ยกที่ 16 : ไม่เหลือใจ ฟ้าสางแล้ว
บรรยากาศโดยรอบที่ปกคลุมด้วยความมืดมิดกำลังจะถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างยามเช้า
ผู้คนเริ่มออกเดินกันขวักไขว่
ผมกอดอกยืนมองภาพความมีชีวิตชีวายามเช้าแล้วแค่นยิ้มน้อยๆ คุณว่าผมเป็นคนอดทนเก่งรึเปล่าหล่ะ ผมยิ้มอย่างเหนื่อยๆตอบลุงรหัสที่เดินยิ้มมาแต่ไกลพร้อมถุงน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋
“ กินอะไรร้อนๆสักหน่อยมั้ยจ๊อบ”
พี่เบียร์แกะถุงพลาสติกที่บรรจุน้ำเต้าหู้สีขาวซึ่งมีควันพวยพุ่งออกมาชวนให้น่าลิ้มลอง ก่อนจะเสียบหลอดดูดแล้วยื่นให้ผม ใบหน้าสวยนั่นเชิญชวนให้ผมหยิบจับเนื้อแป้งที่ทอดใหม่ๆประกบกันเป็นคู่ดูน่ากิน ริมฝีปากสวยที่ผมนึกชื่นชมกำลังขบกัดเนื้อแป้งพร้อมกับดูดน้ำเต้าหู้ในมือตัวเอง จนผมอดยิ้มตามไม่ได้
...ขอบคุณครับพี่...
...ผมขอบคุณจริงๆ ที่อยู่เป็นเพื่อนผมทั้งคืน...
ใช่ ทั้งคืนจนถึงเช้า ที่เราสองคนนั่งนิ่งๆแล้วแหงนหน้าขึ้นมองไปยังระเบียงที่มีแต่ความมืดมิด ตลอดทั้งคืนที่ไม่มีบทสนทนาแต่ผมรู้ดีว่าพี่ผมกำลังให้กำลังใจผมอยู่เงียบๆ
มันเป็นคืนที่เหน็บหนาว
มันเป็นคืนที่เงียบเหงา
มันเป็นการรอคอยที่ทรมาน แต่ผมเต็มใจจะรอ หึ ผมมันเหมือนคนโง่รึเปล่า
ผมสลัดศีรษะไล่ความมึนงง เพราะรู้สึกว่าผมชักร้อนๆหนาวๆตัวสั่นราวกับจับไข้
“ กินสักทีซิจ๊อบ เดี๋ยวน้ำเต้าหู้ก็เย็นหมดหรอก”
“ ขอบคุณนะพี่”
“ ขอบคุณอะไรวะ” พี่เบียร์ทำหน้างงๆก่อนจะหันไปสนใจของกินตรงหน้า
“ ที่พี่อยู่เป็นเพื่อนผมไง”
“ เหอะ...” พี่เบียร์ทำเสียงในลำคอ “..กูเห็นใจพวกอกหักรักคุดหว่ะ” พูดไปส่ายหัวไป
“ จ๊อบ”
“ ครับพี่”
พี่เบียร์ถอนหายใจก่อนสบตากับผมตรงๆ
“...มึงเป็นคนที่มีความพยายามมากนะ...” พี่ผมยิ้มน้อยๆ
“...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามมึงอย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆก็แล้วกัน” ผมไม่เข้าใจหรอกในสิ่งที่พี่ผมกำลังบอก จึงได้แต่พยักหน้าก่อนจะมองตามพี่เบียร์ที่บุ้ยปากไปทางหนึ่ง “ บทพิสูจน์มึงมาแล้ว”
ผมถอนหายใจมองภาพตรงหน้าแล้วเหมือนคนใจหาย มันเดินออกมาจากลิฟต์พร้อมพี่รหัสมัน แต่เหนือสิ่งอื่นใดข้อมือของมันมีพี่รหัสมันโอบกระชับอยู่ ภาพนั้นเหมือนหมุดที่ตรึงขาผมให้หยุดอยู่กับที่ ไม่ต่างจากมันที่ชะงักไปเหมือนกันที่เห็นผมยืนรอท่าอยู่
