Lv.4 เจอจนได้ ง่ายไปไหม
ก่อนที่พวกเราจะไปส่งภารกิจกัน กลพาผมเดินทัวร์ จะบอกว่าเป็นหมู่บ้านก็ไม่เชิง คล้ายๆ กับเมืองขนาดย่อมมากกว่า พ่อหมาป่าแนะนำเรื่องต่างๆ ภายในเกมให้ฟัง บางส่วนผมก็พอจะรู้มาอยู่แล้ว จากประสบการณ์ การเล่นเกมมายาวนาน บางอย่างไม่รู้ก็ถามไป เกมนี้ยิ่งไม่ปกติเหมือนชาวบ้านเขาซะด้วย
โชคดีที่เมืองนี้ไม่มีอะไรมาก เดินวนแค่วันเดียวก็หมด ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเรือนผู้คน ร้านขายของทั่วไป อาคารอำนวยความสะดวกให้กับผู้เล่น เช่นอาคารแนะนำ ธนาคาร และอื่นๆ
ที่เห็นจะน่าสนใจสุดคงเป็นกิลด์ กิลด์คือการรวมตัวของกลุ่มคนไม่ให้อารมณ์เหมือนกองกำลังที่คอยช่วยเหลือกัน โดยมีพวกคนใหญ่คนโตในกิลด์เป็นผู้ดูแลคนอื่น เกมนี้พิเศษตรงที่ แต่ละกิลด์จะมีบ้านเป็นของตัวเอง ซึ่งไอ้บ้านนี้ทุกคนมีห้องส่วนตัว กิลด์ไหนคนเยอะก็มีขนาดอาคารใหญ่ คนน้อยก็อยู่กันแบบพอเพียงไป
เควสภารกิจบางอย่างในเกมจำเป็นต้องพึ่งพากิลด์ดังนั้นคนส่วนใหญ่เลยต้องการที่จะหากิลด์อยู่ จากเกมเก่าๆผมกับไวไวเพื่อนรักก็เคยตั้งกิลด์เหมือนกัน แต่อยู่กันแค่ไม่กี่คนเฉพาะเพื่อนๆ ที่รู้จักกันล่ะนะ เพราะพวกผมไม่ชอบดูแลใคร ชอบผจญภัยสบายๆ มากกว่า
ในเมืองนี้เองมีกิลด์ตั้งอยู่หนึ่งแห่ง ผมสนใจเลยชวนกลไปดู พอเห็นแล้วก็ไม่เลว ขนาดไม่ใหญ่แต่ดูอบอุ่นดี
“นายดูสนใจเรื่องเกี่ยวกับกิลด์เป็นพิเศษ”
กลถามผมที่ด่อมๆ มองๆ อยู่หน้าบ้านกิลด์คนอื่น ผมโบกมือปัดๆ กระชับเสื้อคลุมกันแดดที่เพิ่งซื้อมา ปิดมิดชิด กันแดดได้ดีจนน่าตกใจเลยล่ะ แลกกับการที่มันคลุมผมตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนเป็นผ้าคลุมเคลื่อน แน่นอน ของดีแบบนี้ผมไม่ได้เป็นคนจ่าย กู้ยืมจากคนข้างๆ แล้วค่อยใช้หนี้ที่หลัง หวังว่ากลจะไม่ใช่พวกหน้าเลือดขึ้นดอกเบี้ยแพงหรอกนะ เอาไว้เจอไวไวเมื่อไหร่ผมจะรีบรีดไถจากมันมาช่วยจ่ายหนี้
“ฉันไม่สนหรอก ไม่ชอบอะไรวุ่นวาย อยากอยู่สบายๆ มากกว่า ฉันเป็นพวกรักอิสระสุดกู่น่ะ เพื่อนฉันเองก็มีแต่แนวเดียวกัน”
“น่าเสียดาย ถ้านายสนใจ จะชวนให้มาอยู่กิลด์เดียวกัน”
กลพูดด้วยรอยยิ้มบางตรงมุมปาก เขาใส่หมวกปกปิดหูหางตัวเองตามเดิม ตอนนี้พวกเราเลยดูเหมือนไอ้ตัวไม่หน้าไว้ใจสองตัวเดินดุ่มๆ ลอยไปลอยมาในเมือง เห็นชาวบ้านบางคนเริ่มซุบซิบมองด้วยแปลกใจ
“นายมีกิลด์อยู่ด้วยเหรอ ชวนกันง่ายๆ แบบนี้แสดงว่าถ้าไม่ใช่เจ้าของ ก็คงเป็นพวกมีตำแหน่งหน้าดูสิท่า”
ผมยกไหล่ชนแซวๆ กิลด์บางที่ไม่ได้รับคนง่ายๆ ต้องผ่านการคัดเลือกสารพัด บอกแล้วมันก็เหมือนระบบทหารนั้นแหละ เว้นแต่บางกลุ่มอยู่กันแค่เพื่อนจริงๆ รับคนด้วยความเต็มใจ อันนั้นมันก็อีกเรื่อง
