Because of you ซน ตอนที่ 16 คนสำคัญ
เสียงดังเหมือนตอกหรือทุบอะไรสักอย่างทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา ฟ้าสีส้มด้านนอกบ่งบอกว่าเวลาตอนนี้กำลังจะเข้าสู่ช่วงหัวค่ำ น่านฟ้าส่งเสียงครางงึมงำในลำคอเหมือนไม่พอใจที่ผมขยับตัว มันดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเองแล้วหลับต่อแบบไม่คิดจะลุกขึ้นไปไหน
ผมกับพวกไอ้น่านเรามาอยู่ที่นี้เกือบจะสองอาทิตย์แล้วครับ พี่ชัยไม่ปล่อยให้เงินบริษัทที่จ่ายพวกผมวันล่ะ 500 บาทสูญเปล่า เรียกว่าเงิน ที่ได้มาในแต่ล่ะวันคุ้มเกินคุ้มเสียยิ่งกว่าอะไร ผมยอมรับนะว่าตัวเองก็เป็นลูกคุณหนูคนนึงถึงจะไม่ได้มากมายเท่าแก๊งไอ้น่านแต่เวลาเจอแดดแรงๆ หรือต้องปีนไปติดแผงโซลาเซลล์ก็ทำเอาผิวแสบคันไปหมด (ผมเป็นโรคแพ้เหงื่อตัวเอง เวลาเหงื่อออกมากๆจะแพ้ คันเต็มตัวไปหมด)
ส่วนพวกไอ้น่านกับแก๊งสเตอร์ ผมไม่ยักกะเห็นมันบ่นอะไรสักคำ ขนาดพี่แอลที่ผมแอบปรามาสมันไว้ในใจลึกๆมันยังแค่บ่นนิดๆหน่อยๆ ไม่ได้บ่นเยอะ บ่นมากถึงกับทำให้คนอื่นเดือดร้อนเหมือนผม ส่วนไอ้คนที่เดือดร้อนเพราะผมก็มีอยู่แค่คนเดียวแหละครับ เพราะต้องวิ่งไปหาน้ำ หายามาให้ผมตลอด ไหนจะต้องช่วยเอากระดาษมาพัดให้เหงื่อมันแห้ง เพราะเวลาที่ตัวผมชุ่มไปด้วยเหงื่อมากๆรอยผื่นแดงจะเต็มตัวไปหมด
ผมถามมันนะว่ามันเหนื่อยหรือร้อนบ้างหรือเปล่า มันก็ตอบว่าเหนื่อย ร้อน แต่ชิน แล้วก็เล่าให้ฟังว่าภาควิชาที่มันอยู่ต้องไปเข้าค่ายสร้างนู่นนี่นั่นเยอะแยะ มันถึงชิน
“น่าน”
“อื้ม”
“ตื่นไหม เดี๋ยวปวดหัว วันนี้พี่ชัยแกจะพาไปบ้านแกที่อยู่ในตัวเมืองไม่ใช่เหรอวะ” มันหรี่ตามองผมแล้วหลับลงไปอีกรอบ “น่านฟ้า ตื่น”
“อืม ตื่นแล้ว” มันพูดว่าตื่นแล้วแต่ตามันยังหลับสนิท แถมยังขยับเอาหัวหนักมานอนทับบนตักผมก่อนจะกอดเอวผมไว้หลวมๆ หน้ามันซุกอยู่ตรงท้องผม ลมหายใจร้อนๆที่เป่ารดผิวเนื้อเพราะไม่ได้ใส่เสื้อมันทำให้ผมรู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ
“น่าน” ผมเลิกคิ้วมองไอ้แมวตัวโตบนตักอย่างงงๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากเรียกชื่อมันเท่านั้น ส่วนมือตัวเองก็ยกขึ้นลูบศีรษะมันอย่างเคยชิน
“พี่ชัยนัดกี่โมง”
“ทุ่มสองทุ่มมั้ง” น่านฟ้าขยับพลิกตัวนอนหงายเพื่อสบตาผมที่กำลังก้มมองหน้ามันอยู่ หนวดไอ้น่านเริ่มขึ้นเป็นตอๆ ในสายตาคนอื่นมันอาจจะดูเท่แต่สำหรับผมกับไม่ใช่เพราะไอ้หนวดบ้าของมันแทงผิวผมจนแดงไปหมด
“เหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่ามึงไปอาบน้ำแล้วโกนหนวดออกด้วยนะ หนวดมึงเริ่มขึ้นแล้ว” ผมใช้มือลูบไปตามคางไอ้น่านเบาๆ แต่เพราะความรู้สึกเหมือนคนกำลังจ้องผมถึงเลื่อนสายตาไปสบตากับมัน เห็นไอ้น่านกำลังยิ้มแบบกรุ่มกริ่มเหมือนคนบ้า “.ยิ้มทำไมวะ”
“เปล่าครับผม”
“เปล่าเชี่ยอะไรก็เห็นยิ้มอยู่ชัดๆ ด่ากูในใจใช่ไหม”
“ทำไมมึงชอบคิดว่ากูด่าวะ” จะไม่ให้คิดได้ไง สายตามันเหมือนคนมีปัญหากับผมอยู่ตลอดเวลาแบบนั้น ใครไม่คิดก็บ้าแล้ว
“ก็หน้าตามึงกวนตีน สรุปมาเลยว่าที่มึงยิ้มอ่ะ มึงล้ออะไรกูอยู่ในใจใช่ไหม”
“เปล่าครับผมก็แค่ ...มีความสุข” น่านฟ้าพูดพร้อมกับใช้มือเกลี่ยหลังผมไปด้วย ไม่ใช่แค่มันหรอกครับที่รู้สึกแบบนั้น ผมเองก็สุขไม่ต่างจากมันนักหรอก ถึงแม้งานจะหนักมากแค่ไหน แต่ความสุขมันก็มีมากกว่า
“มากมายขนาดนั้นเชียว”
“ก็มากนะ มากในระดับที่เอนโดฟินหลั่งโดยที่ไม่เอากับมึงอ่ะ อยู่แบบนี้โดยไม่เอามึงไปตลอดกูว่าก็มีความสุขดี ความฟินอยู่ในระดับใกล้ๆกัน”
“หึ” ผมขำหึในลำคอก่อนจะยกยิ้มมุมปาก “คนอย่างมึงไม่มีเซ็กส์เนี่ยนะ พูดให้ตัวเองดูดีทำไมวะ ทั้งๆที่มันไม่จริงสักนิด”
“ผมพูดจริงครับคุณ อยู่กับคุณผมมีความสุขจริงๆ” ผมชอบนะเวลาที่มันคิดอะไรอยู่แล้วพูดออกมาทันที ซึ่งนั่นเป็นส่วนดีของน่านฟ้า และก็เป็นส่วนที่ผมกลัวมากที่สุด เพราะน่านฟ้าเป็นคนชัดเจนไม่ต่างอะไรจากผม แต่ที่มันยังไม่ลงลึกในรายละเอียดบางอย่างให้มันชัดเจนมากกว่านี้เป็นเพราะผมเองที่ขอมันไว้
เฉพาะแค่ผมกับมันเท่านั้นที่ผมกลัวความชัดเจน กลัวจน....ไม่อยากให้มันพูดอะไรออกมาทั้งนั้น
ก็อย่างที่บอก ผมมีความสุขกับสถานะที่เรากำลังเป็นอยู่ตอนนี้ และผมก็คิดว่าน่านฟ้าเองก็คง...มีความสุขไม่ต่างกันหรอกมั้ง
แต่ถ้าถามว่ารู้สึกแบบเดียวกับที่มันรู้สึกไหม
ผมตอบไม่ได้หรอกครับ
เพราะผมก็มีใครอีกคนที่ต้องรักมากกว่ามัน
“ลุกได้แล้วมั้ง”
“ขี้เกียจ”
“จะลุกไหม กูเมื่อยเนี่ย”
“ครับๆลุกแล้วคร้าบ..แล้วนี่มึงกินยาแล้วใช่ไหม”
“กินแล้ว” ยาที่ไอ้น่านพูดถึงคือยาแก้แพ้ โดยปกติผมไม่ได้กินมันทุกวันหรอกครับ แต่วันนี้แดดแรงมากจนผื่นขึ้นเต็มตัวไปหมด
“กินแล้ว???แล้วทำไมตรงนี้ยังแดงอยู่ล่ะ” น่านฟ้าลุกขึ้นนั่งดีๆแล้วเอานิ้วจิ้มตามจุดแดงๆที่มันบอกว่าเป็นผื่นที่เกิดจากอาการแพ้เหงื่อ “แล้วจุดแดงๆพวกนี้มันอะไรกันนะ”
“มึงจะเล่นใช่ไหมน่าน”
