10
[/b]
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องบางที่วางไว้บนเตียงร้องลั่นขึ้นมา เรียกความสนใจจากผมที่ตอนนี้กำลังทำรายงานอยู่เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาแล้วมองดูรายชื่อคนที่โทรเข้า ก่อนจะกัดรับสายแล้วกดเปิดลำโพงไว้ หันไปสนใจรายงายที่ตนเองทำใกล้เสร็จแล้ว
“ โทรมามีไรมึง ”
// เฟรนมึงช่วยเอาโน้ตบุ๊คกูมาให้ที่สตูคณะหน่อยดิ สตูที่กูเคยพามึงมานะ กูต้องใช้ทำงานว่ะ // เสียงที่กรอกมาตามสายนั้นคือเสียงของรูมเมทตัวดีของเขานั้นเอง
“ เออๆเดี๋ยวไป จะเอาอะไรอีกป่ะ ” ตนเองถามทวนเพื่อนอีกครั้งเผื่อรูมเมทนั้นต้องการอะไรเพิ่ม
// ไม่เอาอะไรล่ะ มึงรีบมาล่ะกัน แค่นี้นะ //
อีกฝ่ายกดตัดสายไปเพราะอาจจะรีบไปทำงานต่อจริงๆ ปกติกิ๊กมันจะเป็นคนที่ไม่ค่อยลืมของทำงานไว้ที่ห้อง ก็คงมีแต่ครั้งนี้ที่มันลืมโน้ตบุ๊คไว้
ผมกดเซฟไฟล์งานตัวเอง เมื่อเสร็จแล้วเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะกดปิดคอมเป็นลำดับต่อมา แล้วเดินไปที่โต๊ะทำงานของอีกฝ่ายหยิบโน้ตบุ๊คที่วางไว้ใส่กระเป๋าแล้วคว้าเสื้อคลุมกุญแจมอไซค์ออกจากห้อง
ผมขี่มอไซค์กลับเข้าไปในมอระหว่างทางนั้นตอนนี้ก็ถือว่ามืดแล้วเหมือนกัน ภายในตัวมอตอนนี้มีคนอยู่บ้างไม่มากซะเท่าไหร่ อาจจะเพราะว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ นักศึกษาที่ปกติจะอยู่ทำงานหรือนั่งคุยกันที่คณะไม่ก็ห้องสมุดนั้น พอเป็นวันนี้เลยดูบางตาไปซะหมด
ผมเลี้ยวรถเข้าคณะสถาปัตที่ตอนนี้แม้มืดค่ำแล้วแต่ที่คณะนี้ยังคงมีคนเดินไปมาพลุกพล่าน ไฟเปิดสว่างไปทั่วตึก ไม่เหมือนกับที่อื่นๆ ผมจอดรถมอไซค์ไว้ที่จอดรถสำหรับที่นี้แล้วคว้าเอากระเป๋าโน้ตบุ๊คที่รูมเมทตัวดีดันลืมทิ้งไว้ที่ห้อง
ก่อนจะเดินไปตามทางเดินของตึกที่รูปทรงไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก แต่ตึกนี้มีหลายชั้นมากเลยทีเดียว และอีกอย่างที่เป็นจุดเด่นคือ รูปทรงสไตล์ของตึกเป็นแบบโมเดิร์น
ด้านข้างของตึกที่ทุกๆคณะอาจจะเป็นพื้นที่ว่างหรือมีการแปะข้าวสารข้อมูล แต่ตึกคณะนี้กลับมีการเพ้นท์รูปในคอนเซปต์ต่างๆกันไป แถมลายเส้นยังดูเป็นเอกลักษณ์อีกมากๆ
พอเดินเข้าไปอีกหน่อยใกล้ถึงบันไดทางขึ้นก็เจอกับลานใต้ตึกประติมากรรม รูปปั้นในแบบต่างๆมากมาย มุมนี้เป็นมุมที่ถือว่ามีของเยอะที่สุด ทั้งเหล็กทั้งดิน ไม้ต่างๆก็อยู่ที่นี้ เต็มไปหมด
