอกนะ แต่แค่คิดว่าทำอะไรไว้ ก็ควรจะได้สารภาพ... ซึ่งสิ่งที่โนบิตะโน้มตัวลงมาทำกับผมนั่นยอมรับเลยว่าผิดคาด แทนที่มันจะก่นด่าว่าผมโง่ มันกลับถอนหายใจแล้วโน้มตัวลงมาจูบทับรอยตรงคอนั้นแผ่วเบา


มันกดจูบอ้อยอิ่ง นานจนผมต้องก้มลงไปมองมัน 


“บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่า...คุณทำให้เขามีความหวังนะ แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อ”


มันถามเสียงอ่อน ขณะที่มือก็ไม่หยุดลูบไปทั่วตัวผม ตอนนี้ไม่ใช่แค่หัวใจที่ทำงานหนัก แต่สมองผมก็ทำงานหนักไปด้วยเมื่อต้องคิดหาคำตอบที่มันถามออกมาเมื่อครู่


“ไม่รู้” ใช่ไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นผมก็แค่หวังว่าจะหาทางออกได้ แต่ไม่ว่าจะหาทางยังไงก็ยิ่งตัน โดยเฉพาะกับตอนที่มันจ้องหน้าผมอยู่อย่างนี้


“เฮ่อ...คุณนี่นะ”  มันส่ายหัวแล้วยื่นหน้ามาหา เอาหน้าผากชนกับหน้าผากผม “ทีหลังอย่าไปยอมนะ รู้ไหม...ผมแม่ง---” 


“...”


โนบิตะหลับตาลง กลืนน้ำลายลงคอราวกับจะข่มอารมณ์ เราเงียบใส่กันไปพักนึง ก่อนมันจะลืมตาขึ้น ทอดมองมาที่ผมอย่างเว้าวอน “อยากจะบ้า ผมโมโหว่ะ แต่ผมไม่อยากทำให้คุณเสียใจแล้วอ่ะ... ผมแม่งเพิ่งรู้ว่าพอคนที่ชอบไปทำอะไรกับคนอื่นมันเป็นอย่างนี้”


“...”


“ทีหลังผมก็จะไม่ทำแล้ว และคุณก็ห้ามทำนะ”


“...”


“ได้ยินไหมพิก”


“ได้ยินแล้ว”


ทีแรกสีหน้าของมันดูเครียดขึงแทบตาย แต่พอผมตอบเบา ๆ มันก็ยิ้มออกมาเหมือนกับว่าโลกนี้โคตรสดใส เห็นแล้วหมั่นไส้ฉิบหาย นี่กูยังไม่ชำระแค้นเรื่องที่มึงใจร้ายใส่กูเลยนะ 


ผมมองหน้ามันแล้วเอื้อมมือไปยิกแก้มมันที ซึ่งโนบิตะร้องครางเบา ๆ ในลำคอแล้วแก้แค้นผมโดยการเอื้อมมือลงไปบีบหนอนน้อยที่ด้านล่างแทน แล้วแม่ง เชี่ยเอ้ย บีบแรงจนรู้สึกได้ว่ามันพองหนักกว่าเดิม นี่มันแกล้งกันอีท่าไหน ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนกับจะถึงอยู่ตลอดเวลาล่ะวะ !


“ไม่เอาไม่เล่นแบบนี้ พอเลยมึง ขอร้อง พอก่อน” ผมหอบหายใจทำท่าจะดันไหล่มันออก แต่พอเห็นอย่างนั้นโนบิตะก็รวบมือผมขึ้นเหนือหัว แล้วเลิกเสื้อก่อนจะลงลิ้นจากคอไล่ไปจนถึงบริเวณใกล้ขอบกางเกง 


จุดยุทธศาสตร์กู!!!!


ผมกรีดร้องในใจเมื่อผงกหัวขึ้นมาแล้วพบว่ามันกำลังอ้าปากทำท่าจะอมน้องชายผมผ่านกางเกง แม่งเอ้ย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน แขนก็ยาวเกิน จับมือผมไว้ทั้ง ๆ ที่อ้าปากงับน้องผมได้เนี่ยนะ จะดิ้นไงก็ดิ้นไม่หลุดเลย ไม่รู้ว่าตกลงแล้วอ่อนแรงที่ตรงไหน? ด้านบนหรือด้านล่างกันแน่


“อือ...”


ผมครางประท้วงในลำคอเมื่อมันเริ่มปลอกเปลือกผมด้วยมือข้างเดียว ตอนนี้โนบิตะยังคงจับแขนผมเอาไว้อยู่เลย แต่เมื่อมันถอดเสื้อผ้าผมได้จนหมด เห็นผมนอนปรือตาหมดแรงจะต้านมันก็ยอมปล่อยให้แขนผมเป็นอิสระ แล้วเริ่มถอดของตัวเองออกบ้าง 


ทุกอย่างในหูอื้ออึงเมื่อมันโน้มตัวลงมาคร่อมผมอีกครั้ง คราวนี้มันออกแรงใช้มือกระชากแขนผมจนแทบจะลุกขึ้นมานั่งได้ ก่อนจะจูบฟัดหูผม ทั้งกัด ทั้งทึ้ง แล้วเลื่อนมือลงไปขยี้ที่ส่วนปลาย ในท้องผมโหวงวูบ อย่างกับโดนควักไส้ออก ยิ่งเวลาที่มันขยับมือรูดทึ้งส่วนหัว ตัวผมยิ่งเหมือนกับว่าจะลอยละล่องออกไปจากเตียงให้ได้ 


“ตรงนี้ ไม่ได้ให้มันไปใช่ไหม” มันถามพลางลูบวนบริเวณหูรูดของผมอย่างเบามือ 


“เปล่า...ยังไม่เคยมีอะไรกับมันเลย กูแค่จูบกันเฉยๆอ่ะ ” ผมผงกหัวขึ้นไปตอบ ตอนนี้โนบิตะเริ่มเรียกไอ้ชานว่ามันแล้วครับ ฟังดูก็น่ารักดีเพราะผมรู้แล้วว่ามันหึงผม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ขมวดคิ้วใส่มันอยู่ดี “มึงนี่ อย่าเรียกไอ้ชานว่า มัน สิวะ มันก็ไม่ได้ทำอะไรให้มึงสักหน่อย”



“อะไรเรียกมันไม่ได้หรือไง ก็มันมาชอบแฟนผมทำไม...ว่าแต่คุณน่ะ ออกตัวแทนมันเหรอ ได้เลย...ออกตัวแทนดีนัก”


ได้ยินมันบ่นงึมงำอยู่ไม่ถึงวินาที ก็ถึงกับต้องสะดุ้ง ไอ้เหี้ย! โนบิตะมันก้มลงไปงับเนื้อด้านในต้นขาผมอย่างแรงโดยไม่ให้สัญญาณได้ทันตั้งตัวเลยสักนิด กัดซะนึกว่าชาติก่อนเคยเกิดเป็นหมา ไอ้เหี้ยเอ้ย! เจ็บจนน้ำตาแทบเล็ด เจ็บจนต้องร้องโอ๊ยออกมาดัง ๆ


“โอ้ยยยย เชี่ยยยยทำเหี้ยอะไร”


“ทำอะไร ก็ทำโทษไง นิสัยไม่ดี ชอบให้หึงนักใช่ไหม” ไม่พูดเปล่าแต่นิ้วทีแรกวนอยู่รอบๆ ก็ยังกระแทกกระทั้นเข้ามาในตัวผมด้วย


“ไม่ได้ชอบ โอ้ย เบาๆสิวะ โอ้ย”


แทนที่จะเป็นบทรักแสนหวานแต่ทุกอย่างกลับตัลปัตรไปหมด ผมร้องไห้ออกมาทั้งที่ปากยังสบถด่ามัน มือก็ทึ้งหัวมันที่ก้มลงมาครอบครองแก่นกายของตัวเองพร้อมกับเบิกช่องทางไปด้วย


เชี่ยเอ้ย เสียวก็เสียว อายก็อาย...ทำไงดีวะแม่ง!


“โอเค ๆ เบาแล้ว อย่าร้อง”


มันพูดพร้อมกับถอนมือออกไปจากช่องทางด้านหลัง รู้สึกได้เลยว่าแม่งโบ๋เป็นโพรงจนส่วนที่เป็นหูรูดตอดตุบ ๆ เพราะต้องการดึงกลับเข้าหากัน แต่ไม่ทันจะให้ผมได้พักหายใจหายคอสักเท่าไหร่ อยู่ดี ๆ โนบิตะที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงปลายขาก็รั้งผมเข้าไปหา และ...


“พิก”


มันรั้งผมเข้าไปหาแล้วจับแก้มก้นผมแหวกออก ก่อนจับแท่งร้อนหมุนวนด้านนอก เคล้าคลึงไปมาจนรู้สึกหน้าร้อน (ที่ไม่ใช่ฤดู)  มันค่อยๆแทรกตัวเข้ามาอย่างเอาแต่ใจ และด้วยความที่ไม่ได้มีอะไรกันมาหลายวันทำให้ตรงนั้นของผมตอดมันอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งไม่ต้องก้มลงไปมองหน้าโนบิตะก็ฟ้องว่าแม่งฟินแค่ไหน


“ตอดจนเจ็บ” มันพูดแล้วล็อกขาผมเข้าไปหา ก่อนจะส่ายสะโพกควงเข้าควงออกอย่างชำนาญ ส่วนผมน่ะหรอ ได้แต่นอนเอาหัวห้อยลงกับปลายเตียง โรมรันฟัดกันอีท่าไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีตัวผมก็กระเด้งกระดอนจนแทบจะตกเตียงคอหักอยู่แล้ว 


“อา...ซี้ด...คุณนี่แม่ง” มันพูดพลางเสียบเข้าเสียบออกอย่างบ้าคลั่ง ตาของมันหลับลงในขณะที่ผมลืมตามอง แก้มของมันตอนนี้กำลังเปล่งสีเหมือนผลไม้สุก แดงไปด้วยทั้งหน้าเลือดฟาด


“อือ...”


ผมเกร็งตัวร้องครางเมื่อมันกระแทกกระทั้นโดนจุดสำคัญ พอได้ยินอย่างนั้นเก้าก็ยิ่งกระแทกใส่รัว ๆ ทั้งควาน ทั้งกระแทกใส่จนหืดแทบจะขึ้นคอผม แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนมันจะยังไม่พอใจเท่าไหร่ ถึงได้รั้งแขนผมขึ้นมานั่งบนตักทั้งที่ปลายส่วนหัวของมันยังโดนของผมดูดอยู่เลย


“ท่านี้ดีกว่า” 


พูดจบมันก็โน้มหน้าผมลงมาจูบ แล้วอีจูบนี้แม่งแย่ตรงไหนรู้ไหม แย่ตรงที่พอมันกดไหล่ผมลงมาปลายหัวของมันก็เหมือนกับว่าจะแทงลึกเข้าไปในจุดที่ผมรู้สึก พอเห็นว่าผมหายใจไม่สะดวกมันก็ยิ่งแกล้งผมหนัก ยิ่งจับเอวผมแล้วกดลงไปพร้อมกับขยี้ปลายของตัวเองก่อนจะสวนขึ้นโดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว


“อ๊า!!”


“ซี๊ด”


เสียงร้องของผมกับมันดังประสานกันปนเสียงหอบ ด้วยความที่กลัวแม่รู้เราจึงไม่ได้ร้องดังมากไปกว่ากระซิบใส่กันให้ได้ยินแค่สองคน แต่ถึงอย่างนั้น จังหวะสอดใส่กับช่องทางของผมที่บีบรัดมันก็ทำให้รู้ว่าเราทั้งคู่กำลังจะถึงที่หมายในอีกไม่ช้า...


“พร้อมกันนะ”


นาทีนั้นผมได้แต่พยักหน้าตามมัน เราจูบกันอีกหนก่อนโนบิตะสะสวนเข้ามาอย่างเร็วและแรง จนในที่สุดของเหลวอุ่นร้อนก็จากแท่งในตัวผมก็ฉีดออกมา พร้อม ๆ กับของผมที่พุ่งปรี๊ดจนฉีดคางมัน...


และตอนนั้นเองที่เสียงหัวเราะเริ่มต้นอีกครั้ง
พร้อมกับสัมผัสของมัน ที่ปาดเบา ๆ บนแก้มผม 


“ขอบคุณนะ”  มันพูดเบา ๆ ก่อนจะดึงผมลงมานอนทับบนตัว มันจูบหัวผม จูบซ้ายจูบขวาแล้วย้ายกลับมาที่หน้าผากก่อนจะจ้องมองมาด้วยสายตาลึกซึ้ง “ขอบคุณที่ให้โอกาส”


“โอกาสเยกันอีกครั้งเหรอ แม่ง กูเจ็บไปหมดเลย”


ผมได้แต่บ่นกระปอดกระแปดแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนอนให้มันลูบหลังลูบไหล่โดยไม่ขัดขืนอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้โนบิตะไม่ตอบอะไรแล้ว มันเพียงแค่ส่งยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้ามากดจูบกับปากผมอีกรอบ เราจูบกันอีกครั้งอย่างอ่อนโยนใต้แสงไฟนีออน ปนกลิ่นเหงื่อและความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมในคืนนี้


ราวกับจะสัญญาว่า เราจะเรียนรู้กันให้ดีกว่านี้
จะเอาอะไรมากล่ะ สำหรับเรื่องความรัก ผมกับมันก็ยังเป็นมือใหม่อยู่นี่นะ?


_____________________________________________________


ขออนุญาตให้ชื่อแท็กว่า #โนบิโนบิ แล้วกันค่าเอาไว้ติดตามเนอะ


ง้อแล้ว แต่ยังไม่จบ แฮ่ก โอ้ยเหนื่อยจัง 5555555555


ติดต่อได้ที่

Twitter



ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
เย้ คนแต่งมาต่อแล้ว ดีใจมากๆ ค่ะ

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ขอจนจบเลยนะคะ...รอ ๆ ๆ  :mew1:

ออฟไลน์ กิมกวง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
26
ตอนจบ
 


จะว่านี่เป็นโชคดีที่เราไม่มีวิชาเรียนในเช้าวันต่อมาก็ว่าได้ 


หลังจากสะโหลสะเหล เดินกระเผกไปอาบน้ำ ฝืนสังขารขุดตัวเองออกจากห้องไปทำกับข้าวให้น้องกับแม่จนเสร็จ ผมก็เอามือถือมาเปิดดูเฟสกลุ่มส่งงานระหว่างรอคนอื่นตื่นลงมา เพื่อเช็คว่ามีการบ้านอะไรบ้าง แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์มาโปรด เมื่อเลื่อนหน้าจอลงไปเรื่อย ๆ แล้วเห็นเพื่อนคนหนึ่งในเอกโพสไลน์ที่คุยกับอาจารย์ทิ้งไว้ โดยเนื้อหาข้างใน บอกว่าอาจารย์ตกบันได มาสอนไม่ได้ แต่จะสั่งงานให้คิดหัวข้อไว้พรีเซ็นต์เป็นรายคนในวันถัดมาแทน... เพราะอาจารย์แกสอนคนเดียวสองวิชา จะสลับปรับเปลี่ยนหมุนเวียนยังไงก็ได้


แต่ก็นั่นแหละ ยังไงก็ถือว่าโชคดีอยู่ที่มีเวลาว่างอีกตั้งหนึ่งวัน ไล่กวาดสายตาอ่านจนทั่วถ้วนทุกตัวอักษรก็รีบวิ่งขึ้นมาบนห้อง กะจะปลุกไอ้ตัวขี้เซาที่นอนคุดคู้อยู่ในผ้าห่มให้ตื่นมาเฮด้วยกันสักหน่อย แต่ก็ต้องพบกับความจริงที่ว่า โนบิตะแม่งนอนตัวร้อนเป็นไฟอยู่บนเตียง หายใจฮืดฮาด บ่นหิวน้ำเสียงแหบ แถมนอนพลิกไปพลิกมา ท่าทางดูจะไม่สบายตัวเลยสักนิด


คือ...ที่จริงคนที่ควรไม่สบายน่าจะเป็นผมไม่ใช่เหรอวะ?... คือเมื่อคืนก็ไม่ได้หนักหน่วงอะไรมาก แค่สองยกแม่งเป็นอะไรที่จิ๊บจ๊อยสำหรับผมกับไอ้เก้าโคตร ๆ  แต่แบบที่มันไม่สบายนี่คืออะไรวะ? ได้แต่หาคำตอบให้ตัวเองตอนที่พยุงมันขึ้นมาจิบน้ำจิบท่ากินยาลดไข้ ตอนนั้นเองที่ทำให้ผมรู้ว่าแม่งโคตรงอแงเลยเวลาป่วยแล้วมีแฟน...ยาก็ไม่แดก นอนก็ไม่ยอมนอนง่าย ๆ ต้องให้ผมนั่งเอามือแปะหน้าผากมันจนกว่าจะหลับไปทั้งอย่างนั้น


จากแพลนที่ว่าจะชวนมันเอาของไปเก็บที่คอนโด ก็กลายเป็นว่าต้องนั่งเช็ดตัวให้มันแทน ตอนลงไปเปลี่ยนกะละมัง แม่ก็ถามว่าเมื่อคืนใครมาหาเพราะเสียงดังจนป้าบ้านข้าง ๆ โทรมาด่า แต่ยังไม่ทันได้ตอบ ไอ้พิมพ์ก็ชิงตอบขึ้นมาก่อนเพราะมันบอกว่าเห็นซีรี่ส์ 8 จอดคาอยู่หน้าบ้าน


พอรู้ว่าเป็นเก้า แม่นี่เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ ยิ่งผมบอกว่ามันไม่สบาย ไม่มีใครดูแลแม่ยิ่งเปิดทางให้ง่าย ๆ อย่างกับไม่เคยด่าพ่อล่อแม่ใครที่บีบแตรเมื่อคืนตอนชาวบ้านเขานอนกันหมดแล้ว ที่จริงตอนแรกไอ้พิมพ์จะขออาสาเป็นคนดูแลพี่เก้าด้วยครับ  แต่พอผมบอกว่ามันมีแนวโน้มจะเป็นอีสุกอีใส ไอ้พิมพ์ก็ยิ้มแหย ๆ แล้วโบ้ยพี่เก้าคนดีคืนกลับมาให้ผมจัดการไปซะอย่างนั้น


ผมเลยต้องมานั่งเคี่ยวโจ๊กให้แม่งอยู่นี่ไง....


“โนบิตะ ตื่นมาแดกโจ๊กหน่อย”


เคี่ยวเสร็จได้ที่ก็ตักใส่ชามถือขึ้นมาบนห้อง เปิดประตูมาสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่ผิดปกติก็ต้องกลอกตามองเพดาน อย่าบอกนะว่าแม่งลุกขึ้นมาเร่งแอร์ทั้ง ๆ ที่นอนอุตุม้วนเป็นหนอนชาเขียวอยู่ในผ้าห่มอย่างนั้นน่ะ


“มึง...ตื่น”


จัดการวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะทำงานเสร็จก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างเตียง ผมค่อย ๆ บรรจงเปิดผ้านวมออก แล้ววางทาบมือลงไปบนหน้าผากของคนป่วย มันตัวเย็นขึ้นหน่อย แต่อุณหภูมิของร่างกายโดยรวมก็ยังอุ่นอยู่ดี


“เก้า ตื่น” 


“อืม...” 