“ก็ถามว่าไอ้จุดพวกเนี่ยแพ้อะไร” มันยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนจุดสีแดงที่อยู่ใกล้ปากตัวเองที่สุดก่อนจะดูดเม้มอีกครั้งให้รอยแดงมันชัดขึ้นมากกว่าเดิม
“พอออออ กูบอกหลายรอบแล้วไหมน่านเวลาจะดูดกูเนี่ย กูให้เฉพาะในร่มผ้ามึงเล่นซะตรงซอกคอ ใครเห็นใครทักตลอด ยิ่งไอ้พี่แอลกับพี่ป็อบนี่ล้อกูยันลูกบวชเรื่องที่มึงทำเนี่ย”
“ล้อก็ล้อไปดิ คนอื่นจะได้รู้”
“เลิกมโนเหอะว่ะน่านมันไม่ใช่อย่างที่มึงคิดหรอก” ช่วงที่ผ่านไอ้น่านมันชอบมโนว่าพี่ลมสนใจผมในเชิงนั้น ซึ่งจากที่ผมสังเกตดูมันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าคนรู้จักกันที่บังเอิญมาฝึกงานด้วยกันเท่านั้น
“เหอะ มึงอ่ะไม่รู้อะไร เตี้ยๆอย่างมึงมองสายตามันไม่ออกหรอกว่ามันคิดอะไรอยู่” ผมขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับมันแล้วครับ เถียงไปก็เหมือนพูดให้คนหูหนวกฟังเพราะมันไม่รับฟังอะไรสักอย่าง เชื่อมั่นในความคิดตัวเองอยู่ฝ่ายเดียว พวกซ้ายจัด บ้าอำนาจ ขี้เอา นิสัยเสีย
“มึงอ่ะคิดเยอะลุกได้แล้วสัส จะอาบไหมน้ำ ถ้าไม่อาบกูจะอาบก่อน” ผมผลักหัวไอ้น่านออกจากบ่าแล้วลุกเดินเข้าห้องน้ำทันที ได้ยินเสียงมันหัวเราะตามมาเบาๆ เห็นแล้วหมั่นไส้โคตร ช่วงนี้น่านฟ้าอารมณ์ดีจนเหมือนคนบ้า แล้วพอมันอารมณ์ดีคนที่ลำบากก็มีแต่ผมเนี่ยแหละ โดนแซะ โดนแกล้ง โดนทำนั่นนี่นู่นตลอด บางทียังแอบคิดอยู่ในใจลึกๆเลยว่าจริงๆแล้วผมแอบมีความสัมพันธ์ทางกายกับคนประสาทไม่ดีหรือเปล่า
หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็ลงมานั่งรอพี่ชัยที่โถงด้านล่าง คนที่นั่งรออยู่ก็มีพวกกลุ่มพี่ลมที่กำลังนั่งเล่นกีต้าร์กันอยู่ ส่วนพี่ป็อบกับพี่แอลก็ดูเหมือนกำลังซ่อมโต๊ะที่เมื่อวานตอนนั่งกินเหล้าพี่ป็อบถีบโต๊ะนั้นจนขาหัก ถึงว่าตอนที่ตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงดังเหมือนตอกอะไรกัน
“ผมว่ามันจะยิ่งแย่กว่าเดิมไหมพี่โก้” ผมถามพี่โก้ที่ยืนมองพี่ป็อบกับพี่แอลซ่อมโต๊ะอยู่ใกล้ๆ ไม่รู้คิดดีแล้วหรือเปล่าที่ให้สองคนนี้ซ่อมกลัวว่าจากที่ซ่อมๆอยู่มันจะกลายเป็นพังซะมากกว่า
“แค่นี้มึงก็ทำไม่เป็นหรือไงป็อบกะอีแค่เอาขามาต่อกับตัวโต๊ะแล้วตอกตะปูเข้าไปแบบนี้”
“พูดมันก็ง่ายดิก็มึงเป็นคนสั่งนี่หว่า”
“งั้นส่งค้อนมาดิ ให้กูทำ”
“อย่างมึงจะทำเป็นอะไรแอล โง่ๆอย่างมึงอ่ะ”
“เชี่ยป็อบมึงด่ากูเหรอ!!!!”
