13
[/b]
สายตาของผมยังคงจ้องมองไปยังหน้าจอโทรศัพท์ ที่ตอนนี้บ่งบอกเวลาว่าขึ้นวันใหม่ของอีกวันแล้วแต่ผมเองก็ยังคงหลับตาลงนอนไม่ได้ เหมือนว่ากำลังรออะไรบางอย่างและเป็นแบบนี้มาเกือบสองอาทิตย์เต็มๆ ที่รู้สึกแบบนี้
ตั้งแต่วันที่น้องมันมานั่งกินข้าวโต๊ะติดกันที่โรงอาหาร เหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลานั้น และก่อนหน้านั้นที่ผมเรียกอีกฝ่ายไปกินข้าวด้วยกัน แต่ผมเองกลับทำให้เขาต้องเสียความรู้สึก
ผมรู้ดีว่าต้องทำแบบไหน น้องมันถึงจะต้องห่าง ทำแบบไหนน้องจะต้องพยายามเรื่องของผมให้มันน้อยลง เพียงแค่เพราะผมอยากจะมีเฟรนอยู่ในฐานะน้องชาย ผมคิดแบบนี้ก็จริง
แต่ความรู้สึกมันกลับไม่ใช่ เหมือนว่าตนเองนั้นไม่ได้อยากที่จะทำอะไรแบบนี้เลย ไม่ได้อยากให้สายตาคู่นั้นของเขามองผมด้วยแววตาตัดพ้อ ไม่ได้อยากให้ริมฝีปากของเขาเอ่ยพูดอะไรออกมาประชดผม หรือกำลังตอกย้ำให้ผมคิดว่า ตอนนี้เขาอยู่ในสถานะไหนและผมควรปฎิบัติกับเขาอย่างไร
ผมไม่ได้อยากทำให้น้องมันเหนื่อยกับสิ่งที่ผมทำ ใบหน้าของเฟรนที่ปกติแล้วจะมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่ตลอดเวลาที่ผมมองหรือเรียกหา ใบหน้าที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ชอบมองใบหน้านี้ตั้งแต่ตอนไหน
แต่ตอนนี้ เมื่อผมเรียกหาเขาอีกครั้ง น้ำเสียง สีหน้าอารมณ์หรือรอยยิ้มเหล่านั้นมันดูจางหายไป
ถ้าเราเป็นแค่พี่น้องตั้งแต่แรก .. ถ้าผมไม่ยื่นโอกาสแบบนั้นให้กับน้อง
ผมคงจะได้จ้องมองใบหน้าแบบนั้นตลอดไปใช่มั้ย . .
ภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นที่ผมเรียกให้เฟรนไปหาในตอนกลางวันที่โรงอาหารหวนกลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรตอนนั้นถึงเรียกให้น้องมันมา และแนะนำน้องให้รู้จักกับข้าวในสถานะคนที่ผมคุยด้วย
ไม่ทันคิดเลยว่าสิ่งที่ผมทำไปจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร เพียงเพราะอยากจะให้น้องมันตัดใจและเลิกมองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่มันอัดแน่นอยู่แบบนั้น ..