ส่วนเรื่องของกล ผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ ผมเป็นคนเข้ากับคนอื่นง่ายก็จริง แต่ใช่ผมจะดูคนไม่ออก กลมีอะไรบางอย่างที่พิเศษกว่าคนอื่น รอบตัวเขาเหมือนมีคำว่าตูไม่ธรรมดาแผ่ออกมา เขาถึงดูไม่เป็นกังวลว่าผมจะกลายเป็นพวกไม่ดีไปทำร้าย ระดับอย่างผมจะไปทำอะไรเขาได้ แถมผมเองก็ไม่ต้องห่วงด้วยว่ากลจะรังแกค้างคาวผู้น่าสงสาร ในเมื่อเจ้าตัวเมพขนาดนี้แล้วจะมาทำอะไรผมไปเพื่ออะไร ดูจากนิสัยกลเองไม่ใช่พวกที่ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ไม่งั้นผมคงถูกแล่ไปพร้อมๆ กับหมูป่าตัวนั้นแล้ว
“ฉันไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตขนาดนั้น เป็นแค่หนึ่งในสมาชิกของกิลด์เฉยๆ พอรู้จักสนิทสนมกับพวกมีตำแหน่งนิดหน่อยเลยได้อานิสงส์น่ะ”
“อย่างงี้นี้เอง โทษทีนะฉันไม่อยากเข้าร่วมกับกิลด์ไหน แต่ถ้าพวกนายจะไปทำอะไรสนุกๆ กันแล้วยังพอมีที่ว่าง ฉันพร้อมไปแจมด้วยตลอดนะ” ผมยิ้มยักคิ้วให้
“ได้ มีอะไรฉันจะเรียกนายคนแรก”
พวกเราออกจากเมือง มุ่งหน้ากลับไปสู่บ้านช่างไม้เพื่อส่งภารกิจ พี่ชินโดนรู้ตัวจริงแล้ว ป่านี้คงจะเลิกเล่นเป็นช่างไม้กลับไปทำงานแล้ว ไปเจอรอบนี้คงเป็นคนเล่นตำแหน่งนี้จริงๆ
ระหว่างทางไม่แตกต่างจากเดิม มอนสเตอร์แมงมุม หมูป่าโผล่กันมาเป็นเบือ คราวนี้ผมระดับสูงขึ้นแถมมีอาวุธเลยจัดการพวกมันได้ง่ายขึ้นหน่อย กลเองเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้นเพราะไม่ต้องคอยพะวงเรื่องผมระหว่างสู้ไปด้วย
ผมระดับขึ้นพรวดพราด อย่างที่เคยบอกไป พวกนี้เลเวล35 ตอนนี้ผมเลยอัพจนกลายเป็นเลเวล32 อาวุธคู่กายที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ เริ่มใช้จนชินมือมากขึ้น การต่อสู้เลยไม่ติดขัด ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเราก็เคลียร์พวกมันหมด
พระอาทิตย์ไม่คอยเรา เงยหน้าขึ้นมองอีกที ไอ้ลูกกลมส่องแสงจ้าเริ่มง่วงนอนจนลับขอบฟ้า เปลี่ยนเวรกะดึกให้พระจันทร์เข้ามาแทนที่ พวกผมเลยต้องหาที่พักแรมกลางป่ากันหนึ่งคืน พวกเราไม่เจอขบวนพ่อค้าเหมือนตอนขามา การเดินทางเลยล่าช้าขึ้นเยอะ
ผมเอาชิ้นส่วนที่ได้มากองเรียงกัน ส่วนไหนขายได้ราคาดีก็เก็บไว้ อันไหนน่าเอาไปใช้งานต่อก็คัดอีกกอง พวกใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ หรือขายได้น้อยโยนทิ้งไปไม่ให้รกกระเป๋า แม้กลจะให้ของดีกระเป๋าหนังหมูป่ามา มันก็ยังคงเป็นกระเป๋าระดับต้นๆ จุของได้ไม่เท่าสร้อยคอของท่านกลเขาหรอก
พ่อหมาป่านั่งมองผมง่วนกับการจัดของเงียบๆ เขาไม่เอาอะไรเลยสักอย่าง ให้ผมเต็มที่
“นายมองฉันแบบนี้ มีอะไรจะพูดรึเปล่า”
“หลังจากที่วัตเจอเพื่อน พวกเราจะแยกกันเลยใช่ไหม”