“เฮ้อออ พี่ก็ว่างั้นแหละ” ไอ้พี่โก้เพิ่งตอบคำถามผมก่อนจะส่ายหัวแล้วเดินไปดึงค้อนออกจากมือพี่ป็อบ
“โก้ ดูเชี่ยป็อบดิ”
“เลิกบ่นได้แล้วแอล” พี่โก้ดึงมือพี่แอลที่ยืนอยู่ให้ขยับนั่งลงข้างๆกัน
“ก็ไอ้เชี่ยป็อบมันกวนตีนกูอ่ะโก้ มึงเข้าข้างมันมากกว่ากูเหรอ”
“กูเปล่ากวนสักหน่อย ตีนมึงไม่เห็นจะมีอะไรน่ากวน แดกก็ไม่ได้”
“เออออ เดี๋ยวมึงจะได้แดกตอนนี้และเชี่ยป็อบ” ผมมองพี่ป็อบกับพี่แอลที่กำลังจะตีกันโดยมีพี่โก้คอยห้าม ตลกดีนะครับ เวลานี้ก็ตีกันตลอด แต่เวลาไม่เห็นก็ถามถึงกันทุกที
“ซนมานี่มา” ผมหันมามองพวกพี่ลมที่กวักมือเรียกผมอยู่ตรงโซฟากลางบ้าน
“ไอ้น่านล่ะซน” พี่สิงห์เป็นคนเอ่ยปากถามผมพร้อมกับลุกจากที่นั่งตัวเองไปนั่งตรงโซฟาอีกฝั่งก่อนจะพยักหน้าให้ผมนั่งลงแทนที่เขาคือที่นั่งข้างๆพี่ลมแทน
“อาบน้ำอยู่ครับ แล้วนี้พวกพี่เล่นเพลงอะไรกันอ่ะ”
“ก็เล่นไปเรื่อยอ่ะ น้องซนอยากลองเล่นดูบ้างไหมล่ะ”
“อย่าเลยครับ ผมเล่นไม่เป็นหรอก เคยอยากลองเล่นอยู่เหมือนกันแต่ก็ยังไม่มีโอกาส” ผมก้มมองกีต้าร์บนตักพี่ลมอย่างสนใจ
“ตอนนี้ก็เป็นโอกาสแล้วนี่ ซนลองเล่นดูเลยล่ะกัน” พี่ลมขยับกีต้าร์ที่วางอยู่บนตักตัวเองมาวางไว้บนตักผม
“จะดีเหรอพี่ลม ผมเล่นไม่เป็นนะ ถ้ามันพังขึ้นมาทำไง”
“ไม่พังหรอก เดี๋ยวพี่สอน” ไอ้พี่ลมไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรสักอย่างขยับเข้ามาใกล้ผมก่อนจะใช้มือข้างนึงโอบอ้อมหลังผมมาจับที่มือ...
“พี่ลม...” ผมเอนตัวหนีไอ้พี่ลมที่ขยับเข้ามาใกล้มากเกินไป “ทำอะไรวะพี่” รู้สึกว่าหน้ามันใกล้ผมเกินไปหรือเปล่า
“ก็พี่กำลังจะสอนกีต้าร์ซนไง” แน่ใจเหรอวะ??