“ตื่นมากินโจ๊ก”


ผมยังคงเรียกมันอย่างนั้น เอื้อมมือไปสะกิดบ่ามันทั้งที่อีกฝ่ายยังงัวเงีย  ไอ้โนบิตะทำตาหยี สะลึมสะลือปรือตาขึ้นมามองหน้าผม ก่อนจะยิ้มเนือย ๆ แล้วยอมลุกขึ้นนั่งแต่โดยดี 


“แต่ผมไม่หิวนะ” 


มันพูดขึ้นหลังจากที่ผมเดินไปหยิบถ้วยโจ๊กบนโต๊ะทำงานมาวางไว้ให้บนตัก เห็นมันก้มลงมองโจ๊กฟักทองหน้าตาแหย ๆ แล้วก็อดขำไม่ได้


แม่ง...หน้าตาแบบนี้ ไม่ชอบแดกฟักทองชัวร์ 


“ไม่ได้ ไม่หิวก็ต้องแดก เพราะมึงต้องกินยา” ผมพูดแล้วเอี้ยวตัวหันไปหยิบกระปุกยาแก้ไข้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงตั้งแต่เมื่อเช้ามาโชว์ให้ดู “สี่ชั่วโมงแล้ว ตัวยังไม่หายรุมเลย ต้องกินยาอีก...แต่ถ้ากินแล้วไม่ดีขึ้น เดี๋ยวพาไปหาหมอ” 


คนป่วยหน้าซีดเงยหน้าขึ้นจากชามโจ๊กสีเหลืองข้น ก่อนจะถอนหายใจใส่หน้าผมจนสัมผัสได้ถึงลมร้อนที่เป่าปะทะหน้า 


“แต่ผม...ไม่ชอบ” นั่นไง ทำไมเวลาแทงบอลไม่ทายถูกอย่างนี้


“ไม่ชอบก็ต้องแดก ต้องแดกเพราะกูสั่ง” ผมเลิกคิ้วมองมัน แล้วยิ้มอย่างผู้กำชัย “ไหนเมื่อคืนบอกขอโอกาส จะให้ทำไรก็ได้ไง แดกสิ พิสูจน์ว่ามึงคิดอย่างนั้นจริงๆ”


อันที่จริงไม่ได้ใจร้ายคิดอยากแกล้งคนป่วยหรอกนะครับ แต่แม่งมาทำออดอ้อน ทำหน้าหงอยทั้งที่เมื่อคืนเอาผมไปก็หลายรอบ ตอนจะเอาล่ะพูดอะไรก็ได้ แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ถ้าสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำด้วยสิ 


แฟร์ ๆ หน่อยโนบิตะ


“ก็ได้ครับ...” มันกลืนน้ำลาย แล้วยอมตักโจ๊กข้น ๆ ฝีมือผมขึ้นมาจ่อที่ระดับปาก เราสองคนสบตากันโดยมีช้อนโจ๊กคั่นกลาง ก่อนไอ้คนป่วยจะทำหน้าตาอิดออดแล้วยื่นช้อนนั้นมาทางผมแทน “แต่ป้อนให้กินหน่อยได้ไหม”


“เรื่องมากจริง ทำก็ทำให้กินแล้วยังต้องป้อนอีกเหรอ” ก็บ่นไปอย่างนั้นแหละครับ แต่ก็รับช้อนจากมือมันมา เป่าให้คลายร้อนแล้วจ่อปากอีกคนทันทีด้วยความสะใจ “อะ กินสิ” 


มันคงคิดว่าผมไม่กล้ามั้ง ถึงได้ทำอย่างนั้น แต่บอกไว้เลย ในเมื่อตกลงเป็นแฟนกันแล้ว ให้ทำอะไรผมก็กล้าทั้งนั้นแหละ


โนบิตะกลืนน้ำลายลงคออีกอึก มันหลับตาปี๋ ก่อนจะอ้าปากให้ป้อนเหมือนลูกนกรอแม่ป้อนอาหาร 


“เป็นไง อร่อยไหม หรือจะอ้วก?”


เห็นมันรับช้อนเข้าไปในปากแล้วมีท่าทีนิ่งเฉยผิดปกติผมก็กลัวว่ามันจะขย้อนโจ๊กคำนั้นออกมา กำลังจะผุดลุกขึ้นไปหาถังขยะให้มันได้คายออกมาแล้วเชียว แต่มือแกร่งที่โอบผมไว้ทั้งคืนก็ยื่นมารั้งแขนเอาไว้เสียก่อน


“ไม่ครับไม่ต้องไปไหน...อร่อยดี กินได้”


จบคำมันก็หยิบช้อนมาตักโจ๊กใส่ปากเองโดยไม่ต้องสั่งโดยมีผมนั่งให้กำลังใจอย่างนั้น เห็นมันเจริญอาหารขึ้นมาแล้วก็ดีใจ รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่รู้ว่าตัวเองฝีมือยังไม่ตก


ไม่นานนักโนบิตะก็กวาดคำสุดท้ายในชาม หยิบยาจากมือผมใส่ปากแล้วกระดกน้ำตาม ก่อนจะล้มตัวลงนอนตามที่สั่งโดยไม่มีงอแง มันนอนห่มผ้าถึงอก มองผมนิ่ง ๆ ไม่พูดอะไร เห็นแล้วก็พาลคิดไป ว่านอนสอนง่ายอย่างงี้นี่อยากให้ไม่สบายบ่อย ๆ เลย


“แล้วทำไมมึงถึงป่วยได้...ไม่ค่อยได้พักผ่อนเหรอช่วงนี้” ผมถามพลางยกมือขึ้นทาบหน้าผากมันอีกรอบ


“ครับ...ก็เอาแต่คิดเรื่องของคุณนั่นแหละ เลยไม่อยากกลับห้องเท่าไหร่ กลับไปก็รู้สึกแปลก ๆ”


“เหรอออออออคะ แล้วมึงก็เลยเอาคนอื่นไปนอนเพื่อจะได้ไม่ต้องรู้สึกแปลก ๆ ใช่ไหม” ผมแซวมันเล่น ๆ แต่พอเห็นว่าผมพูดอย่างนั้นโนบิตะก็รีบเอื้อมมือมาจับที่ข้อมือผมเลยครับ


“คุณ...โอเคหรือเปล่า” สีหน้าของมันดูไม่สบายใจเลย บวกกับคิ้วที่ขมวดมุ่นนั่น ผมคิดว่าแม่งคิดไปไกลเกินกว่าที่ผมคิดจะแซวมันละ


“เอาจริงเลยกูไม่โอเค แต่มึงขอโทษแล้ว กูเลยโอเคและแซวได้” ผมหัวเราะแล้วดันให้มันเขยิบออกไป ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ ห่มผ้าห่มมิดถึงคอ แล้วตะแคงตัวนอนยิ้มให้มัน


“แต่...”


“ช่างแม่งเหอะ แค่อย่าทำอย่างนั้นอีกระหว่างที่คบกับกู ความเชื่อใจอะสำคัญมึงรู้ใช่ปะ กูก็รู้นะว่ามึงกลัว แต่ช่วยกลัวให้มันน่ารักหน่อยเหอะ ไม่ใช่เอะอะตะคอก เอะอะเอาคนอื่นมานอน ถึงไม่ใช่กูแต่เป็นคนอื่นเขาก็ไม่ทนหรอกนะเว้ย”


มันพยักหน้าแล้วเอื้อมมากอดผมจากในผ้าห่ม 


“ผมรู้สึกดีจัง...ที่จริงผมชอบให้คุณดูแลผมมากเลยนะพิก ไม่ว่าจะตอนไหนก็แล้วแต่ ตั้งแต่ที่คุณไม่ยอมให้ใครรังแกผม ที่คุณมาหา มาดูแลผมตอนป่วยเมื่อครั้งก่อน ที่คุณเก็บกวาดที่บ้านให้ ทุกอย่างที่คุณทำมันมีความหมายหมดนะ”


“ที่จริง กูก็ไม่รู้ว่ากูทำไปทำไมเหมือนกัน แต่ครั้งแรกเลย ที่กูแกล้งมึงแต่แรกก็เพราะหมั่นไส้...ขอโทษนะเว้ยที่ทำอย่างนั้นกับมึง” ผมเขยิบเข้าไปใกล้มันอีกนิด ยังได้กลิ่นน้ำหอมจากตัวมันอยู่เลย “ที่จริงกูอยากเป็นเพื่อนที่ดีกับมึงนะ แต่ก็ไม่รู้อะไรยังไงว่ะ รู้ตัวอีกทีก็แกล้งมึงตลอด”


“เลยโดนผมเอาคืนไง” มันหัวเราะ “ผมก็หมั่นไส้เหมือนกัน คุณน่ะ เวลาทำด้วยกัน ปากก็บอกว่าไม่เอาอย่างโน้นอย่างนี้ แต่พอถึงเวลาคุณก็ชอบทำตัว--” 


“อะไร พูดให้ดีนะมึง”  ผมถลึงตาใส่มันที่นอนยิ้มอยู่ข้าง ๆ โนบิตะเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อีกก่อนจะจูบเบา ๆ ที่หน้าผากผมอย่างอ่อนโยน 


“ช่างมัน ต่อไปนี้ผมจะดีกับคุณให้มาก ๆ” 


“ช่างมันห่าอะไร พูดให้จบสิวะ อย่ามาทำกั๊ก” 


ผมไม่ได้โมโหนะ แต่คำพูดแบบนี้มันเป็นไปโดยสันดาน ด้านโนบิตะพอเห็นว่าผมเริ่มจะหาเรื่อง มันก็ใช้มือข้างที่กอดเอวผมเลื่อนขึ้นมารั้งท้ายทอยให้เข้าไปหา ก่อนจะพูดชิดปากอย่างไม่กลัวผมติดหวัด


“นี่ไงทำแบบนี้....ทำหน้าตาน่ารักอีกแล้ว” มันพูดแล้วจุ๊บลงที่ปากผมหนหนึ่ง “แบบนี้ไง ถึงไม่เคยอดใจได้สักที” 


โอ้ย เขิน...เขินเหี้ย ๆ นาทีนี้หน้าผมแทบจะมอดไหม้เป็นผุยผง เชี่ยไรเนี่ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคนวะ ไอ้ท่าทีจ๊ะจ๋าแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง... แม่ง เขินจนหัวแทบจะระเบิดอยู่แล้ว มึงทำกับกูอย่างนี้ได้ยังไงวะ!


เห็นมันนอนอมยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาวในระยะใกล้แล้วก็ถึงกับต้องนึกบทสวดขึ้นมาในใจ พุทธโธ ทัมโม แม่งไม่ไหวแล้ว ถึงจะเป็นแฟนกันก็ไม่ใช่จะมาทำให้คนอื่นเขาเขินเรี่ยราดได้นะโว้ย

 
“พอ เลิกพูดแล้วรีบนอนพัก” ผมทำเป็นเสหน้าหนีไปอีกทาง ก่อนจะเพิ่งนึกได้ว่าพรุ่งนี้ต้องมีส่งงาน “เดี๋ยวคืนนี้ต้องตื่นมาคิดหัวข้อไปพรีเซ็นต์งานพรุ่งนี้อีก” 


“พรีเซ็นต์งาน?” มันทวนคำ


“อืม อาจารย์ไม่มาสอนวันนี้เลยสั่งงานไว้ ก็แค่พรีเซ็นต์หัวข้อแหละมั้ง คิด ๆ หัวข้อกับเหตุผลไปงัดก็พอ ป้าเนิร์ดบอกในเฟสนะ” 


ผมบอกเล่าสิ่งที่อ่านมาจากเฟสที่ประธานเอกโพสไว้ให้โนบิตะฟังเป็นฉาก ๆ ซึ่งมันก็ทำเพียงพยักหน้าด้วยท่าทางอิดโรย เราเงียบจนเกิดเดดแอร์อยู่สักพัก ก่อนมันจะขยับตัวลงจากหมอน แล้วกอดผมโดยเอาหน้าซุกกับอก 


“ขอยืมเป็นหมอนข้างหน่อยนะครับ ผมง่วงแล้ว” มันบ่นอู้อี้อยู่ใต้คางผมเสียงแผ่ว รู้สึกได้ถึงลมหายใจเป่าร้อนจากปากของมันที่ช่วงอกเลยต้องพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้


“ง่วงก็นอนเหอะ เดี๋ยวมึงหลับแล้วกูไปนั่งเล่นเกม แล้วตอนเย็นตื่นมากินข้าวกันนะ”


ผมบอกมันแค่นั้นแล้วปล่อยให้เก้านอนหายใจรดหน้าอกโดยที่กอดเอวเอาไว้ไม่ปล่อย คิดไปคิดมามันก็มีมุมน่ารักเยอะอยู่เหมือนกันนะ เพียงแต่ว่าบางมุมมันยังไม่แสดงให้ใครเห็นชัดเจนขนาดนั้น ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ผมก็คิดว่าคงต้องใช้เวลาศึกษากันอีกหน่อย เพราะหลังจากที่ผ่านความอึดอัดใจกันมา ผมก็คิดว่าเราทั้งคู่ควรเปิดใจให้กันมากกว่านี้ แสดงให้เห็นในบางจุดที่ไม่เคยมีใครเข้าไปสำรวจ...แล้วถึงตอนนั้นค่อยมาคิดกันอีกที ถ้าไปไม่รอดจริง ๆ ก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกค้างคาอะไรอีก


เรื่องความรักบางทีก็พูดยากนะ บางคนเริ่มรักกันที่ความดี บางคนเริ่มรักกันที่หน้าตา บางคนเริ่มรักกันที่ฐานะ แต่สำหรับผมกับโนบิตะ เราเริ่มสถานะความรักกันจากคำว่า ‘เพื่อน’  ในที่นี้มันอาจดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่กับคนเป็น 'เพื่อน’ ซึ่งแกล้งมันมาตลอดอย่างผม แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ก็คือ ‘ถ้าไม่สนใจ คงไม่มองหาเพื่อแกล้ง’ มันอยู่ตลอดหรอก...เพราะผมก็ไม่ได้ว่างมากมายอะไรขนาดนั้น


ชีวิตวันๆ ก็หมดไปแล้วกับแม่ น้องสาว แล้วก็ไอ้ชาน...ตื่นเช้ามาก็ต้องทำกับข้าว ไปเรียน เล่นเกม ดูรายการช่องที่ติด ตอนเย็นบางวันก็ต้องไปช่วยปิดร้าน ถ้าวันไหนหยุดก็ต้องเปิดร้าน ทุกอย่างในชีวิตผมตอนนี้ไม่ได้แย่ มันดี เพียงแต่ตอนนี้ดีกว่าอีกนิดก็ตรงที่กำลังจะมีใครเข้ามาอยู่ในผังนี้อีกคน 


ผมกำลังมองอนาคต กำลังคิดว่าเราจะวางแผนมันอย่างไรดี ในขณะที่ชีวิตผมมีหน้าที่พวกนี้ กลับกันโนบิตะมันก็มีหน้าที่ของมันที่ต้องดูแลร้าน ดูแลพนักงาน ทำงานแทนที่บ้าน ภาระของมันหนักกว่าผมเยอะ มันดูเป็นคนที่ต้องแบกรับอะไรมากมายจนมองแล้วเริ่มรู้สึกว่าอยากช่วยแบ่งเบาอะไรบ้าง 


คิดได้เท่านั้นผมก็ค่อย ๆ แกะมือกาวของเก้าที่กอดเอวออก ก่อนจะถลาไปนั่งที่โต๊ะแล้วเปิดคอมเพื่อเสิร์จหาข้อมูลเพื่อจะใช้คิดทำหัวข้อวิจัย นั่งอยู่นาน พิมพ์ต๊อกแต๊กไปเรื่อย รู้ตัวอีกทีแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างก็ดูเหมือนจะบางลงจนแทบไม่มี ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มเข้มคล้ายรุ่งเช้า แต่ต่างกันตรงที่ตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน


ผมปริ้นเอกสารทิ้งไว้ นั่งนานเมื่อยหลังไปหมดจนต้องลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายด้วยการลงไปทำกับข้าวในครัว  ยืนหั่นผัก ต้มเนื้ออย่างนั้นพักหนึ่ง แพนงเนื้อ  ยำปลาสลิด กับไข่เจียวก็เสร็จสรรพพร้อมทานวางอยู่บนโต๊ะ ผมแยกบางส่วนเก็บไว้เป็นมื้อเช้าของวันรุ่งขึ้นเพราะเผลอทำแพนงเนื้อ ไปหน่อย ก่อนจะจัดเก็บทุกอย่างใส่ตู้เย็นแล้วย้ายตัวเองกลับขึ้นไปบนห้องแทน


เปิดประตูเข้าไปก็เห็นไอ้คนป่วยยืนก้ม ๆ เงย ๆ อยู่หน้าโต๊ะคอม เก้าหันขวับมาทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด มันหยิบเอกสารในช่องปริ้นกระดาษขึ้นมาแล้วขมวดคิ้วถามผมหน้าตาฉงน


“พิกทำนี่เองทั้งหมดเลยเหรอครับ” 


“ใช่สิ” ผมสาวเท้าเข้าไปหา หยิบเอกสารออกจากมือมัน “ก็มึงไม่สบาย กูเลยทำเผื่อไว้ให้ เดี๋ยวมึงมาอ่านแล้วก็แยกข้อดีข้อเสียเอาแล้วกัน จะได้ประหยัดเวลาอีกนิด”


“ไม่อยากจะเชื่อเลย” ฟังจบมันก็หัวเราะออกมาทั้งหน้าป่วย ๆ หัวเหอนี่ยุ่งอย่างกับรังนก “นึกยังไงทำงานเองครับเนี่ย”


ผมขมวดคิ้วให้กับคำถามของมัน ก่อนจะดึงมันให้เดินตามมานั่งลงที่เตียง เก้ายังคงอมยิ้มไม่เลิก ในขณะที่ผมถอนหายใจแล้วเอื้อมมือไปอังหน้าผากมันอีกรอบ


“ก็มึงไม่สบาย...ดูสิ ตัวยังรุม ๆ อยู่เลย...ไปหาหมอไหม”


“ผมไม่เป็นไรแล้ว ก็เป็นอย่างนี้แหละครับ นอนอีกตื่นเดี๋ยวก็หาย” เก้าตอบแล้วล้มตัวลงนอนที่ตักผม มันขยับจัดท่าทีจนสบายตัว แล้วเงยหน้าขึ้นสบสายตากับผมที่มองการกระทำทุกอย่างของมันอยู่ก่อนแล้ว “ขอบคุณนะครับ...”


“ไม่เป็นไร”


ผมยิ้ม...ยิ้มแบบยิ้มจริง ๆ ยิ้มอย่างที่ตัวเองก็ไม่รู้แน่เหมือนกันว่าจะยิ้มทำไมนักหนา แต่สิ่งหนึ่งในเรื่องนี้ที่ทำให้ผมเริ่มยินดีที่จะเรียนรู้ และเข้าใจความเป็นโนบิตะมากกว่าการมีเซ็กส์กันก็คือพฤติกรรมของมันที่ไม่เคยทิ้งอะไรเลยไม่ว่าจะเรียน หรือ งาน


เราทั้งคู่มองหน้ากันอย่างนั้นพักใหญ่จนโนบิตะเองที่เป็นฝ่ายโน้มหน้าเข้ามาหา มันเลื่อนมือมากุมมือผมเอาไว้ ก่อนจะแนบริมฝีปากแตะริมฝีปากแล้วกดจูบลงอ้อยอิ่งราวกับสัญญาว่าจะทะนุถนอมเป็นอย่างดี ริมฝีปากของมันบรรจงดูดดึง ฟันของมันค่อย ๆ กัดเล็ม ก่อนจะสอดลิ้นเข้ามากวาดความหวานออกไปไปช้า ๆ ยามที่ลิ้นเราแตะกัน ตอนที่หน้าเราเอียงให้กัน ตอนที่มือผมถูกกุมแน่นขึ้นตามแรงจูบ ทุกอย่างมันฉ่ำไปหมด ซ่านหัวใจจนในอกรู้สึกอุ่นวาบเหมือนมีใครเอาน้ำอุ่นมาราดเสียอย่างนั้น


จนในที่สุดเราก็ผละออกจากกันเพราะเสียงเคาะประตูที่หน้าห้อง ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นไอ้พิมพ์มาขัดจังหวะอีกแล้ว ผมกับเก้าหัวเราะให้กันเพราะดันนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคราวก่อนที่เราแอบกุ๊กกิ๊กกันในห้องนี้แล้วมีไอ้พิมพ์มาเคาะประตูให้จังหวะอยู่ด้านหน้า มันเหมือนเดจาวูไปหมดเว้นก็แต่วันนี้เก้าป่วยหนักจนไม่มีแรงทำอะไร...


