"บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ) - แจ้งหมดลิขสิทธิ์/แจ้งขายอีบุ๊ก
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ) - แจ้งหมดลิขสิทธิ์/แจ้งขายอีบุ๊ก  (อ่าน 38207 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 11 - update - 06.10.2014 page 2
«ตอบ #60 เมื่อ07-10-2014 12:00:20 »

บทที่ 12

     เควินรู้สึกโมโหขึ้นมาเป็นครั้งแรกกับความงี่เง่าของชินจิ ไม่รู้หมอนั่นเป็นอะไรนักหนา อยากจะให้เขาอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา ทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้ ใครจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงกันเล่า แค่นี้เขาก็อยู่กับหมอนั่นมากเกินไปแล้ว ไปไหนก็ไปด้วยกัน ยังไม่พอใจอีกหรือไงก็ไม่รู้
     ชายหนุ่มหาคอฟฟี่ช้อปในเดนฮากเจอได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่เป็นร้านที่ดูบ้าน ๆ ไม่คูล ไม่ชิคและคนไม่เยอะเท่ากับร้านในอัมสเตอร์ดัม แต่เมื่อดูดบุหรี่ผสมกัญชาไปได้ไม่เท่าไร ชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกเป็นห่วงชินจิขึ้นมา
     ป่านนี้ไม่รู้โมโหไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
     คิดไปคิดมา เขาก็ถอนหายใจเฮือก ดับบุหรี่ แล้วเดินออกจากร้าน
     ชินจิวางแผนไว้ว่าจะไปที่พีซพาเลซ เขาคิดว่าจะลองเดินไปดูที่นั่นก่อน ถ้าไม่เจอค่อยกลับมาที่โฮสเทล อย่างไรชินจิก็ต้องกลับมาที่โฮสเทลอยู่ดีเพราะข้าวของทั้งหมดอยู่ที่นั่น
     เควินคาดไม่ผิด คนรักของเขาอยู่ที่พีซพาเลซจริง ๆ แต่ไม่ได้โกรธและโมโหอยู่อย่างที่เขาเข้าใจ ชินจิกอดเข่าร้องไห้อยู่ สะอื้นฮัก ๆ อย่างไม่สนใจว่าใครจะมอง
     “ชินจิ!”
     เสียงเรียกคุ้นหูทำให้ชินจิเงยหน้าขึ้นมามองทั้งน้ำตา เมื่อเห็นว่าเป็นเควิน ชายหนุ่มก็นิ่งอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก เขายังโกรธ ยังเสียใจอยู่ แต่เมื่อเห็นคนที่เขารักเป็นฝ่ายมาตามหา ชายหนุ่มก็เริ่มใจอ่อนอีกเหมือนเดิม
     “ทำไมนายมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
     เควินคุกเข่าลงตรงหน้า ชินจิยังไม่ยอมหยุดร้องไห้ ชายหนุ่มจึงตัวคนรักมากอดเอาไว้ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด
     “นายอย่าร้องไห้สิ ฉันไม่อยากเห็นน้ำตาของนายแบบนี้เลย มีอะไรก็มาคุยกันดี ๆ ดีกว่าน่า”
     ชินจิกอดคนรักของตัวเองแน่น ยังพูดไม่ออก ได้แต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น
     เควินก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรอีก เขาลูบหลังชินจิจนอีกฝ่ายค่อยเริ่มสงบสติอารมณ์มากขึ้น แล้วเมื่อเห็นชินจิหยุดร้องไห้ได้แล้ว เควินก็พยุงตัวเขาให้ลุกขึ้นยืน
     “กลับกันก่อนดีกว่า ตกลงไหม”
     ชินจิพยักหน้าเงียบ ๆ แล้วก็เดินตามแรงจูงของเควินไป ระหว่างที่เดินกลับไปตามทางเดิมที่มา ทั้งสองคนก็คุยกันไปพลาง
     “ฉันรู้ว่านายไม่พอใจฉันหลายเรื่อง แต่ฉันยืนยันนะว่าฉันไม่ได้ละเลยนาย” เควินเริ่ม
     “ฉันเสียใจ ฉันรู้สึกว่าตั้งแต่มาที่นี่ นายไม่สนใจฉัน ที่ที่ฉันเลือก นายก็ไม่สนใจ ไม่แสดงท่าทีว่าชอบหรืออะไรเลย ฉันอยากให้นายสนุก มีความสุข แต่เจออย่างนี้ฉันไม่แน่ใจเลยจริง ๆ มันทำให้ฉันกังวลว่านายจะไม่สนุก”
     “นายคิดมากเกินไป ฉันได้มาเที่ยวกับนายมันก็มีความสุขแล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม ถูกล่ะที่ฉันไม่ค่อยถนัดพวกพิพิธภัณฑ์ แต่มันก็โอเค ไม่ได้แย่ที่ตรงไหน เพราะมีนายอยู่ นายชอบ ฉันก็โอเค”
     “ฉันอยากให้นายชอบด้วยนี่นา”
     “บางอย่างฉันก็ฝืนใจชอบไม่ได้นะ เหมือนที่นายไม่ชอบคอฟฟี่ช้อปนั่นแหละ ฉันยังไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาที่ตรงไหน แค่เราชอบอะไรที่มันไม่เหมือนกัน ก็ต่างคนต่างทำสิ่งที่ตัวเองชอบไป แค่นี้ก็จบแล้ว”
     เควินพูดง่าย ๆ เป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่ทราบว่ามันไม่มีปัญหา ชินจิที่มองเห็นปัญหาอยู่ชัด ๆ ตรงหน้าก็ไม่อยากจะเถียงด้วยอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มจึงเพียงพยักหน้ารับ แต่ในใจคิดว่าสงสัยเขาจะต้องปรับตัวกันใหม่อีกรอบเสียแล้วและทำใจให้อดทนให้ได้เมื่อเควินหายไปทำโน่นทำนี่ที่ตัวเองชอบแต่ชินจิไม่ชอบด้วย เพราะเควินไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองแน่ ๆ และถ้าเขาไม่ชอบความรู้สึกแบบตอนนี้ เขาคงจะต้องเปลี่ยนที่ตัวของเขาเองอย่างเดียวกระมัง
     “นายยังเสียใจอยู่รึเปล่าชินจิ” เควินถามเมื่อเห็นชินจิเงียบไปนานพอสมควร
     “พอสมควร ฉันพยายามคิดว่ามันไม่มีปัญหาจริง ๆ อย่างที่นายว่า” ชายหนุ่มพูดขึ้นในที่สุดและเควินก็ย้ำอีกครั้งว่า
     “มันไม่มีปัญหาอะไรจริง ๆ”
     ชินจิก็บอกตัวเองอย่างนั้นเหมือนกัน และบอกตัวเองซ้ำ ๆ แบบนั้นตลอดทางที่เดินกลับจากพีซพาเลซ

     เพื่อชดเชยให้กับน้ำตาของชินจิที่เสียไปอย่างมากมายแล้ว เควินบอกว่าเขาจะไม่เข้าคอฟฟี่ช้อปอีกก็ได้และยอมไปกับชินจิในที่ที่อีกฝ่ายคิดว่าน่าไปเยี่ยมชมให้เป็นบุญตาสักครั้งโดยที่พยายามไม่แสดงความเบื่อหน่ายออกมาอย่างออกนอกหน้านัก เพราะชินจิพาเขาเข้าพิพิธภัณฑ์อีกแล้ว
     เควินมองอาคารสีอ่อนขนาดใหญ่โตพอประมาณของพิพิธภัณฑ์เมาริตส์เฮาส์ ด้านหลังติดคลองสายหนึ่ง ด้านหน้าแขวนภาพผู้หญิงภาพใหญ่ห้อยลงมาจนเกือบถึงพื้น ชินจิชี้ไปที่ภาพนั้นพร้อมกับบอกเขาว่า
     “นั่นภาพ Girl with a pearl earring ของโยฮันเนส แฟะเมียร์ เป็นภาพที่ฉันชอบมากที่สุดเลย อยากมาเห็นด้วยตาของตัวเองสักครั้ง”
     เควินเดินตามชินจิเข้ามาในพิพิธภัณฑ์เงียบ ๆ แล้วก็อยู่เงียบ ๆ ข้างตัวชินจิที่จ้องมองภาพสาวน้อยใส่ต่างหูมุกของแฟะเมียร์ซึ่งภาพจริงนั้นเล็กนิดเดียว ใส่กรอบทองแขวนอยู่ที่ผนังแสดงภาพ ผู้หญิงในภาพโพกศีรษะด้วยผ้าสีน้ำเงินกับเหลือง ใส่ต่างหูมุก ยืนหันข้าง เอี้ยวหน้าให้เห็นใบหน้าเสี้ยวหนึ่ง ริมฝีปากสีสดแย้มน้อย ๆ เป็นรอยยิ้ม
     “ฉันว่าผู้หญิงคนนี้สวยยิ่งกว่าโมนาลิซ่าซะอีก นายว่าไหม” ชินจิพึมพำ สายตาที่จ้องมองผู้หญิงในภาพเต็มไปด้วยความหลงใหล
     เควินที่ไม่สนใจทั้งโมนาลิซ่าทั้งหญิงสาวใส่ต่างหูมุกไม่มีความเห็น ทั้ง ๆ ที่ในสายตาของเขา ยายผู้หญิงโพกหัวคนนี้ไม่เห็นจะสวยตรงไหน คิ้วก็ไม่มี ตาก็โปนอย่างกับปลาทอง แต่เพราะชินจิทำท่าชอบเอามาก ๆ ชายหนุ่มก็เลยไม่อยากจะขัด ได้แต่อดทนยืนอยู่ข้าง ๆ ให้คนรักมองภาพเขียนจนเต็มอิ่ม
     “ดูอะไรต่อ” เควินถามเมื่อชินจิยอมผละออกจากภาพเขียนของแฟะเมียร์ในที่สุด แต่สีหน้ายังอาลัยอาวรณ์สาวน้อยใส่ต่างหูมุกอยู่มาก
     “ไปดูภาพเขียนเด่น ๆ อีกสักสองสามภาพละกัน ไหน ๆ ก็มาแล้ว” ชินจิตัดสินใจ แล้วก็ดึงมือเควินไปดูภาพเขียนอีกภาพของแฟะเมียร์ เป็นภาพวิวของเมืองเดลฟท์
     “สวยเนอะ ไม่ต่างจากของจริงเลย” ชินจิมองอย่างชื่นชม แล้วในเมื่อเควินตามใจเขาแบบนี้ เขาก็เลยถือโอกาสเดินดูภาพเขียนต่อเรื่อย ๆ ทั้งของเรมบรันดท์และของจิตรกรคนอื่น ๆ ที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
     “นายนี่ชอบอะไรแบบนี้เอาจริง ๆ เลยนะ” เควินพูด เมื่อเห็นชินจิสีหน้าดีขึ้นมาก หลังจากเวียนดูภาพเขียนต่าง ๆ แทบจะทั่วทั้งพิพิธภัณฑ์ เขาเดินตามจนเมื่อยขาไปหมด และเมื่อออกมาข้างนอกได้ ชายหนุ่มก็แทบอยากจะหาที่นั่งพักเหนื่อยเสียเดี๋ยวนั้น
     “ชอบสิ คนเรียนทางอักษรศาสตร์อย่างฉันก็ชอบอะไรแบบนี้แหละ หนังสือ ภาพเขียน งานศิลปะ” ชินจิตอบยิ้ม ๆ
     “นายอยากไปต่อไหม หรือหาข้าวเย็นกินกันก่อน” เควินถาม
     “ฉันยังไม่ค่อยหิวเลย เราเข้าไปเดินเล่นในบินเน่นโฮฟกันก่อนดีไหม อยู่ตรงนี้เอง แล้วค่อยไปหาอะไรกินก่อนกลับโฮสเทล”
     เควินไม่มีปัญหา
     บินเน่นโฮฟเป็นศูนย์กลางการปกครองของประเทศ ประกอบด้วยอาคารแบบเก่าขนาดใหญ่หลายหลังตั้งอยู่ริมทะเลสาบโฮฟไฟเฟอร์ เป็นที่ตั้งของสำนักนายกรัฐมนตรีของเนเธอร์แลนด์ด้วย แต่เควินกับชินจิเดินเข้าไปชมแค่ที่ริดเดอซาลหรือท้องพระโรงแห่งอัศวินซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของบินเน่นโฮฟเท่านั้น
     ชินจิถ่ายรูปตึกแบบโกธิคที่มีหน้าต่างกระจกรูปวงกลมติดไฟสีส้มสว่างไปหลายรูป พร้อมกับน้ำพุหน้าอาคารที่ใช้เหล็กสีดำดัดให้มีรูปร่างเหมือนกรงประดับด้วยสีทองอย่างสวยงาม บนยอดมีรูปปั้นกษัตริย์หรือไม่ก็อัศวินสีทองประดับอยู่ แล้วยังมีตราอาร์มรูปสิงห์แดงบนพื้นทองเหมือนตราของพวกอัศวิน สมชื่อริดเดอซาลมาก
     “สวยจังเลยนะ ฉันชอบที่นี่จัง” ชินจิเลื่อนรูปที่ถ่ายไว้ในกล้องถ่ายรูปให้เควินดู แต่เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากคนรัก เขาก็เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเควินมองเขานิ่งอยู่แล้ว
     “ฉันชอบที่เห็นนายยิ้มแบบนี้มากกว่า อย่าร้องไห้อีกนะชินจิ”
     ชินจิพยักหน้ากับอกของเควินเมื่อฝ่ายหลังโอบตัวเขามากอดเอาไว้
     พวกเขากลับโฮสเทลหลังจากนั้น เควินนอนอยู่บนเตียงเดียวกับชินจิในห้องพัก ทั้งสองคนคุยกันเรื่อยเปื่อยจนชินจิผล็อยหลับไป เควินเห็นอย่างนั้นก็ค่อย ๆ เลื่อนตัวลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ ชินจิยังคงไม่ขยับตัว ชายหนุ่มจึงถอนหายใจออกมานิด ๆ ก่อนจะจรดฝีเท้าออกไปจากห้องพักโดยพยายามให้มีเสียงดังน้อยที่สุด
     แต่เมื่อประตูปิดลงดังกริ๊ก ชินจิก็ลืมตาขึ้นมา
     เขารู้ว่าเควินจะไปไหน แต่ที่รู้ดีกว่านั้นคือ... เขาไม่สามารถห้ามเควินได้เลย

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 07.10.2014 page 3
«ตอบ #61 เมื่อ07-10-2014 14:45:38 »

จะอดทนให้เป็นอย่างนี้ได้อีกนานแค่ไหนกันล่ะ เฮ้อ

ออฟไลน์ ZilCh

  • ZILCH ความไม่มีอะไรเลย. .
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 07.10.2014 page 3
«ตอบ #62 เมื่อ07-10-2014 15:54:55 »

อ่านแล้วแบบหน่วงจิต หน่วงใจ

มันต่างกันเกินไป ดั่งเส้นขนาดเลย เควิน

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 07.10.2014 page 3
«ตอบ #63 เมื่อ07-10-2014 22:10:05 »

