วันที่สิบสอง(ทิวไผ่)
เมื่อวานนี้ลมหนาวได้ตัดสินใจลงตัดน้องชั้นปีที่หนึ่งของเทคนิคการแพทย์ให้อยู่เพียงชั้นปีเดียวโดยจะไม่มีพี่ปีอื่น ๆ คอยให้ช่วยเหลือ คอยบอก คอยสอนอย่างที่เคยอีก
นี่เหมือนเป็นธรรมเนียมของคณะเทคนิคการแพทย์อย่างหนึ่งที่ทำกันมาต่อเนื่องทุกปี เท่าที่ผมเห็นน่ะนะ (ห้าปีที่ผมเห็น)
น้อง ๆ ก็น่าสงสารอยู่หรอก แต่ผมสงสารหนาวมากกว่า เขาต้องใจแข็งอย่างมากที่จะตัดน้องให้ได้ด้วยคำพูดของเขาเอง ตัดด้วยมือของตัวเอง ไม่เหมือนพี่คนอื่น ๆ ที่เป็นคนรับคำสั่ง
ลับหลังยังต้องโดนน้องตัดพ้อ ต่อว่า น้อยใจ สารพัดจะโดน แต่ก็ยังทำไปได้ลง บางปีที่ตัดปีสองด้วยมั้ง ถ้าผมจำไม่ผิด ตัดปีสองชั้นปีเลย เพราะปีสองยืนยันจะอยู่ข้างปีหนึ่ง
"พี่หนาวยังซึม ๆ อยู่เลยนะฮะ"ฟางข้าวเดินมากระซิบผม เฮ้อ คิดถูกแล้วจริง ๆ ที่ไปลากตัวของลมหนาวให้มาพักที่คอนโดในช่วงเสาร์ อาทิตย์นี้ก่อน ไม่อย่างนั้นคงฟุ้งซ่านไปทั้งมัน ทั้งผมนี่แหละ "ทำยังไงดีล่ะฮะ พี่ทิว"
"ปล่อยไปสักพักก่อนแล้วกัน ปีที่แล้วก็คล้าย ๆ แบบนี้ เดี๋ยวหนาวรวบรวมกำลังใจได้เมื่อไหร่เขาก็ลุกขึ้นมาเอง"ผมปิดหนังสือในมือลง แล้วหันไปลูบผมนุ่ม ๆ ของข้าวแทน "ห่วงเหรอ"
"ห่วงสิฮะ พี่หนาวถึงบางทีจะต้องสวมหน้ากากเฉยชา แต่พี่เขาก็ไม่ได้ไร้หัวใจนี่ฮะ"ฟางข้าวหันไปมองประตูห้องที่ปิดสนิท ห้องของหนาวเขาน่ะครับ ตอนเขาอยู่ปีหนึ่งผมชอบไปดึงเขาให้มานอนค้างด้วยกัน เลยมีห้องไว้โดยเฉพาะ "ทำยังไงดีนะ"
"เรามาทำสุกี้กินกันไหม"ผมกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูขาว ๆ น่ากัด "จัดปาร์ตี้เล็ก ๆ หนาวเขาจะได้ลืมสิ่งที่อยู่ในสมองไปช้่วคราวไง"
"ก็ดีนะฮะ พี่ทิว"น้องน้อยที่อยู่ปีสอง แต่ท่าทางยังไม่พ้นม.ต้นพยักหน้ารับอย่างเห็นดีเห็นงาม "งั้นก็ต้องออกไปซื้อของสดแล้วสิ"
"โอเค งั้นเราไปกันเถอะ"ผมลุกจึ้นไปหยิบกุญแจรถ เอาแค่โตโยต้าธรรมดา ๆ อย่างAltis ไปก็พอมั้ง บอกหนาวหน่อยดีกว่า "หนะ... อ่าว หนาวจะไปไหนน่ะ"
"ไปหาปันปันครับ"ร่างสูงโปร่งในเสื้อแขนยาวสีขาวพับแขนขึ้นและเดฟน้ำตาลเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าหมอง ๆ "หมอนั่นมีปัญหาอะไรไม่รู้ เดี๋ยวเย็นนี้ผมกลับมาครับ"