และที่สำคัญ ที่ทำให้ไม่เหมือนวันนั้นเข้าไปใหญ่
คือ...เราคบกันแล้ว


(((((((((   มีต่อ  )))))))))))

ออฟไลน์ กิมกวง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
.
.
.
.
.
“แน่ใจนะว่าไม่ลืมอะไร”


ผมเอ่ยถามโนบิตะเพื่อเพิ่มความแน่ใจอีกครั้งว่ามันไม่ได้ลืมอะไรที่บ้านผมอีกในเช้าวันนี้ ก่อนจะเหวี่ยงประตูรถปิด แล้วเดินอ้อมไปหามันที่กำลังลงจากเบาะออกมากดรีโมทล็อกรถ วันนี้เราเข้ามาจอดลานใกล้คณะหน่อย เพราะไม่ต้องการเดินไกลในวันที่เร่งรีบอย่างนี้


เมื่อวานหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ กลับขึ้นมาบนห้องผมกับโนบิตะก็ช่วยกันทำหัวข้อวิจัยต่ออีกนิด ก่อนจะตกลงนอนพร้อมกันเพราะวันนี้คาบวิชาวิจัยที่ต้องพรีเซ็นต์หัวข้อนั้นเริ่มเช้ามาก มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่คนในเอกจะรู้กันอยู่แล้วว่าหากใครมาเช้าก็จะได้ลำดับพูดที่เร็วกว่า นั่นทำให้เมื่อพรีเซ็นต์เสร็จ ก็จะเท่ากับว่าว่างไปทั้งวันเพราะวันนี้มีเรียนคาบเดียว


“ไม่ลืมแล้วครับ”


มันมองสำรวจรถแล้วตอบผมพลางใช้มือรีดกางเกงที่ใส่อยู่ให้เรียบกว่าเดิม วันนี้โนบิตะมาในชุดเดิมที่มันใส่มาหาผมตั้งแต่วันก่อน เพราะเสื้อผ้าของผมในตู้มันใส่ไม่ได้สักตัว โชคดีมากที่บ้านผมมีเครื่องอบผ้า นั่นทำให้มันไม่ต้องใส่ชุดเดิมซ้ำกันทั้งที่มีกลิ่นเหงื่อและเหล้าผสมอยู่ จะแตกต่างก็อย่างเดียวตรงที่วันนี้มันไม่ใส่แว่น (เพราะไม่ได้พกมาด้วย) ไม่ทำผมพะรุงพะรังมาเรียน แต่จับผมตัวเองแล้วเซ็ตให้ดูดีเหมือนเวลาไปทำงาน


เดินเข้ามาในตัวคณะก็ได้ยินเสียงฮือฮา ไม่ใช่ผมไม่รู้นะว่าสาว ๆ เขาฮือฮาอะไร แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทั้งที่เป็นตรรกะง่าย ๆ แค่ถอดแว่นใส่แว่นแต่กลับไม่มีใครจำโนบิตะได้ (ผมก็เหมือนกัน) ดังนั้นในสายตาของคนอื่นในตอนนี้ คนที่เดินตามผมอยู่นี่โคตรหล่ออย่างกับพระเอกละครช่วงเย็น ที่มาเดินเฉิดฉายอยู่ในคณะอย่างกับเป็นเวทีประกวดนายแบบระดับเอเชีย =_=


“เป็นอะไรครับ หน้าบึ้งเชียว” 


ท่าทางมันจะจับสังเกตที่ผมเดินเร็วกกว่าปกติได้ เห็นอย่างนั้นโนบิตะเลยรีบสาวเท้าตามมาจนเราทั้งคู่เดินเคียงกัน มันไม่พูดเปล่า แต่คว้ามือผมเอาไปจับแล้วสอดประสานไว้ด้วย


“เปล่า” ผมถอนหายใจ ตั้งท่าจะเลี้ยวเข้าห้องแล้วเชียว แต่มันก็ดันรั้งแขนผมไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีตอนนี้


โชคดีมากที่ห้องเรียนวิจัยอยู่มุมในสุดของชั้น ทำให้ภาพผู้ชายสองคนที่คล้ายกับกำลังจะตระกรองกอดกันอย่างหน้าไม่อายนั้นไม่มีใครเห็น ผมกัดปากแล้วถลึงตาใส่มัน แต่ยิ่งทำอย่างนั้นเก้าก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น


“หึงเหรอ” มันถามยิ้ม ๆ ดูน่าหมั่นไส้จริง


“เออ หึง ทำไม หึงไม่ได้เหรอ ไอ้ห่า แค่ถอดแว่นเสือกจำกันไม่ได้ว่าเป็นใคร มากรี๊ดกร๊าดอยู่ได้ น่ารำคาญฉิบ... คราวหน้ามึงใส่แว่นมาเลยนะ ห้ามถอดอีกตลอดไป” ผมตอบแล้วชักสีหน้าใส่มัน หงุดหงิดโว้ย มาทำหน้าตาอ้อล้ออยู่ได้ ที่ไม่ใส่แว่นมาคราวนี้ยังพอให้อภัยได้นะ แต่ถ้าไม่ใส่มาเรียนคราวหน้ามึงโดนแน่


เพราะกูขี้หวงมากกกก


“โอเคครับ...ไม่เอาไม่หึงนะ” มันหัวเราะเบา ๆ แล้วเลื่อนมือมากุมมือผมไว้ทั้งสองข้าง “เดี๋ยววันนี้กลับห้องเอาเสื้อผ้าไปเก็บแล้วไปกินข้าวร้านอร่อยกันนะ ผมลาพักวันนี้ วานให้พี่เกื้อดูร้านให้แล้ว”


นึกไปถึงเมื่อตอนเช้า อาบน้ำเสร็จออกมาเห็นมันนั่งโทรศัพท์อยู่ก็คิดว่ามีอะไร ที่แท้ก็โทรลาขอเบี้ยวงานนี่เอง 


“ยังไม่หายเหรอ...จริง ๆ มึงนอนพักอยู่ห้องก็ได้นะ แล้วทำอะไรง่าย ๆ กินกัน”


ผมเสนอ ซึ่งดูเหมือนว่าเก้าจะนิ่งคิดไปเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันที่มันจะได้ตอบอะไร เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากด้านหลังก็ทำให้เราต้องผละออกจากกัน คนอื่นเริ่มพากันทยอยเข้าห้องแล้ว รวมไปถึงไอ้ชานที่กำลังเดินเลี้ยวมาจากหน้าลิฟต์ด้วย


พอเห็นหน้าชาน จากที่เคยยิ้ม ๆ อยู่เมื่อกี้ หน้าเก้าก็เปลี่ยนเป็นนิ่งไปถนัด ส่วนผมเหรอ พอสายตาประสานกันเข้ากับเพื่อนสนิทที่เพิ่งจะมีเรื่องกันมาหมาด ๆ ก็ถึงกับหน้าม่าน หยุดจ้องกันอย่างนั้นพักใหญ่ ชานก็เดินนำเข้าไปที่หน้าห้องเพื่อจับฉลาก โดยมีผมเดินตามเข้าไปติด ๆ


“เดี๋ยวออกมาคุยกันหน่อยนะ”


และจังหวะที่มันหันหลังกลับมาคนตัวสูงกว่าก็ก้มลงมากระซิบเบา ๆ นาทีนั้นผมได้แต่ยืนนิ่ง รอให้มันเดินผ่านหลังไปจนพ้นหางตา ส่วนโนบิตะที่อยู่ด้านหลังก็ก้าวขึ้นมาจับฉลากให้แทน ก่อนจะแบ่งฉลากหนึ่งอันใส่มือผม แล้วจับแขนลากไปนั่งด้วยกัน


เรานั่งฟังพรีเซ็นต์คนอื่นท่ามกลางบรรยากาศรอบ ๆ ที่เย็นเฉียบ ห้องนี้เป็นห้องเรียนรวมขนาดกลาง เปิดแอร์เย็นฉ่ำแทบจะตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยหากมีใครนอนหลับรอก่อนจะถึงคิวตัวเอง


แต่ผมไม่เป็นอย่างนั้น ใจมันตุ้ม ๆ ต่อม ๆ จนชานพรีเซ็นต์เสร็จแล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของมมัน ซึ่งคิวต่อมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน...เป็นผมเองที่ต้องออกไปทำการพรีเซ็นต์หัวข้อ โชคดีที่อาจารย์ไม่ถามอะไรมาก อนุญาตให้ผมทำหัวข้อนี้ได้โดยง่าย ไม่อย่างนั้นผมคงค้างนานเพราะไม่สามารถตอบอะไรได้ ก็จิตใจแม่งเอาแต่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เพื่อนสนิทพูดไว้เมื่อต้นคาบน่ะสิ...


“ถ้าชานมาชวนออกไป อย่าไปนะ...เดี๋ยวผมมา”


กลับมานั่งที่ได้ไม่ถึงนาที โนบิตะที่กำลังจะลุกก็พูดไว้ก่อนเดินออกไปเพราะโดนเรียกชื่อในคิวต่อมา ซึ่งทีแรกผมก็ไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่ายังไง แต่พอเห็นไปมองไอ้ชาน ก็เห็นแม่งเดินเข้ามาหา หยุดตรงหน้าผมแล้วเอื้อมมือมาแตะเบา ๆ ที่ข้อศอก


“ออกไปด้วยกันหน่อย” 


ผมมองออกไปยังโนบิตะที่ยืนอยู่หน้าห้อง สายตาของมันแข็งกร้าวขึ้นมาเมื่อเห็นว่าไอ้ชานกำลังพยายามจะรั้งแขนผมให้ลุกขึ้นเดินตามมันไป ทีแรกผมจะไม่ไปหรอกเพราะไม่อยากมีปัญหากับเก้า แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกไม่แฟร์กับเพื่อนสนิทเลยถ้ามันจะเป็นคนเดียวที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้


สุดท้ายผมก็ตัดใจเดินออกมาพร้อมกับไอ้ชานโดยไม่หันไปมองเก้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้อง ปิดประตูออกมา ได้ยินเสียงมันดังออกไมค์ก็อวยพรในใจขอให้ผ่านหัวข้อได้โดยง่ายแล้วจึงเดินตามหลังไอ้ชานไป เราสองคนเดินไปด้วยกันเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็หยุดที่หน้าห้องน้ำ ซึ่งบริเวณนี้คนผ่านไปมาบางตาเพราะเป็นมุมอับพอสมควร


“กู...มีเรื่องที่ต้องคุยกับมึง” สีหน้าของไอ้ชานดูอมทุกข์ ขอบตาของมันดูคล้ำมาก ท่าทางเหมือนคนไม่ได้นอนติดกันมาหลายคืน “เรื่องวันนั้นกูเอาไปคิดมาแล้วนะ” 


“อืม” 


ผมทำได้แค่ครางในลำคอ ก่อนจะแกะมือของมันที่จับข้อมือไว้ออก ซึ่งไอ้ชานก็ทำได้เพียงแค่มองอย่างเศร้าสร้อย มันกลืนน้ำลาย เงยหน้าขึ้นมามองผมยิ้ม ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ


“กูคิดว่ากูชอบมึงจริง ๆ ....แต่มึง...คงไม่คิดอย่างนั้นใช่ไหม”


“กูคิดว่ามึงเป็นเพื่อนนะไอ้ชาน...ขอโทษด้วยว่ะ ที่ตอบรับความรู้สึกมึงไม่ได้” ผมพูดออกไปตามตรง ไม่เห็นประโยชน์ที่จะต้องมานั่งรักษาน้ำใจมันในเรื่องนี้ เพราะถ้าไม่พูดออกไปตรง ๆ มันก็จะยิ่งมีหวังและเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า


เรายืนมองหน้ากันนิ่งไปพักใหญ่ ซึ่งเพื่อนตัวสูงของผมดูเหมือนกับว่ากำลังพยายามทำใจยอมรับ ไอ้ชานทำเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอย่างฝืน ๆ


“ไม่เป็นไร...กูเข้าใจนะ เข้าใจทุกอย่างเลย”


มันยังคงยิ้มอยู่ เป็นยิ้มที่เพื่อนอย่างผมเห็นแล้วรู้สึกแย่ เพราะไม่มีอะไรที่สามารถทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นได้ในเวลานี้... ทุกอย่างต้องอาศัยเวลา ต้องอาศัยเยียวยากันไปช้า ๆ ...


“ถ้าอย่างนั้น...กูขอกอดมึงได้ไหม...ขอกอดมึงครั้งเดียว แค่ครั้งนี้ที่กูจะกอดมึงด้วยความรู้สึกแบบนี้”


ไอ้ชานว่า หน้าตามันน่าสงสารมาก แต่ถึงผมสงสารมันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมให้มันกอดซะ เพราะนี่จะช่วยให้มันสามารถตัดใจได้เร็วขึ้น ผมครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง มองหน้ามันก่อนจะก้าวเข้าไปหาแล้วอ้าแขนทั้งสองข้างออก


“มาสิ” 


จบคำไอ้ชานก็พยักหน้าแล้วก้าวเข้ามาหา แต่ไม่ทันที่ตัวเราจะได้สัมผัสกัน ในขณะที่มือของไอ้ชานกำลังจะสัมผัสกับหลังผม ตัวของมันก็ถูกกระชากปลิวออกไป โดยคนที่อยู่ในฐานะแฟนของผมเอง


ไอ้เก้า...

“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าออกมา” เสียงมันดังกึ่งตวาด ไม่ทันได้พูดอะไรต่อไอ้ชานที่เพิ่งตั้งสติได้ก็ถลาเข้ามากระชากคอเสื้อโนบิตะแล้วดึงเข้าไปหา ก่อนจะถลึงตาใส่เหมือนโกรธกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน


“ทำเหี้ยอะไรของมึงวะ!”


ไอ้ชานตะคอกใส่หน้าเก้าด้วยอารมณ์โมโห แต่ไม่ใช่เพื่อนผมที่โมโหเป็นอยู่ฝ่ายเดียว โนบิตะก็ใช่ย่อย ไอ้บ้านั่นก็กระชากคอเสื้อไอ้ชานเข้ามาใกล้แล้วตะคอกใส่กลับไปเหมือนกัน


“แล้วมึงล่ะกำลังทำเหี้ยอะไรกับแฟนกู!”


ขนาดยืนอยู่ข้าง ๆ มันสองคน ผมยังสัมผัสได้ถึงความมึนงงที่ก่อตัวขึ้นในความรู้สึกของไอ้ชาน พอมันฟังสิ่งที่เก้าพูดจบ ยืนนิ่งวิเคราะห์อยู่สักพัก มันก็ปล่อยมือออกจากคอเสื้อของอีกฝ่ายอย่างหมดแรง ผมแอบเห็นไหล่ของไอ้ชานดูเหี่ยวลงไปถนัด ในขณะที่เก้าก้าวเข้าไปหาแล้วยกมือขึ้นกอดอกราวกับจะประกาศว่าตัวเองเป็นผู้ชนะในศึกครั้งนี้


“พวกมึง...สองคน? เป็นแฟนกัน?” 


ไอ้ชานเซไปเลย... สีหน้าของมันมึนงงกับคำพูดของเก้ามากกว่าตัวผมเองทื่ยืนฟังอยู่ตรงนี้ มันทำหน้าเหมือนกับว่าทุกอย่างกำลังจะพังลง ก่อนจะยกมือขึ้นชี้หน้าเราทั้งคู่สลับกันไปมา


“กู...กูขอโทษ” ผมเม้มริมฝีปากแห้งผากของตัวเอง ก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้นเพราะรู้สึกผิดที่สุดแล้วที่ไม่ยอมบอกเล่าอะไรให้ไอ้ชานฟังเลยแม้แต่น้อย


“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”


ไอ้ชานขมวดคิ้ว สีหน้าของมันดูแย่มากเหมือนกับจะทรุดลงไปกับพื้นได้ทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่ 


“นานแล้วครับ...” ดูเหมือนอารมณ์ของเก้าจะเย็นลงบ้างแล้ว มันถึงได้กลับมาพูดสุภาพกับไอ้ชาน ผมเห็นเก้ายกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบา ๆ ก่อนจะกลับมากอดอกวางฟอร์มเหมือนเดิม “นานแล้วที่พวกผมรู้สึกตรงกัน”


“เหรอ...” ไอ้ชานตอบออกมาเพียงแค่นั้น แค่นั้นจริง ๆ ที่ดูเหมือนกับว่ามันจะพูดอะไรออกมาได้ ไม่มีคำยินดีอะไรหลุดจากปากมัน มีเพียงแค่สีหน้าแย่ ๆ ที่เหมือนจะกัดกร่อนใจผมให้รู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ 


“กูขอโทษนะ กูขอโทษ” 


“ช่างมัน...ไม่เป็นไร...” ไอ้ชานตอบ


ผมพูดได้เพียงเท่านั้นจริง ๆ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย ไอ้ชานทำเพียงแค่ยกมือขึ้นในระดับหน้า มันแบมืออกทำท่าเหมือนจะให้พวกเราหยุดพูดอะไรก็แล้วแต่ที่จะทำร้ายจิตใจมันได้อีก ไม่มีการบอกลาอะไรทั้งสิ้น ไอ้ชานเดินออกไปจากตรงนั้นทิ้งให้ผมกับเก้ามองหน้ากันด้วยสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก... 


เราหมดหนทางแล้วจริง ๆ
ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะพูดอะไรให้ดูดีกว่านี้ได้อีก?


“ไม่เป็นไรนะ...ผมว่าเขาจะต้องเข้าใจ...ผมขอโทษที่ทำอะไรใจร้อนไปหน่อย”


เก้าเดินเข้ามาหาหลังจากเห็นผมนิ่งไปนาน มันยื่นมือมาจับมือผมเอาไว้ กล่าวขอโทษแล้วเลื่อนมาลูบหลังลูบไหล่ บอกตรง ๆ ว่าผมกลัวที่จะต้องเสียไอ้ชานไป เพราะมันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมแล้วไม่ว่าจะตอนไหน ทุกอย่างมันมีแต่คำว่า ‘ไม่น่าเลย’ ไม่น่าเป็นอย่างนี้เลย... แต่เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ใช่ไหม?


ผมจะรอให้มันผ่านจุดนี้ไปให้ได้นะ 
ผมจะรอวันที่มันจะกลับมาเป็นเพื่อนกับผมได้อีกอย่างสนิทใจ


((((((((((((  มีต่อ )))))))))))))

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ กิมกวง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
22บทส่งท้าย   
 



หลังจากวันนั้นผ่านไป ผมก็ไม่ได้คุยกับไอ้ชานอีกเลย...


จนตอนนี้ก็เกือบเดือนมาแล้ว มีแต่ไอ้เฮียคนเดียวที่สามารถติดต่อกับมันได้   


ถามว่าร้อนใจไหม...ใช่ ผมร้อนใจ แต่จะให้ทำอย่างไร เมื่อไอ้ชานไม่ยอมรับโทรศัพท์จากผมเลย เจอหน้ากันที่ม.จะขอคุยเป็นการส่วนตัว หรือแม้แต่จะมานั่งใกล้ ๆ ก็ยังไม่มี จากที่เคยมาหาที่บ้านก็ไม่มา ผมก็เข้าใจนะว่าควรให้เวลามันทำใจ แต่ผมก็รู้สึกแย่อยู่ดี รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวที่เสียใจเพราะมันกำลังจะทิ้งผมไป


วันนี้เป็นวันส่งพรีเซ็นต์วันสุดท้าย ผ่านมาเดือนนึงนอกจากความทุกข์ที่ไม่ได้ปรับความเข้าใจ ผมก็ยังต้องทุกข์กับโปรเจ็คงานที่ล้นพ้นหัว ช่วงนี้ใกล้สอบแล้วด้วย จริงอยู่ที่ผมไปขลุกอยู่กับเก้าเพราะต้องทำพรีเซ็นต์งานเยอะแยะแต่เราทั้งคู่ก็ไม่ได้แฮปปี้ตามประสาคนเป็นแฟนกันอะไรขนาดนั้น 


เพราะเราทั้งคู่ยังมีความรู้สึกผิดที่ติดใจกันอยู่
ก็เรื่องไอ้ชานนั่นแหละ...


Rrrr Rrrrrr


นั่งกางโต๊ะญี่ปุ่นทำรายงานอยู่ในห้องเก้าหัวหมุ่นก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์แผดลั่นจากตรงที่ชาร์จ ซึ่งเก้าที่นั่งตรวจบัญชีอยู่บนโต๊ะกินข้าวก็ไม่ได้นั่งฟังเฉย ๆ มันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์จากตรงเคาน์เตอร์ ดึงปลักออกก่อนจะยื่นมาให้ตรงหน้า


“เฮียโทรมา” 


ผมยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์มาไว้ในมือ ส่งมือถือให้เสร็จเก้าก็เดินกลับไปนั่งที่ตัวเองแล้วทำบัญชีต่อ  ช่วงนี้ผมคุยกับไอ้เฮียบ่อยมากเรื่องของไอ้ชานเพราะฝากฝังให้มันคอยดูแลสารทุกข์สุกดิบของฝั่งโน้น ซึ่งไอ้เฮียก็ทำหน้าที่ได้ดีเพราะมันต้องการแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองทำแย่ ๆ ลงไป


[“พรุ่งนี้ที่ส่งเล่ม มึงเสร็จยังวะ”] เสียงปลายสายดังขึ้นทันทีที่ผมกดรับ เสียงไอ้เฮียดูร้อนรนเมื่อเอ่ยถึงเล่มรายงานที่ต้องส่งในวันพรุ่งนี้


“ยังเลย นั่งทำอยู่ แต่ของโนบิตะเสร็จแล้วนะ” ผมคลิกเข้าโฟลเดอร์ของโนบิตะก่อนจะกดเปิดดูรายงานที่มันทำเสร็จแล้ว “มึงจะดูไหม เดี๋ยวกูส่งไปให้” 


[“เออ ดู ส่งมาเลย...กูต้องช่วยชานมันแก้อีกเนี่ย”] ไอ้เฮียบ่นกระปอดกระแปด แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องที่มันบ่นเลยแม้แต่น้อย ผมสนใจมากกว่าเมื่อมันพูดถึงบุคคลที่สาม


“ไอ้ชาน...อยู่นั่นเหรอมึง” 


อาจจะดูงี่เง่าไปหน่อยที่ถาม ทั้งที่ไอ้เฮียก็เพิ่งพูดชื่อไอ้ชานไปเมื่อครู่ ด้านโนบิตะเมื่อได้ยินว่าผมพูดชื่อใคร มันก็ละออกจากงานที่กำลังทำอยู่ แล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ก่อนจะจับไหล่ผมเอาไว้ แล้วพูดอย่างไม่มีเสียง


‘ขอคุยสิ’ มันพยักเพยิดหน้ามาทางโทรศัพท์


“มึง...กูขอคุยกับไอ้ชานหน่อยได้ไหม”


จะว่าผมเป็นคนว่าง่ายก็ได้ แต่มันมีเหตุผลมากกว่าคำว่า ‘ว่าง่าย’ เพราะผมต้องการอยากจะคุยกับไอ้ชานอยู่ก่อนแล้ว ด้านปลายสายเมื่อได้ยินอย่างนั้นมันก็อึกอัก ไอ้เฮียถอนหายใจแรง ๆ ผ่านมาทางโทรศัพท์ก่อนจะหายไปพักหนึ่ง


ผมอดทนรอด้วยความตื่นเต้น เกือบเดือนที่ไม่ได้คุยกันมันทำให้ผมรู้สึกกระวนกระวาย ก้มลงมองมือตัวเองที่วางไว้บนหน้าตักก็เห็นได้ชัดว่าเหงื่อกำลังผุดขึ้นมา หันไปมองหน้าเก้าก็ได้แต่เม้มริมฝีปากใส่ ในขณะที่อีกฝ่ายพยักหน้าเป็นเชิงให้กำลังใจ


[“ว่าไง...”]


