12
[/size]
เสียงที่เซ็งแซ่อยู่รอบห้องเรียนขนาดใหญ่ของตึกคณะบริหาร เสียงพูดคุยยังคงต่อเนื่องไม่หยุดเนื่องจากอาจาร์ยผู้สอนนั้นได้มาบอกกับนักศึกษาของตนว่าวันนี้ ติดธุระให้ทบทวนเนื้อหากันเองและห้ามออกจากห้องก่อนเวลา เมื่อพออาจารย์เดินลับออกจากห้องไปก็มีเสียงเฮ เสียงพูดคุยดังเต็มห้องอย่างตอนนี้
สายตาของอีกฝ่ายไล่มองไปตามโครงหน้าเล็กๆ ของเพื่อนที่สนิทเพียงคนเดียวในสาขานี้ ไล่มองไปยังใบหน้าเล็กที่แสดงออกมาด้วยความอิดโรย แบบคนที่ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที มือเล็กๆของทอยนั้นเสยผมที่ปรกหน้าลงมาขึ้นไปแล้วเกาหัวแกรกๆ ตอนนี้คนที่นั่งอยู่ข้างกายในห้องเรียนขณะนี้กำลังบ่นเรื่องงานพิเศษที่ทำตอนกลางคืนอย่างออกรส
“ แม่งเฮียที่ร้านอ่ะให้กูเล่นดนตรีอยู่นั้นแหละ แต่ก่อนที่มีคนร้องคู่กับกูอ่ะยังดีนะเว้ย เล่นไม่ถึงสามชั่วโมง พอไอ้คนนั้นมันออกเฮียก็ให้กูเล่นยาวถึงเที่ยงคืนเลยว่ะ พอกูบอกจะหยุดหาคนมาร้องแทนก่อน เฮียก็ไม่ยอม ยังดีนะมึง ที่ของกูมันสลับกันเล่นกับพวกวงดนตรีสดอ่ะ ”
ปากเล็กๆของเพื่อนผมกำลังบ่นออกมาไม่หยุดตั้งแต่เข้าห้องเรียนมา เช้าวันนี้ตอนเข้าห้องเรียนมาก็อดแปลกใจไม่ได้เมื่อเจอ ทอย มาเรียนคลาสตอนเช้าได้ทั้งๆที่เมื่อวานนี้โทรไปหาก็ไม่รับสาย ไลน์ไปก็ไม่ตอบ
ทอย มันเป็นเพื่อนเก่าที่รู้จักกันผ่านโลกโซเชี่ยวน่ะครับ รู้จักกันก่อนที่จะมาเข้าเรียนตอนมหาลัย ผมกับมันเป็นคนจังหวัดเดียวกันแถมยังรู้จักกันมาก่อนเลยสนิทกันง่ายขึ้น
ทอยเองมันก็มีเพื่อนถือว่าเยอะอยู่ซึ่งแตกต่างจากผม รู้จักเพื่อนในเซคบ้างคนแค่เพียงผิวเผิน ไม่ได้อะไรมากเนื่องจากตัวผมเองก็ไม่เก่งในเรื่องการเข้าหาคนอื่นซะเท่าไหร่ เลยมีเพื่อนไม่มาก
ทอยมันก็เป็นผู้ชายที่สูงประมาณผมนั้นแหละ สีผิวหน้าตาก็จะออกไปทางเชื้อสายจีนอย่างเห็นได้ชัด รูปร่างมันก็ผอมพอๆกันกับไอ้กิ๊ก ไอ้ทอยมันเป็นนักดนตรีประจำอยู่ที่ร้านเฮียเอง มันทั้งร้องเพลงเพราะและก็เล่นกีต้าร์เก่ง ปกติมันจะเล่นคู่กันอยู่กับรุ่นพี่คนนึง แต่พอรุ่นพี่คนนั้นเขามีแฟน เขาก็เลยเลิกทำงานที่ร้านเฮียกลายเป็นว่า
วันที่มันเล่นนั้นปกติจะเล่นแค่สามชั่วโมง เฮียก็จะให้มันเล่นยาวไปจนถึงเที่ยงคืน เพราะแรกๆส่วนมากคนที่มาดูจะเป็นแฟนคลับของรุ่นพี่เขา ส่วนคนที่จะมานั่งฟังเพลงที่มันเล่นนี่ก็ไม่ค่อยมีเพราะตอนนั้นมันยังไม่ใช่คนร้อง
หลังจากพี่คนนั้นออกมันเลยต้องมาร้องแทนกลายเป็นว่า คนที่มาร้านเฮียเขาอยากฟังที่ไอ้ทอยมันร้องเกินสามชั่วโมง มันเลยต้องทำงานเกินเวลาไปอีก และที่มันหายไปมันก็บ่นๆว่า ตื่นไม่ไหวและไม่สบายด้วย มันก็เลยขอเฮียลาหยุดไปสองสามวัน
