Chapter 10ระหว่างวัน ทั้งสองหนุ่มเข้าไปทำงานในห้องแล็บด้วยกันตามลำพัง ส่วนพวกลูกน้องในคอนโทรลต่างพากันออกไปทำงานตามไซต์งานกันหมดแล้ว ทว่าน่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้มีเวลาสู้รบตบมือกันอย่างที่ใจต้องการนัก เหตุเพราะเมื่อวานทำงานไปได้ไม่ถึงตามที่กำหนดไว้ แล้ววันนี้ก็อยู่ดึกมากไม่ได้ เนื่องจากมีงานเลี้ยงฉลองร่วมกันภายในแผนก
มือขาวข้างหนึ่งถือหูโทรศัพท์ไว้ อีกมือวางบนแป้นพิมพ์ เขาพูดคุยกับคนในสายเป็นภาษาอังกฤษอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกดวางสายไปด้วยความหงุดหงิด “Shit! ทางบริษัทซัพพลายเออร์บอกว่าต้องติดต่อกับบริษัทใหญ่ก่อน จะส่งซอฟต์แวร์มาให้อัปเกรดได้เร็วที่สุดเย็นวันนี้”
ตฤณหยุดกึก “ตามกำหนดการของเรา จะให้ทุกคนออกไปทำการติดตั้งวันพุธหน้านี้แล้ว จะทันเหรอครับเนี่ย”
“ไม่ทันก็ต้องทัน บางทีอาจจะต้องเข้ามาทำต่อวันเสาร์อาทิตย์นี้” ผู้เป็นนายถอนหายใจ
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ก็มีเสียงฝีเท้ากึงๆ ของใครบางคนเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องแล็บ เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นหยุดฟังการสนทนาด้านในอยู่สักพัก แล้วจึงเคาะประตูห้องเบาๆ
ก๊อกๆ
หากไม่มีเสียงตอบมาจากภายใน มีแต่เสียงงึมงำของคนสองคนที่ปรึกษาพูดคุยกันด้วยคำศัพท์เฉพาะทางด้านระบบสื่อสารคอมพิวเตอร์เท่านั้น
ร่างสูงเกาศีรษะแกรกๆ เหมือนเป็นชันนะตุ เขาลังเลอยู่สักพัก แล้วก็ตัดสินใจขอคำปรึกษาจากเจ้านาย “ผู้จัดการ! ผู้จัดการหยุดพิมพ์แล้วเงยหน้าขึ้นมาคุยกับผมก่อน”
“มีอะไรก็พูดมา” ร่างโปร่งตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากจอมอนิเตอร์เลยแม้แต่น้อย ปลายนิ้วเรียวก็ยังเคาะรัวๆ ไปบนคีย์บอร์ด
“คุณพิมพ์ยิกๆ แบบนี้แล้วจะพูดกับผมรู้เรื่องมั้ยเนี่ย”
เจ้านายพรูลมหายใจออกหนักๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “ว่าไง!”
ตฤณลุกขึ้นชี้ไปบนภาพวาดจำลองระบบเครือข่ายบนกระดานไวต์บอร์ด “คือว่าไอ้ตรงที่เชื่อมต่อระหว่างสองเครื่องนี้ ใส่ QoS เพิ่มไปดีมั้ยครับ”
“ไม่ต้องใส่หรอกตรง core มี bandwidth มากมาย เสียเวลาเปล่าๆ”
“แต่ตรงนี้มีข้อมูลวิ่งเยอะกว่าที่อื่น อาจจะมีปัญหาในอนาคต”
“ถ้างั้นก็เอาไว้ให้เขาซื้อบริการของบริษัทเราเพิ่มทีหลังแล้วกัน”
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง แต่สองหนุ่มภายในห้องแล็บที่กำลังโต้เถียงกันอย่างหน้ามืดตามัวไม่ทันสนใจ พวกเขายังคงเผชิญหน้าเถียงกันต่อไปอย่างเมามัน จนบานประตูแง้มเปิดออก พร้อมกับชายวัยกลางคนในชุดสูทที่ก้าวเข้าไปด้านในช้าๆ
“โธ่ ผู้จัดการ! อย่าพูดงกๆ แบบนั้นสิครับ”
คิ้วเรียวขมวดเป็นปม “ฮะ?! งก? ตรงไหนกัน ก็มันยังไม่จำเป็นนี่!”