นานเกือบห้านาทีที่ผมนั่งเงียบรออยู่อย่างนั้น จนเสียงไอ้ชานดังขึ้นผมก็เหมือนกับจะร้องไห้ออกมาทันที ได้ยินเสียงมันแล้วในรอบหลายวัน การที่มันยอมคุยโทรศัพท์กับผมแบบนี้ แค่พูดมาเท่านี้ ผมก็มีสิทธิ์จะคิดว่ามันหายโกรธได้ใช่ไหม...


“กู...กู...” จู่ ๆ ก็รู้สึกปวดหนึบขึ้นมาในลำคอ ภาพโน๊ตบุ๊คตรงหน้าพร่าเลือนไปหมด ในหัวเหมือนกับจะนึกคำพูดไม่ออก กระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงตอบกลับมา


[“มึงร้องไห้เหรอ...ใจเย็น ๆ ร้องไห้ทำไม กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าร้องไห้”] ไอ้ชานพูดติดตลก แต่เสียงของมันกลับไม่ฟังดูตลกเหมือนอย่างคำพูด [“ว่ายังไง...จะคุยกับกูมีเรื่องอะไร พูดมาดิ ไม่ใช่มาร้องไห้ใส่กัน”]


“อึก”  ผมกลั้นก้อนสะอึกไม่อยู่แล้ว มันเหมือนกับจะพุ่งออกจากปากได้ทุกครั้งที่อ้าปาก ด้านเก้าเมื่อเห็นว่าผมกำลังร้องไห้ มันก็เลื่อนมือมาแตะเบา ๆ ที่ต้นแขน ก่อนจะบีบนวดออกแรงกระชับเพื่อบอกกลาย ๆ ว่าจะอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องกลัว พูดออกไปเลย


“กู...กูคิดว่ามึงเกลียดกู กูคิดว่ามึงโกรธกู กูคิดว่าเราจะไม่เป็นเพื่อนกันแล้ว” 


[“เออก็รู้สึกแย่ว่ะ...แต่เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว ตอนนี้กูดีขึ้นหน่อย...แม่งอย่าร้องไห้สิวะ เดี๋ยวก็ร้องตามหรอก”]


ได้ยินเสียงมันสั่น ๆ เหมือนกับจะร้องไห้ก็นึกออกเลยว่าตอนนี้มันกำลังทำหน้าแบบไหน ผมแม่งโคตรรู้สึกแย่เลยที่ทำให้มันเป็นอย่างนี้ แต่ตอนนี้ดีใจยิ่งกว่าที่อย่างน้อย ๆ มันก็ยอมคุยกับผมแล้ว ดีใจที่มันบอกว่าตอนนี้ดีขึ้น ไม่ได้ย่ำแย่เหมือนช่วงก่อน


“อือ...ดีแล้ว...กูดีใจ” ผมพูดพลางเม้มปากกลั้นเสียงไม่ให้ปล่อยโฮออกไปด้วย ซึ่งปลายสายก็เหมือนกัน ไอ้ชานเงียบไปพักหนึ่งก่อนเสียงสูดขี้มูกที่ดังออกมาแทน


[“กูก็ต้องขอโทษมึงเหมือนกัน...กูแค่อยากทำใจเลยหายไปสักพัก ขอโทษนะที่ทำให้มึงต้องเป็นห่วง”] มันตอบกลับมาเสียงอู้อี้


“อืม...ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรเลย...มึงโอเคแล้วใช่ไหม” 


[“อืม กูโอเค กูขอโทษที่ทิ้งมึงไปทั้งอย่างนั้น อย่างที่กูบอก กูก็แค่ต้องการเวลา ถามว่าตอนนี้ยังเจ็บไหม ก็ใช่...แต่กูพยายามจะทำให้ทุกอย่างมันดีอยู่ พยายามจะทำให้มันดีขึ้นด้วยมือของกู มึงรอกูหน่อยได้ไหม มันอาจไม่เต็มร้อยหรอก แต่กูจะพยายาม”]


“อืม”


ผมตอบได้เพียงเท่านั้นจริง ๆ เพราะตอนนี้ม่านน้ำตาแม่งบดทับทุกอย่างหมดแล้ว ยังรู้สึกได้ถึงแรงมือของโนบิตะอยู่เนือง ๆ แต่ที่ทำให้อบอุ่นกว่านั้นก็ตรงที่อีกฝ่ายบอกว่าจะพยายามกลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้ 


ผมเห็นแก่ตัวว่ะ รู้นะว่ามันยาก แต่ไอ้ชานก็ยังพยายามเพื่อผม เชื่อนะว่าความสัมพันธ์แบบเพื่อนแม่งตัดกันไม่ขาดหรอก แต่ก็คงต้องให้เวลามันทำใจสักพัก เพราะถ้าเป็นผมก็คงไม่ไหวเหมือนกันกับเรื่องราวที่แย่กับใจอย่างนี้ 


เราคุยกันอีกสองสามประโยค ช่วงหลัง ๆ ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ผ่านมา ไม่ได้เอ่ยขอโทษกันอีกเพราะรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น สิ่งที่จะช่วยเราได้คือเวลา เราแค่ต้องรอเวลาให้ทุกอย่างมันผ่านไปและกลายเป็นอดีตถึงจะยิ้มให้กันได้อย่างสนิทใจอีกครั้ง ผมฟังไอ้ชานพูดถึงรูปเล่มของตัวเองด้วยเสียงขาดห้วง พูดเรื่องของตัวเองอีกสองสามคำก่อนจะตัดสินใจลากัน และสัญญาว่าจะทักกันในวันพรุ่งนี้


“โอเคไหม” 


“อืม”


วางสายเสร็จหันมาก็เจอโนบิตะยิ้มให้ มันอยู่กับผมตั้งแต่ต้นสาย รู้ว่าผมเป็นอย่างไรบ้างแต่ก็ยังยิ้มให้ ต้องขอบใจมันมากที่อยู่ด้วยกันในวันที่อ่อนแออย่างนี้ ช่วงนี้มันปรับเปลี่ยนตัวเองหลายอย่างกระทั่งเวลาที่จะกลับบ้าน มาอยู่กับผมให้มากขึ้นเพราะช่วงก่อนผมเจอมรสุมเรื่องไอ้ชานและทำท่าเหมือนกับว่าจะเฟลอยู่ตลอดเวลา


“กู...ขอบใจมึงมากนะ ขอบใจว่ะ” ไม่รู้ว่าถ้าเป็นคนอื่นจะเข้าใจในสิ่งที่เราขอบคุณกันไหม แต่สำหรับผมกับโนบิตะ เรารู้กันอยู่ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ได้ยินอย่างนั้นมันก็สิ่งยิ้มมาให้ ถอดแว่นออกแล้วลูบหลังผมเบา ๆ


“ไม่เป็นไร...ตาบวมหมดแล้ว ไปล้างหน้าล้างตาแล้วพักก่อนไหม ค่อยตื่นมาทำรูปเล่มตอนดึก ๆ ก็ได้ เดี๋ยวผมปลุกเอง”


มันถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ส่วนผมที่ล้ามาทั้งวัน แถมยังตาล้าเพราะเพิ่งร้องไห้ไปก็ไม่รู้จะปฏิเสธอะไร ได้แต่แหวกกองหนังสือออกแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะญี่ปุ่นมองหน้ามันที่ส่งยิ้มมาให้


“จะนอนตรงนี้เหรอ”


“อืม..”


“มันจะไม่สบายตัวนะ” 


“ไม่เป็นไร....ขอบคุณมึงมาก”


ไม่รู้ตัวแล้วว่ากำลังพูดอะไรออกไป แต่ในใจนี่เหมือนยกภูเขาออกจากอก พอรู้ว่าไอ้ชานโอเคขึ้นกับความรู้สึกพวกนั้นตาผมก็เหมือนกับจะปิดได้ทันที ช่วงก่อนผมนอนแทบไม่หลับเลย รู้สึกไม่เป็นตัวเองทุกครั้งไม่ว่าจะทำอะไร...แต่ตอนนี้เคลียร์แล้ว...ได้มีโอกาสพูดเคลียร์กันแล้วเสียงโนบิตะถึงได้ฟังดูห่างไกลออกไป...ไกลออกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย 


ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ ตื่นมาอีกทีก็รู้สึกได้ถึงแรงมือที่กอดเอวผมเอาไว้ ได้ยินเสียงนกร้องที่นอกหน้าต่างก็ตกใจ ถึงกับทะลึ่งตัวขึ้นมานั่งแทบจะในทันที... ก้มลงมองก็เห็นเก้ากอดเอวผมเอาไว้อย่างนั้นโดยที่หัวไม่ได้อยู่บนหมอน มองไปทั่วห้องก็รู้สึกฉิบหายเพราะยังทำรายงานไม่เสร็จทั้งที่ตอนนี้ตะวันโด่งแล้ว


“เก้า เก้าตื่น...ทำไมมึงไม่ปลุกกู”


คนที่นอนอยู่ถึงกับปรือตาขึ้นมามองเมื่อเจอผมเขย่าเข้าให้อย่างแรง ไอ้เก้าเอื้อมมือมารั้งท้ายทอยผมให้ล้มตัวลงมานอนต่อ ก่อนจะกอดผมเอาไว้แล้วใช้คางเกยไหล่ซุกกับหน้าอกผมจนจมไปทั้งหน้า


“ตื่นมึง...ตื่นนนนน รายงานกูยังไม่เสร็จ ไอ้เหี้ย ตื่น”


“อะไร....อืม...เสร็จแล้ว อยู่บนโต๊ะโน่น”


ผมขมวดคิ้ว “อะไรเสร็จ”


“ก็รายงานคุณไง....เสร็จแล้ว อยู่บนโต๊ะโน่น” 


ด้วยความตกใจก็รีบทะลึ่งตัวขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้ไม่ได้กวาดสายตาไปรอบห้องอย่างสะเปะสะปะเหมือนเคย แต่จงใจหยุดสายตาไปที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเมื่อคืนที่ว่างโล่งไม่มีโน้ตบุ๊ค ไม่มีหนังสือวางกองเอาไว้อย่างที่ควรจะเป็น...


มีแต่รายงานสองเล่มที่วางทับกันเอาไว้เป็นมุมทแยง 


“มึง...ทำให้กูเหรอ” ผมกระพริบตาปริบแล้วเขย่าไอ้เก้าให้ตื่นขึ้นมาตอบอีกรอบ ด้านคนขี้เซาเมื่อถูกเขย่ามาก ๆ ก็ลืมตาขึ้นมาทั้งตาหยี ๆ


“ใช่” มันหาววอด “ผมไม่อยากปลุก อีกอย่าง คุณกำลังเศร้า คงไม่มีกะใจจะทำหรอก”


“มึงก็เลยทำให้กู?” ผมถามซ้ำ


“ใช่...เพราะผมรู้สึกขอบคุณที่คุณเลือกผมจนตัวเองต้องผิดใจกับชาน...บอกตรง ๆ ว่าทีแรกผมไม่คิดว่าคุณจะเลือกอย่างนี้ แต่เพราะคุณเลือกแล้วผมถึงต้องรับผิดชอบจนกว่าคุณจะหายดีเหมือนกัน”


“...” ผมมองหน้ามันนิ่ง


“ขอบคุณนะ...” เก้าพูดออกมายิ้ม ๆ ก่อนจะปิดเปลือกตาไปอีกครั้งเพราะถ้าให้เดากว่าจะทำเสร็จแม่งคงนั่งถึงเช้า... ได้ยินมันพูดขอบคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะนอนนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้นจนมันหลับสนิท พอได้ยินเสียงลมหายใจระบายออกมาสม่ำเสมอ ผมก็ลุกขึ้นไปดูรายงานที่มันทำทิ้งไว้ให้ทันที...


ในใจตอนนี้แม่งมีแต่คำว่าขอบคุณ... แม่งโคตรขอบคุณ รู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมากหลังจากได้คุยได้เคลียร์กับชานไป แล้วตื่นขึ้นมาเจอรายงานตัวเองเสร็จโดยที่มีแฟนทำให้ ฮ่าฮ่าฮ่า...


“ขอบคุณเหมือนกัน” ผมเดินกลับไปแอบจูบหน้าผากมัน แล้ววางรายงานไว้บนหัวเตียง ก่อนจะเข้าไปในโซนครัว ตั้งใจจะทำอะไรร้อน ๆ ให้มันกินก่อนจะออกไปส่งรูปเล่มในวันนี้...


เมื่อกี้มันอะไร เก้ามันขอบคุณที่ผมเลือกมันใช่ไหม? ซึ่ง ถ้ามันจะขอบคุณผมคนเดียวก็คงไม่ใช่ ผมไม่ได้ใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงในการคิดแล้วระลึกได้เลย เพียงแต่ย้อนกลับมามองมันแล้วทำให้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างในตัวคน ๆ นี้ คนที่ผมกำลังจะฝากชีวิตอีกไว้อีกครึ่ง คนที่พยายามทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี คนที่กระตุ้นให้ผมอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของมันได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ


ถ้าใครบอกว่าการจะชอบคน ๆ หนึ่งโดยใจบริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เขาหันมาสนใจนั่นผมคิดว่ามันไม่ค่อยถูกเท่าไหร่นะ การยอมเปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อให้เราเข้ากันได้และรักษามันไว้ให้นานที่สุดต่างหากที่ถูกต้อง แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วยังไม่มีอะไรดีขึ้นก็ถือว่าเราไปกันไม่ได้จริง ๆ เพียงแต่ว่าเปลี่ยนแล้วทั้งคู่ก็หวังจะเห็นอะไรงอกเงยออกมามากกว่าคำว่าชอบ...


ซึ่งต้นเล็ก ๆ นั่นอาจหมายความถึงการ ‘อยู่ด้วยกันได้’ หรือคำประเภทอื่นเช่น ‘ตลอดการ , ตลอดไป’ เหมือนในละครตอนจบที่งดงามด้วยคำว่า ‘อวสาน’ บนฉากหวาน ๆ ที่ทะเลแห่งหนึ่งในประเทศบางประเทศ


สำหรับบางคนผมก็ไม่รู้ว่าระบบความคิดเหล่านี้มันดูมีน้ำหนักบ้างไหม แต่สำหรับโนบิตะของผมที่กลัวการรักใครสักคน ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นยาดี ที่ทำให้มันมั่นใจว่าผมพร้อมจะอยู่กับมัน จะศึกษามันไม่ว่าจะมีอะไร หรือมีสิ่งไหนร้ายแรง ในเมื่อเราตกลงว่าจะคบกันแล้ว พวกเราก็แค่ต้องทำมันให้ดีที่สุดก็เท่านั้นเอง 


และนี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าจะทำมันให้ดีที่สุด
ถึงจะดูมือใหม่...แต่ก็จริงใจนะ

เอาใจช่วยด้วยล่ะ...
เพราะผมกับมันจะปลูกต้นนั้นด้วยกัน ‘ตลอดไป’ (เท่าที่จะทำได้นะ)



THE END


_____________________________________________________


ขออนุญาตให้ชื่อแท็กว่า #โนบิโนบิ แล้วกันค่า
เอาไว้ติดตาม พูดคุยย้อนหลัง ติชมไดน้า


โอ้ย จบแล้วเด้อ แต่มีสเป ของเสป สเป ๆๆๆ ต่ออีก 55555555555555
แต่สรุปว่าลงจบแล้ว ตอนแรกจะยังไม่ลง คิดไปคิดมาลงดีกว่า

เดี๋ยวค่อยมาลงสเปอาทิตย์หน้านะคะ ขอตัวไปเขียนเรื่องอื่นก่องงง 


แวะมาพูดคุย ติดต่อได้ที่

Twitter

ไม่ค่อยเล่นทวิต แต่จะพยายามเข้ามาดูบ่อยๆจ้า 

ออฟไลน์ MoPPeT

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
สนุกมากกกกกกกกกกกกกค่ะ อ่านรวดเดียสจบเลย รอสเปนะคะ ^^

ออฟไลน์ pradoza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
    • twitter
 แอบหวัง อยากให้ชานกลับเก้าได้คุยกันเปิดใจ พิกคงรู้สึกดีกว่านี้ ได้ขอโทษกันได้หัวเราะกัน ได้เป็นเพื่อน รู้แหละว่าไม่ได้โกรธแล้วก็มีผลมากมายเหมือนพิกกะชานแต่ถ้าได้คงดี ชอบตรงที่ไม่ได้เน้นไปเรื่องใดเรื่องนึงมีครบทุกอย่าง เพื่อน แฟน หน่วง อึดอัด และอยากด่าพระเอก นี่แหละ ถูกต้องแล้ว 555555 ชอบสุดๆไปเลย จะตามอ่านไปเรื่อยๆนะคะ รออ่านผลงานอื่นๆอยู่นะคะ

ออฟไลน์ กิมกวง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
SP : when

NOBITA’s PART

 

ช่วงนั้นของเดือนเป็นช่วงที่หนักที่สุดนับตั้งแต่เปิดร้านมา


ตอนนั้นหลายอย่างประดังประเดเข้ามาในชีวิตผมพร้อม ๆ กันอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นภาระที่ต้องจัดการเรื่องเงินเดือนของลูกน้อง หรือแม้แต่ต้องรองรับลูกค้าคนสำคัญ เช่นคนมีตำแหน่งในทางราชการบางคนกับเหล่าบริวารทั้งหลายที่จองโต๊ะเข้ามาเพื่อนัดประชุมคุยกันงานวันเว้นวัน นอกจากจะต้องดูแลสต๊อกของในร้านและจัดการส่วนอื่นแล้ว ผมยังต้องปลีกตัวออกมาจากกองเอกสาร เพื่อเข้าไปร่วมนั่งดูแลความเรียบร้อยให้กับแขกเหล่านั้นอีกด้วย


แต่นั่นไม่หนักใจเท่ากับเรื่องของพิก...


หลังจากคุยกับพี่เกื้อมา ผมก็คิดแล้วว่าควรจะทำอะไรให้มันเป็นชิ้นเป็นอัน เช่นเข้าไปคุยกับเขาให้รู้เรื่องก่อนที่ความรู้สึกของเราทั้งคู่จะบานปลายลงรากเป็นเรื่องอื่น ผมยอมรับว่านอนหลับไม่สนิทอยู่หลายคืน ไม่ว่าจะด้วยพิษไข้ หรือพิษเครียด อะไรก็ตามแต่ล้วนทำให้ผมพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่มันก็ยังไม่เท่ากับเรื่องของพิกที่คาอยู่ในใจ


มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมอึดอัดจนไปต่อไม่ได้ ยิ่งรู้ว่าเขาเห็นอะไรที่ห้องของผม ผมก็ยิ่งเครียด ไม่ใช่ว่ากลัวเขาเข้าใจผิด เพราะสิ่งที่เขาเข้าใจมันก็ถูกต้องดีแล้ว แต่ที่กลัวคือเขาอาจไม่ยอมฟังอะไรเลย แม้แต่คำแก้ตัวของผม แล้วมันจะยิ่งแย่ลงไปใหญ่ ถ้าหากเขาเปลี่ยนใจไปหาคนอื่นแทนอย่างที่ผมต้องการในตอนแรก...