“ มึงก็บ่นตลอดแหละไอ้ทวยหัวคอย ” ผมบอกมันกลับไป มันทำหน้างงหน่อยๆกับคำสุดท้ายที่ผมใช้เรียกแทนชื่อมัน
“ ทวยหัวคอย . . .. ” มันอ้าปากพึมพำกับตัวเองอย่างคนนึกไม่ออก แต่พอมันเหมือนจะนึกออกแล้วมันก็ผลักหัวผมเอาซะเจ็บไปเลย
“ มึงเล่นงี้อ่อไอ้เฟรน เดี๋ยวมึงเจอๆ ” อีกฝ่ายพูดขึ้นและยกนิ้วชี้หน้าผมไว้ด้วยอย่างคาดโทษ
“ มึงเดี๋ยวก็หมดคาบละ มึงจะไปกินข้าวกับกูป่ะ ” ผมถามอีกฝ่ายและกดโทรศัพท์ในมือเล่น ก่อนจะกดเข้าหาโปรแกรมแชทที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีและกดเข้าห้องสนทนาที่ปรากฏชื่อไอ้กิ๊ก ก่อนจะส่งข้อความไปหามันว่าจะหมดคาบแล้วมารับที่ตึกด้วย
หน้าจอปรากฏว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วเรียบร้อยและไอ้กิ๊กมันก็ส่งสติ๊กเกอร์มาว่าโอเค ผมกดออกจากบทสนทนานั้นเลื่อนสายตาเพื่อหา ห้องแชทบทสนทนาระหว่างผมกับพี่เอ็มก็พบว่าตอนนี้มีแจ้งเตือนอยู่หนึ่งอัน
อีกฝ่ายส่งข้อความมาบอกว่าวันนี้ตอนกลางวันเจอกัน ผมทำได้แค่อ่านแล้วตอบกลับไปว่าครับ เพียงสั้นๆแค่นั้น มือบางเลื่อนจอทัชสกรีนย้อนขึ้นอ่านบทสนทนาที่ผมคุยกับพี่เอ็มก่อนหน้านี้ตั้งแต่ผมขอโอกาสกับพี่เขา
บทสนทนาเหล่านั้นไม่ได้ใจความอะไรมากมาย แค่ถามไถ่เรื่องทั่วไปเท่านั้น ไม่มีการคอลไลน์หากันเหมือนเมื่อก่อนแค่ทักทายกันปกติ กินข้าวหรือยัง ทำอะไรอยู่ มอร์นิ่ง ตื่นๆ ฝันดี เป็นข้อความที่จำเจระหว่างผมกับพี่เอ็มที่เกิดขึ้นมา
เสียงตอบกลับของไอ้ทอยดังขึ้นขัดความคิดที่ล่องลอยของผมให้กลับมาสนใจสิ่งก่อนหน้านี้อีกครั้ง
“ กูว่าจะไปหาเฮียว่ะ คุยเรื่องทำงานนี้แหละกะจะบอกเฮียไปว่าเล่นคนเดียวมันไม่ค่อยไหว ” เสียงเล็กๆพูดตอบกลับมา ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะลุกขึ้นยืนจะเดินออกจากห้องเรียน
ตอนนี้นักศึกษาภายในคลาสเรียนกำลังทยอยเดินออกกันไปเยอะเหลือคนที่นั่งอยู่บ้างเล็กน้อย
ผมเดินไปส่งไอ้ทอยมันที่จอดรดมอไซค์ของตึกก่อนจะเดินไปหาม้านั่งรอรูมเมทตัวดีที่จะมารับไปกินข้าว จากเมื่อเช้าที่มีเรียนเช้าเหมือนกัน มันเลยบอกว่าให้มาด้วยกันจะได้ไม่เปลืองน้ำมันด้วย โดยที่มันอาสาขี่รถมันมาเอง
ไอ้กิ๊กเองเมื่อคืนมันก็มาซักว่าเมื่อกลางวันที่ไปกินข้าวเป็นอย่างไรบ้าง พอผมตอบไปตามความจริง มันก็ดูจะหัวเสียอยู่เหมือนกัน มันก็สรุปเอาเองว่ายังไงพรุ่งนี้ก็ต้องไปหาพี่เอ็มซินะ เพราะว่าจะต้องไปเอาเสื้อมึงคืนด้วย
ผมถอนหายใจออกมาหนัก ๆ แผลที่มันเกิดขึ้น ถ้ามันเกิดซ้ำๆหลายรอบแบบนี้มันคงจะเหวอะหวะไปหมดแล้ว ผมคงไม่ต้องมาทนอะไรแบบนี้นานใช่มั้ย
