วันที่สามสิบสี่(ทิวไผ่)
“ทิวไผ่”เสียงนุ่มลึกของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นกลางโต๊ะอาหารในบ้านหลังใหญ่ “ผลการเรียนเทอมที่แล้วออกมาดี ตั้งใจต่อไปแบบนี้ล่ะ”
“ครับ คุณย่า”ผมขานรับนุ่ม ๆ พร้อมส่งยิ้มไปให้ผู้หญิงที่เป็นหัวหน้าตระกูล
“ดีแล้ว”คุณย่าท่านพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ ก่อนที่จะปราดสายตาดุ ๆ มามองที่ผม “ยังจำที่ย่าสอนได้ใช่ไหม จะเลือกใครเป็นคู่ชีวิตต้องให้สมฐานะ สมเกียรติ”
“ครับ... คุณย่า”
“อย่าคิดว่าย่าไม่รู้ที่ว่าเอกำลังทำอะไรอยู่ จะรัก จะชอบ ย่าไม่ว่า ถึงจะเป็นผู้ชาย แต่ถ้าจะยกย่อง คุณสมบัติต้องครบ จำเอาไว้ให้ดี”มือเรียวยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ “เด็กคนนั้นจะเลี้ยงเอาไว้ ย่าไม่ว่าอะไร แต่รู้ใช่ไหมว่ายังไงก็แต่งเข้ามาไม่ได้”
“ครับ”
“ดี จำเอาไว้ให้มั่นล่ะ”
“ครับ”
“เธอจะชอบเด็กผู้ชาย ย่าไม่ว่า เรื่องทายาทน้องของเธอรับผิดชอบไปได้ แต่หน้าตาทางสังคม เธอต้องรักษาให้มั่น หวังว่าเธอจะเข้าใจ และไม่ต้องให้ย่าพูดซ้ำ”
“ครับ คุณย่า”
กรอบของผม กรอบ... ที่ล้อมตัวผมมาทั้งชีวิต คำสอนที่ฝังในหัวทำให้ผมได้แต่เอ็นดูใครคนหนึ่ง แต่ไม่ได้รัก... หรืออีกแง่คือรักไม่ได้
ไม่ใช่แค่ตัวผม แค่คุณพ่อ คุณลุง ทุกคนที่อยู่ในตระกูลล้วนฝังหัวในเรื่องนี้ และไม่มีใครที่จะสามารถฉีกกฎออกไปได้
รักษาเกียรตื ดำรงศักดิ์ศรี ไม่ให้มีข้อครหา
หึ อดีตเจ้าเมืองเก่า ขุนนางที่ซื่อสัตย์ ทหารที่รับใช้บ้านเมืองมารุ่นสู่รุ่น มาสู่การเป็นหมอ...
นี่แหละ อัครเมฆินทร์
หลังจากวันที่มินมาดูอาการป่วยของข้าว มินก็มาอีกเรื่อย ๆ มาทำอาหาร ซักผ้า ทำความสะอาด เรียกได้ว่าแย่งหน้าที่แม่บ้านทำทุกอย่าง พอข้าวหายดีเจ้าตัวก็มาน้อยลง
เสียงใส ๆ ตาที่เป็นประกาย ความร่าเริงที่ทำให้ห้องเงียบ ๆ นี้ดูสว่างไสว คนที่มีแรงดึงดูดให้คนเข้าหา เป็นจุดศูนย์กลางโดยไม่ตั้งใจ
การมีตัวตนของมินไม่นาน ทำให้ผมชินอย่างไม่รู้ตัว พอเจ้าตัวไม่มาก็รู้สึกเงียบงันอย่างที่ไม่เคยมาก่อน แต่ยังดีที่เขายังคงไลน์มาถามเรื่องข้าวอยู่ตลอด
ถ้าเปรียบข้าวเป็นลูกหมาชิสุที่ต้องคอยโอ๋ คอยเอาใจใส่ดูแล มินคงเป็นหมาปอมที่ร่าเริง แข็งแรง และเรียกสายตาให้มองกลับด้วยความรักความเอ็นดู
ผมไม่เคยเข้าใจพี่คิสที่ถูกใจปันปันจนอยากครอบครองจนกระทั่งตอนนี้ ผมเข้าใจแล้วว่ามันเป็นยังไง ความอยากได้ อยากครอบครองที่ครอบงำมันเป็นยังไง
ผมเชื่อว่ามินไม่ยอมให้ผมกอดง่าย ๆ แน่ แต่จะให้ผมรวบรัดจับกินเหมือนพี่คิสเอง คงไม่ไหว มองหน้ากันไม่ติดแน่... เอาเถอะ ต่างคนต่างวิธี ต่างความคิด ต่างการกระทำ
แต่ถึงอย่างนั้น ความรักความชอบพอ ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะคว้ามาครอบครองเป็นของตัวเองเหมือนสิ่งของที่หาซื้อได้ทั่ว ๆ ไปตามท้องตลาด
อีกอย่าง... ถ้าจะทำอะไรผมก็ต้องคิดหน้าคิดหลังสักหน่อยล่ะครับ... ยังไงผมก็ยังมีข้างกายอยู่อีกคน
ถึงจะไม่ได้รัก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งขว้าง สิ่งที่ข้าวต้องการคือความอบอุ่น นั่นเป็นสิ่งที่ผมให้เขาได้ จนกว่าปีกของเขาจะแข็งแรงพอที่จะโผบิน...