จะผิดไหมถ้าตอนนี้ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้นแล้ว


มันอาจดูกลับไปกลับมาแต่สำหรับตอนนั้น สิ่งที่ผมเห็นคือพิกกำลังจะเดินออกไปจากห้องเรียนพร้อมชาน ผมนึกโทษตัวเองที่ขี้ขลาด ไม่กล้าพอที่จะเรียกรั้งเขาเอาไว้เพียงด้วยกลัวจะถูกปฏิเสธเพราะตัวเองก็มีชนักติดหลังอยู่ ทั้งที่ควรจะพาเขาออกไป ลากออกไปแล้วกล่าวขอโทษเขา พูดดี ๆ กับเขา แล้วจบความรู้สึกนี้ด้วยการบอกว่า ‘ชอบเหมือนกัน’


แต่ทำไม่ได้...


นั่นเพราะผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพิกส่งไลน์มาหา ถ้าหากรู้ตัวเร็วกว่านั้นสักนิด ผมอาจเดินไปกระชากแขนของเขาให้หลุดออกจากการเกาะกุมของชาน อาจจะประกาศให้ทุกคนรู้ตรงนั้นว่าพิกเป็นของผม


นั่นล่ะ....มันถึงทำให้ผมคิดว่า...ที่จริงแล้ว ตัวเองมันทิฐิสูงแค่ไหน






“มาแต่หัววันเลยนะครับ นี่เพิ่งจะบ่ายสามโมงเอง คุณเก้าเลิกไวเหรอครับ” 


จำได้ว่ารู้ตัวอีกทีผมก็เงยหน้าขึ้นไปพยักหน้าให้กับเจ้าของเสียงที่คุ้นเคย เป็นพี่เกื้ออีกแล้วที่เอ่ยทักผมในเวลาอย่างนี้


หลังจากกลับมาจากมหาลัย ผมก็บึ่งรถมาที่ร้านทันที แน่นอนว่าผมปิดโทรศัพท์มือถือเพราะไม่ต้องการให้ใครติดต่อได้ เช่น แม่ที่มักจะโทรมาเงียบใส่ในช่วงเย็นของทุกวัน ผมไม่ต้องการคุยกับใคร เพราะยังไม่มีอารมณ์อยากจะพูดอะไรกับใครทั้งสิ้น ไม่ได้อยากเปิดไลน์เช็คดู ว่าเฮียส่งสติ๊กเกอร์อะไรมาเพื่อแทนคำขอโทษที่ทำให้เรื่องทุกอย่างวุ่นวาย ไม่ได้อยากเห็น...ว่าข้อความสุดท้ายที่ตัวเองส่งไปหาพิกในวันนั้นคืออะไร


ถ้าจะบอกว่านี่เป็นอารมณ์เฉื่อย ผมคงเป็นเหมือนคนหมดสภาพที่เอาแต่บ้างานเพื่อทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง 


“ครับ” ผมตอบรับเสียงเบาขณะที่พี่เกื้อเลื่อนแก้วกาแฟควันฉุยมาให้ น้ำสีดำในแก้วนั้นกระเพื่อมไปมาทั้งที่ตัวแก้วหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า คล้ายกับว่ามันกำลังเยาะเย้ยผม ที่แม้แต่จะสงบใจให้เย็นลงยังทำไม่ได้


“ยังไม่ได้เคลียร์ตัวเองอีกเหรอครับ”


“ครับ...ทำอะไรไม่ได้ ถึงเข้ามาเคลียร์งานให้เสร็จ ๆ ไปดีกว่า” ผมหลับตาลง แล้วพิงหลังเอนกับพนักด้านหลัง ยกมือขึ้นนวดขมับเบา ๆ ก่อนจะลืมตาแล้วยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ “พี่เกื้อมีอะไรจะให้ผมเซ็นต์อีกไหม” 


“อ๋อ...ไม่มีครับ แต่คุณแม่คุณเก้าฝากบอกมาว่าให้เปิดโทรศัพท์หน่อยครับ ท่านมีธุระอยากคุยด้วย”


ผมถอนหายใจแล้วพยักหน้ารับอย่างเหนื่อยอ่อน ซึ่งคนสนิทของผมก็ดูจะจับอารมณ์นั้นได้ พี่เกื้อถึงทำเพียงแค่ก้มโค้งแล้วก้าวถอยออกไป ก่อนจะปิดประตูให้อย่างเงียบเชียบ ผมนั่งจิบกาแฟ มองโทรศัพท์มือถือที่ปิดตายอยู่บนโต๊ะอย่างชั่งใจพักหนึ่ง ก่อนจะวางแก้วมัคลง แล้วเลื่อนมือไปวางบนหน้าจอก่อนจะกดปุ่มเปิดมันแทน


หน้าจอพื้นหลังที่สว่างวาบเมื่อสมาร์ทโฟนโหลดโปรแกรมจนครบไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาแม้แต่น้อย มันกลับทำให้ผมเฉื่อยชาเมื่อเห็นสายเรียกเข้ามาแทบจะในทันทีของคนที่รู้ว่าเป็นใคร ผมได้แต่ถอนหายใจ แล้วกดรับสาย ก่อนจะเลื่อนนิ้วไปกดเปิดลำโพง แล้วเปิดดูแอพฯอื่นในโทรศัพท์ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ


[“เป็นยังไงบ้างลูก...กลับบ้านบ้างสิ เก้า”]


“...”


[“รู้ไหมว่าพ่อพาใครเข้ามาอีกแล้ว แม่แทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว อยากให้ลูกกลับมาที่บ้าน พวกมันจะเอาของ ๆ ลูกไปหมดนะ”]


“...”


[“หึ หมู่นี้พ่อก็ไม่เข้าร้านใช่ไหมล่ะ เกื้อบอกแม่ว่าลูกต้องรับรองแขกอยู่คนเดียว ที่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ก็เพราะความไม่รู้จักพอของเขานั่นแหละ...กลับบ้านมาเถอะนะลูก แม่เหงา ไม่อยากอยู่คนเดียว”]


“ครับ”


ผมครางรับไปคำเดียว ก่อนจะเลื่อนหน้าจอดูไปเรื่อย กดเข้ากดออกโปรแกรมโน้นโปรแกรมนี้เพราะเบื่อกับคำพูดเดิม ๆ ของแม่...อันที่จริงผมก็พอรู้ว่าที่แม่ต้องการให้ผมกลับไปอยู่บ้านมันด้วยสาเหตุอะไร แต่ก็เพราะเหตุผลนั้นนั่นล่ะที่ทำให้ผมไม่อยากกลับไปเพราะอึดอัดจนแทบจะเป็นบ้า


บ้านที่ไม่ใช่บ้านใครจะอยากอยู่ ถึงจะมีคนเอาอกเอาใจสารพัด แต่ที่ผมต้องการก็แค่ ‘คน’ ที่จะมาเป็น ‘บ้าน’ ให้ผมเท่านั้น... ซึ่งตอนนี้ผมเจอคน ๆ นั้นแล้ว...แต่ก็ยังไม่มีความกล้าพอจะไปคุยให้จบเรื่อง ไม่กล้าพอที่จะแยกเขาออกมาจากเพื่อนซึ่งเป็นทุกสิ่งที่อย่างของเขา


เพื่อน...คนที่แค่มองก็รู้อยู่แล้ว ว่าไม่ได้คิดกับเขาแค่เพื่อน


[“แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ แม่จะได้ให้คนเตรียมกับข้าวที่ลูกชอบเอาไว้”]


น้ำเสียงของแม่ฟังดูดีใจเมื่อได้ยินผมตอบรับในสิ่งที่ต้องการมานาน เกือบสามเดือนแล้วที่ผมไม่กลับไปเหยียบบ้านเลยหลังจากมีปากเสียงกับแม่คราวก่อน ในสายตาคนอื่นผมอาจเป็นลูกที่ไม่ดีนัก แต่ในความคิดผม หากเราอยู่ด้วยกัน ตัวติดกันไปตลอด ผมก็ไม่อาจทำหน้าที่ที่พ่อมอบหมายได้สำเร็จเช่นกัน


ผมเงียบ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หากนั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่มือไปเผลอแตะโดนแอพฯไลน์จนมันเด้งขึ้นมา และตอนนั้นเองที่ข้อความของพิกปรากฏสู่สายตา นั่นทำให้ผมแทบจะลืมทุกสิ่งที่คิดไปเสียหมด เสียงพูดของแม่ที่ยังเร่งเร้าไม่ได้เข้าหูเลยในนาทีนี้ ผมได้แต่กวาดสายตาอ่านข้อความเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมา แล้วสบถด่าตัวเองในใจว่าโง่เป็นบ้า...ทำไมไม่รู้จักเห็นตั้งแต่ก่อนหน้าที่เขาจะไปกับชาน !


13 : 04 กูขอลาออกนะ
13 : 04 เราอย่าเจอกันสักพักเลย
13 : 05  ขอโทษที่เคยเซ้าซี้ แต่ตอนนี้กูเจอกับมึงไม่ไหวจริง ๆ
                                                                 
                                                                 ไม่อนุญาต  15 : 01



ผมรีบพิมพ์กลับไปแล้วกดปิดโปรแกรมทันที


“แม่ครับ ผมไม่ว่างแล้ว ไว้ค่อยคุยกันอีกทีนะครับ”


นับเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือนก็ว่าได้ที่ผมกรอกเสียงใส่สายของแม่ยืดยาวกว่าทุกครั้ง หลังจากที่ กดวางสายของแม่ ผมก็กวาดข้าวของบนโต๊ะทำงานเก็บลงเก๊ะ แล้วรีบถลาตัวออกจากห้องทำงาน เดินสวนพี่เกื้อออกจากร้านโดยไม่สนใจเสียงตะโกนถามไล่หลังใด ๆ ทั้งสิ้น


ขึ้นมาบนรถได้ผมก็เหยียบคันเร่งแทบมิด มันยังเร็วไม่พอกับใจผมที่มาถึงบ้านพิกก่อนแล้ว แต่เมื่อมาถึงก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะตัวบ้านเงียบเชียบ ปิดสนิทคล้ายกับจะบอกว่าเวลานี้ไม่มีใครอยู่ แน่นอนว่าผมติดเครื่องนั่งรออยู่พักใหญ่ จนสุดท้ายพี่เกื้อโทรเข้ามาให้รีบเข้าร้านไปเตรียมรับรองแขกผมถึงได้ถอดใจ...


แต่ค่ำวันนั้นผมแทบไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเลย


ดูเหมือนพิษไข้ที่เล่นงานผมมาหลายวันจะตื่นตัวมากเป็นพิเศษในวันนี้ มันทำให้ผมมีอาการวิงเวียน ประกอบกับปวดเมื่อยตามเนื้อตัว รวมไปถึงปวดหัวเป็นระยะเมื่อนึกถึงข้อความในไลน์ที่พิกส่งมา


ผมนับสต๊อกผิด ๆ ถูก ต้องเช็คเวลางาน หรี่ตานับเงินอยู่หลายรอบจนมันกลายเป็นจำนวนเดียวกัน ดูน่าสมเพชเสียจนพี่เกื้อทนดูไม่ได้ ต้องไล่ให้ผมรีบกลับไปพักผ่อนทั้งที่ทุกอย่างยังไม่เสร็จ แต่ล่วงเวลามาเกือบจะเช้าอีกวันอยู่แล้ว สุดท้ายผมก็ตัดสินใจยกหน้าที่ให้พี่เกื้อดูแลต่อ เพราะนอกจากสภาพร่างกายจะไม่ไหวแล้ว จิตใจผมยังไม่อยู่กับร่องกับรอยอีกต่างหาก นั่นทำให้ผมตัดใจบึ่งรถไปหาพิกอีกครั้ง ทั้งที่สังขารแทบจะไม่ไหวแล้วก็ตาม


ผมอยากคุยกับเขา อย่างน้อยก็แค่คุยกันให้รู้เรื่อง


ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ในการขับรถมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านเขา ผมนั่งมองขึ้นไปบนห้องที่ยังเปิดไฟอยู่ เห็นเงาคนเดินไปเดินมาผ่านหน้าต่างก็คิดว่าเขาคงยังไม่นอน ถึงได้ตัดสินใจเหยียบคันเร่งแล้วหักพวงมาลัยมาจอดให้ชิดหน้าบ้านยิ่งกว่าเดิม ผมซบหัวกับพวกมาลัยรถ มองโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ ก่อนจะกดหาเขา นิ่งฟังสัญญาณเรียกเข้าอยู่นานจนมันตัดไปเป็นรอบที่สี่ ถึงได้ชันตัวขึ้นมาแล้วกระแทกมือลงไปบนแตรอย่างแรง


จะเรียกว่าได้ผลไหม... ก็ใช่ แลกกับการที่พิกเดินออกมาจากบ้านด้วยหน้าตาบูดเบี้ยว เขามองผมอย่างกับจะฆ่าแกงกันเสียให้ตายตกไปตรงนี้ แต่อย่างน้อย ๆ ก็ดีกว่าเฉยชาอย่างไม่ยอมรับโทรศัพท์กันในทีแรก ไม่ลงมาทำอะไรเลยทั้งที่ผมแทบจะตายต่อหน้าเขาอยู่แล้ว


 “มาทำไม”


 “เปิดประตู”


“ไม่ให้เข้า”


ผมเห็นเขาแอบเลียริมฝีปากตัวเองก่อนจะเม้มมันเป็นเส้นตรง แต่ผมไม่สนหรอก สิ่งที่ผมต้องการคืออยากจะคุยกับเขาให้รู้เรื่องไปเลยวันนี้ ทุก ๆ อย่างจะได้ดีขึ้นสักที ผมไม่อยากรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าแบบนี้อีกแล้ว


 “บอกให้เปิด”


 “ไม่”


 “ได้ ไม่เปิดใช่ไหม”


ผมไม่สนแล้วว่าเขาจะแง่งอนอะไรอีก เพราะตอนนี้ผมอยากกอดเขาเอาไว้ แล้วขอโทษกับทุกอย่างที่ทำลงไป เราเถียงกันอยู่พักใหญ่จนผมตัดสินใจปีนประตู แน่นอนว่าสีหน้าของพิกดูตกใจมาก เขาคงไม่คิดว่าคนอย่างผมจะกล้าลงมือทำอะไรบ้าบิ่นขนาดนี้ทั้งที่ปกติผมมีฟอร์มกับเขาตลอด


 “เฮ้ย อะไรของมึงวะ หยุดนะ ห้ามปีน!!!”


 “ทำไม ผมจะปีน...ก็คุณไม่ยอมให้ผมเข้าบ้าน” ผมสวนไปทั้งตาพร่ามัว ตอนนี้นี้พิษไข้เล่นงานผมอย่างหนัก ต้องรีบถึงพื้นให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นหงายหลังแน่


 “โอย ฉิบหาย ปวดหัว ช่างแม่งแล้ว มึงปีนมาขนาดนี้จะลงก็รีบลงมาเลย ก่อนที่แม่กูจะเปิดหน้าต่างออกมาด่า” ในที่สุดพิกก็ต้องเป็นฝ่ายยอมอย่างเสียไม่ได้ เห็นเขาหันรีหันขวางท่าทางจะกลัวคุณแม่ออกมาเห็นจริง ๆ ผมจึงรีบปีนข้ามไป แต่ในจังหวะที่ขากำลังจะเหยียบตาข่ายเพื่อดันตัวออกจากรั้วนั่นเอง...


 “โอ้ย!! เชี่ยเอ้ย ทำอะไรของมึงเนี่ย”


พิกสบถเสียงดังเมื่อทั้งตัวของผมโถมลงไปใส่จนตัวเขาล้มลงกระแทกพื้นด้วย ได้กลิ่นแชมพูของเขาที่โชยมาพร้อมกับลมแล้วก็ยิ่งคิดถึง พอได้มองใกล้ ๆ แล้วก็ยิ่งสังเกตได้ถึงดวงตาบวมช้ำไม่ต่างจากขาลับมาจากเกาะเลยด้วยซ้ำ


ทั้งหมดนั่น เพราะผมเอง...


 “ขอโทษ”


อยากจะเอื้อมมือไปแตะแก้มเขา อยากจะกล่าวขอโทษมากว่านี้แต่ก็ปากหนักเกินไป จนเขาเบือนหน้าหนีผมที่พยายามเข้าไปใกล้นั่นแหละ ถึงได้รู้สึกตัวว่าเข้าหามากเกินกว่าความจำเป็น


 “เข้าบ้าน” 


พิกพูดเพียงเท่านั้นแล้วชันตัวขึ้น เขาลุกจากพื้นแล้วสาวเท้าไปเปิดประตูค้างไว้ มองผมอย่างตัดพ้อ ก่อนจะเดินนำขึ้นไปยังห้องนอนของเขา...







ซึ่งก็คือห้องนี้ ในเวลานี้นั่นล่ะ


 “เหี้ยเอ้ย ไม่ไหวแล้วนะ ไม่เอาแล้ว กูเหนื่อย ไม่ทำแล้ว เหนื่อย!!!”


นึกย้อนยังไม่ทันจบ เสียงของพิกก็ดังขึ้นขัดจังหวะจนภาพทั้งหมดเลือนหายไป ใช้เท้าปิดประตูเสร็จ มองไปก็เห็นเขาลงไปนอนชักดิ้นชักง้ออยู่กับพื้น บนโต๊ะญี่ปุ่นสีน้ำตาลที่เราซื้อคู่กัน (มีที่บ้านเขาอันหนึ่ง ที่ห้องผมอันหนึ่ง) เต็มไปด้วยกองหนังสือสำหรับทำทีสิส รวมไปถึงเศษถุงขนม และ ขวดน้ำที่เกลื่อนกลาดอีกมากมายจนใกล้คำว่ากองขยะเข้าไปทุกที 


 “อดทนหน่อย เดี๋ยวก็เสร็จแล้วนี่”


ผมยกแก้วมัคควันฉุยสองแก้วเดินไปทรุดตัวนั่งข้าง ๆ แล้วพยักเพยิดไปทางหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่เปิดเวิร์ดทิ้งเอาไว้ ตอนนี้พิกอยู่ในชุดนอนลายหมี จะว่าอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอนก็คงไม่ใช่ เพราะที่จริงเขาอยู่ในสภาพนี้มาตั้งแต่เช้าตรู่ของเมื่อสองวันก่อน ตอนที่ผมบึ่งรถมาหาเพราะเขาบ่นว่าทำหัวข้อต่อไปไม่ได้ หัวตันไปหมดและต้องการกำลังเสริม


 “ไม่เอาแล้ว กูจะเท กูจะทิ้งแล้ว ไม่ไหว กูเหนื่อย ปีหน้าก็ปีหน้าสิ”


เขางอแงทั้งที่มือก็รับแก้วกาแฟจากผมไปด้วย ไม่คิดว่าหายลงไปชงกาแฟข้างล่างให้แป๊บเดียวกลับมาจะต้องเจอเขาอยู่ในสภาพท้อแท้ขนาดนี้


 “ไหนบอกว่าจะจบพร้อมกันไงครับ”


เห็นเขานอยด์ผมก็ทำได้แค่พูดปลอบ อันที่จริงจะว่าเขาก็ได้ที่ไม่ยอมรีบทำหัวข้อให้เสร็จแต่แรก ปล่อยให้มันเลยเถิดมาจนแทบจะเกินเวลาอย่างนี้ แต่ว่าไปก็เท่านั้นแหละ ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งหมดกำลังใจ ทำอะไรไม่ได้กันพอดี


 “ไม่เอาแล้ว เหนื่อย ไม่อยากทำแล้ว...มึงจบไปก่อนนะ นะ กูไม่ไหวแล้ว กูง่วง ไม่อยากทำแล้ว”


พิกพูดพร้อมกับใช้มือเขี่ยกองหน้าหนังสือออกแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ไหว จนหลัง ๆ ผมเริ่มไม่ทำงาน หรือ การบ้านอะไรต่อให้อีกเพราะต้องการดัดนิสัย นั่นทำให้พิกกระตือรือร้นขึ้นมาอีกหน่อย แต่ก็ไม่ใช่กับวันนี้


ทั้งที่สัญญากันไว้แล้วแท้ ๆ.... ทั้งที่สำคัญขนาดนั้น


แต่ผมก็รู้อยู่หรอกว่าเขาไม่ไหวจริงๆ ... เพียงแต่ว่าผลงานจบตัวนี้ เขาควรได้ทำเองจนสุดความสามารถสิ


 “ลุกขึ้นมาก่อน ไปล้างหน้าล้างตาแล้วมาทำอีกนิด ถ้าไม่ไหวแล้วค่อยนอน” ผมก้มหน้าลงไปกระซิบข้างหู ยื่นมือไปเขย่าเบา ๆ แขนเขาก็ตกลงมาจากโต๊ะอย่างง่ายดาย


พิกหลับไปแล้ว หลับสนิททั้งที่อยู่ในสภาพนั้น...


