EPISODE 46 ลืมตาขึ้นมาสิ่งแรกที่มองเห็นคือเพดาน - -* นาฬิกาบอกเวลาเกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว เมื่อคืนหลังงานจบผมกับไรเฟิลก็กลับคอนโด ไม่ได้ไปอาฟเตอร์ปาร์ตี้กับเขาหรอก ร่างกายต้องการพักผ่อน มันไม่เชิงเหนื่อยครับ แต่เพลียมากกว่า ผมกระดึ้บ ๆ ลงจากเตียงแล้วไปล้างหน้าแปรฟันในห้องน้ำ
“ตื่นนานยัง?”
“เมื่อกี้ ฮ้าว. . .” ไรเฟิลบอกว่าสั่งอาหารไว้แล้วเลยกะจะขึ้นมาปลุกผม คุณชายอาบน้ำแต่งตัวซะหล่อ ใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นธรรมยังหล่อ น่าหมั่นไส้แบบไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ ส่วนผมเหรอ ยังใส่ชุดนอนอยู่เลย เหอ ๆ
“บันบัน~~” กระต่ายตัวกลมเดินเตาะแตะเข้ามา ผมย่อตัวนั่งยอง ๆ ลูบหัวลูบตัวบันบัน กำลังจะอุ้มตัวจิ๋วขึ้น มารผจญอย่างไรเฟิลก็เอาเท้าเขี่ยบันบันจนหงายท้อง ไอ้ยักษ์บ้านี่!!
พอกินข้าวเสร็จผมก็มานั่งเล่นกับบันบัน ไรเฟิลนอนเอกเขนกบนโซฟา วางมือข้างหนึ่งบนศีรษะผม หัวคนนะครับไม่ใช่ที่พักมือ
“ทำไมอ้วนจังเลยวะ”
“แดกเก่งไง เหมือนมึง”
“แล้วไมกูไม่อ้วนอ่ะ”
“กูพามึง
ออกกำลังกายบ่อย”
ฉ่า. . .
ผมแสร้งเมินไม่สนใจไรเฟิล ไม่พูด ไม่หันมอง ไม่ให้เห็นแก้มแดง ๆ นี่ แม่งชอบทำให้ผมอาย นิสัยไม่ดีจริง ๆ
“ปล่อยไอ้ก้อนไป มาเล่นกับกูนี่”
“ใครจะอยากเล่นกับมึง”
“อย่าดื้อ”
“ไม่ได้ดื้อสักหน่อย” ผมบึนปากใส่ไรเฟิล แย่งรีโมทในมืออีกฝ่ายมากดเปลี่ยนช่อง ขยับตัวนั่งเหยียดขาพิงโซฟา(ยังคงนั่งอยู่ที่พื้น)มีกระต่ายตัวกลมนอนอยู่บนตัก ผมกดหาไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดที่ช่องช่องหนึ่งซึ่งกำลังออนแอร์รายการบันเทิงกอสซิปไฮโซทำนองนั้น แล้วมันก็เป็นช่วงของงานเปิดตัวนาฬิกาของวานิเช่ด้วย
ผมมองตัวเองในจอแอลอีดีด้วยความอึ้ง.. นั่นผมจริงเหรอวะ โห... มันแบบ.. ผมไม่รู้จะบอกยังไง มันบอกไม่ถูกอ่ะครับ แล้วที่ผมหลุดยิ้มทันก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร แถมตอนนั้นยังโดนแสงแฟลชสาดใส่หนักกว่าเดินอีก ผมว่ามันก็ดีนะ
“คิดว่าไงอ่ะ?” ผมหันไปถามคนที่นอนอยู่ ตาคมย้ายจากจอแอลอีดีแล้วมองหน้าผม ส่งปลายนิ้วเรียวปัดปอยผมที่ปรกหน้าออก
“หวงไง”
“-///- ผ ผิดประเด็นแล้ว หมายถึงกูนี่”
“ก็ดี๊”
“ก็ดี๊ ครับ”
-__-
-----------------
สามวันต่อมา...