แต่มีวันนั้นไหม ก็ไม่รู้ นกที่ถูกเลี้ยงในกรงส่วนใหญ่ก็จะไปไหนไม่รอด
แต่นกที่ไม่ยอมออกจากกรงเลย ก็ไม่รอดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ผมเหลือบมองข้าวที่ก้มหน้าก้มตาทำงาน วันนี้เจ้าตัวจะออกไปทำงานกลุ่มกับเพื่อนในสาขาที่ต่างจังหวัดอาทิตย์นึงซึ่งมินที่เรียนคนละสาขาไม่ได้ไปด้วย... เหมาะกับที่ผมจะไปทำอะไรบางอย่างจริงไหมครับ
"พี่ทิวฮะ ผมไปนะฮะ"ข้าวแบกเป้สะพายขึ้นหลัง เดินมาหาผมแล้วยิ้มหวานให้ "ไว้ผมจะซื้อของมาฝากนะฮะ พี่ทิว"
จมูกเล็กกดหอมเบา ๆ ที่แก้มผม ผมก็หอมกลับไปนั่นล่ะครับ ข้าวยังคงเป็นเด็กน้อยขี้เหงา ขี้อ้อนเหมือนเดิม
"เดินทางดี ๆ ถึงแล้วไลน์หรือโทรมาบอกพี่นะครับ ข้าว"
"ฮะ... พี่ทิวฮะ"ดวงตากลมหลุบมองผมที่นั่งอยู่ด้วยแววตาสั่นไหวด้วยความไม่มั่นใจ "กลับมาแล้ว... พี่ทิวจะกอดผม... ได้ไหมฮะ"
"ตามใจข้าวสิครับ ถ้าข้าวอยากให้พี่กอด พี่จะกอด"ผมตอบกลับยิ้ม ๆ ไม่ตอบรับในเชิงคนรัก เช่นเดียวกันที่ผมไม่ปฏิเสธ "ไปเถอะครับ เดี๋ยวเพื่อนจะรอเอานะ"
"ฮะ"ข้าวก้มลงมาฉกจูบจากผมเบา ๆ แล้ววิ่งออกไปจากห้อง
"คงไปไหนไม่รอดแล้วล่ะนะ ข้าว... แต่พี่ดูแลข้าวได้แค่ฐานะพี่น้องแบบนี้เท่านั้นล่ะ"ผมอดจะรำพึงออกมาเบา ๆ ไม่ได้ ยิ่งนานวัน ข้าวก็ยิ่งทิ้งตัวจมลึกมากับผม... ไม่ได้รังเกียจ แต่ไม่ได้รัก
"ทำให้ฟางหลงแล้ว ยังไงพี่ก็ต้องรับผิดชอบฟางนะฮะ"เสียงของใครบางคนที่ไม่ขึ้นมาหลายวันแล้วดังขึ้น "พี่ทิวห้ามทิ้งฟางเด็ดขาดนะฮะ"
"พี่จะพูดครั้งสุดท้าย"ผมลุกขึ้นไปยืนประจันหน้ากับคนที่ตัวเล็กกว่าผมไปคืบ "พี่ดูแลฟางข้าวได้ในฐานะ'พี่ชาย'ที่ดูแล'น้องชาย'เท่านั้น"
"พี่ทิวไผ่!"มินขึ้นเสียงใส่ผมอย่างไม่พอใจนัก ดวงตากลมโตถลึงมองผม "พี่เอาหัวใจของฟางไปแล้ว พี่จะทำให้ฟางเสียใจไม่ได้"
“มิน พี่ไม่สามารถตามใจใครได้ทุกคนหรอกนะครับ พี่ตามใจข้าวได้แค่ร่างกาย แต่พี่บังคับใจตัวเองไม่ได้ พี่ให้ได้เท่านี้ร่างกายกับหัวใจ ไม่ได้ไปในทางเดียวกันเสมอ”
“ถ้าพี่ไม่ได้รักฟาง พี่ก็ไม่ควรจะให้ความหวังฟางแบบนี้!”