และมันก็คล้ายกับสายตาเมื่อตอนกลางวันที่ผ่านมาที่ได้รับจากอีกฝ่าย มันช่างดูอึดอัด คำพูดแต่ละคำกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง เหมือนมันย้อนกลับมาทำให้ผมคิดว่า สิ่งที่ทำไปก่อนหน้านี้มันคือเรื่องร้ายๆ ที่ไปสร้างบาดแผลให้กับคนอย่างน้อง
คนที่ผมเป็นห่วงกังวลกลัวอีกฝ่ายจะยังไม่ได้กินข้าว เลยต้องซื้อข้าวกล่องให้ กังวลว่าช่วงกลางวันคนที่โรงอาหารมันเยอะเลยซื้อของโปรดอีกฝ่ายไว้เพียงเพราะกลัวว่า ใบหน้าที่ไม่รู้ว่าเผลอมองไปตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นจะทำสีหน้าหงุดหงิด หรือโมโหหิวเหมือนที่เคยทำ
ไม่เหมือนกับอีกคน ที่ผมนั้นคุยด้วย ข้าวปุ้นก็ยอมรับกับผมมาตรงๆตั้งแต่ช่วงสองสามวันที่เราคุยกันว่าเธอนั้น จริงๆแล้วก็ยังลืมแฟนเก่าไม่ได้และตอนนี้ก็เหมือนจะกำลังปรับความเข้าใจกันอยู่ มันก็โอเคที่เธอยอมบอกตรงๆ
แต่เธอนั้นก็ยังมากินข้าวด้วยกันเหมือนเดิม เพียงเพราะเธอสบายใจที่อยู่กับผมในฐานะเพื่อนมากกว่าในแบบอื่นๆ และไอ้ต้นทั้งสองคนมันก็รู้ด้วยเหมือนกันว่าตอนนี้ผมกับข้าวปุ้นนั้นเป็นเพื่อนกันและไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ไปเป็นอย่างอื่นได้
และทุกวันนี้มันก็ยังคงถามๆผมเกี่ยวกับเรื่องเฟรนอยู่ ว่าจะเอายังไงต่อ
แต่เหตุผลมันมักจะสวนทางกันกับความรู้สึกเสมอ และความรู้สึกบางอย่างที่มันไม่ชัดเจนด้วยเหมือนกัน ความรู้สึกที่มันยังครึ่งๆกลางๆ บางครั้งมันอาจดูเลือนลาง แต่บางเวลามันกลับเริ่มดูชัดเจน
มันเหมือนกันกับเส้นใยบางเบาที่ล่องลอยไร้ทิศทาง กลัวว่าวันนึงถ้าเกิดผมจับเส้นใยนั้นแรงเกินไปมันจะขาดลง ไม่สามารถทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ และก็กลัวอีกว่าถ้าปล่อยเส้นใยให้ล่องลอยอยู่แบบนั้นอาจจะมีใครบางคนมาคว้าเส้นบางเบานั้นไปก่อนผม
และมันก็มีเหตุผลบางอย่างที่ยังคงทำให้ผมสับสนกับเรื่องนี้ ภาพช่วงเวลาเหล่านั้นตั้งแต่ตอนที่ผมรู้จักกับน้องครั้งแรก ช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันผ่านเรื่องร้ายๆมา และอีกหลายๆเรื่องที่ตอนนั้นเขาอยู่ในฐานะน้องชายที่ผมรักคนนึง
ผมหวังดีกับมัน ผมเอาใจใส่และดูแลมันเหมือนน้องแท้ๆ ความรู้สึกลึกๆมันยังคงติดตรึงอยู่กับช่วงเวลาเหล่านั้น เหตุผลมากมายยังคงดังค้านอยู่ในหัวเรื่อยมา
ซึ่งมันกำลังขัดกันกับอีกความรู้สึกหนึ่งที่บางเบา แต่รู้สึกอยู่มันยังคงอยู่ ถึงจะบางเบาขนาดไหน แต่ผมก็ยังรู้สึกได้
บางความสัมพันธ์มันก็ยากที่จะเข้าใจ และยากที่จะหาคำตอบแบบจริงๆจังๆ มันก็เหมือนกับต้นหญ้าที่โอนอ่อนไปตามสายลมไร้ทิศทางของตนเอง และแข็งแรงไม่พอที่จะต่อสู้กับลมที่พัดผ่าน
