น้องครับ... ยืมตังหน่อย ☻✿ ตอนพิเศษ
เสียงกลองดังมาแต่ไกลจากหน้าคณะวิทยาศาสตร์ ผมถอนหายใจออกมาแผ่วเบาแล้วเอาหัวดันพี่ทิตย์ที่ขี่มอไซค์ให้ผมซ้อนอยู่ตอนนี้ ผมตัดสินใจเข้าเรียนมหาลัยเดียวกับพี่ทิตย์แต่คนละคณะ ถึงมันจะอยู่แค่ตรงข้ามกันก็ตาม พี่ทิตย์หันมามองผมยิ้มๆแล้วหันกลับไป
“ตอนเข้าไปสัมภาษณ์อย่าไปทำหน้าบึ้งใส่อาจารย์นะอุ่น เสร็จแล้วโทรมานะ เดี๋ยวพี่มารับ” ผมลงมายืนไหล่ห่ออยู่ข้างๆแล้วพยักหน้ารับคำพี่ทิตย์ ใช่ครับผมแค่มาสัมภาษณ์เฉยๆ ผมรู้ว่าคนที่ติดสัมภาษณ์แล้วส่วนมากก็ได้เรียนทุกคน แต่ผมก็อดประหม่าไม่ได้
“ปวดหัวอ่ะพี่ทิตย์” ผมบ่นพึมพำพร้อมขมวดคิ้วแน่น พี่ทิตย์ยกมือขึ้นแตะหน้าผากผมแล้วมองด้วยสีหน้าเป็นห่วง จริงๆก็แค่ตื่นเต้นนั่นล่ะครับ
“งั้นให้พี่เข้าไปรอในคณะด้วยไหม” ผมส่ายหน้าพรืด ทางคณะพี่ทิตย์ก็มีไปเฝ้าน้องที่มาสัมภาษณ์เหมือนกันครับ ถ้าพี่ทิตย์มาหาผมก็เท่ากับว่าอู้งานชัดๆ ผมหอบเอกสารต่างๆที่ต้องใช้ไว้ในมือก็จะโบกมือให้พี่ทิตย์แล้วเดินเข้าไปทางที่มีรุ่นพี่ยืนอยู่
“น้องมาๆ ใครก็ได้มาพาน้องเข้าไปหน่อย” ผมสะดุ้งเพราะอยู่ดีๆพี่ผู้หญิงคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาครับ ผมยืนหน้าโง่ๆอยู่สักพักก็มีพี่ผู้ชายคนนึงเดินมาตรงหน้าผมแล้วพยักหน้าให้ผมเดินตามเข้าไปครับ
“เด็กน่ารักล่ะไวเชียวมาร์ค” ผมไม่ค่อยเข้าใจที่พี่ผู้หญิงพูดแต่ก็เริ่มรู้สึกแปลกๆขึ้นมานิดหน่อย พี่ผู้ชายที่น่าจะชื่อมาร์คไม่ได้ตอบอะไรแต่แค่เดินนำผมไป
“น้องกลุ่มไหนครับ”
“อ้อ กลุ่มหนึ่งครับ” คณะวิทย์มีแยกสองแบบครับ แบบแยกสาขาแล้วกับยังไม่แยก ผมยังไม่ได้แยกเพราะยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกอะไรเลยเอากลุ่มที่กว้างกว่าไว้ก่อน
“แล้วพี่สาขาอะไรเหรอ … ครับ” ผมนึกอะไรไม่รู้ถามกลับไป พอผมถามไปพักนึงก็รู้สึกว่าผมลอยหน้าลอยตาไปหรือเปล่าไม่รู้ เลยเติมครับเข้าไปทีหลัง ถ้าโชคดีพี่เขาอาจจะอยู่สาขาที่ผมอยากเรียนก็ได้ จะได้เอาไว้พิจารณาว่าเรียนกันเหนื่อยมากหรือเปล่า
“ไม่บอก” ผมขมวดคิ้วแน่นด้วยความหงุดหงิดที่เหมือนจะโดนกวนประสาท ตอนแรกก็อยากเรียน แต่ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือเปล่า ผมสะบัดหัวไปมาเบาๆไล่ความหงุดหงิดพร้อมกับเรียกสติไปด้วย ตอนนี้ผมกำลังต่อแถวยื่นเอกสารครับ ผมแปลกใจที่พี่มาร์คยื่นรออยู่ข้างๆผมทั้งที่ควรจะไปยืนที่อื่น
“น้องนี่ขี้หงุดหงิดจัง”
ผมทำเมินไม่สนใจ พี่เขาหัวเราะแล้วเดินหายไปไหนไม่รู้ ช่างเขา ผมไม่ใช่คนหลงตัวเอง แต่ผมคิดว่าผมไม่ได้คิดไปเองแล้วครับ มุกจีบเนียนๆแบบนี้มีคนใช้กับผมแค่คนเดียวก็พอแล้วครับ แหนะ คิดไปเรื่อยเลยครับ ตอนนี้ผมต้องคิดก่อนว่าผมจะไปตอบอะไรตอนสัมภาษณ์มากกว่า
………………………………………………………………………………………………………………………..