“พี่ปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกัน ไม่ได้ให้ความหวังกับใคร พี่ยืนของพี่อยู่ที่เดิม จุดเดิม ไม่เคยเดินออกไปไหน ถ้ามินไม่เชื่อพี่ มินถามลมหนาวดูได้ ตอนที่ลมหนาวเคว้งคว้าง พี่ก็ยื่นมาไปให้เขาจับ เหมือนอย่างที่พี่ยื่นมือออกไปให้ข้าว”
“แต่ถ้าพี่ไม่รักก็ไม่ควรนอนกับฟาง”หยาดน้ำตาคลอหน่วงที่ขอบตาของเพื่อน ที่รักเพื่อนมากกว่าใคร “พี่ไม่ควรทำให้ฟางถลำลึกไปกับพี่แบบนี้”
“มินอาจจะมองว่าพี่เห็นแก่ตัว แล้วถ้าเป็นมินเอง มินจะทำยังไง มินบอกพี่มาสิ กับคนที่ต้องการความอบอุ่น ต้องการความรักมาเติมเต็มในความรู้สึกของเขาในช่วงเวลาที่เขากำลังอ่อนแอ ถ้าพี่ปฏิเสธคำร้องขอแล้วข้าวหนีออกไปเจอใครไม่รู้ข้างนอก โดนเขาหลอกลวง หรือคิดสั้นขึ้นมา วันนี้ มินจะมาพูดกับพี่ว่าอะไร”
“...”มินที่รู้นิสัยเพื่อนของตัวเองดีถึงกับน้ำท่วมปาก ใช่... เขารู้ และมันเคยเกิดขึ้น ในวันที่ครอบครัวของฟางแตกหัก วันที่ฟางไม่มีหลักยึดอีกต่อไป ถ้าหากตัวเขาไปช่วยไม่ทัน... วันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อนรักของเขาจะเป็นยังไง
“แล้วคนอย่างพี่ ไม่มีสิทธิ์จะชอบใคร ไม่มีสิทธิ์จะผิดพลาดอะไรเลยใช่ไหม พี่จะต้องเดินไปตามที่ทุกคนอยากให้เดิน ข้าวอยากให้พี่รัก พี่ก็ต้องรัก มินต้องการให้พี่รักข้าว พี่ก็ต้องรักอย่างนั้นใช่ไหม”ผมมองน้องตรงหน้าด้วยสายตาที่เจ็บปวด ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ แต่ชีวิตของผมที่ผ่านมามันเป็นแบบนี้ เดินบททางที่ถูกขีดเอาไว้ ทำทุกอย่างตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ จนไม่เป็นตัวเอง “พี่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะชอบคนที่พี่อยากชอบ ไม่มีลิทธิ์ที่จะรัก ในคนที่เข้ามาอยู่ในหัวใจพี่เลยใช่ไหม”
“พี่ทิว...”มินหลุบตาลอง มือเรียวยื่นมากุมมือของผมเอาไว้... “ผมมันไม่รู้อะไรเอง... ผมขอโทษฮะ”
"ชีวิตพี่ไม่เคยขออะไรตอบแทนจากใครสักครั้ง ไม่เคยได้เห็นแก่ตัวใส่ใคร พี่ให้ทุกคนเท่าที่พี่ให้ได้มาตลอด ถ้าสมมติว่ามินอยากให้พี่คอยตามดูแลข้าวในฐานะแบบนั้น แล้วพี่ยื่นข้อเสนอขอผลตอบแทนเป็นให้มินมาเป็นเมียพี่ มาทำให้พี่พอใจ แล้วพี่จะทำอย่างที่มินต้องการให้ มินจะตอบยังไง"ผมท้าทายออกไปเล่น ๆ คนที่เตี้ยกว่าที่กำลังทำหน้าตกใจ
"พี่ทิว!!!!"