ผมรู้สึกว่าภาพตรงหน้าดูพร่ามัว
ผมเริ่มเวียนหัว หรืออาการไข้จะทำพิษผมแล้ว
ผมเห็นเหมือนพี่รหัสมันโอบเอวมันแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม ผมเห็นว่ามันกำลังทำสีหน้าประหลาดใจ
“ มาตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊อบ”
มาเหรอ มาเมื่อไหร่เหรอ เมื่อคืนไง มารอมึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
“ กูเพิ่งมา”
หลังจากพูดจบผมได้ยินเสียงพี่เบียร์สถบอะไรไม่รู้ในลำคอ
‘เพิ่งมาพ่องมึงดิ’ “ กูมารอรับ” มันทำหน้าเจื่อนๆก่อนจะหันไปมองพี่รหัสมัน รุ่นพี่ตรงหน้าเพียงแค่ยิ้มมุมปากแต่ลุงรหัสผมที่ยืนอยู่ข้างๆมีอาการประหลาดคือเบี่ยงหน้าหนีไปทางอื่น ทั้งๆที่เป็นกิริยาซึ่งน้อยครั้งจะได้เห็น
“ เอ่อ”
“ มึงมารอนานแล้วเหรอ”
“ ไม่นาน”
“ งั้นไปเถอะ” มันกำลังจะเดินมาหาผม แต่ติดที่ข้อมือมันมีคนกุมอยู่ซึ่งไม่ใช่ใครนอกจาก “ กลับดีๆนะ ถึงหอแล้วโทรหากูด้วย”
“ ครับพี่”
ผมบอกไม่ถูกว่าอาการเสียดแทงอย่างรุนแรงที่หัวใจที่มันเจ็บร้าวขนาดไหน ผมอยากไปกระชากมันจากอุ้งมือหนาที่กำรอบ อยู่ แล้วผลักอกแกร่งนั่นให้หงายหลังไป
“ จ๊อบ”
ผมสะดุ้ง เพราะได้แต่คิดแล้วยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ใดๆในการหวงห้าม
“ เต้ย”
“ ห่ะ”
มันดูตกใจตอนที่ผมคว้ามือมันมากุมไว้ ผมมองกลับไปเห็นพี่รหัสมันมองอยู่นิ่งๆแต่รอยยิ้มที่มุมปากนั่นทำเอาจิตใจผมร้อนรุ่ม ผมรู้เลยว่าตัวเองกำลังพาลมากแค่ไหน มันพยายามกระตุกแขนผมเพื่อให้ปล่อยพร้อมกับนิ่วหน้าน้อยๆ
“ จ๊อบมึงตัวร้อน”
“.....”
“ จ๊อบทำไมตัวร้อนเป็นไฟแบบนี้” มันเขย่าไหล่ผมเบาๆ
“ จ๊อบ”
“ เฮ้ยจ๊อบ”
“ จ๊อบมึงเป็นอะไร”
เสียงร้องตกใจของผมพร้อมกับนัยน์ตาเบิกกว้างของพี่เบียร์เป็นภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนสติจะดับวูบลง ผมรู้สึกได้ถึงมือของมันกำลังประคองใบหน้าและต้นคอของผมพร้อมกับลูบไล้เบาๆ ผมบ้ารึเปล่าที่ยิ้มออกมาทั้งที่ใบหน้าตัวเองซีดเซียวขนาดไหน ผมบ้ารึเปล่าที่ยิ้มทั้งที่หมดสติเพียงแค่เห็นแววตาห่วงใยของมัน
.........
.........
