ยกที่ 3 : กลับไม่ได้-ไปไม่ถึง http://www.youtube.com/v/cCSA7IJ4U6E “ โอ้ย เหนื่อย”
“ แฮกๆ กูไม่ไหวแล้ว”
“ เหนื่อยยยยยยย”
พูดจบผมก็ทรุดตัวแผ่หราลงนอนข้างๆไอ้แท็คโดยที่สภาพเราทั้งคู่ไม่ต่างกันเลย ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเสื้อกางเกงกีฬาที่ใส่เปียกชุ่มไปหมดเรียกได้ว่าหมดสภาพจริงๆ
“ ซ้อมหนักฉิบหาย”
“ เออดิ”
หรี่ตามองเพดานโรงยิมในศูนย์กีฬาของมหาวิทยาลัยซึ่งใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมบาสเกตบอล ผมกับไอ้แท็คทำหน้าเหนื่อยล้าราวกับวิ่งมาสักสิบกิโล เหอะ ก็เว่อร์ไปครับถึงจะไม่ใกล้เคียงแต่ก็ราวๆนี่แหละเพราะรุ่นพี่ปีสองนี่ซ้อมพวกผมโหดจริงๆเพื่อการแข่งขันกีฬาเฟรชชี่ในปีนี้
“ ไม่ไหวหว่ะ กูไปล้างหน้าก่อน” ไอ้แท็คพยักเพยิดไปทางห้องน้ำโรงยิม “...เหม็นเหงื่อฉิบหาย”
“ กูว่าแล้วทำไมกลิ่นตุๆ” ผมปัดมือไปมาแถวจมูกพร้อมกับทำหน้าแหยงๆใส่ไอ้แท็ค มันก้มลงดมเต่าตัวเองก่อนจะยิ้มแปลกๆ “...อะไรกูไม่เห็นได้กลิ่นเลย”
“ เหี้ย เหม็นๆ”
ผมยังไม่เลิกที่จะแกล้งแหย่มันพร้อมกับหัวเราะขำ มันจึงแกล้งผมคืนด้วยการล็อคคอผมแล้วลากใบหน้ามาซุกอยู่ตรงจั๊กแร้มัน เท่านั้นไม่พอยังบี้หน้าผมให้ดมกลิ่นเหงื่อมันเต็มๆ
“ ไอ้เหี้ย ไอ้หมาแท็ค ปล่อยกู”
“ ฮ่าๆๆ”
“ เหม็นใช่มั้ยงั้นมึงดมให้กลิ่นหมดเลยนะ”
“ ไอ้โรคจิต” ผมทำเสียงโหยหวนพยายามดันตัวเองจากมัน สุดท้ายมันคงเห็นใจเลยปล่อยผมที่สภาพหัวเหอกระเซิงไปหมดแล้วยืนขึ้นด้วยท่าทางที่หล่อเหลือร้ายพร้อมกับยักคิ้วกวนตีนให้และเดินยักไหล่ไปทางห้องน้ำโรงยิม ผมทำหน้ามุ่ยใส่แผ่นหลังมันพอดีกับที่ไอ้เพื่อนสนิทซึ่งผมคิดไม่ซื่อเดินยิ้มเผล่มาแต่ไกลในสภาพคล้ายๆกันมันคงซ้อมหนักพอดูแต่สภาพมันดูดีกว่าผมเยอะ
...ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อยังหล่อ... ...โธ่ความต่างของหนังหน้านี่ฆ่าคนตายจริงๆ... “ ฟูว์ๆ”