ผมเดินขึ้นบันไดไปก็เจอคนเดินสวนลงมาบ้าง ที่ใครว่ากันว่าเด็กคณะนี้จะติสแตกไม่ก็อาจจะเรียกว่าเซ่อหรือสกปรก ผมว่าก็มีส่วนไม่มากก็น้อย แต่บางคนก็กลับดูดีโดดเด่นทุกครั้งที่เจอ ไม่ว่าจะหญิงหรือชายเด็กคณะนี้จะดูเป็นเอกลักษณ์ที่สุดแล้ว
บางคนนี้หน้าตาดูดีกว่าเพื่อนๆคณะอื่นอีกด้วยซ้ำ ผมเคยมาคณะถาปัตกับไอ้กิ๊กอยู่สองสามครั้ง ก็ได้พบปะกับเพื่อนๆในเซคของมันบ้าง นิสัยดีกันทุกคนแถมหน้าตาของบางคนนี้ถือว่าเป็นอาหารตาดีๆนั้นเอง เพื่อนของมันก็เป็นมิตรดีครับ
ตอนผมมาเจอเพื่อนๆมันครั้งแรกก็มีอาการเกร็งๆบ้างเพราะ พวกนี้ชอบสุงสิงกับเพื่อนตัวเองมากกว่า บางคนก็เข้ามาพูดคุยด้วยแบบเอนเตอร์เทนมากๆ เอาซะตั้งตัวไม่ทัน พอครั้งต่อๆไปมาเจอก็กลายเป็นว่าคุยกันสนิทไปซะแล้ว
สองเท้าพาร่างของผมมาหยุดอยู่ตรงประตูกระจกบานใหญ่ ที่ตอนนี้มีเสียงดังโวกเวกอยู่ภายในห้องเล็ดลอดออกมา
ผมผลักประตูกระจกบานใสตรงหน้าเข้าไปก่อนจะโผล่หัวเข้าไปหน่อย
“ ไอ้กิ๊กอยู่มั้ย ” เสียงของผมที่แทรกไปกับเสียงคนคุยกันภายในห้องนั้น ทำให้เสียงพวกนั้นหยุดลงก่อนคนบ้างคนจะตอบกลับมา
“ นึกว่าใครมา เด็กบริหารมานี่เอง ” ผมมองไปหาต้นเสียงนั้นก่อนจะยิ้มหน่อยก้าวขาเข้าไปภายในห้องแล้วสอดสายตามองหาไอ้กิ๊ก
“ กูอยู่นี่เว้ย ! ”
เสียงของรูมเมทผู้ลืมโน้ตบุ๊คตะโกนออกมา ผมจึงหันไปสนใจเสียงนั้นแล้วพบว่าตอนนี้มันกำลังทำอะไรอยู่ใต้โต๊ะคอมก็ไม่รู้ ผมเดินเข้าไปหามันระหว่างนั้นก็มองรอบๆไปด้วยว่าตอนนี้เสียงโวกเวกนั้นเริ่มกลับมาอีกครั้ง
แต่ฟังแล้วเหมือนจะคุยกันเรื่องงานมากกว่าคุยเล่นกันเหมือนครั้งก่อนๆ
ตอนนี้ทุกคนนั้นกำลังจ้องอยู่กับจอคอมไม่ก็จอโน้ตบุ๊คเพื่อทำงานอย่างเครียดๆ สงสัยคืนนี้จะอยู่เผางานกันยาว ผมสั่งโน้ตบุ๊คไปให้กิ๊กที่มันนั่งอยู่ใต้โต๊ะ
“ อ่ะเอาไปมึง คอมเสียเหรอว่ะ ”
คนที่นั่งอยู่ใต้โต๊ะยื่นมือมารับโน้ตบุ๊คไปก่อนจะลุกขึ้นมานั่งเก้าอี้ เตรียมทำงานต่อ
“ เออดิว่ะ อยู่ดีๆเครื่องแม่งก็ดับจะเสร็จอยู่แล้วเหี้ยเอ้ย ” อีกฝ่ายพูดขึ้นอย่างหัวเสีย
“ ได้โน้ตบุ๊คไปก็รีบๆทำล่ะกัน เดี๋ยวกูอยู่รอ ”
ผมตัดสินใจอยู่รอรูมเมทเหมือนทุกที ผมลากเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆมานั่ง ก่อนจะควักโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นมาเล่น ถ้ามันทำใกล้เสร็จแล้วแสดงว่าคงมีคอนเซปต์อยู่ในหัวแล้วคงจะไม่นานมากถ้ารอกลับพร้อมมัน
ผมเล่นเกมในโทรศัพท์ไปได้สักพักก็รู้สึกว่าเหมือนมีใครมาสะกิดไหล่เบาๆ อยู่จึงหันกลับไปมองว่าใครทำ ผมหมุนเก้าอี้หันไปหาร่างสูงที่นั่งเก้าอี้อยู่ตรงหน้าก่อนจะยิ้มออกมา