     เควินกับชินจิกลับเบอร์ลินในวันต่อมา หลังจากนั่งรถไฟมาราว ๆ เจ็ดชั่วโมงจากเดนฮาก พวกเขาก็กลับมาถึงหอพักที่อัดเลอร์สโฮฟในตอนราว ๆ หกโมงเย็น ในครัวมีเพื่อนบางคนกำลังทำอาหารเย็นกันอยู่รวมทั้งเจอโรมซึ่งเมื่อเห็นทั้งคู่เปิดประตูฟลอร์เข้ามาก็แซวทันทีว่า
     “อ้าว กลับมาแล้วเหรอ แฮร์อุนด์เฟราเควิน เที่ยวสนุกไหม”
     “ปากมากอีกแล้ว” เควินส่ายหน้าเมื่อโดนล้อว่าเขากับชินจิเป็นสามีภรรยากัน แต่ก็ตอบว่า
     “สนุกดี อัมสเตอร์ดัมโคตรเจ๋งเลย”
     ส่วนชินจิฝืนยิ้มให้แต่ไม่ได้พูดอะไร ท่าทางของเขาดูเหนื่อยและไม่อยากคุยกับใครเท่าไร ชายหนุ่มจึงปล่อยให้เควินคุยกับเพื่อนไป ส่วนตัวเองเดินลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในห้องเควิน สักพักเจ้าของห้องก็เดินตามเข้ามา แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง
     “เหนื่อยจัง ฉันขอนอนสักงีบนะ”
     ชินจิไม่ว่าอะไร มือของเขาหยิบเสื้อผ้าใช้แล้วของตัวเองและเควินออกมาใส่ตะกร้าเตรียมไปซักวันหลัง แล้วก็เอาของอื่น ๆ ออกจากกระเป๋ามาจัดเก็บเข้าที่จนเรียบร้อย
     เควินหลับไปแล้วอย่างที่บอก ชินจิจึงเปิดประตูห้องออกไปอย่างเงียบ ๆ แต่พอเห็นว่ามีใครอยู่ในครัวบ้างในตอนนี้ ชายหนุ่มก็ปิดประตูกลับลงอีกครั้ง รอจนแน่ใจว่าคนที่เขาไม่อยากเผชิญหน้าด้วยในตอนนี้น่าจะกลับเข้าห้องตัวเองไปแล้ว ชินจิก็เปิดประตูห้องออกมาอีกครั้ง
     “ชินจิ” อัตสึโตะเรียกพร้อมกับโบกมือด้วยความดีใจเมื่อเห็นเพื่อนเดินเข้ามาในครัว “ไปเที่ยวมาสนุกไหม”
     ชินจิยิ้มให้อัตสึโตะและมานูเอลที่นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ได้ตอบคำถามของเพื่อน กลับตรงเข้ามาดึงแขนอัตสึโตะให้ตามเขามาที่หน้าต่างครัวที่อยู่ห่างโต๊ะอาหารมากพอจะคุยกันโดยที่ไม่มีใครได้ยินได้
     “มีอะไรรึเปล่าชินจิ” อัตสึโตะถามด้วยความสงสัย
     “เปล่าหรอก อยากถามนิดนึง เมื่อกี้ฟิลิปพูดอะไรกับนายรึเปล่า”
     “พูดอะไรล่ะ ก็ไม่นี่ ทักทายกันตามธรรมดา”
     ชินจิขมวดคิ้ว
     “ฟิลิปรู้เรื่องที่นายคบกับมานูเอลรึเปล่า”
     อัตสึโตะพยักหน้า ยังคงมองเพื่อนด้วยความไม่เข้าใจอยู่ดี
     “แล้วฟิลิปไม่ได้พูดอะไรกับนายเรื่องนี้เลยเหรอ” ชินจิพยายามถามต่อ
     อัตสึโตะนิ่งคิด แล้วก็ตอบว่า
     “พูดอะไรไหมเหรอ จริง ๆ ก็พูดนะ ตอนมานูบอกว่าเราเป็นแฟนกันแล้วน่ะ”
     “ฟิลิปพูดอะไรกับนายบ้าง” ชินจิเร่ง สีหน้าของเขาคาดหวัง
     อัตสึโตะทำหน้ายุ่งเมื่อถ่ายทอดคำพูดของประธานหอพักที่พูดกับเขาเมื่อสักครู่นี้ว่า
     “ฟิลิปมันหัวเราะน่ะ หัวเราะอะไรของมันก็ไม่รู้ แล้วก็บอกว่าโชคดีของฉันละ แต่โชคร้ายของมานู นายดูมันสิชินจิ ฉันคิดว่าไอ้เจ้าฟิลิปมันจะปกติที่สุดในฟลอร์ แต่กลับทะเล้นหน้าตาย น่าเตะมาก”
     ชินจิไม่ได้ฟังคำพูดยืดยาวของเพื่อน ในใจของเขาตอนนี้นึกไม่พอใจฟิลิปขึ้นมา ทำไมทีเขาคบกับเควิน ชายหนุ่มทำท่าเหมือนเขาทำอะไรผิด แต่ทีอัตสึโตะคบกับมานูเอลบ้าง ฟิลิปกลับไม่มีท่าทีต่อต้านเลยแม้แต่น้อย มันไม่ยุติธรรมเลย อัตสึโตะกับเขาต่างกันตรงไหน ก็เป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนเทอมเดียวเหมือนกัน เดี๋ยวก็ต้องกลับประเทศแล้วเหมือนกัน
     ชายหนุ่มลืมคิดไปว่าเรื่องแบบนี้ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ มันคนละกรณีกันโดยสิ้นเชิง ชินจิไม่ใช่อัตสึโตะ และเควินก็ไม่ใช่มานูเอลแต่เป็นเควินที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรง่าย ๆ
     วันศุกร์แรกหลังเบรกคริสต์มาส เควินก็จัดปาร์ตี้อีก แต่ไม่ใช่ที่ฟลอร์ของตัวเอง กลับไปใช้ฟลอร์ของมายะและยูเลี่ยนแทน ชินจิมารู้ทีหลังว่าเพราะกัญชาที่มาจากอัมสเตอร์ดัมนั่นเอง ฟิลิปไม่มีวันยอมเรื่องสูบกัญชาในฟลอร์และเควินก็ไม่อยากเสี่ยงมีปัญหากับประธานหอพักเหมือนกัน
     ปาร์ตี้ครั้งนี้ไม่ใหญ่ แต่เต็มไปด้วยคนที่กระหายอยากจะดูดบุหรี่ผสมกัญชา เควินแบ่งสรรปันส่วนกัญชาจำนวนสิบกรัมที่เขาเอาติดตัวมาให้เพื่อน ๆ ได้อย่างทั่วถึง เพราะแค่กรัมเดียวก็สามารถผสมได้สี่ห้ามวนแล้ว แบ่ง ๆ กันดูดคนละทีสองทีก็ ‘get high’ กันได้แทบทุกคน
     ชินจิยืนตัวชาอยู่ท่ามกลางควันกัญชา ทำอะไรไม่ถูก
     “ออกไปจากที่นี่เถอะ”
     ยูเลี่ยนกับมายะดึงแขนชินจิคนละข้างให้เดินตามออกไปนอกฟลอร์ตามมานูเอลที่ดึงแขนอัตสึโตะล่วงหน้าออกไปก่อนแล้วหลังจากพบว่าในงานนี้มีอะไรบ้าง
     “สรุปนี่มันเรื่องอะไรกันน่ะมานู”
     อัตสึโตะถามอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก จู่ ๆ เขาก็ถูกดึงตัวออกมาจากงาน หลังจากที่คนอื่น ๆ ในงานเริ่มสูบบุหรี่กัน แล้วมัทธีอัสก็ยื่นบุหรี่มาให้เขามวนหนึ่ง แต่เขายังไม่ทันจะรับ มานูเอลก็ทำหน้าบึ้งและลากตัวเขาออกมาแบบนี้
     ตามมาด้วยมายะ ยูเลี่ยนและชินจิ
     “พวกนั้นไม่ได้สูบบุหรี่ธรรมดาน่ะ แต่เป็นบุหรี่ผสมกัญชา ฉันไม่อยากให้นายยุ่งกับมัน” มานูเอลตอบ
     “กัญชานี่เอง นึกว่าอะไร” อัตสึโตะร้องอ๋อ เขานั่งลงบนขั้นบันไดข้าง ๆ คนรัก เอามือเท้าคาง ท่าทางไม่ได้ตกใจอะไรมากมาย “มิน่าทำไมกลิ่นมันแปลก ๆ”
     “ไม่เคยสูบใช่ไหม” มานูเอลถามเพื่อความแน่ใจ เพราะบางทีเขาก็กลัวใจอัตสึโตะที่ชอบทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ อยู่เหมือนกัน แต่คนรักของเขาส่ายหน้าทันที
     “ไม่เคย แล้วก็ไม่คิดอยากลองด้วย ฉันไม่สูบอะไรทั้งนั้นแหละ แต่ทำไมพวกนายทำหน้าซีเรียสจัง กัญชามันไม่ใช่อะไรร้ายแรงไม่ใช่เหรอ” อัตสึโตะงง
     “ใช่ มันเป็น soft drug แต่ยังไงมันก็เป็นยาเสพติดอยู่ดี” มานูเอลตอบ
     “อ้าว แล้วมันมานี่ได้ไงล่ะ”
     คำถามของอัตสึโตะทำให้สายตาของคนที่เหลือหันไปมองชินจิเป็นตาเดียว ชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับ
     “เควินเอามาจากอัมสเตอร์ดัม”
     “เอ๋? จริงเหรอเนี่ย” อัตสึโตะตาโต
     “หมอนั่นเข้าไปซื้อและก็สูบในคอฟฟี่ช้อป ตอนแรกฉันคิดว่าแค่สูบเล่นอยู่ที่นั่นอย่างเดียว ไม่คิดว่าจะเอากลับมาที่นี่ด้วย”
     ชินจิพูดพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งบนขั้นบันไดเหมือนคนหมดแรง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทุกคนพร้อมกับพูดต่อว่า
     “ขอโทษนะทุกคน ขอโทษนะมายะ ยูเลี่ยน ฟลอร์พวกนายคงมีแต่กลิ่นกัญชาไปอีกพักใหญ่ ๆ”
     “ไม่ใช่ความผิดนายสักหน่อย” มายะปลอบ “ความจริง เรื่องกัญชาในปาร์ตี้ก็เจอกันบ่อย ๆ จริงไหมวะไอ้เด็กเวร” ชายหนุ่มหันไปหาเสียงสนับสนุนซึ่งยูเลี่ยนก็พยักหน้ารับ
     “ถูกแล้วไอ้หน้าเต้าหู้ ที่นี่คนเขาก็สูบกันแหละ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่พวกฉันไม่ได้สูบเท่านั้นเอง”
     “ไอ้เด็กเวรแบบนายไม่สูบเหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ” มายะจิกกัด
     “เออ ไม่ยุ่งกับยาเสพติดโว้ย” ยูเลี่ยนยืนยัน
     อัตสึโตะหันมามองชินจิ แล้วถามว่า
     “นายโอเคไหม ชินจิ ดูสีหน้านายไม่ค่อยดีเลย นายเป็นอะไรรึเปล่า”
     ชินจิฝืนยิ้มให้ แต่จะโกหกว่าไม่เป็นอะไร เพื่อนก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดี จึงพูดแบบเลี่ยง ๆ ไปว่า
     “เหนื่อยนิดหน่อย แล้วก็ปวดหัวนิด ๆ ไม่ถูกกับกลิ่นบุหรี่กลิ่นกัญชาน่ะ แต่ฉันโอเค ไม่เป็นอะไรหรอก”
     “กลับไปที่ฟลอร์กันก่อนดีไหม” อัตสึโตะชวน แต่ชินจิส่ายหน้า
     “พวกนายกลับไปเถอะ ฉันจะอยู่รอเควินก่อน อีกสักพักหมอนั่นคงเลิกแล้วล่ะ”
     อัตสึโตะมองหน้ามานูเอล เมื่อฝ่ายหลังพยักหน้า เขาก็เลยตกลง
     “งั้นพวกฉันกลับก่อนนะ มายะยูเลี่ยน ดูชินจิด้วยล่ะ”
     หลังจากฝากฝังเสร็จ อัตสึโตะก็เดินออกมาจากตึกนั้นกับมานูเอล แต่สีหน้าของชายหนุ่มยังไม่ค่อยดีนัก เขาบอกมานูเอลว่า
     “ฉันเป็นห่วงชินจิ เควินชักจะทำเกินไปแล้วนะ”
     มานูเอลถอนหายใจออกมานิดหนึ่ง
     “เควินมันนิสัยเป็นแบบนี้ อะไรที่ห่าม ๆ มันทำหมดแหละ ถ้าชินจิจะคบกับคนอย่างเควิน เขาก็จะต้องเจออะไรแบบนี้”
     “นายไม่เป็นห่วงชินจิเลยเหรอมานู” อัตสึโตะชักหน้าบึ้งจนมานูเอลต้องจับมือเอาไว้
     “แน่นอนว่าฉันเป็นห่วงชินจิ ยังไงหมอนั่นก็เป็นเพื่อนฉันคนหนึ่ง แต่เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับสองคนนั้นนะอัตสึโตะ ถ้าชินจิไม่อยากทนคนอย่างเควิน หมอนั่นก็เลิกได้”
     “ชินจิคงไม่ยอมเลิก” อัตสึโตะพึมพำเนื่องจากเห็นมาตลอดว่าชินจิรักเควินมากแค่ไหน หมอนั่นมันเป็นคนจริงจังกับทุกอย่าง ทำอะไรก็ทุ่มสุดตัว รักก็รักหมดใจ มันต้องไม่ยอมเลิกกับเควินง่าย ๆ แน่
     “แล้วถ้าชินจิไม่ยอมเลิก เราก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ถูกไหมล่ะ ทำได้แค่คอยเป็นกำลังใจให้พวกนั้นเท่านั้นแหละ”
     “งั้นฉันจะคอยหยอดชินจิมันทุกวันให้มันเลิกกับเควินให้ได้” อัตสึโตะหมายมั่นปั้นมือขณะที่มานูเอลส่ายหน้าอย่างอ่อนใจแกมเอ็นดู เขาปล่อยมือจากอัตสึโตะแล้วเปลี่ยนเป็นโอบเอวอีกฝ่ายแทน
     “แต่ฉันว่านายอย่าเข้าไปยุ่งเรื่องของสองคนนั้นเลย เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ให้เขาจัดการกันเองเถอะ เราดูอยู่ห่าง ๆ น่ะได้ แต่ถ้าสอดมือเข้าไปยุ่ง มันจะมีแต่เรื่องวุ่นวายนะ เชื่อฉันเถอะ” มานูเอลปราม
     “แต่ฉันเป็นห่วงชินจิ หมอนั่นดูไม่มีความสุขเลย” อัตสึโตะยังเป็นกังวล
     มานูเอลจึงกระชับมือที่โอบเอวคนรักอยู่แน่นขึ้นอีกนิด อัตสึโตะก็เลยเอนศีรษะลงซบไหล่หนาของมานูเอลพลางฟังที่เขาพูดว่า
     “งั้นนายก็ต้องคอยดูชินจิเอาไว้บ้าง ถ้าหมอนั่นดูแย่ เราก็ชวนทำโน่นทำนี่ น่าจะทำให้ชินจิรู้สึกดีขึ้นได้บ้างนะ”
     “ตกลง ฉันจะบอกพวกมายะด้วย นี่มานู ถ้าเราชวนชินจิไปงานคาร์นิวัลที่เคิล์นด้วยล่ะ ดีไหม”
     “คาร์นิวัลน่ะไม่ต้องชวนหรอก เควินมันไม่เคยพลาดสักปี ยังไงมันก็ต้องชวนชินจิไปด้วยอยู่แล้ว”
     “งั้นก็โอเค” อัตสึโตะพยักหน้าหงึกหงัก มือของเขากอดตอบมานูเอลบ้าง แล้วทั้งสองคนก็เดินโอบเอวกันอย่างนั้นกลับไปที่ตึกของตัวเอง

     เควินยังไม่ยอมเลิกสูบบุหรี่ผสมกัญชาเสียทีจนชินจิทนไม่ไหว สุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องเดินเข้าไปสะกิดคนรักของเขา
     “นายจะกลับแล้วยังเควิน นี่มันดึกแล้วนะ”
     “ยัง อีกแป๊บนึงได้ไหม” เควินตอบอย่างไม่สนใจเท่าไร เขากำลังคุยสนุกสนานกับเพื่อนอยู่เลย รู้สึกว่าอะไรต่อมิอะไรรอบตัวมันดูน่าขำไปหมด
     “แต่ฉันอยากกลับแล้วล่ะ นะเควิน กลับกันเถอะ”
     ชินจิพยายามตื๊ออีก และทำให้เควินชักไม่ค่อยชอบใจขึ้นมา เสียงของเขาจึงห้วนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
     “นายกลับไปก่อนไป ฉันจะอยู่ต่ออีกหน่อย”
     “แต่ว่า...”
     ตอนนั้นเองที่คนอื่น ๆ หันมามองทั้งคู่ แล้วใครสักคนก็แหย่ขึ้นมาว่า
     “เมียมาตามแล้วเหรอเควิน กลับไปก็ได้นะ ไปเอาเมียซะก่อนแล้วค่อยกลับมาต่อก็ได้ เมียจะได้ไม่ต้องสะกิดยิก ๆ อยู่แบบนี้”
แล้วทุกคนก็หัวเราะขึ้นมาอย่างขบขัน ชินจิหน้าชา ส่วนเควินไม่พอใจขึ้นมาทันทีจนต้องหันมาเอ็ดชินจิที่เป็นคนทำให้เขาเสียหน้าว่าแฟนมาคอยตามจิกว่า
     “นายกลับไปที่ห้องเดี๋ยวนี้เลย อย่ามาเกะกะที่นี่”
     “เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย เควิน ดุเมียได้ยังไง เมียหน้าเสียแล้วเว้ย” เพื่อน ๆ ยังแซวกันต่อไป และเควินก็รู้สึกว่าเขาทนไม่ไหว ฤทธิ์กัญชาทำท่าจะหมดไปเพราะเขาไม่เห็นโลกรื่นรมย์อีกแล้ว ชายหนุ่มโมโหจนคว้าของที่อยู่ใกล้มือที่สุดขว้างใส่เพื่อนคนที่แซวเขา
     ของที่เขาขว้างไปคือเคบับที่ใครก็ไม่รู้ซื้อมาแล้ววางลืมไว้บนเค้านท์เตอร์ครัว
     “เฮ้ย อะไรกันวะ” เพื่อน ๆ เอะอะกันทันที เควินไม่สนใจ เขาหันไปคว้ามือชินจิแล้วลากถูลู่ถูกังตามหลังเขามา
     “เควิน ช้า ๆ หน่อย” ชินจิประท้วง แต่เควินไม่สนใจ เขาตวาดคนรักด้วยว่า
     “อยากให้กลับ ฉันก็กลับแล้วนี่ไง จะเอาอะไรอีก”
     ชินจิจึงจำต้องเงียบ ส่วนเควินก็บ่นไปตลอดทาง
     “เซ็งฉิบหาย กำลังสนุก ๆ อยู่ทีเดียว”
     แล้วเมื่อกลับขึ้นมาที่ฟลอร์ เควินก็ก่อเรื่องขึ้นมาอีก ชายหนุ่มรู้สึกปวดปัสสาวะ แต่เขาไม่ยอมเข้าไปในห้องของตัวเอง กลับเดินเซ ๆ ไปตามทางเดินจนถึงห้องในสุด แล้วปล่อยฉี่ออกมารดประตูห้องพักห้องสุดท้าย
     “เควิน! แย่แล้ว” ชินจิร้องเมื่อเห็นคนรักกำลังฉี่รดประตูห้องพักของคนอื่น แล้วเป็นห้องใครก็ไม่ว่าจำเพาะต้องมาเป็นห้องของฟิลิป
     “อะไรแย่ ฉันเข้าห้องน้ำ มันแย่ตรงไหนวะ” เควินไม่เข้าใจ
     “โธ่ นี่มันห้องน้ำที่ไหนเล่า” ชินจิรีบตรงมาจับแขนเควินเอาไว้
     ประตูห้องพักเปิดออกในจังหวะนั้นพร้อม ๆ กับหน้าถมึงทึงของเจ้าของห้อง ฟิลิปเห็นวีรกรรมของเพื่อนร่วมฟลอร์ที่กระทำต่อประตูห้องพักของเขาแล้วทนไม่ไหว เอ็ดตะโรลั่นว่า
     “ไอ้เควิน! ไอ้เวรตะไล! ฉันบอกนายกี่หนแล้วว่าไม่ให้เมาแล้วทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้!”
     “เสียงดังทำไม ปวดหัวน่ากัปตัน” เควินส่ายศีรษะ แต่แล้วก็หัวเราะร่วนเมื่อเห็นฟิลิปที่กำลังยืนกอดอกทำหน้าบึ้งมีหัวเพิ่มมาอีกหัวหนึ่ง
     “ขอโทษด้วยนะฟิลิป” ชินจิรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย สีหน้าของเขาเหมือนคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ฟิลิปจึงไม่อยากจะจิกตีเพื่อนร่วมฟลอร์คนนี้ไปด้วย เขาจึงเพียงแต่ชี้มือไปที่สิ่งที่เควินทำไว้ บอกเสียงเหี้ยมว่า
     “นายดูมันให้จัดการทำความสะอาดให้เรียบร้อยด้วยก็แล้วกัน พรุ่งนี้ถ้าฉันกลับมาที่ห้อง มันจะต้องไม่มีกลิ่นหรือร่องรอยอะไรเหลืออยู่ทั้งนั้น เข้าใจไหม”
     ชินจิรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ฟิลิปมองหน้าตาไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเควินสลับกับสีหน้าเป็นเดือดเป็นร้อนไม่สบายใจของชินจิแล้วเขาก็โคลงศีรษะ ก่อนจะกระแทกเท้าด้วยความไม่พอใจออกไปจากตรงนั้น
     เสียงเอ็ดตะโรของฟิลิปทำให้มิโรสลาฟและลูคัสที่อยู่ห้องใกล้ ๆ กันเปิดประตูออกมาดู พอเห็นว่าเป็นเควินที่ก่อเรื่องอีกตามเคยก็ไม่มีท่าทีแปลกใจนัก
     “เอาเควินกลับห้องก่อนเถอะ” มิโรสลาฟแนะนำ ชินจิพยักหน้าเงียบ ๆ พร้อมกับจับตัวเควินไว้และมีลูคัสเข้ามาช่วยอีกคนหนึ่งดึงเควินให้กลับเข้าไปในห้องได้ในที่สุด
     “ลำบากแย่เลยเนอะ มีแฟนเจ้าปัญหาอย่างไอ้เควินเนี่ย” ลูคัสแหย่ชินจิ แต่ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะขำดีหรือไม่ ตอนนี้เขามีแต่ความเหนื่อยใจและไม่เข้าใจเลยว่าทำไมช่างมีแต่เรื่องเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนแบบนี้ ตั้งแต่อยู่ที่อัมสเตอร์ดัมแล้ว เขากับเควินก็มีแต่เรื่องมีแต่ปัญหา แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่รู้ว่านี่มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเควินเท่านั้น