ภาพเหตุการณ์บางอย่างไหลย้อนไปมาเหมือนถูกกดรีเพลย์ซ้ำไปซ้ำมา เหตุการณ์นั้นที่ผมยังคงจำได้ติดตา น้องมันใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่ของใครอีกคนที่นั่งกินข้าวโต๊ะข้างกัน ผู้ชายอีกคนที่กำลังทำตัวเหมือนเป็นห่วงเป็นใยและเหมือนจะสนใจในตัวเฟรน เป็นคนเดียวกันกับที่ตอนนั้น
ผมไปเจอน้องมันในร้านอาหารตามสั่งตอนกลางคืน ทั้งสองคนไปด้วยกันและไม่ใช่ผมไม่สังเกตเห็นเขาทั้งสองคนเดินเข้าร้านมา รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเฟรนแจ่มใสกว่าตอนที่เจอกันกับผมเป็นไหนๆ
ก็ใช่สินะก็ตอนนั้นผมทำใจร้ายกับน้องไปตั้งเยอะ และผมก็อยากจะขอโทษน้องที่ตอนนั้นพูดอะไรไม่ดีออกไป ก็เลยสั่งข้าวกระเพราหมูกรอบของโปรดของน้องมันกะจะเอาไปให้ที่หอ แต่เมื่อผมมาเจอน้องมากินข้าวกับคนอื่นแบบนี้มันกลับทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาซะเฉยๆแบบไม่มีเหตุผล
และก็ไปทำนิสัยเสียใส่น้องอีกครั้ง ที่จริงแล้วผมนั้นไม่ได้แพ้แมลงเลยเพียงแค่อยากจะหาข้ออ้างให้น้องมันไปหาผมอีกครั้งก็เท่านั้น
รอยแผลที่ผมสร้างขึ้นมาทำร้ายเฟรน ทำให้ร่างโปร่งนั้นดูห่างเหินและไว้ตัวมากขึ้นกว่าเดิม
และคำพูดของเขาที่พูดขึ้นเพื่อจงใจให้ผมได้ยินและกลับมาคิด ว่าตอนนี้นั้นเขาอยู่ในสถานะอะไรและผมควรจะใส่ใจเขามากน้อยแค่ไหน ทั้งๆที่บางครั้งไอ้บิ๊กมันก็เตือนผมแล้วว่าถ้าสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่มันไม่ชัดเจนก็ให้ปล่อยน้องมันไปซะ
จบความสัมพันธ์กันเพียงแค่นี้
แต่ผมกลับทำไม่ได้ .. . และยังอยากที่จะรู้คำตอบว่าที่จริงแล้วความรู้สึกจริงๆของผมที่มันครึ่งๆกลางๆ โลเลนี้ที่จริงแล้วมันคืออะไร
ยังไม่อยากจะจบความสัมพันธ์ของผมกับน้องลง แม้ว่าปลายทางที่ผมกับเฟรนจะเดินต่อไปนั้นเป็นอย่างไร ตัวผมเองก็อยากจะรู้จุดจบของมันจริงๆ
ผมหลับตาลงอีกครั้งไล่ความคิดที่มันก่อขึ้นมาออกไป เพื่อจะได้ไม่คิดมากอีกและวางโทรศัพท์เครื่องบางไว้ข้างกาย พยายามจะไม่คิดอะไรอีก
คุณอยากรู้รึเปล่าว่าผมกำลังรออะไร ก่อนหน้านี้
ผมกำลังรอข้อความจากเด็กคนนั้นยังไงล่ะ ข้อความบอกฝันดีที่เขาส่งมาให้ผมทุกคืน =====================================================
ขอโทษที่หายไปนานและมาน้อยน้า บทพาทอีพี่เอ็มคือกินเวลาทำอารมณ์มาก
อารมณ์โลเลและความรู้สึกที่ไม่ชัดเจน เห้ยคืออีตอนนี้พี่เอ็มมันเพ้อ
ขอโทษนะทุกๆคนที่ตอนนี้เรามาน้อย บทอิพี่เอ็มมันยากทุกช่วงจิตเลยจริงๆ
อยากให้พี่มันไปถามใจตัวเองดูว่าจริงๆแล้วรู้สึกอย่างไร อีคนโลเล ! 5555555555
อย่างไรปิ่นก็ขอบคุณทุกคนนะคะ ที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นต่างๆ ขอบคุณมากๆเลย
ยังไงก็ฝากเอาใจช่วยน้องเฟรนและด่าอิพี่เอ็มไปพร้อมๆกันนะค่ะ เจอกันใหม่ตอนหน้าค้าบ