คนตรงหน้าผมส่งยิ้มมาให้อย่างน่ารักสุดๆในความคิดของผมเพราะเจ้าตัวนั้นมีรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ แถมยังมีลักยิ้มอีกต่างหาก ทำให้คนมองอย่างผมนั้นอมยิ้มออกมา
“ อะแฮ่มๆ ” เสียงแหบของคนที่นั่งหันหลังอยู่ข้างร่างสูงตรงหน้าผมเอ่ยขัดจังหวะขึ้นมา ก่อนจะเอี้ยวตัวมามองผมกับอีกคนที่นั่งข้างๆเขา
“ แค่มึงสองคนนั่งมองหน้ากัน มดก็กัดกูแล้วครับเพื่อน ”
เสียงที่ออกจากปาก ‘ เดี่ยว ’ ทำให้คนรอบๆที่นั่งทำงานอยู่นั้นส่งเสียงผิวปาก แซวกันยกใหญ่ เพราะร่างสูงที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นเกย์ครับ
ก็คนที่อยู่ตรงหน้านี่แหละบอกกับผมเองเลยว่าเขาเป็นอะไร ตั้งแต่ๆแรกที่มาสตูกับไอ้กิ๊กก็ดูเหมือนเขาคนนี้จะเป็นคนที่ชอบชวนคุยและชวนผมทำนู้นทำนี้อยู่เป็นประจำเวลาผมมาสตู
“ มึงก็พูดไป ” เขาได้แต่พูดยิ้มๆ แล้วเสียงล้อเลียนก็กลับมาอีกครั้ง
อาจจะเป็นเพราะว่าการที่คนตรงหน้าผมนั้นดูเหมือนจะกำลังสนใจผมอยู่ในสาจตาของเพื่อนๆเขา เพื่อนเขาเลยแซวกันขนาดนี้
“ พอๆเลยพวกมึงอ่ะ เดี๋ยวเพื่อนกูสึกหรอหมด ” เสียงเข้มๆของไอ้กิ๊กดังขึ้นขัดเสียงแซวของเพื่อนหญิงชายที่นั่งทำงานกันอยู่ พาเอาพวกเขาหยุดแซวแล้วเปลี่ยนจากหัวข้อแซวเป็นหัวข้ออย่างอื่นแทน ทำให้ตอนนี้ภายในห้องกลับมามีเสียงดังอีกครั้ง
“ เฟรนกูหิว ไปซื้อข้าวมาให้กินหน่อย ” เสียงของรูมเมทเอ่ยท้วงขึ้นมา ทำให้เอาคนรอบข้างตอนนี้กลับมาสนใจบทสนทนาระหว่างผมกับไอ้กิ๊กอีกครั้ง
ตอนนี้แต่ล่ะคนเริ่มจดรายการอะไรบางอย่างใส่เศษกระดาษแล้วยื่นมาให้ผมพร้อมเงินจำนวนหนึ่งกันหลายคน จนกลายเป็นว่าตอนนี้ผมกลายเป็นคนที่ต้องไปซื้อข้าวปลาอาหารให้พวกนี้ซะแล้ว
“ เดี๋ยวๆ รอเราด้วยๆ เราอยู่กันน้ำเต้าหูประตู 4 อ่ะ ถุงนึงนะๆๆ ” ร่างเล็กของหญิงสาวเดินมาหาผมก่อนผมจะผลักประตูออกไป กำลังอ้อนผมแบบเนียนๆ ประตู4 งั้นเหรอ ไกลกว่าร้านข้าวที่ผมจะไปอีก
“ โอเคแพรว เดี๋ยวกูไปซื้อให้ ” เสียงตอบรับจากใครคนนึงเอ่ยตอบตกลง ผมจึงหันไปมองหน้าเขาก่อนจะทำหน้างงๆใส่
“ เดี๋ยวไปด้วย ” สิ้นเสียงของร่างสูง สองขาของเขาก็ก้าวเดินมาหาผมก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าผมแล้วแบมือขอกุญแจรถมอไซ
“ เอางี้เลย ” ผมหัวเราะออกมากับการกระทำของเขาที่จะเรียกเสียงแซวอีกรอบจากเพื่อนๆในห้อง ผมเลยได้แค่เอ่ยพูดปรามๆพวกเขาบ้าง
“ เดี๋ยวจะอดกินข้าวกันให้หมดเลยนะ พวกมึงๆอ่ะ ” ผมใช้สรรพนามที่พูดกับเพื่อนในห้องอย่างสนิทสนม ที่จริงแล้วเหมือนผมจะสนิทกับเพื่อนของไอ้กิ๊กมากกว่า เพื่อนในคลาสเรียนของผมด้วยซ้ำ