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 07.10.2014 page 3
«ตอบ #64 เมื่อ08-10-2014 11:26:36 »

     เควินตื่นขึ้นมาพบกับข่าวร้ายในเช้าวันถัดมา
     หลังจากที่เมื่อคืนเขากลับไปกับชินจิก่อน ชายหนุ่มก็ไปฉี่รดห้องของฟิลิป เขาโดนประธานหอพักด่าจนหูชาอีกรอบ แต่เขาไม่ต้องทำความสะอาดเพราะชินจิจัดการเรียบร้อยแทนเขาไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว หากเรื่องฉี่ก็ดูจิ๊บจ๊อยไปเลยเมื่อเทียบกับอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดตามขึ้นมา
     ในปาร์ตี้เมื่อคืนนั้น เพื่อน ๆ ของเขาคึกคะนองกันหนักมากจนเลยเถิดถึงขนาดไปเอาถังดับเพลิงมาฉีดเล่นกันจนขาวไปหมดทั้งฟลอร์ คนที่อยู่ในปาร์ตี้ทุกคนต้องร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดฟลอร์ทั้งหมดและถึงแม้เควินจะไม่ได้อยู่ด้วยตอนเกิดเรื่องแต่เขาเป็นเจ้าของกัญชาที่ทุกคนสูบกัน ชายหนุ่มจึงต้องรับผิดชอบไปด้วย
     เควินสบถลั่นห้องตอนที่รู้เรื่องนี้และอารมณ์เสียจนชินจิยังเข้าหน้าไม่ติด
     หลังจากวันนั้นระหว่างทั้งสองคนก็เหมือนมีช่องว่างที่มองไม่เห็นเกิดขึ้น เควินมักจะอารมณ์ไม่ดี ชินจิพูดอะไรก็ดูไม่ถูกหูไปหมดจนชินจิแทบจะไม่อยากพูดอะไรมากแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ยังอยู่ด้วยกันในห้องเดียวกัน
     “นายจะไปไหนน่ะเควิน”
     ชินจิถามขึ้นในวันหนึ่งหลังจากที่ทั้งสองคนมีอะไรกันตามปกติ แต่เควินกลับลุกขึ้นมาแต่งตัวเหมือนกับจะออกไปข้างนอก
     “ออกไปกินเบียร์หน่อย เจอโรมมันชวน”
     ชินจิทำท่าจะลุกตาม แต่เควินหันมาขมวดคิ้วใส่เสียก่อนพร้อมกับดักคอว่า
     “นายอยู่ที่นี่แหละ ฉันไปแป๊บเดียว ดื่มสักแก้วเดี๋ยวก็กลับ ช่วงนี้เจอโรมมันว่าฉันอยู่แต่กับนาย อยากไปดื่มกันโดยที่ไม่มีแฟนตามติดบ้าง นายไม่ใช่คนงี่เง่าคงเข้าใจใช่ไหม”
     เควินพูดจบก็ออกไปโดยที่ไม่สนใจชินจิที่นอนอยู่บนเตียงของเขาแม้แต่น้อย
     ชินจิไม่รู้ว่าตัวเองทนได้อย่างไร แต่เขาก็ทน แม้แต่เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากงานวันเกิดของเจอโรม เขาก็ยังอดทน
     วันเกิดเจอโรมตรงกับวันอังคาร เขากับเควินไปเดินเลือกซื้อของขวัญวันเกิดด้วยกันที่ห้างกรอพิอุส แต่ก็เลือกไม่ได้สักที ชินจิไม่รู้ว่าเจอโรมชอบอะไร ส่วนเควินเหมือนไม่ค่อยสนใจเท่าไร
     “อยากเลือกอะไรก็เลือก ๆ ไปเถอะ ไม่ต้องแพงมากก็ได้”
     ชินจิฟังแล้วนิ่วหน้าเล็กน้อยที่เควินพูดอย่างนั้น แถมชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ให้ไอเดียอะไรสักนิดทั้งที่รู้จักเจอโรมดีกว่าเขามาก
     “นายคิดว่าอะไรดีที่เจอโรมจะชอบล่ะ ถ้าเป็นเสือผ้าก็กลัวว่าจะไม่ถูกใจ” ชินจิขอคำปรึกษา
     “อะไรก็ได้ อันนั้นก็ได้” เควินชี้ส่ง ๆ ไปที่ราวเสื้อเสว็ตเตอร์ แต่ชินจิก็ยังรู้สึกว่ามันไม่เหมาะอยู่ดี
     “ไม่เอาเสื้อผ้าดีกว่า ถ้าซื้อไปแล้วเจอโรมไม่ชอบ มันจะเสียของเปล่า ๆ”
     “งั้นจะเอาอะไร เราเดินกันมาเป็นชั่วโมงแล้วนะ” เควินอุทธรณ์
     “น้ำหอมก็แล้วกัน” ชินจิตัดสินใจ แล้วก็เลือกได้น้ำหอมผู้ชายยี่ห้อที่เป็นที่นิยม กลิ่นไม่ฉุนจนเกินไปมาขวดหนึ่งเป็นของขวัญให้เพื่อนสนิทของเควิน
     งานวันเกิดของเจอโรมจัดในคลับรูม แต่คนที่ได้รับเชิญมีไม่มากเท่าไร ส่วนใหญ่เป็นเพื่อน ๆ ที่มาจากกาน่าด้วยกัน เพื่อนต่างชาติมีแค่เควินคนเดียวและแฟนอย่างชินจิเท่านั้นที่ได้รับเชิญ
     อาหารที่เลี้ยงในงานเป็นอาหารแบบแอฟริกัน บางอย่างชินจิกินแล้วชอบ เช่น ปลากระป๋องในน้ำเกลือคลุกผสมกับกะหล่ำสีเขียวหั่นละเอียดปรุงรสด้วยน้ำมะนาวนิดหน่อย แต่อาหารบางอย่างก็เผ็ดเกินไปจนเขากินไม่ได้ ชายหนุ่มจึงไม่ค่อยได้แตะอะไรมากนัก ได้แต่ดื่มน้ำอัดลมแล้วคุยกับเพื่อน ๆ ของเจอโรมบางคน แต่เขารู้สึกอึดอัดหลังจากที่เวลาผ่านไปแค่ไม่นาน
     ผู้ชายแอฟริกันนี่มือไม่เคยอยู่นิ่งเลย ชินจิสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เวลาคุยกันเป็นต้องพยายามจะกอดไหล่หรือกอดเอวเขาอยู่ตลอด ชินจิต้องปลดมือออกและขยับตัวหนีทุกที แต่ผู้ชายพวกนี้ก็ดูจะไม่รู้ตัว ยังคงขยับตามเขาอยู่นั่นเองจนชินจิต้องลุกหนีไปยืนเกาะอยู่กับเควินที่ยืนคุยกับเจอโรมและเพื่อนบางคนที่บาร์เครื่องดื่ม
     “เป็นอะไร” เควินหันมาถาม
     “เปล่า แต่ฉันรู้สึกอยากกลับไปที่ห้องแล้วน่ะ” ชินจิตอบ สีหน้าของเขาไม่ค่อยดีนัก
     “อ้าว แต่เราเพิ่งมาไม่เท่าไหร่เองนะ” เควินขมวดคิ้ว
     “นายกลับไปกับชินจิเถอะเควิน แฟนนายดูท่าจะไม่อยากอยู่แล้วจริง ๆ” เจอโรมพูดเรียบ ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะไม่พอใจแต่อย่างใด ชินจิจึงหันไปมองเขาอย่างขอบคุณพร้อมกับบอกว่า
     “ขอโทษนะเจอโรม ฉันรู้สึกอยากพักน่ะ สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งนะ ขอให้นายมีความสุขมาก ๆ”
     เจอโรมยกขวดเบียร์ที่ถืออยู่ในมือขึ้นรับคำอวยพรของเขา แล้วหันไปคุยกับคนอื่น ๆ ต่อ เควินเดินตามชินจิออกมาจากคลับรูม แต่สีหน้าเหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร เมื่อเข้าไปในห้องพัก เขาจึงเปิดฉากถามอย่างเอาเรื่องนิด ๆ ว่า
     “นายเป็นอะไรขึ้นมาอีก ฉันเพิ่งคุยกับเจอโรมได้แป๊บเดียวเท่านั้นนะ”
     “ฉันไม่ชอบที่นั่นนี่นา” ชินจิพูดด้วยความอัดอั้น “เพื่อนเจอโรมทำให้ฉันอึดอัด นายไม่เห็นเหรอ เวลาคุยกันชอบเอามือมาแตะนั่นแตะนี่ โอบเอวบ้าง โอบไหล่บ้าง ฉันไม่ชอบเลย ฉันไม่อยากให้ใครมาแตะตัวฉันนอกจากนายคนเดียว”
     เควินถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ตรงเข้ามากอดชินจิไว้
     “ฉันรู้แล้ว นายไม่ต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขนาดนั้นหรอก ฉันก็นึกว่านายไม่อยากให้ฉันอยู่ในงานนาน ๆ เลยงอแง”
     “ไม่โกรธนะเควิน แต่ฉันไม่อยากอยู่ตรงนั้นจริง ๆ”
     “โอเค ฉันเข้าใจ”
     เควินจูบหน้าผากของคนรักและกอดเขาแน่นขึ้นอีก รู้สึกเริ่มมีอารมณ์เมื่อชินจิเบียดตัวเข้าหาเขาแบบนี้ ชายหนุ่มจึงดันตัวชินจิลงบนเตียง แล้วถอดเสื้อผ้าของเขาออก แต่ขณะที่กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม เควินก็สบถด้วยความขัดใจ
     “ไม่มีถุงยางอนามัย!”
     ชินจิผงกศีรษะขึ้นมามอง
     “อ้าว หมดแล้วเหรอ”
     “หมดแล้วสิ” เควินพูดด้วยความหงุดหงิด “ฉันไม่ได้ซื้อเอาไว้ ลืมไปว่ามันหมด นายก็ไม่มีใช่ไหม”
     ชินจิส่ายหน้า เขาจึงสบถอีกด้วยความไม่พอใจ
     “ทำไมนายไม่ซื้อเอาไว้บ้างล่ะ หมดแล้วยังงี้จะทำยังไง นายน่ะให้ฉันซื้ออยู่คนเดียว ทั้งที่เราก็สนุกด้วยกันแท้ ๆ คราวหลังเราต้องหารกันบ้างแล้วล่ะ ช่วงนี้ฉันค่าใช้จ่ายเยอะซะด้วย ต้องมาซื้อถุงยางอนามัยอีก หมดตัวกันพอดี”
     ชินจิพูดอะไรไม่ออก เพราะไม่นึกว่าเรื่องแค่นี้จะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้ ในเมื่อปกติเควินจะเป็นคนซื้อ ส่วนตัวของเขาก็ไม่ใช่ไม่จ่ายอะไรเลย ค่าอาหารที่กินกันตอนนี้เขาก็จ่ายเพราะทำอาหารกินด้วยกัน ของใช้บางอย่างหมดเพราะใช้ด้วยกัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ชายหนุ่มก็เป็นคนซื้อ เขาไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยอะไรเลย แต่ไม่นึกว่าเควินจะเป็นคนที่คิด
     เควินหมดอารมณ์จะทำต่อ เขาปลดปล่อยโดยใช้มือ แล้วก็พลิกตัวนอนหันหลังให้
     ชินจิเองก็นอนหันหลังให้เควินเหมือนกันโดยที่เขาไม่เคยทำมาก่อน น้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ
     บนเส้นทางรักของเขากับเควินนับวันก็ยิ่งพบเจอแต่อุปสรรคและปัญหา ทางที่พวกเขาเดินมีแต่หลุมบ่อให้ต้องหยุดชะงักหรือบางครั้งก็สะดุดล้มจนต้องเสียน้ำตา แต่ถึงอย่างนั้น ชินจิก็ดื้อรั้นเกินไปที่จะหยุดเดินหรือเปลี่ยนเส้นทางใหม่ เพราะชายหนุ่มยังหวังอยู่ลึก ๆ ว่าถ้าเขาผ่านช่วงที่วิบากที่สุดอย่างตอนนี้ไปได้ เส้นทางข้างหน้าก็คงจะไม่ขรุขระเหมือนอย่างทุกวันนี้อีก

     ขณะที่ชินจิหกล้มหกลุกอยู่บนเส้นทางของเขา อัตสึโตะกับมานูเอลก็กำลังเดินจูงมือไปด้วยกันช้า ๆ บนเส้นทางที่เรียบไม่มีสิ่งใดมากีดขวาง
     ความรักของทั้งคู่ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ก็มีความตื่นเต้นนิด ๆ หน่อย ๆ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 08.10.2014 page 3
«ตอบ #65 เมื่อ08-10-2014 12:32:35 »

รักต้องอดทนว่างั้นเถอะ  คิดผิด คิดใหม่ดีกว่ามั๊ง ชินจิ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 08.10.2014 page 3
«ตอบ #66 เมื่อ08-10-2014 16:04:43 »

