คืนครั้งสุดท้าย คบแล้วนะ ☻✿
“อาทิตย์พรุ่งนี้เลี้ยงหนังเค้าหน่อยสิ ว่างอ่ะ” หืมม? ผมละสายตาจากจานข้าวแล้วตวัดตาขึ้นมองพี่เขาทันทีครับ เฮ้ยย ผมนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้นะ ยู้ฮู เห็นผมไหมครับคุณพี่ พี่ทิตย์เขาเพิ่งชวนผมครับ ถึงในใจจะกระวนกระวายและร้อนรนชิบหายยังไงก็ตามแต่หน้าผมก็แสดงออกไปแค่ขมวดคิ้ว นั่นล่ะ แค่นั้นล่ะครับ
“ไม่ว่างว่ะ”
“อ๋อ งั้นวันหลังก็ได้” ยังจะมีวันหลังอีกเหรอ อะไรวะเนี่ย ผมเบ้ปากออกมาอย่างหมั่นไส้พร้อมขมุบขมิบปากบ่นพึมพำกับตัวเอง หมั่นไส้แต่ทำอะไรไม่ได้ครับ ก็ตอนนี้ผมเป็นส่วนเกินอย่างเห็นได้ชัดเลยนี่ครับ รีบกินรีบไปดีกว่ามั้ง อยู่ไปก็หงุดหงิด
“อุ่นไปแล้วเหรอ” ยังจะมาถามอีกครับ ผมหงุดหงิดนะที่ผมอารมณ์ไม่ดีแม่งอยู่ฝ่ายเดียวแต่พี่ทิตย์กลับดูไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยสักนิดเดียวครับ ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ยกจานขึ้นจะเอาไปเก็บครับ พี่ทิตย์มองหน้าผมนิ่งพี่เขาเลยมองตามสลับกับมองหน้าพี่ทิตย์
“อือ จะไปหาหมูหยองด้วย” คาบต่อไปผมเรียนพละไงครับ ผมว่าจะไปซื้อขนมหรือไส้กรอกไปแบ่งไอ้หมูหยองกับเที่ยงคืนมันแบ่งกันกิน ว่าแล้วก็คิดถึงหมาครับ ผมอยากจับมันสองตัวอาบน้ำจริงๆนะครับ ไม่รู้แหละต้องมีสักวันที่ผมจะแบกมันเข้าห้องน้ำนักบอลไปล้างขนเปื้อนดินของพวกมัน
“เดี๋ยวพี่ไปด้วย รอแป๊บนึงได้ไหม” ผมพยักหน้าส่งๆไปแล้วลุกขึ้นเอาจานไปเก็บโดยเป็นคนดีเอาจานพี่ทิตย์ไปเก็บด้วยครับ พี่ทิตย์ก้มหน้ารับเป็นเชิงขอบคุณแล้วก็หันไปสนใจงานของตัวเองต่อครับ
ผมเดินวนในร้านสวัสดิการก็ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรไปให้มันดีครับ ออกไปหาซื้อไส้กรอกไม่ก็ไก่ให้มันน่าจะดีกว่าครับ ผมเดินจะออกจากร้านสวัสดิการก็ต้องชะงักเมื่อคนที่เดินสวนเข้ามามัวแต่หันไปโบกมือลาเพื่อนแล้วเราก็เดินชนกันอย่างจังเลยครับ
“เฮ้ย พี่ขอโทษ!” พี่เนยเลยครับ เอาจริงๆคือพี่เนยสูงพอๆกับผมเลยเหอะโดนชนแบบนี้มันก็ต้องมีเซบ้างล่ะครับ ผมยิ้มรับแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่พี่เนยกลับจับแขนผมไว้ แล้วดูที่มือผมพร้อมขมวดคิ้ว ผมก็งงสิครับ ได้แต่ส่งสายตาสงสัยไป