จบคำลมหนาวก็เดินไปพร้อมกับกุญแจรถของตัวเองที่ห้อยพวงกุญแจการ์ตูนตัวเล็ก ๆ เอาไว้ (เห็นว่าเกดมันเอามาห้อยให้)
ดีนะที่ผมแอบให้คนเอารถของหนาวไปเดินน้ำมันมาแล้ว ไม่งั้นขับไปได้ดับแน่ ชอบลืมดูถังน้ำมันอยู่เรื่อย เหลือขีดเดียวยังไม่รู้เรื่องอีก
"พี่ทิวฮะ"ฟางข้าวมองหน้าผมแบบมึน ๆ "เราจะเอายังไงกันดีล่ะฮะ"
"ไปซื้อของไง ไปกันเถอะ"จูงมือน้องให้เดินตามมา ขุนมาหลายวันยังไม่เห็นผลเลยแหะ ไม่เป็นไร รอดูต่อไปอีกหน่อยละกัน "เดอะมอลล์นะ ข้าว"
"ตลาดสดก็พอฮะ ไม่ต้องเลย"ข้าวเหล่มองผมด้วยแววตารู้ทัน "ไม่ต้องทำอนามัยทานออแกนิคเลยฮะ รู้นะว่าพี่ทิวต้องการอะไร ผมไม่ได้อ่อนแอ แพ้อาหารโน่นนี่สักหน่อย"
อ่าว โดนรู้ทันแล้ว ตั้งแต่เอาน้องมาอยู่ด้วย ผมก็เปลี่ยนจากผัก จากเนื้อในตลาดเป็นในห้างเดอะมอลล์ แบบออแกนิคไร้สารเคมี ก็ผมกลัวน้องไม่สบายนี่น่า (โอเวอร์เกินเหตุชัด ๆ << ฟางข้าว)
ผมขับรถมาจอดหน้าตลาดไม่ไกลจากคอนโด มีตลาดใหญ่อยู่ตลาดเดียวล่ะฮะ แถวนี้ น้องที่นั่งข้าง ๆ เหล่มองผมแล้วส่ายหน้า
"พี่ทิวรอบนรถไหมฮะ"หืม ทำไมล่ะ ผมว่าผมแต่งตัวดูดีอยู่นะ โปโลของAIIZ กางเกงยีนส์Versace แว่นกันแดดLayband นาฬิกาของRado รองเท้าผ้าใบคู่ละสองสามร้อย... ก็ดูธรรมดาจะตายไป
"เดี๋ยวพี่ลงไปช่วยถือน่า"ข้าวส่ายหน้าน้อย ๆ อีกรอบแล้วลงจากรถไป ผมลงตามเขาไปด้วยรอยยิ้ม ก็แน่สิครับ การที่เขาแสดงออกถึงอารมณ์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่การยิ้มด้วยความเกรงใจนั้นแสดงว่าเขาเริ่มเปิดใจให้ผมแล้ว
นับเป็นวิวัฒนาการที่ดี จริงไหมครับ
ฟางข้าวเดินเข้าร้านโน้น ออกร้านนี้ เลือกผัก เลือกหมู เลือกของทะเล บางร้านเข้าไปดู ๆ ก็ไม่เอา ไม่รู้ว่ามันต่างกันยังไง แต่เขาคงเลือกของดี ๆ มานั่นแหละ ผมจ่ายกับหิ้วพอ
"ปลาเก๋า"ผมยืนมองปลาเก๋ากิโลละ 85 บาท ตาใสปิ๊ง เหงือกแดงแปรด ของชอบของลมหนาว ปลาเก๋าทอดน้ำปลา
ถึงผมจะเลือกของสดไม่เป็น แต่ผมก็รู้นะว่าปลาเหงือกแดง ตาใสน่ะ มันสด
"ปลาเก๋าทำไมเหรอฮะ พี่ทิว"คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงุนงง เช่นเดียวกับสีหน้าของเขา "พี่ทิวอยากกินเหรอครับ"