“ ใครอ่ะ” ไอ้จ็อบถามตอนที่มองตามแผ่นหลังไอ้แท็คไปมันคงบังเอิญเห็นตอนที่เราสองกันคลุกวงในกันเมื่อกี้ ผมเหลือบตามองมันซึ่งกำลังทำหน้าทำตาขมวดคิ้วเหมือนขบคิดบางอย่าง
“ คู่จิ้นกู” ผมพูดไปยิ้มไป จริงๆตั้งแต่วันนั้นที่ผมกับไอ้แท็ควิ่งไล่กันนั่นจึงเป็นการเปิดประเด็นให้คนทั้งคณะแอบจับคู่ผมกับไอ้แท็คโดยเฉพาะสาวๆที่เวลาเห็นผมกับมันเดินไปไหนมาไหนด้วยกันมักจะมีเสียงซุบซิบพร้อมกับในหน้ายิ้มๆ สุดท้ายคำว่า‘คู่จิ้น’ ก็หลุดออกมาจากสาวคนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนของว่าน
...ไม่อยากจะบอกหรอกว่ากระแสผมกับมันนี่ดังพอๆกับคู่จิ้นในละครอีกนะ ฮา... ผมยิ้มๆมองหน้านิ่วคิ้วขมวดของไอ้จ๊อบ
...ขอเข้าข้างตัวเองได้ป่ะ ว่ามึงมีอาการหวงกู... เหอะ หึงกูหล่ะสิ อิอิ เอาเลยเต็มที่ผมแอบทำหน้าบ้องแบ้วไม่รู้เรื่องรู้ราวลอบสังเกตปฎิกิริยาของมัน “ ก็เหมาะกับมึงดีนิ” ...พรวด...
ผมสำลักลมหายใจตัวเองหูได้ยินเสียงกระจกบนใบหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ แม่งหน้าแตกอายมั้ยหล่ะกูเอ้ย นอกจากเขาจะไม่แสดงอาการหึงหวงแล้วยังสนับสนุนอีก โธ่ไอ้เต้ย มึงฝันกลางวันเหรอว่าเขาจะคิดอะไรแบบนั้น
หึ อาการยอกในอกมันเป็นแบบนี้นี่เอง “ เฮ้ย” ความรู้สึกเย็นเฉียบตรงแก้มทำเอาสะดุ้งโหยง
“ อะ อะไร”
“ น้ำ”
“ อืม” อารมณ์หน่วงๆและเจ็บจี๊ดๆกระแทกใจผมอีกแล้วเลยไม่ได้มองขวดสปอนเซอร์ในมือซึ่งควรมีสีเหลืองแต่ที่อยู่ในขวดกลับไม่ไช่
“ อึก”
...พรวด...ตอนที่ยกน้ำดื่มนี่ทำเอาแทบจะสำลักแม่งทำไมสปอนเซอร์แม่งรสชาดแปลกๆ ผมทำตาเขียวใส่ไอ้ตัวต้นเหตุที่กุมท้องขำอยู่
“ ใบบัวบกแก้ช้ำใน” ไอ้จ็อบชี้ไปที่สีน้ำในขวดสปอนเซอร์ก่อนจะยักไหล่
“ ไอ้เหี้ยจ๊อบ”
...ต่อให้กูรักมากถ้ากวนตีนขนาดนั้นอาจตายคาตีนกูได้นะ แม่ง ไอ้หล่อเอ้ย...
.........
.........