“ เป็นยังไงบ้างวะ”
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบมือกุมขมับแน่น
“ นี่มันอะไรกันวะ อยู่ๆทำไมไอ้จ๊อบถึงหมดสติไปได้ แล้วเมื่อคืนแม่งก็ไม่ได้กลับไปนอนห้อง”
ไม่ได้กลับห้องเหรอ
ผมเงยหน้ามองท่าทางไอ้เต็ปที่ร้อนรนเป็นห่วงอาการของเพื่อนมัน
“ มึงว่าไอ้จ๊อบไม่กลับไปนอนห้องเมื่อคืนเหรอ”
“ เออดิ กูโทรไปก็ไม่รับ หายหัวไปแม่งทั้งคืน”
หายไปทั้งคืน...หายไปไหนกัน
ผมหันไปสบตากับพี่เบียร์ที่ยืนกอดอกพิงสะโพกกับพยักเก้าอี้อยู่ข้างๆ พี่แกแค่ขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“ นี่มันอะไรกันครับ จ๊อบไปไหนมาเมื่อคืน” ผมถาม
“ นั่นสิ...” คราวนี้ไอ้เต็ปทำหน้ายุ่ง “...แล้วทำไมมันถึงหมดสติแบบนี้”
“ พอเถอะเต็ป”
แฮมรูมเมทของผมที่เพิ่งวิ่งหน้าตื่นมาถึงรีบแยกไอ้เต็ปที่ออกอาการหัวเสีย ก่อนมันจะพึมพำขอโทษพร้อมก้มหัวให้พี่เบียร์ก่อนจะเดินแยกไปนั่งสงบสติอารมณ์อีกด้านหนึ่งกับรูมเมทของผม
“ พี่เบียร์”
“ หืม”
“ เมื่อคืน..” ผมจะถามต่อแต่รุ่นพี่หน้าสวยแค่ยกมือขึ้นเหมือนการห้ามก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“...เมื่อคืนมันไปเฝ้าเต้ยอยู่หน้าคอนโดนั่นทั้งคืน” เฝ้าผม เฝ้าทั้งคืน
ผมเหมือนคนหมดแรง ค่อยๆทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้พร้อมกับหลับตานิ่ง
ผมรู้สึกถึงแรงลูบเบาๆตรงไหล่ก่อนที่จะเปิดเปลือกตาขึ้น
“ มันไม่ใช่ความผิดของเต้ยหรอก กูบอกมันแล้วแต่มันไม่ฟัง ยังดื้อด้านที่จะรอ เต้ยไม่ผิดหรอกในเมื่อเราไม่รู้ ถ้าจะหาคนผิดคงเป็นพี่ที่ไม่ห้ามมันให้จริงจังกว่านี้” ผมถอนใจ
มือผมเอื้อมไปจับมือนุ่มของพี่เบียร์ก่อนที่เราจะยิ้มอ่อนๆให้กัน
“ ผมรู้...” ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ “..มันเป็นคนดื้อแค่ไหน แต่ทำไม” เสียงผมหายไปในลำคอ
“..ทำไมมันถึงทรมานตัวเองแบบนี้ มันไม่ห่วงตัวเองบ้างรึไง” “ เต้ยก็รู้นิ ว่ามีมันห่วงใครมากกว่าตัวมันเอง” ผมปล่อยน้ำตาให้ไหลเอื่อยๆลงที่ไหล่ของพี่เบียร์ โดยมีนุ่มลูบไล้ศีรษะผมอย่างปลอบโยนอยู่นานจนกระทั่งประตูหน้าห้องฉุกเฉินเปิดออก เตียงเข็นคนป่วยจึงถูกเข็นออกมาพร้อมกับเผยให้เห็นใบหน้าคนป่วยที่ซีดเซียวแต่แววตามันกลับมีประกาย และรอยยิ้มที่ส่งให้ใบหน้าซีดดูดีขึ้น พวกผมกรูเข้าไปหาคนที่นอนอยู่บนเตียงที่พยายามจะยันตัวลุกขึ้นแต่ผมดันแผ่นอกมันไว้ก่อน
