13 SP : Secert
NOBITA’s PART
ผมนอนก่ายหน้าผากมองเพดานห้องตัวเองมาได้สักพักแล้ว
หลังกลับมาจากร้านพิกก็หลับสนิท เขาหลับลึกไม่ได้สติจนผมต้องพยุงขึ้นมาไว้บนห้องแล้วทิ้งลงบนเตียง ทันทีที่หัวถึงหมอนเขาก็ละเมอเคี้ยวปากตัวเองยอบแยบเหมือนคนกำลังทานอะไรอยู่ในปาก ไม่อยากปฏิเสธตัวเองเลยว่าในสายตาผมตอนนี้เขาดูน่ารักกว่าเดิมเป็นสิบเท่า
“ก...เก้า”
ผมเอี้ยวหน้าไปหาคนหลับลึกที่ละเมอออกมาเป็นชื่อผม ได้ยินอย่างนั้นเลยต้องตะแคงตัวหันไปหา พิกกำลังนอนบิดกายทำหน้าบู้บี้เหมือนเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมาไม่มีผิด เสียงของเขาแหบพร่า แผ่วเบา และน่ากลัวว่าจะขาดห้วง ลักษณะอย่างนี้ถ้าไม่ฝันดีก็ฝันลามกอยู่แน่
“ครับ ๆ อยู่นี่แล้ว”
ผมเลื่อนมือลงไปกอบกุมมือของเขาที่จิกผ้าห่มแน่น ใช้นิ้วโป้งนวดวนเบา ๆ ที่หลังมืออีกฝ่ายเพื่อย้ำเตือนว่าผมอยู่ตรงนี้ เหมือนพิกจะได้ยินเสียงของผมนะ เพราะเมื่อสัมผัสได้ถึงมือของผมที่สอดประสานกับมือของเขาไว้ พิกก็คลายสีหน้าทรมานแล้วผ่อนลมหายใจเข้าออกตามปกติ
“ทำตัวอย่างกับเด็ก”
เห็นอีกคนนอนหลับใหลไม่ได้สติ กลับไปเคี้ยวปากแจ๊บ ๆ เหมือนเดิมแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปบีบจมูกรั้น ๆ นั่นให้บี้กว่าเดิม... เห็นสีหน้าอึดอัดของพิกแล้วก็อดพาลไปนึกถึงไอ้เฮียคนเจ้าเล่ห์ไม่ได้ ที่ว่าพิกเด็กน่ะไม่ได้ขาดไม่ได้เกินอะไรเลยสักนิด ทำอะไรแต่ละอย่างต้องให้สั่ง ต้องระวังหลังให้ตลอด
‘กูรู้นะว่ามึงเป็นใคร...กูจำมึงได้ ไอ้เก้า’นึกไปถึงประโยคน่าชวนคิดว่าอีกฝ่ายจะแบล็คเมล์ที่ดังอออกจากปากของ ‘เฮีย’ เพื่อนร่วมกลุ่มคนใหม่ในวันที่เราไปเข้าห้องน้ำสองต่อสองกันวันนั้น
อันที่จริงมันก็ระยะหนึ่งมาแล้วที่เราได้ทำความรู้จักกันก่อนหน้าที่จะมาเจอกันในคลาสนั้น คิดว่าคุณคงจะเดาออกนะว่าหลังจากที่กลับมาจากแคนาดาเฮียจะทำอะไร? ใช่ครับ เขาพาวงศาคณาญาตินับสิบที่หน้าตาไม่ซ้ำกันสักนิดมาที่ร้านผมบ่อยมาก จากคืนเดียวเป็นสองคืน จากสองคืนกลายเป็นเกือบจะทุกวันที่เขามาร้านผมเพื่อถลุงเงินพ่อแม่แก้เหงา
เฮียเป็นคนน่าสงสาร ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ค่อยมีฝูง อยู่ตัวคนเดียว ใช้เงินเลี้ยงเพื่อนเหมือนเบี้ย จึงไม่แปลกหรอกที่ใคร ๆ จะรักเขาที่เงินของเขา เห็นอย่างนั้นเลยมีบางครั้งที่ผมถือแก้วเข้าไปนั่งคุยกับเขาบ้างจนเราเริ่มสนิทกันเพราะสนใจเรื่องรถเหมือนกัน...แต่ก็ไม่คิดว่าความหวังดีนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
‘มึงทำอะไรอยู่วะ เก้า...เล่นสนุกอะไรอยู่’
สีหน้าของเขาตอนนั้นไม่ได้ดูตึงเครียดเลยสักนิด ผมรู้เพราะผมเห็นประกายความสนุกในแววตาของเขา เฮียไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่เลิกคิ้วกดดันเป็นเชิงให้ผมต้องพูดต่อ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่รู้สึกกดดันอะไร ทำเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วตอบกลับไปตามจริง
‘ไม่ได้เล่นครับ ผมแค่รำคาญชีวิตเดิม ๆ’ เหมือนผมจะเคยเล่าให้คุณฟังแล้วนะว่าเมื่อก่อนชีวิตผมเป็นอย่างไร? ได้ยินอย่างนั้นเฮียก็ทำแค่ยักไหล่ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่เชื่ออะไรตามที่ตาเห็นมากนัก
‘แต่กูว่ามีเรื่องสนุกอะไรอีก มึงถึงจงใจปิดบังไอ้สองคนนั้นขนาดนี้’
‘…’
‘เอาเหอะ เขาว่าคนไม่รู้ไม่ใช่คนโง่ใช่ไหมวะ งั้นมึงอยากทำอะไรก็ช่างมึงเถอะ แต่ถ้ามีอะไรสนุก ๆ ก็อย่าลืมมาแบ่งปันกูด้วยแล้วกัน’
‘…’
‘เออ...ว่าแต่คนชื่อพิกนี่น่าสนใจนะ...ดูแม่งจะหลอกง่ายดี’
นาทีนั้นไม่รู้ว่าผมทำสีหน้าออกไปอย่างไร แต่ก็คงจะมากมายเสียจนเฮียจับพิรุธได้ เพราะเมื่อพูดถึงพิก เขาก็มองหน้าผมพร้อมกับยิ้มออกมาแปลก ๆ ตอนนั้นเราทำเพียงแยกกันด้วยความรู้สึกแปลก ๆ จนกระทั่ง...