“อาทิตย์มันอยู่ไหน?” พี่เนยกดเสียงใส่ผมเหมือนหงุดหงิด เอ้า ผมก็เอ๋อสิครับ ไม่รู้ว่าไปทำอะไรผิดอยู่ดีๆก็โดนเหวี่ยงใส่ซะงั้น แต่เข้าใจว่าผู้หญิงโกรธง่ายและอารมณ์ขึ้นๆลงๆครับ ผมเลิกทำหน้าหมาสงสัยแล้วชี้ไปที่โต๊ะที่ผมเพิ่งเดินออกมา สวัสดิการมันก็เป็นร้านกระจกนั่นล่ะครับ เห็นทะลุปรุโปร่งหมด ผมชี้ไปพี่เนยก็หรี่ตามอง
“นั่งกับใครอ่ะ”
“เพื่อนในห้องมั้งพี่ ผมก็ไม่รู้” ผมตอบแบบปัดๆไปพี่เนยก็ยังจ้องอยู่ครับ ผมก็อยากรู้สิว่าพี่เนยจะอยากรู้ไปทำไม แต่ผมว่าผมไม่ควรยุ่งมากไปกว่านี้ครับ เอาเวลาไปซื้อของให้หมายังดีกว่า
“เกลียดนิสัยไม่คิดถึงใจชาวบ้านของมันจริงๆ” ผมกะพริบตาปริบๆมองพี่เนยที่บ่นพึมพำออกมาแล้วมองพี่ทิตย์สลับกับที่มองผม
“ผมก็เกลียด” ก็เหี้ยแล้วครับ ผมจะไปมีอารมณ์ร่วมกับพี่เนยทำไมก็ไม่รู้ครับ ผมก็ตกใจตัวเองเหมือนกันพี่เนยก็ไม่ต่างเท่าไหร่ครับ พี่เนยชะงักไปนิดหน่อยแล้วก็ส่งสายตาล้อเลียนมาให้ผม ผมไม่กล้าหงุดหงิดใส่พี่เนยเลยครับเลยได้แต่ตีหน้านิ่ง
“มีอะไรปรึกษาพี่ได้นาน้องอุ่น พี่ก็เคยเหนื่อยใจกับนิสัยมันเหมือนกัน” ผมยิ้มรับแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ จริงๆแล้วพี่เนยรู้ทุกเรื่องแน่ๆครับ ผมพอจะปะติดปะต่อเรื่องได้นิดหน่อยพี่ทิตย์อาจจะเอาเรื่องของผมไม่พูดให้พี่เนยฟังจนหมด ถึงอย่างงั้นผมก็คิดว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรึกษาพี่เนยเลยครับ
“ไม่เป็นไรครับ” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะเดินออกเลี่ยงออกมาแต่พี่เนยก็ดึงตัวผมไว้ ผมก็หันไปขมวดคิ้วแบบงงๆใส่
“พี่รหัสอุ่นชื่ออะไรเหรอ เอ่อ.. พี่ถามเฉยๆ” ขั้นไหนกันแล้วเนี่ย ทำไมไอ้พี่รหัสผมจีบอีท่าไหนพี่เนยถึงเพิ่งจะมาถามชื่อเอาตอนนี้ล่ะเนี่ยยย ผมเอียงคอยิ้มๆก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมาช้าๆ
“หือ… ชื่อบอมบ์ ทำไมเหรอพี่” ก็ตีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ไม่รู้ห่ารู้เหวอะไรออกไปครับ พี่เนยส่ายหน้าไปมาแรงๆพร้อมอมยิ้มแต่สักพักก็ขมวดคิ้วครับ พี่เนยน่ารักมากจริงๆนะครับ จนถึงตอนนี้ผมก็คิดว่าพี่เขาน่ารักมาก อิจฉาพี่ทิตย์กับไอ้เหี้ยพี่รหัสมากเลยครับ ไม่รู้ว่าผมต้องทำยังไงถึงจะได้แฟนแบบนี้
“อือๆ ไม่มีอะไรหรอก สู้ๆน้าน้องอุ่น” พี่เนยพูดตอบผมแบบปัดๆแล้วเดินเข้าไปในร้านสวัสดิการครับ
