(ต่อ)
วันนี้วันเกิดผม
เป็นวันที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมอาหารช่วยแม่และน้าอรแล้วไปทำบุญที่วัดด้วยกัน นอกจากนั้นยังถือโอกาสทำบุญหาบิดาผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย ถึงแม้ว่ายายซึ่งเพิ่งได้รับอนุญาตออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อวานจะไม่สามารถมาร่วมทำบุญด้วยกันได้แต่ท่านก็ยังอุตส่าห์ตื่นมาให้ศีลให้พรผมตั้งแต่เช้าตรู่
ผมนั่งมองภาพอ่างเก็บน้ำเบื้องหน้าในยามสายหลังจากทำบุญที่วัดเสร็จผมก็ปั่นจักรยานจากบ้านมาเตร็ดเตร่แถวอ่างเก็บน้ำซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดผม อากาศยามสายไม่ร้อนมากนักเพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ใหญ่ ทั้งยังมีลมเย็นที่หอบความชุ่มชื้นจากอ่างเก็บน้ำลอยมาชวนให้จิตใจผ่อนคลายลงได้บ้าง
ผมก้มมองโทรศัพท์ในมือที่มีเสียงเรียกเข้าตั้งแต่เช้า เพราะเพื่อนๆทั้งว่านและแท็คต่างก็โทรศัพท์มาอวยพรวันเกิดกันแต่เช้า ไม่ต่างจากแฮม เต็ปที่ส่งข้อความมาอวยพร รวมถึงเพื่อนสาวพิมพ์กับดาวที่ใช้สื่อโซเชียลรวมอวยพรวันเกิดเช่นกัน ผมกดเข้าไปในสื่อโซเชียลอย่างเฟสบุ๊คที่มีคนแวะเวียนมาอวยพรวันเกิดกันจนเต็มไปหมด ทั้งคนที่สนิทชิดเชื้อและไม่สนิทต่างก็มาแสดงคำอวยพร
ส่วนพี่รหัสผมอย่างพี่ทีแกโทรมาตั้งแต่เที่ยงคืนเมื่อคืนพร้อมกับเล่นกีต้าร์เพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ให้ฟังจนจบ และพอวางสายได้ไม่นานพี่เบียร์ก็โทรมาหลังจากนั้นติดๆ หึ คิดมาถึงตรงนี้ผมก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าคนคู่นี้ทำไมถึงใจตรงกันขนาดนี้ แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไปหรอกเพราะรู้ดีถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ที่มันคลุมเครือซะเหลือเกิน
ทุกคนจำวันเกิดผมได้
ผมดีใจ
แต่
กับมัน มันซึ่งตั้งแต่เช้าวันนั้นที่ผมเหวี่ยงใส่มัน มันก็หายเงียบไปเลยถึงมันจะใช้สื่อโซเชียลรายงานว่าช่วงวันสองวันนี้มันไปทำธุระให้มารดาที่จังหวัดใกล้เคียง แต่ก็แค่นั้นในเมื่อไม่ได้ยินเสียงไม่ได้เห็นหน้าแล้วมันจะได้อะไร
ผมอยากโทรหามัน แต่โทรไปเมื่อวานก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยุ่งๆ ผมเลยไม่อยากกวน ไม่อยากทำให้มันรำคาญ ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้แค่ว่าคำขอโทษที่อยากจะพูดออกไปมันยังคั่งค้างอยู่ภายในใจ
มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัด เหนื่อย และรู้สึกน้อยใจ
รู้สึกแบบนี้อีกแล้ว เป็นแบบนี้อีกแล้ว
ผมยิ้มเหนื่อยก่อนจะนั่งพิงต้นไม้ใหญ่แล้วหลับตาลงจะเพราะอากาศที่เย็นสบายหรือเพราะเมื่อเช้าตื่นตั้งแต่มืดเลยทำให้ผมรู้สึกเพลียๆอยากจะพักสายตา
.......
.......