"มินมาบังคับพี่ จะให้พี่ทำโน่นนี่ ก็ต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยนกัน จริงไหน"ผมยังคงพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มเหมือนเคย ผมเชยคางเรียวขึ้นให้ใบหน้ามนเงยขึ้นมา "มินเป็นลูกชายตระกูลใหญ่มีหน้ามีตา ย่อมรู้ดีแก่ใจเหมือนพี่ ถึงจะต้องแต่งกับผู้ชายก็ต้องเลือกคนที่รักมากและฐานะเสมอกันหรือต่างเพียงเล็กน้อย ถ้าพี่ยกข้าวขึ้นมาในฐานะนั้น คิดว่าข้าวจะแบกรับความกดดัน ทนสายตารังเกียจของคนอื่นไหวหรือไง"
มินทำหน้าบึ้งตึงใส่ผม ก็สมควรล่ะครับ แต่ที่ผมพูดไปมันก็คือเรื่องจริงที่หมดสิทธิ์จะปฏิเสธ แล้วอีกอย่าง... ผมชอบความสดใสและรอยยิ้มของมิน รักในหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความเสียสละ ความชอบที่พามาซึ่งความอยากครอบครอง ต่างจากข้าว ที่ผมยอมรับว่าผมยื่นให้ทุกอย่างด้วยความสงสาร... หรืออาจจะมากกว่านั้น
อยากจะได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเอา
“พี่ล้อเล่นน่ะ ช่างมันเถอะ”ผมปล่อยมือจากมิน แล้วหันหลังให้ “พี่ทำได้เท่านี้ และมันก็ได้เท่านี้จริง ๆ”
“แต่การที่พี่ทำแบบนี้ พี่ทำให้ฟางต้องเจ็บมากแค่ไหน พี่รู้ตัวบ้างไหมฮะ”คนตรงหน้าโต้กลับไปด้วยแรงอารมณ์ ผมถอนหายใจอย่างหน่ายเหนื่อย แล้วจ้องตากับมิน
“มินครับ ฟังนะครับ พี่คนนี้เป็นได้แค่เสาให้กับน้องชายเกาะเดิน แต่ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้ได้ตลอดไป วันนึงพี่ก็ต้องล้มลง หรือหายไป ข้าวที่มินห่วงนักห่วงหนา มินมั่นใจแค่ไหนว่าเขารักพี่ เขาชอบพี่ ไม่ใช่แค่หลงชื่นชมเพราะพี่ยื่นมือไปให้ความช่วยเหลือเขาในวันที่เขาล้มลง”ผมพูดด้วยเสียงที่จริงจัง มือทั้งสองจับบ่าเล็กไว้แน่น “ถ้าข้าวยอมรับความช่วยเหลือจากมินแต่แรก เขาก็จะติดมินแบบเดียวกับที่ติดพี่ไม่ต่างกัน หรือคนที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือเขาเป็นคนอื่น มันก็ไม่ต่างจากสิ่งที่เป็นตอนนี้ ไม่ต่างจากตัวพี่”
“แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าฟางไม่ได้รักพี่น่ะฮะ”
“ดวงตาไงล่ะมิน ดวงตาของข้าวฉายแววลุ่มหลง ไม่ใช่ความรัก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เกิดวันที่เท่าไหร่ ชอบกินอะไร มักจะใส่เสื้อสีไหน ถ้ามินไม่เชื่อ มินถามเจ้าตัวดูก็ยังได้”ผมตอบกลับไม่ทันที ก่อนจะแค่นยิ้มออกมา “มีคนมากมายที่เป็นอย่างข้าวในชีวิตของพี่ ปากบอกว่ารัก แต่ไม่เคยมองมาที่พี่เลย ไม่เคยที่แม้แต่จะคิดถึงใจพี่ด้วยซ้ำ”
“...”