ผ่านไปสักพักไอ้กิ๊กก็ขี่มอไซค์เข้ามาใกล้ๆผม เฉียดเท้ากูไปนิดเดียวนะมึงๆ เดี๋ยวเถอะ ผมหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่เอามาด้วยขึ้นมาใส่เพราะว่าช่วงกลางวันแดดมันร้อนจริงๆครับ ทำเอาแสบผิวไปหมดขนาดผิวผมมันหนานะเนี่ย
“ แดดมหาลัยนี้มันแรงจริงๆ ” ผมบ่นออกมา ทำให้ไอ้กิ๊กนั้นพูดบ่นออกมาติดๆ
“ เออแดดแรงชิบหาย ร้อนวายวอด เออมึงวันนี้เพื่อนในเซคมากินข้าวด้วยนะเว้ยมันจองโต๊ะที่โรงอาหารไว้ละ ” อีกฝ่ายพูดบอกกลับมา ก่อนผมจะนั่งขึ้นคร่อมรถมอไซค์ และถามมันกลับไปอีกคำถาม
“ มีใครบ้างวะ ”
“ ก็เพื่อนกูไง ไอ้เดี่ยว แพรว ไอ้เจมส์ ” มันพูดตอบกลับอีกครั้งสตาร์ทเครื่องขี่ออกไป
ตอนนี้ผมกับไอ้กิ๊กกำลังเดินเข้าไปในโรงอาหาร เสียงคุยกันดังลั่นจริงๆสมกับที่เป็นแหล่งรวมสามคณะใหญ่ๆ นั้นก็คือบริหาร สถาปัตและวิศวะ ผมไล่สายตามองแต่ละโต๊ะว่าเพื่อนของไอ้กิ๊กมันจองโต๊ะอยู่ตรงไหนและก็มองอีกว่าตอนนี้พี่เอ็มนั้นนั่งอยู่โต๊ะไหนและมีคนของเขามานั่งด้วยหรือเปล่า
อยู่ดีๆ มือบางของไอ้กิ๊กก็เข้ามาจับข้อมือผมไว้และฉุดให้เดินตามมัน
“ เห้ย ! มึงจะจับข้อมือกูทำไม ”
“ กูเห็นโต๊ะที่พวกมันจองไว้ละ ”
ผมพยายามมองหาโต๊ะเพื่อนของไอ้กิ๊กแต่กลับหาไม่เจอ อาจเพราะว่าวันนี้คนเต็มโรงอาหารมากกว่าปกติ ผู้คนเต็มไปหมด แถมวันนี้ผมไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์หรือแว่นสายตามาอีก ยิ่งพยายามมองไปไกลเท่าไหร่ภาพตรงหน้าก็จะเริ่มมัว
“ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่มึงจับข้อมือกูละ ”
อีกฝ่ายไม่ได้พูดตอบอะไรกลับมา มันกลับเร่งฝีเท้าพาผมเดินไปยังโต๊ะของเพื่อนมัน พอได้เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ภาพตรงหน้าของผมนั้นเริ่มชัดขึ้นจนสุดท้ายแล้วตอนนี้ผมก็เดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะ
โต๊ะที่พวกเพื่อนจองนั้นอยู่ติดตรงเสาใหญ่ และโต๊ะอีกตัวที่อยู่ติดโต๊ะผมนั้นก็คือ โต๊ะของพี่เอ็มและเพื่อนๆของเขา ก็คือพี่ต้นใหญ่และพี่ต้นเล็ก สายตาของผมมองไล่ไปยังกระเป๋าสะพายแบบผู้หญิงที่วางอยู่บนโต๊ะของพี่เอ็ม
เขาพาคนของเขามาด้วยสินะ ผมเดินผ่านโต๊ะของพี่เอ็มไปเข้าไปโต๊ะในที่ชิดเสา พวกพี่ๆเขาคงไม่ทันได้สังเกตอะไรเพราะตอนนี้กำลังคุยกันอยู่
จากที่ว่างที่เหลืออยู่ตอนนี้ทำให้ผมนั้นได้นั่งข้างเจมส์ที่นั่งอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว และเมื่อผมหันหน้าไปทางโต๊ะของพี่เอ็มก็เหมือนกันกับผมกำลังนั่งข้างพี่ต้นใหญ่อยู่ด้วยเหมือนกัน ผมไล่สายตามองร่างสูงที่นั่งเยื้องตรงกันข้ามผมไป อีกฝ่ายก็ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ในมือไปพลาง เงยหน้าขึ้นมาคุยกับเพื่อนไปพลาง