 “เฮ้อ” 


สุดท้ายก็ต้องระบายลมหายใจออกมาเพราะพิกหลับไปทั้งที่เมื่อครู่ยังคุยกันอยู่เลยด้วยซ้ำ ท่าทางจะหลับสนิทจริง ๆ เพราะไม่ว่าจะโดนผมงับหู นวดท้ายทอย หอมแก้มไปกี่ครั้งเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเห็นหน้าเขาตอนหลับแล้วก็ยิ่งหมั่นไส้จนต้องก้มลงไปแอบฟัดแก้มเนียนนั่นอีกรอบ ก่อนจะผละออกมามองเข็มนาฬิกาที่ยังเดินต่อเรื่อย ๆ  พร้อมกับกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้องอย่างชั่งใจ


นับตั้งแต่วันที่ผมเคลียร์กันในห้องนอนของพิกตอนนั้น มาจนถึงตอนนี้ก็เกือบ 2 ปีแล้ว เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายของการเรียนในมหาลัย พูดไปก็ตลกดี ไม่นึกว่า ‘บ้าน’ ของผมหลังนี้จะทั้งงี่เง่าและงอแงขนาดได้นี้ แต่ถ้าถามว่ามีความสุขไหม ก็สุขดีแหละครับ อย่างน้อย ๆ ก็รู้ว่าควรจะรับมือยังไง ทั้งกับพิก แล้วก็กับแม่แท้ ๆ ที่คลอดผมมา


ตั้งแต่คบกับพิกผมก็เริ่มเข้าหาแม่มากขึ้น อันที่จริงความสัมพันธ์ของเราดีขึ้นหน่อยหลังจากพาเขาไปเปิดตัวตอนที่จะพาแม่ไปพบคุณหมอเจ้าของไข้ซึ่งเป็นจิตแพทย์ที่ดูแลแม่ผมมาแล้วระยะหนึ่ง... แม่ของผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องที่มีแฟนเป็นผู้ชายเพราะเขาไม่ชอบผู้หญิงหน้าไหนนอกจากตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าทุกอย่างราบรื่นไปอย่างงง ๆ แถมเขายังเปรย ๆ ว่าดีอีกที่ผมไม่ได้มีแฟนเป็นผู้หญิง เขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าถูกผู้หญิงคนไหนแย่งสมบัติของตัวเองไปอีก ทั้งที่ถ้าเป็นแม่คนอื่นคงรับไม่ได้แล้ว


แต่ก็นั่นแหละครับ ที่ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ยังดีที่แม่ผมรับเรื่องนี้ได้ เพราะกับพิกสำหรับเรื่องนี้เรายังเปิดเผยกับครอบครัวเขาไม่ได้ นั่นจึงทำให้เราทั้งคู่ต้องคุยกันว่าหากจะตกลงมาอยู่ด้วยกันข้างนอก พิกกับผมควรจบพร้อมกันเพื่อมีข้ออ้างว่าจะได้ไปทำงานสะดวกขึ้น ซึ่งตอนนี้พิกก็ดูจะท้ออยู่มาก เพราะหัวข้อที่เขาทำมันยาก และไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงง่าย ๆ


แต่ผมไม่อยากให้เขาถอดใจง่าย ๆ อย่างนั้น... เพราะไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่มีความหวังว่าจะได้อยู่ด้วยกัน สำหรับตัวผมก็วาดฝันเอาไว้แล้ว ไกลเสียด้วยอนาคตที่มีพิกน่ะ...ไหนจะเรื่องร้าน เรื่องบ้าน แต่ที่ไม่พูดอะไรออกไปสักอย่างก็เพราะไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกกดดันมากเกินกว่านี้


ถ้าเขารู้ว่าผมเตรียมตัวจะทำร้าน จะซื้อบ้านที่มีชื่อเขาอยู่ด้วยจะทำหน้ายังไงนะ เพราะเขาชอบบ่นอยู่บ่อย ๆ ว่าผมมันเอาแต่ใจ ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง อารมณ์ร้อน แถมยังดูเหมือนจะไม่ได้รักเขาจริงอีกต่างหาก …ถ้าเขารู้เรื่องนี้ขึ้นมาคงตกใจมาก ตาคงโตเท่าไข่ห่าน แค่คิดก็รู้สึกแล้วว่าต้องตลกปนน่ารักมากแน่ ๆ


ดังนั้นผมถึงไม่สามารถปล่อยให้เขาจบทีหลังผมได้ คุณเข้าใจใช่ไหมครับว่าผมคาดหวังอะไรอยู่?  มันอาจดูเพ้อฝันนะ แต่ผมปล่อยให้เวลาของเราไม่ตรงกันไม่ได้จริง ๆ ผมจำเป็นต้องมีเขา จำเป็นต้องมีเรา จำเป็นต้องมีบ้านของผมในอนาคตกับทุก ๆ สิ่งที่ผมกำลังจะสร้าง 


เพราะงั้นอย่าว่าผมเลยนะ หากวันนี้ผมจะลงมือทำงานให้เขาอีกรอบ พิกอาจกลายเป็นคนนิสัยเสียไปอีกวัน ผมอาจดูเป็นคนเอาแต่ใจอีกสักครั้ง แต่แค่หนนี้ ที่จะทำให้ทุกอย่างที่ผมวาดหวังไว้เป็นจริงได้หากเราจบไปพร้อม ๆ กัน


อย่างน้อย ๆ ก็ตอนถ่ายรูปรับปริญญานั่นล่ะ...
เพราะผมจ้างช่างไว้ทั้งวัน เผื่อสำหรับถ่ายรูปเราสองแล้ว : )


_____________________________________________________


ขออนุญาตให้ชื่อแท็กว่า #โนบิโนบิ แล้วกันค่า
เอาไว้ติดตาม พูดคุยย้อนหลัง ติชมไดน้า


ยังมีสเปเหลือ อีกตอน  


แวะมาพูดคุย ติดต่อได้ที่

Twitter

ไม่ค่อยเล่นทวิต แต่จะพยายามเข้ามาดูบ่อยๆจ้า 

ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1690
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
โนบิตะตอนล่าสุดน่ารักจังเว้ย ส่วนน้องพิกก็ดูน่ารักน่าขยำขยี้เหมือนเดิม อ่านแล้วอยากบี้แก้มม

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ กฤษณ์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ยินดีต้อนรับที่กลับมาค่ะ แทบร้องตอนเห็นว่าอัพปี18 นึกว่าฝันไป ฮืออออ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีใจ ไรท์มาต่อ........
รอมาตลอดเลยนะ  :mew1: :mew1: :mew1:

แล้วก็จบอย่างมีความสุข  Happy Ending   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ขำ ที่แม่เก้ายอมรับลูกสะใภ้แบบพิกได้ง่ายดาย   :laugh:
ด้วยเหตุผล  ที่ว่าเก้ามีแฟนเป็นผู้ชายก็ดี  :m20:
เขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าถูกผู้หญิงคนไหนแย่งสมบัติของตัวเองไปอีก

ทั้งที่ถ้าเป็นแม่คนอื่นคงรับไม่ได้แล้ว

เก้า  พิก   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณไรท์มาก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ กิมกวง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
Special
I DO
 



“พิก...พิก”


เสียงเรียกจากที่ไกลแสนไกลสะกิดผมให้ต้องลืมตาตื่นขึ้น แสงจ้าจากม่านที่ถูกเปิดออกทำให้ผมต้องหรี่ตาลงมองไอ้ร่างสะท้อนแสงที่กำลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ มันหัวเราะเบา ๆ แล้วยกมือขึ้นมาแนบไว้ที่แก้วขวาของผมก่อนจะใช้นิ้วโป้งเรียวสวยนั่นปาดคราบสกปรกออกจากหางตาผมอย่างอ่อนโยน


“อืม...ปลุกแต่เช้าเลย”


ผมถูหน้ากับมือของมันอย่างอ้อน ๆ ตอนนี้ตื่นเต็มตายิ่งกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทำอิดออดไม่ยอมลุกตามแรงดึงของเก้าที่รั้งตัวผมให้ลุกขึ้นนั่ง


“อรุณสวัสดิ์นะ...ตื่นเถอะครับ...ผมชงกาแฟ ทำแซนวิชไว้ให้แล้ว”


มันกระซิบข้างหูแล้วผละออกมากดจูบเบา ๆ กับหน้าผากของผม แววตาของมันดูเหนื่อยอ่อน แถมหน้าตายังตอบ ๆ เหมือนคนขาดสารอาหารอีก


“แล้วมึงล่ะ”


“เหมือนกันครับ แต่รอพิกตื่นมากินพร้อมกัน”


ได้ยินเท่านั้นหน้าผมก็บานเหมือนกระด้งร่อนข้าวสาร ไม่ใช่ไม่รู้นะว่าช่วงนี้เก้ามันเจออะไรมาบ้าง แต่ก็ยังอดดีใจไม่ได้ที่มันดูแลผมดีมาก ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ตอนเริ่มคบ...


จะว่าไปก็นานพอสมควรเหมือนกันนะ ไม่คิดเลยว่าจะคบกันมาได้เกือบ 5 ปีแล้ว


“โอเค งั้นมึงงีบก่อนไหม เดี๋ยวกูอาบน้ำเสร็จแล้วออกมาปลุก” 


“ครับ...ถ้าอย่างนั้นรบกวนพิกด้วยนะ”


จบคำเก้ามันก็ทิ้งตัวนอนทั้งอย่างนั้น ส่วนผมน่ะหรอ พอมติเป็นเอกฉันท์ก็รีบกระเด้งตัวไปหาตู้เสื้อผ้าที่อยู่ไม่ไกล เลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ไปทำงานวันนี้เสร็จหันมาอีกทีก็เจอไอ้เจ้าของผับหลับใหลไม่ได้สติไปแล้ว ดูเอาเหอะ แอร์ก็เย็นยังเสือกนอนไม่ห่มผ้า ถ้าเป็นหวัดคัดจมูกน้ำมูกไหลใครจะดูแล...


ผมหรอ ? เหอะ น้ำหน้าอย่างมันคงยอมนอนให้ผมหยอดน้ำข้าวต้มให้หรอก เอะอะก็ร้าน ร้าน ร้าน ยิ่งตอนนี้มันกลายเป็น ‘เฮีย’ เจ้าของร้านแทนพ่อมันแล้วก็ยิ่งทำงานหนักกว่าเดิม เรื่องไม่สบายแล้วหยุดนะเบรกไว้เลย...ขี้คร้านจะลากสังขารเปื่อย ๆ หนีไปทำงานตอนผมหลับน่ะสิ


“จริง ๆ เลยมึงนี่นะ”


ผมทรุดตัวนั่งข้างเตียง จัดผ้าห่มถึงคอมันแล้วก้มหน้าลงไปจูบแก้มมันซ้ายทีขวาที ไอ้ที่บ่นน่ะ ไม่ได้จริงจังอะไรหรอก...ก็บ่นพอยิ้ม ๆ นั่นแหละ ความจริงเห็นมันหลับปุ๋ยได้ในครึ่งนาทีนี่อัศจรรย์ใจมากกว่า ปกติเห็นมันหลับยากจะตาย ถ้าไม่ได้ส่งผมไปทำงานก็ไม่มีทางที่มันจะหลับได้อย่างสนิทใจหรอก


ตอนนี้ผมทำงานเป็นแอดมินในบริษัทแอพฯแห่งหนึ่งย่านสาทรครับ ผมย้ายมาอยู่แถวสาทรกับเก้าได้ประมาณสอง-สามปีแล้วเพราะไป-กลับที่ทำงานสะดวกมากกว่าอยู่บ้าน


ช่วงสองปีแรกที่คบกันก่อนจะได้ทำงานกับที่นี่ก็ไปช่วยที่ร้านมันบ่อย ๆ  คิดดูแล้วกันว่าบ่อยจนเด็กในร้านมันเรียกผมว่า ‘ซ้อ’ กันหมด พูดถึงก็โมโหขึ้นมาเลย ชังน้ำหน้านักไอ้พวกเวรนั่นนัก! รู้ทั้งรู้ว่าไม่ชอบให้เรียกก็ยังจะเรียก มันบอกว่าถ้าจะโทษใครก็ให้ผมโทษตัวเอง ที่เสือกไปเป็นแฟนของเฮียพวกมันนั่นแหละ (อารมณ์ว่าช่วยไม่ได้อะนะ อะไรแบบนั้น)


ส่วนแม่กับน้องผมหรอ ตอนแรกที่เปิดตัวว่าคบกับเก้าแม่ถึงกับช็อคล้มตึงไปเลย คือแม่คิดไม่ถึงว่าการที่ตัวเองเอาผมใส่พานถวายเก้าจะทำให้ลูกชายคนเดียวของบ้านมีแฟนเป็นผู้ชายไปได้


ช่วงแรกแม่โทษตัวเองหนักมาก เอาแต่พูดว่าเพราะตัวแม่เองที่ทำให้ผมเป็นเกย์ แม่ทั้งร้องไห้ทั้งตัดพ้อ หนักสุดเลยคือขอให้เราเลิกกัน...แต่ช่วงนั้นเพิ่งคบกันใหม่ ๆ ไง เพิ่งเข้าใจกันได้ไม่นานใครมันจะอยากเลิกวะ? พอแม่ทำให้เราเลิกกันไม่ได้เลยยื่นคำขาดใหม่ คือไม่ยอมให้เราไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อสองอีกเลยโดยที่แม่ไม่อนุญาต


พูดแล้วก็ขำชิบ ทุลักทุเลเป็นบ้าเลยนะช่วงนั้น... นึกภาพเอาเลยแล้วกันว่าแม่ผมเป็นเอามาก ถึงขนาดแบกเตาอบสี่ลิตรมาทุ่มใส่รถเก้าตอนที่มันแอบดอดมารับผมไปฉลองครบรอบสามเดือนตอนตีสาม(คบกันแล้วถึงได้รู้ว่าแม่งเป็นคนที่โรแมนติกเชี่ย ๆ ) แต่แม่ดันรู้ตัวก่อน สรุปว่าแผนการฉลองวันนั้นจึงมีอันเลิกกันไป


ส่วนน้องสาวผมนี่ไม่ต้องถามถึง มันมึนตึงไปเลยจ้า ไอ้พิมพ์บอกว่าตอนนั้นมันน้อยใจ โกรธ เสียใจ และรู้สึกชีวิตพังมากเพราะไม่คิดว่าคนที่แอบชอบจะมาลักลอบได้เสียกับพี่ชายตัวเอง... สรุปในไตรมาสแรกของปี คนที่บ้านไม่ยอมพูดกับผมเหมือนปกติอีกเลย และนั่นนำพาความเครียดมาให้ผม



เหตุการณ์ช่วงนั้นเรียกว่าเป็นปัญหาชีวิตได้เลย มันทำให้ผมไม่สามารถอยู่บ้านอย่างสุขใจได้อีก คือมองไปทางไหนก็เห็นแต่ความอึดอัด พอเป็นอย่างนั้นมันก็เลยอยู่ไม่ได้ ต้องออกไปข้างนอกเพื่อสงบจิตสงบใจเพราะยังไงนั่นก็แม่กับน้องผม


ผมก็หาทางคลายความอัดอั้นบ้าง อาทิเช่น  สาระแนไปเล่นเกมที่บ้านไอ้ชาน แวะไปกินข้าวกับม๊าไอ้ไอ้ชาน บางทีก็ไปออกรอบกับพ่อมันเป็นการผ่อนคลาย (ช่วงแรกแม่ถึงกับโทรไปเช็คที่บ้านไอ้ชานเลยว่าผมไปจริงไหม ไม่อยากจะบอกแม่เลยว่าไอ้ไอ้ชานนี่ก็ตัวดี มันก็ชอบลูกชายแม่เหมือนกันแหละ แต่สรุปก็ไม่บอกเพราะเดี๋ยวแม่ไม่ไว้ใจขึ้นมาอีกแล้วจะลำบากกว่าเดิม)


จนสุดท้ายไม่ไหวแล้วครับ ไม่ได้เจอกับเก้าเกือบเดือน แหม คนมันก็เพิ่งคบเนอะ ก็คิดถึงเป็นธรรมดาอะ เลยต้องแบกหน้าไปขอให้ไอ้ชานช่วย แรก ๆ มันก็อิดออดนะครับ ทำท่าจะไม่ยอมท่าเดียวเลย มันถึงกับถามว่าทำไมต้องช่วย ในเมื่อมันชอบผมอยู่และอยากให้ผมเลิกกับเก้า ผมเลยตอบไปว่าเพราะมันเป็นเพื่อนคนเดียวของผม เป็นเพื่อนที่ผมรักที่สุด....มันก็เลยต้องยอมอย่างเสียไม่ได้


(ขอโทษนะ ตอนนั้นกูไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครจริง ๆ )


 ช่วงนั้นเก้ามันเปื่อยมาก ปิดร้านเสร็จก็ยังต้องถ่อสังขารมารับผมที่บ้านไอ้ไอ้ชาน (เขม่นกันแทบตายสุดท้ายก็แดกเหล้ากันเหมือนไม่เคยหมางใจกัน) แล้วยังต้องเอาผมมาส่งที่บ้านอีก (เพราะแม่ไม่ยอมให้ไปนอนกับเก้า ให้ถือว่าเป็นช่วงวัดใจ) มันเลยต้องเทียวไล้เทียวขื่อแม่ผมอยู่อย่างนั้นเกือบปี...จนสุดท้ายแม่ก็ยอมใจเพราะสภาพเศรษฐกิจช่วงนั้นทำให้ร้านขนมบ้านผมซบเซามาก ก็ได้เก้านี่แหละมาช่วยดูบัญชี ทำโปรโมชั่นให้อีก จากร้านที่เจอวิกฤต กลับกลายเป็นร้านที่ดังที่สุดในย่านนั้น แม่งอยู่ช่วยงานจนร้านผมกำไรอื้อ ตอนนี้แม่ผมนี่แทบจะเป็นตู้ทองเคลื่อนที่อยู่แล้ว ไอ้ที่เขม่นๆเก้า ก็ค่อยๆเบาลง จนในที่สุดก็กลับมาเอ็นดูมันเหมือนเดิม (แม่ไม่รักก็ต้องรักแล้วจุดนั้น)


เรียกได้ว่าเป็นช่วงวัดใจที่หนักหน่วงพอสมควร เพราะนอกจากมันกับผมต้องปรับนิสัยเข้าหากันแล้ว ก็ยังต้องผจญกับอารมณ์ของแม่ผมอีก ลำพังบ้านเก้าน่ะไม่มีปัญหาหรอก เพราะมันไม่คิดจะแต่งงานกับใครอยู่แล้ว แต่เราทั้งคู่นี่สิ อย่างกับไฟมาเจอไฟนี่แทบบรรลัยกัลป์ กว่าจะปรับตัวได้นี่หน่วงกันไปหลายรอบ จนในที่สุดก็ตกลงว่าจะครึ่ง ๆ ให้กันเพราะก็ไม่ได้อยากเริ่มต้นใหม่กับใครบ่อย ๆ ...อีกอย่างเลยนะ ผมว่าเวลาคนมีความรักเขาก็มักจะเปลี่ยนไปทั้งนั้น แต่ส่วนจะแย่จะดีนั่นอยู่ที่วิจารณญาณของคนทั้งคู่ จะให้ดีอย่างคู่ผมมันก็หลายปัจจัยอยู่ กว่าจะเดินทางมาถึงห้าปีได้เนี่ย


เล่ามาก็ตั้งเยอะ ไม่ได้ถามความสมัครใจคนอ่านเลย ว่าอยากรู้ไหม? แต่ก็ช่างเหอะ อยากรู้ไม่รู้ก็ไม่เป็นไรผมอยากเล่า ฮ่าฮ่าฮ่า...เอาเป็นว่าตอนนี้โคตรมีความสุขครับ งานโอเค เงินโอเค ครอบครัวโอเคมากกกก ไอ้ไอ้พิมพ์กำลังจะแต่งงานแล้ว ส่วนผมกับเก้าตอนนี้ก็เรียกได้ว่าให้และรับกันอย่างเต็มที่ จากที่เคยงอแงง้องแง้งไม่เข้าใจกันก็ต้องเข้าใจกันให้มากขึ้น ต้องแชร์กันให้มากเพราะมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยกว่าคู่ชาวบ้านเขา ก็เลยเป็นอย่างที่เห็นเนี่ยแหละ


หลังจากคบกันแล้วก็เพิ่งรู้ว่ามันเป็นเด็กมีปัญหา ไม่ได้เป็นแค่ลูกเมียน้อยธรรมดา แต่พ่อมันยังมีเมียน้อยอีกเป็นขโยง นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มันต้องขยันทำงานมาก เพราะต้องการเก็บเงินมาเปิดร้านเป็นเจ้านายตัวเอง ส่วนร้านเก่ามันบอกว่าบริหารให้ก่อน กะจะรอให้น้องชายต่างแม่โตแล้วเข้ามาเป็นขี้ข้าพ่อแทนมัน (ร้ายไหมครับแฟนผม) 


ช่วงนี้มันเลยแบกภาระเยอะจนหลังแทบเดาะ ไหนจะต้องเข้าไปทำบัญชีที่ร้านเก่า แล้วยังต้องคอยโฆษณาชวนเชื่อ ดึงลูกน้องเก่าไปทำงานที่ใหม่อีก...มันเจ้าเล่ห์ครับ ขี้หวงมากด้วย อะไรที่มันถือว่าเป็นของมันก็ต้องเป็นของมันเท่านั้น สิ่งของนอกกายมันไม่ค่อยสนหรอก แต่กับทรัพยากรบุคคล ถ้าใครจงรักภักดีกับมัน มันก็พร้อมจะปั้นทั้งนั้นแหละ 


อา...ชมแฟนเยอะเกินไปไหม อันที่จริงระหว่างนึกถึงเรื่องเก่า ๆ ผมก็อาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จแล้วนะ แต่เห็นมันนอนหลับสนิทขนาดนั้นก็ไม่กล้าปลุก เดินไปดูของที่มันเตรียมไว้ให้บนโต๊ะอาหารก็เลยตัดสินใจหยิบเอามากินก่อน จัดการตัวเองจนอิ่มก็เดินเข้าห้องนอนไปจุ๊บผากมันอีกที 


สรุปผมก็ไม่ได้ปลุกมันจริง ๆ นั่นแหละ ชิ่งออกมาเลยทั้งอย่างนั้น โดยที่ก่อนออกก็จัดเตรียมเสื้อผ้าเอาไว้ให้มันสักหน่อย อันที่จริงอะไรพวกนี้ก็ทำเป็นปกตินะ แต่เสื้อผ้าที่เตรียมไว้ให้วันนี้ดูดีกว่าปกติเพราะว่าโนบิตะของผมจะกลายเป็นอาเฮียเต็มตัวแล้วน่ะสิ วันนี้เป็นวันเปิดร้านใหม่วันแรก ให้มันนอนเต็มอิ่มเสียหน่อยคงไม่เสียเวลาอยู่ด้วยกันมากนักหรอกมั้ง หน้าจะได้ใสบลิ๊งบลั๊งเวลาเดินออกไปตัดริบบิ้นต่อหน้าลูกน้อง


อา...แค่คิดก็จั๊กจี้แล้ว ทำไมกูทำหน้าที่แฟนได้ดีขนาดนี้เนี่ย!