“ไรเฟิล” ผมเรียกคนที่กำลังยืนแต่งตัวอยู่ วันนี้มีมิชชั่นครับ ต้อนไปงานประมูลเพื่อการกุศลอะไรสักอย่าง ผมไม่อยากไปแต่โดนป๊าบังคับ ปกติไม่เห็นจะเคยพาออกงาน งานนี้ไม่รู้นึกยังไงให้ผมไปด้วย
“หืม?” หันมาหาพลางจัดเนคไทด์สีดำสลับเทา ผมสีสว่างถูกเซ็ทเปิดหน้าผาก คนตัวสูงสวมสูทสีดำไม่ติดกระดุม เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแลคสีเข้มเข้ากับขายาว ๆ นั่นเป็นอย่างดี คนเหี้ยอะไรใส่อะไรก็ดูดี
“ให้” ผมส่งกล่องสีเทาให้ คนตัวสูงเลิกคิ้วมอง ผมพยักเพยิดให้เขาหยิบมันไป
“นาฬิกา?”
“แหวนมั้งครับ”
“หึ ซื้อมา?”
“เปล่าอ่ะ อาณิชให้มา ค่าจ้าง” ผมยิ้มแฉ่ง เมื่อวันก่อนอาณิชเรียกให้ไปพบแล้วก็เอานาฬิกาเรือนที่ผมใส่เดินให้เป็นค่าตอบแทน ผมก็ปฏิเสธไปตามระเบียบ แต่ภาพที่ไรเฟิลยืนมองดูนาฬิกาอยู่ตั้งนานสองนานก็ผุดมาในหัว เขาคงอยากได้แต่ก็คงยังไม่อยากซื้อ ผมเลยขอเปลี่ยนเป็นเรือนที่ไรเฟิลอยากได้แทน ถึงราคาเรือนนั้นจะมากกว่าก็เถอะ ผมเป็นคนดีล่ะสิ ไม่ต้องชมหรอก
“ไม่เห็นต้องทำแบบนี้”
“ก็. . . เห็นใครไม่รู้ มองอยู่น้านนานแหนะ”
“หึ ขอบคุณครับ” ไรเฟิลพูดนิ่ง ๆ ตามสไตล์ แต่นัยน์เป็นประกายวาววับ . . . ใจในผมพองโตจนคับอก นี่หรือเปล่าที่เขาบอกว่า แค่เห็นคนที่เรารักมีความสุข เราก็มีความสุขตามไปด้วย . . .
-----
---
ผมกับไรเฟิลยืนอยู่หน้าสถานที่จัดงาน กำลังรอป๊ากับคุณย่าอยู่ บัตรเชิญอยู่ที่ป๊าครับ แล้วอีกอย่างป๊าบอกให้รออยู่หน้างาน เพื่อที่จะเข้าไปพร้อมกัน บ้านไรเฟิลเองก็เช่นกัน . . . และไม่นานพวกท่านก็มา ศิริวัฒนามงคลขาดสองแสบที่ไม่ได้มาด้วยเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องไปโรงเรียน
พอเข้ามาในงานก็ไปถ่ายรูปที่แบ็คดรอป ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะ และผมไรเฟิลก็ได้อยู่โต๊ะเดียวกัน
“สวัสดีค่ะคุณรัชพล คุณหญิงรินดา(คุณย่า) คุณฟีโอน่า และคุณอาทิตย์(คุณพ่อไรเฟิล)” มีผู้หญิงท่านหนึ่งท่าทางมีอายุเดินเข้ามาทักทาย พวกเราลุกขึ้นยืนแล้วทักทายท่านกลับ คงจะเป็นเจ้าของงานนี้
“สวัสดีครับ/ค่ะ คุณหญิงวิภา”
“เป็นเกียรติจริง ๆ ที่มางานของดิฉัน เชิญตามสบายเลยนะคะ”
“ครับ”
“เอ๊ะ นั่นใช่เจ้าชายวานิเช่หรือเปล่าคะ?” ผมสะดุ้ง ทำตัวไม่ถูก ‘เจ้าชายวานิเช่’ คือชื่อที่นักข่าวใช้เรียกผมตั้งแต่วันงานคืนนั้น เพราะไม่รู้ชื่อจริง ๆ แล้วก็ก็ถูกเรียกว่า ‘เจ้าชาย’ ไม่ก็ ‘เจ้าชายน้อย’ ไปเลย..
