ตอนที่ 16 หลักฐานชิ้นสำคัญ
พนักงานสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเคาเตอร์ชะเง้อมองเจ้านายหนุ่มหล่อของเธอเป็นระยะ นั่นเพราะตั้งแต่มาถึงเขาหากไม่มองออกไปนอกกระจกก็เอาแต่จ้องสมุดที่เต็มไปด้วยลายมือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ไม่แตะต้องเครื่องดื่มร้อนที่เคยชอบเลยสักนิด ถึงตอนนี้มันคงเย็นลงตามอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศไปเสียแล้ว
นิ่มอาศัยจังหวะที่ยังไม่มีลูกค้าเข้าร้าน หันไปชงเครื่องดื่มถ้วยใหม่ก่อนจะยกไปเปลี่ยนให้ ซึ่งคันธชาติก็ทำแค่เพียงกล่าวขอบคุณพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ตอบแทนความปรารถนาดีของลูกจ้างสาว ก่อนจะทอดตาเหม่อมองผ่านผนังกระจกดูหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนยอดไม้ประดับกระถางเล็ก ๆ ที่วางเรียงรายกันอยู่หน้าร้าน
ฝนเพิ่งหยุดตกไปได้ไม่นาน เหนือขึ้นไปบนยอดตึกสุดปลายถนนปรากฏรุ้งกินน้ำเป็นเส้นโค้งเหมือนกับสะพานที่เชื่อมสองฝั่งเข้าหากัน ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ บางครั้งก็เผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตนเอง บางครั้งก็อมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้ารัวหันกลับมาเท้าคางก้มลงมองสมุดบันทึกอีกครั้ง
ลมหายใจถูกผ่อนผ่านปลายจมูก ยืดยาว...แต่ไม่พอที่จะรั้งเรื่องราวหนักใจออกจากห้วงของความคิดได้ ยังคงอ่านข้อความที่เขียนด้วยลายมือบนกระดาษสีมอซ้ำแล้วซ้ำอีก ปล่อยใจไปกับตัวอักษรที่สายตาลากผ่าน กระทั่งเสียงเคาะกระจกที่ดังขึ้นใกล้หูเรียกความสนใจขอเขาไปยังร่างสูงที่ยืนยิ้มให้จากด้านนอก
'เป็นอะไร' นั่นคือสิ่งที่สามารถอ่านได้จากปากหยักที่เผยอขึ้น ไม่นานเจ้าของคำถามก็ผลักประตูกระจกเดินมานั่งลงที่ตรงหน้า
"เป็นอะไรหรือเปล่า หน้ายุ่งเชียว"
คันธชาติส่ายหน้าเนือยสบตาคนถาม ริมฝีปากได้รูปยังคงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ที่หากไม่อยู่ใกล้กันขนาดนี้ก็คงไม่มีใครได้สังเกตเห็น จู่ ๆ ใจเจ้ากรรมก็เผลอนึกถึงความหวานละมุนจากรสจูบนุ่มที่อีกคนมอบให้ พลันเลือดลมก็พร้อมใจมารวมกันอยู่ที่สองแก้มก่อนจะแล่นซ่านไปถึงลำคอและใบหนูจนต้องเบือนหน้าหนีตัวต้นเหตุ
"ไม่สบายหรือเปล่า" ธันวาถามอย่างเป็นห่วงพร้อมกัยยกมือทำท่าจะแตะเพื่อวัดไข้แต่กลีบถูกอีกฝ่ายปัดออก
"ไม่ได้เป็นอะไรหรอกน่า"
"แต่คุณหน้าแดง"
คันธชาติมองคนพูดซื่อ ๆ อย่างขัดใจก่อนจะย้ำอีกครั้ง "ไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ"