     อัตสึโตะชอบมานอนเล่นอยู่ที่ห้องของมานูเอล อ่านหนังสือทบทวนบทเรียนด้วยกันบ้าง หรือไม่ก็ดูหนัง ดูการ์ตูน เล่นเกมคอมพิวเตอร์ บางครั้งก็นั่งเล่นเกมกระดานอย่างหมากรุกหรือโกะ เล่นกันไปเถียงกันไปเท่านี้ก็เพลิดเพลินไปด้วยกันได้ทั้งวันแล้ว
     อัตสึโตะไม่ได้ตัวติดกับมานูเอลตลอดเวลา เพราะเขายังมีมายะคอยตามติดและบางทีก็ยังแกล้งขัดคอพวกเขาด้วยอารมณ์พาล ๆ ซึ่งมานูเอลไม่รู้สึกอะไรเพราะชินแล้ว แต่ถ้าอยากอยู่ด้วยกันสองคนเมื่อไรก็จะแอบหนีออกมาเที่ยวกันเองอย่างวันนี้
     มานูเอลตั้งใจจะพาอัตสึโตะมาเดินเที่ยวที่สวนสัตว์เบอร์ลิน แต่ฝ่ายหลังกลับอยากไปเดินเล่นในสวนเทียร์การ์เท่นก่อน มานูเอลขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมตามใจคนรัก เพียงแต่กำชับว่า
     “ห้ามเดินใจลอยเด็ดขาด สวนนี่ตอนหน้าหนาวหิมะตกยังงี้หลงทางเอาได้ง่าย ๆ เลย เพราะหิมะมันคลุมถนนไปหมด”
     ชายหนุ่มอธิบายขณะที่เดินมาด้วยกันจากสถานีเอสบาห์น เขาชี้ให้ดูป้ายเตือนว่าถ้าจะเข้าไปตอนหน้าหนาวต้องระวังความปลอดภัยของตัวเอง
     “ถ้าหิมะตกหนักมาก ๆ สวนก็ปิด” มานูเอลบอก
     “เราก็ไม่ต้องเข้าไปลึก ๆ สิ ไปเหยียบ ๆ นิดหน่อยก็พอ” อัตสึโตะว่า เขาตื่นเต้นมากที่ได้เข้ามาในสวนกลางกรุงที่กว้างใหญ่ราวกับป่าแห่งนี้ ยิ่งมาในหน้าหนาว หิมะตกเต็มไปหมด ทำให้สวนมีแต่สีขาว สีเทาและสีดำ ยิ่งน่าพิศวง ต่างกับในหน้าร้อนที่จะมีแต่สีเขียวทุกทิศทุกทาง
     “นายห้ามปล่อยมือฉันนะ” มานูเอลทำความตกลงกันก่อนซึ่งอัตสึโตะก็ทำตามอย่างว่าง่ายเพราะกลัวว่าถ้าดื้อจะอดเข้ามา
     “เหมือนป่าจริง ๆ เลย” อัตสึโตะอุทานเมื่อหันมองรอบตัว ต้นไม้เต็มไปหมด แต่ตอนนี้เหลือแต่กิ่งก้านที่มีหิมะเกาะ
     “เมื่อก่อนเป็นที่ล่าสัตว์ของกษัตริย์แห่งปรัสเซีย หน้าตามันก็เลยดูเหมือนป่า แต่ภายหลังก็มาปรับให้เป็นสวนสาธารณะ มีถนน มีทางเดิน มีสนามหญ้า แต่ก็ยังคงสภาพป่าเอาไว้ตามเดิมในบางจุด” มานูเอลอธิบาย “ลึกเข้าไปข้างในมีสวนอังกฤษ สวนฝรั่งเศส มีทะเลสาบ เบียร์การ์เด้น ร้านอาหาร คาเฟ่ มีเรือให้เช่าพายเล่นด้วยนะ”
     “ถ้ามาตอนหน้าร้อนคงสนุกกว่านี้ใช่ไหม”
     “แน่นอน เรามาปิกนิกกันได้ ย่างบาร์บีคิวกินกันก็ได้ พายเรือ เล่นเสก็ต จ๊อกกิ้ง หรือมาปูผ้านอนเล่นเฉย ๆ ก็ได้”
     “ปูผ้านอนเล่นกับบาร์บีคิวนี่น่าสนใจที่สุด” อัตสึโตะตาเป็นประกาย
     “แต่มาตอนหน้าหนาวแบบนี้ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ นอกจากมาเดินเล่นชมหิมะ” มานูเอลพูด แต่อัตสึโตะฟังแล้วยิ้มกริ่ม ปล่อยมือจากมานูเอล แล้วก้มลงไปกอบหิมะขึ้นมาปาใส่หน้าคนรักทันที
     “เฮ้ย!” มานูเอลร้อง เขาไม่รู้ว่าตกใจอะไรมากกว่ากันระหว่างอัตสึโตะปล่อยมือของเขากับโดนหิมะปาหน้าแบบนี้ แต่ยังไม่ทันจะโวยอะไร อัตสึโตะก็กลับมาจับมือเขาเอาไว้เหมือนเดิมพร้อมกับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเมื่อกี้นี้ไม่ได้ผิดสัญญากับเขา
     “เจ้าเล่ห์นักนะนาย” มานูเอลกัดฟันกรอด อัตสึโตะหันมายักคิ้วให้อย่างกวน ๆ
     “หน้าหนาวทำอะไรได้เยอะจะตาย จริงไหม”
     ขาดคำอัตสึโตะ สงครามปาหิมะก็เริ่มต้น แต่เป็นสงครามที่ทุลักทุเลที่สุดเพราะทั้งสองคนปาหิมะใส่กันโดยที่มือยังจับกันไว้แน่น
     อัตสึโตะกับมานูเอลเดินเล่นด้วยกันในสวนเทียร์การ์เท่นไม่นานเท่าไรเพราะต้องไปสวนสัตว์เบอร์ลินที่อยู่ห่างออกไปราว ๆ กิโลเมตรครึ่งหรือหนึ่งสถานีรถไฟเอสบาห์นเพื่อให้ทันเวลาให้อาหารหมีขาวขั้วโลกในตอนสิบโมงครึ่ง
     “หมีขาวที่นี่มันอยู่ไม่สุขจริง ๆ ด้วย” อัตสึโตะเกาะขอบปูนชะโงกไปมองหมีขาวสองสามตัวที่เดินพล่านไปมาอยู่ตามพื้นหินที่ทำเป็นชั้น ๆ เพื่อให้หมีปีนป่ายเล่น
     “ขนมันดูกระดำกระด่างยังไงไม่รู้ด้วยล่ะ สีน้ำตาลเป็นหย่อม ๆ ไม่เป็นสีขาวสะอาด”
     “ก็ยังดีกว่าคราวที่แล้วที่ฉันมา ขนมันสีเขียว ยังกับหมีราขึ้น” มานูเอลพูด
     เมื่อถึงเวลาให้อาหาร เจ้าหน้าที่จะมายืนที่ริมขอบปูนพร้อมกับถังใบใหญ่ใส่เนื้อและปลาชิ้นโต ๆ แล้วขว้างไปให้ บางชิ้นก็ตกลงไปในสระน้ำที่กั้นระหว่างขอบปูนกับพื้นหินที่หมีอยู่ บางชิ้นก็ไปค้างอยู่ที่ก้อนหินให้หมีเดินลงไปกิน บางครั้งเจ้าหน้าที่ก็โยนให้ชิ้นเนื้อตกลงในน้ำใกล้ ๆ กับกำแพงกระจกเพื่อให้หมีว่ายน้ำมากิน คนก็จะได้เห็นตัวมันใกล้ ๆ
     “สุดยอดเลย” อัตสึโตะอุทานด้วยความทึ่ง ก่อนจะรำพึง “อยากเป็นคนโยนให้มันกินบ้างจัง เท่สุด ๆ”
     “นายมีแรงโยนเหรอ” มานูเอลถามยิ้ม ๆ แล้วก็เลยโดนอัตสึโตะค้อนใส่
     “มีสิ จับนายทุ่มลงไปเป็นอาหารหมีพวกนี้ก็ยังไหวเลย ลองดูไหมล่ะ”
     ใกล้กับที่อยู่ของหมีขาวคือรูปปั้นเจ้าคนุต มานูเอลพาอัตสึโตะไปเยี่ยมเจ้าลูกหมีขาวที่เคยเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของสวนสัตว์เบอร์ลิน แต่ตอนนี้มันนอนหลับอย่างสงบไปเสียแล้ว
     “ตัวจริงมันคงน่ารักมากเลยเนอะ” อัตสึโตะถามขณะที่ลูบหัวที่เป็นหินของมัน
     “น่ารักมาก ขนสีขาว เหมือนตุ๊กตาไม่มีผิด” มานูเอลตอบ
     ถัดจากหมีขั้วโลก อัตสึโตะกับมานูเอลไปดูการให้อาหารลูกแมวน้ำต่อ ครั้งนี้เจ้าหน้าที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนดูโดยอธิบายให้ฟังว่าให้มันกินอะไร อย่างไรบ้าง พร้อมกับโยนอาหารไปด้วย เจ้าลูกแมวน้ำมันก็ว่ายน้ำไปงับปลา แต่บางตัวเจ้าหน้าที่ก็ป้อนให้เลยถึงปาก
     “ดูมันวิ่งสิ ตลกจัง กระดุ๊กกระดิ๊กเหมือนนายตอนเด็ก ๆ ที่วิ่งไปเอาตุ๊กตาหมีเลย” อัตสึโตะหัวเราะพร้อมกับชี้ให้ดูเจ้าลูกแมวน้ำที่เดินปัดไปปัดมาเพื่อไปขออาหารจากเจ้าหน้าที่ คราวนี้มานูเอลเลยเป็นฝ่ายค้อนใส่บ้าง งึมงำว่า
     “ไม่น่าเปิดวีดิโอให้ดูเลย เอามาล้อกันตลอดสิน่า”
     หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้ดูการให้อาหารสัตว์อีก แต่เดินเล่นดูสัตว์ต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ
     สวนสัตว์มีบริเวณกว้างใหญ่ ต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด เหมือนป่าบวกรวมกับสวนสัตว์ ที่อยู่สำหรับสัตว์ใหญ่ก็กว้างขวางไม่คับแคบจนน่าอึดอัด แต่คงจะเย็นเท้าอยู่สักหน่อยเพราะพวกมันต้องย่ำไปบนหิมะ และถึงแม้อัตสึโตะจะถ่ายรูปที่สวนสัตว์เกลเซ่นเคียเช่นเก็บเอาไว้มากแล้ว แต่เขาก็อดถ่ายรูปยีราฟกับม้าลายที่เดินอยู่บนหิมะเก็บไว้ไม่ได้อีก รวมทั้งสัตว์เท่ ๆ อย่างหมาป่าอาร์คติกที่ขนมันเป็นสีขาวยืนนิ่งอยู่บนโขดหิน
     ทั้งสองคนเดินกันจนเหนื่อย ดูสัตว์ทุกตัวที่อยากดูและแวะซุ้มขายของที่ระลึกก่อนจะออกจากสวนสัตว์
     ก่อนกลับไปที่อัดเลอร์สโฮฟ มานูเอลชวนอัตสึโตะแวะดูโบสถ์แห่งความทรงจำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสวนสัตว์นัก เป็นโบสถ์ที่หลังคาแหว่งไปเพราะถูกทำลายในช่วงสงคราม แต่ยังถูกอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพถูกทำลายอย่างนั้น ไม่ได้ซ่อมแซมใหม่ และกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเบอร์ลินเหมือนกับประตูบรันเดนบวร์ก
     แล้วทุกครั้งที่กลับมาจากหนีเที่ยว อัตสึโตะจะเจอมายะบ่นเป็นหมีกินผึ้ง หรือถ้ามียูเลี่ยนด้วยก็จะกลายเป็นบ่นคูณสองค่าที่ทิ้งเพื่อนไปเที่ยวกันสองคน แต่ฝ่ายหลังนี่นอกจากบ่นแล้วยังแซวด้วย บางทีแซวหนักจนอัตสึโตะทั้งเขินทั้งเครียด
     “นายเป็นอะไรน่ะอัตสึโตะ มองฉันยังงั้นทำไม” มานูเอลถามเมื่อเห็นคนรักจ้องเขาตาไม่กะพริบ อัตสึโตะมานั่งเล่นที่ห้องเขาตามปกติ หอบเอาหนังสือมาอ่านด้วย แต่เอามากางไว้เฉย ๆ ไม่ยักสนใจจะอ่าน เอาแต่จ้องหน้าเขา
     “มานู นายเป็นกามตายด้านรึเปล่า”
     ของบนชั้นที่มานูเอลกำลังจัดอยู่ตีลังกาหล่นลงมาบนพื้นเสียงดังโครมครามทันที
     “ทำไมนายถามยังงี้ล่ะ” มานูเอลตาเหลือก
     “ก็เมื่อวานที่เรากลับมาจากสวนสัตว์น่ะ ฉันเจอยูเลี่ยน มันบ่นใหญ่ที่เราแอบไปเที่ยวกันไม่บอกมัน แต่พอบ่นเสร็จมันก็แซวฉัน แล้วก็ถามว่าอยู่กับนายมีความสุขไหม ฉันตอบว่ามีความสุข มันก็ถามอีกว่าอยู่กับนายสนุกไหม ฉันตอบว่าสนุก มันก็หัวเราะคิกคักน่าเตะมาก แล้วก็ถามต่อว่านายทำกับฉันท่าไหนถึงว่าสนุก”
     มานูเอลกลอกตา กัดฟันกรอด ไอ้เวรยูเลี่ยน เล่นเขาจนได้
     “แล้วนายตอบมันไปว่ายังไง”
     “ไม่ได้ตอบ ฉันบอกว่าถ้าอยากรู้ก็ให้ไปถามนายเอง” อัตสึโตะตอบ แล้วก็ทำหน้ายุ่ง เมื่อพูดต่อว่า “แต่ฉันก็สงสัยเหมือนกัน   แหละ เราก็คบกันมาตั้งเดือนแล้ว นายไม่เห็นทำอะไรมากกว่าจูบเลย นายคงไม่ได้กามตายด้านใช่ไหม”
     มานูเอลอยากจะเอามือกุมขมับ
     “ฉันปกติดีทุกอย่าง เพียงแต่ฉันไม่อยากจะเร่งรัดอะไรนายเท่านั้นเอง เราเพิ่งเริ่มคบกัน ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต่อไปเรื่องของเราสองคนจะเป็นยังไง ถ้ารีบร้อนมีอะไรกัน แล้วเราไปกันไม่ได้ นายจะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลัง แต่ก็ไม่ใช่ฉันจะไม่คิดเรื่องนี้เลยหรอกนะ กำลังคิดว่าวาเลนไทน์จะเหมาะรึเปล่า ฉันอยากให้ครั้งแรกระหว่างเรามันเป็นสิ่งที่น่าจดจำ”
     “งั้นไอ้ที่พูดมายาว ๆ ทั้งหมดนี้หมายความว่ายังไงนายก็ยังไม่ยอมมีเซ็กซ์กับฉันตอนนี้ใช่ไหม” อัตสึโตะสรุปคำพูดของมานูเอลออกมาได้ภายในประโยคเดียว ฝ่ายหลังเห็นแก้มป่อง ๆ แล้วหมั่นเขี้ยวขึ้นมาไม่น้อยจึงคว้าตัวอัตสึโตะกดลงบนเตียง มือสองข้างกำข้อมือของอัตสึโตะแน่นจนชายหนุ่มนิ่วหน้านิด ๆ
     “อยากจะให้ทำตอนนี้ก็ได้” มานูเอลพูดและมองด้วยสายตาท้าทาย แต่อัตสึโตะกลับส่ายหน้า
     “ไม่เอาดีกว่า รอก็ได้ เห็นนายทำหน้าหื่น ๆ เป็นยูเลี่ยนแบบนี้แล้วมันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนไม่ใช่นายเลย”
     มานูเอลฟังแล้วคลี่ยิ้ม อัตสึโตะก็เลยยิ้มตาม บอกว่า
     “เนี่ย ทำหน้าแบบนี้ดีกว่า ค่อยเหมือนมานูของฉันหน่อย”
     มานูเอลยิ้มมากขึ้น คลายมือออกจากข้อมือของอัตสึโตะ แล้วดึงตัวอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมานั่ง เขาหยิกแก้มคนรักเล่นทีหนึ่งด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลุกไปหยิบของที่หล่นกระจายอยู่เต็มพื้นขึ้นมาเก็บไว้ที่เดิม
     “นั่นนายทำอะไรน่ะ”
     มานูเอลถามเมื่อหันกลับมาอีกครั้งแล้วเห็นอัตสึโตะเอาปฏิทินตั้งโต๊ะบนโต๊ะทำงานของเขามาเขียนอะไรยุกยิก อัตสึโตะหันปฏิทินมาให้ดู ทำหน้าไร้เดียงสาบอกกับเขาว่า
     “กาปฏิทินไง นับวันรอว่าเมื่อไหร่จะถึงวันวาเลนไทน์”
     มือของมานูเอลกระตุกจนข้าวของบนชั้นเล่นกายกรรมลงมาบนพื้นอีกรอบ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 08.10.2014 page 3
«ตอบ #67 เมื่อ08-10-2014 17:04:52 »

สงสัยจะไม่ถึงวาเลนไทน์ซะละม๊างงงงงง 555555

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 08.10.2014 page 3
«ตอบ #68 เมื่อ08-10-2014 20:51:32 »

สงสารชินจิ มากๆ
ส่วนคู่มานูกับอัตสึโตะก็น่ารักดี  o13

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 08.10.2014 page 3
«ตอบ #69 เมื่อ09-10-2014 13:14:33 »

บทที่ 13

     วาเลนไทน์เป็นโอกาสพิเศษที่ชินจิฮึดขึ้นมาอีกครั้ง
     ชายหนุ่มต้องการจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเควินดีขึ้นให้ได้จึงตั้งใจทำของขวัญวาเลนไทน์ให้เควินอย่างดีที่สุด ชินจิชวนอัตสึโตะกับมายะไปที่ห้างกรอพิอุสเพื่อหาซื้อวัตถุดิบเตรียมทำช็อกโกแลต เขาเลือกช็อกโกแลตทั้งแบบดาร์กและแบบไวท์ด้วยความตั้งอกตั้งใจพร้อมกับแบบพิมพ์รูปหัวใจและสีผสมอาหาร
     “นายจะให้อะไรมานูเอล” ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นอัตสึโตะไม่ได้เลือกซื้ออะไรเป็นพิเศษ
     “การ์ด ฉันเลือกเอาไว้แล้ว” อัตสึโตะหยิบการ์ดวาเลนไทน์รูปหมีหน้าตาตลกออกมาให้ดู
     “แค่นี้น่ะเหรอ ไม่มีของขวัญ ไม่มีช็อกโกแลต” ชินจิขมวดคิ้ว
     “ฉันทำไม่เป็นนี่ แต่จะให้ก็เสียดาย อยากเก็บไว้กินเองมากกว่า” อัตสึโตะตอบหน้าตาเฉย มายะก็รีบสนับสนุนทันที
     “จริง ให้ไอ้มานูเอลกินช็อกโกแลตก็เสียของเปล่า เอาไปแค่การ์ดใบเดียวก็พอแล้ว”
     “พวกนายนี่จริง ๆ เลย ทำไม่เป็นก็ซื้อก็ได้ วาเลนไทน์ทั้งทีจะทำอะไรส่ง ๆ ได้ยังไง เดี๋ยวฉันซื้อของพวกนี้แล้วจะไปช่วยนายเลือกช็อกโกแลตให้มานูเอลเอง ยังไงวาเลนไทน์ก็ต้องมีช็อกโกแลต”
     “นายจริงจังไปรึเปล่าน่ะชินจิ” อัตสึโตะถาม ทำหน้าแหยง ๆ เมื่อเห็นหน้าของชินจิเคร่งเครียดเหลือเกิน มายะก็พลอยแปลกใจด้วยเหมือนกัน
     “เปล่า ฉันก็แค่ไม่อยากให้นายเสียโอกาส ถ้านายไม่ให้ช็อกโกแลตวาเลนไทน์ นายก็ไม่ได้ของขวัญวันไวท์เดย์นะ”
     “จริงด้วย” อัตสึโตะตาโต ขณะที่มายะกลอกตา พึมพำด้วยอาการเซ็ง ๆ ว่า
     “ไอ้เวรชินจิ จับจุดอัตสึโตะตรงเป๊ะ เรารึอุตส่าห์ดีใจที่ไอ้หมียักษ์มันจะอดกินช็อกโกแลต”
     อัตสึโตะจึงตกลงจะทำช็อกโกแลตวาเลนไทน์กับชินจิ ของก็เลยต้องซื้อเพิ่มขึ้น มายะที่ทำท่าเซ็ง ๆ แต่ก็อดยื่นมือเข้ามาช่วยไม่ได้อยู่ดี ชายหนุ่มสอนให้เพื่อนทั้งสองคนละลายช็อกโกแลตในหม้อที่ตั้งแช่น้ำร้อน หม้อที่เป็นไวท์ช็อกโกแลตก็ใส่สีผสมอาหารลงไปให้เป็นสีต่าง ๆ ตามที่ต้องการ แล้วเทใส่พิมพ์
     ชินจิเลือกพิมพ์รูปหัวใจอันเล็ก ๆ เขาทำช็อกโกแลตรูปหัวใจหลายสีใส่ขวดโหล แล้วเขียนข้อความหวาน ๆ ใส่กระดาษชิ้นเล็ก ๆ หลายชิ้นใส่ไว้ในขวดโหลด้วย กะว่าเควินหยิบช็อกโกแลตขึ้นมากินก็จะได้เห็นข้อความแสดงความรักของเขาควบคู่กันไปด้วย ส่วนอัตสึโตะใช้พิมพ์รูปหัวใจอันใหญ่ทำชิ้นเดียวแล้วแต่งหน้าด้วยข้อความตลก ๆ กับวาดรูปหมีและโปเกมอนปิกะจูลงไปเป็นอันเสร็จ ของที่เหลือมายะทำออกมาเป็นช็อกโกแลตแบบธรรมดา ๆ ใส่กล่องเตรียมไว้ให้รุ่นพี่และเพื่อน ๆ ที่พวกเขารู้จัก ถือว่าเป็นช็อกโกแลตตามธรรมเนียม
     “นี่ของนาย” อัตสึโตะหยิบช็อกโกแลตชิ้นหนึ่งส่งให้มายะ เป็นช็อกโกแลตรูปก็อตซิลล่า “ฉันเห็นว่ามันหน้าเหมือนนายเลยซื้อมาให้ สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะ”
     มายะซึ้งใจจนน้ำตาแทบไหลที่อัตสึโตะไม่ลืมเขา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำเอง เป็นแค่ช็อกโกแลตบ้า ๆ บอ ๆ ที่ซื้อมา แต่เขาก็ยังดีใจอยู่ดี ชายหนุ่มขยับจะเข้าไปกอดอัตสึโตะ แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ เปิดกล่องหยิบเอาช็อกโกแลตตามธรรมเนียมออกมาส่งให้ชิ้นหนึ่ง
     “สุขสันต์วันวาเลนไทน์เช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันให้แค่ช็อกโกแลตตามธรรมเนียมกับนาย ความจริงก็อยากทำให้เหมือนเดิมอยู่หรอก แต่ขี้เกียจว่ะ นายไปเอาจากไอ้หมียักษ์นูเทลล่าของนายก็แล้วกัน”
     อัตสึโตะยิ้ม รับช็อกโกแลตตามธรรมเนียมจากมายะมาส่งเข้าปาก
     “ขอบใจนะ ช็อกโกแลตของนายจะเป็นแบบไหนก็อร่อยอยู่ดีแหละ”
     ส่วนชินจิก็หอบเอาขวดโหลใบใหญ่เข้ามาเซอร์ไพรซ์เควินในห้อง ชายหนุ่มตรงเข้ามากอดคนรักเอาไว้แน่นพร้อมกับพูดว่า
     “สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะเควิน”
     “อะไรกันเนี่ย” เควินมองขวดโหลใบใหญ่ใส่ช็อกโกแลตรูปหัวใจหลายสีด้วยความแปลกใจ
     “ช็อกโกแลตวาเลนไทน์ของนาย ฉันทำเองเลยนะ ชอบไหม”
     “ขอบใจมาก สวยดีจัง แต่รสชาติจะเป็นยังไงนะ” ชายหนุ่มถาม ทำท่าจะเปิดขวดโหล แต่ชินจิหยิบมาเปิดให้เอง เขาหยิบช็อกโกแลตชิ้นหนึ่งขึ้นมากัดแล้วป้อนเควินด้วยปากของเขา
     “อร่อยไหม”
     “อร่อยมาก” เควินตอบ มองสบสายตาเย้ายวนของชินจิ แล้วรั้งศีรษะอีกฝ่ายให้ก้มต่ำลงมาหา แต่หลังจากนั้นชินจิก็เป็นฝ่ายรุกเองทั้งที่ปกติเขาไม่เคยทำ ชายหนุ่มถอดถุงเท้าให้คนรักเห็นสีเล็บสีแดงสดที่กระตุ้นอารมณ์เควินได้ดีที่สุด แล้วเมื่อเห็นตาของเควินเป็นประกายด้วยความพึงพอใจ ชินจิก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นบรรเลงเพลงรักทันที
     เขาทำทุกอย่างให้เควินมีความสุข
     ทั้งคู่นอนกอดกันแนบแน่นหลังจากช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านพ้นไป เควินดูอารมณ์ดีจนชินจิคิดว่าเรื่องต่าง ๆ มันเริ่มดีขึ้นแล้วจริง ๆ
     “ฉันรักนายนะเควิน” ชินจิพูด ขยับตัวเข้าหาคนรักมากขึ้นซึ่งเควินก็กระชับอ้อมกอดของเขาแน่นขึ้นเหมือนกัน
     “ฉันก็รักนายเหมือนกัน นายเป็นคนที่น่ารักที่สุดเลยรู้ไหม ใจเย็น อดทน ไม่ว่าฉันจะทำอะไรบ้า ๆ ยังไงนายก็ทนฉันได้ตลอด นี่ถ้าฉันไม่มีนาย ฉันจะเป็นยังไงมั่งก็ไม่รู้นะ ฉันว่าฉันชักจะเสพติดการมีนายแล้วล่ะ”
     ชินจิหน้าบานเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาผงกศีรษะขึ้นมามองเควินพร้อมกับถามด้วยความหวังว่า
     “ตอนที่ฉันกลับญี่ปุ่นไปแล้ว นายจะไปเยี่ยมฉันไหม”
     “ไปสิ ฉันจะไปเยี่ยมนาย”
     “จริงนะ”
     เควินพยักหน้า แล้วเขาก็กอดชินจิอีก จมูกซุกไซ้ซอกคอของคนรัก ชินจิก็สนองตอบอย่างเต็มที่ ในใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความสุขสมหวัง ยิ่งเมื่อเควินพลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบนตัวของชินจิและบอกเขาว่า
     “ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เสียนายไป”
     ชินจิก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังอยู่บนสรวงสวรรค์
     เส้นทางรักของเขากำลังจะกลับมาราบเรียบและเต็มไปด้วยความสุขแล้วใช่ไหม?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2014 13:34:15 โดย Mettnoon »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 08.10.2014 page 3
« ตอบ #69 เมื่อ: 09-10-2014 13:14:33 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 08.10.2014 page 3
«ตอบ #70 เมื่อ09-10-2014 13:18:15 »