“ อย่าเพิ่ง”
“ เต้ย”
“ อย่าเพิ่งลุกขึ้น” มันคว้าข้อมือผมไว้แล้วเลื่อนไปกุมไว้ที่หน้าอกตัวเอง “ นอนก่อนเดี๋ยวจะเวียนหัว”
“ เต้ย”
“ฮึ”
“ เต้ย” คงเพราะฤทธิ์ถึงทำให้มันทำตาปรือปรอยคล้ายคนจะหลับไม่หลับแหล่ ผมเลยเลื่อนมือไปลูบแขนมันเบาๆก่อนจะกระซิบที่ข้างหูเพื่อให้มันได้ยิน
“ นอนเถอะนะ ตื่นขึ้นมาแล้วกูมีอะไรจะบอก” มันพยักหน้ารับก่อนจะค่อยๆปิดเปลือกตาเบาๆ
ผมมองตามรถเข็นที่เข็นพามันไปยังห้องพักฟื้นโดยมีพี่เบียร์พร้อมกับเพื่อนมันและรูมเมทผมตามไปติดๆ ก่อนจะหันไปสบสายตากับใครบางคนที่ยืนยิ้มน้อยๆรอท่าอยู่ตรงมุมหนึ่ง
........
........
“ กินอะไรรองท้องก่อน”
“ ขอบคุณครับ” ผมยื่นมือไปรับพร้อมกับกล่าวขอบคุณพี่รหัสตัวเองเสียงแผ่ว
“ พี่”
“ หืม”
พี่ทีพิงแผ่นหลังกับเสาปูนมองไปเบื้องหน้าซึ่งเป็นสวนหย่อมเล็กๆในโรงพยาบาล ท่าทางคนตัวโตดูสบายจนมากเพราะท้าวแขนไปด้านหลังและเงยหน้ามองขึ้นท้องฟ้าแล้วยิ้มน้อยๆ
“ ผม...”
“......”
“ มีอะไรรึเปล่า”
“ พี่เคยโกรธผมบ้างรึเปล่า”
“ ทำไมถึงถามแบบนั้น”
“ ผมเกลียดตัวเอง...” ผมก้มหน้านิ่งกำขนมปังและขวดนมสดที่ได้จากรุ่นพี่เสียแน่น “...พี่ดีกับผมขนาดนี้ แต่ผมไม่สามารถตอบแทนความรู้สึกอย่างที่พี่ต้องการได้เลย”
“ เต้ย”
“ ครับ”
ใบหน้าคมคายของพี่รหัสเลื่อนเข้ามาใกล้ๆ “ มึงอยากตอบแทนกูใช่มั้ย” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ พี่แกเลยเลื่อนมือมาหยิบของว่างในมือแล้วบรรจงแกะถุงขนมปังให้แล้วยื่นขนมปังเนื้อนุ่มกลิ่นชวนลิ้มลองมาให้เบื้องหน้า พร้อมกันนั้นก็ฉีกพลาสติกที่หุ้มหลอดออกและเจาะหลอดใส่ให้พร้อมดื่ม
“ กินสิ”
“.....” ผมนั่งนิ่งมองกิริยานุ่มนวลเต็มไปด้วยความเอาใจใส่ที่อีกฝ่ายตั้งใจทำให้แล้วน้ำตาที่คิดว่าจะกลั้นเอาไว้ได้ก็ไหลริน
“ กินสิ กินแล้วมึงต้องยิ้มให้มากๆรู้มั้ย”
ผมคงบ้า
ในเมื่อผมนั่งกินของที่อีกฝ่ายตั้งใจคัดสรรมาให้พร้อมกับนั่งร้องไห้ไป
“ กินดีๆสิเต้ย”
พี่ทีดุเบาๆ แต่มือก็บรรจงหยิบทิชชู่ซับน้ำตาที่ไหลนองเต็มหน้าของผม
“ พี่”
“.....”