“ เฟรนกินข้าวดิ ” เจมส์หันมาพูดกับผมและดันจานข้าวมาไว้ตรงหน้า ผมจำได้ว่า ผมยังไม่ได้สั่งข้าวเลยนะเว้ย
“ กูสั่งเผื่อมึงไว้เองแหละ มึงกินไปเถอะ เดี๋ยวบ่ายไปสตูกับกูด้วย ” เสียงของไอ้กิ๊กดังขึ้นบอกคลายความสงสัยจากผม
ผมได้แต่พยักหน้ารับและเตรียมจะตักข้าวกิน ให้ไปสตูก็คงต้องช่วยงานอีกซะมั้ง แต่เหมือนว่าจังหวะนั้นเอง พี่ต้นใหญ่หันแขนมาโดนแขนผมเองพอดี ทำให้อีกฝ่ายหันมากล่าวขอโทษ
“ เอ้าไอ้เตี้ย ” เสียงของพี่ต้นใหญ่ดังขึ้นทำให้บทสนทนาบนโต๊ะของพี่เอ็มหยุดลง
“ เฟรนมากับเพื่อนเหรอ ” เสียงใสๆของพี่ต้นเล็กเอ่ยทักขึ้นมา ก่อนจะพยายามโน้มหน้าให้ผมเห็นพี่เขา
“ อ่า .. ครับผมมากับเพื่อน ” ผมพูดตอบกลับไป และไล่สายตามองอาการของพี่เอ็มที่ตอนนี้เลิกสนใจหน้าจอโทรศัพท์แล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมตรงๆ อีกฝ่ายไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมา
“
อ้าววว ข้าวกระเพราหมูกรอบของโปรดเฟรนที่ไอ้เอ็มมันสั่งให้เฟรนก็เป็นหมันดิว่ะ ” พี่ต้นเล็กพูดต่อขึ้นมาแล้วหัวเราะหน่อยๆ ก่อนจะยิ้มล้อพี่เอ็ม ทำให้พี่เอ็มตอนนี้เริ่มจะชักสีหน้าเหมือนจะไม่พอใจอะไรบางอย่าง
“
โถ่ ! พี่ครับ ขึ้นชื่อว่าของโปรดอ่ะเนาะ ก็ใช่ว่าจะมีแค่อย่างเดียวที่มันจะเลือกกินนี่ครับ ถ้ามันจะหันมาเลือกกินอย่างอื่นนอกจากของที่มันกินจำเจมานานนี้ก็ไม่น่าแปลกนี่เนาะ ”
เสียงติดจะขำๆของไอ้กิ๊กโพล่งขึ้นมา ทำเอาบทสนทนาของโต๊ะผมเองก็หยุดลงเช่นกัน กลายเป็นว่าทั้งสองโต๊ะกำลังสนใจบทสนทนาระหว่างผมกับพี่ๆเขา
พี่ต้นใหญ่เองที่รู้จักกับไอ้กิ๊กกันมาก่อนหน้านี้และรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผม เหมือนจะพอรู้ว่าสิ่งที่ไอ้กิ๊กมันพูดขึ้นมานั้นกะจะให้ใครคนนึงได้ยินประโยคนี้
“ กูก็ว่างั้นแหละไอ้กิ๊ก
ขนาดเสื้อคลุมที่ไอ้เฟรนมันใส่มายังเป็นของคนอื่นคณะอื่นเลยว่ะ สถาปัต .. หึ ” พี่ต้นมันพูดขึ้นต่อประโยคของไอ้กิ๊ก พี่มันยิ้มมุมปากนิดๆแล้วยกมือขึ้นมาผลักหัวผมเบาๆ
เหมือนประโยคที่พี่ต้นใหญ่พูดขึ้นมานั้นจะกลายเป็นประโยคจบบทสนทนาขึ้นมาซะดื้อๆ เพราะไม่มีใครที่จะต่อบทสนทนาด้วย ผมเองก็เหนื่อยที่จะพูดอะไรต่อก็เลยก้มหน้าก้มตากินข้าวไป