ผมยิ้มออกมานิดหน่อยแล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเงยหน้าขึ้นมองโต๊ะที่ผมลุกออกมา งานยังไม่เสร็จอีกหรือไงก็ไม่รู้ คุยกันสนุกมากไหมครับ ใช่สิ ก็ผมไม่ได้พูดเก่งเหมือนพี่เขานี่ครับ ผมถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ยังไงซะคนที่พี่ทิตย์ชอบก็คือผม พี่ทิตย์คงไม่ทิ้งผมไว้คนเดียว… แต่แม่ง… ตอนนี้ผมก็เดินคนเดียวอยู่ไม่ใช่เหรอวะ
เล่นตัวมากๆแบบนี้แม่งอึดอัดนะครับ ผมก็ไม่รู้ว่าถ้าผมบอกว่าผมก็ชอบพี่ทิตย์ไปมันควรจะเป็นยังไง ผมไม่ได้อยากเปลี่ยนแปลงสถานะ ที่ผมอยากคืออยากให้พี่ทิตย์อยู่เป็นเพื่อนผมทุกๆวัน แต่พี่ทิตย์ก็หาว่าผมใจร้ายอีก
ผมไปซื้อไส้กรอกให้หมูหยองกับเที่ยงคืนแต่ไม่ได้เดินกลับไปหาพี่ทิตย์ครับ ผมเบื่อ ผมอารมณ์ไม่ดีผมเลยเดินออกมาเฉยเลยครับ ตอนนี้ใกล้จะหมดคาบพักของม.ต้นแต่เพื่อนผมก็ไม่มีท่าทีว่าจะมากันเลยสักคนครับ อาจจะนั่งเล่นกันอยู่บนห้องมั้งครับ
ผมหย่อนตัวลงนั่งกับพื้นลานข้างสนามบอล ไม่ต้องเรียกหรือทำอะไรเลยไอ้หมูหยองมันก็ส่ายหางดุ๊กดิ๊กมาหาผมครับ ผมยิ้มให้กับความซนของมันแล้วยื่นไส้กรอกให้มันที่แลบลิ้นแฮ่กๆรอแล้วครับ ผมหาเที่ยงคืนไม่เจอ ไม่รู้ว่ามันไปอยู่ไหนแล้วครับ อุตส่าห์ซื้อมาเผื่อตั้งเยอะ
“บอกให้รอพี่ทำไมไม่รอ” ไม่ต้องหันไปผมก็รู้ว่าใครครับ ผมถอนหายใจอย่างแผ่วเบาออกมาแล้วลูบหัวหมูหยองช้าๆอย่างไม่รู้จะทำอะไร พี่ทิตย์นั่งยองๆลงข้างผมแล้วก็มองผมอยู่นั่นล่ะครับ ผมหันไปมองพี่ทิตย์สลับกับมองหมูหยอง ทำไมต้องมาทำให้ผมวุ่นวายในใจขนาดนี้ด้วยวะ
“ก็เห็นทำงานอยู่ไม่อยากกวน” แถไปเรื่อยล่ะครับ ผมบุ้ยปากใส่หมูหยองที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่บนตักผม หมูหยองมองผมตาแป๋วเหมือนงงผมก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ แม่น่าจะให้ผมเลี้ยงหมานะครับ ผมจะแบกไอ้หมูหยองกลับบ้านเลยจริงๆนะ ผมอมยิ้มให้กับความคิดตัวเองแล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อหันไปมองหน้าพี่ทิตย์ที่ยิ้มแปลกๆให้ผผม
“ถ้าคนที่เราชอบมาทำเหมือนหวงมันไม่เรียกกวนหรอก” ผมทำหน้ามุ่ยใส่พี่ทิตย์ที่ยิ้มอยู่ทันทีครับ
“บ่นอะไร อือออ เที่ยงคืน มานี่เร็ววว” เที่ยงคืนมองหน้าผมแล้ววิ่งดุ๊กดิ๊กไปหาพี่ทิตย์ครับ ไอ้เที่ยงคืน ไอ้หมากบฏ! ผมเบ้ปากมองไอ้หมากบฏด้วยความหมั่นไส้ครับ พี่ทิตย์ลูบหัวมันแล้วยักคิ้วให้ผม ผมก็กลอกตาไปมา