"เปล่าหรอก ลมหนาวเขาชอบปลาเก๋าทอดน้ำปลาน่ะ พี่ชอบปลาดอลลี่นึ่งมะนาว"ผมคีบปลาเก๋าตัวอวบ ๆ ใส่ตะกร้าพลาสติกใบเล็กที่วางอยู่สามตัว ผมชอบกินดอลลี่เพราะไม่ต้องแคะก้างน่ะครับ ฮ่า ๆ ขายกันเป็นชิ้น ๆ แช่แข็ง เก็บได้นานดี
"ออ... อา... เดี๋ยวผมกลับไปทอดให้ก็ได้ฮะ"ฟางข้าวเสนอตัวเสียงแผ่ว ๆ ส่วนผมได้แต่ยิ้มขำ ๆ ให้น้องมัน ยังไม่รู้อะไรนะ น้องพี่
"ให้หนาวกลับมาทอดเองเถอะ ไม่มีใครทอดได้อร่อยเท่าเขาอีกแล้วล่ะ"ใช่ครับ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่หนาวเขาจะทอดได้กรอบนอก นุ่มใน กัดไปยังอมน้ำนิด ๆ หอมหวานอร่อยเป็นหนึ่งในสองเมนูที่เขาทำเป็น
อีกเมนูยังไม่บอก รอดูกันไปเองครับ แซ่บเวอร์ ได้กินจะติดใจ (ผมติดมาแล้ว) แต่ก็นะครับ ทั้งชีวิตเขาก็ทำได้แค่สองเมนูนี่แหละ ที่เหลือ... เน่า
นึกแล้วขำชะมัดเลย
ผมมัวแต่นึกขำอยู่คนเดียวกับสิ่งที่อยู่ในความคิด ความทรงจำ โดยไม่ได้รับรู้ถึงแววตาเศร้า ๆ ของใครอีกคนที่อยู่ข้างกายเลย
ข้าวเดินไปเลือกกุ้ง เลือกปลาหมึก เลือกหมู สารพัดที่จะยัดลงหม้อได้มาเต็มไปหมด นี่ถ้าผมไม่มาช่วยถือ เขาจะหอบไปหมดได้ยังไงกัน
ใช้เวลากว่าชั่วโมงถึงจะซื้อสารพัดของครบ ผมให้ฟางข้าวเลือกของไป ส่วนตัวเองโทรหาน้องพลอยให้รวมตัวเพื่อน ๆ มา และโทรหาวิศ ประธานคณะวิศวะ (นายวิศวะ ประธานคณะวิศวกรรมศาสตร์ สมเป็นวิศวะจริง ๆ ดีที่ผมไม่ชื่อนายแพทย์ ประธานคณะแพทย์นะครับ)ให้เอาพวกวินัยของพวกมันมา ถ้าสองคณะนี้กล้าตีกันต่อหน้าผม ผมจะยำให้ดู อ่อ แล้วก็โทรหามัลติให้เอาวินัยของแพทย์มาด้วย
อ่อ... ผมไม่ลืมที่จะสั่งให้พวกนั้นซื้อของกินเข้ามาด้วยหรอกนะครับ ที่ซื้อมานี่ไม่พอหรอก คนเป็นเกือบร้อย กินพอก็เวอร์แล้ว
ถามว่าห้องผมรับพอไหม? ไม่หรอกครับ เดี๋ยวจะเปิดห้องประชุมเล็กเอา (เป็นห้องสองห้องทุบรวมกันชั้นบนสุดของคอนโด พ่อผมเขาทำเอาไว้ใช้ประชุมเล็ก ๆ หรือสังสรรค์ เลยมีห้องครัวอยู่ด้วย ไม่เป็นเจ้าของคอนโดเองทำไม่ได้นะครับ)
ผมขับรถกลับคอนโด ในรถเงียบกริบ จนน่าแปลกใจ ผมเหล่คนข้าง ๆ ที่นั่งกอดหมอนเงียบ ๆ อย่างสงสัย... มันแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้
"โกรธอะไรพี่เหรอ ข้าว"ผมเอ่ยถามตุ๊กตาหน้ารถเบา ๆ อย่างไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าไปทำอะไรเข้า น้องถึงไม่พูดไปเรื่อยตามเคย
"เปล่าฮะ"ฟางข้าวส่ายหัวปฏิเสธผมสะบัด แล้วเอาหน้าซุกหมอนลงไป "ผมแค่รู้สึกง่วงนอน"
"งีบไปก่อนก็ได้ ไว้ถึงแล้วพี่จะปลุก"เขาพยักหน้ารับน้อย ๆ แล้วหลับตาลงไป... เอาไว้เขาอยากบอกความจริงกับผมเมื่อไหร่ ค่อยว่ากันใหม่
พูดถึงความจริง... นึกถึงประวัติของน้องที่ผมได้จากคนที่ให้ไปสืบมาแล้วเหนื่อยใจ ไม่ใช่ว่าน้องโกหกนะครับ เขาพูดความจริงทุกอย่าง แต่นะ โดนทิ้งให้อยู่ด้วยตัวเองมันก็ใช่ว่าจบเท่านั้น
พ่อของเขากำลังมีลูกคนที่สามกับเมียใหม่ เงินที่เคยเจียดมาให้ใช้ก็ไม่ได้ส่งมาหลายเดือนแล้ว แต่เหมือนเจ้าตัวจะยังไม่รู้ ส่วนแม่ก็กำลังท้องกับผู้ขายคนไหนสักคนที่เธอไปให้บริการ ภาระค่าใช้จ่ายของทั้งคู่กำลังสูงขึ้นก็ต้องดูต่อไปว่าเขาจะทำยังไงกันต่อ
ในโชคร้ายก็ยังมีโชคดีที่บ้านหลังนั้นเป็นของปู่กับตาของข้าว ซื้อทั้งคู่ร่วมกับซื้อให้กับลูกของตนเป็นเรือนหอ เหมือนพวกเขาจะรู้ดีว่าลูกนิสัยยังไงเลยไม่ได้ให้เป็นสินสมรส แต่เป็นสินเดิมในชื่อของคุณตาท่าน จึงได้เขียนไว้ในพินัยกรรมว่ามอบบ้านหลังนั้นพร้อมกับทรัยสินในบ้านทั้งหมดและเงินส่วนหนึ่งในบัญชีให้กับหลานชายคนแรกของพวกเขา (ส่วนอื่น ๆ จองพินัยกรรมไม่ใช่เรื่องที่ผมจะสนใจ) บ้านหลังนั้นจะเป็นชื่อของข้าวเมื่อข้าวอายุครบยี่สิบปีโดยระหว่างนั้น ย่ายายของเขาจะเป็นคนดูแล (แต่ตอนนี้เหลือยายคนเดียวแล้ว) ในอีกไม่กี่เดือนคงได้เรียกทนายมาใช้บริการสักหน่อยแน่ ๆ
ฟางข้าวยิ่งไม่ค่อยรู้อะไรสักอย่าง (เปรยถามเรื่องบ้านยังบอกเป็นของพ่อเขาอยู่เลย) ผมคงต้องเตรียม ต้องทำอะไรอีกเยอะพอดูเลย
สรุปว่าผมเก็บเด็กมาเลี้ยงจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย... เด็กโข่งเอ๊ย
พอมาถึงคอนโด ผมก็ยกของขึ้นไปเก็บบนห้องโดยที่ยังไม่ได้ดับเครื่องรถ ให้ข้าวเขานอนไปก่อน จะผมยกของเสร็จ
“ข้าว ๆ ถึงแล้วนะ ไปนอนต่อในห้อง”ผมเขย่าตัวน้องเบา ๆ ให้น้องตื่น แต่ยังไม่มีท่าทีเท่าไหร่เลย “ลุกขึ้นเร็ว ไปนอนในห้องนะ”
“งืมมม”แพขนตาหนาขยับยุกยิก ก่อนที่จะลืมขึ้น “ถึงแล้วเหรอฮะ”
“ถึงบ้านเราแล้ว ลุกขึ้นมาเร็ว”อดไม่ได้ที่ขยี้หัวน้องแรง ๆ อย่างหมั่นเขี้ยว เด็กอะไรก็ไม่รู้ โตแต่ตัว (ผมไม่ได้ว่าน้องนะ ฮ่า ๆ) “พี่ยกของขึ้นไปเก็บหมดแล้ว ไม่ต้องมองหาหรอก”