“ทำอะไรกันน่ะ!!” ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเสียงที่ดังขึ้นทั่วบ้านเสียงใคร ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยินเสียงไอ้น่าน
“ทำไมต้องเสียงดังขนาดนั้นด้วยวะ” ไอ้พี่ลมส่งสายตาไม่พอใจไปให้ไอ้น่านที่ยืนอยู่ตรงประตู
“มึงนั่นแหละที่ควรเงียบลม” พี่ฉัตรบอกเพื่อนตัวเองส่วนไอ้พี่ลมมันก็แค่ยักไหล่เหมือนไม่ได้แคร์ในสิ่งที่เพื่อนตัวเองพูดเท่าไหร่ ผมว่าไอ้พี่ลมกวนตีน
“อ่าวเด็กๆ...เตรียมตัวเสร็จกันแล้วใช่ไหม งั้นเราไปกันเลย...มะ...ไหม” พี่ชัยเดินเข้ามาในบ้านก่อนจะหันซ้ายทีขวาที เหมือนพี่แกกำลัง งงๆ กับบรรยากาศอึมครึมที่เกิดขึ้น “มีอะไรกันหรือเปล่า”
“เปล่าพี่ ไปกันเลยไหม ป่ะๆ” ไอ้พี่ป็อบทิ้งงานแล้วเข้าไปกอดคอพี่ชัยอย่างเป็นกันเอง
“อะไรของมึงเนี่ยป็อบ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ฝึกงานด้วยกันต้องรักกันนะพวกมึง ห้ามทะเลาะกันเข้าใจไหมวะ ถ้าพวกมึงทะเลาะกันรุ่นน้องมึงหมดสิทธิ์ได้มาฝึกต่อที่นี้แน่”
“โหพี่ชัยไม่มีอะไรหรอกพี่ ไปพี่ไปกินเหล้ากันดีกว่า” ไอ้พี่ป็อบกอดคอพี่ชัยแล้วพากันเดินออกจากบ้านไป ส่วนคนอื่นๆก็เดินตามออกไปเงียบๆ ตอนเดินออกไปพี่ลมหันมามองผมด้วยเหมือนจะชวนให้เดินออกไปพร้อมกันแต่มันโดนไอ้พี่ฉัตรลากตัวออกไปก่อน ได้ยินเสียงพี่ฉัตรกับพี่สิงห์ด่าพี่ลมแว่วๆแต่ไม่รู้ว่าด่าว่าอะไร เพราะในหัวผมตอนนี้กำลังคิดถึงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมมากกว่า
“น่าน...”ผมเรียกชื่อมันเสียงเบามาก ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกผิดแบบแปลกๆทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไรสักนิด
“...........”น่านฟ้าไม่ตอบแต่หันหน้ามามองผมแบบไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก
“มึงงอนกูเหรอ”
“ห้ะ??? อย่างกูเนี่ยนะงอน เหอะ”
“เอออย่างมึงนั่นแหละ” ผมเบะปากใส่แล้วเอื้อมมือไปจับนิ้วมัน น่านฟ้าก้มหน้ามองมือผมที่จับนิ้วมันแล้วเลิกคิ้วถาม
“ง้อกู”
“รู้ได้ไงว่าง้อ”
“อ่าวก็ที่มึงทำอยู่แถวบ้านกูเรียกว่าง้อ”
“งั้น.....แสดงว่ามึงงอนจริงๆอ่ะดิ” ผมยิ้มหน้าบานที่จับไต๋คนอย่างไอ้น่านได้แต่สุดท้ายก็ต้องรีบหุบยิ้มทันทีเพราะมันไม่ได้ยิ้มด้วย
“มึงโกรธกูเรื่องแค่นี้อ่ะนะน่าน เขาก็แค่สอนกีต้าร์กูป่ะวะ”
“มันไม่ใช่แค่ที่มึงเข้าใจหรอกนะซน”
“แล้วที่มึงเข้าใจมันถูกแล้วเหรอวะ ที่มึงคิดว่าเขาชอบกู มึงบ้าป่ะวะ เขาจะมาชอบกูทำไม กูผู้ชายนะเว้ย”
“มึงลืมคิดไปหรือเปล่าว่ากูก็ผู้ชาย!!!” มันตะโกนเสียงดังลั่นบ้านจนผมสะดุ้ง “กูผิดเหรอวะที่โกรธมึง ไม่โอเคที่เห็นมันโอบมึงแบบนั้นอ่ะ ถ้ากูมาไม่ทันอีกนิดเดียวปากมันจะโดนแก้มมึงอยู่แล้ว” น่านฟ้ามันชอบพูดเว่อร์ เมื่อกี้ผมก็เอนหน้าหนีแล้วเหอะ ห่างกันเป็นวาไม่ได้ใกล้ขนาดนั้นสักหน่อย
“น่านมึงเริ่มไม่มีเหตุผลแล้วนะ” ผมกระตุกแขนไอ้น่านเบาๆอย่างน้อยให้มันมีสติมากกว่านี้ “แล้วถึงแม้ว่าไอ้พี่ลมจะทำอะไรกูมึงก็ไม่มีสิทธิ์หวงป่ะวะ ก็ในเมื่อมึงไม่ได้เป็นอะไรกับกู”
ผมยอมรับก็ได้ครับว่าผมโมโห ผมไม่ชอบคนไม่มีเหตุผล ยิ่งไอ้การหวงไร้สาระที่มันกำลังทำอยู่มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่
“เรื่องนั้นกูรู้อยู่แล้วแหละซน มึงไม่ต้องย้ำกูมากนักหรอก กูรู้อยู่แล้ว...ว่ากูไม่สิทธิ์หวงอะไรมึง...ขนาดจะพูดว่ารู้สึกยังไงกับมึง กูยังไม่มีสิทธิ์เลย...”