Rrrrr Rrrrrr


นั่งพรมคีย์บอร์ดต๊อกแต๊กไปเรื่อยเปื่อยเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ข้างมือก็แผดลั่นขึ้นมา เสียงดังซะจนพี่อาร์ทที่นั่งอยู่คอกข้าง ๆ ถึงกับต้องตวัดหน้าถลึงตาให้รีบรับอย่างไวเพราะดูมันจะรบกวนจนพี่แกจนนึกงานไม่ออก เห็นอย่างนั้นแล้วผมจึงไม่รอช้า รีบเอื้อมมือออกไปกดรับแล้วโน้มตัวต่ำลงมากรอกเสียงพูดเบา ๆ ที่ใต้โต๊ะ


“อะไรของมึง”


ผมเอ่ยทักคนโทรมาด้วยสำเนียงติดจะหงุดหงิดนิดหน่อย ที่ทำอย่างนี้ได้ก็เพราะปลายสายไม่ใช่คนอื่นคนไกลครับ...ไร้มารยาทจนฝังเป็นสันดรขนาดนี้ โทรมาได้ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าผมทำงานอยู่มีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ


ไอ้เตี้ยเฮีย


[“อะไร...อะไรล่ะ วันนี้มึงไม่หยุดได้ไง ทำไมเข้ามาช่วยเปิดร้านใหม่”]


 มันบ่นกระปอดกระแปด ดูท่าจะงอแงที่ผมไม่ยอมไปช่วยอีกแรง... อ้อ ลืมเล่าไปใช่ไหม ตอนนี้ไอ้เตี้ยมันเป็นหุ้นส่วนของแฟนผมครับ ดังนั้นจึงไม่แปลกหรอกถ้ามันจะไปโผล่อยู่ที่ร้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดินอย่างนี้


“ก็กูลาครบแล้วไหม วันกูหมดก็เพราะพวกมึงนั่นแหละเอาแต่ชวนเที่ยว ไอ้ฉิบหาย” ผมกระซิบ “เออ มึงอยู่โน่นก็ช่วย ๆ ดูร้านไปก่อนนะ ถ้าโนบิตะมาก็ฝากดูมันด้วย ท่าทางมันเหมือนจะไม่สบาย” 


[“กูก็ไม่สบายเหมือนกัน...ทำไมห่วงแต่แฟนตัวเองอะ ไม่คิดจะห่วงเพื่อนบ้างรึไง”] บ่นอีกแล้วครับ ถ้าจะงอแงขนาดนี้ทำไมไม่ให้คนของตัวเองดูแลล่ะวะ


“ก็แล้วทำไมไม่ให้แฟนมึงดูแลล่ะคะ” ผมแกล้งทำเสียงแต๋วแซวมัน ไอ้เตี้ยเฮียอึกอักไปเลย สงสัยจะจี้จุดโดนใจมันอย่างแรง


[“ฟ...แฟนไหน กูไม่มีแฟน”] มันสวนกลับทันทีที่ตั้งสติได้


“เหรอคะ แล้วงี้เพื่อนกูก็โดนมึงกินฟรีเหรอค๊า”


 [“ก็เปล่าไง...ก็ดูใจกันอยู่”] เฮียตอบกลับมาเสียงแผ่ว... ถึงขนาดอยู่ด้วย นอนกกกันทุกคืนอย่างนี้ไม่เรียกว่าแฟนแล้วเรียกปลาจวดอะไรวะ!


ถ้าถามว่าในมุมมองของเพื่อนนี่ตกใจแค่ไหน...ถ้านับเป็นระดับความสั่นไหวของแผ่นดินก็น่าจะประมาณ 50 ริกเตอร์ได้ครับ เอาเป็นว่าหน้าสั่นโคตร ๆ ตอนที่รู้ว่าพวกมันได้เสียกันในคืนหนึ่งที่ผมกับโนบิตะแอบดอดไปเที่ยวออนเซ็นด้วยกันสองคนที่กิฟู


แต่ประเด็นคือไม่ใช่ว่ามันจะเอากันแล้วสปาร์คจนเกิดเป็นความรักอย่างคู่ผม คู่มันนั่นปลูกต้นรักกันมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นเป็นปี ๆ แล้ว


โดยไอ้ซูเนโอะเพื่อนยาก ผู้เสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ให้การว่า มันถามเฮียขึ้นมาในวันหนึ่ง...ว่าแม่งจะรับผิดชอบยังไงที่ทำให้มันรู้ตัวว่าชอบผมไปแล้ว ด้านไอ้เตี้ยผู้ซึ่งมีชีวิตว่างเปล่ามาตลอด และดูเหมือนจะมีปฏิกิริยาอันน่ารักกับคำว่า ‘รับผิดชอบ’ จึงกระวีกระวาดได้ขออาสาดูแลไอ้ไอ้ชานผู้โดดเดี่ยว(ที่ไหน กูก็อยู่กับแม่งตลอด)เพราะอกหักอย่างเต็มใจ และช่วยสมานแผลใจจนเกิดเป็นความรักในที่สุด


แหม โรแมนติกซะไม่มี...แต่ก็อย่างว่า ใครจะมาเหมือนคู่ผมไม่มีอีกแล้วล่ะ เอากันก็ตั้งหลายเดือน หนีกันไปหนีกันมาขนาดหนังอินเดียยังอาย กว่าจะได้ลงเอยเป็นฝั่งเป็นฝา คนรอบ ๆ ข้างก็เหนื่อยใจกันเป็นแถบ


[“อ้าว...เก้ามาแล้วมึง หน้าตาก็อิ่มเอิบดีนี่ ไหนมึงบอกไม่สบาย”]


เสียงปลายสายเอ่ยถาม ผมขมวดคิ้วมุ่นทั่งที่ยังคงก้มอยู่ใต้โต๊ะ


“ไหนขอกูคุยกับมันหน่อย”   


กรอกเสียงบอกไป รอไม่นานอีกเสียงก็มารับสายแทน


[“ทำไมเมื่อเช้าไม่ปลุกผม”] 


อูย...รับสายแล้วมาทำเข้ม ผมได้แต่หัวเราะแฮะ ๆ ตอบกลับไป “ก็มึงไม่สบาย กูอยากให้มึงนอนเยอะๆ” 


เก้าเงียบไปอึดใจ จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงระบายลมหายใจก็ตีกลับมา


[“ก็บอกแล้วว่าให้ปลุก...ผมอยากไปส่ง อีกอย่างวันนี้ก็เปิดร้านเป็นวันแรก ผมไม่มีกำลังใจ”]


ดูมันออดอ้อน ไอ้เรื่องเห่อแฟนนี่ไม่เคยเลิกเลย คบกันมาตั้งห้าปีแล้ว จะทำการใหญ่ทีไรต้องอ้อนอย่างนี้ทุกที ผมฟังแล้วก็ได้แต่กลอกตามองเพดาน คือไม่ได้ระอาใจนะครับ แต่เขินจนมองตรง ๆ ไม่ได้


“เดี๋ยวก็เจอแล้วไง...เย็นนี้”


เหี้ยเอ้ย เขินจนตัวแทบจะบิดเป็นเกลียวอยู่แล้ว ข้างคอกก็เหมือนกัน ได้ยินเสียงผมพูดแผ่ว ๆ หน้านี่เงี่ยหูเข้ามาฟังจนแทบจะสมานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคอก เห็นพี่อาร์ททำเป็นพูดเลียนแบบท่าทางจ๊ะจ๋ากว่าปกติแล้วยิ่งเขินหนัก จะมาแซวชาวบ้านเขาทำไมกันวะตัวเองไม่มีเมียหรือไง


“ไรมึงพิก มองหน้าทำไม ก็คุยไปสิ ล้อเล่นแค่นี้ทำเป็นถลึงตาใส่” พี่อาร์ทจีบปากจีบคอพูด


“ไม่ต้องมาแอบฟังผมเลย มีเวลาว่างมากหรอ รีบทำงานตัวเองดิ  นิสัยเสียว่ะ เดี๋ยวโทรไปฟ้องพี่พีชแล้วจะหนาว”


พี่พีชที่ว่านั่นเป็นแฟนพี่อาร์ทครับ ตัวเล็กแต่หน้านิ่ง ที่สำคัญโหดชิบหาย...รู้จักกันเพราะรายนั้นขี้หึงเหี้ย ๆ พี่อาร์ทไปไหนเขาตามมาด้วยทุกงานจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของออฟฟิศไปแล้ว 


[“อย่าสนใจคนอื่นสิ สนใจผมก่อน”]


อีปลายสายนี่ก็ขี้ประท้วงจริง เก้ามันทำเสียงอ้อนแบบดุ ๆ เมื่อผมหันไปสนใจพี่อาร์ทแทนที่จะคุยกับมัน


“สนใจแล้วไง...เจอกันเย็นนี้ที่ร้านนะ เดี๋ยวเข้าไปพร้อมไอ้ชานเลย” 


บริษัทผลิตเกมของไอ้ชานอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้เท่าไหร่ นั่นทำให้ผมตกลงใจไปพร้อมกับมันตั้งแต่รู้ฤกษ์เปิดร้าน ได้ยินเสียงเก้าเป่าลมออกปากดังฟู่ก็ถึงกับต้องขำ ท่าทางจะงอนจริง ๆ ที่ผมตัดบทมันแล้วยังพูดถึงไอ้ชานอีก


นานจนเพื่อนมันกับเพื่อนผมได้เสียกันไปไม่รู้กี่รอบแล้วก็ยังหึง โนบิตะนี่มันโนบิตะจริง ๆ เลย


[“ถ้าไม่ได้ยุ่งขนาดนี้...จะไปรับเองถึงในห้องทำงานเลย”]


อย่าคิดว่ามันไม่กล้านะครับ พูดมาอีหรอบนี่ไม่ใช่แค่คำขู่หรอก ที่จริงแม่งมาบ่อยซะยิ่งกว่าอะไร มาถึงก็นั่งเต๊ะท่าอยู่ในห้องรับแขกยังกับเป็นเจ้านายเสียเอง แต่ที่ตลกกว่านั้นคือเจ้านายผมก็บ้าจี้ไปนั่งคุยกับมันเป็นวรรคเป็นเวรด้วย


“อย่างอแงน่า ไอ้ชานมันก็ไปหาแฟนมันเหมือนกัน ให้มันมารับกูนั่นแหละ แล้วมึงก็นั่งรอหล่อ ๆ ที่ร้านไป...อย่าดื้อ”


“อย่า ดื้ออออออ”


พี่อาร์ทนี่ก็แม่ง เอาอีกแล้ว เห็นคนเขาจี๋จ๋ากันหน่อยไม่ได้เลย ต้องมาร่วมวงเสือกด้วยทุกครั้ง ชักไม่ได้การละ ขืนคุยต่อมีหวังโดนแซวทั้งวันยันเลิกงานอะ


“มึง แค่นี้ก่อนนะ แล้วเจอกันตอนเย็น” ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ มือก็ชูนิ้วกลางให้พี่อาร์ทไปด้วย


[“เดี๋ยวก่อน”] แต่ในจังหวะที่กำลังจะกดวางสายแฟนช่างเอาแต่ใจของผมก็รั้งไว้เสียงเข้ม


“อะไร” ผมจัดการแนบหูเข้ากับโทรศัพท์อีกครั้ง


[“...”]


“พูดมาดิ เร็ว ๆ”   


[“คิด...”] มันส่งเสียงจิ๊ปากแล้วเว้นจังหวะไปพักหนึ่ง [“...คิดถึง”]


“ก็แค่นั้น”


ตอนนี้กลับมานั่งบนเก้าอี้ทำงานแล้วครับ พูดไปปากก็ยิ้มแทบจะถึงรูหู อยากจะเห็นหน้ามันตอนพูดซะเองเดี๋ยวนี้เลย...ก็ปกติมันไม่ค่อยพูดให้ฟังต่อหน้านี่หว่า


[“แค่นั้นอะไร ก่อนวางต้องทำไง”] ของตัวเองพูดแล้วนี่ ถึงมาทวงคนอื่นได้ แต่นึกเหรอว่ากูจะอาย...กูน่ะซื่อตรงกับความรู้สึกกว่ามึงเยอะ (ถึงจะอายเหี้ย ๆ ก็เหอะ)


“คิดถึง...เหมือนกัน” 


[“อืม”]


“อือ...งั้นวางก่อนนะ ต้องทำงานแล้ว มารแถวนี้มันเยอะ” 


สุดท้ายก็วางจนได้ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่บอสกลับมาจากข้างนอกพอดี พี่อาร์ทมันเลยไม่ได้แซวอะไรต่อเพราะบอสเดินมาวนเวียนแถวคอกทำงานของเราทั้งคู่ เรียกว่าใจนี่แทบจะกระเด็นหลุดออกมา เพราะนอกจากจะโดนแฟนอ้อนแล้ว ยังต้องซ่อนโทรศัพท์ให้ห่างตาบอสอีกต่างหาก


(((((  มีต่อ )))))
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-07-2018 21:24:29 โดย กิมกวง »

ออฟไลน์ กิมกวง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
“แน่ใจนะว่ามึงจะไปทั้งอย่างงี้”


ตกเย็น พอเลิกงานไอ้ชานก็โทรมาหาทันที ด้วยความที่ออฟฟิศเราอยู่ไม่ห่างกันมากจึงทำให้มันใช้เวลาไม่นานในการมารับผมไปต่อที่ร้านใหม่ของแฟนเราทั้งคู่ และตอนนี้ผมอยู่ในรถของมันแล้ว พร้อมจะออกเดินทางมาก แต่สายตาของมันที่ทอดมองสารร่างอันเปื่อยเฉาของมันบอกว่าผมไม่ควรไปฉลองเปิดร้านใหม่ด้วยสภาพแบบนี้


“เออ ไปเลย ขี้เกียจวนกลับบ้าน เส้นนั้นรถติด”


ถุ้ย! ใครจะไปเหมือนมึงล่ะ เป็นเจ้าของบริษัทนี่...จะเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนกี่ตัว ไปอาบน้ำจนเปื่อยคาห้องน้ำยังไงก็ไม่มีใครว่า กูนี่เป็นแค่พนักงานจน ๆ จะให้ไปเนรมิตตัวเอง แต่งตัวจัดเต็มทั้งที่เพิ่งเลิกงานอย่างมึงก็คงไม่ไหวหรอก


“แน่นะ?” มันยังถามย้ำคำเดิม


“เออออออ รีบไปเหอะเดี๋ยวโนบิตะรอนานแล้วมันงอแง”


ที่จริงแล้วเสียเวลาวนรถไปหน่อยก็ไม่ตายหรอก แต่เหตุผลที่แท้จริงก็แฝงอยู่ในคำพูดนี่ล่ะ เพราะไม่อยากให้โนบิตะมันรอนานต่างหาก ยิ่งรู้ว่ามากับไอ้ชานแล้วด้วย ก็ไม่อยากให้มันรู้สึกกระดากในใจทั้งที่วันนี้เป็นวันดีของมันแท้ ๆ


“เออ...น่าหมั่นไส้จริงพวกมึงเนี่ย”


ไอ้ชานพูดแค่นั้นแล้วหักพวกมาลัยเลี้ยวรถออกจากที่จอด ผมถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อเห็นมันขมวดคิ้วมุ่น


“อะไร แล้วคู่มึงล่ะ ไม่น่าหมั่นไส้บ้างหรือไง”


“หมั่นไส้ห่าอะไรล่ะ ทุกวันนี้ยังนิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย”


ผมหัวเราะก๊ากออกมาเลยเมื่อนึกถึงหน้าไอ้เตี้ยตอนเอาแต่ใจในสไตล์ป๋า ๆ ของมัน ลองนึกภาพดูนะครับ คนสองคนที่ชอบแย่งกันจ่ายค่าข้าวให้ผมถึงคราวต้องคบกันเองจะเป็นไง? ปัญหาของคนส่วนใหญ่ในเว็บกระทู้ชื่อดังของไทยมักจะเป็นประมาณว่า ‘ทำไงดี เขากินแล้วไม่ยอมแชร์กับฉัน’ เทือกนั้นใช่ไหม คู่นี้มันก็เป็นครับ เพียงแต่ต่างจากคนอื่นแบบกลับตาลปัตร 


“มันยังไม่ยอมให้มึงแชร์ด้วยอีกเหรอ...”  ผมอมยิ้มเมื่อนึกภาพไอ้ชานกับเฮียเถียงกันเวลาที่ต้องจ่ายค่าอาหาร


“น้อยไปสิ เมื่อเดือนที่แล้วแม่งชิงจ่ายค่าน้ำค่าไฟที่ห้องไปหมด เออ...ค่าโทรศัพท์กับค่าอินเตอร์เน็ตด้วย...โกรธกัน ด่ากันแทบจะทุ่มแม่งออกไปนอกหน้าต่างอะ ตอนที่รู้ว่ามันแอบเอาค่าโทรศัพท์กูไปจ่าย”


“ไอ้ห่า...ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” นึกถึงตัวเองที่ขอให้โนบิตะจ่ายค่าโทรศัพท์ให้แล้วขายขี้หน้าหน่อย ๆ “มึงก็...ความสุขของมันไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ยอม ๆ ไปบ้าง”


“ยอมเหี้ยไรล่ะ...กูก็มีตังเหมือนกัน ทำไมต้องแย่งกูจ่ายอยู่คนเดียวก็ไม่รู้”


“มันก็นิสัยแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มึงยังไม่ชินอีกเหรอ”


ท่าทางไอ้ชานจะหัวเสียจริงจังครับ เพราะสันดานนี้ของเฮียดูท่าจะขุดยากจริง ๆ


“...ไม่เชิงว่ะ...แต่กูก็แค่ไม่อยากให้มันรับภาระอยู่คนเดียว” มันถอนหายใจออกมา โดยที่ตายังคงมองถนน “แต่หลังจากเคลียร์กันมันก็ดีขึ้นมาหน่อยแหละ ยอมเข้าใจอะไรง่ายขึ้น ตกลงจะไม่แย่งกูจ่ายพวกค่าน้ำค่าไฟอีก แชร์กันครึ่ง ๆ อะ”


“หืม...ง่ายขนาดนั้นเลย? แล้วตกลงกันท่าไหนวะ ทำไมมันถึงยอม”


นึกไปถึงไอ้เฮียก็ไม่คิดนะว่ามันจะลงให้ง่ายดายขนาดนี้ อันที่จริงผมคิดไปไกลมากแล้ว แบบว่าลามกเหี้ย ๆ แต่ไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวเพื่อนสนิทจะหาว่าผมเป็นคนหมกหมุ่น


“ก็หารครึ่งอะ...มันบอกให้กูจ่ายค่าน้ำ ส่วนมันจะรับผิดชอบค่าไฟเอง...”


