Chapter 2เช้าตรู่ของวันใหม่อีกวันกับตำแหน่งใหม่ของชายหนุ่มทั้งสองเริ่มขึ้นอย่างมืดครึ้ม เพราะท้องฟ้าในฤดูฝนเป็นสีเทาหม่น ก้อนเมฆลอยต่ำหนาตาจนดูเหมือนฝนจะเทลงมาอยู่รอมร่อ
ตฤณนอนไม่หลับตลอดคืน เขาอยู่ในช่วงอกหักอย่างแรง แถมยังเฟลกับหน้าที่การงานอีก ชายหนุ่มมาทำงานด้วยท่าทางสะโหลสะเหล ละเหี่ยใจ เขาใส่เสื้อเชิ้ตตัวเก่าๆ ส่งกลิ่นหืนๆ กับกางเกงสแล็กสีกระดำกระด่างรัดต้นขาแน่น ขายาวพาเจ้าของให้เดินไปยังโต๊ะที่นั่งของตน แล้วฟุบหน้าลงอย่างอ่อนใจ
“พี่ตฤณ ไปรบกับใครมาวะ” ภูริณัฐ รุ่นน้องร่างท้วมชะโงกหน้าเข้ามาทัก พลางใช้นิ้วเขี่ยๆ รุ่นพี่ด้วยความเป็นห่วง “พี่ขจรรออยู่ที่ห้องอะ บอกว่าพี่มาแล้วให้ไปหา”
“อือ...” มือใหญ่กระชากตัวรุ่นน้องเข้ามากอด เขาซุกหน้าลงตรงพุงพลุ้ยๆ ของรุ่นน้อง “กอดข้าหน่อย ข้าต้องการความอบอุ่น”
ภูริณัฐบิดตัวไปมาอย่างสะดีดสะดิ้ง “วุ้ยยย เป็นอะไรวะพี่”
“เอ็งเห็นเขาบนหัวข้ามั้ย ปิ่นทิ้งข้าไปกับคนข้างบ้านแล้ว” ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อย
“โอ้ว... โถ... พี่...” รุ่นน้องร่างหมีไม่รู้จะทำยังไง เขาจึงกอดรุ่นพี่ไว้หลวมๆ เพื่อปลอบใจ “แต่พี่ก็ได้เลื่อนตำแหน่งแล้วนี่ไง แฟนน่ะ เดี๋ยวหาใหม่ก็ได้น่า ดูซิ เขาพี่ออกจะงามงอน”
...ไอ้หมีบ้า เอ็งปลอบอะไรของเอร็งงงง แล้วอะไร ตำแหน่งใหม่งั้นเหรอ... “ฮือออออ” ตฤณยิ่งฟูมฟายหนักกว่าเดิม
“พี่ๆ พี่ขจรชะโงกหน้าออกมาจากห้องแล้ว พี่ไปพบพี่ขจรก่อน เออๆ ผู้จัดการแผนกคนใหม่ก็มาแล้วนะ อยู่ในห้องใหญ่ที่บริษัทจัดไว้ให้ใหม่ตรงนู้นง่ะ” อุ้งมือหมีดันศีรษะรุ่นพี่ออกจากตัวรัวๆ พลางคิดไปในใจ... รีบๆไปเลยไปไอ้พี่ตฤณ เดี๋ยวเขาจะได้ไปปล่อยข่าวรุ่นพี่โดนแฟนทิ้งให้แพร่กระจายไปไวราวกับไฟลามทุ่ง
ขจรเดินออกมาจากห้องแล้วมาหยุดตรงสองร่างที่กำลังกอดกันกลม “เฮ้ยๆ เบาๆ หน่อย คิดถึงอะไรกันแต่เช้า ไอ้ตฤณ ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าดีๆ แล้วตามพี่มา! ให้ไว!”
ตฤณทำหน้าเซ็งๆ เขาลุกขึ้นสอดชายเสื้อเชิ้ตไว้ในกางเกง เอามือลูบๆ ผมสองสามที แล้วเดินโซซัดโซเซ ปล่อยกลิ่นเรี่ยราดรายทางตามขจรออกไป ทั้งสองเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าห้องขนาดใหญ่ ซึ่งมีเลขาสาวสวยคนใหม่นั่งประจำโต๊ะข้างหน้าห้อง
หญิงสาวยิ้มหวาน ดวงตาของเธอเปล่งประกายปริ๊งๆ ทุกครั้งที่เห็นผู้ชายเดินคู่เคียงกัน “สวัสดีค่ะ หลินค่ะ คุณขจรกับคุณตฤณ เชิญข้างในเลยค่ะ”
โอ้ว... มายยยย... คุณตฤณ หล่อเข้ม เด็ดกว่าคุณธนากรที่กะจะเอามาจิ้นกับเจ้านายตอนแรกตั้งเยอะ!! เธอตื่นเต้นดีใจที่ได้คู่จิ้นใหม่ในที่ทำงานเป็นอย่างมาก จนเก็บอาการไว้แทบไม่อยู่ ที่เธอเลือกและดึงดันมาทำงานแผนกชายล้วนก็เพราะแบบนี้ล่ะ!