“อ้าว นายรำคาญฉันแล้วเรอะ เหมือนอยากให้ฉันรีบๆ แยกไปเลย” ผมหัวเราะโกยเอาของเข้ากระเป๋าตามลำดับ
“ตรงกันข้าม ฉันสนใจนายต่างหาก นายเคยบอกว่าเราเป็นเพื่อนกัน ฉันเองก็ไม่มีอะไรทำ แบบนั้นจะขอไปผจญภัยกับนายได้มั้ย”
ใบหน้าขาวซีดตามลักษณะเผ่าพันธุ์หันขวับไปมองหมาป่าที่กำลังส่ายหางไปมาดูผ่อนคลายดีเหลือเกิน... ล้อเล่นน่า เขาหูฝาดไปรึเปล่า จู่ๆ คนที่ดูจะเทพเลเวลสูงกลับขอติดตามคนมีเลเวลอ่อนด๋อยนี่นะ ผมเข้าใจว่าเขาเป็นคนใจดี แต่ไม่คิดว่าจะแปลกขนาดนี้
คำพูดที่ใช้มาตรงๆ อีก ทำเอาผมไปไม่เป็นชั่วขณะ สนใจงั้นเหรอ... คำนี้มันยังไงอยู่นะ อืมมม จะให้ผมปฏิเสธไปเลยก็ยังไงอยู่ กลเองไม่เคยบังคับให้ผมทำอะไร สอนทุกอย่าง ไปไหนไปกันเหมือนพวกตามติดชาวบ้านแก้เบื่อ
ส่วนความหมายของคำว่าสนใจ ผมละไว้ก่อนแล้วกัน ยังไม่อยากคิด คงจะเป็นการสนใจแบบเพื่อนธรรมดานั่นแหละ เพื่อนในเกมมันก็ไม่เลวนักหรอก
“ตกลง ฉันจะกวนนายจนนายขยาดหนีไปเองเลย”
กลส่ายหัว มองผมด้วยดวงตาแน่วแน่ อ่า.... พี่วิน ดูเหมือนน้องชายพี่จะเป็นที่ถูกใจของคนที่พี่บอกว่าไม่น่าไว้ใจซะแล้ว หรือมาคิดอีกที จะใครคนไหนที่เข้าใกล้เราพี่ก็ไม่ไว้ใจเลยนี้หว่า เว้นไอ้ไวไว เพื่อนสมัยเด็ก กับเพื่อนคนอื่นๆ ที่รู้จักกับเจ้าตัว สิ่งนี้เค้าเรียกว่าบราค่อนสินะ พี่น้องรักกันก็ดีหรอก บางทีมากไปก็น่าซัดเหมือนกัน เพียงแค่ว่า ระดับอย่างพี่วิน ผมคงถูกซัดปลิวกลับมาก่อน
เอาเข้าจริงพี่ชายผมคงไม่ใช่พวกบราค่อนหรอก ทำตามหน้าที่พี่ชายตามสัญชาตญาณมากกว่า ผมคิดเรื่องไร้สาระจนปลงตก ล้มตัวลงนอนบนผ้าปูข้างกองไฟ วันนี้อากาศดี มอนสเตอร์แถวนี้ก็ถูกพวกผมจัดการหมดแล้วเลยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จะให้อุดอู้อยู่ในเต็นท์ก็ยังไงอยู่ ลูกผู้ชายกลางแจ้ง มีท้องฟ้าเป็นหลังคาเท่ห์ดีออก
พอรุ่งเช้ามาเยือน พวกเราก็จัดการตัวเองแล้วออกเดินทางต่อทันที จนถึงที่หมายผมเป็นคนเคาะประตูเรียกนายช่างออกมา
“ลุง พวกผมกลับมาส่งภารกิจจดหมายแล้ว”
ประตูเปิดออก พร้อมกับของสองชิ้นที่ถูกโยนออกมาและจดหมายที่ถูกรับไป ง่ายจนงง นี่สินะเจ้าของหน้าที่นายช่างตัวจริง พี่ชินเล่นเกินบทไปเยอะนะเนี่ย
เสียงระบบแจ้งเตือนว่าผมกับกลผ่านภารกิจแล้ว พวกเรามองหน้ากัน สลับมองของในมือผม มันเป็นต่างหูผู้ชายที่เหมือนกันสองอัน เหมือนกับแท่งเงินสี่เหลี่ยมที่หนีบไว้เป็นต่างหู
ชื่อ : ต่างหูคู่รัก
ชนิด : เครื่องอำนวยความสะดวก
รายละเอียด : เครื่องประดับที่สามารถใช้วาร์ปไปหาผู้ที่มีเจ้าของต่างหูอีกข้างได้ทุกที่ทุกเวลา วันหนึ่งใช้ได้เพียง 2 ครั้ง
เงื่อนไขการได้ไอเท็ม : ต้องผ่านภารกิจลับส่งจดหมายรักให้กับนายช่างไม้ มีข้อแม้ว่าต้องเป็นผู้ชายสองคนมาด้วยกันเท่านั้น