     มานูเอลหัวเราะด้วยความขบขันเมื่อเห็นช็อกโกแลตวาเลนไทน์เขียนข้อความตลก ๆ จากอัตสึโตะ
     „Ich habe Bärenhunger!“
     ข้างใต้ข้อความเป็นโปเกมอนปิกะจูอ้าปากกว้างจะงับหัวหมีที่หลับตาปี๋
     ส่วนเจ้าของช็อกโกแลตนั่งอยู่บนเตียง กำลังกอดตุ๊กตาหมีชาลเก้ของเขาและส่งช็อกโกแลตที่เขาซื้อให้เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
     มานูเอลยิ้มนิด ๆ
     ก็ไม่รู้นะว่าวันนี้ใครจะกินใครกันแน่
     “นายนี่แย่จังเลยนะ มานู ให้ช็อกโกแลตฉันวันนี้ซะงั้น แล้วตอนไวท์เดย์จะทำยังไงล่ะ” อัตสึโตะบ่นขึ้นมา
     “อ้าว” มานูเอลเลิกคิ้ว
     “คนญี่ปุ่นมีไวท์เดย์ด้วยนะ นายรู้รึเปล่า วันที่สิบสี่มีนาคม ผู้ชายจะให้ของตอบแทนผู้หญิงสำหรับช็อกโกแลตวาเลนไทน์ในวันนั้นล่ะ”
     “รู้แล้วล่ะ ชินจิกับมายะบอกฉันแล้ว”
     “งั้นฉันจะได้ของขวัญวันไวท์เดย์ด้วยใช่ไหม” อัตสึโตะถามด้วยแววตาเป็นประกาย แล้วก็ทำหน้ายู่เมื่อโดนมานูเอลดีดหน้าผาก
     “งกจริง ฉันต้องให้นายอยู่แล้วล่ะ”
     “เย้” อัตสึโตะร้อง แล้วโยนช็อกโกแลตชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เมื่อช็อกโกแลตหมด ความสนใจของชายหนุ่มก็กลับมาอยู่ที่คนรักอีกครั้งหนึ่ง อัตสึโตะมองมานูเอลตาแป๋ว
     “อร่อยไหม” มานูเอลถาม อัตสึโตะพยักหน้า
     “อิ่มไหม” มานูเอลถามต่อ อัตสึโตะส่ายหน้า
     “งั้นฉันไปทำอาหารเย็นดีกว่า นายอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมวันนี้ มายะสอนฉันทำแกงกะหรี่เมื่อวันก่อน ฉันเลยว่าจะลองทำสปาเก็ตตี้แกงกะหรี่ สนใจรึเปล่า ใส่ชีสด้วย” มานูเอลถาม
     อัตสึโตะส่ายหน้าอีก
     “ไม่เอา ไม่อยากกินแกงกะหรี่”
     “หรือเอาเป็นพาสต้าอย่างอื่นดีกว่า”
     “พาสต้าก็ไม่เอา”
     “แล้วนายจะเอาอะไร”
     อัตสึโตะจ้องหน้ามานูเอลอย่างขัดใจ แล้วก็เลยงอน ซุกหน้ากับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่
     “อัตสึโตะ เป็นอะไรอีกเนี่ย ลุกขึ้นมาคุยกันก่อนสิ” มานูเอลพยายามกลั้นยิ้มเต็มที่
     “ไม่เอา” เสียงอู้อี้ของอัตสึโตะตอบกลับมา หน้ายังซุกอยู่กับพุงตุ๊กตา
     “สงสัยโมโหหิว ฉันไปทำอาหารเย็นแล้วนะ รอแป๊บนึง”
     อัตสึโตะลุกขึ้นมานั่งทันที มือยังกอดตุ๊กตาหมีไม่ยอมปล่อย แต่หน้ามุ่ย โวยว่า
     “นายอย่าแกล้งฉันสิ!”
     มานูเอลหัวเราะออกมาแล้วคราวนี้ ชายหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ คนรักที่ยังยึดตุ๊กตาหมีแน่น ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บแก้มป่อง ๆ ของคนที่กำลังงอนหน้าคว่ำ อัตสึโตะจึงยอมปล่อยมือจากตุ๊กตาหมีและโผกอดอีกฝ่ายแน่น มานูเอลกอดกระชับร่างของอัตสึโตะแน่นเช่นเดียวกัน
     “ขอโทษที นายมันน่ารักน่าแกล้งนี่ ฉันรักนายนะอัตสึโตะ”
     เขาพูด แต่ไม่หวังคำตอบหวาน ๆ จากอัตสึโตะ และก็จริงเพราะหมอนั่นแค่ตอบเสียงอู้อี้ว่า
     “รู้แล้วน่า!”
     มานูเอลแตะหน้าผากของตัวเองกับหน้าผากของอัตสึโตะเหมือนเมื่อครั้งที่เขายอมรับความรู้สึกจากหัวใจของตัวเองว่าเขารักผู้ชายที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาคนนี้ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มไม่ต้องหักห้ามใจตัวเองอีกต่อไป
     “นายพร้อมใช่ไหม” มานูเอลถามเสียงแผ่ว
     แล้วเมื่ออัตสึโตะพยักหน้า ริมฝีปากของมานูเอลก็ประกบลงมา แผ่วเบาอ่อนโยนในตอนแรกก่อนจะเร่าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ อัตสึโตะโอบแขนรอบคอคนรักเอาไว้พร้อมกับตอบรับด้วยความรู้สึกทั้งหมดจากหัวใจของเขา
     ในความรู้สึกที่ล่องลอยเหมือนอยู่ท่ามกลางปุยเมฆ อัตสึโตะแทบไม่รู้ตัวว่าเขากอดมานูเอลแน่นแค่ไหนและเสียงของเขาที่ลอดผ่านริมฝีปากออกไปนั้นหวานแค่ไหนขณะที่พูดว่า
     “มานูเอล ฉันรักนายที่สุด”

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 09.10.2014 page 3
«ตอบ #71 เมื่อ09-10-2014 16:44:58 »

วันนี้ที่รอคอย ....  อัตสึโตะ  กล่าว 555

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 09.10.2014 page 3
«ตอบ #72 เมื่อ09-10-2014 20:06:15 »

     เรื่องทุกอย่างทำท่าจะดีขึ้นจริง ๆ
     ทริปสุดท้ายของเทอมนี้เริ่มต้นด้วยความชื่นมื่น เป็นความสนุกสนานครั้งใหญ่ก่อนจะถึงช่วงเวลาแห่งการสอบอันแสนทารุณและการจากลาหลังจากการเรียนในภาคฤดูหนาวจบลง
     อัตสึโตะกับมานูเอลไปร่วมฉลองคาร์นิวัลที่เคิล์นตามคำชวนของโธมัส พวกเขาเดินทางไปพร้อมกับมายะ ยูเลี่ยน เควิน ชินจิและเจอโรม เมื่อรถไฟอีเซเอจากเบอร์ลินจอดเทียบท่าที่สถานีเคิล์นในตอนบ่ายโมงกว่า ๆ พวกเขาก็เจอโธมัส เบเนดิกท์ และแฟนของพวกเขาที่ชื่อลิซ่าเหมือนกันมารอรับอยู่แล้ว
     ทุกคนกอดทักทายกันด้วยความดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง มีเพียงเควินกับเจอโรมที่เพียงแต่จับมือด้วยเพราะไม่คุ้นเคยกับเพื่อนของมานูเอลเท่ากับคนอื่น ๆ
     “เอาของไปเก็บที่โวนนุ่งก่อนละกันนะ แล้วค่อยออกมาเที่ยวในเมืองกัน” ลิซ่าแฟนโธมัสบอก หญิงสาวเป็นคนสวยมาก สวยและหวานจนเมื่อเจอกันครั้งแรก พวกอัตสึโตะพากันสงสัยว่าทำไมคนสวยอย่างลิซ่าถึงไปตกหลุมรักผู้ชายที่บ้า ๆ รั่ว ๆ อย่างโธมัสได้
     ส่วนลิซ่าอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นแฟนเบเนดิกท์ดูเป็นคนเอาจริงเอาจัง แต่ก็เป็นมิตรและทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีเพราะหล่อนเรียนอยู่ที่นี่ โวนนุ่งหรือที่พักที่พวกเขาจะไปพักกันคืนนี้ก็เป็นโวนนุ่งที่หล่อนเช่าอยู่กับเพื่อน ๆ แต่ตอนนี้โวนนุ่งว่างเพราะเพื่อน ๆ ของหล่อนไปเรียนและฝึกงานที่ต่างประเทศกันหมด ลิซ่าจึงได้ครองโวนนุ่งคนเดียวและสามารถเปิดให้เพื่อน ๆ ของแฟนมาพักกันระหว่างมาเที่ยวงานคาร์นิวัลได้
     “มานู เคิล์นนิช วาสเซอร์ คืออะไร”
     ระหว่างที่เดินตามกันมา อัตสึโตะกระตุกชายเสื้อคนรักเมื่อเห็นตัวอักษรสีฟ้าขนาดใหญ่เด่นเป็นสง่าเขียนว่า „Echt Kölnisch Wasser“ ติดอยู่ภายในตัวอาคารสถานีชนิดอยู่ที่ไหนในบริเวณสถานีแห่งนี้ก็ต้องมองเห็น
     “อ๋อ น้ำหอมไง โอเดอโคโลญจน์ 4711 สินค้าขึ้นชื่อของเคิล์น ที่ขวดมันสีฟ้า ๆ ทอง ๆ” มานูเอลอธิบาย ชี้ให้ดูป้ายตัวเลขสีทองที่ติดอยู่เหนือตัวหนังสือ
     “กลิ่นเป็นยังไง น่าใช้ไหม”
     “ฉันว่ากลิ่นดั้งเดิมมันฉุนไปหน่อย แต่ก็เห็นออกกลิ่นใหม่ ๆ มาเหมือนกันนะ มีทั้งบอดี้สเปรย์ โลชั่น ถ้านายอยากลองกลิ่นดูและเรามีเวลา ฉันจะพาไปที่ร้านที่กล็อกเค่นกัซเซ่อ” มานูเอลบอก
     เมื่อออกมาจากสถานีรถไฟ พวกเขาก็เจอกับความยิ่งใหญ่อลังการของมหาวิหารแห่งเมืองเคิล์นเป็นสิ่งแรกซึ่งเป็นโบสถ์สไตล์โกธิคที่ใหญ่โตมโหฬาร หอคอยทั้งสองสูงเสียดฟ้า อัตสึโตะต้องแหงนหน้าจนคอตั้งบ่าถึงจะมองเห็นได้ทั้งหมด
     “ถ่ายรูปกันเถอะ” ชินจิชวนทุกคนพลางหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาเพื่อเก็บภาพเป็นที่ระลึกก่อนจะเดินต่อเพื่อไปยังที่พักซึ่งอยู่ห่างออกไปจากสถานีรถไฟและมหาวิหารไม่ไกลนักในบริเวณนอยชตัดท์นอร์ด ใช้เวลาเดินราว ๆ สิบห้านาที
     โวนนุ่งที่พักเป็นตึกสีน้ำตาลอมเหลือง ภายในกว้างขวางและเป็นระเบียบ คงเพราะเป็นที่พักของผู้หญิง ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์บอกว่าเพื่อนร่วมโวนนุ่งทั้งสองคนของหล่อนเป็นผู้หญิงทั้งหมด โวนนุ่งแห่งนี้มีสามห้องนอน หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องนั่งเล่นและหนึ่งห้องน้ำ ด้านนอกมีระเบียงเล็ก ๆ ที่วางโต๊ะกับเก้าอี้ไว้สำหรับนั่งพักผ่อน
     “อาจจะคับแคบหน่อยนะ แต่ก็น่าจะพออยู่ด้วยกันได้” ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์ออกตัวเมื่อเปิดห้องให้ทุกคนดู หล่อนให้โธมัสกับลิซ่าอีกคนมานอนที่ห้องของหล่อนกับเบเนดิกท์ อีกห้องหนึ่งให้เควิน ชินจิและเจอโรมนอนด้วยกัน และห้องสุดท้ายเป็นมานูเอลกับอัตสึโตะพักรวมกับมายะและยูเลี่ยน
     “แต่ถ้านอนสี่คนอึดอัด จะออกมานอนที่ห้องนั่งเล่นก็ได้นะ โซฟาปรับเป็นเตียงได้” เจ้าของโวนนุ่งบอกเมื่อเห็นมายะกับยูเลี่ยนตีหน้าปุเลี่ยน ๆ เพราะไม่ว่าจะได้นอนบนเตียงหรือบนพื้นหน้าเตียง ทั้งสองคนก็ต้องนอนด้วยกัน เนื่องจากอัตสึโตะไม่ยอมนอนกับคนอื่นที่ไม่ใช่มานูเอล
     “ฉันนอนที่ห้องนั่งเล่นเอง ขอบใจนะลิซ่า” ยูเลี่ยนแทบจะโดดกอดแฟนเพื่อนที่เสนอทางออกให้เพราะตอนนี้เขาใกล้จะผื่นขึ้นแล้วเมื่อเห็นว่าตัวเองอาจจะได้นอนกับไอ้หน้าเต้าหู้
     “ดี ไปเลย ชิ่ว ๆ” มายะถือโอกาสไล่ทันที
     หลังจากแบ่งห้องและเก็บของเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็ออกมาเดินเที่ยวในเมืองกัน เคิล์นตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศที่มาร่วมงานคาร์นิวัล ทุกคนสนุกกันอย่างสุดเหวี่ยง เดินไปไหนก็เห็นผู้คนหัวเราะหรือแต่งตัวแปลก ๆ ตลก ๆ ในมือถือเบียร์แก้วโต
     “คาร์เนวัลเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่สิบเอ็ดเดือนสิบเอ็ด เวลาสิบเอ็ดนาฬิกาสิบเอ็ดนาที บางแห่งก็เรียกฟาสชิ่ง ถ้าเป็นทางใต้จะเรียกฟาสท์นาคท์ เป็นช่วงเวลาก่อนการเริ่มต้นการถือศีล Fasten ของพวกคาธอลิก ช่วงนั้นนะจะห้ามไม่ให้มีการกินเนื้อสัตว์หรือดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้นก่อนการเริ่มต้นฟาสเท่น เราจึงต้องฉลองกันอย่างสุดเหวี่ยง” ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์เล่าขณะที่เดินกลับมาเริ่มต้นกันที่มหาวิหารประจำเมือง “คาร์นิวัลจะถูกเบรกในช่วงคริสต์มาส พอจบคริสต์มาส เราก็กลับมาฉลองกันอีก Straßenkarneval หรือความบ้าคลั่งทั้งหลายจะเริ่มขึ้นในวันไวเบอร์ฟาสท์นาคท์ แล้วก็ฉลองกันอย่างสุดเหวี่ยงต่อเนื่องตลอดเจ็ดวัน ผู้คนออกมาเดินพาเหรด แต่งคอสตูมเดินกันตามท้องถนน เรียกว่าช่วงนี้คนบ้าครองเมืองเลยล่ะ”
     “แล้วพรุ่งนี้ที่เป็นวันจันทร์ เราจะเรียกว่า โรเซ่นโมนถาก ถือเป็นไฮไลท์ของคาร์นิวัลเลยนะ จะมีขบวนพาเหรดยาวหลายกิโลไปตามท้องถนน มีการแสดง มีการเต้น มีดนตรี มีรถลากแต่งอย่างสวยงาม แล้วคนในขบวนจะโยนขนม ดอกไม้ ช็อกโกแลตมาให้พวกเราด้วยล่ะ” ลิซ่าแฟนโธมัสเสริมต่อพร้อมกับยิ้มหวาน
     “แสดงว่าพรุ่งนี้เราก็จะได้ช็อกโกแลตน่ะสิ ว้าว” อัตสึโตะฟังแล้วตาเป็นประกายทันที
     ทั้งหมดมีเวลาเที่ยวเคิล์นครึ่งวันบ่าย ตอนแรกเจ้าบ้านต้องการจะให้เที่ยวชมย่านเมืองเก่าและถ่ายรูปกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญสัญลักษณ์ของเคิล์นก่อน แต่ตอนที่มากันนั้นมีการจัดแสดงนิทรรศการแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่พิพิธภัณฑ์โอดิสเซอุมพอดี แผนการจึงต้องเปลี่ยนนิดหน่อย การเที่ยวชมเมืองเคิล์นจึงเริ่มต้นขึ้นที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นอาคารกระจกสีขาวขนาดใหญ่
     มานูเอลกับอัตสึโตะตรงไปส่วนที่จัดแสดงนิทรรศการแฮร์รี่ พอตเตอร์ก่อนอื่น สำหรับคนอื่น ๆ ที่ไม่ชอบด้วยก็สามารถสนุกสนานกับกิจกรรมที่น่าสนใจอย่างอื่นในพิพิธภัณฑ์ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็เดินตามกันไปดูโลกแห่งพ่อมดด้วยกันทั้งนั้น
     “สุดยอดเลย” อัตสึโตะอุทานเมื่อเห็นของต่าง ๆ จากในหนังสือและที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งเจ็ดภาคจัดแสดงอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มดึงมือมานูเอลให้เข้าไปสำรวจฮอกวอตส์ กระท่อมของแฮกริด ห้องโถงใหญ่ ห้องเรียน และหอนอนของแฮร์รี่ที่มีชุดต่าง ๆ ที่เขากับรอนใส่จัดแสดงอยู่
     ทั้งสองคนเพลิดเพลินอยู่ในโลกของพ่อมดและมนตร์วิเศษจนแทบไม่ได้สนใจใคร พากันไปดูถ้วยรางวัลการแข่งไตรภาคี ไปลองยกต้นแมนเดรกหน้าตาน่าเกลียดที่กรีดร้องเสียงโหยหวน ไปดูชุดควิดดิชแบบต่าง ๆ และลองโยนลูกควัฟเฟิลให้เข้าห่วง
     “สองคนนั้นน่ารักดีนะ” ลิซ่าแฟนโธมัสหันมาพูดกับคนอื่น ๆ หลังจากที่มองอัตสึโตะกับมานูเอลอยู่พักใหญ่ “ฉันนึกว่าพอเลิกกับคาธี่แล้วมานูจะแย่ แต่เห็นยังงี้ก็ดีใจ”
     โธมัสกระแอม แต่แฟนสาวของเขาไม่ได้เฉลียวใจจนกระทั่งแขนทั้งสองข้างของหล่อนถูกมายะกับยูเลี่ยนล็อกเอาไว้คนละข้าง
     “ปกติฉันเป็นสุภาพบุรุษนะ ไม่ทำร้ายผู้หญิง แต่เธอพูดจาทำร้ายจิตใจพวกเรามาก ใช่ไหมไอ้หน้าเต้าหู้” ยูเลี่ยนพูดเสียงเหี้ยม มายะก็รับลูกต่ออย่างไม่ขัดเขิน
     “ถูกแล้ว ไอ้เด็กบ้า เธอทำร้ายจิตใจพวกเราจนยับเยิน ลิซ่า ฉันจะจับเธอไปปล่อยในอวกาศ”
     ลิซ่าแฟนโธมัสตาโตเมื่อถูกมายะกับยูเลี่ยนลากไป โธมัสยืนหัวเราะขำ ไม่ยอมเข้าไปช่วยแฟนตัวเอง เบเนดิกท์กับลิซ่าอีกคนหนึ่งโคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ แต่ไม่ได้ขยับตัวไปช่วยเหมือนกัน
     “พวกนั้นนี่ยังเครซี่อัตสึโตะไม่เลิกเลยนะ” เบเนดิกท์พูด
     “บ้าไม่เปลี่ยน” โธมัสยังหัวเราะอยู่ ขณะที่ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์พูดว่า
     “ฉันจะเดินไปบอกมานูกับอัตสึโตะก็แล้วกัน พวกเธอตามสามคนนั้นไปก่อนก็ได้”
     ชินจิก็พลอยอมยิ้มไปกับคนอื่น ๆ ด้วยเหมือนกัน แต่เมื่อหันไปเห็นหน้าเฉย ๆ ของเควินกับเจอโรม รอยยิ้มของเขาก็หายไป ชายหนุ่มชวนว่า
     “ไปดูไดโนเสาร์กันต่อดีไหม แล้วค่อยกลับมาเจอพวกนั้น” เขาพยายามเลือกสิ่งที่คิดว่าคนรักกับเพื่อนจะสนใจ แล้วเดินไปบอกคนอื่น ๆ ว่าจะขอแยกไปยังส่วนที่จัดแสดงหุ่นยนต์ไดโนเสาร์ก่อน ดังนั้นเมื่อลิซ่าแฟนเบเนดิกท์เดินกลับมาสมทบกับคนอื่น ๆ พร้อมกับมานูเอลและอัตสึโตะ พวกชินจิก็แยกไปอีกทางแล้ว

