“ ชิบหายแล้ว”
“ แม่งเลือดสาดเลย โคตรน่ากลัว”
“ สงสารพี่ทีชะมัด”
พี่ที พี่ทีงั้นเหรอ
ชื่อที่คุ้นเคยซึ่งหลุดจากปากของนิสิตสองสามคนซึ่งวิ่งตึงตังตัดหน้าผมไปนั่นทำให้ผมต้องหยุดปลายเท้าที่กำลังก้าวลงจากตึกคณะเพื่อมุ่งหน้าไปห้างมาบุญครองสถานที่นัดหมายกับไอ้จ๊อบซึ่งอยู่ตรงข้ามกับคณะไม่ไกลนัก
“ พี่ทีเป็นอะไรเหรอครับ”
“ มันหัวแตกหน่ะ”
ห่ะ
ไม่ต้องรอฟังคำอธิบายเมื่อเห็นร่างสูงของพี่รหัสเดินเดินกุมศีรษะซึ่งมีผ้าเช็ดหน้าซับรอยเลือดที่ไหลซึมออกมาเป็นวงกว้างสีแดงฉาน ผมมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจก่อนจะถลาไปหาคนเจ็บที่ดูยิ้มรับด้วยท่าทางชิวๆ
“ พี่ที เป็นอะไรมากรึเปล่าเนี่ย”
“ หัวแดกนี่มึงคิดว่าเจ็บมั้ยหล่ะ” ยังมีหน้ามากวนอีก ผมถอนหายใจผมภาพคนตรงหน้าที่ดูชิวเหรอเกินกับสภาพตัวเองทั้งที่เลือดอาบหัวยังจะยิ้มกริ่มผิดกับใบหน้าที่เริ่มขาวซีด
“ รถมาแล้วไอ้ทีไปโรงบาลกัน”
เสียงเพื่อนที่แกเรียกพอดีกับที่ซีวิคคันขาวจอดสนิทอยู่ตรงหน้า จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ที่ผมผมแทรกขึ้นรถตัวตามไปพี่ทีไปติดๆ เพื่อนสนิทพี่แกที่ผมพอรู้จักสองสามคนมองยิ้มๆก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไป
“ ไปทำยังไงถึงหัวแตกอย่างนี้หล่ะครับ”
“อุบัติเหตุนิดหน่อย” พี่ทีตอบก่อนจะพิงศีรษะไปเบาะรถแต่มือยังกุมผ้าเช็ดหน้ากดรอยเลือดที่ปากแผล ดวงตาที่เคยส่องสว่างหรี่ลงราวกับเหนื่อยล้าเห็นแบบนี้แล้วผมอดจะตกใจไม่ได้
“ พี่ครับ”
“......”
ผมค่อยๆประคองศีรษะพี่ทีที่ส่ายไปมาให้แนบลงกับตักตัวเองแล้วจัดการกดแผลให้แทน ดังนั้นมือที่เปื้อนเลือดของพี่ทีทั้งสองข้างจึงว่างอยู่ ว่างชนิดที่ว่าจับยัดมือผมข้างว่างไปกุมเบาๆ
“ เวียนหัวหว่ะ”
“ เจ็บมากเหรอครับ...” พี่ทีไม่ตอบแต่ยิ้มน้อยจนผมแปลกใจ คนอะไรเจ็บจะตายยิ้มอยู่ได้ “...เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้วพี่ อดทนหน่อยนะ”
“ ไม่อยากให้ถึง”
“ พี่ว่าอะไรนะ”
“ ไม่อยากให้ถึง...” พี่ทีพูดยิ้มๆ ก่อนจะบีบฝ่ามือผมเป็นคำตอบ
“...อยากให้มึงกุมมือนานๆ” “.....”