“ เจอวิศวะหว่ะ”
“ อืม”
ผมพยักหน้ารับรู้แล้ววิ่งไปรวมกลุ่มกับเพื่อนเพื่อวอร์มร่างกายก่อนลงแข่งบาสเก็ตบอลวันนี้และคณะที่ต้องเจอในนัดแรกก็คือไอ้คณะที่ไอ้แท็คพยักเพยิดหน้าให้หันไปดูเห็นไอ้จ๊อบโบกมือหยอยๆให้อยู่อีกด้านของสนาม
...ปี๊ด... พอสัญญาณนกหวีดดังขึ้นผู้เล่นทั้งสองทีมต่างเริ่มเก่งผลัดกันรุกผลัดกันรับ เกมส์การแข่งขันจึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ผมมองสบตากับไอ้จ๊อบก่อนที่เราทำยิ้มให้กันแล้วทำหน้าที่ของตัวเอง ผมเป็นคนตัวสูงและค่อนข้างคล่องแคล่วจึงเป็นคนทำแต้มให้ทีมได้บ่อยครั้ง ดังนั้นฝั่งวิศวะจึงส่งไอ้จ็อบมาคอยวิ่งประกบงานนี้เรียกได้ว่ามวยถูกคู่เพราะผมกับมันเคยเล่นเป็นตัวแทนทีมโรงเรียนมาด้วยกันจึงพอจะรู้ทันกันว่าคิดจะเล่นอะไรยังไง
ลูกบาสในมือที่ผมกำลังเลี้ยงจึงถูกมันใช้เทคนิคแย่งไปได้ประจำพอมันจะมาใกล้ๆมันจึงเป็นเรื่องที่หลีกไม่ได้ถ้าเราจะใกล้กันในระยะประชิดเนื้อแนบเนื้อ ไอ้ผมก็คิดอกุศลแอบสูดลมหายใจเข้าปอดเลยดิเวลามันว่าใกล้ๆ ...ฮ่าๆๆ โรคจิตเข้าขั้น... ผมกับมันคลุกวงในกันอยู่นานสองนานเวลาที่ลูกอยู่ในมือของแต่ละฝ่าย
“ เก่งนักเหรอมึง” มันถามเสียงขำมือนึงเลี้ยงลูกอีกมือกางกั้นผมไว้ไม่ให้เข้าใกล้ลูกกลมๆที่แย่งกันอยู่
“ เก่งกว่ามึงละกัน”
“ เหอะ”
“ เหอะ”
ผมทำเสียงตามมันก่อนจะแบะปากใส่เรียกรอยยิ้มกว้างให้สว่างเจิดจ้าทะลุตาจนเกือบเป็นลม
“...เฮ้ย เจมส์ จิรายุ” อยู่ๆมันก็กระซิบข้างหูทำเอาตกใจแทบแย่รีบหันขวับไปมองตามทิศทางที่มันบอก เป็นจังหวะให้มันเลี้ยงลูกหนีแล้วโยนใส่ห่วงฝั่งผมทันที ผมหันกลับมาเห็นมันยักคิ้วให้ทีแล้วยิ้มมุมปาก
“ หลอกง่ายเนอะ”
“ มึง”
ผมทำหน้ายุ่งใส่มันตอนที่นกหวีดเป่าหมดเวลาในเซ็ตสองแล้วมันก็ขยี้หัวมันแรงๆทีนึง ...แม่งหัวเสียเลยดิถอนใจเซ็งๆแต่ไม่ได้โกรธมันหรอกเพราะไอ้นี่มันมีนิสัยชอบหยอกชอบแกล้งผมประจำ มันเคยบอกว่าบุคลิกผมดูนิ่งเงียบไม่มีชีวิตชีวามันเลยต้องสรรหาอะไรแปลกๆมาแกล้งผมประจำตั้งแต่เด็กแล้ว
“ น้ำจ๊ะเต้ย”
ผมยื่นมือไปรับน้ำดื่มทันทีที่ทรุดตัวนั่งเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อ หูก็คอยฟังพี่ปีสองกำลังบอกแผนการเล่นในเซตสุดท้ายเพื่อแชมป์ครั้งนี้
“ ขอบใจนะว่าน”
“ อื้อ”
...น่ารักแบบที่แท็คมันเพ้อหล่ะครับ... ว่านที่กำลังแจกน้ำให้เพื่อนๆยิ้มรับตอนที่หันไปยื่นน้ำให้ไอ้ตัวดีที่ระรี้ระริกอยู่ข้างๆผม
“ เอ่อ”
“ แท็ค”
“ ครับ”
ไอ้เพื่อนตัวดีของผมกำลังแอบลวนลามมือน้อยๆของว่านตอนที่ยื่นมือไปรับน้ำ เท่านั้นไม่พอมันยังยื้อมือเขาเอาไว้อีกต่างหาก คนที่น่าสงสารคงไม่พ้นว่านที่หน้าแดงก่ำพูดไม่เป็นภาษาแล้วพยายามบิดข้อมือตัวเองออก จนผมอดสงสารไม่ได้จึงต้องทำเป็นกระแอมเบาๆไอ้แท็คจึงอ้อยอิ่งปล่อยมือคนขี้อายที่ก้มหน้าเดินงุดๆหนีไปเก็บน้ำดื่มอีกฝั่ง