หลังจากอ่านรายละเอียดจบ กลหันหน้าเข้าหาต้นไม้แถวนั้นขำจนไหล่สั่น ส่วนผมมุมปากกระตุกอยู่กับที่สาบานไว้ในใจแล้วว่า ถ้าผมออกจากเกมไปเจอพี่วินเมื่อไหร่ จะเค้นคอถามให้ได้ใครมันเป็นคนคิดภารกิจสีม่วงแบบนี้ แม้ในใจจะนึกมั่นใจไปเกือบร้อยแล้วว่าเป็นพี่ชินก็ตาม
พอกลหัวเราะเสร็จ เดินกลับมาหาผม หยิบต่างหูหนึ่งอันไปติดที่หูหมาป่า อีกอันจัดการติดใส่หูแหลมๆ ของผมเสร็จสรรพ
“พอดีเลย ฉันต้องออฟไลน์ออกจากเกมไปทำธุระนิดหน่อย กว่าจะเข้ามาอีกคงหลายวัน ช่วงนี้นายคงจะไปหาอะไรทำใช่มั้ย ถ้าฉันเข้าเกมแล้วจะใช้เจ้านี้วาร์ปไปหา”
นิ้วชี้ไปที่หูตัวเอง ผมเลิกคิ้วมองพยักหน้ารับไม่คิดจะถามอะไรมาก
“งั้น ไว้เจอกัน ฉันว่าจะกลับเมืองไปรับภารกิจเพิ่มระดับสักหน่อย”
“โชคดี”
“อืม โชคดี”
ผมมองแสงสว่างที่คลุมรอบตัวกลก่อนจะหายวับไป เจ้าตัวคงจะตื่นในโลกของความเป็นจริงแล้ว ทางผมยกยิ้มมุมปาก หัวเราะฮ่าๆ ดังลั่น หมาไม่อยู่ค้างคาวร่าเริง ถึงบอกว่าไม่เคยขัด แต่ผมก็ทำอะไรได้ไม่ค่อยสะดวกนัก
ดวงตากวาดมองโดยรอบ ต้นไม้แถวนี้ยังเขียวชะอุ่มเหมือนเดิม กระแสน้ำเย็นฉ่ำ สายลมพัดสบาย ผมวิ่งเข้าไปในป่า เรียกเคียวออกมาในมือ บิดหมุนตรงข้อต่อให้มันออกมาเป็นเคียวสองเล่ม แล้วเริ่มละเลงจัดการมอนสเตอร์แถวๆ นั้น
อย่างน้อยๆ ผมต้องเลเวลสัก 35 เท่ามอนสเตอร์พวกนี้ก่อนถึงจะย้ายไปที่อื่น ระหว่างนี้ก็เก็บพวกของที่ได้จากพวกมันไปแลกเป็นเงิน ระหว่างเดินทางกลับเมือง ผมเป็นค้างคาว เวลาตอนกลางคืนยิ่งคึก ไม่ต้องนอนยังได้ เลยเดินทางตอนกลางคืน ส่วนกลางวันพักแค่งีบแล้วเริ่มไปต่อ
ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมาย เลเวลผมเพิ่มเป็น35 ขายของได้เงินทุนมาพอสมควร ผมเดินตรงดิ่งไปรับภารกิจจากชาวบ้าน และร้านค้าต่างๆ เท่าที่ระดับตัวเองในตอนนี้จะทำได้ เข้าออกป่ากับในเมืองวนเวียนอยู่สองวันเต็ม จนกระทั่งมอนสเตอร์แถวนี้ไม่สามารถทำให้ผมเพิ่มระดับได้แล้ว
“สงสัยคงต้องรับภารกิจกำจัดบอสปิดท้ายแล้วออกจากเมืองนี้สักที”
ผมยังคงอยู่ในชุดเดิมแค่ซื้อกระเป๋าใหม่ให้สามารถจุได้มากขึ้น กับพวกยาเพิ่มพลังต่างๆ ตุนเอาไว้ ดูเหมือนว่าถ้าจะกำจัดบอสประจำเมืองนี้ต้องเข้าไปใจกลางป่า คนเดียวไม่สามารถทำภารกิจสำเร็จได้ ผมต้องหาแนวร่วมอีกสี่คน แต่ก่อนอื่น ผมคงต้องไปรับภารกิจเสียก่อน
ที่รับภารกิจกำจัดบอสอยู่ติดกับชายป่า ดูปลีกวิเวกบรรยากาศต่างจากในเมืองไปคนละทาง ถ้าในเมืองดูอบอุ่นสว่างไสว ตรงนี้เหมือนมุมอับเย็นเยือกน่าสะพรึง ตามบ้านเรือนมีดอกไม้สีสวยส่งกลิ่นหอม หน้าบ้านรับภารกิจมีดอกหน้าตาประหลาดส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง
เชื่อเลยว่าถ้ากลมาที่นี้คงย่นจมูกแล้ววิ่งหนีแหงๆ ก็หมอนั่นเป็นหมาป่านี้น่า ผมคิดอย่างขำๆ แล้วเดินเข้าไปภายใน มือดันประตูเปิดออก ประตูเก่าแต่ยังพอใช้การได้ ด้านในเหมือนร้านเหล้าร้านหนึ่งที่มีลูกค้าเพียงแค่สองโต๊ะ ตรงเคาน์เตอร์มีร่างงองุ้มในชุดเสื้อคลุมมอซอยืนอยู่ ดวงตาสีเทาของผมกวาดมองสำรวจรอบๆ อย่างรวดเร็ว เป็นนิสัยประจำตัว เวลาไปที่ไหนอันดับแรกผมจะชอบสังเกตรอบๆ ก่อนเพื่อความสบายใจ
สมองผมดีในระดับหนึ่งสามารถจดจำในสิ่งที่เห็นได้ขึ้นใจเพียงกวาดตาแค่รอบเดียว ดังนั้นที่ผ่านมาการเล่นเกมของผมเลยไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่ ถ้าหลีกหนีได้ก็หลีก ไม่คิดบ้าเลือดอยู่แล้ว แม้ว่าชีวิตในเกมตายแล้วเกิดใหม่ได้ แต่ความเจ็บก่อนตาย ถึงจะลดจากของจริงแต่มันก็ยังเจ็บอยู่ดี ผมไม่ใช่พวกมาโซชอบความเจ็บปวดซะด้วย
สองเท้าก้าวเข้าไปหาคนที่คาดว่าเป็นผู้ส่งมอบภารกิจ ชายเสื้อคลุมสีดำพลิ้วไปตามการก้าวเดิน คนอื่นๆ ในร้านพากันหันมองมาอย่างประเมิน คนพวกนี้คงเป็นพวกที่มารับภารกิจและรอคนไปทำด้วยกัน ดูจากสายตาแล้ว หนึ่ง สอง อืมม สามคน รวมผมเป็นสี่
“สวัสดี ขอทราบเงื่อนไขการรับภารกิจบอสประจำเมืองหน่อย” ผมเข้าเรื่องทันทีไม่อยากยืดยาว ถ้าเป็นไปได้อยากเคลียร์ให้เสร็จแล้วรีบไปหาที่ใหม่ๆ ในการสำรวจ อยากเร่งปั่นระดับให้เก่งพอจะลุยสบายๆ กับกลด้วย เวลาทำอะไรจะได้ไม่ถ่วง
“ใส่นี่ ร่วมปาร์ตี้กับคนที่อยู่ในร้าน ไปฆ่าบอสแล้วกลับมารายงานภารกิจที่นี่”
เอ็นพีซีท่าทางไม่น่าไว้ใจวางกำไลไม้แกะสลักรูปใบหน้าน่ากลัว ผมชั่งใจ ไม่รู้จะหยิบมาดีรึเปล่า มันบ่งบอกยี่ห้อว่าตูไม่ใช่ของกากๆ ตูมาพร้อมกับคำสาปที่จะสาปเอ็งให้เป็นแมลงสาบ อะไรทำนองนั้น
ดูเหมือนผมจะมีท่าทีลังเลมากไปจนคนในร้านรำคาญ ชายที่นั่งโต๊ะเพียงคนเดียว คว้าหยิบเอากำไลพิลึกมายัดใส่หน้าผมทันที ผมผงะจะถอดออก กลับพบว่ามันถอดออกไม่ได้ ระบบแจ้งเตือนในหัว
คุณสวมใส่กำไลต้องพันธนาการ ผลจากไอเท็ม จะทำให้ผู้สวมใส่ไม่สามารถออกจากเมืองนี้ได้จนกว่าจะเคลียร์ภารกิจสังหารบอสประจำเมืองจากร้านเหล้าราตรี
เวรเอ๊ย ไอ้เบื๊อกนี้เป็นใครฟะ ถึงเอาของบ้าๆ แบบนี้มาใส่ให้ผมโดยไม่ถามความสมัครใจ ผมหันไปมองอย่างเอาเรื่อง ไอ้คนนิสัยชั่วช้าไม่สำนึกยังหัวเราะผมอีกต่างหาก เจ้านั่นมีขนาดสูงกว่าผม ผมหัวยุ่งๆ สีน้ำตาลของเขามีหูกระต่ายยาวตั้งอยู่ สวมเสื้อเหมือนพวกนักมายากล รวมกับหน้ากากโจ๊กเกอร์ฉีกยิ้มกว้างจนผมคันตีนอยากเอาไปยันให้หน้ากากร้าว
“โอ๊ะๆ ใจเย็นสหาย ลืมกันแล้วเหรอ น่าน้อยใจจริง ขนาดฉันเห็นนายอยู่ในชุดคลุมเหมือนพวกบ้าลัทธิยังจำได้ทันทีเลยนะ”
เสียงกวนๆ แบบนี้ ผมจำได้ขึ้นใจ รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ต่อให้อยากลืมจากหัวยังไงมันก็ยังหลอกหลอน...
“ไอ้ไวภพ!”