“ไม่รู้ว่าคนแถวนี้มันจะใจแข็งไปไหนเนอะเที่ยงคืน” ผมหันไปมองทันทีครับ พี่ทิตย์บ่นเหมือนบ่นกับไอ้เที่ยงคืนจริงๆครับ เพราะไม่ได้มองหน้าผมเลยสักนิด มือก็ยังลูบหัวไอ้เที่ยงคืนอยู่อย่างนั้น
“แล้วไงอ่ะหมูหยอง” ผมเบ้ปากพร้อมย่นจมูกบ่นกับหมูหยองผู้ไม่รู้เรื่องอะไรกับผมเลยสักนิดครับ
“จะเปิดศึกเหรออุ่น”
“ยุ่งอะไรเล่า!” ผมเผลอขึ้นเสียงไปครับ ทั้งหมูหยองและเที่ยงคืนแม่งลุกขึ้นเดินดุ๊กดิ๊กหนีผมไปเลยครับ แต่ผมไม่ได้สนใจ ผมว่าผมกำลังเปิกศึกกับพี่ทิตย์จริงๆเพราะตอนนี้ตาเรามองกันแทบจะไม่กะพริบครับ
เอาดิ๊ เอาเลย จ้องมาจ้องกลับไม่โกงครับ
สุดท้ายพี่ทิตย์ก็แพ้ผมครับ พี่ทิตย์ละสายตาไปก่อนแล้วยิ้มขำออกมา ส่วนผมก็ได้แต่นั่งหน้ายุ่งอยู่อย่างนั้นระหว่างที่พี่ทิตย์ยุกยิกขำอะไรก็ไม่รู้ แต่ผมเห็นหูพี่ทิตย์แดงเถือกเลยครับ อะไรวะเนี่ย เขินผมหรือไงวะ โอ๊ยย ขนลุกครับ พี่ทิตย์แม่งอะไรของเขาอ่ะ
“พี่จะรอไม่ไหวแล้วนะอุ่น” เอาสิครับ ไอ้ผมแม่งก็พาลเขินไปด้วย แต่ผมมั่นใจมากว่าผมเก็บอาการได้ดีกว่าพี่ทิตย์ครับ ใจเย็นๆไว้น้ำอุ่น สูดหายใจลึกๆโว้ย อย่าเพิ่งหวั่นไหวตอนนี้! มันไม่ใช่เวลาเลยน้ำอุ่น! เอาล่ะสิครับ สมองผมเริ่มตีรวนกันอย่างรุนแรงแล้วผมก็เงียบได้อย่างเดียวเพื่อจัดการอารมณ์ตัวเอง
แต่ผมจะไม่ไหวแล้วสิครับ…
“เมื่อไหร่จะใจอ่อนให้พี่สักที” พี่ทิตย์มองผมด้วยสายตาที่เหมือนเว้าวอน
และบู้ม…
การ์ดป้องกันผมโดนทำลายอย่างไม่มีชิ้นดี
ผมได้แต่อึกอักออกมาอย่างเห็นได้ชัดและรู้ตัวเองด้วยครับว่าตอนนี้ผมโคตรหวั่นไหวเลย ผมหลบสายตาพี่ทิตย์ไปมาแต่ก็เหมือนว่ามันยิ่งดึงดูดให้ผมมอง คราวนี้ผมแพ้ครับ แพ้เต็มรูปแบบเลยด้วยครับ ขณะที่ผมกำลังวุ่นวายจัดการกับตัวเอง เสียงเป่านกหวีดเสียงดังลั่น ซึ่งมันก็เรียกสติผมได้ดีมากเลยครับ
“ไปไหนก็ไปไป๊ ผมจะเรียนแล้ว” ผมบ่นไล่พี่ทิตย์พร้อมลุกขึ้นวิ่งเข้าไปในเรือนลาวที่เป็นที่เข้าแถวของพวกผม คนมาครบแทบจะทั้งห้องจากที่กระจัดกระจายยังอยู่เพราะอาจารย์เป่านกหวีดเรียกนั่นล่ะครับ ผมมายืนเข้าแถวก็เห็นว่าพี่ทิตย์นั่งหลังอยู่อย่างนั้นพักนึงก่อนจะยันตัวขึ้นยืน
