เจ้าอูฐเยื้องย่างผ่านผืนทรายกลับไปยังตัวเมืองที่เพิ่งจากมาอีกครั้ง การเดินทางในยามค่ำคืนแม้จะลำบากอยู่สักหน่อย หากอากาศเย็นสบาย ร่างกายไม่สูญเสียน้ำและเกลือแร่โดยไม่จำเป็น ทุ่งกุหลาบทะเลทรายอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองที่พวกเขาพัก นั่งบนหลังอูฐไปไม่ถึงชั่วโมง ทั้งสองก็กลับมาถึงที่พักแล้ว
“อ๊า!” ร่างโปร่งที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าบ้านพักเอามือตบๆ ไปตามลำตัว ปกติเขาเคยใส่แต่เสื้อยืดหรือเชิ้ตกับกางเกงยีนส์หรือกางเกงผ้า พอมาใส่ชุดโต๊ปกับเสื้อคลุมรุ่มร่ามก็ไม่ชินเอาเสียเลย
“หืม มีอะไร?” เพราะเด็กหนุ่มร้องลั่น คนที่กำลังให้น้ำและหญ้ากับพวกอูฐจึงรีบหันกลับมาถาม
“ผมว่าผมเก็บกุหลาบทะเลทรายอันที่คุณหยิบให้มาด้วย นึกว่าเอาใส่กระเป๋ากางเกงมาแล้ว แต่เพิ่งจะเห็นว่ากางเกงนี่มันไม่มีกระเป๋าน่ะสิครับ แย่จัง”
“ฮะๆ มีอีกถมเถ ไว้เดี๋ยวก็เจออีก ในทะเลทรายที่นี่มีมากมาย”
...มีในทะเลทรายมากมาย แต่มันก็ไม่ใช่อันที่ทาริคหยิบส่งให้กับเขานี่นา... ศตคุณนึกเถียง แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไป
“จะเข้าไปรอข้างในก่อนก็ได้นะ”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าแทนคำตอบ เขายืนมองร่างสูงดูแลจัดการกับพวกอูฐอย่างคล่องแคล่ว คิดไปพลางว่าอีกฝ่ายช่างชำนาญพื้นที่และรู้จักแม้กระทั่งเมืองในทะเลทรายที่คงไม่มีใครเดินทางผ่านมาพบได้ง่ายๆ แห่งนี้ “ทาริคดูรู้จักทะเลทรายที่นี่ดีจังเลยนะครับ”
“ก็ฉันเกิด แล้วก็โตที่นี่” ชายหนุ่มเดินเข้ามาทางที่ศตคุณยืนอยู่ แล้วยกกล่องใบโตหลากสีที่วางกองอยู่เข้าบ้านไปทีละกล่อง
“ผมช่วยครับ... แต่ว่า ทาริคก็พูดภาษาต่างชาติได้ดีมากเลยนะครับ น่าแปลก...”
“....แปลกรึ... ที่นี่มีคนพูดภาษาต่างชาติได้มากมาย”
“......” เท่าที่เขาได้พบมา ก็เห็นมีแต่ทาริคนี่แหละที่พูดได้... ศตคุณคิดอยู่ในใจ “ว่าแต่... เมืองนี้มีชื่อมั้ยครับ ผมยังไม่รู้จักชื่อเมืองเลย”
“อัคบราห์...”