อาห์ ฝันที่เป็นจริงขจรพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแหยๆ แล้วเปิดประตูเข้าไปภายในห้องนั้น
ห้องขนาดใหญ่ มีโต๊ะทำงานสองตัวตั้งหันหน้าเข้าหากัน แต่อยู่คนละมุมห้อง ตรงกลางห้องมีชุดโซฟาชุดใหญ่คั่น ผนังด้านหนึ่งเป็นชั้นหนังสือซึ่งมีหนังสือเล่มหนาๆ อัดแน่นจนเกือบเต็ม โต๊ะที่อยู่ด้านในสุดอยู่ชิดบานหน้าต่างใสที่มีม่านปกคลุม บนเก้าอี้หลังโต๊ะตัวนั้น มีชายหนุ่มผิวขาวจัด อยู่ในชุดสูทสีดำนั่งอยู่
ขจรค้อมศีรษะลงต่ำ “สวัสดีครับ คุณนภเกตน์ ผมพาผู้ช่วยของคุณ
นภเกตน์มาให้แล้ว นี่นายตฤณ พัชรวิทิตครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตฤณก็ยกมือขึ้นไหว้ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับร่างโปร่งเจ้าของชื่อ นภเกตน์ คนนั้น ดวงตาคมกริบเบิกโพลง ผู้ชายคนนี้คือคนเดียวกับเมื่อวาน คนที่มีดวงตาที่ทำให้เขานึกถึงลูกหมาคนนั้นนี่หว่า “อะ!”
นภเกตน์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หืม” ...เดี๋ยวก่อนซิ หน้าคุ้นๆ นะ คนที่วิ่งไล่ตะปบสบู่เป็นแมวคนนั้นนี่... พอนึกได้ว่าคือผู้ชายคนเมื่อวาน ร่างโปร่งก็ลุกขึ้นพรวด “เฮ้ย!”
“อ้าว รู้จักกันแล้วหรือครับ...”
“ปละ... เปล่า” นภเกตน์อึกอักตอบ
“ตฤณเป็นวิศวกรที่เก่งกาจที่สุดในกลุ่มวิศวกรกว่าห้าสิบนายของเรา เขาอาจจะมีประสบการณ์ในการติดต่อกับลูกค้าน้อยไปสักนิด แต่ผมก็คิดว่าเขาเหมาะสมที่จะเป็นผู้ช่วยของคุณนภเกตน์ที่สุดครับ.... คุณพีรพัฒน์ท่านก็เห็นด้วยเช่นกัน” ขจรยิ้มอย่างภูมิใจ ก็เขาเป็นคนเทรนตฤณมาเองกับมือนี่นา
“ต่อไปนี้ ตฤณจะย้ายมาทำงานที่โต๊ะอีกโต๊ะในห้องนี้กับคุณนภเกตน์นะครับ มีอะไรจะได้ช่วยกันได้สะดวกๆ”
“ฮะ!” นภเกตน์ผงะ แต่ก็พยายามข่มใจ สูดลมหายใจเข้าปอดลึก พลางชำเลืองมองคนที่จ้องตนอยู่แบบตาขวางๆ ชอบกล... ดูจากหน้าตาท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว น่าจะอายุเยอะกว่าเขามาก แต่มีเขาที่อ่อนวัยกว่ามาเป็นเจ้านาย คงไม่พอใจสินะ
หึ... ท่าทางเข้าใจยากเหมือนพวกแมวจรจัดที่เพิ่งถูกเก็บมาเลี้ยงไม่มีผิด เขาจะต้องแสดงท่าให้รู้ว่าใครเป็นเจ้านายซะก่อน
ร่างโปร่งส่งสายตาดุๆ ตอบกลับไป พร้อมกับจุดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปส่งมือให้อีกฝ่าย “ยินดีที่ได้รู้จักนะ หวังว่าคุณคงจะเก่งจริงเหมือนอย่างที่ทุกคนว่า”