“ ไอ้โรคจิต”
“ หอมสัด” นอกจากจะไม่สำนึกที่โดนผมด่าแล้วมันยังเอามือข้างที่แอบแต๊ะอั๋งมือว่านขึ้นมาดมพร้อมกับทำหน้าฟินแบบน่ารังเกียจสุดคือถ้าหนังหน้าไม่ดีนี่คงทำไม่ได้
“ หยี”
ผมทำหน้ารังเกียจมันก่อนจะเบือนหน้าหนีอารมณ์สีชมพูของมันซึ่งมโนไปไกลแล้ว แต่ทิศทางที่สายตาผมหันไปดันเป็นทิศทางตรงข้ามฝั่งสนาม ผมไม่รู้ตัวว่าทำสีหน้ายังไงตอนที่เห็นลูกตาลแฟนสาวของไอ้จ็อบกำลังเช็ดหน้าเช็ดตาให้มัน เท่านั้นไม่พอมือน้อยๆของผู้หญิงคนนั้นยังประคับประคองขวดน้ำจ่อใส่ปากเพื่อนสนิทที่ผมคิดไม่ซื่อ
บรรยากาศรอบตัวระหว่างสองคนนั่นดูอบอวลไปด้วยความรู้สึกที่สวยงาม ใบหน้าทั้งสองยิ้มแย้ม หัวเราะกับอะไรบางอย่าง นัยน์ตาคมของไอ้จ๊อบเจิดจ้าเปล่งประกายมีความสุขเสียเต็มประดา มือหนาของมันลูบแก้มลูกตาลเบาๆก่อนจะเอียงหน้าเข้าไปกระซิบบางอย่างข้างๆหูของหญิงสาว แฟนมันทำหน้าแดงก่ำก่อนจะทุบอบมันเบาๆก่อนที่มันจะรวบมือน้อยๆมากดจูบ
...กร๊อบ... ขวดน้ำพลาสติกในมือผมยับยู่ยี่เพราะถูกบีบด้วยแรงมหาศาลจนน้ำในขวดไหลเปรอะเปรื้อนพื้นไปหมด ทุกสายตาหันมามองผมด้วยความประหลาดใจ ผมเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปจึงได้แต่ยิ้มแหยๆทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ในใจผมร้อนเป็นไฟ มันเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจของผมกันแน่ ผมเป็นอะไรทำไมถึงร้อนรนไร้เหตุผลแบบนี้ ผมหลับตานิ่งเพื่อตัดปัญหาจากมโนภาพที่กำลังสร้างรอยแผลในใจผม แต่ถึงข่มใจหลับตาไม่มองไม่เห็นใดๆภาพที่อยู่ในห้วงความทรงจำก็ฉายชัดราวกับมีเข็มนับพันกำลังทุ่มแทงหัวใจของผมในตอนนี้
...ปี๊ด...
เสียงนกหวีดดังขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณให้นักกีฬาเข้าสู่สนามอีกครั้ง ผมค่อยๆก้าวตามเพื่อนไปด้วยร่างกายที่แทบจะไร้ความรู้สึก ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำสีหน้ายังไงตอนที่เลี้ยงลูกอยู่แล้วไอ้จ๊อบวิ่งมาประกบใกล้ๆ ผมเห็นมันทำหน้านิ่วคิ้วขมวดและพยายามเอ่ยถามถึงอาการแปลกๆของผม
แต่นอกจากผมจะไม่ตอบแล้วสายตายังคงจดจ้องอยู่ที่ลูกบาสอย่างเดียว ผมไม่รู้ตัวว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนทั้งวิ่งไล่ลูกทั้งแย่งทั้งวิ่งชน แต่สุดท้ายกลายเป็นผมเองที่ล้มเจ็บทุกครั้งไป มันยื่นมือขึ้นมาให้ผมคว้าจับแต่ผมก็ได้แค่มองนิ่งก่อนจะพยายามลุกขึ้น
...ในเมื่อล้มเองได้ ทำไมถึงไม่คิดจะลุกเองหล่ะ... “ มึงเป็นอะไรเต้ย”
“....”