     อวกาศที่มายะว่าคือกิจกรรมที่ถูกเรียกว่าการฝึกเป็นนักบินอวกาศ ในพิพิธภัณฑ์มีการจำลองการฝึกนักบินอวกาศโดยจะให้คนเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่ถูกยึดให้ติดกับวงกลมสองวงที่มีเพียงเส้นรอบวง แล้ววงกลมสองวงที่ซ้อนไขว้กันอยู่จะหมุนไปหมุนมาให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หมุนตามไปด้วยจนหัวทิ่มเท้าชี้ฟ้า
     โธมัสยืนขำมองดูแฟนของเขาถูกเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงอยู่ในวงกลม อัตสึโตะมองด้วยความสนใจอยากจะเข้าไปลองบ้างและหลังจากลิซ่าแฟนโธมัสถูกเหวี่ยงอยู่ห้านาทีก็เป็นตาของเขา
     “นายเอาของที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาก่อน” มานูเอลเตือนแล้วช่วยเก็บโทรศัพท์มือถือกับเศษเหรียญสามสี่อันที่อัตสึโตะเก็บใส่กระเป๋ากางเกงไว้ ของอย่างอื่นชายหนุ่มเก็บเอาไว้ในกระเป๋าสะพายใบเล็กซึ่งเขาก็ถอดให้มานูเอลช่วยถือให้เช่นกัน เพราะการจะเข้าไปเล่นเจ้าเครื่องนี้ได้มีเงื่อนไขพอประมาณคือต้องไม่มีของอยู่ในกระเป๋าเสื้อหรือกางเกง และต้องไม่มีแผลสด เพิ่งผ่าตัด กระดูกหัก หรือไม่เป็นโรคบางอย่างเช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ไม่เมา ไม่เสพยา และที่สำคัญต้องสูงไม่เกินร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตรและน้ำหนักไม่เกินเก้าสิบกิโลกรัม ซึ่งอัตสึโตะผ่านทั้งหมด แต่มานูเอลอดเล่นเพราะเขาตัวสูงเกินไปและน้ำหนักเกินด้วย
     “ไหวไหมอัตสึโตะ” มานูเอลถามหลังจากที่เห็นคนรักเดินทำหน้ามึน ๆ ลงมาหลังจากถูกเหวี่ยงอยู่ประมาณห้านาที อัตสึโตะพยักหน้า แต่เขาเกาะแขนมานูเอลแน่นและพึมพำแบบมึน ๆ ว่า
     “ไหว แต่ฉันคิดว่าฉันไม่มีวันเป็นนักบินอวกาศได้อย่างเด็ดขาด”
     คนอื่น ๆ ที่ได้ยินเข้าพากันหัวเราะชอบใจเพราะลิซ่าแฟนโธมัสก็พูดเหมือนกันไม่มีผิด
     “ไปไหนต่อดี” มายะถาม
     “ไปดูไดโนเสาร์ไหม พวกชินจิก็น่าจะอยู่แถวนั้น” โธมัสเสนอและนำทุกคนไป
     พวกชินจิไม่ได้อยู่ทีส่วนจัดแสดงไดโนเสาร์แล้วตอนที่พวกเขาไปถึง แต่ทุกคนก็ไม่ได้สนใจนัก คิดว่าค่อยโทรศัพท์หากันอีกทีก็ได้ แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปดูสิ่งที่ตัวเองสนใจ อัตสึโตะก็หายมึนทันทีที่เห็นหุ่นจำลองไดโนเสาร์เหมือนของจริงเปี๊ยบอยู่ตรงหน้า เขาพุ่งเข้าหาไทรันโนซอรัสเร็กซ์ก่อนเพื่อน
     “สุดยอด” ชายหนุ่มอุทานคำนี้เป็นครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่เขาตื่นเต้นมาก ๆ ที่เห็นเจ้าทีเร็กซ์ขยับได้อยู่ท่ามกลางพรรณไม้ของโลกล้านปี หัวใหญ่ ๆ ของมันขยับไปทางโน้นทางนี้ทีพร้อมกับอ้าปากกว้างอวดฟันซี่ใหญ่แหลมคมและคำรามขู่ขวัญเสียงเหี้ยม
     “ทีเร็กซ์ไม่ได้เป็นไดโนเสาร์ชนิดที่ใหญ่โตและร้ายกาจที่สุดอีกต่อไปแล้ว” มานูเอลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตัวอัตสึโตะพูดขึ้นมา “แต่มันก็ยังมีเสน่ห์และเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
     อัตสึโตะเงยหน้าขึ้นมายิ้มรับอย่างเห็นด้วย เขาก็ชอบเจ้าฟันแหลมสุดโหดนี่ที่สุดเหมือนกัน
     “แต่ฉันชอบแร็พเตอร์ด้วยนะ ไดโนเสาร์หมาหมู่ในหนังของสปีลเบิร์กน่ะ โหดดี”
     “เอ แต่ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีแร็พเตอร์รึเปล่านะ” มานูเอลพูดแล้วดึงมืออัตสึโตะให้เดินตามหา
     พวกอัตสึโตะได้กลับมาเจอกับชินจิ เควินและเจอโรมอีกครั้งที่ห้องจำลองการบิน เควินไม่สนใจแฮร์รี่ พอตเตอร์ ไดโนเสาร์ หรือกิจกรรมวิทยาศาสตร์อย่างอื่น แต่เขากลับสนุกกับการขับเครื่องเชสน่าในการจำลองซิมูเลเตอร์ ชินจินั่งข้าง ๆ เขาและเจอโรมนั่งอยู่ข้างหลังร่วมกันมองความสวยงามของเคิล์นในมุมสูงจากเครื่องบินเชสน่าจำลอง
     ชินจิรู้สึกดีมากที่ในที่สุดเควินก็ดูสนุกสนาน ไม่ได้ทำหน้าเฉย ๆ เหมือนเดิมอีก
     แต่อย่างไรก็ตามเควินก็คือเควินที่ไม่ชอบเข้าพิพิธภัณฑ์อยู่ดี หลังจากออกจากโอดิสเซอุมและทราบว่าทุกคนอยากไปพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตกันต่อ ชายหนุ่มก็ขอบายทันที
     “ฉันไม่อยากไปพิพิธภัณฑ์แล้ว ฉันจะไปหา Kölsch กินสักหน่อย”
     เควินหมายถึงเคิลช์เบียร์ ของขึ้นชื่อของเมือง เป็นเบียร์สีอ่อนเสิร์ฟในแก้วทรงสูงขนาด 0.2 ลิตร
     ชินจิละล้าละลัง ตอนที่ลิซ่าแฟนโธมัสพูดถึงพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตให้อัตสึโตะฟังนั้น ชายหนุ่มรู้สึกว่าน่าสนใจมากและเขาก็อยากไป
     “งั้นพวกนายสองคนก็ไปหาเบียร์กิน ชินจิก็มาพิพิธภัณฑ์กับพวกเรา” อัตสึโตะดึงแขนชินจิทันที เสียงของเขาแข็งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เพราะลึก ๆ แล้วเขาไม่ค่อยพอใจเควินมาตั้งแต่เรื่องอัมสเตอร์ดัมและปาร์ตี้กัญชาที่ทำให้ฟลอร์ของมายะพังแล้ว
     “อัตสึโตะ” มานูเอลเรียกชื่อคนรักเป็นเชิงปรามพร้อมกับจับไหล่ของอัตสึโตะไว้
     “ชินจิ” อัตสึโตะเรียกอีก
     “เอ้อ...ฉันขอโทษนะ ฉันว่าฉันไปกับเควินดีกว่า” ชินจิปลดมือของเพื่อนออกจากแขนของเขาอย่างนุ่มนวล สีหน้าของชายหนุ่มไม่ค่อยดีเท่าไร แต่เขาก็ตัดสินใจแล้ว
     “แล้วค่อยเจอกันนะอัตสึโตะ”
     ชินจิเดินไปกับเควินและเจอโรมแล้ว อัตสึโตะจึงสบถออกมาด้วยความขัดใจว่า
     “ชินจิเป็นอย่างนี้ทุกที จะเอาใจเควินมันไปถึงไหน!”
     มานูเอลโอบไหล่คนรักทันที แต่อัตสึโตะก็ยังไม่ยอมหยุดพูดด้วยความไม่พอใจ
     “เห็น ๆ อยู่ว่าชินจิอยากไปพิพิธภัณฑ์ ไอ้เควินมันยังไม่สนใจเลย เบียร์น่ะกินเมื่อไหร่ก็ได้ คืนนี้ก็ยังได้ แค่ไปเป็นเพื่อนแฟนแค่นี้มันจะลำบากอะไรนักหนา ฉันไม่ชอบใจจริง ๆ นะ ชินจิแคร์เควินมากเกินไปแล้ว ไอ้เควินมันเคยแคร์แฟนมันมั่งรึเปล่า”
     ทุกคนมองอัตสึโตะเป็นตาเดียว โดยเฉพาะเพื่อน ๆ ของมานูเอลและแฟนสาวของพวกเขาที่มองมาด้วยความสนใจเพราะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรมาก่อน
     “ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงชินจิ แต่จำที่ฉันเคยบอกได้ไหมว่าเรื่องความรักเป็นเรื่องของเควินกับชินจิแค่สองคน เราทำได้แค่ดูอยู่ห่าง ๆ แค่นั้น ชินจิรักเควินมากแล้วเขาก็เลือกที่จะอยู่กับเควิน เลือกความต้องการของเควินก่อนความต้องการของตัวเอง นั่นคือความรักแบบของชินจิ ถึงนายจะไม่ชอบ แต่นายก็ต้องยอมรับนะ”
     “ชินจิรักเควิน แล้วเควินล่ะ รักชินจิจริง ๆ รึเปล่า”
     มานูเอลไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้ของอัตสึโตะ เขาเพียงแต่พูดว่า
     “ฉันตอบแทนเควินไม่ได้หรอก แต่ฉันเชื่อว่าชินจิมีคำตอบอันนี้อยู่ เราคอยช่วยชินจิเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือดีกว่า”
     “นายพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง” อัตสึโตะถาม ทั้ง ๆ ที่ในใจของเขาก็มีคำตอบอยู่แล้ว
     “ไม่มีอะไรหรอก แค่พูดเผื่อไว้ ชินจิอาจจะไม่ต้องการความช่วยเหลือของพวกเราก็ได้”
     อัตสึโตะไม่พูดอะไรต่อ แต่กอดมานูเอลแน่นด้วยความอัดอั้นซึ่งชายหนุ่มก็กอดตอบ แล้วโยกตัวไปมาช้า ๆ เพื่อเป็นการปลอบโยน พลางบอกด้วยน้ำเสียงติดตลกว่า
     “คิดมากแบบนี้จะกินช็อกโกแลตไม่อร่อยนะ น่าเสียดาย ที่พิพิธภัณฑ์มีน้ำพุช็อกโกแลตอันใหญ่ยักษ์เลยให้เราเอาวัฟเฟิลไปจุ่ม นายไม่อยากกินเหรอ”
     “จริงเหรอ” อัตสึโตะเงยหน้าขึ้นมาทันที มานูเอลพยักหน้า
     “จริงสิ วัฟเฟิลจุ่มช็อกโกแลตอร่อย ๆ นายจะกินส่วนของฉันด้วยก็ได้”
     “ว้าว สุดยอด งั้นเราไปกันเลยนะ” อัตสึโตะหน้าชื่นขึ้นมาทันที 
     ข้างหลังพวกเขา มายะถอนหายใจเฮือกใหญ่ โธมัสเข้ามาตบหลังปลอบใจปุปุ แต่คำพูดของมันนี่บาดใจเขายิ่งนัก
     “หึหึ อัตสึโตะอารมณ์ดีละ หมอนี่มันโคตรแพ้ทางมานูเลย ไปไหนไม่รอดแล้วล่ะแบบนี้ ส่วนนายน่ะ ตัดอกตัดใจซะเถอะเพื่อน”

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 09.10.2014 page 3
«ตอบ #73 เมื่อ09-10-2014 20:45:08 »

ชิ........ชินจิ คงอยู่ในข่าย ... รุ้เขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอก

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 09.10.2014 page 3
«ตอบ #74 เมื่อ09-10-2014 21:44:03 »

เป็นกำลังใจให้ชินจิ สู้ๆน้าค้า o13

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 09.10.2014 page 3
«ตอบ #75 เมื่อ10-10-2014 07:18:32 »

     พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตเป็นอาคารสีขาวหลังใหญ่สร้างอยู่ในแม่น้ำไรน์เหมือนกับเป็นเกาะกลางน้ำ พวกเขานั่งรถไฟชตัดท์บาห์นสายเก้ามาลงที่ป้ายฮอยมาร์คต์แล้วเดินต่อมาตามริมฝั่งแม่น้ำไรน์จนเห็นป้ายพิพิธภัณฑ์คู่กับป้ายชื่อช็อกโกแลตยี่ห้อดัง
     อัตสึโตะชอบพิพิธภัณฑ์นี้มากเพราะช็อกโกแลตอร่อยเหมือนกับที่มานูเอลบอกจริง ๆ
     น้ำพุช็อกโกแลตอยู่ในอาคารกระจก ถึงแม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปจุ่มช็อกโกแลตเองตามใจชอบ แต่เจ้าหน้าที่ก็ใจดีเอาวัฟเฟิลไปจุ่มช็อกโกแลตจนชุ่มมาให้ชิมหลายชิ้น มานูเอลก็ยกส่วนของตัวเองให้อีกชิ้นตามที่สัญญาเอาไว้ อัตสึโตะจึงอารมณ์ดีขึ้นมาก ยิ่งได้เห็นเครื่องจักรผลิตช็อกโกแลต ได้ดูคนกำลังทำช็อกโกแลตแบบต่าง ๆ และเห็นต้นโกโก้ของจริง ชายหนุ่มก็ยิ้มออก เขาเดินตามมานูเอลเดินชมประวัติความเป็นมาของโกโก้และช็อกโกแลต ได้เห็นภาชนะที่เอาไว้เสิร์ฟช็อกโกแลต เห็นโฆษณา บรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตแบบต่าง ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
     “อ๊ะ นูเทลล่าของนาย” อัตสึโตะชี้ไปที่กระปุกช็อกโกแลตที่วางอยู่กับผลิดภัณฑ์ในยุคสมัยใหม่ มีช็อกโกแลตยี่ห้อที่คุ้นเคยอีกหลายอย่างวางอยู่ด้วยกัน แล้วเขาก็รำพึงตาละห้อยว่า
     “ฉันอยากทำงานที่นี่จัง ถ้าฉันไปสมัคร นายว่าเขาจะรับไหม”
     มานูเอลฟังแล้วส่ายหน้าทันที
     “ไม่มีทาง ขืนให้นายทำงานที่นี่ นายเป็นได้กินช็อกโกแลตหมดทั้งพิพิธภัณฑ์แน่ ฉันว่าเขาไม่กล้าเสี่ยงหรอก”
     อัตสึโตะยิ่งทำตาละห้อยเมื่อก้าวเข้ามาในร้านขายของของพิพิธภัณฑ์ที่เหมือนกับจะรวมเอาช็อกโกแลตทุกชนิดที่มีในโลกมาไว้ข้างในนี้ และถ้ามานูเอลไม่ลากเขาออกมาก่อน อัตสึโตะก็คงจะอยู่แต่ในนี้โดยที่ไม่สนใจจะไปที่อื่นอีก แต่กระนั้นเขาก็ยังได้ช็อกโกแลตหน้าตาน่าอร่อยมาสามกล่อง สองกล่องเป็นของเขา อีกกล่องหนึ่งเขาบอกว่า
     “จะเอาไปฝากชินจิ หมอนั่นต้องชอบแน่ ๆ”
     “นายชอบกินขนมขนาดนี้ พรุ่งนี้นายต้องรู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์แน่เลยอัตสึโตะ จะมีขนมเต็มไปหมดเลยล่ะ” โธมัสพูด
     เมื่อออกมาจากพิพิธภัณฑ์ แสงแห่งวันหมดไปแล้ว แต่เคิล์นก็ยังสว่างไสวด้วยแสงไฟจากอาคารบ้านเรือน อัตสึโตะเห็นยอดแหลม ๆ ของมหาวิหารสว่างจ้าโดดเด่นยิ่งกว่าที่ไหน ๆ
     “คราวนี้ก็ถึงเวลาเดินเล่นริมแม่น้ำไรน์แล้ว” ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์พูดยิ้ม ๆ ขณะที่ลิซ่าแฟนโธมัสยัดอะไรบางอย่างใส่มือของอัตสึโตะ
     “แม่กุญแจ เอามาให้ฉันทำไมน่ะ” อัตสึโตะมองของในมืองง ๆ
     ลิซ่าทั้งสองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะที่เบเนดิกท์ตบหลังมานูเอลพลางบอกว่า
     “เดินไปให้ถึงสะพานโฮเฮ่นซอลเลิร์นเลยนะ”
     ส่วนโธมัสดึงแขนมายะกับยูเลี่ยนให้เดินไปกับเขาในทิศทางตรงกันข้าม บอกว่า
     “เราไปหาอะไรกินกันเถอะ ฉันจะพาพวกนายไปกินเคิลช์กับฟริทเท่นที่อร่อยที่สุดในเมือง”
     “ไม่เอา ฉันจะไปกับอัตสึโตะ!” มายะร้องโหยหวนประสานกับเสียงของยูเลี่ยน แต่ทั้งคู่ก็ถูกเพื่อน ๆ ของมานูเอลลากไปจนได้
     “ตกลงมันยังไงน่ะ” อัตสึโตะยังงงอยู่ หันมาถามมานูเอลเมื่อเหลือกันเพียงแค่สองคนหน้าพิพิธภัณฑ์ แต่ฝ่ายหลังไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแต่จูงมือเขาให้เดินตามมา
     “สวยจังเลย”
     อัตสึโตะอุทานเมื่อเห็นแสงไฟจากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำและถ้ามองตรงไปข้างหน้าก็จะเห็นแสงไฟสวย ๆ จากมหาวิหารกับสะพานขนาดใหญ่ซึ่งก็คือสะพานโฮเฮ่นซอลเลิร์นที่เบเนดิกท์พูดถึงเมื่อสักครู่นี้
     “เราจะเดินไปจนถึงสะพานนั่นใช่ไหม”
     “ใช่ น่าจะประมาณสักกิโลกว่า นายเดินไหวใช่ไหม”
     “แน่นอน ฉันวิ่งจ๊อกกิ้งกับนายทุกเช้านี่นา ฉันแข็งแรงจะตาย” อัตสึโตะอวด อยากจะเบ่งกล้ามให้ดูเป็นเครื่องยืนยัน แต่ใส่เสื้อโค้ตหนาขนาดนี้เบ่งไปก็มองไม่เห็น เขาเลยไม่ทำ
     “เก่งมาก” มานูเอลลูบศีรษะอัตสึโตะ เขาดูผ่อนคลายและมีความสุขเมื่อได้เดินช้า ๆ จับมือคนรักไปด้วยกันแบบนี้
     ทั้งสองคนเดินไปตามทางเดินริมแม่น้ำที่ทอดตรงไปสู่มหาวิหาร
     “ฉันไม่อยากกลับญี่ปุ่นเลย” จู่ ๆ อัตสึโตะก็พูดขึ้น
     มานูเอลยิ้ม มือของเขากระชับมือของอัตสึโตะแน่นขึ้นอีกนิด
     “ไม่อยากกลับก็ไม่ต้องกลับสิ”
     “ได้ไงล่ะ หมดเวลาแล้วนี่นา ถ้าจะมาใหม่ก็ต้องหาทุนหาอะไรกันใหม่” อัตสึโตะทำหน้ายุ่ง
     “ท้อไหม ที่เรื่องของเรามันยุ่งยากยังงี้ ญี่ปุ่นกับเยอรมนีก็ไกลกันคนละทวีป” มานูเอลถาม
     “นั่งเครื่องบินแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ไม่เห็นจะไกลสักหน่อย” อัตสึโตะพูดด้วยความดื้อดึง ชายหนุ่มหยุดเดินทำให้มานูเอลพลอยหยุดตามไปด้วย
     อัตสึโตะจ้องหน้าคนรักเขม็ง แต่เขาได้รับรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นของมานูเอลตอบกลับมา
     “ฉันกำลังจะไปคุยกับแฮร์เลอเว่นแฮร์ตส์เรื่องทุนทำวิจัยที่ญี่ปุ่น ถ้าสำเร็จ ฉันจะได้ไปอยู่โตเกียวหนึ่งปี”
     “จริงเหรอ”
     “ใช่แล้ว และถ้าหมดเวลาปีหนึ่งที่ว่า...” มานูเอลหยุดพูดพร้อมกับอัตสึโตะสวนขึ้นมาพร้อมกันว่า
     “ฉันจะหาทุนมาเรียนต่อที่นี่อีกครั้ง!”
     “ถ้าเราพยายามก็ไม่มีเรื่องไหนที่ยาก จริงไหม” มานูเอลลูบแก้มอัตสึโตะแล้วเลื่อนลงมาที่ริมฝีปากซึ่งแห้งและมีรอยแตกนิด ๆ เพราะเจ้าตัวไม่ค่อยชอบทาลิปมัน ถ้ามันแห้งมากก็ใช้วิธีเลียริมฝีปากเอา
     “มานู” เสียงแผ่วเบาลอดออกมาจากริมฝีปากที่เผยอออก
     นิ้วของมานูเอลไล้ไปตามเรียวปากนั้นก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะประทับตามลงมา

     ชินจิพยายามทำใจให้ปลงกับเรื่องของเควิน
     เขาหวังจนเลิกหวังไปแล้วว่าเควินจะเปลี่ยน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เควินไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น เขายังคงเป็นผู้ชายที่ไม่ค่อยสนใจอะไรอย่างอื่นนอกจากความสนุกสนานของตัวเองอยู่ดี
     หลังจากแยกกับทุกคนมาแล้ว เควินกับเจอโรมก็ซื้อเบียร์คนละขวดมานั่งดื่มกันอยู่ที่ริมแม่น้ำไรน์ พูดคุยกันบ้าง และมองดูผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา
     หลังจากนั่งกันอยู่ครู่ใหญ่ ชินจิก็ได้รับข้อความจากโธมัส
     “พวกนั้นจะไปกินอาหารเย็นกันที่ร้านสเต็กแถว ๆ อัลท์ชตัดท์แน่ะ เราไปกินกับพวกนั้นนะ”
     ชินจิอ่านข้อความให้คนรักฟังพร้อมทั้งถามด้วยน้ำเสียงคาดหวังก่อนจะรู้สึกโล่งอกเมื่อเควินกับเจอโรมไม่มีปัญหาอะไร คงเพราะได้เบียร์กินถูกใจกันไปแล้ว
     เมื่อถึงเวลานัด พวกเขาจึงมาที่ร้านที่ว่าและพบพวกโธมัสรออยู่แล้ว แต่ไม่มีวี่แววของอัตสึโตะกับมานูเอล ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากถามหา
     “อัตสึโตะกับมานูเอลล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ”
     ไม่ทันจะขาดเสียงของชินจิ คนที่ถูกถามถึงทั้งสองคนก็เดินเข้ามาในร้านพอดี หน้าตาดูสดชื่นผ่องใสด้วยกันทั้งคู่ แม้ว่าจะหอบน้อย ๆ เพราะเดินกันมาไกลพอสมควร
     “เดินมาจากสะพานโฮเฮ่นซอลเลิร์นน่ะ สะพานใหญ่ ๆ ที่เป็นรูปโค้งเหมือนเส้นคลื่นไง” อัตสึโตะเล่า “ข้างบนนั้นสวยมากเลย เชื่อไหมชินจิ มีคนเอาแม่กุญแจไปล็อกไว้กับรั้วเหล็กบนสะพานเพียบเลย ได้ยินว่าจะทำให้ความรักยาวนานเป็นนิรันดร์อะไรประมาณนั้นเลยล่ะ”
     “จริงเหรอ” ชินจิฟังแล้วตื่นเต้น ตัวเขาชอบอะไรโรแมนติกแนว ๆ นี้อยู่แล้ว ถ้าทำได้ก็อยากจะทำบ้าง อย่างน้อยมันก็เป็นกำลังใจให้เขาได้บ้าง
     “ไร้สาระน่ะ ถ้าเป็นจริงนะ สถิติหย่าร้างก็คงไม่เพิ่มสูงขึ้นทุกปีอย่างนี้หรอก” เควินที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ขัดขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ ทำให้อัตสึโตะชักสีหน้าทันทีจนชินจิต้องรีบชวนคุยต่อเพื่อไม่ให้เพื่อนโมโห
     “แล้วนายได้ไปคล้องกุญแจกับเขารึเปล่า”
     “คล้องสิ ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก ยังงงอยู่เลยตอนลิซ่าแฟนโธมัสให้แม่กุญแจมา” อัตสึโตะหันไปยิ้มให้ลิซ่าคนสวยแฟนของโธมัส
     ชินจิยิ้มนิด ๆ แต่ในใจของเขาแอบอิจฉาอัตสึโตะอยู่ไม่น้อย ก็จะไม่ให้รู้สึกอย่างนั้นได้อย่างไร ถ้าเปรียบเทียบกับเขาแล้ว อัตสึโตะช่างโชคดี มีแฟนน่ารักอย่างมานูเอล แถมยังเข้ากับเพื่อนแฟนได้เป็นอย่างดี ส่วนเขาน่ะหรือ เจอคริสตอฟเข้าไปคนหนึ่งทำเอาเขาหมดความมั่นใจไปเลย
     “เกือบลืมเลย ฉันซื้อช็อกโกแลตมาฝากนายด้วย จากพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลต”
     ชินจิแทบสะดุ้งเมื่อรู้สึกตัวเองว่าเขาคิดอะไรเลื่อนเปื้อนไปมาก อัตสึโตะน่ารักขนาดนี้ ใคร ๆ ก็ต้องชอบเป็นธรรมดา
     “ขอบใจมากนะ” ชายหนุ่มยิ้มให้อีกครั้งพร้อมกับรับกล่องช็อกโกแลตสีสวยมา
     หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ทั้งหมดเดินเล่นกันต่อในบริเวณเมืองเก่าแถว ๆ ร้านอาหารนั่นเอง เบเนดิกท์กับลิซ่าเดินนำไปชมศาลาว่าการเมืองที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
     ศาลาว่าการเมืองเคิล์นมีสองส่วน ส่วนแรกเป็นอาคารเก่าแก่สมัยยุคเรอเนสซองส์ที่มีขนาดใหญ่โต ตรงที่เป็นหอคอยและหอนาฬิกามีรูปปั้นสีขาวของบุคคลในประวัติศาสตร์ของเมืองประดับอยู่ทั่ว
     “ตรงนาฬิกานั่นจะมีรูปปั้นหน้าคนติดอยู่ เวลานาฬิกาเดินครบชั่วโมง มันก็จะแลบลิ้นออกมา” โธมัสชี้ให้ดูนาฬิกาที่อยู่บนยอดหอคอย
     ส่วนที่สองของศาลาว่าการเมืองเป็นอาคารแบบสเปนเรียบ ๆ อยู่ตรงข้ามกับอาคารส่วนแรก ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์ชี้ให้ดูพร้อมกับเล่าให้ทุกคนฟังว่า
     “ตัวแทนของคาร์นิวัลเราเรียกว่า ไดรเกชเตียน คือคนสามคนที่แต่งตัวเป็นเจ้าชาย สาวพรหมจรรย์และชาวนา คนที่เป็นชาวนาจะคาดกุญแจเมืองไว้ที่เอว พอคาร์นิวัลเริ่มต้น พวกคนที่แต่งตัวเป็นตัวตลกเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ ก็จะมาบุกศาลาว่าการเมืองเพื่อชิงเอากุญแจเมืองไปจากนายกเทศมนตรีเมือง เป็นสัญลักษณ์ว่างานคาร์นิวัลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว”
     “กุญแจของจริงเลยเหรอ” มายะถาม
     “ไม่ใช่หรอก ของปลอมน่ะ แล้วพอคนบ้าพวกนี้ออกไปแล้ว เจ้าหน้าที่ก็กลับมาทำงานกันต่อเหมือนเดิม” หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ
     หลังจากเดินย่อยอาหารชมแสงสีของย่านเมืองเก่านิดหน่อยแล้ว ทั้งหมดก็เดินกลับมายังที่พัก
     ระหว่างทางที่เดินตามกันมา ชินจิเดินอยู่ใกล้ ๆ เควิน แต่พวกเขาไม่ได้จับมือกันเพราะเควินเดินคุยอยู่กับเจอโรมที่อยู่ข้างตัวเขาอีกด้านหนึ่ง เควินยอมเดินอยู่ข้าง ๆ ตัวเขาแล้วก็จริง ไม่เดินนำโด่งไปข้างหน้าเหมือนแต่ก่อน แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่ามันแทบไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย
     สายตาของชินจิมองตรงไปข้างหน้า เขาเห็นมานูเอลเดินจับมืออยู่กับอัตสึโตะ แต่บางครั้งก็ต่างคนต่างเดิน เพียงแต่ว่าถ้ามานูเอลเดินนำไปข้างหน้า เขาก็จะหันมาคอยมองหาอัตสึโตะเป็นระยะ คอยดูว่าอัตสึโตะเดินอยู่ตรงไหน เมื่อเห็นแล้วก็หันกลับไปเดินต่อ
     ชินจิอดถอนหายใจนิด ๆ ออกมาไม่ได้ เขาคิดว่าเรื่องระหว่างเขากับเควินจะดีขึ้น แต่ดู ๆ ไปก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
     เขานี่มันแย่จริง ๆ
     อดเอาเควินมาเปรียบเทียบกับมานูเอลไม่ได้ทุกที
     แล้วที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ...
     เขากำลังอิจฉาอัตสึโตะอย่างสุดหัวใจ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 10.10.2014 page 3
«ตอบ #76 เมื่อ10-10-2014 11:38:08 »

แค่อิจฉาพอนะ  อย่าให้ถึงขั้นริษยา ...