“น่าน...คือกู...”
“ช่างเถอะ...” มันพูดเสียงเบาเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า “พี่ชัยรออยู่ รีบไปกันเถอะว่ะ”
น่านฟ้าพูดเสร็จก็เดินนำหน้าผมไปที่รถพี่ชัยที่จอดรออยู่ทันที คนอื่นๆนั่งหน้ากันหมดเหลือแค่กระบะหลังไว้ให้ผมนั่งกับไอ้น่านนั่ง
ลมเย็นที่พัดโกรกตอนที่รถวิ่งมันเป็นบรรยากาศที่ผมไม่สามารถสัมผัสได้ถ้าอยู่ที่กรุงเทพ เพราะบรรยากาศรถติด มลพิษมาเป็นโขยงแบบนั้นมันทำให้ทุกคนที่นั่นแทบจะไม่ซื้อปิ๊กอัพเพื่อใช้ในครัวเรือนเลย มีแต่ใช้ไว้ส่งของเท่านั้น
สองทุ่มกว่าๆของที่นี้ช่างแตกต่างจากกรุงเทพอย่างสิ้นเชิง ความมืดโรยตัวเข้ามาเร็ว บ้านเรือนหลายบ้านที่รถขับผ่านปิดไฟนอนกันตั้งแต่ยังหัวค่ำ ท้องฟ้าของที่นี้เป็นท้องฟ้าเดียวกันกับกรุงเทพ แต่ฟ้าที่นี้กับเต็มไปด้วยดาวที่เต็มท้องฟ้ามากกว่า
“น่าน...”
“........”
“มึงรู้ไหมว่าทำไมท้องฟ้าที่นี้มันถึงมีดาวมากกว่าที่กรุงเทพ” ผมถามมัน แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังเป็นความเงียบ ผมรู้นะว่าผมผิด ผมพูดในสิ่งที่ทำให้คนข้างๆรู้สึกแย่ แต่จะให้ทำไงวะก็ตอนนั้นมันโกรธจริงๆนี่หว่า น่านฟ้ามันไม่มีเหตุผลอ่ะ “น่าน.....”
“.....” มันก็ยังคงเงียบเหมือนเดิม
“น่านฟ้า...”
“........”
“กูขอโทษ” ผมขยับตัวเอาหัววางไว้บนบ่าไอ้น่าน ยังดีที่มันไม่ได้ทำท่ารังเกียจขยับตัวหนี
“มึงไม่ผิดอะไรนี่หว่า”
“กูผิด กูขอโทษ”
“ไม่ผิดหรอก ก็ที่มึงพูดออกมามันจริงนี่หว่า กู...ไม่มีสิทธิ์หวงอะไรมึง...” ยิ่งได้ยินมันพูด ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ ผมไม่ชอบที่มันเป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ “กูเองก็ไม่รู้ว่ะซน กูไม่รู้ว่าตัวเองจะทนกับมันได้อีกนานแค่ไหน ยิ่งได้ยินมึงพูดย้ำตลอด กูก็ยิ่งรู้ตัว ว่ากูไม่ได้สำคัญอะไรกับมึงขนาดนั้น”
“ไม่ใช่!!”
“พอเถอะ ขี้เกียจฟังแล้วว่ะ เมื่อกี้มึงกำลังจะพูดว่าทำไมดาวที่กรุงเทพถึงมีน้อยกว่าที่นี้ใช่ป่ะ แล้วไงต่อนะ” มันพูดถามผมทั้งๆที่ไม่ได้มองหน้าผม
“มึง”
“กูบอกแล้วไงว่าช่างมันเถอะ”
“น่าน...มึงฟังกูก่อนได้ป่ะล่ะ กูขอโทษ มึงอย่าเข้าใจไปเองได้ป่ะวะ ว่ามึงไม่สำคัญ” ผมขยับนั่งหันไปมองหน้าไอ้น่านแบบเต็มตัว
“.....”