คนฟังพยักหน้าลอบมองแก้มเนียนที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อพอ ๆ กับกลีบปากของผู้เป็นเจ้าของ อดคิดไม่ได้เลยว่ามันจะหวานหอมชวนให้หลงใหลตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สัมผัสเหมือนกันไหม ยกมือขึ้นลูบต้นคอตัวเองเมื่อรู้สึกว่าคนตรงหน้ากำลังทำให้ความคิดเตลิดไปไกล พลันสายตาก็สังเกตเห็นสมุดบันทึกที่เปิดค้างเอาที่หน้าหนึ่ง พอจะจำเนื้อความข้างในได้บ้าง ปากที่ปกติยากจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำจึงเผลอถามคำถามที่ใจสงสัยออกไป
"คุณ...รักเธอมากเหรอ"
คำถามใหม่เล่นเอาสะอึก ลมหายใจอุ่นถูกถอนทิ้งเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่อาจนับได้ตั้งแต่นั่งอยู่ตรงนี้ คันธชาติยังคงมองออกไปนอกกระจก จุดสิ้นสุดของสายตาอยู่ที่รถราที่กำลังเคลื่อนตัวตามกันไปอย่างช้า ๆ บนถนน
"อืม ก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ กิ่งเหมือนกับผมตรงที่เราต่างเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว ส่วนผมดีกว่าหน่อยตรงที่เป็นผู้ชาย พ่อกับแม่เลยไม่ห่วงมาก ส่วนกิ่ง...ลุงพิพัฒน์กับป้ากิ่งกาญจน์แทบจะไม่ให้ห่างตาเลย ตอนที่่สอบเข้าเรียนในกรุงเทพฯ ได้ก็ต้องช่วยกันเกลี้ยกล่อมกว่าท่านจะยอมปล่อยลูกสาวให้ห่างอก ผมเลยคิดว่าถ้าวันหนึ่งไม่มีลุงพิพัฒน์กับป้ากิ่งกาญจน์แล้วผมก็จะดูแลเธอ ไปเรื่อย ๆ รักเธอให้เท่ากับที่พ่อกับแม่ของเธอรัก"
คำตอบนั้นทำเอาต้องละสายตาจากตัวอักษรขึ้นมองคนพูด ธันวาถอนหายใจแผ่วเบาก่อนนิ่งเงียบไป เงียบผิดปกติจนคันธชาติต้องหันกลับมามอง
“เงียบทำไม”
“ไม่มีอะไรหรอก” อีกฝ่ายตอบเสียงนิ่ง
ใบหน้าเรียบเฉยนั่นทำให้คนมองรู้สึกหวั่นใจแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ให้มากความ เพียงแต่พยักหน้าก่อนจะก้มลงมองข้อความในสมุดบันทึกอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าไม่ได้รับความสนใจจากที่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันอีกแล้ว ร่างสูงจึงทอดตาออกไปนอกกระจก มองรถราที่แล่นสวนกันอย่างช้า ๆ ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลง ในขณะที่ไฟริมทางเดินและป้ายร้านต่าง ๆ ทยอยกันติดขึ้น สักพักก็ได้ยินเสียถอนหายใจยืดยาวอย่างเกลียดคร้าน เมื่อหันกลับมาอีกครั้งก็พบว่าคันธชาติกำลังยืดตัวบิดขี้เกียจจากนั้นก็ฟุบลงกับโต๊ะจ้องตัวหนังสือที่ถูกเขียนอย่างบรรจง
“ผมเห็นคุณเอาแต่จ้องอยู่ที่หน้านี้ ทั้งที่ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเลย”
“มีสิ มันมีเรื่องที่ผมยังสงสัย” พูดจบก็เลื่อนสมุดไปใกล้ ๆ พร้อมกับใช้ปลายนิ้วจิ้มที่กลางหน้ากระดาษ
ธันวามองตามอีกฝ่ายก่อนจะอ่านข้อความนั้นซ้ำ
“เพิ่งจะรู้...ว่าเขาก็มีผีเสื้อตัวเล็ก ๆ เหมือนกัน มันใช่เรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ หรือว่าคนที่พี่อาร์มชอบจะเป็นเขา...แล้วมันยังไงกัน”
“คุณคิดว่าเขาที่กิ่งเขียนถึงคือใคร”
“อืม...ก็ถ้าอ่านต่อไปเรื่อย ๆ ผมเดาว่าน่าจะเป็นคุณอัศนัย”