ผมไม่ได้ตอบอะไรหรอก แต่เพื่อนพี่แกที่นั่งอยู่ในรถร่วมเหตุการณ์นี่สิดันหัวเราะร่วน
หลังจากส่งพี่ทีถึงมือหมอแล้วผมและบรรดาเพื่อนพี่เค้าก็ทรุดตัวนั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ในช่วงเวลาที่รอคอยให้หมอเย็บและทำความสะอาดแผลให้ผมจึงได้รู้จากปากเพื่อนๆพี่ทีว่า อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากบอร์ดที่ตั้งอยู่ตรงทางเดินดันล้มลงมาเพราะแรงลมแล้วบังเอิญว่าความซวยดันมาตกที่พี่รหัสผมที่เดินไปแถวนั้นพอดี ฟังจากที่เล่านี่พี่เค้าไปช่วยบังบอร์ดที่จะล้มใส่รุ่นน้องผู้หญิงคนหนึ่งตัวเองเลยเจ็บแทน
ผมฟังๆแล้วอดเสียวแทนไม่ได้นี่ถ้าบอร์ดมันล้มใส่เต็มๆพี่ทีคงไม่มีโอกาสได้เดินเหินแบบนี้หรอก ผมมองเรื่อยเข้าไปในห้องฉุกเฉินก็พอดีกับที่สายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่แขวนอยู่
“ ไปดูหนังกันมั้ย”
“ กูเลิกเรียนบ่ายสามโมง” ...ชิบหาย... ผมรีบควักมือถือออกมาก่อนจะร้อนรนกดโทรออกไปยังหมายเลขที่คุ้นเคยรอโทรอยู่หลายนาทีก็ไม่มีคนรับ ผมถอนหายใจก่อนจะกดโทรออกเบอร์เดิมที่มีสัญญาณแต่กลับไม่มีคนรับสายเช่นเดิม ผมกดโทรออกอยู่อย่างนั้นหลายรอบก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบหน้าโมงเย็นแล้ว สุดท้ายเมื่อไม่มีคนรับโทรศัพท์ผมจึงตัดสินใจส่งข้อความไปบอกมัน
...กูมีธุระด่วน ขอโทษหว่ะ วันนี้คงไปช้าหน่อย ถ้ามึงมีธุระกลับก่อนก็ได้นะ... หลังจากส่งข้อความเสร็จแล้วผมก็นึดตะหงิดๆในใจ ว่าแต่วันนี้ผมลืมอะไรไปรึเปล่า
ผมพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกพอดีกับที่พี่ทีซึ่งมีผ้าก็อชพันรอบหัวเดินยิ้มเผล่มาแต่ไกล ผมจึงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะสาวเท้าเข้าไปไถ่ถามอาการคนตรงหน้า
“ ไปรับยาแล้วกลับบ้านพักผ่อนได้แล้วพี่”
“ อืม”
พี่ทีหันไปพูดอะไรไม่รู้กับเพื่อนแก ผมจึงเดินไปรับยาตรงช่องจ่ายยาพร้อมกับฟังเภสัชกรอธิบายวิธีการใช้งานอย่างตั้งใจ ผมมองป้ายชื่อซึ่งมีคำนำหน้าว่า ภก. แล้วอดยิ้มไม่ได้ สักวันหนึ่งผมก็ต้องมาทำหน้าที่แบบนี้เช่นกันและผมก็หวังว่าจะได้ใช้วิชาความรู้ในการดูแลคนไข้
“ เหม่ออะไรวะ”
“ เปล่าพี่”
“ งั้นกลับ”
“ ครับ งั้นกลับไปกินข้าวกินยาแล้วพักผ่อนเอยะๆนะพี่ ผม เอ่อ ขอตัว...” ผมยื่นถุงให้ให้อีกฝ่าย แต่ติดที่พี่ทียึดต้นแขนผมไว้เบาๆ
“ กูอยากกินข้าวต้ม”
“ ห่ะ”
“ ไปกินเป็นเพื่อนหน่อย”
“ ....” ใบหน้าคนเจ็บมีแววออดอ้อนจนผมต้องเผลอพยักหน้ารับอย่างเห็นใจไม่ได้ “ ครับ”
ตอนที่พี่ทีเดินไปสั่งข้ามต้นเจ้าอร่อยในซอยเล็กๆตรงหน้าคอนโดแถวพญาไทนั่น จึงทำให้ผมได้มีโอกาสควักมือถือขึ้นมาดูอีกครั้ง หน้าจอที่มืดสนิทบอกให้รู้ว่าไม่มีการติดต่อกลับจากคนที่ผมส่งข้อความไปหา
...ไม่ต้องรอแล้วนะ กูไปไม่ได้แล้วจริงๆ... ผมส่งข้อความไปอีกครั้งพร้อมเหลือมองนาฬิกาข้อมือตัวเองที่บอกเวลาทุ่มกว่าแล้ว ป่านนี้มันคงไม่รอผมแล้วมั้ง ผมถอนใจปลงๆรู้สึกผิดที่เป็นคนผิดนัดเอง...ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน...