คิดถึงแทบบ้า
คิดถึงที่สุด
ผมพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกหลังจากเดินตามหามันแถวอ่างเก็บน้ำอยู่ตั้งนานสองนาน ผมทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าแล้วพิจารณาใบหน้าของมันตอนหลับ
น่ารัก...จนอยากจะจรดริมฝีปากแนบแก้มที่นุ่มนิ่มนั่น
น่ามอง...จนไม่อยากจะละสายตาจากมันแม้แต่วินาทีเดียว
อย่างที่บอกว่าในอดีตผมไม่คิดที่มองมันด้วยความรู้สึกพิเศษแบบนี้ แต่วันนี้ความรู้สึกผมกำลังเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปตลอดกาล และไม่มีทางหวนคืนเพราะหัวใจผมมีมันเป็นเจ้าของแล้ว
ใบหน้าที่หลับสนิทดวงตาคู่สวยหลับพริ้ม ริมฝีปากบางเม้มน้อยๆ ลมแรงๆพัดปอยผมให้ตกอยู่ตรงหน้าผากจนปิดบังความงดงามตรงหน้า ผมใช้ปลายนิ้วเกลี่ยไปตามแก้มแล้วเหน็บปอยผมมันทัดหูอย่างแผ่วเบา มันขยับตัวเล็กน้อยท่าทางนิ่วหน้านิดตอนที่ขยับคอไปมาเพราะความเมื่อย
ผมเลยถือวิสาสะสอดมือไปรองคอมันแล้วขยับให้ศีรษะมันซุกซบอยู่ที่อกผมแล้วขยับตัวโน้มร่างเราทั้งคู่นอนราบไปกับพื้นหญ้า มันขยับตัวอีกครั้งซุกใบหน้าที่ซอกคอผมดังนั้นแขนข้างหนึ่งเลยกลายเป็นหมอนให้หนุนนอน มืออีกข้างโอบเอวมันไว้อย่างแนบสนิท
สงสัยจะหลับลึกจริงๆ
มันนอนอมยิ้มลมหายใจยังสม่ำเสมอเป็นปกติ ผมจึงแอบฉวยโอกาสสูดดมแก้มนุ่มนิ่มของมัน
คิดถึงจัง
มันจะรู้มั้ยว่าตั้งแต่วันที่เราทะเลาะกัน แล้วผมต้องหักห้ามใจมากแค่ไหนที่จะไม่มากวนใจ ผมอยากทิ้งระยะเวลาเพื่อให้เราใจเย็นและมีเวลาได้คิด ประจวบเหมาะกับต้องไปทำธุระที่ต่างจังหวัดให้มารดามันเลยติดพันหลายวันดีว่าช่วงนี้เป็นวันหยุดยาวเราเลยไม่ต้องขาดเรียน
แต่ผมคงคิดผิดที่ปล่อยระยะเวลานานจนทำให้มันน้อยใจ
พอไปหาที่บ้านเมื่อเช้าแล้วได้คำตอบจากแม่สาว่ามันคงมาปั่นจักรยานเล่นแถวนี้ ผมนี่แทบจะเหาะตามมาทันที ตอนนี้ผมบอกเลยว่าผมอยากคุยและอยากอธิบายกับมันมากแค่ไหน
อยากให้มันฟัง
อยากให้มันเข้าใจว่าคงไม่มีใครที่ทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้เท่ามัน
......
หืม
ผมพยายามขยับเปลือกตาเห็นภาพเบื้องหน้าคือแผ่นอกของมัน
...มาได้ไง...