“พี่ทิวน่าจะปลุกผม จะได้ช่วยกันยกขึ้นไป”ริมฝีปากบาง ๆ เชิดขึ้นอย่างไม่พอใจนัก แล้วปลดเซฟตี้เบลท์ออก ก้าวลงจากรถมา “ผมเป็นผู้ชายนะฮะ ไม่ต้องมาโชว์แมนทำสุภาพบุรุษ ทำให้ทุกอย่างหรอกน่า”
“เปล่าสักหน่อย”ลอยหน้าลอยตายักไหล่ไป ผมไม่ได้ทำตัวสุภาพบุรุษสักหน่อย เรื่องแบบนี้มันอยู่ในสายเลือดต่างหากครับ ไม่ใช่ละ ความเคยชินด้วยมากกว่า ผมอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ขับรถเองได้ ไม่ได้เอาคนใช้ที่บ้านมาอยู่ด้วย มีแต่แม่บ้านเวียนมาทำความสะอาดให้บ้าง อาหารซื้อกินบ้าง ทำเอง (แบบง่อย ๆ ) บ้าง เฮฮาปาร์ตี้ตามฉบับคนโสดล่ะนะครับ ฮ่า ๆ
ถึงเป็นหมอ ก็ใช่ว่าจะต้องมีภูมิอยู่ตลอดเวลานะครับ เราไม่ใช่ผู้พิพากษาที่ต้องวางมาดเนี๊ยบหัวจรดเท้า เป็นแค่คนธรรมดาที่ช่วยเหลือคนนี่แหละ
เมื่อเข้ามาถึงในห้อง ข้าวก็จัดการสารพัดของสดที่กองสุมอยู่บนโต๊ะ ล้างปลาหมึก หั่น ๆ ปอกเปลือกกุ้ง ผ่านเอาขี้ที่หลังออก แต่ยังเก็บหัวกุ้งเอาไว้ หั่นเนื้อหมู เนื้อไก่ให้ได้ชิ้นพอดีคำ
“ทำไมไม่ไปเรียนพวกคหกรรมล่ะ”หลังจากที่พิสูจน์มาหลายวันว่าข้าวทำอาหารอร่อย คล่องแคล่ว แล้วก็ดูมีความสุขเวลาทำ ผมเลยอดที่จะถามไม่ได้
“ผมไม่มีทุนจะเรียนนี่ฮะ”เสียงของข้าวที่ตอบกลับมานั้นฟังแล้วไม่ได้มีแววของความเสียใจอยู่ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไม่ได้อยากเรียนตั้งแต่แรกหรือตัดใจได้นานแล้ว “สำหรับผม แค่ได้เรียนมหาวิทยาลัยต่อก็ดีถมไปแล้วล่ะฮะ จะคณะอะไรก็ไม่สำคัญหรอกฮะ”
คนเราก็นะ ใครเกิดมามี ก็มีไป ใครขาด ก็ขาดไปจริง ๆ จะมีใครสักกี่คนที่ไขว่คว้า ดิ้นรนจากความยากจนให้ขึ้นมามีฐานะ ขึ้นมาร่ำรวยได้สำเร็จ
ผมอาจจะโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่มีเงิน มีทอง แต่ก็นะครับ การมีเงินมันก็แลกมาด้วยเวลา ครอบครัวผมไม่มีเวลาให้แก่กันสักเท่าไหร่ ยกเว้นแค่ตอนที่มีเรื่องให้ทำ หรือต้องการให้ทำ พ่อกับแม่ผมถึงจะมาให้เห็นหน้าสักที แต่ก็นะครับ ชินแล้วล่ะ
“ไม่ต้องมาทำหน้าสงสารผมเลย พี่ทิว ผมไม่ได้เสียใจอะไรสักหน่อย”ฟางข้าวแยกเขี้ยวเล็ก ๆ นั่นให้ผม ก่อนที่จะหันไปจัดการกับสารพัดของสดต่อ “ที่เรียนอยู่ก็ใช่ว่าผมจะไม่ชอบสักหน่อย สนุกดีด้วยนะฮะ”