‘พรีเซนต์งานเสร็จแล้วไปกินเหล้าร้านมึงได้ไหมเก้า กูจะชวนพวกไอ้พิก ไอ้ชานไปด้วย’ ในคืนก่อนพรีเซนต์งานเฮียเดินมาหาผมที่ห้องกระจกเพื่อพูดเป็นเชิงขออนุญาต ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในตอนนั้น รู้เพียงแค่แววตาของอีกฝ่ายดูระยิบระยับกว่าเดิม มันเหมือนกับว่าเขากำลังวางแผนเล่นสนุกอะไรลับหลังคนอื่นอยู่ในใจ
‘กูคิดว่าไอ้ชานมันหลงรักพิก แต่แม่งไม่รู้ตัว...มึงคิดดูสิ เกาะติดกันอย่างกับปลิง พิกก็เหมือนกัน ทำเป็นรำคาญแต่ก็อ้อล้อแค่กับแม่งคนเดียว...ไม่ถูกก็ผิด กูคิดว่าแม่งมีใจให้กัน’
‘...’
‘กูว่าจะมอมเหล้าแล้วจับให้มันล่อกันซะ จะได้สมใจกันสักที...มึงคิดว่าไงวะเก้า’นาทีนั้นผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป รู้เพียงแต่ว่าเร่งมือรีบเซ็นต์เอกสารที่มีจนครบแล้วก็บึ่งกลับห้องไปหอบหิ้วเอกสารสำหรับทำพรีเซนต์งานในวันรุ่งขึ้น อันที่จริงผมไม่ได้คิดจะไปหาพิกเลยด้วยซ้ำ ที่ไลน์ไปหานั่นก็แค่เพราะหมั่นไส้ที่เขาออกจะทำเกินไปหน่อยตอนที่ผมยังเป็นไอ้แว่น แต่พอเรื่องกลายเป็นแบบนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะปฏิเสธตัวเองอย่างไร เพราะขาที่เหยียบคันเร่ง มือที่หมุนพวงมาลัยมันก็บังคับไม่ได้จนกลายเป็นรู้ตัวอีกทีก็จอดรถอยู่ที่หน้าบ้านทาวเฮ้าส์ของพิกแล้ว
เรื่องราวมันก็ดำเนินไปตามที่คุณทราบนั่นแหละครับ...
ผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไรที่เฮียเอ่ยปากชวนพวกเราตามที่มันบอกผมไว้ เพียงแต่ข้อเดียวที่ทำให้ผมแปลกใจก็คือพิก...