“สวัสดีครับ” ผมขยับไปยืนข้างป๊าเมื่อเห็นป๊าส่งสัญญาณให้
“ไหว้พระเถอะลูก ชื่ออะไรงั้นหรือ?”
“ควอทซ์ครับ”
“รักษ์ธิสุทธ ลูกชายผมเองครับ”
“จริงหรือคะ?” คุณหญิงวิภายกมือทาบอกท่าทางตกใจ ก็ไม่แปลกที่ท่านจะมีท่าทีอย่างนั้น เพราะป๊าไม่เคยแต่งงาน แถมผมยังไปอยู่ประเทศตั้งแต่เด็ก เรื่องที่ป๊ามีลูกก็น้อยคนมากที่จะรู้ แล้วป๊าก็ไม่ได้พาผมไปเปิดตัวหรือออกงานอะไรเลย ผมชอบนะ สงบดี แต่ตอนนี้มันเริ่มไม่ใช่แบบเดิมแล้วนี่สิ
“ครับ” ผู้ใหญ่คุยกันอยู่สักพักคุณหญิงวิภาก็ขอตัวไปทักทายคนอื่น ๆ
-------
----
“เบื่อล่ะสิ” พี่เฟพูดแล้วยิ้มมุมปาก
“มาก ๆ เลยครับ” ผมยู่ปาก ผมหาวเป็นสิบรอบแล้วทั้งที่มายังไม่ถึงชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ หิวก็หิว อาหารก็จัดแบบค็อกเทล หยิบมาเยอะก็จะหาว่าตะกละอีก ฮอลลลล
“ทน ๆ ไปหน่อย พี่ก็เบื่อ”
“ซะงั้น ฮาฮ่า” ผมคุยเล่นไปเรื่อยแก้เบื่อ จะเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นก็ดูไร้มารยาทเกินไป เฮ้อออ ทนหน่อยก็ได้วะ
“ฮื่อ”
“เป็นอะไร?”
“แสบตาอ่ะ สาดแฟลชใส่อยู่ได้” ผมตอบไรเฟิลพลางขยี้ตาแต่ก็โดนมือหนาปัดออก
“เหอะ”
“ดังมากหรอมึง” ป๊าพูด แถมยังผลักหัวผมอีก ผมขยุ้มผมตัวเอง ตอนนี้ผมผมยังเป็นสีแดงอยู่นะฮะ แล้วก็ไม่รู้เมื่อไหร่สีถึงจะหลุด โคตรเด่นเลยอ่ะ
“หล่อก็งี้” ผมยักคิ้วใส่
“ไปเอาความมั่นใจผิด ๆ แบบนั้นมาจากไหนวะ”
“คุณย่าาา ดูป๊าสิครับ” ป๊ายกยิ้มเหนือกว่า แถมยังยักคิ้วให้ผมอีก คุณย่าไม่ช่วยผมเลยอ่าาา
“ดูสนิทกันจังเลยนะคะ” คุณแม่พูดยิ้ม ๆ
“ไม่อยากสนิทกับมันหรอกครับ หึ” ป๊า
“ถามด้วย ว่าผมอยากสนิทกับป๊าเปล่า”
“เอ๊ะ โตแล้วเล่นเป็นเด็กไปได้ พ่อลูกคู่นี้นี่” คุณย่าเอ็ด ผมยิ้มเผล่ ป๊าไหวไหล่
-----
---
“คุณแม่ไม่ให้ตัวจิ๋วไปถ่ายแบบคอลเลคชั่นหน้าร้อนให้ล่ะคะ”
“อ่า... นั่นสินะ ขอจองตัวไว้ก่อนเลยนะคะ” เดี๋ยว ๆ เดี๋ยวนะครับ ถ่ายแบบอะไรกัน คอลเลคชั่นหน้าร้อนอะไรครับ เปลี่ยนเรื่องกันไวจริง ๆ ถามผมก่อนนนนนนนนนน
“ไม่ให้” ขอบคุณไรเฟิล..