คันธชาติพยักหน้า “ผมก็คิดแบบนั้น”
“แล้วคุณยังสงสัยอะไรอีก”
“ผีเสื้อเล็ก ๆ นั่นไง เพราะถ้าอาร์มคืออัญชสิสาซึ่งมีรอยสักรูปผีเสื้อ เพราะฉะนั้นถ้าเขาที่ว่าคือนายอัศนัย นายอัศนัยก็ควรจะมีรอยสักรูปผีเสื้อที่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ แต่วันนั้นที่พวกคุณเข้าไปช่วยผม เราก็เห็นกันทุกคนว่าอัศนัยไม่มีรอยสักนั่น”
คนฟังพยักหน้าก่อนจะหมุนสมุดกลับและเริ่มอ่านข้อความนั้นอีกครั้ง มือหนาพลิกกระดาษหน้าแล้วหน้าเล่ากระทั่งหยุดที่หน้าสุดท้ายตรงที่ตัวอักษรสิ้นสุดลง มันจะจบลงแค่นั้นหากสายตาไม่สังเกตเห็นรอยฉีกขาดของกระดาษที่ชิดแนวสันปก
ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นอีกครั้งพร้อมกับคำพูดแสนแผ่วเบา “ผมเคยพูดในคลาสบ่อย ๆ ว่ากิ่งดาวเป็นคนเขียนหนังสือได้ดี ทุกถ้อยคำของเธอผ่านการกลั่นกรองออกมาแล้ว ทำให้ในการเขียนของเธอแต่ละครั้งแทบจะไม่มีร่องรอยการแก้ไข” พูดจบก็เลื่อนสมุดคืนให้ “ถ้าดูให้ดี จริง ๆ บันทึกมันไม่ได้จบที่หน้านี้ มีอีกหน้าที่ถูกฉีกออกไป”
ตาคมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหูพลางหยิบสมุดบันทึกของเพื่อนขึ้นมาดู และก็พบว่ามันจริงอย่างที่ธันวาว่า
“แต่โชคดีที่ปกติกิ่งดาวมักจะเขียนหนังสือด้วยลายมือที่กดหนัก” พูดจบก็ส่งดินสอที่วางอยู่ใกล้ ๆ ให้
คันธชาติเข้าใจดีว่าธันวาหมายถึงอะไรแต่ก็ยังรับดินสอแท่งนั้นมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ความสงสัยใคร่รู้ที่มีอานุภาพมากกว่าก็ทำให้ตัดสินใจจรดปลายกราไฟรต์ที่เหลาจนแหลมลงบนกระดาษ ออกแรงฝนเพียงเบา ๆ ผงถ่านสีดำที่ระบายทับลงบนกระดาษก็ให้ร่องรอยบางอย่าง
ชายหนุ่มแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ความรู้สึกเย็นวาบจุดขึ้นที่กลางหลังก่อนจะแผ่ซ่านไปทั้งร่าง รู้สึกคล้ายมีบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ ตอนที่พบสมุดเล่มนี้ครั้งแรกคิดว่าคงไม่ได้เบาะแสใด ๆ เพิ่มเติมจนเกือบจะถอดใจ มิหนำซ้ำยังมีปมปริศนาใหม่เกิดขึ้นให้ต้องขบคิดอีกด้วย แต่แล้วเวลานี้กลับมีบางสิ่งกำลังปรากฏขึ้นต่อหน้า
....
“ผมว่ามันเหมือนจดหมาย กิ่งอาจจะเขียนแล้วส่งให้ใครสักคน วันเวลากับสถานที่ในนี้ มันคือวันเวลาเดียวกับที่กิ่งตกลงมาจากดาดฟ้า” เก่งกาจเงยหน้าขึ้นมองทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปากหยักอ่านข้อความนั้นซ้ำเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้นับตั้งแต่ถูกเรียกมา ที่ร้านทานตะวันแห่งนี้ “...โปรดมาพบกิ่งอีกสักครั้ง... แล้วกิ่งจะทำให้เชื่อว่าเรื่องที่กิ่งพูดเป็นความจริง ถ้ายังปล่อยให้เวลาผ่านไป ผีเสื้อตัวน้อยก็จะถูกยึดอิสรภาพ ตัวหนึ่งถูกขังในห้องมืดแห่งความเกลียดชัง ในขณะที่อีกตัวถูกขังอยู่ในวังวนแห่งความรัก...”