ผมทำหน้างงๆ แล้วกรอกสายตามองไปโดยรอบ มันหลับสนิทแต่มือยังโอบเอวผมแน่นเห็นแบบนี้ผมรีบขยับตัวออกจากอ้อมแขนมัน จริงๆแล้วมันไม่ใช่อ้อมกอดที่อึดอัดตรงกันข้ามมันชวนอบอุ่นและปลอดภัย
คงเพราะผมขยับตัวไปมาเปลือกตามันเลยขยับและเปิดขึ้นทันที มันยิ้มกว้างตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นผมมองจ้องอยู่และเป็นผมเองที่รู้สึกประหม่าต้องพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าหนีมัน ผมได้ยินมันหัวเราะในลำคอแล้วขยับมานอนตะแคงซ้อนหลังผมอยู่ แขนข้างหนึ่งของมันขยับท้าวศีรษะตัวเองพร้อมกับที่มันชะโงกตัวมาใกล้ๆใบหูของผม
“ อะไรเล่า” ผมขยับหนีพร้อมกับแกล้งศอกใส่มันไม่แรงนัก
“ ทำไมถึงหนีมาอยู่นี่ได้ ฮึ”
“ ใครหนี เปล่าหนีซะหน่อย”
“ ใครก็ไม่รู้” มันแกล้งกระแซะเข้ามาใกล้ๆชนิดที่ว่าเนื้อแนบเนื้อ “...โกรธกูมากเหรอ” มันถามน้ำเสียงนุ่มนวล
“.......”
“ รู้มั้ย วันนี้กูมีนิทานจะเล่าให้มึงฟังด้วย”
“ นิทานอะไร” ผมทำหน้าไม่เข้าใจเพราะโตจนป่านนี้ใครเขาอยากจะฟังนิทานกัน
“ อยากฟังมั้ยหล่ะ”
“.....” มันคงถืออาการเงียบของผมเป็นคำตอบแล้วจึงขยับรอยยิ้มพร้อมกับเริ่มต้นเล่านิทานที่มันเอ่ยถึง
“ มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นผู้ชายธรรมดานี่แหละ มันโครตงี่เง่าชอบทำอะไรหลายๆอย่างให้คนที่รักมันเสียใจ...” ผมขมวดคิ้วนึกสนใจเรื่องที่มันเล่า “...ทั้งๆที่รู้ว่าถ้ายังทำแบบนั้นคนที่มันรักต้องเสียใจไม่จบไม่สิ้นแต่ก็ยังทำ เพราะอะไรรู้มั้ย...”
ผมเผลอตัวส่ายหน้าตอบมันจนอีกฝ่ายอมยิ้มอย่างเอ็นดู
“...เพราะมันอยากให้คนที่มันรักอยู่เคียงข้างมันแบบนั้นตลอดไป ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดก็ตาม”
เราสบตา
“...จนวันที่มันรู้ใจตัวเองว่ารักคนที่อยู่ข้างๆคนนั้นมาตลอด แต่ทำยังไงเขาก็ไม่เคยเชื่อใจมันสักครั้ง มันไม่โทษใครหรอกเพราะก่อนหน้านี้มันทำลายความรักความเชื่อใจของอีกฝ่ายจนไม่เหลือ”
ผมหันหน้าหนีเพราะเริ่มเข้าใจแล้วว่ามันพูดถึงเรื่องอะไร
“ แต่มันก็อยากให้คนๆนั้นเชื่อใจมันนะ ว่ามันไม่มีใคร หัวใจของมันมีแค่คนๆนั้นคนเดียว”
“ คนเดียวจริงๆ”
มันจรดริมฝีปากที่ขมับผมอย่างแผ่วเบา
“ เต้ย”
“.....”
“ วันนั้นเพื่อนกูมันเล่นเลยเถิดไปหน่อย ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนกูเองเราไม่มีอะไรกัน มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆกูไม่มีเจตนาจะถ่ายรูปกับเขา และไม่อยากให้มึงเสียใจแบบนี้”
“.....”