“ถ้าสนุกกับมันก็ดีแล้วล่ะ”
แล้วทุกอย่างก็เข้าสู่ความเงียบ ข้าวล้างและหั่นของสดไป ส่วนผมล้างผัก หั่นผัก เขียว ๆ ส้ม ๆ เหลือง ๆ ถึงปากจะบอกว่าแค่ได้เรียนก็ดีแล้ว... แต่มันดีจริงหรือเปล่า อยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองแบบนั้น... แต่เขาก็บอกว่าสนุกดี... ผมคงคิดมากเกินไป
ตลอดมาผมได้เรียนในที่ ๆ อยากเรียน เรื่องที่ต้องการเสมอ อยู่บนกองเงินกองทองที่ใช้ไปทั้งชีวิตก็ไม่หมด ไม่เคยมีคำว่าไม่สำหรับผม อยากได้อะไรก็มีคนเอามากองให้ตรงหน้า แต่นั่นคงไม่ใช่สำหรับทุกคน แม้แต่กับหนาวเองที่มีฐานะอยู่พอตัว แต่พอต้องการอะไรจริง ๆ เขาก็ต้องดิ้นรนเก็บเงินไปซื้อมาโดยไม่ปริปากบ่น หรือขอความช่วยเหลือจากใคร แม้แต่กับผม
“พี่ทิว พี่ทิว... พี่ทิวฮะ!”เสียงของข้าวดั่งลั่นในโสตประสาต อูยย เรียกเบา ๆ ก็ได้ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างหูดีมากเลยนะ... แต่ตอนนี้เริ่มจะไม่ละ ชาดิ๊กเลย “ไม่ต้องมาชักสีหน้าเลยนะฮะ ผมเรียกมาหลายรอบแล้วนะ”
“โอเค ๆ มีอะไรเหรอ ข้าว”จมอยู่ในห้วงความคิดมากเกินไปแล้วล่ะเรา ให้ตายเถอะ ผมเรียกสติที่บินไปกับความคิดฟุ้งซ่านกลับมา
“พี่ทิวจะหั่นผัก หรือจะหั่นนิ้วตัวเองฮะ ดูเขียง ดู!”น้องขึ้นเสียงกับผมอย่างไม่เกรง ทำเอาผมรีบก้มลงดู อีกไม่ถึงเซนติเมตรคมมีดจะเข้าเนื้อผมแล้ว “ถ้าพี่ทิวไม่มีสติ ก็ไปนั่งรอเถอะฮะ”
“ไม่เป็นไร พี่ไม่เหม่อแล้วล่ะ โทษทีนะ”ผมยิ้มแหย ๆ ไม่รู้จะแก้ตัวอะไร ยังไง ข้าวเหล่ผมด้วยสายตาที่ไม่วางใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“พี่ทิว บางสิ่งบางอย่างที่ได้ยินหรือได้รับรู้ ก็ไม่ต้องเก็บเอาไปคิดก็ได้นะฮะ”เสียงทุ้มหวานนั้นพูดออกมาโดยไม่มองหน้าผม เอาแต่มองเนื้อหมูที่กำลังหั่นเป็นชิ้นบาง
ผมไม่ได้ตอบรับอะไรไป คนอย่างผมต้องให้น้องที่อายุอ่อนกว่าตั้งหลายปีมาสอนอย่างนั้นเหรอ? น่าขำเกินไปแล้ว
“ไว้ช่วงวันหยุดสัปดาห์หน้าเราไปเที่ยวภูเก็ตกันไหม”ผมเปลี่ยนเรื่องหลังจากที่บทสนทนาขงเราจบลงไปพักใหญ่ และไม่มีใครพูดอะไรออกมา “อยู่แต่ในห้องมันน่าเบื่อเหมือนกันนะ”
“หยุดแค่สามวันเอง ไปใกล้ ๆ ก็พอมั้งฮะ”น้องแย้งออกมา แล้วเดินเอามีดไปล้าง เก็บเข้าที่ของมัน “ไปไกล ๆ เดี๋ยวก็เหนื่อยหรอกฮะ”