“ ไม่เป็นไรนะ อย่าร้อง”
ผมโผเข้ากอดคนตรงหน้าพร้อมกับซุกใบหน้าไปที่ไหล่ของอีกฝ่าย โดยมีมือข้างหนึ่งลูบไล้แผ่นหลังพาให้ความทุกข์ทรมานใจสลายไป ทุกครั้งที่อยู่ใกล้กันคนตรงหน้ามีแต่ความสบายใจให้กันตลอดเวลา
“ เต้ย”
“ ฮือๆๆๆๆๆ พี่ พี่ที”
“ ยิ่งมึงทำแบบนี้ รู้มั้ยว่ามันทำให้กูตัดใจลำบาก” น้ำเสียงแผ่วเจือไปด้วยความน้ำเสียงล้อเลียน
“ ผมขอโทษ”
“ เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอก มันเป็นเรื่องของโชคชะตา” พี่ทีถอนหายใจ “...แต่โชคชะตานั้นแค่ไม่เข้าข้างคนอย่างกูเลยสักครั้ง”
“ ผมขอโทษ”
“........”
“ มึงหล่ะจะโกรธกูมั้ย” พี่ทีกระซิบถามข้างหูผมเบาๆ
“ โกรธอะไรครับ ทำไมผมต้องโกรธ”
“ โกรธที่กูยังตัดใจจากมึงไม่ได้จริงๆ”
“ พี่..” ผมเงยหน้าจากอกแกร่งที่ตัวเองซุกซบอยู่ พี่ทียิ้มน้อยๆก่อนจะลูบหัวผม “...กูไม่ปฏิเสธหรอกว่ายังทำใจไม่ได้ เวลาแค่คืนเดียวไม่ทำให้กูตัดมึงจากใจได้หรอกนะ มึงหล่ะอย่าบังคับให้กูต้องทำในสิ่งที่ยากลำบากเลยได้มั้ย”
“.....” ผมพยักหน้ารัวๆพร้อมกับปาดน้ำตาไปด้วย
“ แปลกเนอะคนเราบทจะตกหลุมรักกันเพียงแค่สบตากันแค่เสี้ยววินาทีก็รักกันได้แล้ว แต่พอจะตัดใจทำไมมันยากเย็นเหมือนว่าต้องใช้เวลาทั้งชีวิต” “.....”
“ มันยากมากเลยนะ” พี่ทีพูดยิ้มๆ มือหนึ่งโอบบ่าผมไว้แล้วลูบแผ่วๆ
“..กูเคยเป็นแบบนี้เมื่อหลายปีก่อน กูเจ็บเหมือนจะตาย ในหัวกูเต็มไปด้วยคำถามว่าทำไม ทำไมเขาต้องหันหลังให้กู กูไม่ดีพอให้เขารักหรือไง วันเวลาตอนนั้นผ่านไปด้วยความทรมาน กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านมันมาได้ยังไงจนวันที่กูเจอมึง...” พี่ทีเกลี่ยนิ้วไปตามใบหน้าผมออย่างแผ่วเบา “ มึงเหมือนใครบางคนที่กูเคยรัก มึงสดใสร่าเริง มึงเป็นตัวของตัวเอง มึงทำให้กูอยากหันหลังให้ชีวิตเดิมๆ แต่แล้ว...” เสียงพี่ทีหายไปในลำคอ ใบหน้าหล่อเหลามองไปเบื้องหน้าแล้วถอนหายใจ
“ ผม ฮึก ขอ โทษ”
ผมก้มหน้าลงมือกำชายเสื้อรุ่นพี่เอาไว้แน่น
“ ไม่เป็นไรเต้ย อย่างน้อยครั้งนี้กูก็ไม่ทุรนทุรายเจ็บปวดทรมานเหมือนครั้งนั้น ตรงกันข้ามถึงกูจะเจ็บแต่มันก็เต็มไปด้วยความสุข อย่างน้อยกูก็ดีใจที่ได้รักมึง”
“ พี่ครับขอบคุณที่ดีกับผมมาตลอด”
“ ขอบคุณมึงเหมือนกันที่เข้ามาในชีวิตกู”
“ เต้ย”
“ ครับ”
“ ถ้ากูอยากจะเห็นแก่ตัวสักครั้ง...” ใบหน้ารุ่นพี่เลื่อนมาจนใบหน้าเราอยู่ในระดับเดียวกัน “...มึงจะโกรธกูมั้ย”
...ไม่เลย...