ในหัวก็กำลังคิดว่าสิ่งที่พี่ต้นใหญ่และไอ้กิ๊กพูดนั้น พี่เอ็มจะได้ยินมันแล้วเอากลับไปคิดบ้าง ว่ามันหมายความว่าอย่างไร พอเริ่มกินข้าวไปได้สักพัก พวกแพรว เดี่ยวและเจมส์ก็ลุกขึ้นเตรียมจะกลับสตูกันก่อนเพราะยังทำงานค้างไว้อยู่ ทั้งสามคนได้แต่ทำสีหน้าสงสัยกับเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ผมถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่คืนเจมส์ไปเพราะเห็นว่าวันนี้เขาเองไม่ได้แต่งตัวชุดนิสิตเหมือนผม วันนี้เขาใส่เสื้อสีเทาเรียบๆมาเท่านั้นเหมือนเดี่ยวและแพรว อีกฝ่ายรับเสื้อจากผมไปและใส่ไว้กับตัวก่อนจะเดินออกจากโรงอาหารกลาง
กลายเป็นว่าตอนนี้เหลือแค่ผมกับไอ้กิ๊กและพวกพี่เขาเท่านั้น แต่อยู่ดีๆพี่ต้นใหญ่ก็พูดขึ้นมาประโยคนึง ทำให้ผมต้องเงยหน้าสนใจอีกฝ่าย
“
เสื้อเด็กคนนั้นนี้เอง ” พอสิ้นสุดประโยคนี้ทำให้พี่เอ็มเงยหน้าขึ้นมามองผมสายตาของเขานั้นจ้องผมอย่างไม่วางตา ดูคล้ายอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจแต่ก็มีเสียงใสๆของหญิงสาวคนนึงขัดขึ้น
ทำให้พี่เขานั้นหันไปยิ้มอ่อนๆให้กับเธอ คนของเขาส่งยิ้มกลับมาให้พี่เอ็มก่อนที่สายตาของเราสองคนจะสบกันทำให้เธอนั้นส่งยิ้มนิดๆมาให้ผม เมื่อเธอยิ้มส่งมาผมเลยทำได้แค่ส่งยิ้มเล็กน้อยกลับไป
แต่สายตาของผมก็ดันสะดุดเข้ากับเสื้อคลุมสีกรมเข้มที่ตอนนี้อยู่ในมือของเธอ พี่ข้าวปุ้นส่งเสื้อคลุมนั้นให้กับพี่เอ็มและนั่งลง
“ ขอโทษนะที่ทำให้รอกัน อยู่ดีๆพี่รหัสก็เรียกไปหา ” เสียงที่ฟังแล้วดูสดใสเอ่ยขอโทษคนที่อยู่ร่วมโต๊ะ
“ ขอบคุณสำหรับเสื้อด้วยนะเอ็ม ” พี่ข้าวปุ้นส่งยิ้มขอบคุณมาให้พี่เอ็ม
“ ไม่เป็นไรหรอก ก็เอ็มเห็นว่าแดดมันแรงเลยให้เสื้อข้าวไป ทีจริงมันไม่ใช่เสื้อของเอ็มหรอก มันเป็นของเฟรนน่ะ ” ร่างสูงพูดขึ้นทำให้พี่ต้นเล็กและพี่ต้นใหญ่นั้นได้แต่มองหน้าพี่เอ็มนิ่งๆ เหมือนกำลังจะดูว่าพี่เอ็มจะพูดอะไรต่อขึ้นมาอีกหรือไม่ แต่ผมกลับสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของพี่ข้าวปุ้น แต่อยู่ๆไอ้กิ๊กมันก็พูดสอดขึ้นมา
“
พี่สองคนนี่เป็นแฟนกันเหรอ ” คำถามของไอ้กิ๊กที่ถามขึ้นมาทำให้พี่ข้าวปุ้นได้แต่ทำหน้าเขินอาย ไม่ได้พูดอะไรออกมา เหมือนจะให้พี่เอ็มเป็นคนพูดออกมาแทน แต่พี่เอ็มเองก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่ไอ้กิ๊กมันถาม
กลับกำลังตักข้าวกินทำให้คนของเขานั้นทำสีหน้าเหมือนจะไม่พอใจแต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น พอผมเห็นพี่ข้าวปุ้นทำสีหน้าแบบนั้นผมเลยได้ใจพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจขึ้นมา หวังจะตอกย้ำสถานะของเธอให้ชัดเจนเหมือนๆกันกับสถานะของผมตอนนี้
“
พี่เขาไม่ได้เป็นแฟนกันหรอกมึง ก็แบบว่าพี่เอ็มกำลังคุยๆอยู่ไง ถ้าจะให้อธิบายเข้าใจง่ายๆก็ตัวเลือกนั้นแหละ ”