เหมือนเดิมน้ำเสียงมันยังเต็มไปด้วยความห่วงใย หากเป็นเวลาปกติผมคงดีใจจนตัวแทบลอยแต่ไม่ใช่สำหรับตอนนี้ตอนที่ผมกำลังเลียแผลซึ่งกำลังบ่งหนองออกใหม่ๆ ...ไม่ใช่ตอนนี้... ไม่ใช่เลย
“ เต้ย”
มันวิ่งมาประกอบผมที่กำลังกวาดสายตาและส่งสัญญาณให้เพื่อนร่วมทีมส่งลูกมาให้ ผมรู้แต่ว่าผมต้องวิ่ง วิ่ง วิ่งเลี้ยงลูก และหลบหลีกคู่แข่งที่ตามมาติดๆเพื่อทำแต้ม หรือว่าแท้จริงผมกำลังวิ่งหนีไอ้จ๊อบ ผมไม่รู้เลยจริงๆว่าสีหน้าตัวเองมันแย่ขนาดไหนผมทั้งเหนื่อยและหอบเพราะดันบ้าดีเดือดวิ่งไม่หยุดไปรอบสนาม และทั้งชนทั้งกระแทกคนอื่นๆเพื่อทำแต้ม ทำให้การแข็งขันในห้านาทีสุดท้ายดุเดือดจริงๆ ผมยังคงทำหน้าเฉยเมยไม่ใยดีอะไรกับใบหน้าแปลกใจของมัน
แต่ทำไมแค่มันทำเหมือนจะแคร์ แค่นี้ทำให้ผมเจ็บยิ่งกว่าเดิม “ ผลั๊ก”
“ เต้ย”
“ ปี๊ด”
...ผมแพ้แล้ว แพ้ทั้งในสนามรบและสนามรัก... สุดท้ายคณะวิศวะเอาชนะเภสัชฯไปด้วยคะแนนที่เฉียวฉิว ผมซึ่งดันวิ่งชนคนทำแต้มสุดท้ายให้วิศวะได้แต่นั่งมองสกอร์บอร์ดผลคะแนนแล้วไร้เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้น
“ มึงโอเคป่าว”
ไอ้แท็คเป็นคนแรกที่วิ่งมาดูผมก่อนจะค่อยๆประคองผมให้ลุกขึ้น ตอนนั้นผมเห็นไอ้จ็อบคนทำแต้มสุดท้ายให้คณะมันหันมามองผมด้วยประกายตาบางอย่าง ตอนที่ผมล้มไปมันเป็นคนแรกด้วยซ้ำที่ขยับตัวก่อนจะพุ่งมาหาผมก่อนที่มันจะหยุดดื้อๆตรงกลางสนามเมื่อเห็นว่าผมไม่แม้แต่สบตามันเลยด้วยซ้ำ ก็พอดีกับที่ไอ้แท็คซึ่งเห็นพอดีจึงรีบมาประคองผมซึ่งพอลุกได้ก็ถึงกับซี๊ดปาก ระบมไปทั้งตัวแน่นอนไม่ต้องคิดเลย
“ มึงแดกใบกระท่อมมารึไงไอ้เต้ย เหี้ยวิ่งอย่างกับพวกพี้ยามา พลังเหลือเฟือรึไง”
“ หึ” ผมแค่นยิ้มมุมปากไม่ใช่กวนตีนมันหรอกแต่สมเพชตัวเองมากกว่าเพราะที่ทำไปทั้งหมด ผมทำตัวเองทั้งนั้น อยู่ดีไม่ว่าดีวิ่งไล่ลูกจนทีมปั่นปวนไปหมด สุดท้ายก็ทำทีมแพ้จนได้จะโทษใครได้ถ้าไม่ใช่ตัวผมเองที่ทำตัวเอง ใจก็ใจผมทำไมถึงยินยอมให้คนอื่นมามีอิทธิพลเหนือใจเราแบบนี้
“ มึงโอเคมั้ยวะ”
“ กูขอโทษ” ผมกระซิบบอกมันเสียงพร่าหน้าตาคงแย่มากเพราะเห็นมันยิ้มเครียดๆก่อนจะลากผมไปยังข้างสนามซึ่งสมาชิกทุกคนในทีมรออยู่ ผมก้มหน้านิ่งรู้สึกผิดที่มีส่วนทำให้คณะเราต้องตกรอบแรก หน้าตาทุกคนยังเหนื่อยอ่อนแต่ประกายตายังมีสีชัดเจนถึงความรู้สึกมีชีวิตชีวา