“ ข้าวต้มข้อไก่”
พี่ทีตึงสติกลับมาด้วยวางชามข้ามต้มน่าทานที่อุดมไปด้วยเครื่องครบครันชวนน้ำลายสอ ก่อนจะทำหน้าเชิญชวนจนผมอดหัวเราะตามไม่ได้ นั่นจึงทำให้พี่ทีผสมโรงหัวเราะไปกับผมด้วยจนแกต้องกุมศีรษะที่พันผ้าไว้เพราะดันขำจนสะเทือนถึงแผล
“ เชี่ยเจ็บ” พี่ทีบ่นหน้ายู่กุมหัวทำหน้าเบ้
“ อยากเป็นพระเอกนักนี่” ผมแซวกลับเพราะรู้มาว่าสาเหตุที่เจ็บตัวเป็นเพราะทำตัวเป็นฮีโร่ไปช่วยคนอื่น “...คราวนี้สาวรุมกรี๊ดยิ่งกว่าเดิมแน่”
“ ธรรมดาของคนหน้าตาดี”
“ พี่นี่หลงตัวเองเนอะ”
“ แล้วมึงคิดจะหลงบ้างป่ะ” รุ่นพี่ตรงหน้าถามผมยิ้มๆเหมือนถามดินฟ้าอากาศเพราะดูท่าทางแล้วพี่แกไม่ได้จะเอาคำตอบอะไร ผมจึงเสตักน้ำซุปเข้าปากไม่ตอบอะไร
“ กูรู้...” พี่รหัสผมพูดขึ้น “...สถานะกูตอนนี้แม่งไม่ต่างจากพระรองเกาหลีเลยหว่ะ” พูดเองขำเองจนผมพ่นลมหายใจแล้วยิ้มตาม
“ พี่หล่อขนาดนั้นเลย”
“ ก็พอตัว”
พูดแล้วยักคิ้วอีกแหนะ “ ถ้าพี่อยากเป็นแค่พระรองก็เอาเถอะ ผมไม่ว่าอะไร”
“ อ้าว แม่งตัดโอกาสกูซะงั้น” พี่ทีค้อนประหลับประเหลือกผิดกับบุคลิกจนผมขำน้ำตาเล็ด
“ หึ”
เราต่างคนต่างหัวเราะก่อนจะหันไปใส่ใจกับชามข้าวต้มตรงหน้า ดูท่าพี่ทีแกจะเจริญอาหารเพราะตักซดไปตั้งสองชามก่อนจะทำหน้าฟินลืมเจ็บแผลไปเลย ตอนที่กำลังจะเก็บตังค์นี่แหละที่พี่รหัสผมควักๆล้วงๆแถวกระเป๋ากางเกงอยู่นานสองนาน
“ ชิบหายลืมโทรศัพท์ไว้บนรถไอ้พวกนั้น”
พี่ทีบ่นตอนที่ควักแบงค์มาจ่ายค่าอาหาร แต่ปฎิกิริยาที่เกิดขึ้นกับผมราวกับมีอะไรพุ่งเข้ามากระแทกใจเต็มๆ
...ลืมโทรศัพท์... “ กูลืมโทรศัพท์ไว้ที่คอนโด” บทสนทนาระหว่างมันกับไอ้เต็ปสว่างวาบขึ้นมาในหัวผมทันที
มันลืมมือถือ งั้นก็แสดงว่า ทั้งข้อความและสายเรียกข้าวของผม มันคงไม่มีทางรู้
ไม่รู้
และหวังว่ามันจะไม่รอผมอยู่หรอกนะ
ผมยืนอึ้ง
“ คือพี่ ผม..”