“จ๋า หวัดดี นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอกันแล้วซะอีก ดูเหมือนว่าจุดเกิดมันสุ่มก็จริง แต่มันสุ่มให้อยู่ใกล้กันนะ ฉันคิดอยู่แล้วหน้าอย่างนายคงมาที่เมืองเคลียร์ภารกิจทั้งหมดมาจบที่ร้านนี้แน่ แต่ไม่นึกเลยว่ามันจะช้าขนาดนี้”
ผมเค้นเสียงในคอ “เฮอะ! พอดีมันมีเหตุนิดหน่อย แสดงท่าทางเหมือนรู้มากขนาดนี้ ไหนอธิบายซิ”
ไวภพหัวเราะฮ่าๆ ชอบใจลากคอผมไปนั่งอยู่โต๊ะเดิมเจ้าตัว ผมไม่คิดถามเอาจากคนให้ภารกิจหรอกขี้เกียจตีความ ไหนๆ ก็เจอกับเพื่อนแล้วให้มันสรุปเล่าให้ฟังเลยดีกว่าเข้าใจง่ายดี
อย่างที่ผมเคยบอก ผมกับไวภพไปไหนไปกันเล่นเกมไหนก็ไปด้วยกันเลยรู้สันดานกันดี เห็นมันแบบนี้ มันเล่นเกมเก่งมากแถมยังวิเคราะห์เก่งผิดกับหน้าตาและรูปร่าง ส่วนผมถนัดไปทางวางแผนมากกว่า
เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่าโผล่มาป่าใกล้เมืองสภาพกางเกงตัวเดียวแบบที่ผมคิดไม่มีผิด อายชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาแทบแทรกแผ่นดินหนี แถมโดนคำสาปกระต่ายเข้าไปอีก ไวภพหนุ่มสูงร้อยแปดสิบกว่าเลยมีหูหางกระต่ายสุดพริตตี้ที่มารวมกันแล้วชวนสยองชอบกล
ไวไวมันเลยเริ่มภารกิจหาเสื้อผ้าใส่อย่างเร่งด่วนจนได้ชุดธรรมดามาใส่ให้ดูเป็นผู้เป็นคนบ้าง หลังจากนั้นมันก็ตามหาผมแต่ไม่เจอ เลยเดาว่าผมคงไปเกิดที่อื่นที่ไม่ห่างกันนัก เพราะเข้าเกมอยู่ในที่เดียวกัน มันเลยทำภารกิจรอผมไปพลางๆ ศึกษาเกมไปด้วย
ระหว่างนั้นมันดันนึกปิ๊งไอเดียแปลกๆ เพื่อทำให้สภาพคำสาปกระต่ายของตัวเองดูได้มันเลยลงทุนวิ่งหาตามขบวนพ่อค้า ตามร้านในเมืองจนได้ชุดนักมายากลกับหน้ากากโจ๊กเกอร์มา ด้วยความที่มันไม่เพิ่มสถานะอะไรเลย ราคาจึงถูกพอจะซื้อได้ พอเคลียร์ทุกอย่างเสร็จมันก็มาจบอยู่ที่นี่
“ภารกิจนี้ถ้าไม่ใส่กำไลพิลึกจะไม่สามารถรับภารกิจได้ ฉันเห็นนายลังเลเหมือนจะไม่อยากทำเลยจัดการจับยัดใส่จะได้มาร่วมชะตากรรมเดียวกันไง”
ผมตบหัวมันหน้าทิ่ม ไม่ติดว่ามีหน้ากากมันคงหัวโขกโต๊ะจนปูดเป็นลูกมะนาว
“นิสัยว่ะ เอาเถอะยังไงก็คิดจะรับภารกิจนี้อยู่แล้วไม่ช้าก็เร็ว ถ้ารออีกคนแล้วทำไม่สำเร็จยังไงฉันยังมีผู้ช่วยอยู่ หึหึ”
“ผู้ช่วยอะไรวะ หรือนั่นคือสาเหตุที่ทำให้มึงทำภารกิจช้า” มันถามด้วยน้ำเสียงสนใจ
“ผู้ช่วยก็คือผู้ช่วย เดี๋ยวเจอก็รู้เองแหละเพื่อน เอาล่ะ ดูเหมือนคนที่ห้าจะมาแล้ว”
ผมมองไปทางประตูผ่านผ้าคลุม เพราะเห็นประตูเปิดออก หญิงสาวหน้าตาสะสวยแสนคุ้นตาเดินเฉิดฉายเข้ามาภายในร้าน รู้สึกอยากหันหน้ากลับทันที ดึงผ้าให้ปิดหน้ามากกว่าเดิม ผมตาโต ดวงเราคงหนีกันไม่พ้นรึเปล่าแม่มดบ้าภารกิจ
ดวงตาสีเทามองตามหญิงสาวไปถึงเคาน์เตอร์ ไวไวผิวปากชอบใจ พอสังเกตเห็นท่าทางของผมเลยซักใหญ่