พรีเซนต์งานเสร็จเขาก็ทำหน้ามุ่ยมาตลอดทาง แถมเงียบจนผมต้องคาดคั้นเอาว่ากำลังรู้สึกอย่างไรเพราะผมไม่ชอบใจที่มีคนมาแสดงท่าทีอย่างนี้ใส่ ทีแรกพิกไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเห็นเขาเงียบไปก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามถึงก่อน
‘อยากพูดอะไรก็พูดมาสิครับ มองผมตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว’ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ อันที่จริงอยากจะทราบว่าเขากำลังทำสีหน้าอย่างไรมากกว่า
‘มึงกับเฮียนี่...ยังไงวะ’ไม่ทราบว่าพิกจะรู้ไหมว่าเขากำลังทำหน้าอย่างไร ตอนนี้คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเสียให้วุ่น น่าแปลกที่อยู่ ๆ ผมก็มองว่ามันดูน่ารักพิลึก พิกไม่ได้ทำอะไรเลยกับหูของเขาที่แดงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วไหนจะยังใบหน้ามึน ๆ ที่ทำเป็นเสมองออกไปนอกหน้าต่างอีก
‘หึงหรอครับ’
‘หึงที่หน้ามึงสิ ถามเฉย ๆ’ ผมหัวเราะหึในลำคอ ทำไมต้องด่ากันด้วยสีหน้าเหมือนคนเขินอายแบบนั้นด้วยนะ
‘กูไม่ได้หึงมึงเลย แค่เห็นพวกมึงชอบทำลับ ๆ ล่อ ๆ กันอยู่ได้....’อ๋อเหรอ... ไม่ได้หึงก็ไม่ได้หึงสิ ทำไมต้องเบะปากด้วยนะ ผมหัวเราะเบา ๆ เราพูดคุยเกี่ยวกับเฮียไปได้เรื่องสองเรื่อง ตอบคำถามที่เขาคาดคั้นจนคนถามดูจะผ่อนคลายมากขึ้นรวมไปถึงผมที่เอ่ยปรามไม่ยอมให้เขาไปกับสองคนนั้นด้วย... อ่า อย่าเพิ่งเข้าใจผิด... ผมไม่ได้หึงที่ชานจะชอบพิก ไม่ได้หึง...แต่ก็อย่างที่บอกนั่นล่ะ
ผมจะไม่ยอมให้เขาไปกับใคร...จนกว่าผมจะเป็นคนเบื่อเขาเอง “อืม...กี่โมงแล้วเนี่ย...ปวดหัวว่ะ”เสียงทุ้มขึ้นจมูกจากคนที่อยู่ข้างตัวทำให้ผมตื่นจากภวังค์ พิกงัวเงียหลับตาปี๋ยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองทั้งที่ยังนอนอยู่ ทำอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีใครนอนตะแคงมองเขาอยู่จากที่ข้าง ๆ ตรงนี้
“จ้องหน้ากูทำไม...มียาแก้ปวดไหมวะ...เหมือนไข้จะขึ้น”
ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเอง อันที่จริงก็อยากขอโทษนะเพราะที่เขาไข้ขึ้นอย่างนี้ก็เป็นเพราะผมเองที่บังคับเขาเสียหลายที พิกพยุงตัวลุกขึ้นนั่งกอดอกมองไปนอกหน้าต่าง ขณะที่ผมผุดลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่ครัวแล้วกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำและยาในมือ
“ทานน้ำเยอะ ๆ สิครับ”
พิกรับยาในมือไปทานแล้ว แต่เห็นเขากินยากินน้ำน้อยแล้วก็ขัดใจ พิกช้อนตาขึ้นค้อนผมเสียวงใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ดื้อและทำตามที่ผมบอก
“หมดแก้วเลย พอใจยัง”
เขายกแก้วขึ้นมาทำท่าเหมือนจะบอกว่า ‘บ๋อแบ๋’ เลย ผมจึงได้แต่หัวเราะแล้วส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับแก้วคืนจากเขา
“พอใจแล้วครับ...นอนกันนะ พักผ่อนเยอะ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปเรียนไม่ไหว”
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันครับว่าทำไมต้องพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนด้วย อย่างที่บอกว่าผมไม่เคยคิดจะเอาใจเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะท่าทางของพิกไม่ได้ดูน่าทะนุถนอมเหมือนสาว ๆ คนอื่นที่ผมเคยนอนด้วย...แต่จะว่ายังไงดี เวลาที่เขาเลิกดื้อ เลิกทำตัวน่าหมั่นไส้ มันก็ดู...น่ารักอยู่เหมือนกัน
อาจเป็นพระแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง หรือหมึกตรงรอยสักที่ดูเหมือนจะจางลง ผมถึงได้ยื่นหน้าไปจูบเบา ๆ ที่หน้าผากของเขา พิกไม่ได้ถอยหนี ไม่ได้โวยวายแต่เขากลับเบิกตามองผม ไม่รู้ว่าไอร้อนจากลมหายใจที่เป่ารดคอเป็นเพราะเขาไม่สบายหรือเขิน หรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มองว่ามันน่ารักอยู่ดี...
คิดดูเอาสิ กับคนที่ถือตัวคิดว่าตัวเองเข้มแข็งกว่าคนอื่นมานอนมองหน้า ทำท่าทางเขินอายอย่างน่ารักแบบนี้เป็นคุณ คุณจะอดใจไหวไหม? ถ้าจะหาว่าผมไม่โทษตัวเองนั่นก็ถูก เพราะผมโทษอย่างอื่นไปแล้วในนาทีที่ก้มลงไปฉกชิมริมฝีปากของเขาอีกครั้ง
ผมคงเป็นคนใจร้ายน่าดู เพราะเมื่อเขาทำท่าจะหายใจไม่ออกผมก็จูบย้ำซ้ำลงไปให้ ริมฝีปากอวบอิ่มของพิกเผยออก ท่าทางของเขาดูทุรนทุรายเพราะขาดอากาศ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากสนใจอะไรแล้ว...
“ขอบคุณนะที่วันนี้มึง...” พิกเสหน้าไปอีกทาง เขานอนจ้องรอยสักที่แขนของผมท่ามกลางแสงสลัวจากดวงจันทร์ “ที่มึง...อ่อนโยนกับกูอะ”
เพราะเขาก็กำลังทำให้ผมเหมือนจะเป็นบ้าเช่นกัน ____________________________________________________
แฮ่ หายไปนานเลย เจอกันวันศุกร์ค่า