“อย่ามาขัดแม่สิคะ”
“มัมอย่าดื้อดิ บอกว่าไม่ให้ไง”
“มายบอยนั่นแหละดื้อ”
“ช่างเหอะ ผมไม่ให้”
“เอ๊ะ!”
“ถ้ามันยุ่งยากก็เอาไปทั้งสองนั้นแหละ”
“ว้าว! จริงด้วย ความคิดดีจริง ๆ เลยคุณ”
“เวร..” ผมกับไรเฟิลตบหน้าผากตัวเองในขณะที่ผู้ใหญ่หัวเราะกันสนุกสนาน
“หัวเราะอะไรกันหรือคะ?” เสียงของคนมาใหม่แทรกแหวกอากาศเข้ามา เสียงหัวเราะหยุดชะงักและหันไปมองคนมาใหม่
กรีนและแม่ของเธอ
“สวัสดีค่ะคุณกนกนาฏ เชิญนั่งด้วยกันก่อนสิคะ”
“ขอบคุณค่ะคุณหญิงรินดา” ที่โต๊ะเราเหลือที่วางสองที่พอดีเลยครับ
“เด็กคนนั้น หน้าคุ้น ๆ นะคะ” แม่ของกรีนพูด
“เพื่อนสนิ้ทสนิทไรเฟิลไงคะคุณแม่”
“อ๋อ คนที่บอกว่าเป็นเด็กทุนใช่ไหมลูก”
“ขอบคุณครับที่จำผมได้”
“เหอะ”
---
--
“คุณพิชัยไม่มาด้วยหรือครับ?” คุณพ่อไรเฟิล
“มาค่ะ กำลังคุยกับท่านส.ว.อยู่ค่ะ” แม่ของกรีนตอบ
“เหรอครับ”
“แล้วคุณ ๆ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ?” แม่กรีนถามต่อ
“ก็เรื่อย ๆ ตามประสาคนแก่นั่นแหละค่ะ แล้วนี่ลูกสาวอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ?” คุณย่าผม
“21 แล้วค่ะคุณหญิง เขาเรียนเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดียวกันกับไรเฟิลเลยค่ะ แถมยังเป็นดาวมหา’ลัยด้วยนะคะ หนุ่ม ๆ เข้ามาจีบเยอะจนดิฉันปวดหัวเลยค่ะ”
“อ๋อ..เหรอคะ”
“น่ารำคาญว่ะ” ป๊าก้มมากระซิบข้างหูผม เสียงเบื่อหน่ายเต็มที่
“หึหึ มีมารยาทหน่อยสิป๊า โอย!” เอะอะอะไรก็ผลักหัว ฮึ่มมมม
“อะไรกันอีกแล้วสองคนนี้” คุณย่าท่าทางจะเหลืออดแล้วจริง ๆ ป๊าชี้นิ้วมาที่ผม อ้าว.. ทำไมโยนให้กันแบบนี้อ่ะ
“เด็กคนนี้มากับไรเฟิลเหรอจ้ะ? ดูแลหน่อยสิ” ไรเฟิลกลอกตากับคำพูดของแม่กรีน
“สงสัยจะไม่เคยมางานแบบนี้มั้งคะคุณแม่”
“ทำไมพูดเหมือนคนไม่มีมารยาทอย่างนี้ละคะน้องกรีน?”