“เฮ้ย! อะไรวัต คนสวยมาร่วมปาร์ตี้ทั้งทีทำหน้าเหมือนเจ้าหนี้มาทวงเงิน เออจริงสิ แล้วนายโดนคำสาปอะไร ไหนมาดูดิ๊ สังเกตตั้งแต่เมื่อกี้ ปกติมึงผิวขาวขนาดนี้เลยเหรอ”
มันไม่พูดอย่างเดียว ตะปบสองมือเข้าหน้าผมแล้วส่องโดยไม่คิดเอาผ้าคลุมออกคงจะรู้ว่าผมไม่อยากเผยความจริงสู่ชาวโลก ลูบหน้าไม่รู้เรื่อง ลามไปที่หู พอเจอปลายหูแหลมมันเลิกคิ้วแล้วแยกปากดูเขี้ยวผมทันที พร้อมก้มมาซะประชิดจะได้เพ่งมองให้ชัดๆ ทำไมใครๆ ก็ชอบแยกปากผมจริง
“วิ้วว เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงทำตัวลับๆ ล่อๆ กลางวันแสกๆ แบบนี้เพราะเป็นแวมไพร์นี้เอง ว่าแต่วัต มึงเป็นแวมไพร์พิการเหรอ ทำไมเขี้ยวข้างนึงมันขึ้นแบบครึ่งๆ กลางๆ อย่างงั้นล่ะ”
“ถุย แหวะ เค็มขี้มือ ไม่ได้เป็นแวมไพร์พิการโว้ย เพียงแค่เอาเขี้ยวไปแลกอาวุธคู่ใจมา ตอนนี้มันเพิ่งงอกกลับ อีกสองวันคงเป็นปกติ”
“เฮ้ย จริงดิ! ร้านเดียวกันรึเปล่าวะเนี่ย ของฉันเองก็ใช้ขนไปแลกมา ดูดิ ขนหูแหว่งไปแถบนึง ดีที่ผมปิดไว้เลยไม่ชัด ไม่งั้นอุบาทว์ตาย”
ผมอึ้งดูมันก้มหัวให้ดูแถวโคนหู หายเป็นแถบจริงๆด้วย ผมกับมันมองหน้ากันแล้วหลุดขำก๊ากกันสองคน คนนึงก็เขี้ยว อีกคนก็ขน เจริญจริงๆ พ่อค้าร้านนั้นคงจะเป็นพวกสะสมของแปลกแหงๆ
“พวกนายหัวเราะกันเสร็จรึยังยะ จะได้ออกเดินทางสักที ชักช้าตัวถ่วง”
ต้นเสียงเหวี่ยงๆ ดังมาจากหญิงสาวในชุดสวย พวกผมเลิกสุมหัวหันไปมอง เห็นผู้ชายอีกสองคนทำหน้าหงุดหงิดเลยพากันยักไหล่ ยอมลุกจากเก้าอี้เดินตามไปแต่โดยดี ไม่อยากมีปัญหากับคนในทีมตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
แม้ว่าผมจะมีตัวช่วยอยู่ ยังไงก็ยังอยากทำให้สำเร็จด้วยตัวเองมากกว่า ยิ่งมีเพื่อนซี้อย่างไวไวอยู่ด้วย งานนี้ถึงไหนถึงกัน
ในกลุ่มปาร์ตี้ผู้หญิงคนนั่นเป็นคนนำทีมพวกเราเข้าไปในป่า จะถามว่าทำไมเอะอะ อะไรก็เข้าป่าเรอะ ต้องเข้าใจว่ารอบๆ เมืองนี้นอกจากป่าก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลยจริงๆ ป่าอย่างเดียว ภูเขาอะไรก็ไม่มี ถ้าอยากเจอภูเขาคงต้องไปไกลกว่านี้ ซึ่งนั่นหมายความว่าพ้นเขตเมืองนี้ไปแล้ว
การเดินทางช่วงต้นไม่มีปัญหาอะไร จัดการพวกมอนสเตอร์ที่โผล่เข้ามาได้สบายๆ อยู่ อาจจะตึงมือบ้างเวลาถูกรุม โดยที่ไม่มีใครช่วยเพิ่งเลือดให้กับคนในทีม ผมเลยต้องรับหน้าที่นี้ไปโดยไร้ปากเสียง
ผมใช้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของแวมไพร์ ในตอนกลางวันแดดจ้าก็จริง พอเข้ามาในป่า แดดก็น้อยลงผมอาศัยพวกร่มเงาของต้นไม้ได้ เคียวเปลี่ยนเป็นแบบสองมือมีโซ่คล้องระหว่างเล่มเพื่อสะดวกแก่การเหวี่ยงและดึงเก็บ คอยตอดเลือดมอนสเตอร์รอบๆ ในทีมนี้มีแต่พวกสายโจมตีทั้งนั้น
ไวไวใช้ไม้เท้านักมายากลซัดมอนสเตอร์แมงมุมปลิวไปอัดต้นไม้ ผสมกับการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วเน้นในการกระโดดสมเป็นกระต่าย ถีบขาคู่จนมอสเตอร์หมูป่าแทบแบนติดพื้นแล้วกระโดดไปจัดการตัวอื่นต่อ