คันธชาติก้มจ้องมองมือที่ประสานกันแน่นตรงหน้า ฟันสวยกดลงบนเนื้อปากจนแดงก่ำก่อนจะคลายออกเมื่อไม่อาจเก็บถ้อยคำบางอย่างไว้ได้อีกต่อไป “ฉ...ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้หรือเปล่า ม...ไม่...ไม่รู้” มือสั่นเทาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าก่อนจะเลื่อนหาข้อความที่ได้รับจากกิ่งดาว...
1 2โทรศัพท์ที่มีข้อความเลขสิบสองถูกวางลงที่กลางโต๊ะ “ถ้ามันไม่ใช่เลขสิบสองอย่างที่เข้าใจมาตั้งแต่แรกล่ะ ต...แต่เป็น หนึ่ง...หรือว่าสอง” เสียงเครือที่ได้ฟังทำให้ธันวาตัดสินใจวางมือบนบ่าของคนข้าง ๆ ออกแรงบีบเบา ๆ เพื่อให้เขาคลายกังวล
“ใจเย็น ๆ บุ้ง คุณอยากจะบอกอะไร”
“รตีบอกว่าอัศนัยมีพี่ชายฝาแฝด มันจะเป็นไปได้ไหมถ้าหากคนที่อยู่กับเราตั้งแต่ต้นไม่ใช่อัศนัยแต่เป็นพี่ชายของเขา”
“แกหมายถึงคุณอัศวินน่ะเหรอ”
เจ้าของความคิดเพียงแต่พยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นกระดาษที่ถูกฉีกออกไปนั่น แกคิดว่ากิ่งจะส่งให้ใคร”
“อัญชลิสา” เสียงนั้นดังรอดออกจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา
ทั้งธันวาและเก่งกาจต่างก็สบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย แล้วก็เป็นนายตำรวจหนุ่มที่โคลงศีรษะไม่เห็นด้วย “ถ้าเป็นอย่างนั้นอัญชลิสาก็ต้องอยู่ที่นั่นในวันเกิดเหตุ แต่จากการสอบสวน มีพยานยืนยันว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นาฏยกาล ทั้งเธอแล้วก็นายอัศนัยไม่มีใครอยู่ที่นั่น ต...แต่...สองคนนั่นอยู่ด้วยกันที่โรงแรมย่านชานเมืองยันสว่าง ซึ่งมันไกลจากนาฏยกาลมาก โอกาสจะลงมือไม่มีเลย”
เหมือนกำลังจะถึงทางตันอีกครั้ง คันธชาติส่ายหัวดิก “นี่มันอะไรกันวะ งงไปหมดแล้ว ทำไมคิดอะไรไม่ออกเลย”
“ใจเย็น ๆ ไอ้บุ้ง เรายังไม่รู้ว่าความจริงมันเป็นยังไง กิ่งอาจจะไม่ได้ส่งกระดาษแผ่นนั้นให้อัญชลิสาก็ได้”
“แล้วแกจะทำยังไงต่อ”
เก่งกาจนิ่งคิดก่อนจะตอบคำถาม “ช่วงนี้ฉันมีภารกิจต้องอารักขาท่านทูต ระหว่างนี้ฉันจะให้คนตามดูสามคนนั่น อยากรู้เมือนกันว่าจะเกี่ยวข้องกันยังไง เอาเป็นว่าระหว่างนี้ฉันขอสั่งห้ามแกไม่ให้เข้าใกล้ทั้งนายอัศนัยหรืออัญชลิสา ไม่ว่าแกจะเป็นคันธชาติหรือเป็นผู้ช่วยช่างเสื้อก็ตาม แล้วก็ห้ามไปที่โรงละครร้างเด็ดขาด”