“เฟคะ”
“ปกป้องจังเลยนะ โดนเด็กทุนนี่เล่นของใส่กันหรอคะ”
“What the hell” ไรเฟิลพ่นคำไม่สุภาพออกมา ไม่ดังมากแต่ก็ได้ยินกันทั้งโต๊ะ กรีบกับแม่ของเธอที่ไม่พอใจตั้งแต่คำพูดพี่เฟแล้วยิ่งไม่พอใจหนักไปอีก
“เด็กทุน? ..หมายถึงเด็กหัวแดงนี่เหรอครับ?” ป๊าถามเสียงเรียบ ปากยิ้มแต่แววตาเย็นยะเยือก บรรยากาศมาคุขึ้นมาหน่อย ๆ
“อ๋อ ค่ะ ทำไมถึงมางานแบบนี้ได้ก็ไม่รู้นะคะ” กรีนพูด เหยียดทั้งสีหน้าและแววตา ..ผมได้คำตอบล่ะ นอกจากปากแล้วคงไม่มีอะไรดีจริง ๆ
“น่าสงสารนะครับ”
“นั่นสิคะ เห็นบอกว่าบ้านทำอาชีพขายของ คงจะลำบากน่าดู” แม่ของกรีน
“เปล่า ผมหมายถึงพวกคุณน่ะครับ น่าสงสารจริง ๆ ผมเองก็เพิ่งจะรู้ว่าการเป็นเด็กทุนมันไปหนักบนหัวคนอื่น”
“คุณรัชพล!”
“หืม? ไม่พอใจหรือครับ? ผมก็ไม่พอใจเหมือนกัน ต้องมานั่งฟังคนอื่นดูถูกลูกตัวเองนี่ อ้อ! บ้านผมขายของจริง ๆ ครับ แต่ขายเพชรขายพลอยนะ คุณก็รู้ ไม่ลำบากอ่ะเลย เชิญคุณกลับไปที่โต๊ะคุณดีกว่าครับ ขอโทษที่เสียมารยาท แต่หรรษามากเกินไปแล้วล่ะ” พูดประโยคยาว ๆ แล้วยิ้มปิดท้าย กรีนกับแม่ของเธอหน้าเจื่อนลง มองผมอย่างไม่เชื่อสายตา ก็เคยบอกแล้วว่าพ่อเป็นนักธุรกิจแล้วผมก็รวยมาก ไม่เชื่อกัน ... จากนั้นทั้งสองก็เก็บความอับอายแล้วกลับไปพร้อมกับความไม่พอใจ(และเศษหน้าที่แตกละเอียดยิบ)
--------------
“มึง.. โดนแบบนี้บ่อยเหรอ?”
“บ่อย” ไรเฟิลบอก ที่ผมส่ายหน้าไปไม่มีประโยชน์เลย..
“ทำไมไม่บอกกู”
“คนเขาพูดแบบไม่คิด เราก็มีสิทธิ์ฟังแบบไม่คิดได้เหมือนกัน ....อีกอย่างผมก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดสักหน่อย ชิล”
“ชิลแม่งทั้งปี” ผมหัวเราะ ก็จริง ๆ นี่ ไม่รู้จะเก็บคำพูดคนอื่นมาคิดมากทำไม เราต้องแคร์แค่คนที่ควรแคร์ไม่ใช่เหรอ เสียเวลาใช้ชีวิตหมด
“ผมขอไปเข้าห้องน้ำนะครับ” ผมบอกก่อนจะลุกออกมา มีไรเฟิลตามมาด้วย แค่ไปห้องน้ำจะตามมาทำไมไม่รู้ บู่ววว
----
---
“ไปเดินเล่นกัน” ผมเอ่ยชวนคนตัวสูง ไรเฟิลพยักหน้า
ผมกับไรเฟิลเดินมาถึงสวนของโรงแรม อากาศเย็น ๆ ดี ตรงนี้ไม่มืดมากเพราะยังมีไฟในสวนเปิดอยู่
“ไรฟ์”
“หืม?”