“ ผมขอโทษที่ทำให้ทีมเราแพ้”
“ ใช่มึงผิด..” พี่ปีสองทำหน้านิ่งก่อนที่ทุกคนในทีมจะขยับตัวรุมล้อมผมเป็นวงกลม ผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยใบหน้าหงอยเหงา “...ในฐานะที่มึงเป็นคนทำแต้มแต่ไม่รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองมึงต้องโดนทำโทษ”
“ ครับ”
ผมก้มหน้านิ่งอย่างยอมรับชะตากรรม ถ้าหากว่าทุกคนที่รุมล้อมผมจะขยับโอบคอกันแล้วบูมคณะให้ผมจนเสียงดังกึกก้องไปหมด ผมยืนอึ้งอยู่กลางวงมองทุกๆคนที่ยิ้มแย้มให้ แล้วสุดท้ายน้ำตาผมก็ไหลออกมาเงียบๆ มันเป็นความรู้สึกตื้นตันใจตอนที่ทุกคนบูมให้ผมเสร็จแล้วก็ลูบหัวลูบบ่าผมพร้อมกับน้ำเสียงปลอบประโลม
“ มึงทำดีที่สุดแล้วเต้ย”
“ กูยังคิดว่าจะแพ้ขาดลอยซะอีก นี่เตรียมปี๊บไว้คลุมหัวตอนเดินกลับคณะแล้วนะ ที่ไหนได้สูสีไม่น่าเชื่อ...” ผมทำหน้าแปลกใจตอนพี่ปีสองคนคุมทีมพูดยิ้มๆ “...มึงรู้ป่ะว่ามึงเล่นกับใคร เหอะ รู้ไว้ซะว่าวิศวะแม่งแชมป์ทุกปี”
“ กูรู้มึงเต็มที่แล้ว แค่นี้ก็ดีแล้วโว้ย”
แม่งเอ้ย อะไรนักหนากับวันนี้เห็นภาพบาดตาไม่พอ ยังจะมาบ่อน้ำตาแตกต่อหน้าทั้งเพื่อนทั้งรุ่นพี่อีก ผมนึกปลงตัวเองแต่พอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนในทีมแล้วความทุกข์ทรมานใจในเกมส์การแข่งขันก็พลันมลายหายไปทันที
“ เฮ้ย”
หลังจากจบการแข่งขันทุกคนเฮโลไปฉลองการตกรอบแรกกันที่ตลาดสามย่านซึ่งเป็นแหล่งรวมอาหารยอดฮิตของเด็กมหาวิทยาลัยผมเลย เพราะทนแรงคะยั้นคะยอของทุกคนในทีมไม่ได้สุดท้ายผมเลยไปนั่งเอ๋ออยู่แปบนึงก่อนจะขอตัวกลับก่อน ทุกคนต่างรั้งผมไว้แต่อย่างว่าผมไม่มีกระจิตกระใจจะสังสรรค์เท่าใดนักจึงเอ่ยล่าออกอย่างเงียบๆ ผมเดินมาเรื่อยๆตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดินจนมาหยุดอยู่ตรงพื้นสนามหญ้าหน้าสระน้ำขนาดใหญ่กลางมหาวิทยาลัย
ผมทรุดตัวนั่งลงเอาหลังพิงต้นไม้ใหญ่หันหน้าเข้าสระน้ำใหญ่ที่แน่นิ่งไม่ได้ไหลเวียนเพราะเป็นบ่อน้ำที่ถูกสร้างขึ้น ผมนั่งมองอยู่อย่างนั้น มองไปที่ผืนน้ำเบื้องหน้าเพื่อให้ความคิดของผมได้ตกตะกอน