คำพูดของเพื่อนเหมือนประกาศิต...ที่นายน้อยคันธชาติไม่มีวันทำตาม...เมื่อรู้แน่ชัดว่าอัศนัยคือหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ดังนั้นนักสืบสมัครเล่นจึงไม่รีรอที่จะรับนัดของอีกฝ่าย คันธชาติในคราบของบุ๊งไปพบเจ้าของธุรกิจโรงละครหนุ่มหล่อที่ภัตตาคารของโรงแรมหรูแห่งหนึ่งโดยกำชับให้ผู้ร่วมขบวนการอย่างธันวาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ นั่นเพราะเกรงว่าหากเก่งกาจรู้เรื่องเข้าจะทำให้เพื่อนต้องเป็นห่วงจนพลอยเสียการเสียงาน ดังนั้นจึงเป็นธันวาที่แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไรอาสาขับรถให้
เจ้าของดวงตาล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนยกกระโปรงยาวกรอมพื้นขึ้นก่อนจะหมุนตัวสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก มือจัดทรงผมที่เกล้าขึ้นเผยให้เห็นต้นคอขาว หยิบปอยผมที่ตกตกมาทับหู ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เห็นว่าในห้องน้ำไม่มีใครจึงพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“สวยเหมือนกันนะเราน่ะ” ชื่นชมตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก็จัดการขยับซิลิโคนบราให้เข้าที่ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลานัดจึงรีบสาวเท้าไปตามทางเดินแคบ ๆ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อน”
กำลังจะหันกลับไปมองหาต้นเสียงก็ถูกมือหนารั้งตัวเข้าไปแนบอกก่อนจะผลุบหายไปในซอกทางเข้าห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดซึ่งอยู่ริมทางเดิน
“อะไรของคุณเนี่ย” ปากบางบ่นพลางจ้องหน้าชายหนุ่มในชุดสูทที่จู่ ๆ ก็ยึดเอวของตนเองเอาไว้
“ระวังตัวด้วยนะผมเป็นห่วง”
แค่คำพูดแสดงความรู้สึกตรงไปตรงมาก็ทำเอาร้อนฉ่าไปทั้งหน้าแต่ก็ไม่วายทำกลบเกลื่อน “ผมไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า” พยายามจะยันอกของอีกฝ่ายออกแต่ก็ทำได้ยากเสียจริง
“ผมไม่ได้กลัวคุณตาย แต่ผมกลัว...”
“เอาน่า อย่าห่วงไปเลย เจ๊พุดดิ้งให้ทั้งยานอนหลับ นั่งหลับ ยืนก็ยังหลับมา ส่วนรตีก็เตรียมเครื่องช็อตไฟฟ้ากับสเปรย์พริกไทยมาให้ด้วย แต่ถ้าพวกนี้ไม่ได้ผลแล้วขืนมันยังคิดจะทำรุ่มร่ามอีกละก็ ผมเสยปลายคางมันร่วงลงไปกองกับพื้นแน่”
“น่ากลัวจัง” ธันวากระซิบ “แล้วถ้าเป็นผมล่ะ จะทำแบบนั้นไหม”
เอาเข้าไป! นี่ใจคอจะให้ตายอยู่ตรงนี้เลยใช่ไหม?