“ พอตอนกลางคืนผู้หญิงที่โทรหากูคือแฟนของพี่ต๋องพี่รหัสกูเอง เค้าโทรถามเรื่องพี่กูไม่มีเรื่องอื่นที่เกินเลย”
“ ส่วนตอนเช้าวันนั้นเพื่อนกูคนที่ถ่ายรูปด้วยโทรมาถามว่าเคลียร์กับมึงรึยัง มันเป็นห่วงกลัวมึงจะเสียใจและเข้าใจผิด มันรู้สึกผิดจริงๆ”
“ เต้ย”
“ ขอโทษนะ ขอโทษที่ทำให้มึงเสียใจ ขอโทษจริงๆ”
“ อื้ม”
ทุกถ้อยคำที่ผ่านเข้ามาในหูชวนให้หัวใจที่แห้งแล้งกลับชุ่มฉ่ำ
ผมยอมรับว่าผมเชื่อมันสนิทใจ
ผมเชื่อใจมันแล้ว
“ ขอโทษเหมือนกัน” มันเป็นเสียงแผ่วเบาในลำคอผมแต่เชื่อว่ามันได้ยินเพราะมันยิ้มกว้างและลูบหัวผมเบาๆ
“ หลับตาสิ”
“ ทำไม”
“ หลับตาสิเต้ย”
“ อื้ม”
ผมปิดเปลือกตาแต่รู้สึกได้ว่ามันกำลังสวมอะไรบางอย่างใส่คอผมอยู่ พร้อมกับเสียงกระซิบอย่างแผ่วเบาที่ข้างหู
“ แฮปปี้เบิร์ดเดย์” “ ลืมตาสิ”
ผมก้มมองสร้อยคอที่เป็นเชือกป่านธรรมดาแต่ที่น่าแปลกใจคือรูปทรงของเกียร์อันเล็กที่ห้อยแทนจี้ มันเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของคณะวิศวะฯเท่าที่ผมรู้มา
“ มันคือเกียร์ เป็นของสำคัญของเด็กวิศวะทุกคน” สำคัญเหรอ ถ้างั้น ผมทำหน้าตื่นกะจะถอดคืนเพราะมันบอกว่าสำคัญคงเป็นของที่มีค่ามากแน่
“ ทำอะไร”
“ ก็มันสำคัญกับ...”
“ เพราะสำคัญ กูถึงอยากให้คนสำคัญ” มันน่าแปลกมั้ยถ้าใจมันจะสั่นขนาดนี้
มันน่าอายรึเปล่าถ้าผมจะยอมให้มันล่วงเกินริมฝีปากอย่างแนบแน่นแบบนี้
“ เพราะมันสำคัญ กูถึงอยากฝากไว้ ฝากไว้ที่มึงตลอดไป” ผมเงยหน้ารับริมฝีปากหนาที่บดคลึงทั่วขอบปากก่อนจะไล่เลาะสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากผม มันหยอกล้อปลายลิ้นพร้อมกับบดจูบไปทั่วอย่างเอาแต่ใจ
แต่เป็นความเอาแต่ใจที่ผมเต็มใจจะรับ
........
........
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าของโปรแกรมโทรแบบเห็นหน้าอย่างการโทรวีดีโอแบบนี้ ผมสะดุ้งรีบกดรับแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่าใครโทรมา
“ Happy Birthday to you”
หน้าจอมือถือปรากฏภาพบรรดาเพื่อนๆทั้งเต็ป แฮม ว่าน แท็คที่พากันทักทายโบกมือหยอยๆ โดยที่ในมือว่านมีเค้กอันเล็กๆจุดเทียนหนึ่งดอกเรียบร้อยรอการเป่า
“ สุขสันต์วันเกิดนะเต้ย”
ว่านทำเสียงน่ารักพร้อมกับยื่นเค้กมาตรงหน้าจอ
ผมอมยิ้มรับด้วยความเปรมปรีดิ์
หลังจากที่มือเย็นวันนี้มีการเลี้ยงฉลองกันนิดหน่อยจริงๆก็แค่ทานข้าวด้วยกันแล้วมันก็เพิ่งลากลับไปพร้อมครอบครัว และทั้งบ้านก็เพิ่งแยกย้ายกันไปพักผ่อนก็พอดีกับที่เพื่อนๆโทรมา
“ เฮ้ย”
ผมตกใจมองหน้าแฮมที่ร้องเสียงดังและชี้นิ่วใส่ผมพร้อมกับร้องอย่างยินดี
“ อะไรกัน”
ผมมองภาพความวุ่นวายตรงหน้าก่อนที่แฮมจะคว้ามือถือไปครองแล้วเปลี่ยนจากโทรแบบเห็นหน้าเป็นการโทรปกติ
“ เต้ย”
“ หืม มีอะไรรึเปล่า ร้องซะดังเราตกใจหมด” ปลายสายหัวเราะใส่ผมเสียงดังจะแทบจะยกหูออกจากโทรศัพท์
“ ก็คอเต้ย”
“ คอ...ทำไมเหรอ” ผมลองคลำที่คอจนสัมผัสกับสร้อยที่มันสวมให้
“ สร้อยนั่น จ๊อบมันให้มาเหรอ”
“ อื้อ” แค่พูดถึงมันผมก็ยิ้มกว้างหัวใจเต้นสั่นระรัวเหมือนมีใครมาตีกลองอยู่ข้างใน
“ งั้นเหรอ...” ผมไม่รู้ว่าปลายสายแอบยิ้มเหมือนกัน “...เต้ยรู้มั้ยว่าเกียร์มีความสำคัญกับเด็กวิศวะยังไง”
“.....”