“เสร็จแล้ว”
‘เป็นไง โอเคไหม ไม่ใช่ว่าไปทำหน้ามุ่ยใส่อาจารย์นะ’ ผมลอบยิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะปลายสายหัวเราะใส่ผมน่ะสิครับ ถ้าให้พูดจริงๆบางทีผมก็เงียบใส่อาจารย์ที่ถามเพราะไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดยังไง แต่อาจารย์ก็ดูเข้าใจผมนะครับ เลยลดความกดดันไปได้เยอะเลย
“ติดแล้วเลี้ยงขนมเลย สัญญาอะไรไว้” ผมพูดใส่โทรศัพท์พร้อมเดินออกมาแถวที่จอดรถข้างคณะไปด้วยครับ เห็นพี่ทิตย์นั่งบนมอไซค์มองมาทางผมที่กำลังเดินไปใกล้ๆ ไม่วางสายครับ พี่ทิตย์เป็นคนโทรมาหาผมก่อนที่ผมจะโทรไปอีกครับ ถ้าเป็นเงินผม ผมวางตั้งแต่เห็นพี่ทิตย์ลางๆแล้ว
“อยากกินขนมห้าบาทไหมล่ะ” ผมยิ้มออกมาแว๊บนึงแล้วก็ดึงหน้ากลับไปเป็นเหมือนเดิม ผมยืนอยู่ตรงหน้าพี่ทิตย์ที่นั่งบนมอไซค์ พี่ทิตย์เลิกคิ้วกวนตีนผม ผมไม่ได้พูดอะไรแค่จ้องกลับไปครับ
“ไม่เอา ผมโตแล้วห้าบาทไม่อิ่ม” พี่ทิตย์ยกมือขึ้นขยี้หัวผม ผมเลยปัดออกครับ ผมยังไม่ได้วางสายในโทรศัพท์แต่กำลังจะลดมือลงไปกดวางสายพี่ทิตย์ก็จับศอกผมไว้ให้งออยู่อย่างนั้นก่อนที่จะพูดใส่โทรศัพท์ว่า…
“โตแล้วก็ทำได้แล้วสิ”
ผมนิ่งไปพักนึงเพราะสมองเอ๋อๆของผมกำลังทำงาน ทำได้? ตอนแรกก็ไม่คิดแต่พอมองสายตาเจ้าชู้ๆของพี่ทิตย์แล้วมันก็อดคิดไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ ผมไม่รู้ว่าผมแสดงสีหน้าตลกๆอะไรออกไปหรือเปล่าแต่ตอนนี้หน้าผมโคตรตึงแล้วครับ ผมก้มหน้างุดๆกดวางสายแล้วโวยวายออกไป
“ทะลึ่ง!” ผมรับโวยวายแก้เขินแล้วดันพี่ทิตย์ให้ขึ้นคร่อมมอไซค์ดีๆ พี่ทิตย์หัวเราะออกมาจนผมหมั่นไส้ฟาดไปแต่พี่ทิตย์ก็กันไว้ได้เหมือนทุกทีครับ
“พี่ยังไม่ได้บอกเลยว่าทำอะไร อาจจะหมายถึงเข้าผับก็ได้ อุ่นนั่นแหละทะลึ่ง” ผมทำเมินขึ้นไปซ้อนมอไซค์แล้วหันมองไปทางอื่น พี่ทิตย์ไม่ได้พูดอะไรต่อก็ขี่ออกไปเลยครับ ผมรู้สึกว่าผมเขินขึ้นมายังไงไม่รู้ครับ แต่หน้านิ่งๆแบบผมถ้าคนอื่นคงดูไม่ออกว่าผมกำลังเขิน
แต่พี่ทิตย์ดูออก แล้วมันก็ยิ้มไปขี่ไปเหมือนคนบ้า
เกลียดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด แต่ก็รักอยู่ดีครับ . . .
จากนั้นผมกับพี่ทิตย์ก็ไปหาอะไรกินกันครับ พี่ทิตย์ดูมีความสุขมาก มากจนผมหมั่นไส้ เวลาสบตาผมเสือกเขินไงครับ พี่ทิตย์ก็รู้ทันผมตลอด พี่ทิตย์เคยบอกผมนะครับว่าตอนแรกดูผมไม่ออกว่าผมคิดอะไรอยู่ ผมเองบางทียังไม่รู้เลยว่าตัวเองคิดอะไรครับ แต่คบกันไปกันมาพี่ทิตย์เริ่มรู้ว่าผมทำหน้าแบบนี้คือรู้สึกยังไง พี่ทิตย์บอกว่าจ้องหน้าผมแล้วสนุกดี
“ผมอาบน้ำก่อนนะ” ผมหันไปพูดกับพี่ทิตย์ตอนที่เราก้าวเข้ามาในห้องครับ
“ไม่ต้องรีบก็ได้อุ่น พี่รู้แล้วว่าโตแล้ว ใจเย็นๆ” ผมคว้าอะไรไม่รู้แล้วปาไปหาพี่ทิตย์ที่ยืนทำหน้าล้อเลียนผมครับ แต่ก็ต้องตกใจเพราะกระป๋องแป้งแคร์ของผมที่ลืมปิดไว้ปาไปโดนแขนพี่ทิตย์พอดีโดยที่พี่ทิตย์ก็ปัดออกไม่ทัน
เสื้อช็อปสีกรมท่ากลายเป็นสีขาวในบันดล พี่ทิตย์ใช้มือปัดๆออกสักพักก่อนจะเอาออกมาสะบัดๆโดยที่ไม่พูดอะไร ผมเห็นท่าไม่ดีกลัวว่าพี่ทิตย์จะโกรธ เลยเดินเข้าไปหยิบแป้งขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะแล้วเดินไปยืนข้างหน้าพี่ทิตย์ที่ปัดเสื้อไปมา พอผมไปยืนข้างหน้าก็หันหนีครับ
“พี่ทิตย์ โกรธเหรอ?”
“ผมขอโทษ ก็พี่ทิตย์ล้อผมอ่ะ”
“พี่ทิตย์!” ผมไม่คิดว่าพี่ทิตย์จะโกรธแต่เงียบไปแบบนี้ก็ไม่แน่ หรือว่าผมเล่นมากไป ผมลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบาแล้วยกมือขึ้นจับหน้าพี่ทิตย์ไว้
พี่ทิตย์เงยหน้าจากเสื้อเพราะผมจับไว้ พอเห็นสีหน้าพี่ทิตย์ก็รู้เลยครับว่าผมกำลังโดนแกล้ง ลืมคิดไปครับว่าเสื้อพี่ทิตย์มันซักเสียที่ไหน กี่วันซักก็ไม่รู้เรื่องแค่นี้สำหรับพี่ทิตย์ผมว่าคงเฉยมาก ผมกะพริบตาปริบๆมองพี่ทิตย์แล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะตบแปะๆบนหน้าพี่ทิตย์เป็นการคาดโทษ
“จุ๊บหน่อย” ผมส่ายหน้าพรืดแล้วแสร้งทำหน้าไม่พอใจ พี่ทิตย์เลิกคิ้วมองผมแล้วยิ้มออกมาพร้อมส่ายหน้าเบาๆก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวผม ผมกับพี่ทิตย์ห่างกันแค่พี่เดียวทำไมโดนลูบหัวเหมือนเด็กๆตลอดก็ไม่รู้ แต่ผมไม่ถืออะไรหรอกครับ รู้สึกดีด้วยซ้ำ
พี่ทิตย์ทำท่าจะผละออกไป ผมนึกครึ้มขึ้นมาเลยจับหน้าพี่ทิตย์ดึงลงมาจนอยู่ตรงหน้าผมพอ รวมไปถึงริมฝีปากที่อยู่เกือบชิดกัน ผมยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วประกบปากลงไปแผ่วเบาก่อนผละออกมา แว๊บเดียวที่ริมฝีปากเราสัมผัสกัน พี่ทิตย์ตกใจจนเบิกตากว้าง ไม่คิดล่ะสิว่าผมจะทำอะไรแบบนี้
“ตกใจหมดเลย” พี่ทิตย์บ่นพึมพำกับตัวเอง ผมทำเมินไม่สนใจแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้พี่ทิตย์ยืนเอ๋อเหมือนเด็กประถมเพิ่งโดนจุ๊บครั้งแรก
“ขออีกครั้งไม่ได้เหรออุ่น” ผมเอามือปิดปากตัวเองไว้ทันทีครับ ของดีมีครั้งเดียวครับ พี่ทิตย์ถอนหายใจเหมือนดายมาก เสียดายเกินจนน่าหมั่นไส้ นี่ขนาดตอนนี้ดึกดื่นจนผมมานอนกลิ้งบนเตียงกับพี่ทิตย์เพื่อเตรียมตัวนอนพี่ทิตย์ยังไม่เลิกบ่นอ้อนผมอยู่เลยครับ
“พี่ทิตย์ ที่มหาลัยนี่มีคนมาจีบพี่บ้างไหม” ผมนอนตะแคงมองหน้าพี่ทิตย์เพื่อเค้นเอาคำตอบ
“ถามทำไม” เอ๊ะ ตอนแรกว่าจะถามเล่นๆนะครับ แต่พี่ทิตย์ย้อนถามผมแบบนี้มันชักรู้สึกไม่ค่อยดีไงไม่รู้สิครับ ผมขมวดคิ้วหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจทันที
“ก็มี แต่พี่ไม่ได้อะไรไงอุ่น หึงเหรอ” ผมส่ายหน้ากับที่นอนทันทีครับ พี่ทิตย์หันมานอนตะแคงมองหน้าผม
“แล้วน่ารักป่ะ” พี่ทิตย์ทำหน้านึกไปสักพัก ผมเห็นว่าคิดนานเกินไปเลยเอาหมอนตีพี่ทิตย์เบาๆ พี่ทิตย์ก็หัวเราะออกมาครับ
“น่ารักนะ แต่อุ่นน่ารักกว่า”
“ไม่ต้องมายอผมเลย”
“แล้วถามพี่ทำไม บอกพี่ก่อน” คราวนี้ผมเป็นคนโดนสายตาดุๆของพี่ทิตย์เค้นเอาคำตอบ ถ้าพูดกันตรงๆคือผมนึกถึงพี่คนนั้นขึ้นมาครับเลยสงสัยว่าพี่ทิตย์จะโดนใครจีบบ้างหรือเปล่า แล้วจะรู้สึกยังไง ผมรู้สึกรำคาญพี่เขาจริงๆ แต่ถ้าพี่ทิตย์โดนคนน่ารักๆมาจีบ จะหวั่นไหวไหมนะ
“เปล่า ผมก็แค่คิดอะไรแปลกๆขึ้นมาเฉยๆ” พี่ทิตย์มองหน้าผมนิ่งพักนึงผมหลบตาเพราะรู้สึกผิดนิดหน่อย พี่ทิตย์ไม่ได้พูดอะไรแต่ดึงผมเข้าไปกอดไว้
“คืนนี้นอนกอดพี่หน่อยนะ” พี่ทิตย์กระซิบอยู่ข้างหูผมด้วยน้ำเสียงติดตลก
“ทำไมอ่ะ?” ผมเงยหน้าขึ้นจากอกเพื่อมองหน้าพี่ทิตย์ทันที
“กลัวผี” ผมขมวดคิ้ว กลัวผี? ผมไม่ใช่เหรอที่กลัว? สักพักหนึ่งที่ผมกำลังสงสัยอยู่เสียงในโทรทัศน์ก็มีโฆษณาก่อนถ่ายทอดสดของบอลคู่นึงในคืนนี้ทำให้ผมร้อง ‘อ้อ’ ออกมาพร้อมเบะปาก พี่ทิตย์มันกลัวผีจริงๆด้วย
อืม…
แล้วไอ้ผีที่ว่าก็ผีแมนยูด้วยสิ
ผมเห็นพี่ทิตย์กับพี่บอมบ์พี่รหัสเก่าผมเถียงกันในเฟสอยู่ครับ อะไรคาบ้านไม่รู้ รู้แค่ตลกดี ถ้าทีมไหนแพ้ล้อกันยาวนานแน่นอนครับ ผมไม่ค่อยชอบดูเท่าไหร่เพราะดูไม่เป็นแต่ถ้าเป็นบอลไทยผมก็นั่งดูแบบจริงจังกับพี่ทิตย์อยู่นะครับ
“กลัวแพ้แล้วจะดูทำไม” ผมเอ่ยปากถามไป พี่ทิตย์นิ่งไปพักนึงเลยครับ
“ขนาดพี่จีบอุ่นกลัวแพ้จะตายยังฝืนจีบต่อเลย ยังไงก็ต้องลองดูไม่ใช่เหรอ” ผมแสร้งกลอกตาไปมาเหมือนไม่สนใจ แต่ในใจแอบวูบไหวครับ หยอดมันทุกวัน หยอดอย่างกับขนมครก หาเรื่องมาทำให้ผมเขินได้ทุกวี่ทุกวัน แต่น้ำอุ่นดึงหน้าเก่งครับไม่ต้องห่วง
“ช่างเปรียบเนอะ” พี่ทิตย์หัวเราะออกมาแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ผมเลยเงียบไปเหมือนกัน เลยเหลือแต่เสียงโทรทัศน์ที่กำลังมีรายการข่าว ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนไปเลื่อนมา ก่อนจะปิดไปเพราะพี่ทิตย์หันมามองผมอย่างสงสัย
ผมนอนดูอยู่กับพี่ทิตย์สักพักก็รู้สึกปวดตาแล้วก็ง่วงด้วยเลยหลับตาลงเพื่อพักสายตาครับ แต่ไม่รู้ว่าพี่ทิตย์คิดว่าผมหลับไปแล้วหรือเปล่า ข้างเตียงอีกด้านของผมยุบลงเล็กน้อยซึ่งผมเดาว่าพี่ทิตย์เอามือยันตัวไว้ ผมหลับตาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพี่ทิตย์เสยผมของผมขึ้นแล้วก้มลงมาจูบที่หน้าผากผม
“ฝันดีนะอุ่น”
ผมรอจนพี่ทิตย์ลงมานอนข้างผมแล้วก็อมยิ้มออกมาทันที พี่ทิตย์ทำแบบนี้ทุกครั้งที่ผมหลับก่อนครับ ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำด้วย เหมือนโดนพ่อบอกฝันดีเลยครับ ตอนเด็กๆพ่อผมก็จุ๊บหัวผมแบบนี้ ฮ่าๆ
………………………………………………………………………………………………………………………..
ผมตื่นนอนมาด้วยความงัวเงียแบบสุดๆ มองหาพี่ทิตย์บนเตียงไม่เจอก็หลับตาลงอีกครั้งเพื่อฟื้นพลังให้ตัวเองตื่นไหว แล้วก็พยายามลืมตาขึ้นมา ผมกะพริบตาปริบๆแล้วลึกขึ้นนั่งมองนาฬิกา เก้าโมง… วันนี้วันอาทิตย์ พี่ทิตย์ไปไหนวะ ผมลุกขึ้นขยี้ตาแล้วเดินงงๆออกจากห้อง
ง่วงมากครับ ผมเดินหรี่ตาออกมาก็เห็นว่าบนโต๊ะเล็กๆหน้าโซฟามีหนังสือกับชีทกองอยู่แบบเละเทะบ่งบอกได้ว่าพี่ทิตย์อ่าน หรือถ้าไม่อ่านก็คงเอามาพัดเล่น หนังสืออยู่แล้วเจ้าตัวหายไปไหนวะ สงสัยคงลงไปหาอะไรกินครับ ผมเดินขยี้ตางงๆคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเข้าไปในห้องน้ำ คิดถึงเรื่องเมื่อวาน ถ้าผมไม่ผ่านสัมภาษณ์จะทำยังไง ผมถอนหายใจแล้วหยิบแปรงสีฟันขึ้นบีบอ้าปากงับมันเข้าไปแล้วเงยหน้าขึ้นมองกระจก
“เหี้ย!!” ผมหลุดคำหยาบออกมาทันทีหลังจากที่เงยหน้ามองกระจก มันควรมีเงาผมคนเดียวแต่กลายเป็นสองคนครับ พอเรียกสติตัวเองกลับมาได้ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ผีบ้าอะไรจะออกมาหลอกกลางวันแสกๆ ง่วงๆอยู่ตื่นเลยครับให้ตายเถอะ ผมมองค้อนคนที่กำลังคาบแปรงสีฟันอยู่ด้านหลังผม
“เดี๋ยวๆ พี่ยังเป็นคนอยู่” พี่ทิตย์พูดพร้อมเดินมายืนอยู่ข้างผมพร้อมล้างแปรงบ้วนปาก ผมมองพี่ทิตย์ที่ทำไม่รู้สึกรู้สาที่ทำให้ผมตกใจแล้วหันมาสนใจแปรงฟันตัวเอง
“เมื่อคืนเป็นไง” ผมเอ่ยถาม หมายถึงบอลน่ะครับ เห็นลุ้นเหลือเกิน
“2-0” พี่ทิตย์พูดแล้วยิ้มภูมิใจเหมือนไปเตะเอง ถ้าบอกว่าแอบแทงบอลจะเชื่อเลยนะเนี่ย ผมเห็นท่าทีของพี่ทิตย์แล้วหมั่นไส้เลยเอ่ยแซวไปครับ
“แพ้?” พี่ทิตย์แกล้งตีหัวผมแต่เอามือรองไว้แล้วลูบหัวที่ยังไม่ได้สระของผมเบาๆ
“ชนะสิ” ผมยักไหล่ไม่สนใจแล้วจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อนพี่ทิตย์จะออกไปเพราะพี่ทิตย์ขี้เกียจอาบแล้วผมเลยต้องอาบน้ำก่อน พี่ทิตย์บอกจะอาบด้วยกันส่ายหน้าพรืดทันทีครับ ไม่ใช่ไม่เคยอาบด้วยกันแต่ผมเขินยังไงไม่รู้สิครับ มันควรจะชินให้ได้แต่ทำยังไงมันก็ไม่ชิน
“พรุ่งนี้สอบเหรอพี่ทิตย์” ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินมาหย่อนก้นนั่งข้างพี่ทิตย์ที่ก้มหน้าใช้ดินสอขีดๆบนชีท แค่เห็นผมก็เบื่อแล้วครับเลยได้แต่มองสักพักหนึ่งก็ก้มหน้าก้มตาเล่นเกมในโทรศัพท์ แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าของเวฟมันหมด ผมกับพี่ทิตย์ไม่ได้ทำอาหารเก่งอะไรขนาดนั้นเลยกินข้างนอกไม่ก็พึ่งร้านข้าวแถวหอเอาครับ
“เดี๋ยวผมลงไปซื้อข้าวพี่ทิตย์จะกินอะไร?” พี่ทิตย์มองหน้าผมแล้วยกมือขึ้นเกาหัว
“ผัดกะเพราแล้วกัน อุ่นเห็นเครื่องคิดเลขพี่ไหม” ผมส่ายหน้า พร้อมเดินไปหากระเป๋าตังค์ เปิดดูตู้เย็นอีกทีว่าขนมผมเพียงพอต่อวันไหมแล้วก็เดินออกจากห้องมาครับ
ร้อน ร้อนเกินไป ผมว่าควรเปลี่ยนชื่อผมจากน้ำอุ่นเป็นน้ำร้อน ผมปาดเหงื่อตัวเองที่เดินออกมาด้านนอกหอก็โดนแดดเผา ขาสั้นๆของผมรีบเดินให้พ้นๆแดดจนถึงร้านข้าว ผมสั่งข้าวค้างไว้แล้วเดินไปเซเว่นต่อ ขี้เกียจรอในร้านครับ ร้อนก็ร้อน
ผมถอนหายใจออกมาหลังจากปะทะกับแอร์เย็นๆด้านใน ถามว่าเดินมาไกลไหมก็/ไกลอยู่นะครับ แต่เดินเลาะฟึตบาทไปเรื่อยๆเลยไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเท่าไหร่
“ฮื้อ!...” ผมร้องออกมาอย่างตกใจเพราะตอนที่ผมกำลังยืนดูขวดน้ำที่เรียงรายบนตู้อย่างไม่รู้จะกินอะไรดี อยู่ๆก็มีมือมาปิดตาผมครับ ผมแค่ตกใจเฉยๆแต่ผมปิดอยู่สักพักผมก็รู้ว่าใครครับ ไม่ยากอะไรเลยครับ เพื่อนผมคงไม่เล่นอะไรแบบนี้ มีอยู่คนเดียวจริงๆ
“เฮ้ยๆๆๆ อย่าลูบ” ผมจับแขนแตะๆ จับหัว ตา จมูก ปาก ไล่ลงมาเท่าที่ผมผมจะถึงเหมือนคนที่สงสัยว่าใครเป็นคนปิดตา พี่บอมบ์ตกใจจนปล่อยมือออกจากหน้าผมเลยครับ
“ทักดีๆก็ได้ไหม” ผมหันไปด่าแล้วเปิดตู้เย็นคว้าน้ำมาสองสามขวดแล้วปิดไป
“ดุเกิน ไปเที่ยวมาจะเอาของมาฝากเนี่ย”
“แล้วไปไหนมา? บ้านญาติเหรอ” มันเคยเล่าให้ผมฟังว่าบ้านญาติมันอยู่จังหวัดทางภาคเหนือ มันไปทุกครั้งที่ว่าง ไม่ได้ไปหาญาติแต่ไปเที่ยว ผมไม่รู้ว่าพี่เนยไปด้วยหรือเปล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันยังคบกับพี่เนยไหม เลยไม่ค่อยกล้าพูดถึงครับ กลัวล้อไปแล้วหน้าแตก
“ก็นั่นแหละ นี่ของฝาก” พี่บอมบ์ล้วงมือไปในกระเป๋ากางเกงทำให้ผมขมวดคิ้วเป็นปมเลยครับ จะไม่ให้เครียดได้ไง ของฝากที่ไหนมันใส่กระเป๋ากางเกงได้มั่งครับ แล้วผมก็ต้องทำหน้าเบื่อโลกออกมาอีกครั้งหลังจากที่เห็นของฝาก
“ตลกเหรอ” ผมพูดออกไปทันทีหลังจากที่เห็นกิ๊บติดผมอยู่ในมือพี่บอมบ์ และมันกำลังเอามาติดที่หัวผม ผมไม่มีมือผลักออกครับเพราะถือขวดน้ำอยู่หลายขวดเลยได้แต่สะบัดหัวไปมา พี่บอมบ์หัวเราะเบาๆแล้วยัดมันเก็บไว้ในกระเป๋าตามเดิม
“ฉลองเลิกหัวเกรียนไง ล้อเล่น อยู่หน้ารถ” คงเห็นผมเริ่มหน้าบูดบึ้งมั้งครับเลยเลิกเล่น ผมไม่สนใจหันไปคว้าขนมมาถือไว้จนเต็มมือ
“แล้วนี่เรียนที่ไหน” พี่บอมบ์ถามพร้อมแย่งของในมือผมไปถือให้ครับ ผมก็ไม่ดื้อยอมให้ถือแต่โดยดีแล้วหยิบขนมมาดูครับว่าจะซื้อดีหรือเปล่า บนห้องก็มีเยอะมากแล้ว เดี๋ยวจะโดนพี่ทิตย์ดุเอาครับ ผมคิดอะไรเพลินจนนึกขึ้นได้ว่าลืมตอบพี่ท่านครับ
“ที่เดียวกับพี่ทิตย์แหละ” มันพยักหน้าพร้อมหยิบลูกอมมาถือไว้ก่อนจะดันหลังผมให้เดินไปคิดเงิน ผมไม่ชอบเดินนำใครเลยเดินไปพร้อมกันแทนครับ พี่บอมบ์ไม่ได้พูดอะไรแต่มองหน้าผมแล้วมองคอ ผมก็มองตาม
“อ้อ เพิ่งรู้ว่ายังไม่รับน้องก็มีเกียร์ได้เนอะ” ผมจับเกียร์ที่ห้อยอยู่บนคอผมทันทีครับ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ของผม พี่ทิตย์ให้ผมใส่ไว้สักพักแล้วครับ ตอนเรียนบางทีก็มีคนมอง แต่ไม่มีใครถามครับ เพราะส่วนมากเขาก็รู้กันอยู่แล้วว่าผมกับพี่ทิตย์คบกัน แต่ตอนที่ผมไปสัมภาษณ์ไม่ได้ใส่ไปนะครับ มันรู้สึกแปลกๆ แล้วก็แอบรู้สึกว่าตัวเองน่าหมั่นไส้นะเนี่ย
“ยุ่ง” ผมบ่นปัดไปแล้วจ่ายเงินให้เรียบร้อยออกมา เตรียมเดินกลับไปเอาข้าวครับ
ผมถือของพะรุงพะรังเข้าไปในห้อง พี่ทิตย์ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่เหมือนเดิม แต่ดูแล้วผมสัมผัสได้ว่าเครียดกว่าเดิมครับ ผมเดินไปวางของเงียบๆเพราะไม่อยากกวน หยิบน้ำและขนมเก็บในที่ที่ควรอยู่ แปลกครับ พี่ทิตย์เงียบผิดปกติมาก สงสัยว่าจะเครียดจริงๆ
ผมเปิดตู้เย็นก็เห็นจานใส่เค้กที่วางกินพื้นที่ใส่ขนมผม ผมเลยหยิบมันออกมากินให้หมดอย่างรวดเร็ว แม่พี่ทิตย์เป็นคนทำมาให้ครับ น่ารักไหมล่ะ ผมเอาจานไปวางไว้จนเรียบร้อยก่อนจะกลับมาเอาของใส่ตู้เย็น เดินวนไปวนมาโดยที่พี่ทิตย์ก็หันมามองเป็นระยะๆแต่ไม่ได้พูดอะไร
“พี่ทิตย์ กินข้าวเลยเปล่า ผมจะได้แกะเลย” ยังคงเงียบเปิดชีทต่อไปครับ ผมเอียงคออย่างสงสัยแล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างๆพี่ทิตย์ พี่ทิตย์ดึงให้ผมนั่งลง ผมไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ยอมนั่งนะครับ พี่ทิตย์เอาโทรศัพท์ผมขึ้นมากด อ้อ พี่ทิตย์เอาไปใช้เครื่องคิดเลขมั้งครับ ผมงงแต่ก็รอดูว่าพี่ทิตย์จะทำอะไร
“ไอ้ตี๋นี่ใคร” หือ? ผมขมวดคิ้วงงๆแล้วรับโทรศัพท์ที่พี่ทิตย์ยื่นให้มาไว้ในมือ พี่ทิตย์เข้าหน้าแชทไลน์ของผมที่ตอบไปนิดหน่อย ผมไม่ได้สนใจว่าผมคุยอะไรไปเพราะคงเป็นคนรู้จักผมสักคน พอเปิดรูปดูก็งงไปนิดหน่อยเพราะผมมีปัญหาเรื่องการจำหน้าคนด้วยครับ ผมเพ่งมองสักพักก็นึกขึ้นได้
“พี่ในคณะ… แต่ผมไม่ได้ให้ไลน์ไปนะ ไปเอามาจากไหนวะ” แรกๆผมพูดกับพี่ทิตย์แต่ประโยคหลังผมบ่นพึมพำกับตัวเอง ก็พี่มาร์คไงครับ มีตอนที่เพื่อนๆขอกันเพื่อตั้งกลุ่มเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ไม่เห็นมีใครลากผมเข้ากลุ่มไหนเลยครับ
“พี่ไม่ชอบหน้ามันเลยอุ่น” ที่หน้าเครียดๆนี่เพราะเรื่องนี้หรอกเหรอเนี่ย ผมหลุดขำออกมาทันทีเลยครับ พี่ทิตย์หันมามองหน้าผมด้วยความไม่เข้าใจทันที
“ช่างเขาเถอะ ไม่เห็นต้องสนใจเลย” ผมพูดแล้วกดออกเพื่อจะดูแชท ในเมื่อผมไม่ได้พิมพ์ก็พี่ทิตย์นี่ล่ะพิมพ์ แต่ยังไม่ทันได้เห็นพี่ทิตย์ก็แย่งไปจากมือผมแล้วกดอะไรยุกยิกไม่รู้ครับ พอพี่ทิตย์คืนโทรศัพท์มาให้ผมก็เห็นว่าแชทนั่นมันหายไปแล้วครับ ทำให้ผมหัวเราะออกมาเบาๆ
“ขำอะไรอุ่น” พี่ทิตย์วางแขนลงบนผนักด้านบนและที่วางแขน ผมโดนคุกคามชัดๆครับ แต่ใจสู้ครับ เลยหันหน้าไปมองท้าทาย แต่เชื่อเถอะครับว่าสายตายียวนของผมมันสู้พี่ทิตย์ไม่ได้จริงๆเลยหลบตาไปครับ ทำมองไปที่อื่นแทน แล้วค่อยปรับสีหน้ากลับมามองพี่ทิตย์อีกที
“ขำคนหึง” ผมพูดแล้วพยายามดันพี่ทิตย์ออกห่างครับ พี่ทิตย์ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เออ หึงมาก หัวร้อนหมดแล้วเนี่ย”