“ก่อนที่จะมาโวยวายอะไรใส่พี่ มินเปิดใจดูความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก่อนค่อยมาหาเรื่องพี่เถอะ”ผมหยิบมือถือที่สั่นริกอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมารับ “ครับ คุณแม่... ครับ เดี๋ยวผมเข้าไปครับ”
ผมหันไปมองหน้าคนที่ผมถูกใจแล้วระบายยิ้มบาง ควาวใสซื่อ (จนเกือบจะบื้อ) ของเด็กคนนี้แหละที่ผมชอบ... ถ้าถามว่าโกรธไหม
ก็คงโกรธล่ะครับ
แต่ชีวิตของใครคนนึง ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจ
“พี่ต้องไปทำธุระที่บ้านก่อน ถ้ายังไงมินจะอยู่ห้องนี้ต่อไปก่อนก็ได้ ถ้าออกไปเมื่อไหร่ก็ล็อกห้องให้พี่ด้วยแล้วกันนะครับ”ผมคว้ากระเป๋าเงินกับกุญแจรถแล้วเดินออกไปทันทีหลังพูดจบ
ให้ผู้ใหญ่รอนานคงไม่ดี จริงไหมครับ
“ฮัลโหล ลมหนาว”ผมโทรเข้าหาคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจที่สุด... เป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด “พี่อยากเจอหนาว...”
“พี่ทิวเป็นอะไรครับ”เสียงที่ตอบกลับมาตามสายยังคงทำให้ผมยิ้มได้ แม้ว่าหัวใจจะขุ่นมัวก็ตามที “พี่ทิวอยู่ที่คอนโดใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมไปหา”
“พี่กำลังจะไปที่บ้าน...”ผมบอกกับคนในสาย พร้อมกับร้อยยิ้มที่เหือดแห้งไป “หนาวไปรอพี่ที่คอนโดก็ได้ เดี๋ยวพี่ก็คงกลับแล้ว”
“ครับ... พี่ทิว มีอะไรไม่สบายใจอยู่ใช่ไหมครับ”
“อืม... ก็นิดหน่อยน่ะ”เป็นเรื่องที่ปิดลมหนาวไม่ได้เลยครับ ถึงผมมักจะดุลมหนาวบ่อย ๆ และเป็นที่ปรึกษาในเรื่องต่าง ๆ มาตลอดแต่หลายครั้งที่ผมถูกจับได้ซะเองถึงความไม่ปกติทางอารมณ์
“เป็นอะไรเหรอครับ”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก... แค่พี่กำลังคิดว่าพี่มีสิทธิ์จะชอบใครสักคนไหม”ผมถอนหายใจเหนื่อย ๆ กับเรื่องที่คาอยู่ในหัวใจ “คนอย่างพี่จะชอบใครได้ไหมนะ”
“ความรัก ความชอบเป็นสิ่งที่ใครก็มีได้นี่ครับ”
“ก็นะ...”
“ฟางข้าวมีปัญหากับพี่ทิวเหรอครับ”
“เปล่าหรอก... คนที่มีปัญหากับพี่คือตัวพี่เองนี่แหละ”
“พี่ทิวครับ...”คนในสายทอดเสียงอ่อน ผมว่าลมหนาวคงกำลังยิ้มบาง ๆ อยู่แน่ “ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าตอนนี้พี่ทิวมีปัญหาอะไร แต่ผมเชื่อในหัวใจของพี่ทิวนะครับ... ใครจะมองว่าที่พี่ทิวทำทุกอย่างให้น้องข้าวเพราะความสงสารเวทนา แต่ผมรู้นะครับว่าพี่ทำเพื่อให้เขาที่กำลังหมดหวังในหลายสิ่งหลายอย่างนั้นมีความหวังและกำลังใจที่จะใช้ชีวิตต่อไป ให้ก้าวเดินไปเองได้ในสักวันหนึ่ง”
“ขอบใจนะ หนาว”
“ผมยังอยู่ข้างพี่ทิวเสมอนะครับ”
“...ครับ”
“แล้วเจอกันนะครับ... อ่อ พี่ทิวครับ สุขสันต์วันเกิดนะครับ”
“ขอบใจนะ ลนหนาว แล้วเจอกันนะครับ”ลมหนาววางสายไปแล้ว และผมกำลังใกล้จะถึงบ้าน
ต่อให้ใครต่อใครในโลกจะไม่เข้าใจในตัวเรา แต่ถ้าหากมีสักคนเข้าใจ... เพียงแค่คนเดียว ผมว่านั่นก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วนะครับ
ขอแค่ใครสักคนที่เข้าใจในตัวเราจริง ๆ
เท่านั้น... มันก็ทำให้มีกำลังที่สำคัญในการเดินต่อไป...