“ ว่าไง”
“ ผมกลับก่อนนะพี่”
พี่ทีขมวดคิ้วนิดๆก่อนจะยิ้มเรื่อยๆ “ ถ้ามึงรีบมากควรไปบีทีเอสนะ ไปรถเมล์ช่วงนี้รถมันติด”
พูดจบพี่แกก่อนบุ้ยปากไปในเส้นทางลัดที่เชื่อมไปถึงทางขึ้นบีทีเอส
.........
.........
มันรอผมจริงๆ
มันยืนรอผมอยู่หน้าโรงหนังจริงๆ
บรรยากาศหน้าโรงหนังตอนเกือบสี่ทุ่มแทบจะไม่มีคนแล้ว ร้านอาหารที่เปิดบนชั้นนี้ก็ปิดหมดแล้ว จะเหลือก็แค่พนักงานขายตั๋ว กับวัยรุ่นผู้หญิงอีกสองคนยืนคุยโทรศัพท์กันอยู่และมันที่กำลังยืนมองตารางหนังเขาใหม่ มันยืนมองอยู่อย่างนั้นแล้วถอนหายใจเบาๆ
แต่ท่าทางแบบนี้ทำให้ผมถึงกับพูดไม่ออก
“ นี่แฟนเค้ายังไม่มาอีกเหรอ เห็นนั่งรอตั้งแต่บ่ายสาม” เสียงบทสนทนาของวัยรุ่นสาวสองคนที่กำลังเดินผ่านผมไปพร้อมกับพยักเพยิดไปยังทิศทางที่มันยืนอยู่นั่นทำเอาผมยืนอึ้งใจสั่นระรัวไปหมด แขนขาชาหัวสมองก็มึนเบลอได้แต่เดินอย่างเชื่องช้าลากขาเข้าไปหยุดอยู่เบื้องหลังมัน และเหมือนมันจะรู้ตัวว่าผมมายืนอยู่ข้างหลัง มันผงะนิดๆตอนที่เห็นผมก่อนจะยิ้มเจื่อนๆให้
“ มึงมาช้า”
น้ำเสียงมันไม่มีแววตัดพ้อหรือโกรธเคืองใดๆ ตรงกันข้ามมันพยายามทำเสียงให้ร่าเริงก่อนจะยิ้มกว้างทั้งที่แววตาสะท้อนแต่ความเจ็บปวด
“ กู”
“ รอบสุดท้ายฉายไปแล้วคงไม่ทัน กลับเถอะ” มันแตะศอกผมให้ออกเดิน มือมันสั่นเทาและเย็บเฉียบ ใบหน้าด้านข้างมันขาวซีด
“ แต่มึง”
“ ไม่เป็นไร กูไม่เป็นไร”
ไม่เป็นไรงั้นเหรอ
ไม่เป็นไร ทำไม
หางตาผมเห็นตั๋วสองใบในมือมันที่ยับยู่ยี่จนมองแทบไม่ออกว่ามันเคยเป็นอะไรมาก่อน
มันทำเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ทำไมแผ่นหลังมันงองุ้มราวกับผู้พ่ายแพ้จนผมเจ็บชาไปหมดไม่ต่างกันเลย
****มาแล้วๆ เพิ่งหายหวัดจ๊ะ แต่เป็นโรคใหม่คือปวดหลังแทน

วันนี้มาเอาใจแม่ยกอิจ๊อบซะหน่อย ทีมจ๊อบว่าไงจ้า
ช่วงนี้ต้องเร่งทำคะแนนซะหน่อย เพราะดูเหมือนพี่ทีแสนดีจะนำไปหลายขุมแล้ว หุหุ
เพิ่งเห็นว่ามีคนเอาเรื่องนี้ไปแนะนำในบอร์ดนิยายที่แนะนำด้วย อิอิ ขอบคุณมากจ้า

ไว้มาหน่วงด้วยกันตอนหน้าเนอะ