...ผมไม่เคยคิดที่จะโกรธพี่เลย...
ผมปิดเปลือกตานิ่งตอนที่รับรู้ว่าริมฝีปากหนาของพี่ทีกำลังทาบทับริมฝีปากของผม
เราจูบกัน
จูบที่มากกว่าครั้งไหนๆ เมื่อลิ้นร้อนๆค่อยๆแทรกไปตามกลีบปากและไล่เลาะตามแนวฟันไปเรื่อยๆ ผมเอนศีรษะไปตามทิศทางมือของอีกฝ่าย ลิ้นของพี่ทีกำลังคลอเคลียลิ้นของผมไม่ห่างๆ รุ่นพี่หนุ่มกำลังไล่บดและเบียดรสจูบไปทั่วทั้งปาก
จูบที่ไม่เร่งเร้า
จูบที่นุ่มนวล แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวล
จูบที่เนิ่นนาน เพราะส่งผ่านความรู้สึกจากใจ
จูบที่ตรึงตา
จูบของพี่ที
..จูบ..
ผมค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นเมื่อรับรู้ได้ว่าริมฝีปากที่ร้อนผ่าวผละออกไปแล้ว
พี่ทีจูบซับไปที่ข้อมือผมซึ่งมีเชือกป่านที่คนตรงหน้าเคยซื้อและใส่ให้ บัดนี้ของดังกล่าวยังคล้องติดข้อมืออยู่ราวกับเป็นของสำคัญ “ ขอบคุณ ขอบคุณมากนะเต้ยที่ยังเก็บมันไว้”
“ ขอบคุณพี่เหมือนกัน”
แล้วริมฝีปากหนาก็ทาบทับกลีบปากผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เพียงแค่สัมผัสอย่างแผ่วเบา
ถ้าหากว่ามีใครอยู่แถวนั้นแล้วมองจากมุมสูงคงจะเห็นว่า ในด้านหนึ่งของมุมสวนหย่อมมีร่างสูงใครบางคนกำลังยืนตัวสั่นมองภาพการแสดงความรักของคนทั้งคู่ด้วยแววตาปวดร้าว ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลนองเต็มหน้า มือสวยกำลังปิดปากเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น และเมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถทำได้อย่างที่คิด ร่างนั้นจึงเดินโซซัดโซเซไปให้ไกลจากบริเวณนั้นก่อนที่ร่างบอบบางจะทรุดตัวลงกับพื้นราวกับคนหมดเรี่ยวแรงและสะอื้นไห้อย่างดังเหมือนคนใจจะขาด
ไม่ต่างจากอีกมุมหนึ่งของสวนหย่อมร่างสูงซึ่งอยู่ในชุดโรงพยาบาลและตรงบริเวณมีเลือดค่อยๆไหลซึมจากปากแผลซึ่งเป็นรอยเข็มที่ถูกเจาะสายน้ำเกลือ แต่บัดนี้สายน้ำเกลือนั้นถูกดึงออกแล้ว
........
“ จ๊อบ”
“ มึง...”