เข้าแถวเรียงแบบเรียงตามเลขที่ครับ ผมเลขที่อยู่คนสุดท้ายของแถวพอดี พี่ทิตย์แม่งเดินอ้อมมาฝั่งที่ผมเข้าแถวอยู่ผมเข้าแถวริมครับ ทุกคนเห็นพี่ทิตย์เดินมาก็มองตามใหญ่เลยครับ พี่ทิตย์เดินเอื่อยไม่สนใจสายตาชาวบ้านแล้วมาหยุดอยู่ข้างผมก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้พร้อมกระซิบข้างหูผม
“เลิกเรียนแล้วโทรหาเหมือนเมื่อเที่ยงหน่อยสิครับ”
“ไม่!” ผมพูดแล้วขยับตัวออกห่างพี่ทิตย์ก็ยิ้มออกมาแล้วเดินไปเลยครับ
“อะไรวะ เอ้านั่งลงได้ค่ะ” อาจารย์พูดบ่นพึมพำเรียกเสียงหัวเราะแห้งๆจากคนในห้องได้เป็นอย่างดีเลยครับ
ผมรู้ว่าบางคนมองผมแล้วก็เงียบไปสักพักก่อนจะมีเสียงซุบซิบขึ้นมาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง ผมหันไปมองกระต่ายที่นั่งกอดเข่าทำหน้าเฉยชามองมาที่ผม ผมไม่กล้ามองตอบเลยหลบสายตามองไปทางอื่นแทนครับ ผมเงียบฟังกติกาการเล่นบอลที่รู้ๆกันอยู่แล้วแบบหูซ้ายทะลุหูขวา
………………………………………………………………………………………………………………………….
“รอนานไหม ซื้อตั๋วยัง? ทำไมหน้าง่วงแบบนี้อ่ะ” ผมบ่นขึ้นทันทีเพราะพี่ทิตย์นั่งก้มหน้าเอามือกดๆแถวระหว่างคิ้วอยู่ครับ หน้าหล่อๆดูหน้าสงสารขึ้นมา ก็ดูสิครับ พี่ทิตย์หน้าก้มตาก้มตาอยู่คนเดียวในโซฟาหน้าโรงหนัง ชาวบ้านเขามากันเปนคู่
ไม่อยากจะบอกว่าผมตกลงมาดูหนังกับพี่ทิตย์เพราะพี่ทิตย์บอกว่าจะเลี้ยงครับ ใจง่ายไหมล่ะเนี่ย
“รอนาน…” พี่ทิตย์พูดตอบแต่เหมือนจะตอบคนละคำถามกับที่ผมต้องการครับ ผมเบ้ปากแล้วยื่นมือดึงให้พี่ทิตย์ลุกขึ้นครับเพราะเลยเวลาฉายมาตั้งเกือบครั่งชั่วโมงแล้วครับ ผมมาช้าเพราะที่เรียนผมมันไกลจากที่นี่อยู่นิดหน่อยแล้วอาจารย์ก็ขอเกินเวลาอีกต่างหากครับ นี่ผมก็ว่าผมรีบสุดๆแล้วนะเออ
“ออกไปแล้วกินไอติมกัน” ผมเอ่ยชวน พี่ทิตย์ก็ล็อคคอผมเข้าไปกอดแล้วพาเดินลงหาที่นั่งครับ ผมพยายามดันออกแต่ก็กลัวว่าเสียงโวยวายของพวกผมจะไปรบกวนคนอื่นๆที่นั่งอยู่เลยปล่อยเลยตามเลยไปครับ
คนน้อยตามที่คิดไว้เลยครับ หนังเรื่องนี้ใกล้ออกโรงเต็มที่แล้วแต่ผมยังไม่ได้ดูเพราะไม่ว่างและขี้เกียจครับ พี่ทิตย์บอกว่าอยากดูหลายครั้งแล้วแต่ไม่อยากดูคนเดียว แหม ดูหน้าก็รู้แล้วว่าโกหกครับ เผลอๆพี่ทิตย์อาจจะดูแล้วหรือไม่ได้สนใจจะมาแต่แรก ผมก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้หรอกครับ มันดูเอาใจผมมากเกินไปสุดท้ายผมก็จะเคยตัว เสียนิสัยอีกแน่ๆ