“อัคบราห์... อือ... ชื่ออาหรับดีจริงๆ...” เด็กหนุ่มพึมพำ
ไม่นานนักกล่องนับสิบก็ถูกนำเข้าไปวางเรียงอยู่ในห้อง ทำให้ภายในนั้นดูแคบไปถนัดตา เหลือเพียงทางเดินกับส่วนของที่นอนซึ่งปูไว้ด้วยขนแกะเท่านั้น
“...ของเยอะขนาดนี้ เราจะขนไปกับอูฐไหวเหรอครับ” ร่างโปร่งที่กำลังถอดเสื้อคลุมและผ้าคลุมออกขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะนั่งลงบนขนแกะ
“คงต้องเลือกเอาเฉพาะของจำเป็นไป ที่เหลือก็ทิ้งไว้ที่นี่ล่ะ” ชายหนุ่มพูดพลางเปิดฝากล่องออกดูของข้างใน เมื่อเห็นว่าศตคุณชะโงกมองดูอยู่ห่างๆ จึงกวักมือเรียกเข้ามาใกล้ๆ “อยากดูก็มาดูสิ กล่องนี้เป็นอาหารน่ะ”
ร่างโปร่งบางปราดเข้ามานั่งลงข้างๆ คนที่เอ่ยปากเชิญชวนอย่างรวดเร็ว “อาหารกระป๋องเยอะแยะเลย มีปลากระป๋องด้วย!” ตากลมโตเบิกกว้างอย่างสนใจ มือขาวหยิบอาหารกระป๋องขึ้นมาดูทีละกระป๋อง “ชีส ผักดอง ซุป... ว่าแต่ ทำไมเขาถึงเอาของมาให้ทาริคมากขนาดนี้ล่ะครับ”
“...พ่อฉันกับพวกผู้ใหญ่ที่ดูแลเมืองนี้รู้จักกันดี” ร่างสูงตอบพลางเปิดกล่องถัดไปออกดู “หืม... อาบาญ่า”
“อาบาญ่า? คืออะไรครับ”
“ชุดของผู้หญิงน่ะ ชุดแบบที่เธอกับฉันใส่เรียกโต๊ป ส่วนผู้หญิงที่นี่ต้องใส่อาบาญ่ากับผ้าคลุมฮิญาบ”
เด็กหนุ่มนั่งฟังอย่างตั้งใจ เขาเดินทางข้ามทวีปมาไกล โดยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดินแดนแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย “ผ้าปักเป็นลายหลายสีแบบนี้ก็สวยดีนะครับ แต่ถ้าเป็นที่ยุโรป ผมว่าพวกผู้หญิงน่าจะชอบพวกผ้าลูกไม้มากกว่า” ศตคุณคลี่ผ้าผืนสวยในมือออก แล้วอมยิ้ม “ผมเพิ่งเคยเห็นอาบาญ่าสวยๆ แบบนี้เป็นครั้งแรก”
“......” ทาริคพลอยยิ้มไปด้วยกับท่าทางน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย เขาคิดว่าศตคุณกำลังสนุก เลยจะเปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มได้เปิดกล่องเลือกดูของตามใจชอบ ส่วนเขานั้น เพื่อไม่ให้ศตคุณต้องรู้สึกเกรงใจ ชายหนุ่มจึงเลือกหยิบกล่องที่เล็กที่สุดในบรรดากล่องทั้งหมดติดมือไปนั่งดูบนขนแกะที่ปูไว้
“อ้าว ทาริคไม่ดูแล้วเหรอครับ”
“เธอเปิดดูแล้วบอกฉันทีละกันว่าข้างในมีอะไร”
สิ่งของภายในกล่องส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องดื่มกับอาหารแห้ง ศตคุณรายงานกับชายหนุ่มไปพลาง พร้อมกับพิจารณาข้าวของแบบพื้นบ้านของอาหรับไปด้วย
ดวงตาคมกริบจับจ้องคนที่กำลังเลือกหยิบดูของในกล่องอย่างเพลิดเพลิน ท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ ที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่ เขาส่ายหน้าแล้วหัวเราะเบาๆ พลางเปิดกล่องที่หยิบติดมือมาดู “คุณ มานี่ซิ”
“หืม... ครับ” ร่างโปร่งบางคลานกลับไปหาคนที่เรียกชื่อตน
“ดูซิ ชอบมั้ย” มือหยาบหยิบสร้อยแบบทำมือซึ่งตัวสร้อยทำจากหินอะมีทีสต์ที่มีขนาดไล่เลี่ยกันเรียงร้อยสลับกับลูกปัดเงิน ห้อยจี้ผลึกคริสตัลกุหลาบทะเลทรายขึ้นมาให้เด็กหนุ่มดู “เมื่อกี้บอกว่าอยากจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกไม่ใช่รึ”
ศตคุณรับสร้อยมาดูอย่างระมัดระวัง “ว้าว... สวยจังครับ”
“ขยับมาใกล้ๆ ฉันสิ” ทาริคหยิบสร้อยคืนมาจากมือขาว แล้วแกะตะขอเกี่ยวออก
“แต่...”