หน้าสวยส่ายน้อย ๆ ก่อนจะมองอีกคนอย่างหมั่นไส้ “ให้ตายเหอะ ตอนนี้ต่อให้ใครอมพระประธานในโบสถ์มาพูดว่าคุณเป็นคนเงียบ ๆ หงิม ๆ ผมก็จะไม่เชื่ออีกแล้ว ปล่อยได้แล้ว”
คนฟังหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะยอมปล่อยอีกฝ่ายเป็นอิสระ
คันธชาติในคราบของบุ๊งเดินตัดส่วนต้อนรับของโรงแรมก่อนจะกดลิฟต์ขึ้นไปยังภัตตาคารซึ่งอยู่ชั้นสูงสุด จากตรงนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพมหาครอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทันทีที่เดินผ่านกรอบประตูไม้สักก็พบว่าทั้งภัตตาคารถูกจองไว้สำหรับมื้อค่ำแสนพิเศษของคนสองคนเท่านั้น
สาวสวยในชุดราตรียาวสีน้ำเงินเดินตามบริกรหนุ่มไปยังโต๊ะฝั่งที่ติดกับผนังกระจก เสียงเปียโนเริ่มบรรเลงเพลงคลาสสิก ในขณะที่แสงไฟค่อย ๆ เพิ่มกำลังขึ้นได้เปลี่ยนห้องกว้างใหญ่ที่ดูเงียบขรึมเพราะปราศจากผุ้คนให้กลับสว่างอีกครั้ง สว่างพอที่จะมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของร่างสูงที่ยืนถือกุหลาบช่อโตรออยู่ก่อนแล้ว
“ดอกไม้สวย ๆ สำหรับคนสวย ๆ อย่างคุณบุ๊งครับ”
“ขอบคุณนะคะ” สาวสวยกล่าวพร้อมกับรับช่อดอกไม้มากอดไว้ จากนั้นก็นั่งลงตามคำเชิญของอีกฝ่าย
หลังจากเลื่อนเก้าอี้ให้บุ๊งนั่งเรียบร้อย อัศนัยก็เดินกลับมานั่งลงยังที่ของตนเอง จากนั้นอาหารก็ถูกทยอยยกออกมาเสิร์ฟ สองคนเริ่มทานและคุยกันไปท่ามกลางเสียงเพลงจากเปียโนหลังใหญ่ที่ดังแว่วอยู่ไกล ๆ
“เมื่อตอนที่คุณโดนรถชนเห็นคุณพุฒิพงศ์บอกว่าคุณกลับไปรักษาตัวที่ต่างจังหวัด ไม่ทราบว่าที่ไหนเหรอครับ”
“ที่ปากช่องค่ะ พ่อกับแม่บุ๊งอยู่ปากช่อง ปลูกผักเลี้ยงสัตว์ไปตามประสา”
“แต่คุณกลับมาทำงานทางด้านนี้ ดูไม่ค่อยเข้ากันเลยนะครับ”
“บุ๊งสนใจด้านนี้ค่ะ โชคดีตรงที่เป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ก็เลยตามใจ ไม่ได้ว่าอะไร”
“ดีจังเลยนะครับ...เป็นลูกคนเดียว” อัศนัยกล่าวพลางยกไวน์ขึ้นจิบ
“ไม่จริงหรอกค่ะ บางครั้งก็เหงานะคะ แล้วคุณอัศนัยล่ะคะ มีพี่น้องกี่คน”
มือหนาวางแก้วไวน์ลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนถาม แววตาวิบวับเมื่อครู่วูบหายราวกับถูกกระชากออกเหลือเพียงความว่างเปล่า ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มก่อนจะตอบ “ผมมีพี่ชายอีกคนครับ"
"ที่ชื่อคุณอัศวินใช่ไหมคะ บุ๊งเคยได้ยินคนที่นาฏยกาลพูดถึงอยู่บ้าง แต่ไม่เคยพบตัวจริงเลยสักครั้ง เธอคงเป็นคนขี้อายสินะคะ"
อัศนัยส่ายหัว "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ แต่เพราะคุณแม่ของผมท่านมีปัญหากับคุณพ่อ ก็เลยแยกพวกเราจากกันตั้งแต่เด็ก คุณแม่ท่านพาพี่ชายของผมไปอยู่ต่างประเทศ ในขณะที่ผมยังคงใช้ชีวิตอยู่กับคุณพ่อที่นี่”