“นั่นสินะ... ไปแค่ระยองก็ได้ล่ะมั้ง ไม่ไกลเท่าไหร่”ผมวางแผนในใจใหม่ ตอนแรกว่าจะนั่งเครื่องไปเที่ยวทะเลสวย ๆ แต่ถ้าน้องไม่อยากไปไกล เอาใกล้ ๆ ก็ได้ ก็ดี ผมจะได้พาหนาวไปด้วย ถ้าไปไกล ๆ หนาวก็คงไม่ยอมไปตามเคย “ถ้าไปใกล้ ๆ หนาวก็คงจะชอบ เหมาหาดเป็นส่วนตัวเลยดีกว่า จะได้สนุกกันได้เต็มที่ ข้าวจะชวนเพื่อน ๆ ของข้าวไปด้วยก็ได้นะ พี่ออกให้เองทั้งทริปเลย”
“ผมไม่มีเพื่อนสนิทหรอกฮะ”ใบหน้าเล็กนั้นก้มลงต่ำ คงจะปิดบังความเศร้าเอาไว้ไม่อยากให้ผมเห็น... ผู้ชายไม่มีใครอยากจะอ่อนแอให้ใครดูหรอก “อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลยฮะ พี่ทิวชวนเพื่อนไปเถอะฮะ”
“พี่ขอโทษนะ”ช่วงเวลานี้ทำให้ผมนึกถึงตอนที่ได้เจอลมหนาวครั้งแรก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ แต่หนาวเป็นเด็กที่ค่อนข้างขี้อายคนนึงเลย ขี้แกล้งอีกต่างหาก(แอบแกล้งเพื่อนแบบลับ ๆ ตลอด ไม่มีใครเคยจับได้) ไม่ได้เหมือนตอนนี้ที่นิ่งขึ้นเยอะ แต่นิสัยขี้แกล้งยังคงเส้นคงวาอยู่เหมือนเดิม ตอนที่ผมเจอเขาครั้งแรก แววตาเขาจะแฝงความเศร้าอยู่ตลอด รอบตัวมีเพื่อนอยู่ไม่กี่คน ผมมารู้ที่หลังว่าที่รอบตัวเขาไม่มีเพื่อนเพราะว่าเรียนอ่อน แล้วก็พูดไม่เก่ง ไม่ค่อยเขาหาใคร จับอบรม จับติวไปหลายยกจนดีขึ้นก่อนที่ผมจะจบออกมา หลังจากนั้นก็โอเคขึ้นในหลาย ๆ อย่าง ตอนที่ได้เป็นวินัยผมยังอึ้งเลย เด็กเงียบ ๆ ขี้อายคนนั้นน่ะนะ จะมาเป็นวินัยที่ต้องตะโกนโหวกเหวก
ลมหนาวพิสูจน์ให้ผมเห็นว่าเขาทำได้ และทำได้ดีด้วย
นึกแล้วก็อดที่จะยิ้มไม่ได้... เป็นอีกครั้งที่ผมเอาแต่อยู่ในห้วงคำนึงของตัวเอง โดยมิได้เห็นแววตาที่เศร้าสร้อยและตัดพ้อของใครอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ เลย
ออดดดด
เสียงออดดังลั่นเรียนสติผมให้กลับมามองของตรงหน้า ดีนะที่ผมวางมีดลงจัดผักใส่ตะกร้าแล้ว ฟางข้างเดินไปเปิดประตูทั้งผ้ากันเปื้อนอย่างนั้น
“เฮ้ ทิว กุมาแล้ววว”คนแรกตลอดกับนายมัลติ นั่นคนที่เดินตามหลังมันมาดูคุ้น ๆ แหะ “เจอไอ้น้องวิศทำหน้าเอ๋อ เหรอหราอยู่ข้างล่างเลยหิ้วขึ้นมาด้วย”