(มิน)
พี่ทิวถูกคนทางบ้านหรือใครสักคนเรียกตัวไปกะทันหัน ทำให้เราคุยกันไม่จบ ผมเลยนั่งหน้าบูดรอพี่เขาอยู่ในห้อง ให้กลับคุยกันต่อ
ผมจะเรียกร้องทุกอย่างให้ฟางเอง
แกร็ก
เอ... ทำไมพี่ทิวทำธุระเสร็จไวจัง ผมยังไม่ทันได้เตรียมคำพูดเจ็บ ๆ แสบ ๆ เลย... เงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินผ่านประตูมา กะว่าจะทวงถามเรื่องฟางอีกรอบ
แต่ไม่ใช่พี่ทิว...
ร่างสูงโปร่งของใครอีกคนที่ผมอาจจะเห็นไม่บ่อยนัก แต่ชื่อเสียงลอยเข้าหูอยู่ตลอด ดีกรีพี่วินัยคนเก่งของคณะเทคนิคการแพทย์... พี่ลมหนาว
“อ้าว...”เสียงนุ่มฟังลื่นหูอุทานขึ้นเบา ๆ ดวงตาคมของพี่เขามองมาที่ผมนิ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มบางส่งให้ พร้อมกับแววตาที่อาทร “มาได้ยังไงครับ หืม”
“เอ่อ... ผมอยู่คอนโดนี้... ฮะ”
“ชื่ออะไรล่ะ เราน่ะ”
“ผมชื่อมินฮะ พี่ลมหนาว”
“งั้นเหรอ...”พี่เขายิ้มให้แล้วเดินเข้าไปในครัว ก่อนจะกลับมาพร้อมกับชามในมืออย่างรวดเร็ว “มินคงหิว แต่พี่ทำอาหารไม่เป็น ทนกินโจ๊กซองไปก่อนนะครับ”
“ขอบคุณฮะ”ผมรับเอาชามอุ่น ๆ นั้นมา... ดูท่าแล้วพี่เขาจะทำอาหารไม่เป็นจริง ๆ นั่นแหละฮะ ฉีก เท ไม่มีคนมาก่อนเลย...
“มีอะไรอยากถามพี่ใช่ไหมครับ”อยู่ ๆ พี่ลมหนาวก็ถามขึ้น หลังจากที่ผมนั่งกินข้าวไปได้ไม่เยอะ ผมหันไปมองพี่เขาอย่างสงสัย “มีเรื่องที่อยากรู้ไม่ใช่เหรอครับ”
“ฮะ...”ผมตักข้าวกินอีกคำก่อนที่จะหันมาสบตากับพี่เขา “พี่ทิว... เป็นคนยังไงเหรอฮะ”
“เป็นคนยังไงอย่างนั้นเหรอ...”พี่ลมหนาวยกมือขึ้นมาลูบคางตัวเองน้อย ๆ แล้วยิ้มบาง ๆ “พี่เขาเป็นคนดีนะ เป็นคนที่มองทะลุทุกอย่าง และมองในมุมที่ไม่มีใครมอง”
“พี่รู้เรื่อง...ของฟางใช่ไหมฮะ”
“อืม พี่ก็รู้อยู่นะครับ พี่รู้มาตั้งแต่แรกแล้วด้วยว่าพี่ทิวไม่ได้รักฟางข้าวอย่างคนรัก แต่มองเขาเหมือนตัวเองในอดีต สมัยที่พี่เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ทางบ้านต้องการและมุ่งหวัง พี่ทิวเขาเป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับความหวัง หวังจะให้เป็นหมอ หวังจะให้เป็นคนสืบทอดกิจการ มันเป็นกรอบแคบ ๆ ที่จำกัดตัวของพี่เขาให้ไปตามทางที่ถูกขีดเอาไว้