“อีกอย่าง โพรเจกต์มันมากับสัญญาบริการห้าปีเต็มจากบริษัทเรานะครับ! ไม่เสียเวลาวันนี้ ก็ต้องเสียเวลาวันหน้าอยู่ดี”
นภเกตน์หยุดคิดไปชั่วครู่ “ถ้าคุณคิดว่าดีก็ใส่เพิ่มเข้าไปสิ”
“แฮ่... ใส่แบบไหนดีอะครับ” ตฤณยิ้มกว้าง
ผู้เป็นนายที่ต้องทำงานแข่งกับเวลาไปพลาง เถียงกับผู้ช่วยตัวดีไปด้วยเริ่มหงุดหงิด เขาชักจะหมดความอดทนจึงลุกขึ้นต่อว่า “ฮื้ยยย! คุณจะใส่คำสั่งเพิ่ม แต่ไม่รู้ว่าจะใช้อันไหนเนี่ยนะ เปิดหนังสือหาเอาซี่”
“เอ๊า! ก็มันเสียเวลา แล้วถามผู้จัดการก็ไวกว่านี่ครับ”
“คุณเห็นผมเป็นกูเกิลรึไง!”
“ไม่ใช่ครับ เห็นเป็นอับดุล”
ชายวัยกลางคนผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานบริษัทหัวเราะเบาๆ อย่างพอใจ เขาตั้งใจจะแวะมาดูหลานชายสุดที่รักทำงานสักหน่อย แต่ไม่คิดว่าจะได้พบเห็นอะไรดีๆ แบบนี้... ก็ตั้งแต่เขารับนภเกตน์มาเลี้ยง เขาไม่เคยเห็นนภเกตน์พูดมากและแสดงสีหน้าหลายๆ แบบขนาดนี้เลย “แหม... ขยันกันจริงๆ”
เสียงนั้นทำให้สองหนุ่มหยุดกึก แล้วพร้อมใจกันหันขวับไปทางต้นเสียงทันที “อาพี! / ท่านประธาน!”
“อามีอะไรรึเปล่าครับ” นภเกตน์วางมือจากการโต้เถียงกับตฤณอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีหรอก แค่แวะมาดูว่าทำงานกันเป็นยังไง ดูเข้ากันได้ดีนะเนี่ย” พีรพัฒน์เอ่ยชม “ไว้จบโพรเจกต์นี้อาต้องขึ้นเงินเดือนให้ทั้งคู่เลย”
ตฤณยิ้มเผล่รับทันควัน “ถ้าท่านจะกรุณา ผมก็ไม่ปฏิเสธครับ”
ร่างโปร่งหันไปส่งสายตาดุๆ ใส่รองผู้จัดการจอมกะล่อน จากนั้นจึงหันกลับมาหาอาพีรพัฒน์ “ออกไปคุยกันในห้องทำงานมั้ยครับ”
“โอ๊ยๆ ไม่ล่ะ อาแวะมาดูเฉยๆ ไม่กวนหลานดีกว่า” พีรพัฒน์ส่ายหน้ารัวๆ จากนั้นก็หันไปคุยกับร่างสูงเล็กน้อย “ฝากดูแลหลานฉันด้วยนะ ตฤณ”
“ครับท่าน” ตฤณค้อมศีรษะรับ พลางหันไปยักคิ้วถี่ๆ ให้กับเจ้านาย จนนภเกตน์จ้องกลับตาแทบถลน
ประตูห้องทำงานปิดลงช้าๆ หลังจากที่พีรพัฒน์เดินออกไป ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างมีความสุข ถึงแม้เขาจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของนภเกตน์อย่างที่ต้องการจะเห็น แต่ถ้าเทียบวันนี้กับวันที่พบกันที่สนามบิน นภเกตน์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว
น่าแปลกจริงๆ ทั้งที่เขามีหลานอยู่สองคน หลานชายและหลานสาวอย่างละคน แต่คนที่ทำให้เขาเป็นห่วงมากที่สุด กลับกลายเป็นหลานชายไปซะได้
...หากสำหรับอาอย่างเขา ซึ่งได้แต่มองและเฝ้าดูการเติบโตของหลานรักจากที่ไกล แค่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ก็เรียกได้ว่าเป็นข่าวดีมากแล้ว
เมื่อเวลาดำเนินไปจนถึงบ่ายแก่ๆ สองหนุ่มทำงานตามแผนงานที่วางไว้ไปได้มากแล้ว จะยกเว้นก็แต่การอัปเดตซอฟต์แวร์เจ้าปัญหา ที่ทำให้พวกเขาทางตัน ไม่อาจทำอะไรต่อไปได้
“ใกล้เลิกงานแล้ว เอาไงดีครับ จะรอมั้ย ให้ทุกคนไปรอที่ร้านอาหารก่อน พวกเราก็รอซอฟต์แวร์แล้วจะได้อัปเกรดทิ้งไว้เลย แล้วค่อยตามไปทีหลัง” ร่างสูงหันไปถามเจ้านาย
“.....” นภเกตน์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู นี่ก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว เขาจะตัดสินใจยังไงดีนะ
ก๊อกๆ
บานประตูห้องแล็บเปิดออกกว้าง “ฮ้ายยย!” ธนากรกระโดดเข้ามาทักทายชายหนุ่มทั้งสอง “พร้อมมั้ยครับ ผมเตรียมทั้งรถและตั๋วเครื่องบินไว้ให้กับทุกคนที่ต้องออกไซต์งานเรียบร้อยแล้ว แล้วนี่ก็เลิกงานแล้วด้วย เราไปกินเลี้ยงเปิดโพรเจกต์กันเถอะครับ”
นภเกตน์ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงฝีเท้าตึงตังของวิศวกรนับห้าสิบชีวิตก็กรูกันมาอออยู่ตรงหน้าห้อง ทุกคนรอคอยเวลาที่จะได้ไปงานเลี้ยงร่วมกัน พวกเขายืนออกันอยู่คล้ายกลุ่มของนกเพนกวิน ต่างพากันทำตาปริบๆ และนั่นก็ทำให้ผู้เป็นนายอ้ำอึ้ง
กินเลี้ยง! เนื้อย่าง! กินเลี้ยง! พวกลูกน้องทั้งหลายบอกผ่านออกมาทางสายตา ซึ่งเมื่อเจ้านายเห็นแล้วก็ไม่อยากจะปฏิเสธ
ร่างโปร่งหันไปสบตากับผู้ช่วย ก่อนหันไปตอบ “ไปเถอะ ไปกินเลี้ยงกัน”
“เย้! เย้! เย้!” เหล่าวิศวกรหลุดไชโยโห่ร้องกันขึ้นมาเสียงดังลั่น ส่งผลให้ผู้เป็นนายได้ยิ้มมุมปากเล็กน้อยไปกับท่าทางดีใจของพวกเขาด้วย
จากนั้น รถเก๋งหลายสิบคันก็เคลื่อนออกจากตัวบริษัทไปยังร้านที่นัดหมาย ร้านอาหารที่พวกเขาจะไปในวันนี้อยู่ชานเมืองไม่ไกลจากบ้านของตฤณนัก ธนากรเลือกร้านนี้เพราะมีบริเวณกว้างขวาง มีเรือนอาหารหลายๆ หลังซึ่งมีขนาดแตกต่างกันไป สร้างไว้ในสวนและสระน้ำที่จัดแต่งไว้อย่างสวยงาม เขาเลือกจองเรือนใหญ่ขนาดกลางกลางสระน้ำ เพื่อที่เหล่านายช่างทั้งหลายจะได้ส่งเสียงดัง โวยวายกันได้อย่างเต็มที่ แถมร้านนี้ยังเปิดจนถึงตีสอง ทุกคนจะได้สนุกกันยาวก่อนจะแยกย้ายกลับไปพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์