“อะไรกันพี่ ผมแค่กำลังคิดว่ามันใช่ที่นี่หรือเปล่าแค่นั้นเอง”ประธานคณะวิศวะหันไปเถียงทันที คิ้วเข้ม ๆ นั่นมุ่นเข้าหากันจนตะพูดเป็นโบสองชั้นละนั่น “ใครจะไปรู้ล่ะว่าประธานคณะแพทย์จะอยู่คอนโดหรูใจกลางเมืองขนาดนี้ ไม่ใช่บ้านเดี่ยวอย่างที่คิดไว้ ผมเลยนึกว่ามาผิดที่ซะอีก”
วันนี้คงได้สนุกกันแน่ เมื่อเฮดหลัก ๆ ของสามคณะมารวมกัน อย่างกับจะประชุมอะไรสักอย่างเลยว่าไหมครับ ฮ่า ๆ
หนาวจะทำหน้ายังไงกันนะเมื่อกลับมาถึงห้องประชุมเล็กแล้วเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตามากันพรึบแบบนี้ ผมเดาว่ามันต้องทำหน้ายุ่งแล้วปิดประตูในทุกคนแน่ ฮ่า ๆ
“เอ้อ พี่ทิว ผมซื้อของสดมาด้วย ให้เอาไว้ไหน”ด้วยความที่เป็นประธานคณะเหมือนกัน ผมกับเขาเลยได้เจอกันบ่อย ๆ เวลาทำงาน ทำให้ค่อนข้างจะสนิทกันไม่น้อย ไม่งั้นไม่มีใครกล้าเรียนผมโดยไม่มีหางเสียงหรอก “อ้าว พี่หั่นของไปแล้วเหรอ โอเค ๆ เดี๋ยวส่วนนี้ผมจัดการเอง”
“หั่นแล้ววางรวมกันนั่นล่ะ เดี๋ยวใกล้ ๆ เวลา คนมากันเยอะ ๆ แล้วค่อยยกไป”ผมหันไปหาข้าวที่ยืนเงียบ ๆ คนเดียว ก่อนที่จะเดินเข้าไปหา “เอ้อ วิศ นี่ ฟางข้าว นิเทศปีสอง อย่าดุอะไรเขาล่ะ รู้ไหม”
“โอเคคร้าบบบบ”วิศตอบรับแล้วหยิบมีดขึ้นมาควง ไม่วายหันมายักคิ้ว หลิ่วตาอย่างกวนโอ๊ยให้ด้วย “คนของพี่ทิวผมไม่ยุ่งหรอกน่า”
“อย่าให้รู้แล้วกัน”ผมส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วดึงตัวข้าวไปที่ห้องนอน ไม่ต้องคิดลึกเลยนะครับ แต่ละคน ผมไม่ทำอะไรน้องหรอกน่า
“พี่ทิว... จะทำอะไรฮะ”ข้าวถามผมเบา ๆ ขณะที่ผมกดตัวน้องให้นอนลงบนเตียง แล้วหันไปดึงผ้าขึ้นมาห่มให้ความอบอุ่น
“นอนพักก่อนนะข้าว ข้าวดูเพลีย ๆ พี่เป็นห่วง”ผมยิ้มบางให้กับน้องชายร่วมห้อง แล้วทิ้งตัวลงนั่งพิงตัวเตียง พร้อมกับหยิบหนังสือมานั่งอ่านเล่น “เดี๋ยวสัดสี่ห้าโมงพี่จะปลุกนะ นอนไปก่อนเถอะ”
แก้มขาว ๆ นั้นขึ้นสีแดงเรื่อ ก่อนที่เจ้าตัวจะมุดลงไปซุกผ้าห่ม ทำให้ผมไม่เห็นหน้าเขาอีก ไม่รู้ว่าเป็นไข้หรือเปล่า เดี๋ยวค่อยไปเอาปรอทมาวัดดู
เฮ้อ อย่าว่าแต่ข้าวเลย ผมก็ง่วงนอนหน่อย ๆ เหมือนกันแหะ... ขี้เกียจอีกแล้วนะทิวไผ่
++++++++++++++++++++++
สอบเสร็จแล้ว มาต่อแล้วค้าาา // ทำหน้าคนรอลุ้นผลสอบตัวใจระทึก
ตอนนี้มันดูเบลอ ๆ TT // มาเบลอด้วยกันนะคะ 5555 อารมณ์ยังค้างอยู่ที่ตัดน้องเลย แหะๆ