เจอหน้ากันก็เห่าใส่เลยนะ เห็นเขาเป็นบุรุษไปรษณีย์รึไงวะ... แม่มเอ๊ยยยย!! ตฤณได้แต่บ่นกระปอดกระแปดอยู่ในใจ ไอ้หน้าอ่อนท่าทางหยิ่งยโสสุดๆ เนี่ยนะเป็นนายเขา นี่เขาจะต้องทำงานกับไอ้พวกลูกคุณหนูที่ดูหยิบโหย่งแบบนี้น่ะเหรอเนี่ย โถ ชีวิตหนอ... ก็ไม่ต่างกับทำงานคนเดียว แถมยังต้องเป็นพี่เลี้ยงดูแลลูกหมาอีก สายตาทั้งสองคู่ที่สบกันลั่นดังเปรี๊ยะๆ หากสุดท้ายแล้วร่างสูงก็ยื่นมือไปสัมผัสตอบ “ยินดีรับใช้ครับ คุณผู้จัดการ”
“แหม~ เด็กๆ นี่สนิทสนมกันเร็วดีจริงๆ... เอาล่ะ เชิญคุณนภเกตน์ไปคุยกันที่โซฟาดีมั้ยครับ” ขจรเอ่ย แล้วผายมือไปทางที่โซฟาตั้งอยู่ “เดี๋ยวผมมีประชุมช่วงเช้า เชิญคุณนภเกตน์กับตฤณพูดคุยทำความรู้จักกันตามลำพังดีกว่าครับ” แล้วหันไปบอกชายหนุ่มผิวสีแทน “เดี๋ยวไปเก็บข้าวของย้ายมาให้เรียบร้อยนะ ฝากดูแลคุณนภเกตน์ด้วย” จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไป
ความเงียบและเย็นเยือกเข้าปกคลุมสองหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาคนละตัวอย่างเฉียบพลันทันทีที่ประตูห้องปิดลงสนิท ทั้งคู่จ้องมองกันแบบตาไม่กะพริบ ชนิดที่ว่าถ้าการจ้องตากันทำให้ท้องได้พวกเขาคงท้องไปแล้ว ต่างคนต่างรอให้อีกฝ่ายเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนา
...ไอ้หมอนี่น่ะเหรอ ที่ทุกคนต่างชื่นชมว่าเก่งกาจนักหนา ขนาดว่าอาพีรพัฒน์ยังเลือกให้มาทำงานคู่กับคนระดับเขา ท่าทางเนิร์ดชะมัด แล้วดูแต่งตัวเข้าสิ สภาพแบบนี้ ไปพบลูกค้า ลูกค้าที่ไหนจะให้ความเชื่อถือกัน... นภเกตน์นึกต่อว่าคนตรงหน้าอยู่ในใจ
“จริงสิ” ในที่สุด ผู้เป็นเจ้าของห้องก็เริ่มก่อน “คุณตฤณ เรื่องเมื่อวาน”
“ครับ” ตฤณกลอกตาไปมาเพื่อย้อนนึกตาม เรื่องเมื่อวาน... เรื่องที่เขาวิ่งไล่เก็บสบู่เมื่อวานน่ะเหรอ
“พูดกันตรงๆ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าหากคุณจะรักชอบผู้ชายหรอกนะ เพราะนั่นเป็นเรื่องรสนิยมส่วนตัว ผมจะไม่เอามาปะปนกับเรื่องงานก็แล้วกัน”
ฮะ! เดี๋ยวๆ อะไรยังไง ใครรักชอบผู้ชาย รสนิยมส่วนตัวอะไร ตฤณถลึงตาใส่นภเกตน์อย่างข้องใจ หากอีกฝ่ายยิ่งทำหน้าขรึมใส่
“แต่ขออย่าทำอะไรรุ่มร่ามหมิ่นเหม่ในที่ทำงานอีก ไม่ว่าคุณจะเก่งกาจมาจากไหน หรือเป็นคนโปรดของใคร ถ้าทำเรื่องแบบนั้นในเวลางานอีกผมก็คงไม่เก็บคุณไว้”
ร่างสูงลุกขึ้นพรวด “คุณหมายความว่ายังไง ทำอะไรรุ่มร่ามหมิ่นเหม่?”