ผมทำอะไรลงไป ทำไมผมถึงแสดงกิริยาแบบนั้นออกไป ผมจะยังมีหน้าไปพูดคุยกับไอ้จ๊อบได้อีกเหรอในเมื่อสิ่งที่ผมทำในวันนี้เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง ผู้รู้ตัวดีว่าผมกำลัง ‘หึง’ มัน เป็นอาการที่คนเรามักแสดงออกเวลาที่รู้สึกอยากจะแสดงความเป็นเจ้าของต่อสิ่งๆหนึ่ง
....แล้วผมจะใช้สิทธิ์อะไรไปทำแบบนั้น... มันเองก็คงรู้สึกประหลาดที่เห็นปฎิกิริยาแปลกๆจากผม แต่มันคงไม่นึกเอะใจว่าผมกำลังทำเรื่องที่ไม่ควร ในเมื่อเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่เคยเป็น และอาจจะไม่มีวันเป็น ที่ไอ้จ็อบมันไม่รักผม มันก็ไม่ผิดหรอกเพราะเรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ในเมื่อไม่รู้สึกก็คือไม่รู้สึก จะโทษว่าในเมื่อมันไม่รักแต่ยังคงทำอะไรดีๆเพื่อให้ความหวังผมแบบนั้นคงเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวในเมื่อมันยังรักผมแบบเพื่อนและยังพยายามรักษาน้ำใจผม ผมรู้ดีว่ามันพยายามแค่ไหนที่จะไม่พูดหรือกระทำให้ผมนึกกระดากอายเวลาอยู่ด้วยกันหลังจากที่ผมพูดเรื่องนั้นออกไป แล้วผมหล่ะจะยังคิดว่าเป็นความผิดของมันอีกเหรอแค่เหตุผลที่ว่า
“มันไม่รักผม” สำหรับลูกตาล แฟนของไอ้จ๊อบซึ่งผมรู้ดีว่าไม่สมควรจะรู้สึกไม่ดีกับเธอในเมื่อเธอไม่รู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับจ๊อบ และไม่รู้ว่าผมแอบคิดไม่ซื่อกับแฟนของเธอ มันจึงย่อมเป็นสิทธิ์ของเธอที่จะแสดงออกว่ารักและห่วงใยแฟนตัวเอง สิทธิ์ของเธอที่จะอยู่ข้างๆมันในตำแหน่งที่ผมร่ำร้องให้ตายก็ไม่มีวันได้มา
สำหรับผม ผมไม่รู้ว่าการรักเพื่อนสนิทผิดรึเปล่า หรือว่าการที่ไม่ยอมตัดใจจากมันเป็นเรื่องผิดรึเปล่า แต่ที่ผมรู้แน่ๆว่าผมผิดคือการที่ผมแสดงอาการไม่หักห้ามใจตัวเองแบบนั้น ผมแสดงออกว่าหึงหวงมันทั้งๆที่เราเป็นเพื่อนกัน ผมแสดงกิริยาที่อาจทำให้มันไม่สบายใจ แล้วผมต้องทำยังไง ต้องทำแบบไหนถึงจะหลุดพ้นไปจากความรู้สึกนี้ไปสักที
มันเหมือนกับผมอยู่กลางสะพานไม้ข้ามแม้น้ำซึ่งกำลังจะผุพังพร้อมจะหล่นร่วงได้ทุกเวลาถ้าผมหยุดเดิน ดังนั้นจะย้อนกลับไปทางที่ผมจากมาก็ไม่มีทางหวนกลับไปได้แล้ว และทางที่จะไปข้างหน้าก็คงไปได้ไม่สุดปลายทางเหมือนกัน
...กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง... ......