“แล้วตอนนี้ล่ะคะ พี่ชายคุณอัศวินเธออยู่ที่ไหน”
ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ไม่รู้เหมือนกันครับ ตั้งแต่คุณพ่อบังคับให้หมั้นหมายกับผู้หญิงที่ไม่ได้รักเขาก็หายหน้าไป”
คันธชาติสังเกตเห็นท่าทางอึดอัดของอีกฝ่ายแต่ก็ไม่วายถามต่อ “แย่จังเลยนะคะ นี่ก็เลยเป็นสาเหตุให้คุณพ่อของคุณอัศนัยล้มป่วยสินะคะ”
“ครับ” เป็นคำตอบสั้น ๆ ที่ได้รับก่อนที่คู่สนทนาจะกระดกไวน์รวดเดียวหมดแก้ว
เจ้าของหน้าสวยรอให้บริกรรินไวน์เรียบร้อยจึงเอ่ยขึ้น “คุณอัศนัยท่าทางจะเพื่อนเยอะนะคะ โดยเฉพาะสาว ๆ บุ๊งเห็นคราวก่อนที่งานเลี้ยงใคร ๆ ก็พากันเข้ามาทัก ใคร ๆ ก็อยากอยู่ในสายตา”
คนฟังหัวเราะพรืด “ไม่หรอกครับ ไม่เห็นเหรอว่าสุดท้ายในสายตาของผมก็มีแค่คุณคนเดียว” พูดแล้วก็ยกแก้วก้านสูงขึ้นพลางมองคนตรงหน้าตาเป็นประกาย “นี่ใจคอจะปล่อยให้ผมดื่มอยู่เดียวเหรอครับ หรือว่าตั้งใจจะมอมผมอย่างคราวก่อน”
‘ใครมอมใครกันแน่วะ’ คนฟังแสร้งตัดพ้อ “อย่าเข้าใจผิดสิคะ บุ๊งไม่ได้คอแข็งอย่างคุณอัศนัยสักหน่อย”
"ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มเป็นเพื่อนกันสิครับ"
บุ๊งยกแก้วไวน์ของตนเองขึ้นชนกับแก้วในมือของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามจนเกิดเสียงดังกังวาน จากนั้นจึงดึงกลับก่อนจะแตะริมฝีปากบางลงกับขอบแก้วละเลียดชิมเหล้าองุ่นสีสวย ในขณะที่ดวงตาคู่งามแสนเย้ายวนยังคงสบประสานอีกฝ่ายไม่ลดละ
"รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกำลังทำให้ผมคลั่ง" อัศนัยวางแก้วก้านยาวลงก่อนจะทาบมือหนาลงบนมือเรียวของร่างอรชรตรงหน้า ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ ก็เป็นอันรู้กันว่าเขาปราศนาสิ่งใด
ชายหนุ่มลุกขึ้นจูงมือหญิงสาวเดินออกจากภัตตาคารมุ่งหน้าไปยังปีกด้านขวาของโรงแรม หวังจะไปให้ถึงห้องสูทที่เตรียมเอาไว้เพื่อปลดปล่อยความพลุ่งพล่านในร่างกาย ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้องมือใหญ่ก็ดันร่างงดงามตรึงเข้ากับผนัง จ้องลึกลงไปในดวงตาไหวระริกราวกับตาของลูกกวางน้อยที่กำลังจะจนมุมต่อเล่ห์เหลี่ยมนายพราน
บุ๊งมองหน้าหล่อที่เลื่อนใกล้เข้ามาไม่วางตา ในขณะที่มือยังคงกำหมัดแน่น พยายามข่มใจตัวเองเอาไว้ นั่นเพราะยังมีอีกหลายคำถามที่อยากจะได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากปากของเขา
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอย่างอดกลั้น และในที่สุดก็คลายออกก่อนจะขยับถาม "คุณอัศนัยทำแบบนี้ไม่กลัวคุณอัญชลิสาจะเสียใจเหรอคะ"
คำถามนั้นทำเอามือที่กำลังปลดเข็มขัดถึงกับชะงัก อัศนัยถอนใจเบา ๆ ยกมือขึ้นเชยคางคนช่างสงสัยก่อนจะกล่าว "ใครก็ตามที่คิดจะเป็นคนของผมเขาจะไม่มีสิทธิ์มาทำตัวมีอำนาจเหนือผม รวมถึงคุณด้วย"