ผมรู้ตัวดีว่าเสียงที่เปล่งออกไปมันระโหยโรยแรงมากแค่ไหน สายตาผมมองผ่านไหล่มันไปเห็นแผ่นหลังของพี่รหัสมันที่เดินลับออกไปแล้ว
เต้ยมันทำหน้าตกใจเมื่อหันกลับมาเห็นผมยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ สายตาของผมคงแสดงความรู้สึกอย่างชัดเจน
“ มึงเห็น...” เสียงของเต้ยติดอยู่ในลำคอ
ผมยกมือขึ้นเป็นการห้ามไม่ให้มันพูดต่อ
“ นี่ใช่มั้ยคือสิ่งที่มึงจะบอกกู” “ จ๊อบ มันไม่ใช่”
“ นี่ใช่มั้ย”
ผมเหมือนคนไม่มีสติ
ผมเจ็บเหมือนจะตายตอนที่เห็นว่ามันจูบกับพี่รหัสมัน
ผมเห็นว่ามันแสดงสีหน้ายังไงตอนที่อยู่กับพี่รหัสมัน
นี่ใช่มั้ย
ผมแค่นยิ้มน้ำตาไหลนองเต็มหน้าส่วนมันหน้าซีดบางสั่น มือมันเอื้อมมาหมายจะจับข้อมือผมที่มีเลือดไหลเต็ม
“ จ๊อบมึงเลือดไหล”
“.....” มันเขย่าแขนผมเบาๆ “ ไปทำแผลก่อน ฮึก ไปทำแผลก่อนแล้วค่อยคุยกันได้มั้ย”
ผมมองเลือดที่กำลังไหลเอื่อยๆด้วยความนิ่งเฉย มันเป็นเลือดที่ไหลออกมาเพราะผมดันดึงเข็มน้ำเกลือออกเพราะแค่ต้องการออกมาตามหามัน ผมบ้าใช่มั้ย ที่ตื่นมาแล้วไม่เห็นมันจนต้องบ้าวิ่งออกมาตามหาและสายน้ำเกลือมันเกะกะผมเลยดึงออก
ผมกลัว
ผมกลัวว่ามันจะหายไป เลยต้องออกมาตามหา
แล้วก็เห็น
“มันจูบกับพี่รหัส” ภาพตรงหน้าดูเลือนรางเพราะน้ำตาที่ไหลจนกลบหน่วยตาผมไปหมด
“ จ๊อบ ขอร้อง กูขอร้องไปทำแผลก่อน ฮึก” มันร้องไห้มือก็สาละวันเอาผ้าเช็ดหน้ามากดปากแผลให้ผม น้ำตามันไหลนองเต็มหน้าไปต่างจากผมเลย
“ เต้ย..” เสียงผมสั่น
“...กูรู้แล้ว รู้แล้วว่ารักที่คนที่ไม่มีใจมันเจ็บขนาดไหน” “ จ๊อบ ไม่ใช่ ฟังกูก่อน”
ผมโบกมือปฏิเสธพร้อมกับทุบที่หน้าอกตัวเองแรงๆ
“ กูเจ็บ แม่งเจ็บเหี้ยๆ” “ จ็อบ ฮึก ฟังก่อน”
“ โอ้ย” ผมทำอะไรลงไป
“ ไอ้เหี้ยมึงทำอะไรเพื่อนกู”
ผลั่ก ไอ้แท็คมันโผล่มาจากไหนไม่รู้ชกเข้าที่ใบหน้าผมอย่างจัง
“ อย่าแท็ค อย่า”
เต้ยมันร้องห้ามเพื่อนมันเสียงดังน้ำตามันไหลนองเต็มหน้า เนื้อตัวมันสั่นไปหมดและเหนือสิ่งอื่นใด หางคิ้วมันกำลังมีเลือดไหลซึม มันเลือดไหลเพราะผม ผมผลักมันจนมันเซไปชนกับกระถางต้นไม้
ไอ้เหี้ยจ๊อบมึงทำอะไรลงไป
ผมแทบจะถลาไปหามันแต่ไอ้แท็คผลักอกจนเซออกมา เต้ยมันกำลังร้องไห้เพราะผม มันร้องไห้เพราะผม
แค่เห็นน้ำตามัน ผมก็ใจจะขาดแล้ว
“ เต้ย เต้ย กูขอโทษ”
มันเจ็บเพราะผม
แค่เห็นผมก็อยากจะชกหน้าตัวเองแรงๆ มันก้มหน้านิ่งมีเพื่อนมันกำลังยืนบังเพื่อไม่ให้ผมเข้าใกล้
“ เต้ย เจ็บมากมั้ย”
ผมถามแต่มันแค่ส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับสะอื้นจนผมอยากจะโอบกอดไหล่มัน
“ อย่าเข้ามาใกล้เพื่อนกู” ไอ้แท็คชี้หน้าผมก่อนจะหันดูเพื่อน
“ ขอโทษ”
“....”