นภเกตน์บอกให้คนขับรถของตนกลับไปก่อน เมื่องานเลี้ยงใกล้เลิกแล้วจึงจะโทรไปตามให้มารับ ส่วนเจ้าตัวออกไปพร้อมกับธนากร ซึ่งไม่นานตัวรถก็เคลื่อนเข้าไปจอดในที่จอดรถของร้านอาหารในระยะเวลาใกล้ๆ กันกับพวกลูกน้องอีกหลายสิบชีวิต
ภายในเรือนอาหารมีโต๊ะใหญ่สำหรับนั่งพื้นจัดไว้สี่โต๊ะด้วยกัน มีเบาะสำหรับนั่งปูไว้โดยรอบโต๊ะแต่ละตัว ผู้เป็นนายถูกเชิญไปนั่งร่วมโต๊ะกับธนากร ส่วนตฤณนั้นก็แยกไปนั่งอีกโต๊ะกับรุ่นน้องคนสนิทของเขา
อาหารมากมายกับเบียร์นับสิบเหยือกถูกนำมาเสิร์ฟโดยไม่ว่างเว้น จากที่นั่งรับประทานอาหารกันแบบเงียบๆ ในคราวแรก บรรยากาศก็แปรเปลี่ยนเป็นครึกครื้นขึ้นทีละน้อย จนกลายเป็นเสียงดังโวยวายในท้ายที่สุด
หลายๆ คนลุกขึ้นร้องเพลงแล้วเต้นรำ ซ้ำยังผลัดเปลี่ยนกันมารินเบียร์ให้กับเจ้านายโดยไม่ว่างเว้น นภเกตน์นั่งนิ่งๆ รอให้ใครต่อใครมารินเบียร์ให้แล้วชวนชนแก้วกับตนไปเรื่อยๆ สลับพูดคุยกับธนากรบ้าง ส่วนตฤณนั้นลุกขึ้นร้องเพลงที่ตนแต่งขึ้นมาเองสดๆ โดยมีบวรวิทย์ ภูริณัฐ และกิตติเป็นลูกคู่
“คุณนภเกตน์ไม่ลุกขึ้นสนุกกับพวกเขาบ้างเหรอครับ” ธนากรถามกลั้วหัวเราะ
“ไม่ล่ะ... นั่งดูทุกคนแบบนี้สนุกดี”
“ว่าแต่คุณก็ดื่มเก่งไม่ใช่เล่นเลยนะครับ หมดเบียร์ไปไม่รู้กี่แก้วแล้วไม่ยักกะเมา”
นภเกตน์ยิ้มมุมปาก... “แค่นี้เล็กน้อยน่ะ” พลางชำเลืองมองร่างสูงใหญ่ที่กำลังร้องเพลงเสียงหลง เต้นแอ่นหน้าแอ่นหลังเหมือนคนเมา
“ไอ้ตฤณมันไม่ได้เมาหรอกครับ นั่นปกติของมัน”
ฮะ! นี่ขนาดปกติเรอะ! ร่างโปร่งตะลึงอยู่ในใจ แต่เมื่อมองไปมองมาอยู่สักพัก ก็เริ่มเห็นว่าตฤณนั้นแยกร่างได้ เขาจึงสำนึกได้ว่าดื่มเบียร์เข้าไปเยอะมากเกิน เริ่มจะมึนๆ ศีรษะนิดหน่อยแล้ว และก็อยากจะไปเข้าห้องน้ำด้วย ชายหนุ่มหันมองไปรอบๆ ทุกคนกำลังสนุกกันสุดเหวี่ยง เขาจึงขอตัวออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
ระหว่างทางเดินกลับมาจากห้องน้ำ มือขาวก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมโทรตามคนขับรถ เขาคิดว่าตนเองกำลังจะเมาในอีกไม่ช้าแล้ว ทว่าขณะเดียวกัน ตฤณก็เปิดประตูเดินออกมาจากในเรือนอาหารพอดิบพอดี