“ เกียร์หลายๆอันหน่ะเป็นส่วนประกอบของเครื่องยนต์ที่ทำให้มีการขับเคลื่อนไป เปรียบได้กับความสามัคคีของคนในรุ่นที่จะพาพวกเราก้าวผ่านความยากลำบากของการรับน้องไปได้ เพราะมันสำคัญมันเลยถูกเปรียบให้เหมือนกับหัวใจ กว่าที่เด็กวิศวะจะได้เกียร์มา พวกเราต้องอดทน ต้องพิสูจน์ตัวเองให้รุ่นพี่ยอมรับพวกเราให้ได้ เกียร์หนึ่งอันมาแลกมากับความยากลำบาก พวกเราถึงรักษามันอย่างดีเหมือนกับการรักษาหัวใจของตัวเอง” “ และการที่จะให้เกียร์กับใครไป คนๆนั้นก็ย่อมต้องเป็นคนสำคัญมาก” “ เกียร์ก็เหมือนหัวใจของเด็กวิศวะ การที่ฝากเกียร์ไว้ที่ใครก็เหมือนการฝากหัวใจไว้ที่คนๆนั้น” ผมยืนอึ้ง
เนื้อตัวชาวาบไปหมดทุกสัดส่วน ต่างกับหัวใจที่เต้นเหมือนจะทะลุออกมา แต่ก็รู้สึกอบอุ่นในขณะเดียวกัน
ผมกำสร้อยคอรูปเกียร์เอาไว้เสียแน่นแล้วแนบมันให้ตรงกับหน้าอกที่ด้านซ้ายของตัวเองด้วยความรู้สึกตื้นตัน น้ำตาผมไหลเอ่อล้นขอบตาเต็มไปหมด และเหมือนกับว่าได้ยินเสียงกระซิบตามสายลมมาใกล้ๆใบหู มันเป็นถ้อยคำที่ติดตรึงอยู่ในใจและรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่โอบล้อมรอบๆปาก
“ เพราะมันสำคัญ กูถึงอยากฝากไว้ ฝากไว้ที่มึงตลอดไป” ผมสัญญา
จะเก็บรักษาหัวใจของมันให้ดีที่สุด
***** มาแล้วจ้ามาแล้ว
อิอิ ถามหน่อยว่าจิกหมอนป่ะ ตาร้อนผ่าวม่ะ บอกตรงๆว่าจังหวะนี้อยากได้เกียร์ ฮ่าๆๆๆ

แก้ข่าวนิดนึงที่ว่า มันใกล้จบแล้ว แต่พอไปนั่งนับๆดูอีกตั้งเกือบสิบตอนแหนะ แหะๆ ยังไงติดตามเป็นกำลังใจ
ให้กันไปเรื่อยๆเนอะ

ถามอีกนิดว่ายังมีคนติดตามอยู่มั้ยอ่ะ เห็นเม้นท์ดูเงียบๆไป ถ้าไม่สนุกหรือให้ปรับตรงไหนบอกได้นะจ๊ะ ยินดีรับฟัง
ทุกความคิดเห็นจ้า

สุดท้ายเจอกันตอนหน้าเนอะ บะบาย ฝันดีฝันหวาน ฝันถึงกันด้วยนะ จุ๊บๆๆๆ