"คุณอัศนัยขี้ตู่นี่นา ทำไมเอาบุ๊งไปรวมอยู่ในนั้นล่ะคะ"
"คุณเป็นของผมแล้วคุณก็คือคนของผม นอกเสียจากคุณจะไม่อยากเป็นผมจะปล่อยคุณไป"
"แล้วถ้าบุ๊งบอกว่าไม่อยากเป็นล่ะคะ คุณจะปล่อยบุ๊งไปตอนนี้เลยหรือเปล่า" ตาสวยจ้องเขม็งอย่างท้าทาย
เจ้าของร่างสูงโคลงศีรษะหัวเราะ "ผมปล่อยคุณแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้" พูดจบก็แสยะยิ้มเย็นเยือก
"แน้! ขี้โกงนี่นา" พูดพลางวางมือลงบนแผงอกกว้างก่อนจะลูบไล้ลากลงไปจนถึงหน้าท้องจนอีกฝ่ายต้องกัดฟันแน่น แต่แทนที่จะไปให้ถึงจุดที่กำลังพร้อมรับการสัมผัส สาวสวยกลับดึงมือกลับเอาดื้อ ๆ
"ผมจะทนไม่ไหวนะ" อัศนัยกล่าวด้วยเสียงกระเส่าก่อนจะจัดการเอื้อมปลดเข็มขัดอีกครั้ง กำลังจะรูดซิปเพื่อปลดปล่อยเนื้อตัวที่กำลังปวดหน่วงให้เป็นอิสระ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็แผดเสียงให้อามรมณ์สะดุด ปากหยักสบถเบา ๆ ขณะล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พบว่าคนที่โทรมาคือลุงพันซึ่งเป็นคนขับรถนั่นเอง
ดวงตาที่คุกรุ่นด้วยไฟปรารถนาจ้องอุปกรณ์สื่อสารในมืออย่างชั่งใจ ในที่สุดก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อแขนขาวเกี่ยวคล้องลำคอ อัศนัยเงยหน้าขึ้นจ้องมองริมฝีปากเย้ายวนที่กำลังเลื่อนเข้าใก้กระทั่งหยุดกระซิบข้างหู
"รับสิคะ บางทีเขาอาจจะมีเรื่องด่วนก็ได้นะคะ เรื่องของเรา...เมื่อไรก็ได้ตามที่คุณอัศนัยต้องการ"
คนฟังปวดหนึบใจแทบขาดจำต้องละสายตาจากหน้าสวยอย่างเสียมิได้ นิ้วหนากดรับสายจากนั้นจึงเดินเลี่ยงมาอีกทาง สีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่ายกับเสียงสนทนาที่ได้ยินแว่ว ๆ ทำให้บุ๊งคาดเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเกิดเรื่องขึ้นที่บ้านนาฏยกาล
เมื่อวางสายเรียบร้อยอัศนัยก็เดินงุ่นง่านเข้ามาหาสาวสวยที่กำลังยืนรอเขาอยู่
"ขอโทษนะ ผมต้องไปแล้ว" ชายหนุ่มกล่าวเสียงห้วน
"ไป?...ไปไหนคะ" ถามพลางเกาะแขนแกร่งแน่น
"คนที่บ้านโทรมาบอกว่าคุณพ่อไม่สบาย ผมต้องกลับไปดู" พูดจบก็จัดการใส่เข็มขัดให้เข้าที่ "คืนนี้คุณจะนอนที่นี่ก็ได้นะ แล้วเอาไว้ผมจะหาโอกาสดี ๆ ชดเชยให้คุณก็แล้วกัน" อัศนัยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก ดึงมือนิ่มออกก่อนจะเปิดประตูเดินจากไป ปล่อยให้บุ๊งมองตามพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
"ดีนะที่แกเป็นคนรักพ่อ ไม่งั้นฉันได้เตะของแกหักคาเท้า พ่นด้วยสเปรย์พริกไทยแล้วช็อตด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้าให้สูญพันธุ์แน่"
(มีต่อค่ะ)