“ เด็กบริหารมันเอาเรื่องงงงงงงง ” เสียงของเดี่ยวที่เหมือนจะเป็นหัวโจกพูดขึ้น ผมเลิกสนใจพวกเขาก่อนจะเดินออกจากห้องไปแล้วตามด้วยร่างสูงที่เดินตามมา
คนข้างกายของผมเริ่มชวนคุยไปเรื่องต่างๆ แต่ที่ดูแล้วอีกคนนั้นดูเหมือนจะสนใจมากที่สุดคงไม่พ้นเรื่องสัตว์เลี้ยงที่ตนเองนั้นชอบ
“ เจมส์นี่ชอบเลี้ยงสัตว์น่ารักๆ เนาะ ”
เจมส์ก็คือคนที่มีรอยยิ้มที่ดูดึงดูดคนรอบข้างนั้นแหละครับ เวลาเขายิ้มนี่น่าเอานิ้วไปจิ้มลักยิ้มที่มันบุ๋มลงไปจริงๆเลย
“
คนน่ารักเราก็ชอบนะ เลี้ยงด้วยหัวใจเลย ”
อีกฝ่ายยิ่งมุขใส่ผม ทำเอาเหวอไปแปปนึงไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะเล่นมุขแบบนี้ด้วย
“ มุขเสี่ยวหักสิบคะแนน ” ผมพูดตอบกลับไปอย่างขำๆ
ตอนนี้เราสองคนมาอยู่ที่ร้านน้ำเต้าหู้ ที่อยู่ตรงประตู 4 แล้ว เจมส์รู้จักร้านประจำของแพรวดีเลยสั่งได้เร็ว เพราะตอนนี้หน้าร้านเต็มไปด้วยนักศึกษายืนรอซื้อกันอยู่มากเลยทีเดียว
“ ไปซื้อข้าวเลยมั้ย แถวนี้ก็มีร้านอร่อยนะ ”
ผมพูดขึ้นกับอีกฝ่ายแล้วพาร่างสูงเดินไปตามทางที่ตอนนี้มีร้านขายอาหารไม่ก็น้ำปั่น ขนมหวานอยู่เต็มมากมายแม้จะตอนนี้จะเริ่มดึกแล้ว แต่ถนนสายนี้ก็เต็มไปด้วยนักศึกษาที่ออกมาหาอะไรกินยามค่ำคืน
“ เอาดิจะได้ไม่ต้องขี่ย้อนไปย้อนมา ”
อีกฝ่ายเห็นด้วยผมจึงเดินนำเข้าร้านไป ก่อนจะยืนกระดาษที่มีรายการอาหารหลายอย่างส่งไปให้ป้าคนขายที่เห็นหน้ากันเป็นประจำเพราะผมก็เป็นหนึ่งในลูกค้าประจำของร้านนี้ ก่อนที่จะเปิดเทอมผมมากินข้าวร้านนี้กับพี่สาวบ่อยๆ
ไม่ก็บางครั้งก็จะมากับพวกพี่ต้นและพี่เอ็ม เมื่อผมนึกถึงตอนที่มากินกับพี่เอ็ม ผมก็ได้แต่ไล่ความคิดและความทรงจำนั้นออกไปกลัวว่าความเศร้าเมื่อตอนกลางวันที่เกิดขึ้นจะกลับเข้ามาอีกครั้ง
“ ไปนั่งรอก่อนนะหนู ” เสียงของป้าคนขายเอ่ยบอกขึ้นมา ผมกับเจมส์เลยเดินเข้าไปมุมในสุดของร้าน ตอนนี้ในร้านมีคนมานั่งกินข้าวอยู่มาก คุ้นหน้าบ้างไม่คุ้นหน้าบ้าง บางคนนี่ก็พี่ปีสูงๆในสาขาผมเอง
“ ร้านนี้คนเยอะดีนะเฟรน อร่อยมากป่ะ ”
“ อร่อยมาก เมื่อก่อนมากินนี้ประจำแหละ ” ผมพูดบอกอีกคนและยืนยันว่า อาหารร้านนี้อร่อยจริงๆ
“ อ้าว งั้นก็แสดงว่าตอนนี้ไม่ค่อยได้มากินเหรอ ”
“ อือใช่ เพราะว่าช่วงนี้ยุ่งๆด้วยน่ะแล้วมาทีไรร้านคนเต็มตลอด ” ผมเอ่ยตอบกลับไป
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามผมดังขึ้นเรียกความสนใจให้อีกฝ่ายกดรับโทรศัพท์ และเดินออกจากร้านไปอาจจะเป็นเพราะในร้านตอนนี้กำลังเสียงดังเพราะเสียงพูดคุยของลูกค้า เลยทำให้เจมส์ลุกออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก
เมื่ออีกฝ่ายลุกไปแล้วสายตาของผมก็กลับไปสนใจอยู่ที่แผ่นหลังที่คุ้นเคยและคิดว่าต้องใช่เขาแน่ๆ ถึงรูปร่างและทรงผมจะดูเหมือนคนทั่วๆไปก็เถอะ แต่เชื่อผมมั้ยว่าผมมั่นใจมากว่าจะเป็นเขา
ทำไมตอนที่อยู่ที่หน้าร้านไม่ดูให้ดีๆก่อนนะ ผมยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองเบาๆ แล้วเลิกสนใจอีกฝ่ายที่เหมือนจะมากินข้าวกับเพื่อนเขา
สายตาของผมมันคงทำหน้าที่ผิดพลาดเลยเอาแต่จ้องมองแผ่นหลังนั้นอยู่ตลอดเวลา จนป้าคนขายข้าวนั้นเอาข้าวกล้องมาวางไว้บนโต๊ะพี่เอ็ม พี่เอ็มสั่งข้าวไปกินอีกกล่องงั้นเหรอ
“ เฟรนเดี๋ยวเจมส์ไปเซ่เว่นแปปนะ เอาอะไรมั้ย ” เจมส์พูดเสียงดังแทรกเสียงของรอบข้างที่ตอนนี้มันฟังดูยุ่งเหยิงไปหมด
“ ชาเขียวขวดนึง ” ผมพูดเสียงดังแทรกกลับไป ทำเอาคนที่นั่งหันหลังอยู่ไม่ไกลจากผมมากนักหันมามอง ก่อนอีกฝ่ายจะลุกขึ้นหยิบถุงข้าวเดินมาหาผม
พี่เอ็มไม่ได้พูดอะไรหรือเอ่ยทัก พี่เขายื่นถุงข้าวกล่องมาให้ ผมได้แต่มองใบหน้าของพี่เขานิ่งๆไม่ได้ยื่นมือออกไปรับแต่อย่างใดทำให้อีกฝ่ายดูเหมือนจะหงุดหงิดเลยวางถุงข้าวลงบนโต๊ะ
“
เห็นว่ากลางวันไม่ได้กินข้าวเลยจะซื้อไปให้ที่หอ กระเพราหมูกรอบของชอบของเฟรนน่ะ ” น้ำเสียงนุ่มๆที่เคยอยากฟังบ่อยๆเอ่ยบอกผม แล้วดันถุงมาตรงหน้า
ผมทำได้แค่พยักหน้ารับ ก่อนจะละสายตาออกมาจากร่างสูงของพี่เอ็ม แล้วทำเป็นกดโทรศัพท์เล่นแทนบรรยากาศที่มันน่าอึดอัดแบบนี้ สีหน้าของพี่เขาไม่ได้แสดงออกมาว่าอยู่ในอารมณ์ไหนเลยสักนิด ซื้อข้าวให้งั้นเหรอว่ะ
กล้าคิดเนาะเรื่องแบบนี้
คิดจะทำเรื่องแบบนี้นี่คิดนานมั้ย
จะทำแบบนี้ทำไมว่ะ
ตบหัวแล้วลูบหลังรึไงว่ะ คำถามมากมายตอนนี้ดังขึ้นในหัวของผมไม่หยุด แต่ผมนั้นไม่กล้าเอ่ยปากถามออกไปว่าพี่เขาทำแบบนี้ทำไม สนใจเขาขนาดนั้นเลยรึไง เมื่อกลางวันไม่ได้สนใจผมเลยไม่ใช่หรือไง
มือหนาของอีกฝ่ายยื่นมาหยิบเสื้อคลุมที่ผมถอดไว้วางอยู่บนโต๊ะไปก่อนจะทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้ให้ผม
“
ยืมเสื้อหน่อย แล้วพรุ่งนี้อย่าลืมมากินข้าวกลางวันด้วยนะ ”
========================================================
มาแล้วค้าาา มาให้ยาวๆเลยวันนี้อิอิ ฝากติดตามด้วยน้าแล้วก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากๆเลยค่ะ
เอาใจช่วยนายเอกด้วยนะ 55555555555555 เหวอท้ายเรื่องเลย

คืนนี้ฝันดีนะคะ