......
“ จะนั่งทำเอ็มวีอีกนานป่ะ”
ไอ้แท็คทำหน้ากวนๆก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งข้างๆพร้อมกับยื่นข้าวกล่องในมือให้ ผมจึงเลิกคิ้วทำหน้าแปลกใจ
“ อะไร”
“ เมื่อกี้มึงไม่แตะข้าวเลยนิ เห็นแดกแต่น้ำ”
“ อืม ขอบใจหว่ะ”
“ ช่วยทำหน้าให้เหมือนซาบซึ้งในน้ำใจกูหน่อยดิ” มันพูดขำๆก่อนจะมองไปข้างหน้าแล้วพร้อมกับเปิดกล่องข้าวในมือมันอีกอันแล้วกินไปเงียบๆ
“ ชอบมันใช่มั้ย” “ ห่ะ” ผมทำหน้าตกใจตอนที่อยู่ๆมันถามเรื่องนี้ขึ้นมาทำเอาข้าวที่กำลังจะกลืนลงคอถึงกับสำลัก “ มึง คือ มึง”
“ ไอ้เบอร์สิบที่คลุกวงในกับมึงในสนามนั่นหน่ะ มึงชอบมันเหรอ” มันพูดด้วยเสียงเรียบๆดูไม่สนใจจะเอาคำตอบด้วยซ้ำ “ เหอะไม่ต้องทำหน้าซีดขนาดนั้น” มันว่าพร้อมกับบิดแก้มผมเบาๆจนต้องร้องอุทาน
“ ก็..”
“....” มันยิ้มๆเหมือนรู้คำตอบท่าทางแบบนี้ของมันเหมือนครูที่จับผิดเด็กได้จนผมนึกอาย
“ สักวันมันต้องเสียใจ...” ไอ้แท็คพูดเสียงหนักแน่น
“ มึงพูดอะไร” ผมทำหน้างง
“ มึงรู้มั้ยว่าตอนที่มึงทำหน้างงๆน่ารักสัด ถ้าไม่ติดว่ากูกำลังปิ๊งว่านอยู่นี่ กูอาสาดามแผลใจให้เลยนะเนี่ย”
“ เหอะ”
“ คนเรานะโว้ยจะไม่เห็นค่าของบางอย่างหรอกเวลาที่มันอยู่ใกล้ๆ แต่ถ้าวันไหนมันไม่เหมือนเดิมล่ะก็ เราจะรู้เองว่าสิ่งที่หายมักมีคุณค่าในเวลาที่สายเกินไปแล้วเสมอ เชื่อกู” มันยักคิ้วให้ผมอีกสองจึ๊ก
**** หน่วงได้อีก เห้ย สู้เค้าเต้ยอีกไม่นานหรอกมันจะดีขึ้น
แหะๆ มีหลายคนบอกว่าเขียนได้หน่วง อ่านแล้วอิน เสมือนว่าเกิดขึ้นจริงกับทุกคน ฮ่าๆ
อย่างที่บอกตอนแรกว่าพล็อตเรื่องส่วนหนึ่งมาจากเรื่องจริงค่ะ บอกเลยว่าตอนที่รู้ว่าเขามี
แฟนนี่เจ็บสุด มันเหมือนหายใจไม่ออก คล้ายๆว่าโลกจะถล่ม เว่อร์ป่ะ

**** ชอบอ่านความคิดเห็นของทุกคนค่ะ อินกันจริงๆ ฮ่าๆ