นภเกตน์ส่งสายตาขุ่นๆ ใส่... หึ... ทำเป็นตีหน้าซื่อ “ก็แบบที่ทำกับคู่ขาของคุณในห้องอาบน้ำเมื่อวานไง”
“คู่ขา? ฮะ!? ผู้จัดการ คุณเข้าใจผิดรึเปล่า ผมไม่...” ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งยังพูดไม่ทันจบ นภเกตน์ก็พูดขึ้นแทรก
“ช่างเถอะ! คุณจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของคุณ ไปเก็บข้าวของมาซะที เสียเวลามามากแล้ว เดี๋ยวเราจะได้คุยเรื่องงานกันบ้าง” นภเกตน์ลุกจากเก้าอี้พรวด โดยไม่สนใจว่าร่างสูงจะแก้ตัวหรือพูดอะไร เขาเดินอาดๆ กลับไปยังโต๊ะที่นั่งประจำตำแหน่งตน แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยังคงจ้องเขาอยู่
“มีปัญหาอะไรอีกรึไง”
ไอ้หมอนี่นี่ยังไง... พูดเองเออเอง แล้วมาเหมาเอาว่าเขาชอบผู้ชายพอจะอธิบายก็ไม่ฟังอีกว้อย แล้วอะไร... ถามมาได้มีปัญหาอะไร มีเพียบเลยว้อย! อยากให้พูดตรงๆ ใช่มั้ย ด๊ายยยย... ตฤณจัดให้
ชายหนุ่มผิวสีแทนเดินไปยืนตรงหน้าโต๊ะของผู้เป็นนาย เขาก็ไม่อยากจะยอมรับนักหรอกที่ต้องมาทำงานภายใต้ไอ้หนุ่มหน้าอ่อนท่าทางเหลาะแหละ “ถ้างั้น ผมก็อยากจะพูดกับคุณตรงๆ เรื่องงาน”
“ทำไม”
“บอกไว้ซะก่อน ผมยังไม่เห็นว่าคุณมีอะไรที่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้จัดการได้เลย นอกจากการที่เป็นหลานของท่านประธานเท่านั้น และมันก็คงจะยากที่ผมจะยอมรับคนอย่างคุณ”
ใบหน้าสวยเงยขึ้นสบสายตากับคนพูด พร้อมกับยักไหล่ “หึ... ก็ตามใจคุณซิ คุณจะคิดยังไงมันก็เรื่องของคุณ ขอแค่... คนเก่งของบริษัท NS ไม่ทำตัวเป็นตัวถ่วงผมก็แล้วกัน”
...มั่นใจจนเว่อร์ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น... ตฤณนินทาอยู่ในใจ ก่อนจะเดินไปยังประตูห้อง ทว่ายังไม่ทันเปิดประตูออก อีกฝ่ายก็หยุดเขาไว้
“เดี๋ยว!”
“มีอะไร ผมจะรีบออกไปเก็บของ”
นภเกตน์ลุกขึ้นยืนพร้อมกระตุกยิ้มมุมปาก “ผมก็ไม่อยากจะยอมรับว่าคุณคือคนที่อาพีรพัฒน์กับคุณขจรไว้ใจจนถึงขนาดเลือกให้เป็นผู้ช่วยของผมหรอกนะ เพราะตัวผมเอง ตั้งแต่ทำงานมาก็ไม่เคยต้องอาศัย ผู้ช่วย ในการทำงานเลยสักครั้ง”
ร่างสูงเชิดหน้าขึ้น แล้วตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด “งั้นคงต้องใช้เวลาในการพิสูจน์แล้วล่ะครับ ว่าใครคือของจริง!” ขนาดในประวัติการทำงานเขาถูกเรียกว่าขั้นเทพ มีทั้งจำนวนโพรเจกต์ที่ปิดไปตรงตามกำหนดสัญญาเป็นร้อยๆ โพรเจกต์ กับประกาศนียบัตรนับสิบๆ ใบ ไอ้หน้าจืดนี่ยังมาทำท่าดูแคลนใส่เขาได้ โธ่เอ๊ย... ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นหลานเจ้าของบริษัท ไอ้หมอนี่ก็ไม่มีทางได้ตำแหน่งงานของเขาไปหรอก
“หึ... มั่นใจขนาดนั้น?” ร่างโปร่งหัวเราะในลำคอ นึกหมั่นไส้ท่าทางจองหองที่ไม่ได้เข้ากับรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายซะเต็มประดา
“ผมจะทำให้คุณยอมรับในตัวผมให้ได้”
นภเกตน์นั่งลงแล้วเปิดแล็ปท็อปขึ้นดูโดยไม่สนใจร่างสูงที่ยืนทำหน้าถมึงทึงใส่ “ผมจะคอยดู”
TBC~* จะรอดมั้ยนี่แผนกนี้ ฮ่าาาาา
แต่โบราณเขาว่า ตีกันเยอะๆ จะได้รักกันม้ากกกมากกกนะคะ 555
ขอบคุณนักอ่านที่รักทุกคนที่แวะมาอ่านค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจน้า แล้วพบกันที่เพจนะค้า husky's page