“มึงสำคัญกับกูนะน่าน” ผมจับหน้าไอ้น่านด้วยมือทั้งสองข้าง ส่วนตัวเองก็แทบจะปีนขึ้นไปนั่งบนตักมันแล้ว “สำคัญ มึงสำคัญกับกู”
รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกลัวอะไรมากที่สุด ความรู้สึกบางอย่างที่ตื้อขึ้นมาจนจุกอยู่ที่คอ
มันทำให้ผมรู้เลยว่า ถ้าไม่มีไอ้น่าน ผมไม่มีทางยืนต่อไปได้ไหว
ผมรับมันไม่ไหวแน่ๆ
“มึงสำคัญ”
“ก็แค่นั้นแหละ...” มันหลุดยิ้มออกมาจนดูน่าหมั่นไส้
“หมายความว่าไงอ่ะ”
“ก็หมายความว่า สำหรับกู ณ ตอนนี้ เท่านี้ก็โอเคแล้ว”
“จริงนะ” ผมถามมันเพราะยังไม่ค่อยเชื่อมันเท่าไหร่
“เออออจริง” ผมถอนหายใจออกมาแล้วขยับลงจากตักไอ้น่านมานั่งพิงกระบะแทน
“หายโกรธกูจริงๆนะเว้ย ห้ามมางอแงไร้สาระอีกเด็ดขาดนะมึง”
“เออหายแล้ว” ผมยิ้มแล้วเอาหัววางบนบ่ามันอีกรอบ แค่มันหายโกรธ ผมก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แค่นี้จริงๆ สำหรับผมบางที มันอาจจะมีแค่นี้จริงๆ แค่มันไม่โกรธ ไม่เกลียดผม แค่นั้นก็พอแล้ว “แล้วคนที่งอแงมันก็มึงไม่ใช่หรือไง”
“ตลกและ ไม่ใช่กูเถอะ”
“เหรอวะ”
“เออดิ เลิกพูดเถอะว่ะ กูกำลังจะเล่าเรื่องที่ดาวที่นี้มีมากกว่า” ผมเปลี่ยนเรื่องแล้วเงยหน้ามองดาวบนฟ้า “ที่ดาวที่นี้มีมากกว่าจริงๆแล้วดาวมันเท่าเดิม แต่แค่กรุงเทพแสงสว่างจากไฟฟ้ามันมีมากกว่า ทำให้เรามองเห็นดาวไม่ชัดเท่าที่นี้ไง”
“อืมมม ดูมีความรู้นะเรา”
“ก็แหงล่ะ นี่ใครครับ” ผมพูดพร้อมกับเอาคางวางไว้บนบ่าน่านฟ้า มันหันมามองหน้าผมแล้วจุ๊บลงที่ปาก หลายรอบ
“กูสำคัญกับมึงหรือเปล่าซน” ริมฝีปากมันยังคลอเคลียอยู่ตรงปากผม
“มึงคิดว่าไงล่ะ”
“อย่าเล่นลิ้นได้ไหม กูอยากฟังอีกรอบ”
“สำคัญสิ” สำคัญมากจนตัวผมเองยังไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำ
ปัง ปัง ปัง
เสียงทุบกระจกทำให้ผมกับไอ้น่านหันไปมองคนที่อยู่หน้ารถ พวกพี่แอล พี่ป็อบทำท่าจะอ้วกใส่ผม ส่วนไอ้พี่ลมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่จากที่เห็นก็ดูเหมือนจะแค่แกล้งทำนะครับ เพราะมันจับหัวใจตัวเองแล้วเบะปากเหมือนเด็กๆ
“มึงทำอะไรของมึงวะ จูบกูต่อหน้าพวกมันทำไม” ผมโวยวายเสียงดัง
“จะไม่ให้กูจูบได้ไงก็ในเมื่อมึงอ่อยกูอ่ะ”
“อ่อย?? อ่อยตรงไหนวะ กูยังไม่ได้อ่อยมึงอย่างที่มึงพูดสักนิด”
“ก็อ่อยตรงที่จู่ๆก็เอาคางมาวางไว้บนบ่ากู ยื่นปาก ยื่นจมูกมาให้กูจูบเอง...ไม่ใช่เหรอ”
“เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยย มันไม่ใช่แบบนั้นโว้ยยยยยย”
>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<
ยังฟินอยู่นะ ยังไม่ม่าเลย ><
บางทีก็เพลียตรรกะอิน้องซนนะ แบบว่าบางทีก็คิดเยอะ แต่บางทีก็คิดน้อยไป
เฮ้ออออ
สงสารก็แต่อิคนที่นั่งอยู่ข้างๆนั่นแหละจะรับไหวไหม (เปล่าสปอยนะ 5555555555
)
เจอกันอาทิตย์หน้านะคะ