ได้ยินแล้วถึงกับต้องหัวเราะออกมาอย่างไม่มีเสียง ไอ้เชี่ยนั่น...เจ้าเล่ห์ชิบหาย มองหน้าเพื่อนตัวเองที่ยังจดจ่อกับทางข้างหน้าแล้วก็อยากจะตบหน้าผากแม่งสักสามที ไอ้ควายเอ้ย มึงไม่รู้หรือไงว่านี่ไม่ได้เรียกว่าแชร์กัน 


ค่าน้ำแม่งจะสักเท่าไหร่กันเชียว...ค่าไฟนี่มหาศาลจนแทบจะซื้อบ้านได้ทั้งหลังแล้ว เพราะแม่งเปิดแอร์ให้แมวอยู่ด้วย 


แต่ก็นั่นแหละ ได้แค่คิดแต่ไม่พูดอะไร อยากให้ไอ้ชานมันเข้าใจไปเลยว่านี่คือการแชร์กัน เพราะมันก็นานมาแล้วที่พวกมันยังหาข้อสรุปให้กับเรื่องนี้ไม่ได้ ทะเลาะกันทีไรก็เห็นมีแต่เรื่องปัญญาอ่อน ติงต๊องนี่ทุกครั้ง


แล้วในฐานะเพื่อนจะไปพูดอะไรได้...นอกจากดีใจที่ในที่สุดพวกมันก็สามารถหาตรงกลางให้กันและกันได้อย่างลงตัวสักที =_=








“โอโห กว่าจะมาถึง”


เฮียบ่นกระปอดกระแปดเมื่อเห็นผมกับไอ้ชานเดินเข้ามาพร้อมกัน ตอนนี้มันนั่งอยู่บนนั่งร้าน กำลังจัดดอกไม้ใส่แจกันแล้ววางไว้บนเสารูปสี่เหลี่ยม


“มาช้าหน่อย รถมันติด”


ผมยกมือขึ้นนวดขมับเพราะรู้สึกเวียนหัวเหมือนจะอ้วกจากอาการเมารถที่ไอ้ชานเป็นคนขับ ก็ไอ้ห่านั่นซิ่งรถอย่างกับว่าตัวเองเป็นพระเอกฟาสฯภาคยี่สิบ เหยียบมิดคันเร่งเหมือนจะมาไม่ทันทั้งที่ยังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง (?)


“แล้วนี่เก้าอยู่ไหน”


หันซ้ายหันขวา มองไปมองมาไม่เจอโนบิตะไงถึงได้ถาม แต่เห็นเฮียมันมองมาด้วยสายตากรุ้มกริ่มแล้วก็เลยไม่อยากพูดอะไรต่อ ไอ้ห่านี่ไม่เปลี่ยนเลย ชอบล้อคนอื่นด้วยสายตาจนติดเป็นสันดร


“อยู่ห้องทำงานใหม่ คุยกับพี่เกื้ออยู่ เดี๋ยวก็คงออกมา” 


ผมพยักหน้ารับ ทีแรกตั้งใจจะไปหามันในห้อง แต่พอได้ยินอย่างนี้ก็เปลี่ยนแผนไปช่วยดูโซนเครื่องดื่มแทน ร้านนี้เป็นร้านอาหารกึ่งผับ เก้ากับเฮียตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้นมากกว่าจะเป็นสถานที่เที่ยวกลางคืนอย่างเดียว เพราะจริง ๆ แล้วแนวคิดของทั้งคู่ค่อนข้างตรงกัน ที่ว่าอยากจะให้เป็นร้านแบบนั่งกินบรรยากาศมากกว่า


ทั้งร้านเป็นสไตล์โคโลเนียล คุมโทนด้วยเขียว น้ำตาล ครีม ดูคลาสสิค อีกทั้งยังเป็นร้านของลูกเถ้าแก่ใหญ่ จึงไม่แปลกหรอกที่ตอนนี้จะเริ่มมีรถเคลื่อนตัวเข้ามาที่ลานจอดเพื่อรอยินดีกับฤกษ์ดีในวันนี้


ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จากที่แขกเหรื่อมากันบางตาก็เริ่มหนาแน่นจนรู้สึกหายใจลำบาก เห็นหลังไว ๆ ของโนบิตะ กะจะเข้าไปทักก็เจอมันพูดคุยอยู่กับเจ้าสัว หรือ ผู้ใหญ่ไปซะทุกที เป็นอย่างนี้จนถึงเวลาตัดริบบิ้นเปิดร้าน ผมเลยตัดสินใจอยู่ห่าง ๆ ทั้งที่เราก็จ้องตากันอยู่ตลอด


สายตาที่มันมองมาราวกับจะบอกทางอ้อมว่าต้องการพูดคุย แต่ก็โดนขัดไปเสียทุกครั้ง จนมาถึงจังหวะเปิดเหล้าฉลองอย่างจริงจัง ผมถึงได้มีโอกาสเข้าไปหามัน ทั้งที่เจ้าตัวยังยืนคุมงาน อีกข้างก็มีเฮียประกบ

ผมเห็นมันพูดกับเฮียโดยที่อีกฝ่ายหรี่ตามองเจ้าเล่ห์ ยืนอยู่ตรงนั้นได้ไม่ถึงนาที ไอ้ไอ้ชานที่มาไหนไม่รู้ก็ดันหลังให้เข้าไปหา


“มาพอดีเลย มีเรื่องต้องคุยกันนะ”


มันพูดแค่นั้นแล้วก็จูงผมออกไปจากตัวร้าน ท่ามกลางสายตาของเพื่อนสนิททั้งสอง พี่เกื้อ และลูกน้องที่รู้จักเราทั้งคู่เป็นอย่างดี ทุกคนมองมาที่ผมดวงตาเป็นประกาย เหมือนกับจะลุ้นอะไรอยู่ในใจ ว่าแต่แม่งลุ้นอะไรกันวะ ทำตาอย่างกับทีมฟุตบอลที่ตัวเองเชียร์กำลังจะยิงเข้าประตูยังไงยังงั้น






ผมกับเก้าแอบเดินออกมาข้างนอกด้วยกันในขณะที่ในร้านล้งเล้งไปด้วยเสียงพูดคุยบวกเสียงดนตรี เราสองคนเดินไกลออกมาเรื่อย ๆ จนมาถึงที่จอดรถข้าง ๆ ร้าน กลิ่นหอมของต้นกุหลาบที่มันสั่งปลูกเอาไว้ประดับลานกับแสงไฟดวงเล็ก ๆ ที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนรั้วทำให้บรรยากาศดูโรแมนติกขึ้นอีกสามขุม


“ไหน มีอะไรก็พูดมา”


ผมเลิกคิ้วใส่ มองมันที่ยืนล้วงมือในกางเกงเต๊ะท่าหล่อ ๆ ห่างไปไม่ถึงคืบด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ


“นั่งก่อนสิ” 


ดูเหมือนจะเพิ่งนึกได้ว่าคงจะคุยนาน จบคำโนบิตะมันก็เอื้อมมือมาลากผมให้เดินไปนั่งตรงขอบซีเมนต์บนรั้วสีขาวที่ประดับประดาไปด้วยไม้เลื้อย พอกดไหล่ผมให้นั่งลงได้ มันก็ทิ้งตัวลงที่ข้าง ๆ แล้วเขยิบเข้ามาหาจนขนแขนแทบจะสีกัน


“มีอะไรจะบอก”


มันพูดเสียงเรียบ หน้าตาไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ ยามที่มองผม...อา อย่าบอกนะว่า


“จะเลิกกับกูเหรอ...” 


พูดออกมาทั้งหน้าตาช็อก ๆ ที่จริงผมก็นึกไม่ออกหรอกว่าหน้าตาตัวเองเวลาช็อกนั้นเป็นยังไง แต่คงจะดูไม่ดีขนาดหนัก เก้าถึงได้เม้มปากใส่ผมอย่างนั้น


“เปล่า...ทำไมคิดแบบนี้ล่ะ” มันไม่พูดอย่างเดียว แต่ยังเอื้อมมือมาแตะเบา ๆ ที่หลังมือ ก่อนผมจะหงายมันขึ้นเพื่อให้มือของเราทั้งคู่ได้สอดประสานกัน 


“กูไม่รู้นี่...ก็มึงทำหน้านิ่งขนาดนั้น” ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นกวาดสายตาไปรอบ ๆ “แล้วยังเรียกมาคุยกันสองคนในที่เปลี่ยวแบบนี้...กูก็เลย...”


“คิดว่าจะขอเลิกเหรอ ติงต๊องจริงคุณเนี่ย โตแล้วนะพิก” มันสวนขึ้นมา แถมด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยันในลำคอ


“ก็กู...” ผมเลียริมฝีปากตัวเอง ก็คนมันกลัว...จะให้ทำยังไง? อีกอย่างตอนนี้เก้ามันก็กลายเป็นเสี่ยไปแล้วจริง ๆ เท่ากับว่าเป็นเจ้าของกิจการตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นแค่พนักงานบริษัทแอพฯจน ๆ คนหนึ่ง...แม่ง แล้วยังเรื่องที่มันชอบบ่นว่าผมไม่ยอมแต่งตัว อย่างโน้นอย่างนี้อีก


“อย่าคิดแบบนั้นสิ ถ้าคิดอีกจะโกรธจริง ๆ นะคราวนี้” มันพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ในขณะที่นิ้วโป้งหัวแม่มือก็เกลี่ยผิวผมไปด้วย “อยู่กันมาก็ตั้งนานแล้วนะทำไมถึงคิดว่าผมจะทิ้งคนที่ตัวเองรักได้ลง”   


“ไม่รู้” ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ


“ก็รู้ตัวหน่อยเถอะว่ารักตั้งมากมายขนาดนี้...ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครที่ผมสามารถอยู่ด้วยแล้วสบายใจเท่ากับคุณ...หลายปีที่เราอยู่ด้วยกันมันบอกไม่ได้เลยเหรอ ว่าผมรักคุณแค่ไหนน่ะ พิก”


เวรเอ้ย...น้ำเน่าฉิบหาย แต่ทำไงดี กูยิ้มจนแก้มจะปริอยู่แล้วเนี่ย “เออรู้”


“อืม...แล้วรู้ใช่ไหมว่าคนอย่างผมมันเอาแต่ใจมาก ๆ ทนได้ใช่ไหมถ้าจะอยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ กับคนงี่เง่าแบบผม”


“เออ ทนได้” ผมตอบเสียงหนัก แม่งจะถามทำไมวะ ถ้าทนไม่ได้คงไม่หอบผ้าหอบผ่อนหนีแม่มาอยู่ด้วยอย่างนี้หรอก


“อืม...คุณคงเหนื่อยใช่ไหมล่ะ” มันหัวเราะ แล้วเหม่อมองออกไปยังร้านใหม่ของตัวเองที่ประดับประดาด้วยไฟสวยงาม “แต่ถ้าจะขอให้เหนื่อยอย่างนี้ตลอดไป...ถ้าขอแบบนั้นแล้วจะทำเพื่อผมได้ไหม” 


จากที่มองตามสายตามันไป ผมก็หันขวับกลับมาขมวดคิ้วมองหน้ามันทันที ว่ากันว่าพอถึงเวลาที่จะมีเรื่องสำคัญ คนเราจะสามารถรู้ได้เองโดยสัญชาตญาณ แล้วสิ่งที่โนบิตะพูดออกมาทุกอย่าง หากลองนึกย้อนกลับไปทบทวนดี ๆ นี่คล้ายกับว่ามันกำลัง...


“แต่งงานกันไหมพิก...” 


“...”


“มาทดลองอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตดูสักครั้งดีไหม?”


“...”


“มาดูแลกันตลอดไปนะ...เพราะผมไม่รู้แล้ว ว่าชีวิตนี้จะยอมลงให้ใครได้เท่าคุณอีกไหม ไม่รู้แล้วว่าจะอยากเริ่มต้นทำสิ่งดี ๆ ให้ใครได้เท่าคุณอีกไหม ไม่รู้แล้วว่าจะมีใครรักผมได้เท่าคุณอีกไหม และสำคัญที่สุด”


“...”


“ผมไม่รู้แล้ว...ว่าชีวิตนี้จะรักใครได้เท่าคุณอีกไหม?”


 อย่างกับเขื่อนแตก จากทีแรกที่ได้ยินมันขอแต่งงานธรรมดา ๆ ลำคอผมก็ตันไปหมดเหมือนกับจะกลืนก้อนสะอึกไม่ลงอยู่แล้ว และนี่ยังไปสรรหาคำพูดหวาน ๆ อะไรมาบอกผมอีกตั้งมากมายทั้งที่ไม่เคยทำ ไหนจะคำสัญญาว่าจะดูแลไปตลอดชีวิต ไหนจะบอกว่ารักใครไม่ได้อีก นี่มันอะไรกันวะ...มันทำขนาดนี้ได้ยังไง ทำให้ผมร้องไห้ออกมาขนาดนี้ได้ยังไง


“อึก...”


ไม่ได้ร้องไห้ออกมาเพราะความเสียใจ แต่เป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสได้ถึงคำว่า ‘ตื้นตัน’ อย่างเต็มเปี่ยม พอเห็นผมร้องไห้ โนบิตะก็เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ดึงผมไปกอดแล้วจูบเบา ๆ ตั้งแต่ขมับ ลงมาซับน้ำตาที่ข้างแก้ม ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังสะอึกสะอื้นขนาดไหน รู้อย่างเดียวว่าทั้งใจแม่งเต็มอิ่มไปหมด


ผมหันไปกอดโนบิตะ ซบหน้าลงกับไหล่มันเพราะกลั้นน้ำตาไม่อยู่... ไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้จะได้มีโมเม้นต์สุดน้ำเน่าอย่างในละคร ต้องขอบคุณมันจริง ๆ ที่ทำฝันของใครหลายคนให้เกิดขึ้นกับชีวิตผม แม่งตลกฉิบหายเลย เขาขอแต่งงานแท้ ๆ กูดันร้องไห้...แม่งเอ้ย... 


“ตก...ตกลง”


ตอบไปอย่างไม่คิดอะไรทั้งนั้น ซึ่งโนบิตะก็ดูยินดีกับคำตอบนั้น มันกระชับกอดของเราให้แน่นขึ้น แล้วผละออกมากดจูบที่หน้าผากมันเลื่อมของผมอย่างไม่รังเกียจ 


“งั้นอีกสามเดือนเราไปอังกฤษกันนะ...ผมเตรียมตัวไว้หมดแล้ว” 


“ไปทำไม...”


“อ้าว...” เก้าหัวเราะ มันยิ้มตาหยี “ตกลงแต่งงานกับผมทั้งทีนี่ไม่คิดจะจัดงานหรอกเหรอพิก ก็ต้องไปสิ ต้องพาแฟนไปหาพยาน เขาจะได้รู้ว่าเราเป็นของกันและกันแล้ว” 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ปัญญาอ่อน ดูพูดจาเข้า” ผมหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา รสชาติเค็มปร่ายังไม่เลือนหายไปจากปาก


“...เสร็จแล้วไปหาแม่กันนะ จะได้ฝากตัวเป็นลูกเขยจริง ๆ จัง ๆ สักที” มันเอื้อมมือมาปาดน้ำตาให้ผมแล้วทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก “เออ...แหวนหมั้นผมไม่มีให้คุณหรอกนะ” 


“ไม่เป็นไร กูไม่ชอบใส่แหวน” ผมตอบทันที...คือ ไม่ต้องแหวนอะไรก็ได้ แค่มันพูดมาขนาดนี้ผมก็แทบจะบ้าตายแล้ว


“แต่ผมมีหุ้นร้านครึ่งของผม กับบ้านเดี่ยวหนึ่งหลัง...ชื่อร้านน่ะ มีคุณเป็นเจ้าของด้วยนะ ...ส่วนบ้าน ก็ชื่อคุณอีกเหมือนกัน” 


ผมตาโตเป็นไข่ห่านเมื่อได้ยินสิ่งที่มันกำลังเซอร์ไพร์สผม “เฮ้ย...ได้ไง” 


“ได้สิ...เพื่อเป็นหลักประกันว่าผมจะไม่ทิ้งคุณไปไหน...ที่จริงผมหมดตัวแล้วนะพิก จนมาก ทำร้านกับซื้อบ้านไป...หลังจากนี้คุณต้องดูแลผมบ้างแล้วนะ ต้องเลี้ยงผมตลอดไป จะไหวไหมเนี่ย”     


มันหัวเราะออกมาตาปิด ผมก็หัวเราะเหมือนกันเมื่อนึกถึงสภาพมันใส่ชุดมอซอมาขอเงินรายสัปดาห์จากผม เราทั้งคู่เอนไหล่ชนกันแล้วกระชับมือที่จับกันไว้ให้แน่นกว่าเดิม ไฟประดับตรงหน้าดูสวยงามกว่าทุกหนที่มองไปเจอ แต่คนข้างผมนี่หล่อกว่ามากเมื่อเงยหน้าแล้วหันไปมอง


โนบิตะยิ้มไม่หุบ ที่นัยน์ตาของมันเลื่อมไปด้วยน้ำใส ๆ เป็นหลักฐานว่าไม่ได้มีผมคนเดียวที่ร้องไห้ด้วยความตื้นตัน เห็นอย่างนั้นก็สุขใจจนต้องเลื่อนหน้าขึ้นไปจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากของมัน เราบดคลึงกดจูบอยู่อย่างนั้นจนอิ่มเอิบไปทั้งใจ แล้วยกมือข้างที่จับกันไว้ขึ้นมาในระดับริมฝีปากเพื่อจูบสัญญา 


ไม่ว่าจะทุกข์ จะสุขก็ยังจะยืนอยู่ข้าง ๆ กัน
วันใดที่ล้มอีกคนจะช่วยพยุง วันใดที่ป่วยอีกคนจะช่วยดูแล
วันใดที่เศร้าอีกคนจะช่วยปลอบโยน วันใดที่ท้อ อีกคนจะเป็นกำลังใจ 

ขอบคุณที่เกิดมา ขอบคุณที่เราทั้งคู่ไม่ละความสนใจเมินกันไปเสียก่อน
ขอบคุณในความอดทนที่มีให้ ขอบคุณสำหรับทุก ๆ อย่าง


เราจะมีความสุขครับ ขอบคุณทุกคนที่อ่านและเอาใจช่วยมาถึงตรงนี้
ขอให้มีความสุขเช่นกัน


_____________________________________________________


ขออนุญาตให้ชื่อแท็กว่า #โนบิโนบิ แล้วกันค่า
เอาไว้ติดตาม พูดคุยย้อนหลัง ติชมไดน้า


จบแล้ว จบแบบจบจริงๆ  
ถ้าอยากอ่านอะไรต่อ คงต้องไปต่อที่เล่มแล้วค่ะ T_T
เรื่องนี้คุยว่าจะออกกับ ฟาไฉ ในเล่มมีสเปเพิ่มมาเป็นตอนโตแล้ว 555
แบบ คนอ่านคงแบบ  เฮ้ย สเปอะไรมึงเยอะแยะ 555 ได้ข่าวว่าเรื่องสั้น 5 ตอนจบ งอกสเปมาเกือบจะ 30 ตอน 555
เอาน่ะ555  ขำๆ ฮาๆนะคะ

ใครที่คิดถึงสเป เรียกเลือดๆ ก็ไปต่อกันในเล่มเนาะ 55 เรียกเลือดกันหน่อยตอนโต อิอิ 

แล้วเจอกันน้า จบแบบ จบจริงๆแล้ว ♥ 

ใครคิดถึงก็ไปอ่านเรื่องพวกข้างล่างได้น้า เราเปลี่ยนนามปากกาแย้วว

เรื่องยาว

◘ เพียงคุณที่มองไม่เห็น ◘ (ยังไม่จบ)
♦ โอบบดินทร์ ♦  (ยังไม่จบ)

เรื่องสั้น

- - - - ช่าง ♦ รัก - - - - | ตอนเดียวจบ |  (ที่คงมีต่อสเปหลายๆๆๆตอน )
  เด็กมันร้าย | ตอนเดียวจบ | 







แวะมาพูดคุย ติดต่อได้ที่

Twitter

ไม่ค่อยเล่นทวิต แต่จะพยายามเข้ามาดูบ่อยๆจ้า  [/center

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด