Lv.25 ทัวร์ปราสาท
เบื้องหน้าคือความโออ่าหรูหราของปราสาทแม้จะเป็นเพียงชั้นแรกสุด ทุกอย่างถูกตกแต่งสไตล์ตะวันตก ด้านในตกอยู่ในความมืด ไม่มีแสงไฟใดๆ ถูกจุด นอกจากดวงจันทร์สีแดงเลือดที่ส่องแสงนวลเข้ามาภายในตัวปราสาทผ่านกระจกบานใหญ่ มีจุดอับสายตาอยู่มากมาย เหมาะแก่การเป็นที่ซ่อนตัว หลบเร้นกายในเงาของพวกแวมไพร์มาก
ดูๆ แล้ว ถือว่าอันตรายสำหรับพวกที่มองไม่เห็นในความมืดพอสมควร ส่วนผมไม่เป็นปัญหาอะไรเลยทั้งสิ้น เห็นทุกซอกทุกมุมภายในตัวปราสาท กระทั่งแวมไพร์ที่ไปเบียดอัดกันตรงซอกยังเห็นชัดเจน ไม่รู้จะพูดอะไรเลยทีเดียว สำหรับคนทั่วไป เดินเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าคงโดนไปพวกนั้นลอบโจมตีตายเรียบแน่ แต่ไม่ใช่กลุ่มผม ในเมื่อกลุ่มเราทุกคนสามารถมองเห็นตอนกลางคืนได้
ผม กล ไวไว ด้วยคำสาปที่ติดตัวทำให้มองเห็นในที่มืด ผมดีสุดคือเห็นชัดเจนเหมือนเปิดไฟสว่างโร่ กลจะดรอปลงมาหน่อย ไม่ถึงกับอ่านหนังสือได้ทุกตัวอักษรอย่างผม แต่เขามีจมูกกับประสาทสัมผัสที่ว่องไวเป็นตัวทดแทน พอกับไวไว เจ้าตัวเห็นได้ไม่เท่ากล แต่มีสัญชาตญาณอันเฉียบคมของกระต่ายมาช่วย
ที่เหลือ ไม่มีใครมองเห็นในความมืดได้ก็จริง แต่ลินมีสกิลหนึ่ง ทำให้ทุกคนเห็นในที่มืดได้ชั่วคราว ทักษาะนี้มีระยะเวลาจำกัด แต่ไม่เป็นปัญหา ไว้มันหมดเวลา ค่อยอาศัยจังหวะใช้ใหม่ได้
“Owl Eye”
เสียงเรียกใช้สกิลของลินดังขึ้น ดวงตาทุกคนเหมือนถูกเคลือบด้วยไอเวทบางๆ ทำให้เห็นทุกอย่างในความมืด ทุกคนหันขวับไปยังซอกที่ผมมองตั้งแต่ตอนแรก ทางแวมไพร์เหมือนเริ่มรู้ตัวว่าแอบไม่เนียนพากันกรูเข้ามาทำร้ายพวกเราทันทีทั้งหมดเป็นแวมไพร์ระดับกลาง เลเวลอยู่ที่ 111 ไม่ห่างจากพวกด้านนอกเท่าไหร่ ใช้เวลาเพียงไม่นาน เจ้าแวมไพร์ถูกจัดการเรียบ สาเหตุที่มันง่ายดาย ไม่ใช่เพราะอะไร
มันเป็นเพราะ ปาร์ตี้ผมดันพี่ปีศาจหมาป่ามาด้วยน่ะสิ! แต่ไหนแต่ไรมา ตามตำนานเรื่องเล่า แวมไพร์ไม่ถูกกับพวกหมาป่าเพราะแพ้ทางกัน ในเกมดูจะยึดตามเรื่องเล่าเหล่านั้น กลในร่างหมาป่าตัวเขื่องจึงจัดการพวกแวมไพร์ได้ไม่ยาก
เราจัดการแวมไพร์ระดับกลาง วิ่งผ่านเข้าไปยังส่วนถัดไป ดันเจี้ยนแห่งเป็นเป็นแบบเปิด สามารถวิ่งไปไหนก็ได้ในปราสาท แต่ละทางจะเจอมอนสเตอร์แวมไพร์ระดับกลางมากน้อยต่างกันไป พวกเราตัดสินใจวิ่งวนเวียนมันทั่วทั้งชั้น จัดการแวมไพร์เป็นฝูง ระดับเพิ่มขึ้นคนละนิดละหน่อย ก่อนตัดสินใจวิ่งขึ้นบันไดขึ้นไปสู่ชั้นถัดไป
ชั้นถัดมาไม่ต่างจากชั้นที่แล้ว ไม่สิ ถ้านับแล้ว สามชั้นแรก มีแต่พวกแวมไพร์ระดับกลางล้วนๆ จนเข้าชั้นที่สี่ เริ่มมีแวมไพร์ระดับสูงปะปนมา ทำให้ตึงมือไม่น้อย โดยเฉพาะอลิส
“กรี๊ดดด อย่าทำรุนแรงแบบนั้นสิจ๊ะ พวกเขาหน้าตาดีมาก อลิสไม่อยากทำลายของสวยๆ งามๆ เลย”
สาวอลิสส่งเสียงร้องอย่างเสียดายสุดแสน หลังทัตฟาดดาบเข้ากลางแสกหน้าแวมไพร์ระดับสูงตนหนึ่งจนเลือดไหลเป็นทางยาว น้ำส่ายหัวอ่อนใจ ดูจะชินกับนิสัยของเพื่อนตัวเอง ปล่อยให้อลิสโดดหลบไปมา ไม่ยอมลงมือ ทางฝั่งผม รู้สึกอยากร้องไห้อย่างแรง
“โว้ยยยย พวกเดียวกัน นายอย่าเอาไพ่มาระเบิดใกล้ๆ ฉันสิไอ้กระต่ายเถื่อน”
ผมอัพขั้นให้ไวไว จากกระต่ายถึกเป็นเถื่อน ไม่รู้ว่าอัดอั้นมานานหรือยังไง ซัดใส่พวกแวมไพร์แหลก ราวกับเห็นพวกนั้นเป็นผมก็ไม่ปาน แค่แกล้งนิด แหย่หน่อย จับใส่พานถวายลินอีกเล็กน้อย ไม่เห็นต้องเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนี้เลย โธ่...
“อ้าวเหรอ เห็นปีกดำ เขี้ยวแหลมเหมือนกัน โทษทีๆ อ๊ะ มือลื่น”
ไพ่สามใบถูกซัดมาทางผม เบี่ยงตัวหลบแทบไม่ทัน ระเบิดใส่แวมไพร์ชั้นกลางด้านหลัง เจ็บระนาว ผมแทบกระโจนใส่ ใช้เคียวในมือโบกหัวหลุด ติดแต่ต้องฟาดฟันกับแวมไพร์อีกตัวที่พุ่งเข้าใส่ หมายจะดูดเลือดผมเพื่อรักษาตัวเองเจ้าไวไวเคยโดนไปรอบหนึ่ง น้ำร่ายเวทรักษาเกือบไม่ทัน ส่วนลินโมโหมาก กระทืบแวมไพร์ตัวนั้นเหลวเป็นเยลลี่ไปเลย ไม่ค่อยต่างจากคนตรงหน้าผมเท่าไหร่
กลขย้ำหลังคออีกฝ่าย สะบัดฟาดกับผนังอย่างแรงจนร้าวเป็นใยแมงมุม แล้วตามไปฉีกกระชากด้วยกรงเล็บหมาป่า โหดจนน่าสะพรึง ส่วนคนอื่น เริ่มจัดการแวมไพร์ระดับกลางจนหมด เหลือเพียงแวมไพร์ระดับสูงตนเดียว แน่นอนว่างานนี้ รุมเละ!
“หลังจบชั้นนี้คิดว่าพวกเราพักกันก่อนดีกว่า ดูเหมือนดันเจี้ยนจะเปิดอิสระเป็นชั้นๆ ไป มอนสเตอร์จากชั้นอื่นข้ามชั้นมาไม่ได้”
น้ำพูดหลังจากแวมไพร์ระดับสูงเป็นละอองแสงหายไป เหลือเพียงไอเทมดรอปบนพื้น ถือว่าดีที่เดียว ของส่วนใหญ่ไม่ใช่พวกอาวุธหรืออุปกรณ์สวมใส่ก็จริง แต่มียาเพิ่มพลัง กับพวกสารพัดยาช่วยเสริมความสามารถทางด้านร่างกายมากโขอยู่ และพวกวัตถุดิบปรุงยาต่างๆ ของหลายชิ้นสำหรับพวกเราที่ไม่ใช่สายผลิตคิดว่าไร้ค่า แต่ถ้าเอาไปขายตลาดได้เงินมาไม่น้อยทีเดียว ที่สำคัญคือพวกเราได้เก็บเลเวลก่อนไปฉะกับบอสนี่แหละยาเพิ่มพลังพวกนี้ใช้งานดีไม่น้อย เห็นแวบๆ ในตลาด แต่ละขวดราคาแพงระยับ
“ดีเหมือนกัน ฉันเริ่มรู้สึกล้าๆ แล้ว” ลินตอบบพลางหมุนไหล่ ขยับคอ
“ถ้างั้นรีบลุยให้มันหมดชั้นนี้ไปเลยแล้วกัน” ผมบอกแล้วให้หมาป่าเดินนำตามหลังหมาค้างคาวไม่กัด(น้อย)
ผมเก็บเคียวตัวเองแล้วเรียกเจ็ดจันทร์เสี้ยวออกมาแทน พร้อมกับเล็บมือที่งอกยาว ที่แห่งนี้เหมาะสมกับแวมไพร์ นั่นหมายความว่า มันเอื้อประโยชน์กับผมเช่นกัน ดวงตาผมเปลี่ยนเป็นสีแดงจากการใช้ความสามารถของคำสาปที่ติดตัวอย่างเต็มที่ ก่อนถอยหายเข้าไปอยู่ในเงามืด
ลอบช่วยทุกคนในปาร์ตี้จัดการพวกที่คิดหลบซ่อนในเงา พลางปัดป้องการโจมตีที่จะทำร้ายทีมซัพพอร์ทอย่างน้ำ ส่วนคนอื่น ผมควรระวังไม่ให้ตัวเองโดนลูกหลงไปด้วยมากกว่า ตะกี้มีลูกไฟลินพุ่งผ่าน ผมหงิกไปหลายเส้น อันตรายจริงๆ
“ทำไมชั้นนี้มันดูกว้างกว่าชั้นอื่น” ไวไวบ่นอุบระหว่างใช้ไม้เท้าฟาดแวมไพร์ให้ลินใช้ดาบฟันจนหลายเป็นละอองแสง
“คงเพราะใจอยากรีบเคลียร์ให้จบจะได้พักมั้ง งั้นเอางี้มีฉันมีแผนการดีๆ”
ผมโผล่ออกมาจากเงามืด หลบดาบทัตได้หวุดหวิด ทางทัตเองดูจะตกใจไม่น้อย สงสัยมือไปก่อนตัว ผมพลาดเองแหละที่โผล่มาผิดตำแหน่ง
“โทษที ฉันนึกว่าเป็นพวกนั้น” เจ้าตัวพูดพลางจัดการแทงดาบผ่านหน้าเข้ากลางอกแวมไพร์ที่ลอบโจมตีทางด้านหลังผมอย่างไร้ความปราณี โฮ รู้สึกเสียวสันหลังวูบ ตั้งแต่เล่นเกมไม่เคยนึกเสียใจที่ตัวเองโดนคำสาปแวมไพร์เท่าตอนนี้เลย ดันเจี้ยนปราสาทแวมไพร์ทำให้ผมรู้สึกชีวิตตัวเองไม่ปลอดภัยสุดๆ ไม่ใช่จากพวกมอนสเตอร์นะ จากพวกเดียวกันเองนี้แหละ
สรุป ผมเลยย้ายตำแหน่ง เปลี่ยนตัวเองเป็นลูกเทนนิสติดปีก บินไปเกาะบนหัวกลที่เดินกลับมารวมกลุ่ม หลังจากตบแวมไพร์ตายไปสองตัวรวด สาบานว่านับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ผมจะไม่ทำให้กลโกรธเด็ดขาด!
“ทางเดินตรงนี้เราจัดการหมดแล้ว น่าจะมีเวลาสักพักก่อนแวมไพร์อีกกลุ่มจะโผล่มา นายมีแผนอะไรเหรอ”
หันมองซ้ายมองขวาเห็นทางโล่ง แล้วหันมาคุยกับผมที่อยู่บนตำแหน่ง VIP ทุกคนพากันมายืนอยู่ตรงหน้า จากสายตาคนภายนอก ภาพเหล่านี้คงตลกน่าดู ชายหญิงห้าคนจ้องเป๋งมาที่ค้างคาวตัวกลมบนหัวหมาป่า ตั้งใจฟังแผนการเต็มที่
“จุดอ่อนของแวมไพร์ตั้งแต่เราจัดการมาอยู่ที่กลางอก ส่วนอาวุธที่ใช้ต้องเป็นเงิน กับน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ในบรรดาของที่ดรอป มียาอันนึงคล้ายกับพวกน้ำมนต์อยู่ พวกอาวุธเงินก็มีอยู่บ้าง พวกนายเอาออกมารวมกันหน่อย”
ทุกคนเอาอาวุธที่แบ่งไปตอนแรกออกมาตามที่บอก ของทัตคือดาบคู่รูปร่างเพรียวบางแต่มีความคมอย่างร้ายกาจ ตัวดาบสีเงินทั้งเล่ม ที่ด้ามจับทั้งสองเล่มแกะสลักเป็นรูปปีกเทวดาปกป้องช่วงมือไว้ ลินเป็นดาบมือเดียว เรียบๆ ไม่มีลูกเล่นอะไรเด่น แต่สิ่งที่แผ่ออกมาคือไอเวทเบาบาง เหมาะแก่การเสริมพลังเวทในตัว ทางอลิสคือกระสุนเงิน เจ้าตัวมีปืนอยู่แล้ว ดังนั้นไม่มีปัญหา ส่วนไวไว เจ้าตัวได้อาวุธซัด พวกมีดเงินขนาดเล็ก น้ำได้เรียกทักษะเวทมนต์เกี่ยวกับธาตุแสงเพิ่มขึ้นอีกสองบท
ชื่อ : Holy Dual Swords
ชนิด : ดาบสองมือ
Lv : 110
สถานะ : อาวุธธาตุแสง สร้างดาเมจให้แก่ธาตุมืดเพิ่มขึ้น 30%
พลังโจมตี 68,000
คุณสมบัติพิเศษ : สร้างจากแร่เงินบริสุทธิ์ มอนสเตอร์ธาตุมืดหลังได้รับบาดแผลจากอาวุธชนิดนี้จะไม่สามารถรักษาตัวเองได้
*ใช้ได้ภายในดันเจี้ยนปราสาทแวมไพร์เท่านั้น*
ชื่อ : Holy One-Handed Sword
ชนิด : ดาบมือเดียว
Lv : 110
สถานะ : อาวุธธาตุแสง
พลังโจมตี 73,000
คุณสัมบัติพิเศษ : สร้างจากแร่เงินผสมคริสตัลเวทมนต์ ช่วยเสริมพลังเวทให้แก่ผู้ใช้
*ใช้ได้ภายในดันเจี้ยนปราสาทแวมไพร์เท่านั้น*
ชื่อ : Holy Bullet
ชนิด : กระสุนเงิน
Lv : 110
สถานะ : สามารถใช้กับปืนได้ทุกชนิด เก็บในกระเป๋าได้ช่องละ30ลูก
พลังโจมตี 27,580
สถานะพิเศษ : สร้างจากแร่เงินบริสุทธิ์อาบน้ำมนต์ สร้างดาเมจให้มอนสเตอร์เผ่ามืดเพิ่มขึ้น5%
*ใช้ได้ภายในดันเจี้ยนปราสาทแวมไพร์เท่านั้น*
ชื่อ : Holy Clutter
ชนิด : มีดขนาดเล็ก
Lv : 110
สถานะ : อาวุธซัด
พลังโจมตี 18,889
สถานะพิเศษ : สร้างจากแร่เงินบริสุทธิ์ มีน้ำหนักเบา สามารถดัดแปลงแก้ไขได้
*ใช้ได้ภายในดันเจี้ยนปราสาทแวมไพร์เท่านั้น*
ชื่อ : Holy Cross
ชนิด : ทักษะ
Lv : 110
สถานะ : เวทมนต์ธาตุแสง สร้างไม้กางเขนตรึงสิ่งมีชีวิตในความมืดภายในระยะเวลา 10 วินาที รัศมีรอบตัวสี่เมตร
พลังโจมตี – ไม่มี -
สถานะพิเศษ : ช่วยเพิ่มค่าสถานะของเพื่อนในปาร์ตี้ ทุกอย่าง 5 %
*ใช้ได้ภายในดันเจี้ยนปราสาทแวมไพร์เท่านั้น*
ชื่อ : Holy Area
ชนิด : ทักษะ
Lv : 110
สถานะ : อาณาเขตแห่งแสง รัศมีรอบตัวผู้เล่นภายในระยะ 5 เมตร สร้างความเสียหายให้แกมอนสเตอร์ที่อยู่ในอาณาเขตแห่งแสง
พลังโจมตี 7,000 ทุกๆหนึ่งวิ
สถานะพิเศษ : ลดความเร็ว พลังโจมตี และพลังป้องกัน
*ใช้ได้ภายในดันเจี้ยนปราสาทแวมไพร์เท่านั้น*
“ดูจากคุณสมบัติพวกนี้แล้ว เหมือนว่าจงใจให้เราใช้เลยนะ แถมยังตรงตามอาวุธที่ทุกคนใช้อีกต่างหาก”
ผมพูดสิ่งที่คิดเอาไว้ออกมา ความจริงนึกเอะใจตั้งแต่แรก ติดที่พวกเราเร่งจัดการเพราะอยากไปชั้นต่อไปเร็วๆ เลยไม่ได้อ่านรายละเอียดของอาวุธพวกนี้ พออ่านถึงได้รู้ ราวกับมันเป็นของมอบให้เราเพื่อเคลียร์ดันเจี้ยน
“คงจะจริงอย่างที่นายพูด แต่ของนายกับกลไม่มี หรือเพราะเป็นแวมไพร์กับหมาป่า เขาเลยไม่ให้?” ไวไวช่วยวิเคราะห์อีกแรง
“มีส่วนนะ ในเมื่อพวกนายพลังเพิ่มสูงขึ้นที่นี่ ถ้าให้อาวุธอีกก็ดูจะโกงไปหน่อย”
“ฉันคิดเหมือนน้ำนั้นแหละ เรื่องพวกนั้นช่างมันก่อน มาฟังแผนการของฉันดีกว่า” ผมยิ้มพร้อมกับเล่าแผนการให้ทุกคนฟัง หลังฟังจบ แต่ละคนแสดงสีหน้าไปคนละทาง ไวไวกับลินยกนิ้วให้ น้ำกับอลิสทำหน้าเหลือเชื่อ ทัตกับกลสองคนนี้ไม่ได้พูดอะไร แต่ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า พวกเขาร่วมกับแผนการของผมชัวร์
“แผนเข้าท่า งั้นพวกเราไม่ต้องพัก ลุยมันยาวๆ ให้จบดันเลยนี้แหละ ใกล้เวลาออฟไลน์ออกจากเกมแล้วด้วย ไม่รู้ว่าพอออกจะกลับมาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน หรือยู่ชั้นล่างให้ลุยขึ้นมาใหม่” ไวไวสรุปเสร็จสรรพ
“ในเมื่อทุกคนไม่มีปัญหา งั้นลุยต่อกันเลยเถอะ”
ทุกคนเปลี่ยนมาใช้อาวุธใหม่ที่ได้จากภายในดันเจี้ยน ไวไวขอเวลาจัดการดัดแปลงอาวุธตัวเองนิดหน่อย ค่อยเริ่มแผนการ อันดับแรก ผมยังอยู่ในร่างค้าวคาว เกาะบนหัวกลในร่างหมาป่า วิ่งไปทางที่พวกแวมไพร์อยู่ ส่วนที่เหลือวิ่งย้อนกลับทางเก่า
กลวิ่งพ้นทางเดิน แค่ห้องแรกก็เจอแวมไพร์ระดับกลางสี่ตน กับแวมไพร์ระดับสูงสองตน หมาป่าตัวเขื่อน กระโดดข้ามหัวแวมไพร์พวกนั้นไปดื้อๆ แล้ววิ่งต่อไปยังห้องอื่น วนเวียนหลบหลีกการโจมตี ตัวไหนอยู่ไกลเกินกว่าที่กลจะปลีกตัวไปหาได้ ผมมีหน้าที่ในการใช้เจ็ดจันทร์เสี้ยวโจมตีเรียกพวกนั้นให้มาสนใจ จนวิ่งครบหมดทุกห้องและทางเดินในชั้นนี้ ค่อยวิ่งย้อนกลับไปทางที่พวกทัตรออยู่
ด้านหลังหมาป่ากับค้างคาวบนหัวคือแวมไพร์หนึ่งฝูงพยายามพุ่งเข้าใส่ หมาป่าหนุ่มวิ่งเข้าไปในห้องหนังสือที่มีระเบียงชั้นสอง แล้วกระโจนขึ้นเหยียบระเบียงชั้นบน พวกแวมไพร์กรูเข้ามาจนแน่นห้อง กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นกับดัก ทางออกถูกปิดด้วยด้ายของไวไวที่อาบย้อมไปด้วยน้ำศักมนต์ศักดิ์สิทธ์ พอออกไปไม่คิดจะกระโจนขึ้นมาทำร้ายคนที่อยู่ชั้นสอง
ทัตกางปีกออกใช้ดาบและฝ่าเท้าซัดพวกนั้นกลับลงไปด้านล่าง โดยมีลินช่วยร่ายเวทต้อนอีกแรง ส่วนน้ำยืนนิ่ง เบื้องหน้ามีหนังสือเวทมนต์ลอยเด่นส่องแสงสว่างสีขาว
“Holy Area…”
พื้นห้องทั้งห้องส่องแสงเรืองรอง แวมไพร์ทุกตัวส่งเสียงร้องจากสิ่งที่ตัวเองแพ้ทาง ผมใช้อาวุธของตัวเองควบคุมให้มีดทั้งเจ็ดเล่มโจมตีลงไปด้านล่างเต็มที่ ปล่อยให้หน้าที่ฟื้นฟูพลังเพื่อนในปาร์ตี้เป็นของน้ำ นอกนั้นต่างช่วยกันสาดสกิลใส่มอนที่รวมกลุ่มด้านล่าง ตัวไหนคิดขึ้นมา ถ้าไม่โดนเท้าหมาป่าก็โดนเท้าเหยี่ยว ไวไวคอยเสริมด้ายตรงทางออก พร้อมซัดอาวุธในมือไปด้วย ยิ่งอาวุธพวกเราสร้างความเสียหายให้พวกแวมไพร์มากกว่าเดิม ใช้เวลาเพียงไม่นาน ด้านล่างเหลือแค่ไอเทมให้เก็บ ทุกคนยกยิ้มพึงพอใจ
หลังกวาดไอเทมจนหมด เริ่มมุ่งหน้าสู่ชั้นต่อไปทันที ชั้นที่ 5 มีแต่แวมไพร์ระดับสูงเดินกันเต็มไปหมด แผนการเดินไม่สามารถใช้ได้ เพราะพวกนี้ไวเกินไป ไม่เหมือนชั้นก่อนหน้า มีเพียงไม่กี่ตัวพอจะต้อนไหวอยู่ พวกเราเลยเปลี่ยนแผน จากลากมากองรวมกันแล้วจัดการรวดเดียว เป็นไล่เก็บเงียบไปทีละตัว ช่วงไหนแห่กันมาเยอะหน่อย น้ำจะใช้สกิล Holy Cross เป็นกางเขนแสงตรึงพวกนั้นไว้ระหว่างคนอื่นจัดการ
ระยะเวลาในการเก็บกวาดมอนสเตอร์ชั้นที่ 5 ไม่ห่างจากชั้นที่สี่สักเท่าไหร่ ถึงแวมไพร์ระดับสูงจะเก่งขึ้น แต่จำนวนมีไม่เท่ากับชั้นอื่นๆ ที่พวกเราผ่านมา จนเข้าสู่ชั้นที่ 6 บรรยากาศโดยรอบแตกต่างจากทุกชั้นที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง รอบข้างเงียบสงัด ราวกับไร้สิ่งมีชีวิตบนชั้นนี้ อากาศรอบตัวเย็นเยือก ทุกด้านปิดทึบ ไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานเดียว แต่ยังตกแต่งอย่างหรูหราภาพวาดมีชื่อหลายภาพถูกแขวนบนกำแพง บนโต๊ะแกะสลักขนาดเล็กมีแจกันใส่ดอกกุหลาบแห้งเหี่ยว
เบื้องหน้าคือบันไดปูพรมแดงอย่างดี พวกเราขึ้นไปพลางระวังรอบๆ ตัว สุดบันไดคือประตูบานหนึ่งที่มีรูปแกะสลักของชายร่างในชุดขุนนางยาวกรอบเท้าดูรุ่มร่าม ผมนึกสงสัย ที่ผ่านมาประตูธรรมดาไม่มีลวดลายอะไรทั้งนั้น เหมือนต้องการจะบอกว่าอะไรรออยู่ด้านหลังประตู
เพียงแค่ยกมือแตะเบาๆ ประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นห้องที่ดูคล้ายกับห้องเอกสารในสมัยก่อน บนชั้นวางมีม้วนกระดาษมากมาย กลางห้องคือแท่นหินอ่อน เหนือแท่นมีโลงศพวางอยู่หลังหนึ่ง ชั่วพริบตาที่พวกเราก้าวเข้ามาในห้องครบทุกคน มีบางสิ่งออกมาจากโลง ปรากฏเงาวูบไหวตรงหางตา ผมผลักอลิสออกไปอีกด้าน มือถือเคียวรับการปะทะจากกรงเล็บแหลม
เคร้ง!
เสียงปะทะดังก้องไปทั่วห้อง ตรงหน้าผมคือชายใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ดวงตาสีเลือด เรือนผมสีดำยาวถูกมัดรวบด้วยไหมถักพาดมาด้านหน้า บนตัวของเขาแผ่กลิ่นอายของแวมไพร์ออกมาอย่างเต็มเปี่ยม เจอแล้ว ขุนนางแวมไพร์ตนแรก
ผมตวัดเคียวโต้กลับ เขาถอยหลังไปยืนสงบนิ่งอยู่บนโลงของตัวเอง พร้อมกับเสียงแจ้งเตือนจากระบบดังขึ้น
Baron Lv.150 ปรากฏตัว หลังจากบารอนตายจึงจะผ่านไปยังประตูห้องถัดไปได้ หากตายด้วยฝีมือบารอน จะกลับไปเกิดที่หน้าปราสาทแวมไพร์
จากที่ฟังทำให้พวกเราชักหน้าเครียด แวมไพร์ระดับสูง Lv. อยู่ที่ 147 - 149 พอมาเจอระดับขุนนาง แถมเป็นขั้น 5 ระดับพุ่งเป็น 150 ที่สำคัญ ถ้าตายจะต้องกลับไปเกิดที่หน้าปราสาท นั่นเท่ากับว่าต้องลุยใหม่หมดทั้งแต่ต้น ไม่มีทางซะล่ะ!
กลกระโจนเข้าไปคนแรก ดูแวมไพร์นี้จะสมกับเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่สามารถสู้แรงกับกลได้ แต่ดันเป็นพวกที่มีความไวสูง คนที่พอตามความไวทันมีแค่ผมเท่านั้น งานนี้ผมกับกลเลยเป็นด่านหน้า คนอื่นเป็นหน่วยเสริม ยังดีที่ผ่านมาเราฆ่าพวกแวมไพร์ไปได้ขวดยาเหลือเฟือ ผมกับกลเลยไม่ลำบากเรื่องพลังของตัวเองที่ลดลงจากการโจมตีเท่าไหร่นัก เพราะน้ำไม่สามารถใช้เวทธาตุแสงเพิ่มพลังให้พวกผมได้
บางจังหวะผมถอยฉากออกให้กลเข้าไปเสริมแทน ระหว่างนั้นผมคอยเพิ่มเลือดให้กลเป็นระยะ ก่อนเข้าไปลุยด้วย เคียวไหนมือกวัดแกว่ง เจ็ดจันทร์เสี้ยวดึงมาใช้เต็มกำลัง พออีกฝ่ายถูกลินใช้เวทมนต์ดำสาปให้ความเร็วช้าลง น้ำเสริมต่อตรึงด้วยกางเขนแสง ทัต อลิส ไวไว พุ่งเข้ามาทำดาเมจให้มากที่สุด ก่อนอีกฝ่ายจะหลุดจากพันธนาการ ทำสลับกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งดาบในมือทัต แทงทะลุเข้ากลางหัวใจตอนเลือดบารอนเหลือน้อยที่สุด
เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น พร้อมกับร่างที่เริ่มลุกไหม้กลายเป็นขี้เถ้ากับกุญแจทรงโบราณสีทองดอกหนึ่ง ระหว่างคนอื่นกำลังมุงดูกุญแจ พ่อหมดหนุ่มก้มลงหยิบเศษผ้าในกระเป๋าออกมาโกยเอาเศษขี้เข้าห่อเก็บไว้แบบหมดจด ผมเลยทักด้วยความสงสัย
“ลินทำอะไรน่ะ จะเอาไปหล่อเป็นตัวขึ้นมาใหม่เรอะ”
“ถูกครึ่งหนึ่ง ฉันไม่ได้หล่อขึ้นมาใหม่ แต่จะเอาไปเป็นสื่อกลางใช้กับศพ ชุบชีวิตขึ้นมาใช้งาน โลงนี้น่าสนใจ ขอไปด้วยเลยแล้วกัน”