“เพิ่งเรียนมา… ง่วง” หัวหนักๆทิ้งลงมาบนไหล่ผม ผมใช้มือผลักหัวพี่ทิตย์ออกอย่างไม่เกรงใจครับ เนียนตลอด อะไรจะเนียนขนาดนี้ครับ
“ผมก็เพิ่งเรียนมา ไม่เห็นง่วงเลย” ผมบ่นกระปอดกระปอดโดยที่ไม่ได้หันไปมองพี่ทิตย์ด้วยซ้ำครับ ขี้เกียจจะสนใจแล้วครับ ดูหนังดีกว่าเยอะ พี่ทิตย์ยุกยิกอะไรอยู่ไม่รู้สักพักก็เงียบไปครับ
ผมดูหนังบ้างเหลือบมองพี่ทิตย์ที่เอาแต่จ้องผมบ้าง ก็นั่นล่ะครับ ไม่มีสมาธิในการดูหนังเลยสักนิดเดียว คนในโรงน้อยมากครับ ผมว่าไม่น่าจะถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำแถมเขาก็นั่งแต่หลังๆกัน ผมห่างจากแถวใกล้ที่สุดห้าหกแถวได้เลยมั้งครับ รอบๆผมเลยไม่มีใครนอกจากผมและพี่ทิตย์ พี่ทิตย์แม่งก็จ้องดีเหลือเกิ๊นนน
“อยากมีแฟนเป็นเด็กจัดฟัน” ผมถอนหายใจแผ่วเบาใส่พี่ทิตย์ก่อนจะหันไปตวัดตามองค้อนคนที่กวนผมแทบจะทั้งเรื่องครับ แต่ก็แปลกดี ผมไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอย่างที่มันควรจะเป็น ผมรู้สึกขำพี่ทิตย์ที่เรียกร้องความสนใจผมจากจอใหญ่ๆของโรงหนังทั้งที่ตัวเองก็เป็นคนชวนผมมาเอง
“คนจัดฟันมีตั้งเยอะแยะ” พอผมพูดจบพี่ทิตย์ก็เลิกคิ้วใส่ผมครับ ผมก็เงียบกลับไปสนใจหนังตรงหน้าที่ใกล้จบแล้วล่ะครับ เสียงขยับเบาะทำให้ผมรู้ว่าพี่ทิตย์ก็ยังยุกยิกอยู่อย่างนั้น ผมก้มหน้าอมยิ้มเล็กน้อยกับตัวเองก่อนจะปรับสีหน้าให้เรียบเฉยมองพี่ทิตย์ครับ
“จะเอาเด็กจัดฟันชื่อน้ำอุ่น คนอื่นไม่เอา” เกลียดความหน้าหนาของพี่ทิตย์มากเลยครับ เวลาพูดพี่ทิตย์ไม่รู้สึกแปลกๆบ้างหรือไงวะเนี่ย
“ชู่วววว” ผมเอานิ้วชี้แตะปากตัวเองแล้วส่งเสียงบอกให้พี่ทิตย์เงียบครับ พี่ทิตย์แม่งดันยิ้มให้ผมซะงั้น เป็นรอยยิ้มที่ผมรู้สึกจั๊กจี้ในอกยังไงก็ไม่รู้สิครับ ผมชอบยิ้มแบบนี้ไหม ก็ไม่นะครับ แต่ถามว่าเกลียดเหรอ ก็ไม่ได้เกลียดอะไร รู้สึกว่าสสายตาพี่ทิตย์ที่ยิ้มแบบนี้มันมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผมเท่านั้นเองครับ
“กินอะไรนะ” ผมชี้ไปที่ร้านไอศกรีมแบบที่ถือกินอ่ะครับ เพราะผมไม่คิดว่าพี่ทิตย์มันอยากมานั่งกินไอศกรีมในร้านตอนนี้หรอก
“ไม่ต้อง!” ผมโวยวายงอแงขึ้นมาทันทีเพราะพี่ทิตย์ยื่นเงินให้พี่คนขายแทนผมครับ ผมรับถ้วยไอศกรีมมาก่อนจะยื่นเงินตัวเองให้พี่คนขายแทนครับ พี่เขายิ้มแปลกๆให้ก่อนที่จะทอนเงิน แม่งรู้สึกพลาดยังไงก็ไม่รู้ครับ