ทางสาวเจ้าร่ายเวทอุตลุดเผาพวกมอนสเตอร์ด้วยไฟสีดำ อีกสองคนที่เหลือเป็นนักดาบกับโล่สู้แบบพอเอาตัวรอดได้
พวกเรากรุยทางกันต่อไปเรื่อยๆ ภารกิจกำจัดบอสในหมู่บ้านระดับแรกแบบนี้ไม่ค่อยโหดหินเท่าไหร่นักหรอก ผมเลยไม่กังวลช่วยคนอื่นไป นั่งเก็บของไปสบายใจ กระทั่งพวกเรามาถึงโพรงไม้ขนาดใหญ่ เหมือนแปะป้ายยี่ห้อว่านี้แหละคือรังบอส
เจ้าคนถือโล่เดินนำเข้าไปก่อนในฐานะที่มีพลังป้องกันสูงสุด และต้องคอยปกป้องทุกคนในทีม ตามด้วยนักดาบคอยช่วยเหลือเวลามีมอนสเตอร์หนูพุ่งเข้าใส่ เสริมด้วยนักเวทสาวสาดพลังเป็นว่าเล่นจนผมหวาดเสียวว่าไฟมันจะไหม้อบพวกเราตายกันทั้งหมดนี้รึเปล่า
ตามด้วยผม ตรงจุดนี้ผมช่วยอะไรไม่ได้มากนอกจากใช้สายตาที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้อยู่ในที่มีแสงน้อย ในการบอกทางและเตือนคนอื่นๆ ปิดท้ายด้วยไวไวคอยจัดการพวกโผล่มาด้านหลัง พวกเราเดินลึกเข้ามาในโพรงไม้เรื่อยๆ
กำจัดมอนสเตอร์ไปตลอดทาง ที่นี่มีแต่หนู คงจะเป็นรังของพวกมัน ทีนี้ไม่ต้องเดาเลยว่าบอสใหญ่มันจะเป็นตัวอะไร ผมนั่งพักตรงจุดที่ปลอดมอนสเตอร์ เพื่อเติมพลังกันก่อนเข้าห้องบอส แต่ละคนควักยาออกมากระดกดื่มต่างน้ำ ไวไวอาศัยช่วยพักเข้ามาคุยกับผม หลังจากที่มัวแต่ลุยกะรวดเดียวจบจนไม่ได้พักมาตลอดทาง
“เป็นนายนี้สะดวกดีชะมัด ฉันดิต้องคอยอุดหู เสียงร้องของหนูพวกนี้ทำเอาปวดหัว”
ผมโยนขวดยาให้มันดื่มๆ ไปจะได้เลิกบ่น มีหูดีเกินไปก็ซวยอย่างงี้แหละ
“มันก็ไม่ใช่สักทีเดียวหรอก ถ้าเกิดฉันบาดเจ็บหนักต้องพลังใกล้หมดจะอาศัยพวกนักบวชมาคอยเพิ่มพลังให้ไม่ได้”
“อ้าว แล้วที่เพิ่มเลือดชาวบ้านเขารัวๆ นี้ไม่เท่ากับว่าเป็นนักบวชซะเองเรอะ” ผมส่ายหัวตอบ เรียกเคียวออกมาในรูปแบบปกติไม่ได้แยกเป็นสองเล่ม
“ดูสถานะของเคียวดิ ได้วิธีการเพิ่มเลือดจากการดูดเลือดศัตรูมา ลองคิดดูว่า ถ้าเกิดฉันบาดเจ็บจนขยับไม่ได้ จะเอาแรงที่ไหนไปตวัดเคียวดูดเลือดจากมอนสเตอร์มาให้ตัวเองกัน”
ไวไวยกมือสองข้างเหมือนยอมแพ้ ถึงผมจะไม่เห็นสีหน้ามันใต้หน้ากาก พอเดาได้อยู่ว่าแสดงสีหน้าแบบไหน มันคงกำลังขยาดน่าดู
“เจอแบบนี้ก็ไม่ไหวว่ะ งั้นไม่เท่ากับนายต้องคอยดูเลือดชาวบ้านเหมือนแวมไพร์เพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเองหรือไง”
เจ้าตัวถามต่อ ไอ้ผมก็ว่างแถมเป็นเพื่อนซี้ไม่คิดปิดบังเลยตอบไป อนาคตข้างหน้ามันเห็นผมโดดกัดคอใครจะได้ไม่เป็นกระต่ายตื่นตูมถีบจนผมเดี้ยง
“ตามนั้น ไม่ต้องห่วง ถ้าไม่จวนตัวจริงไม่คิดจะดูดเลือดหรอก ไม่อยากเอะอะอะไรสูบเลือดชาวบ้านเหมือนกัน”
มันหัวเราะใหญ่ ตบหลังผมอั๊คๆจนแทบอ้วกยาเพิ่งพลังที่ดื่มเข้าไปออกมาใส่หน้ามัน ผมรู้สึกว่าตลอดการพูดคุยของพวกเรามีเจ้คนนั้นคอยมองอยู่ ผมทำเป็นไม่เห็นแล้วดึงให้ไวไวมันลุกขึ้นเตรียมบู๊แหลกกันต่อ