“ไหนดูหน่อยร้อนจริงม… อื้อ” ผมแกล้งจับหัวพี่ทิตย์ลูบไปมา พี่ทิตย์จับมือผมออกแล้วก้มลงมาประกบปากทันที ผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็สติหลุดไปพักนึงแล้วจึงได้สติเพราะมือพี่ทิตย์ที่เริ่มอยู่ไม่ถูกที่ถูกทาง ผมจับมือพี่ทิตย์ไว้แน่นแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ผมปล่อยให้พี่ทิตย์จูบนานเท่าที่พี่ทิตย์จะพอใจ
“แอบกินเค้กมาเหรอ ไม่แบ่งพี่เลย” พี่ทิตย์ผละออกไปพร้อมเลียปากตัวเอง ผมละสายตาไปทางอื่นก่อนจะหันกลับมามองพี่ทิตย์เหมือนเดิม
“หมดแล้ว ว่าแต่พี่ทิตย์ไปคุยอะไรกับเขา?” ผมจ้องหน้าพี่ทิตย์อย่างสงสัย พี่ทิตย์ผิวปากทำพลิกหน้าชีทไปเรื่อยๆเหมือนแกล้งไม่สนใจผม แบบนี้ผมก็ยิ่งสงสัยขึ้นไปอีกสิครับ
“งั้นเดี๋ยวผมไปถามพี่เขาเองก็ได้” ผมดันตัวเองลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อที่จะไปกินข้าวครับ หิว หยอกพี่ทิตย์เสร็จก็ไปนั่งกินข้าวสบายจะตาย
“อุ่นจะแกล้งพี่อีกนานไหม”
“เฮ้ย!! ปล่อย” อยู่ดีๆพี่ทิตย์ก็ก้มลงรวบขาผม อุ้มผมไว้อย่างง่ายดาย ผมเสียววูบเลยครับ กลัวว่าจะร่วงหัวกระแทกพื้นตายไปเสียก่อนจะแก่ พี่ทิตย์หัวเราะอย่างพอใจทันทีที่ได้เห็นสีหน้าตกใจของผม ทำไมพี่ทิตย์มันขี้แกล้งขนาดนี้วะ
“เล่นถามคำถามกัน” ผมเอ่ยชวน
“เล่นตอนนี้พี่ก็เสียเปรียบสิ ไม่เอาหรอก”
สุดท้ายผมก็ไมรู้อยู่ดีว่าพี่ทิตย์คุยอะไร แต่ช่างมันเถอะครับขี้เกียจจะสนใจแล้ว ผมนั่งมองพี่ทิตย์ที่อ่านหนังสืออย่างจริงจังได้สักพักพี่ทิตย์ก็หันหน้ามามองผม อยู่ๆพี่ทิตย์ก็ทิ้งตัวลงมาตอนตักผมครับ ผมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้พี่ทิตย์นอนสบายขึ้น
ผมกับพี่ทิตย์อยู่ด้วยกันมาได้สักพัก ทุกๆวันไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมาย มันเป็นแค่วันธรรมดาของเด็กผู้ชายธรรมดาๆสองคนเท่านั้น ผมกับพี่ทิตย์ใช้ชีวิตประจำวันเหมือนทุกๆวันไปเรื่อยๆ ถึงอย่างนั้นเราก็เป็นคนพิเศษของกันและกัน
อาจจะหยอกกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง แต่เพราะสิ่งเหล่านั้นมันทำให้เราจับมือกันแน่นมากขึ้น
จนถึงตอนนี้ผมก็คิดว่าผมเป็นคนที่โชคดีมากจริงๆ
“พี่ทิตย์”
ผมเอ่ยเรียกเพราะพอละสายตาไปดูโทรทัศน์แป๊บเดียวคนบนตักก็เงียบไปครับ แล้วก็อย่างที่คิด พี่ทิตย์หลับจริงๆ ผมมองนาฬิกาก็เห็นว่าเกือบเที่ยงแล้ว ผมว่าปล่อยให้นอนสักพักนึงก็ดีเหมือนกัน เพราะเมื่อคืนพี่ทิตย์นอนดึกมาก แถมตื่นมาอ่านตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ผมให้แค่ครึ่งชั่วโมงนะ”
ผมก้มลงพูดกับพี่ทิตย์ก่อนจะจูบหน้าผากพี่ทิตย์เบาๆแล้วปล่อยให้พี่ทิตย์นอนต่อไป
________________________________________________________________________________
มีใครคิดถึงน้ำอุ่นบ้างไหมคะ ไม่มีสินะ5555555555
ตอนนี้หมดภารกิจเรื่องเรียนแล้วคิดถึงน้ำอุ่นเลยค่อยๆจิ้มมาจนได้หนึ่งตอน ใช้เวลาแต่งเกือบครึ่งเดือนด้วยความขี้เกียจ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ฝากแท็ค #น้องครับยืมตังหน่อย ด้วยค่ะ ถ้ามีโอกาสคงได้แต่งอีก
ขอบคุณค่าาา