“ไปไหนต่อดีล่ะเนี่ย” พี่ทิตย์บ่นขึ้นมาครับ ผมมองนู้นมองนี่ตาปริบๆพร้อมกับตักไอศกรีมกิน มันก็ไม่มีที่ไปจริงๆนั่นล่ะครับ หรือว่าผมจะกลับบ้านเลยดี แต่ก็อุตส่าห์มาแล้วอยู่นานกว่านี้หน่อยจะเป็นไรไป
“ป้อนหน่อย” ผมเบ้ปากแล้วทำท่าเหมือนตักให้แต่ก็ตักเข้าปากตัวเองครับ พี่ทิตย์หัวเราะออกมานิดหน่อยแล้วผลักหัวผมครับ ผมเซไปเล็กน้อยแต่อยู่ๆก็เหมือนเสียหลักเซไปชนป้าคนนึงงที่กำลังยืนหันหลังอยู่ครับ
“โอย.. ขอโทษครับ” ผมรีบพูดขอโทษแต่ไม่ได้ยกมือไหว้เพราะกลัวว่ามือไม้จะพาให้ไอศกรีมไปโดนเขาอีก ทีนี้ล่ะจะซวยของแท้เลยครับ
“อะไรเนี่ยหนู” น้ำเสียงเรียบนิ่งกว่าที่คิดไว้ครับ ผมคิดว่าจะโดนตวาดใส่แล้วเสียอีก แต่แบบนี้ก็ดีแล้วครับ ผมจะก้มหัวขอโทษอีกครั้งแต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงจากคนข้างตัวผม
“เฮ้ย แม่” แม่? หือ…? คนตรงหน้าผมเนี่ยคือแม่พี่ทิตย์เหรอ ผมได้แต่มองพี่ทิตย์สลับกับคนตรงหน้าผมที่พี่ทิตย์เรียกเธอว่าแม่ครับ จะว่าไปก็มีส่วนคล้ายกันอยู่หรอกครับ แต่มันไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอครับที่จะมาเจอเอาที่แบบนี้
“อาทิตย์! มาทำไมไม่บอก แม่จะได้ให้มาทำธุระให้”
“แล้วทำไมผมต้องอยู่ให้แม่ใช้ด้วยล่ะ อ้อ นี่น้ำอุ่น” ผมที่กำลังจะทำตัวเนียนไปกับสภาพอากาศในนี้กลับโดนลากเข้าไปในบทสนทนาเฉยเลยครับ พี่ทิตย์ก้าวไปอยู่ด้านหลังผมแล้วใช้สองมือจับไหล่ทั้งสองข้างของผมดันให้เขยิบเข้าใกล้แม่พี่ทิตย์ ผมตกใจครับแต่ก็ไม่ได้ขยับไปไหนเพราะประโยคที่ตามมาแม่งพาช็อคมากกว่า
“คนที่ผมเล่าให้ฟัง” ไปเล่าบ้าอะไรให้แม่ฟังวะเนี่ยยยยยย ผมไม่รู้จะทำตัวยังไงเลยได้แต่ส่งยิ้มโง่ๆออกไปครับ แม่พี่ทิตย์ยิ้มขำออกมาทำเอาผมประหม่ายิ่งกว่าเดิม แม่ลูกคู่นี้เหมือนกันเกินไปจริงๆครับ
“เดี๋ยวค่อยคุยที่อื่นแล้วกัน สู้นะจ๊ะอาทิตย์” ผมยืนงงสักพักแม่พี่ทิตย์ก็เดินหายไปเลยครับ พี่ทิตย์ก็จับไหล่ผมอยู่อย่างนั้นผมเลยปัดออกครับ
“เล่าอะไรไว้บ้างเหอะพี่ทิตย์”
“เล่าว่าลูกชายตัวเองชอบรุ่นน้องที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ดีนะไม่โดนไล่ออกจากบ้าน” ผมเงียบ… ไม่น่าถามเลยครับ ผมก็เล่าให้แม่ฟังเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้ชอบพี่ทิตย์ก่อนนี่ครับมันคนละอารมณ์กันเลยนะ
(ต่อรีพลายล่างค่ะ)