ขณะที่ผมพูดประโยคนี้ออกมานั้น สายตาของผมก็มองไปที่คนสองคนอย่างเปิดเผย ก่อนจะยกยิ้มให้คนของเขาหน่อยๆ พี่เอ็มเองที่ได้ยินสิ่งที่ผมพูดก็วางช้อนกินข้าวลงจนเกิดเสียงกระทบกับจาน และเงยหน้ามองผมใบหน้าของร่างสูงนั้นเรียบตึง คิ้วเรียวของร่างสูงเริ่มขมวดเป็นปมและจ้องผมอย่างไม่วางตา
“
ก็เหมือนๆกับกูไง ที่เป็นตัวเลือกให้พี่เอ็มเหมือนกัน ”
ผมส่งยิ้มเล็กๆไปให้เขาทั้งสองคนก่อนหันหน้าไปหาไอ้กิ๊กแล้วพยักหน้าเป็นเชิงลุกออกจากโต๊ะ และเดินไปหาฝั่งที่พี่เอ็มนั่งอยู่ตอนนี้สายตาของคนร่วมโต๊ะตอนนี้กำลังมองผมเป็นตาเดียวว่าผมกำลังจะทำอะไร และตอนนี้พี่เอ็มก็หันหน้ามามองผมก่อนร่างสูงจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมา
“
คิดดีแล้วเหรอที่พูดอะไรแบบนี้ออกมา ” เสียงเข้มๆเอ่ยบอกเหมือนจะเตือนผม
“ ผมทำอะไรเหรอพี่เอ็ม ผมก็แค่
พูดเฉยๆให้อีกคนของพี่ได้รู้ไงว่าตอนนี้พี่ก็คุยๆ กับผมอยู่เหมือนกัน ” ผมคว้าเสื้อคลุมของตัวเองที่วางอยู่บนตักของพี่เอ็มขึ้นมาถือไว้
“ ผม
ขอเอาไปซักก่อนนะครับ มันคงสกปรกน่าดู ” ผมทิ้งท้ายโดยประโยคนั้นก่อนจะส่งยิ้มกว้างไปให้พี่ต้นเล็กและพี่ต้นใหญ่ที่ตอนนี้กำลังอมยิ้มกับสิ่งที่ผมทำ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้ทำให้ผมเจ็บอะไรมากมายนัก อาจจะเพราะผมคาดการไว้แล้วว่ามันคงต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแน่ๆ
ถ้าพี่เขายังอยากทำให้ผมเจ็บหรือทำให้ผมรู้ตัวว่าความรักระหว่างผู้ชายนั้นมันเกิดขึ้นได้ยากและมันยากที่จะยอมรับมัน ตัวผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าเขานั้นคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าภายใต้ใบหน้าที่แสดงสีหน้ายิ้มแย้มหรือเรียบเฉยนั้น กำลังรู้สึกอย่างไร
มันยากที่จะเข้าใจจริงๆ และผมก็หวังว่าสิ่งที่ผมพูดไปนั้นจะเข้าไปในโสตประสาทของเธอคนนั้นด้วย ว่าเธอนั้นกำลังอยู่ในสถานะไหนและไม่ใช่แค่เพียงเธอคนเดียวที่สามารถคุยกับพี่เอ็มได้
ผมเองไม่ได้อยากเอาชนะใคร แค่อยากให้การเริ่มต้นในครั้งนี้มันยุติธรรมเท่านั้น และไม่ได้อยากทำให้พี่เอ็มไม่พอใจกับการกระทำของผม แต่แค่อยากให้เขารับฟังสิ่งที่ผมพูดและเก็บเอามันไปคิดก็เท่านั้นเอง
==========================================================
มาแล้วน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
ตอนนี้ขูดรีดมาก มึนตอนแต่งเลย เอาใจช่วยอิน้องเฟรนด้วยนะ
ไปมาๆอยากกดเปลี่ยนพระเอกมาก 555555555555555 ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นและขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านด้วยน้าาา งิงิ
บัยส์