แต่เด็กคนนึงจะรู้อะไรจริงไหมครับ ก็จะคิดว่าทำไมพ่อแม่ไม่รักเขา รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวและสิ้นหวังในความเป็นตัวเอง”พี่ลมหนาวหันมามองหน้าผม ก่อนที่จะพูดต่อ “มนุษย์เราไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมทุกอย่างหรอกนะครับ เราอาจจะมองว่าพี่จะให้ความหวังกับคนที่มีใจให้พี่ทำไม แล้วเพราะอะไรถึงไม่ตัดให้ขาดไปตั้งแต่แรกจะได้ไม่เรื้อรัง แต่ถ้าเรามองในอีกมุมนึง คนบางคนอยู่ได้ด้วยความหวังและความฝันที่หล่อเลี้ยงตัวเองถ้าหากไปตัดแรงที่พยุงให้เขามีชีวิตอยู่ต่อออกไปแล้วเขาจะอยู่ยังไง นั่นไม่เท่ากับฆ่าเขาให้ตายไปทางอ้อมเหรอ
กับฟางข้าว ถึงพี่ทิวไม่ได้รัก แต่ในขณะเดียวกันก็ใช่ว่าจะไม่ให้ความสำคัญไม่ใช่เหรอครับ”
“แต่...”
“แล้วมินคิดว่าฟางข้าวต้องการความรัก หรือต้องการที่จะเป็นคนสำคัญล่ะครับ”เป็นคำถามที่ผมไม่เชิงว่าจะเข้าใจ... คนสำคัญ กับคนรักก็ต้องเป็นคน ๆ เดียวกันไม่ใช่เหรอครับ “มินครับ คนรักคือคนที่อยู่ในหัวใจ จะห่างไกลแค่ไหนใจก็ยังมีกันอยู่เสมอ แต่คนสำคัญน่ะคือคนที่อยู่ในสายตา สำหรับพี่ที่เป็นคนมองอยู่ห่าง ๆ สิ่งที่ฟางข้าวต้องการคือการเป็นคนสำคัญของใครสักคน ต้องการหลักที่พึงให้ตัวเองเดิน และคนที่ฟางข้าวเห็นเป็นคนแรกคือพี่ทิว”
“ฮะ...”
“มินครับ กับพี่ทิวจะร้องขออะไรนอกร่างกาย พี่เขาก็ให้ได้เท่าที่เขามี เขาเป็นประธานคณะแพทย์ที่แข็งแกร่งในสายตาทุกคน แต่ในคณะเดียวกัน หัวใจที่ถูกล็อกเอาไว้อย่างหนาแน่นนั้นก็อ่อนแอ พี่ทิวไม่ได้ถูกเลี้ยงดูขึ้นมาด้วยความรักจากพี่น้อง จากพ่อแม่อย่างที่ใครคิด ทุกคนทำงาน และพี่เขาต้องอยู่เพียงลำพัง มีน้อง น้องก็ถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ ถูกจำกัดให้สามารถคบได้แค่คนที่อยู่ในระดับเดียวกัน หรือคนที่จะสามารถสร้างประโยชน์ให้ได้ จนกระทั่งขึ้นมาม.ปลายถึงได้รับอิสระในบางส่วน ถึงพี่จะไม่ได้รู้จักพี่ทิวมาตั้งแต่พี่เขาเด็ก เป็นแค่หลานเทคโรงเรียน แต่พี่ก็เป็นที่พึ่งให้พี่เขา เหมือนที่เขาเป็นให้พี่นะครับ”เสียงของพี่ลมหนาวบอกถึงความสัมพันธ์ของพี่เขากับพี่ทิวได้เป็นอย่างดีเลยล่ะฮะ เป็นเหมือนพี่น้อง ที่คอยดูแลกัน
“แต่การที่พี่ทิวเขาใจดีแบบนั้นกับคนไปทั่ว... มันทำให้คนเขาเข้าใจผิดเอานะฮะ”ผมพูดสิ่งที่อยู่ในใจของผมออกมาบ้าง
“พี่ถามมินเรื่องนึงนะครับ”
“ฮะ”
“มินเกิดมาในสังคมระดับเดียวกับพี่ทิว มีฐานะ มีหน้าตาทางสังคม และพี่เชื่อว่ามินเห็นถึงการวางตัวของพี่ทิวมาตลอด พี่ทิวไม่เคยมีข่าวเสียหาย ไม่เคยมีข่าวซุบซิบสักครั้ง ถูกไหมครับ”