“ กูขอโทษ”
เต้ยมันถูกไอ้แท็คกระตุกแขนหนีไปอีกทาง ผมไม่มีแม้แต่โอกาสจะร้องห้ามในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นผมเป็นคนผิด ผมใจร้อน และความใจร้อนของผมมันทำร้ายคนที่ผมรัก
“ โธ่เว้ย”
ผมตะโกนสุดเสียง
ผลั่กๆๆๆ ผมกระหน่ำมือข้างที่ผลักคนที่ผมรักให้กระแทกกับพื้นปูน
มือข้างนี้ไง
มือนี้ไงที่ทำร้ายคนที่ตัวเองรัก
ผมชกมือคู่นั้นกับพื้นปูน ชกอยู่อย่างนั้นจนเลือดเริ่มไหลอาบข้อนิ้วมือ
“ ขอโทษเต้ย กูขอโทษ”
“ เฮ้ย มึงทำอะไร พอแล้ว”
ไอ้เต็ปกับแฮมวิ่งมาห้ามก่อนคว้ามือข้างที่กระหน่ำชกพื้นปูนจนเลือดอาบ
“ มึงทำบ้าอะไรจ็อบ”
“ ปล่อยกู”
“ มึงเป็นบ้ารึไง ถึงทำร้ายตัวเองแบบนี้”
“ มันสมควร กูสมควรแล้ว” ผมพยายามสะบัดตัวให้หลุด
“ มือข้างนี้ของกูทำร้ายคนที่ตัวเองรัก กูมันเลว กูทำให้เต้ยต้องเจ็บตัว” “ พอแล้วจ๊อบ พอแล้วมึงทำแบบนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร มึงไม่รักตัวเองก็ควรแคร์ความรู้สึกคนรอบข้างมึงบ้าง”
ผมก้มหน้านิ่ง
ผมก้มมองมือตัวเองแล้วปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเงียบๆ
ขอโทษเต้ย กูขอโทษ**** มาแล้วๆ โทษทีค่ะที่มาช้ามาก คอมค้างอ่ะ ดีว่าเซฟไฟท์เวิล์ดไว้ไม่งั้นเค้าคงนั่งน้ำตาร่วง

ก่อนอื่นหลบตีนแปรบ ฮ่าๆๆ ที่ทิ้งสปอยไว้คงทำให้หลายคนคิดมากเนอะ เค้าไม่ได้ตั้งใจจริงจิ้ง ฮ่าๆๆ
สำหรับตอนนี้ที่ลงเป็นครึ่งแรกนะจ๊ะ ทิ้งระยะให้นักอ่านได้หายใจหายคอสักวันสองวันก่อน
ระหว่างรอครึ่งหลังนี่ ไปเตรียมกำหนดลมหายใจดีๆ และตอนหน้าเตรียมทิชชู่ไว้ให้มั่น โอเค้

....มีคนถามว่าจบ Happy รึเปล่า ตอบเลยว่าจบ Happy ค่ะ แต่จะถูกใจหรือเปล่าก็แล้วแต่ความชอบส่วน
บุคคลเนอะ มันขึ้นอยู่กับว่าจบแบบมีความสุขกับใคร ฮ่าๆๆ (ตอบไม่เคลียร์อีกแระ น่าตบมั้ยค่ะ

)ฮ่าๆ