แขนแกร่งวาดโอบร่างโปร่งบางจากทางด้านหน้า แล้ววนไปติดตะขอเกี่ยวให้ที่ด้านหลังตรงต้นคอขาว “เหมาะกับเธอดี”
หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำ ศตคุณก้มหน้าลงมองจี้หินรูปกุหลาบ พร้อมกับลูบสัมผัสมันเบาๆ แวบแรกเขาก็รู้สึกพอใจอยู่หรอก แต่ของแบบนี้... ควรจะให้เขาอย่างนั้นหรือ “ทาริค ผมว่า... คุณเก็บไว้ให้คนที่บ้าน เอ้อ... ภรรยาของคุณจะ ไม่ดีกว่าเหรอครับ เอามาให้ผมแบบนี้ พวกเธอคงเสียใจ” แม้ที่จริงแล้วเขาก็ชอบ แล้วก็ดีใจที่ทาริคให้สิ่งนี้กับเขาอยู่หรอกนะ เพียงแต่คิดว่าตนเองไม่คู่ควร “หรือเพราะมีเส้นเดียว แล้วทาริคมีภรรยาหลายคนกันครับ กลัวพวกเธอแย่งกัน ถึงได้เอามาให้ผม”
“.......”
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ตอบ ศตคุณก็คิดว่าคงจะเป็นจริงอย่างที่เขาพูด ใบหน้าหวานสลดลง พลางบ่นพึมพำ “มีภรรยาหลายๆ คน ไม่ทะเลาะกันแย่เหรอครับ”
“.......” ทาริคยังคงนิ่งเงียบ ราวกับจะรอฟังให้ร่างโปร่งบ่นจนพอใจเสียก่อน
“ทำไมต้องมีภรรยามากมายกันด้วยนะ ผมได้ยินว่าพวกเจ้านายชั้นสูงนี่ ถึงกับมีฮาเร็มกันเลย... น่าสงสารผู้หญิงนะครับ ถ้าสมมติว่าเป็นผมที่ต้องแบ่งปันคนรักกับอีกหลายๆ คน ผมคงทนไม่ได้แน่ๆ ...ทาริค คุณรักภรรยาของคุณทุกคนเท่ากันรึเปล่า”
“.......”
“พวกเธอคงจะแข่งกันเอาใจคุณน่าดู” ร่างโปร่งถอนหายใจ เขาชำเลืองมองคนที่นั่งเงียบ แล้วพูดเสียงอ่อย “คุณเบื่อที่จะฟังผมแล้วสินะ”
“...เธอคิดว่า คนอย่างฉันจะมีคนมารุมล้อม แย่งกันรักฉันขนาดนั้นเชียว”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นช้าๆ “...คุณมีครอบครัว ครอบครัวของคุณก็ต้องรักคุณอยู่แล้วละครับ... ภรรยาของคุณก็รักคุณ พี่น้องก็รักคุณ... น่าอิจฉาจะตายไป” ...ต่างกับตัวเขา ที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีใครเลยสักคน
“งั้นรึ... แต่แย่จังนะ คนที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ร่อนเร่ไปมาในทะเลทรายอย่างฉัน ไม่มีใครเขาอยากจะแต่งงานด้วยหรอก”
“ทาริคยังไม่เคยแต่งงานเลยสักครั้งเหรอครับ” จู่ๆ หัวใจดวงน้อยก็เต้นไม่เป็นจังหวะ ศตคุณอมยิ้มน้อยๆ โดยที่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึก... ดีใจ... ทั้งที่ก่อนหน้ายังรู้สึกห่อเหี่ยวอยู่เลยแท้ๆ
“...ฉันก็กำลังมองหาเจ้าสาวอยู่สักคนเหมือนกัน” ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างจากพวงแก้มที่มีสีเลือดฝาดเพียงแค่คืบ จนทำให้อีกฝ่ายนั่งตัวเกร็ง
“ไม่น่าเชื่อ... ทาริคดูเหมือน...” ริมฝีปากที่เผยอตอบถึงกับชะงักค้าง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับนัยน์ตาสีเข้มที่ดูลึกลับ
“เหมือนอะไร?”