“กับกรีนน่ะ..เคยมีอะไรกันหรือเปล่า?” ผมหลุบตามองต่ำ ไม่กล้ามองหน้าคนข้าง ๆ ในใจเต้นตุบตับด้วยความลุ้น
“ไม่เคย” ผมเงยหน้าไปสบตา
“จริงเหรอ...”
“อืม”
“แล้ว... ทำไมเขาถึงยึดติดมึงจัง”
“ไม่รู้สิ” ไรเฟิลไหวไหล่ ตาคมมองผมนิ่ง ๆ จนผมต้องหลบตาไปก่อน มองหน้ามันนาน ๆ ไม่เคยได้ มันเขิน -///////-
“ก กลับข้างในกันเถอะ”
“หึหึ” เราเดินไปตามทางเดินแต่ก่อนจะหยุดปลายเท้าเพราะได้ยินเสียงคนคุยกัน มันจะไม่อะไรถ้าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงของป๊า... แล้วตรงนี้มันค่อนข้างมืด ทำไมถึงมาคุยกันที่แบบนี้..
“อย่าห่วงเลย ผมไม่ให้ลูกผมได้เจอคุณหรอก”
“ก็ดี อ้อ! แล้วอย่าไปบอกใครล่ะว่าเด็กนั่นเกิดมาจากใคร”
“ปิดมาได้ตั้งยี่สิบปี จะกลัวอะไร”
“มันก็ไม่แน่หรอก ฉันไม่ต้องการให้ใครรู้ทั้งนั้น”
“หึ คุณนี่มีสำนึกของความเป็นแม่บ้างหรอเปล่า”
“ไม่จำเป็นต้องมีกับลูกที่เกิดจากความผิดพลาด”
“เลือดเย็นดีแฮะ แต่ก็ยังดีที่ยังบอกว่าเป็นลูก”
“ลืมมันไปเถอะ” ผมตัวแข็งทื่อ มือเย็นเฉียบ รู้สึกหายใจไม่ออก ผมไม่ได้โง่พอที่จะไม่เข้าใจคำพูดพวกนั้น มันหมายถึงผม... มือหนาของไรเฟิลส่งมาจับและดึงผมให้เดิน ผมสะบัดมือไรเฟิลทิ้งและยังยืนอยู่ตรงนั้น . . . ยืนฟังเสียงที่เป็นดั่งคมมีดกรีดแทงให้เจ็บปวด . . .
“Shit!” ป๊าสบถออกมาเมื่อมองเห็นผม และตอนนั้นเองที่ผมได้เห็นคนที่คลอดผมออกมา... นี่มันบ้าอะไรกัน!! ผมจำไม่ผิดและไม่ได้คิดไปเอง แม้ที่ตรงนั้นจะมืดแต่ผมมองเห็นใบหน้าของเธอได้ชัดเจน. . .
โลกชักตลกเกินไปแล้ว
คุณศนิตา แม่ของแพค..
“บัดซบ! อย่าไปบอกเรื่องนี้กับใครล่ะ!” คุณศนิตาเอ่ยบอก ปลายนิ้วชี้หน้าและมองผมด้วยความเกลียดชังก่อนจะเดินออกไป ผมแทบทรุดไปกองกับพื้น
“ป๊า. . .”
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น”
“บอกผม..”
“ไม่”
“ทำไมต้องปล่อยให้ผมโง่อยู่คนเดียวด้วย! เกิดมายี่สิบปีผมไม่เคยได้รู้อะไรเลย! อึก.. ป๊า... บอกผม. . .”
“ไม่รู้จะดีกว่า”
“ขอร้องล่ะครับ. . บอกผมเถอะ..นะ” ป๊ามองหน้าผมด้วยความลำบากใจแล้วถอนหายใจออกมา
“ไรเฟิล..พากลับไปที่บ้าน เดี๋ยวฉันตามไป”
“ครับ”
---------------------------------
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ควอทซ์รู้แล้วว่าใครเป็นแม่ โอยยยย ทำไมคุณแม่ใจร้ายขนาดนี้
T_____________T