“ฮะ”
“แล้วมินคิดว่าหากวันนึง พี่ทิวต้องมีข่าวกับฟางข้าว แน่นอนว่าคนจะต้องมาโจมตีคนที่เข้าถึงง่ายกว่าอย่างฟางข้าว และจะถูกนินทาไปพักใหญ่ว่าเป็นคนฉุดให้พี่ทิวที่เป็นเหมือนเทพบุตรคนนั้นต่ำลง ไม่คู่ควร ไม่เหมาะสมอะไรสักอย่าง เป็นคนล่อลวงพี่ทิวที่ขาวสะอาดให้ต้องแปดเปื้อน มินคิดว่าฟางข้าวจะทนได้ไหมครับ”
“... ไม่ฮะ”ฟางไม่มีทางทนรับกระแสสังคมแบบนั้นได้แน่ ๆ ผมรู้ดี “ผมเป็นเพื่อนกับฟางมาตั้งแต่เด็ก ผมรู้ว่าฟางหลงในตัวพี่ทิว และปักใจที่จะยึดติดกับพี่เขา ฟางไม่เชื่อใจใครรอบข้าง และอ่อนแอ ผมกลัว หากว่าวันนึงพี่ทิวเดินจากฟางไป ฟางจะคิดสั้นและอยู่ไม่ได้...”
“พี่เชื่อว่าพี่ทิวรู้ว่าฟางข้าวเป็นยังไงครับ และพี่ทิวจะต้องหาหนทางพาทั้งความรักและความรับผิดชอบไปด้วยกันได้รอดฝั่ง”พี่เขายิ้มสื่อความให้ผม... “มินรู้ไหม พักนี้พี่ทิวมองมือถือบ่อยขึ้นกว่าก่อนเยอะด้วยสีหน้าที่มีความสุข ตอนแรกพี่ก็สงสัยว่าใครที่ทำให้พี่ชายที่แสนดีของพี่มีความสุขได้ขนาดนั้น จนได้มารู้นี่ล่ะครับ”
“มันไม่ใช่...”
“เชื่อเถอะครับ กับรักแรกพบน่ะ”
“ผม... ทำร้ายฟางไม่ได้หรอกฮะ”ผมรู้นะฮะว่าพี่ทิวถูกใจในตัวผม... แต่ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย... ยิ่งผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่เพื่อนของผมรักด้วย
“ทำตามหัวใจของตัวเองเถอะครับมิน... ต่อให้ไม่มีมิน พี่ทิวก็เป็นได้แค่พี่ชายที่เป็นเพื่อนนอนให้กับฟางข้าวได้อย่างเดียวเท่านั้นล่ะครับ”พี่ลมหนาวลุกขึ้นเต็มความสูง แล้วก้าวเท้าออกไป “มินครับ จำเอาไว้นะครับว่าความผูกพันมันซื้อความรักไม่ได้เสมอไปหรอกนะครับ”
จบคำพี่เขาก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ผมอยู่คนเดียว
“แต่ผม... ก็อยากให้ความผูกพันของฟาง ซื้อพื้นที่ในหัวใจของพี่ทิวได้สักนิดก็ยังดีนะฮะ”
เอ... แต่ถ้าความผูกพันมันซื้อความรักได้... พี่ทิวก็คงเป็นแฟนกับพี่ลมหนาวไปนานแล้วมั้ง
ใช่ไหมฮะ
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
มาอัพแล้วค้า สอบเสร็จแล้ว ^^ ตอนนี้ดูมึน ๆ ไปหน่อย เอาไว้จะกลับมาเกลาภาษาอีกรอบนะคะ
ตอนหน้าขอวกไปหาน้องคีบ้างนะคะ (แต่พายุลมหนาวก็จะโผล่มาแจมด้วย ฮ่าๆ)
ใครสนใจรวมเล่ม เข้าไปทำแบบสอบถามได้นะคะ
http://goo.gl/forms/vcoaPrVpIJ ถ้าเปิดจองแล้ว มีสุ่มแจกของด้วยค้า