ศตคุณอึกอัก ในสายตาของเขา ชายหนุ่มเป็นคนที่ดูพร้อมสรรพไปหมดซะทุกอย่าง ทั้งเก่งกาจและอบอุ่น ส่วนรูปร่างหน้าตา ก็ชนิดเป็นนายแบบได้สบายๆ แต่จะให้พูดความจริงออกไป เขาว่ามันก็ดูแปลกๆ นะ ที่ผู้ชายจะชมผู้ชายด้วยกันแบบนี้ เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจตอบไปแบบเลี่ยงๆ “...ก็... ทาริคดูอายุไม่ใช่น้อยแล้ว ผมเลยคิดว่าน่าจะแต่งงานมาแล้วหลายหน มีฮาเร็มซุกเอาไว้ทุกเมือง แถมมีสาวๆ ซ่อนไว้ทุกๆ โอเอซิสอะไรแบบนี้ อ๊ะ!!!”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้าง เขาผละตัวออกจากร่างสูงทันทีที่รู้สึกถึงริมฝีปากหยักที่แนบลงมาบนพวงแก้มของตน “ทาริค!” จากนั้นก็นิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าน่ารักเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับเมล็ดทับทิมสุก ทั้งร้อนผ่าวจนควันแทบพุ่งออกจากใบหู
ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก “ในที่สุดก็ทำให้เธอหยุดพูดได้เสียที ถ้าที่พูดมาเป็นเรื่องจริง ฉันจะไม่ว่าอะไรเลยนะ”
“......” มือขาวยกขึ้นประกบแก้มข้างที่เพิ่งถูกอีกฝ่ายฉกจูบ เขาได้แต่อ้าปากค้าง ไม่มีคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกมาจากกลีบปากชุ่มชื้นอีก
“เอาล่ะ เตรียมตัวเข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้เย็นๆ เราจะออกเดินทางกันละ” ทาริคเหลือบมองคนที่ยังนั่งนิ่งสนิท “...เราจะต้องเดินทางอีกสักพัก กว่าจะถึงเมืองใหญ่อีกแห่ง”
“เมือง... อะ เอ่อ... ทาริคจะพาผมไปไหนเหรอครับ”
“...เมืองในโอเอซิสที่เธอพูดถึงยังไงล่ะ ชื่อเมืองคือ
เฟอร์โดส หรือที่มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า
Paradise ชื่อเดียวกับเพลงที่เธอฮัมในทะเลทรายเมื่อวันก่อน”
ศตคุณถลาเข้าไปเกาะกุมท่อนแขนแกร่ง “เมืองที่ว่านั่น! ที่มีวังสีขาว! เฟอร์โดส! มีจริงๆ เหรอครับเนี่ย!!”
“เมืองนั้นอยู่ห่างจากที่นี่เป็นร้อยกิโล การเดินทางด้วยอูฐน่ะค่อนข้างจะช้าอยู่สักหน่อย เราต้องเตรียมน้ำกับอาหารให้พอ หวังว่าเธอคงจะอดทนไหว”
การเดินทางด้วยอูฐนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้า เพราะวันหนึ่งอูฐจะเดินทางได้ติดต่อกันประมาณหกชั่วโมง ซึ่งเป็นระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตรเท่านั้น พวกเขาจึงต้องหยุดพักเป็นระยะๆ เพราะถ้าอูฐเหนื่อยเกินไป มันจะล้มตัวลงนอน แล้วไม่ยอมเดินต่อไปอีกจนกว่าจะหายเหนื่อย
“ไหวสิครับ! อา... ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้ไปเมืองที่ว่านี่จริงๆ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณ... ขอบคุณมากเหลือเกิน ผมไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดี”
“...ตอบแทนยังไงน่ะหรือ” ปลายนิ้วหยาบเกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลที่ปรกรกกรอบหน้าหวาน พร้อมสบสายตากับดวงตากลมโตราวกับตากวางที่ฉายแววสดใส “ฉันก็บอกแล้วไง ว่ากำลังหาเจ้าสาวอยู่สักคน”
“...จะให้ผมไปหาให้คุณเหรอครับ แต่ผมไม่มีญาติ ไม่รู้จักใครที่นี่ ผมจะไปหาเจ้าสาวให้คุณได้จากที่ไหนกันครับ อ๊ะ!” เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก เมื่อจู่ๆ ริมฝีปากบางหยักนั่นแนบลงมาบนแก้มเขาอีกข้าง
“ทาริค!”
“ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลหรอก ก็เธอนั่นล่ะ จะเป็นเจ้าสาวของฉันได้มั้ย”
“ผะ... ผมเป็นผู้ชาย อื้ยยย! ทาริค!” มือขาวดันไหล่หนาออกจากตัว เมื่ออีกฝ่ายฉกจูบที่แก้มเขาอีกครั้ง
“ฮ่าๆ” ชายหนุ่มหัวเราะลั่น
“ไม่ตลกเลยนะครับ!” เด็กหนุ่มถอยกรูดออกไปตั้งหลัก ใบหน้าน่ารักเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำยาวไปจนถึงใบหู
“นอนกันเถอะ” ร่างสูงเอนหลังลงนอน หากมีเสียงหัวเราะแว่วมาเป็นระยะ
ศตคุณมองค้อน ก่อนจะคลานกลับไปล้มตัวลงนอนข้างๆ กัน เขาพลิกตัวหันหลังให้กับคนช่างแกล้ง แกล้งกันแบบนี้ ไม่ดีกับหัวใจเขาเอาเสียเลย... เพราะคนที่ขาดความรักอย่างเขา อาจจะคิดเป็นจริงเป็นจังเอาได้ เด็กหนุ่มพยายามข่มตาให้หลับลง พลางถอนหายใจหนักๆ อย่างรู้สึกอึดอัดในอก... ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยในชีวิต เขาเป็นเช่นนี้เพราะอะไรกันหนอ
TBC
ขออภัยที่ทำให้รอนานนะคะ /ลงโทษตัวเองรัวๆ 
เพราะงั้นตอนนี้ลงให้ยาวๆ เลยน้า หวานมุ้งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้งสุดๆ 55555 ขอให้ชงชาขมๆ มากลั้วคอระหว่างอ่านไปด้วยนะคะ
มาขนาดนี้แล้ว ทุกคนคงไม่สงสัยกันแล้วเนอะว่าใครเป็นพระเอกเนอะ *เอานิ้วจิ้มๆ กัน*
แต่ว่า ถ้าทาริคเป็นพระเอกแล้ว... อับบาล่ะ 
สำหรับรูปภาพประกอบในตอนนี้ แวะไปดูที่เพจละกันนะค้า เผื่อใครสนใจอยากจะเห็นว่า กุหลาบทะเลทราย ในเรื่องนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร กุหลาบทะเลทรายที่ว่านี่ เกิดจากแร่ยิปซัมหรือแบไรต์ จริงๆ ที่ฮัสกี้เคยเห็นนั้นมันก็ไม่ได้ส่องประกายวูบวาบอะไรมากมายหรอกค่ะ อาจจะเป็นเพราะส่วนผสมของแร่ที่แตกต่างกันออกไป ในรูปที่กูเกิลมานั้นมันดูวิบวับหน่อยๆ ฮัสกี้เลยมโนเอาว่าเมื่อต้องกับแสงไฟน่าจะเป็นประกายเล็กน้อย เพราะงั้นตรงนี้ก็แล้วแต่จะจินตนาการกันนะคะ 55555 husky's pageขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ติดตาม และขอบคุณทุกคอมเมนต์นะค้า ยังไงก็ตาม ฮัสกี้ขอฝากน้องเร็นใน "เงาจันทร์ในม่านหมอก" ไว้อีกสักเรื่อง แวะไปอ่านและให้กำลังใจฮัสกี้กันหน่อยน้าาาา /อ้อนสุดๆ
แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