“อ้าว จะถอยแล้วเหรอครับ”
น้ำเสียงกึ่งเย้ยหยันนั่นบวกกับความเมากึ่มๆ ทำให้ร่างโปร่งนึกฉุน เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าไปอีกครั้ง “ถอยอะไรกัน หึ แล้วคุณล่ะ ออกมาแบบนี้ ไม่ใช่ถอยรึไง”
“ผมแค่ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง”
จู่ๆ บานประตูแบบเลื่อนก็เปิดออกผาง ตามมาด้วยเสียงอ้อแอ้ ป้อแป้ของลูกน้องทั้งหลาย “ปรี้ตริ๊น! ปู้จั๊ดก๋าน!” ก่อนทุกคนจะเฮโลกันออกมาต้อนหน้าต้อนหลังสองหนุ่มให้กลับเข้าไปข้างใน
“ดื่มคั่บ ไผหยุ้ดก่อนแพ้คั่บบบบ” พวกเขาพูดพร้อมกับส่งเบียร์แก้วใหญ่ให้กับทั้งคู่ จากนั้นก็เริ่มพนันกันเสียงดังโล้งเล้ง
“ปรี้ตฤณชนะ ร้อยนึง”
“ปู้จัดก๋านนนน ร้อยนึงโด้ยยยย”
อารมณ์กึ่มๆ บวกกับการที่ไม่ชอบยอมแพ้ ส่งผลให้ทั้งนภเกตน์และตฤณยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มอักๆ แก้วแล้วแก้วเล่าอย่างไม่มีใครยอมใคร เสียงเชียร์บ้าคลั่งจากพวกลูกน้องก็ยิ่งดังกระหึ่ม จนกระทั่งใบหน้าของทั้งสองเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ นั่งโอนเอนไปโอนเอนมา
“เฮ้ยๆ พอแล้ว! เดี๋ยวเจ้านายพวกเอ็งก็เมาตายทั้งคู่พอดี” ธนากรตรงเข้าไปห้ามทัพ เขาดึงแก้วเบียร์ออกจากมือนภเกตน์ แต่พอวางแก้วใบนั้นลงบนโต๊ะเท่านั้น ร่างโปร่งก็เซซบมาทางเขา แล้วก็หมดสติไปทันที “เฮ้ย!! คุณนภเกตน์! ชิบหายละ!” ทว่าพอหันหน้าไปหาเพื่อนตน ตฤณก็หมอบลงกับโต๊ะ สลบไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน “ว้าก! ไอ้ตฤณ!”
ธนากรเป็นคนเดียวที่แทบไม่ได้ดื่มอะไร เขามองสภาพวิศวกรทั้งหลายแล้วส่ายหน้า ดีที่เขารู้จักกับเจ้าของร้านดี คงจะปล่อยให้ไอ้พวกนี้เมาปลิ้นกันจนถึงเช้าได้ แต่สำหรับตฤณกับนภเกตน์ เขาต้องพาไปส่งที่พัก จะปล่อยให้เจ้านายนอนเมาปะปนกับลูกน้องคงดูไม่ดีนัก... ด้วยความปรารถนาดี เขาจึงหิ้วปีกเพื่อนรักและเจ้านายไปยังรถของตนทีละคน แล้วพาทั้งคู่ไปยังบ้านของตฤณที่อยู่ใกล้ๆ กับร้านอาหารมากที่สุด
TBC~*แย่แล้ววว ความปรารถนาดีของพี่แหลม จะพาเจ้านายกับพี่ตฤณไปร่วมหอลงโรงกันแทนมั้ยเนี่ย 5555
ขอให้ติดตามอ่านตอนต่อไปนะค้า