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 10.10.2014 page 3
«ตอบ #77 เมื่อ10-10-2014 19:33:01 »

บทที่ 14

     ชินจิเกลียดตัวเองยิ่งขึ้นทุกทีที่ทำอย่างไรก็ยังเลิกอิจฉาอัตสึโตะกับมานูเอลไม่ได้สักที
     ทุกคนตื่นนอนกันตั้งแต่เช้าเพื่อมารอจับจองที่ในเส้นทางที่ขบวนโรเซ่นโมนถากจะต้องผ่าน ขบวนพาเหรดที่ยาวกว่าแปดกิโลนี้จะเริ่มต้นที่จตุรัสคล็อดวิกในเวลาราว ๆ สิบโมงครึ่งแล้วเคลื่อนขบวนผ่านถนนต่าง ๆ ทั่วเมืองเคิล์น
     ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์นำทุกคนมายังถนนสายที่อยู่ต้น ๆ ขบวนพาเหรดไม่ไกลจากมหาวิหารนัก แต่ถึงจะตื่นตั้งแต่เช้า แต่เมื่อมาถึงก็เห็นคนมารอจับจองที่กันมากมายแล้ว หากก็ยังพอแทรกตัวเข้าไปยืนแถวหน้า ๆ ได้
     สำหรับโรเซ่นโมนถากนี้ ผู้คนพากันมารอดูขบวนพาเหรดและมาเก็บช็อกโกแลตกับขนมจึงแทบไม่มีคนแต่งชุดคอสตูมจัดเต็มเหมือนงานฉลองในวันก่อน ๆ แต่ก็ยังมีคนใส่เสื้อหรือใส่หมวกแปลก ๆ หรือเขียนหน้าเขียนตาอยู่บ้าง
     อัตสึโตะกับคนอื่น ๆ ก็ซื้อหมวกมาใส่เพื่อให้ได้บรรยากาศ ทุกคนใส่หมวกเหมือนกันคือหมวกตัวตลกของยุโรปที่มีสีสด ๆ ติดลูกกระพรวนที่ยอด ต่างกันที่สี แต่มีอัตสึโตะคนเดียวที่ใส่ที่คาดผมหูแมว
     ไอเดียนี้เป็นของมายะ และมานูเอลไม่มีอะไรขัดข้องเมื่อรับที่คาดผมจากมือมายะมาคาดให้อัตสึโตะ
     “น่าร้ากกก” มายะกับยูเลี่ยนประสานเสียงกันสุดชีวิต ส่วนมานูเอลยิ้มกว้าง ขณะที่อัตสึโตะหน้าคว่ำ บ่นว่า
     “ไปซื้อมาตั้งแต่ตอนไหนวะ”
     แต่เขาก็ไม่ต่อต้านอะไร แถมยอมใส่ที่คาดผมหูแมวสีขาวอันนั้นไปทั้งวัน
     ชินจินิ่งเงียบมองบรรยากาศสนุกสนานรอบตัว ชายหนุ่มเงียบมาตั้งแต่เมื่อคืนและตอนนี้ก็ยังนิ่งเงียบอยู่ เมื่อมีคนถามอะไร เขาถึงจะตอบสั้น ๆ แต่สายตาที่มองอัตสึโตะที่มีแต่คนรุมล้อมมีแววอิจฉาอยู่ไม่น้อย
     เมื่อก่อนอัตสึโตะไม่ค่อยใส่ใจดูแลตัวเองเท่าไร เสื้อผ้าก็จับอะไรก็ได้มาใส่ เข้ากันบ้างไม่เข้ากันบ้างแล้วแต่อารมณ์ ถึงมีมายะคอยช่วยดูให้ แต่อัตสึโตะก็มักจะเอาแต่ใจตัวเอง พอมาถึงตอนนี้ มานูเอลเป็นคนช่วยดูแล อาจจะไม่ได้ถึงขนาดเลือกให้ทุกวัน ชายหนุ่มปล่อยให้คนรักใส่อะไรตามใจชอบ แต่ถ้ามันหายนะมากถึงขนาดเสื้อเชิ้ตลายสก็อตทับเสื้อลายทาง เขาถึงจะยื่นมือเข้ามากล่อมให้อัตสึโตะเปลี่ยนเสื้อใหม่ซึ่งพอเป็นมานูเอลพูด อัตสึโตะก็จะยอมแต่โดยดี และทำให้ตอนนี้อัตสึโตะดูดีและน่ารักยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก
     “ชินจิ นี่ถุง เอาไว้ใส่ช็อกโกแลต” มายะส่งถุงมาให้ ชินจิที่คิดอะไรเพลินอยู่ถึงกับสะดุ้ง
     “เป็นอะไรรึเปล่าน่ะ” มายะถาม
     “เปล่าหรอก” ชินจิรีบปฏิเสธ ทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวออกขนาดนี้ แต่เขากลับร้อนรุ่ม
     เขานี่เป็นเพื่อนที่แย่จริง ๆ
     “นายพร้อมกับการเก็บช็อกโกแลตรึยัง” ชินจิเปลี่ยนเรื่อง มายะก็ตอบรับด้วยความกระตือรือร้น
     เมื่อขบวนพาเหรดเริ่มต้น ทุกคนต่างก็ตื่นตาตื่นใจกับสีสันของคาร์นิวัลที่แสดงออกมาผ่านขบวนคนและรถลากยาวเหยียด เสียงผู้ชมมากมายร้องเฮดังลั่น
     ขบวนธงประจำเมืองและธงประจำรัฐ วงดุริยางค์ในชุดกระโปรงสีแดงสดเล่นดนตรีเสียงดังคึกคัก ขบวนกายกรรมใส่ชุดสีดำสลับเหลืองที่หยุดเดินเป็นพัก ๆ เพื่อโชว์ตีลังกาและต่อตัว รถลากที่แต่งตามธีมงานในแต่ละปีเป็นการล้อการเมืองบ้างหรือจับประเด็นเรื่องต่าง ๆ ที่น่าสนใจบ้าง ขบวนตัวตลกใส่ชุดสีสดและวิกหัวฟูหลากสีเต้นไปเต้นมา รถลากสีขาวที่บรรทุกคนใส่ชุดขุนนางสีน้ำเงินกับขาว สวมวิกผมสีขาวม้วนด้านข้างเป็นหลอดกับหมวกมีพู่ ขบวนม้าสีดำที่คนขี่ใส่แจ็กเก็ตกับผ้าคลุมสีแดงสด ที่อานม้าคาดถังบรรจุช็อกโกแลตและขนมไว้เต็มเปี่ยม ขบวนผู้ชายที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงใส่กระโปรงสาระพัดสี ใส่วิกสีทองถักเป็นเปียสองข้าง ขบวนม้าสีน้ำตาลที่คนขี่ใส่ชุดขุนนางกับผ้าคลุมสุดเท่สีเขียว ใส่วิกสีขาวและหมวกทรงสูง หรือขบวนรถม้าเปิดประทุนตกแต่งด้วยดอกไม้มีเจ้าหญิงกับเจ้าชายนั่งอยู่ข้างใน
     เมื่อขวบนไหนผ่านมา คนในขบวนจะโยนช็อกโกแลต พราลีน หรือขนมหวานอื่น ๆ ตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ ของที่ระลึก หรือช่อดอกไม้มาให้ ผู้ชมสองข้างทางก็จะแย่งกันเก็บด้วยความสนุกสนาน
     อัตสึโตะรับได้บ้างไม่ได้บ้าง บางทีเขาก็ต้องก้มลงเก็บจากพื้นถนน บางครั้งก็ถูกคนอื่นแย่งเก็บไปก่อน แต่ขนมหวานมีมากมายเหลือเฟือ บรรจุอยู่ในห่อสวยงามประทับตราองค์กรหรือหน่วยงานที่เป็นคนแจก แป๊บเดียวเขาก็ได้ช็อกโกแล็ตเกือบครึ่งถุง
     แถมด้วยดอกไม้
     มานูเอลรับดอกทิวลิปสีขาวดอกเดี่ยวห่อพลาสติกเอาไว้ได้ แล้วก็ส่งให้เขาต่อ
     ปกติคนในขบวนจะโยนช่อดอกไม้ให้ผู้หญิง แต่จริง ๆ จะโยนให้ใครก็ได้ทั้งนั้น
     แล้วหลังจากนั้นเขาก็ได้ช่อดอกไม้อีกเรื่อย ๆ
     ชินจิก็ได้ช่อดอกไม้ แต่เขาเก็บขึ้นมาจากพื้นถนนเอง ไม่ได้จากมือของคนรัก เควินไม่สนใจเขาเลย เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเก็บช็อกโกแลตให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เบียดแทรกคนเข้าไปอยู่ด้านหน้า ๆ เพื่อจะรับขนมให้ได้มากที่สุด ชินจิไม่ได้ตามไปด้วย แต่ยืนอยู่ที่เดิม ถ้ามีช็อกโกแลตถูกโยนลงมาทางเขา เขาถึงจะขยับตัวมารับหรือเก็บที่ตกลงบนพื้นบ้าง
     สายตาของเขาเหลียวหาอัตสึโตะกับมานูเอลโดยไม่รู้ตัว
     มานูเอลดันตัวอัตสึโตะให้อยู่ข้างหน้าเขาโดยที่ตัวเองซ้อนหลังเอาไว้ ชายหนุ่มช่วยอัตสึโตะรับช็อกโกแลต ถ้ารับดอกไม้หรือตุ๊กตาได้ก็ส่งให้อัตสึโตะตลอด แล้วเมื่อถุงในมือของอัตสึโตะเต็ม หลังจากคุยตกลงกัน ทั้งสองคนก็เทของในถุงรวมกันโดยให้มานูเอลเป็นคนถือไว้ ส่วนอัตสึโตะก็หันไปรับห่อขนมอย่างสนุกสนานต่อ มีมานูเอลคอยช่วยอยู่ข้าง ๆ
     ชินจิรู้สึกสะท้อนใจ ชายหนุ่มตัดสินใจเบียดแทรกตัวเข้าไปหาคนรัก แล้วถามเขาว่า
     “ได้ขนมเยอะไหมเควิน”
     เควินเปิดถุงให้ดู แต่เมื่อได้ยินชินจิถามว่า
     “ฉันขอแบ่งของนายสักนิดได้ไหม อยากได้อันนี้ ห่อมันสวยดี”
     เควินก็กลับนิ่วหน้า
     “นี่มันส่วนของฉัน นายรอรอบต่อไปสิ เดี๋ยวเขาก็แจกอีก นายมายืนตรงนี้แหละ ใกล้ ๆ ฉัน รอรับเอาแล้วกัน”
     แล้วเควินก็หันไปสนใจรอรับขนมรอบใหม่
     ชินจิยืนอึ้ง นึกในใจว่ามันต้องมีอะไรไม่ถูกต้องสักอย่าง การเก็บช็อกโกแลตมันน่าจะทำเพื่อความสนุกสนานไม่ใช่เหรอ แต่เควินทำเหมือนกับว่าจะต้องเก็บให้ได้มากที่สุด อย่างอื่นเขาไม่สนใจเลย ดอกไม้ถูกโยนลงมาอีก ชินจิกำลังจะก้มลงไปเก็บ แต่เท้าของเควินกลับย่ำลงไปบนช่อดอกไม้อันนั้นก่อน
     ชินจิชะงักมือทันที เขารู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นดอกไม้สีแดงถูกเหยียบจนช้ำ

     ขบวนโรเซ่นโมนถากผ่านไปแล้ว เหลือไว้แต่เพียงความประทับใจ ทุกคนกลับมารวมตัวกันอีกครั้งพร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แลกกันดูขนมที่ตัวเองเก็บได้ ถุงของแต่ละคนเต็มล้นไปด้วยห่อช็อกโกแลต ช่อดอกไม้ และตุ๊กตา
     ของที่อัตสึโตะเก็บได้ถูกใส่รวมไว้กับของของมานูเอลขณะที่เจ้าตัวเริ่มแกะห่อขนมบางอย่างออกมาชิมแล้ว ส่วนมายะกับยูเลี่ยนกำลังแข่งกันนับอย่างเอาเป็นเอาตายว่าใครจะเก็บขนมได้มากกว่า
     ส่วนของเควินกับเจอโรมถูกเก็บลงเป้ไปแล้วโดยที่ไม่สนใจจะแบ่งหรือแลกกับใคร
     แม้แต่จะแบ่งให้ชินจิ เควินก็ไม่ได้ทำ
     ขนมในถุงของชินจิจึงมีน้อยกว่าใคร
     “ทำไมนายเก็บได้น้อยจัง” มายะหันมาถาม ผลของการแข่งขันระหว่างเขากับยูเลี่ยนนั้น แน่นอนว่าเขาเก็บได้มากกว่า ชนะขาดลอย
     “ฉันคงช้าเกินไปน่ะ เลยเก็บไม่ทันคนอื่น” ชินจิตอบเรียบ ๆ
     “เอาของเราสองคนไปเพิ่มไหม” มานูเอลเสนออย่างใจดี แต่ชินจิส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับฝืนยิ้มให้
     “เอาของฉันก็ได้” มายะเสนอด้วยอีกคน แต่ชินจิก็ยังยืนกรานปฏิเสธโดยบอกว่า
     “เก็บเล่นสนุก ๆ ไม่ต้องซีเรียสนี่นาว่าจะได้มากหรือน้อย”
     “แต่ของนายมันน้อยจนน่าใจหายเลยนะ” มายะขมวดคิ้ว แล้วเขาก็ดึงดันแบ่งส่วนหนึ่งของตัวเองมาให้อยู่ดี ยูเลี่ยนที่จ้องเขม็งอยู่แล้วเมื่อเห็นมายะกอบขนมจากถุงของตัวเองใส่ในถุงของเพื่อน เขาก็ร้องลั่นทันทีอย่างลิงโลดว่า
     “นั่น นายแพ้ฉันแล้ว ขนมของนายลดลงจนน้อยกว่าของฉันแล้วโว้ย”
     “หนอย ไอ้เวร เอาทุกทางเลยนะ เมื่อกี้ไม่นับเว้ย ตัดสินกันเรียบร้อยแล้ว ยังไงนายก็แพ้ฉันอยู่ดี” มายะโต้
     อัตสึโตะชะโงกหน้ามามองถุงของเพื่อนบ้าง พอเห็นว่าแทบไม่มีดอกไม้กับของเล่นเลย เขาก็แบ่งของตัวเองไปให้
     “เอาดอกไม้กับตุ๊กตาของฉันไปด้วยสิ”
     ชินจิดึงถุงของตัวเองหลบโดยไม่ทันรู้ตัว ช่อดอกไม้และตุ๊กตาของอัตสึโตะจึงหล่นลงไปบนพื้น
     ชินจิชะงัก เช่นเดียวกับอัตสึโตะ ฝ่ายหลังมองด้วยความไม่เข้าใจ
     “ขอโทษที อัตสึโตะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ชินจิลนลานจะก้มลงไปเก็บ แต่อัตสึโตะรั้งมือของเขาไว้ก่อน
     “นายเป็นอะไรรึเปล่า ชินจิ บอกฉันได้นะ”
     “ไม่มีอะไรหรอก ฉันไม่ได้เป็นอะไร” ชินจิฝืนยิ้ม แล้วก้มลงไปเก็บช่อดอกไม้กับตุ๊กตายื่นคืนให้
     “นายเอาไปเถอะ ฉันให้” อัตสึโตะไม่รับคืน แต่ชินจิก็ยัดมันใส่ลงไปในถุงของอัตสึโตะตามเดิม น้ำเสียงของเขาขื่นนิด ๆ เมื่อบอกว่า
     “นายอย่าพยายามยัดเยียดของพวกนี้ให้ฉันเลย ของของนาย นายเก็บไว้เถอะ แค่นี้ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองน่าสมเพชพอแล้ว นายอย่าทำให้ฉันรู้สึกแย่ยิ่งไปกว่านี้เลย”
     พูดจบเขาก็เดินไปหาเควินที่ยังยืนคุยอยู่กับเจอโรม ทิ้งให้อัตสึโตะอ้าปากค้างด้วยความไม่เข้าใจ ชายหนุ่มเหลียวหามานูเอลทันทีซึ่งฝ่ายหลังก็ยื่นมือมาจับมือของคนรักไว้ บีบนิด ๆ แล้วบอกสั้น ๆ ว่า
     “เขาคงกำลังไม่ค่อยสบายใจน่ะ”

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 10.10.2014 page 3
«ตอบ #78 เมื่อ10-10-2014 19:40:41 »

     ทุกคนบอกลาเคิล์นด้วยการเดินเล่นส่งท้ายในย่านเมืองเก่า แล้วเมื่อมีเวลาก่อนรถไฟออกราว ๆ สองชั่วโมง พวกเขาก็มีโอกาสได้เข้าชมภายในมหาวิหารซึ่งกว้างขวางใหญ่โตไม่แพ้ภายนอก โค้งหลังคาสูง หน้าต่างติดกระจกสี พื้นกระเบื้องโมเสก รูปสลักพระเยซูถูกตรึงกางเขน และแท่นบูชาล้วนแต่สวยงามน่าชื่นชมทั้งนั้น จากนั้นทั้งหมดก็เดินมาชมโบสถ์ใหญ่เซนต์มาร์ตินที่มีอาคารสีพาสเทลสวย ๆ หลายหลังอยู่ใกล้ ๆ ให้ได้ถ่ายรูปเล่นกัน แล้วก็จบลงที่ศาลาว่าการเมืองที่สวยงามไม่แพ้ในตอนกลางคืนเช่นกัน
     เควินกับเจอโรมแยกไปหาเคิลช์เบียร์กินส่งท้ายโดยมีชินจิตามไปด้วยเหมือนเคย เหลือแต่พวกอัตสึโตะ มานูเอลบอกทุกคนว่า
     “ฉันจะพาอัตสึโตะไปร้าน 4711 ที่กล็อกเค่นกัซเซ่อนะ จะไปกับพวกเราไหม”
     ไม่มีใครค้าน ทั้งหมดจึงเคลื่อนขบวนจากศาลาว่าการเมืองไปยังร้านน้ำหอมเก่าแก่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักโดยใช้เวลาเดินราวสิบนาที
     “เสียงระฆังที่ไหนน่ะ” อัตสึโตะถามเมื่อได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งดังขึ้น แต่มองไม่เห็นที่มาของเสียง
     “ระฆังหน้าร้านน้ำหอมไง” มานูเอลบอก
     เสียงระฆังดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาใกล้ ๆ ร้านน้ำหอมเก่าแก่ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่สีขาวมีป้ายโฆษณาน้ำหอมรุ่นดั้งเดิมฉลากสีฟ้ากับสีทองขนาดใหญ่แขวนห้อยลงมาตามผนังด้านนอก หน้าอาคารติดป้ายหมายเลข 4711 ตัวใหญ่
     “ระฆังอยู่นั่นไง ระฆังนาฬิกา ข้างใต้มีตุ๊กตาใส่ชุดทหารสีน้ำเงิน ขาว แดง บางตัวขี่ม้า บางตัวเป่าแตรอยู่บนลานที่หมุนไปเรื่อย ๆ ขณะที่ยังมีเสียงระฆังอยู่”
     โธมัสชี้ขึ้นไปข้างบน
     เสียงระฆังยังดังอยู่อีกพัก แต่เมื่อมาอยู่ใกล้ ๆ ร้านแบบนี้ อัตสึโตะกลับรู้สึกว่ามันดังจนหนวกหู เขาจึงต้องยกมือมาปิดหูไว้ทั้งสองข้าง รอจนระฆังหยุดตี แล้วจึงตามมานูเอลเข้าไปข้างใน
     ร้านน้ำหอมเก่าแก่เป็นพิพิธภัณฑ์ในตัว แต่ทุกคนไม่ได้สนใจจะเข้าชมเพราะไม่มีเวลามากนัก ต่างสนใจขวดน้ำหอมสีฟ้า ๆ ขาว ๆ ที่เรียงรายอยู่บนชั้นด้านหลังตัวเลข 4711 สีเงินมากกว่า
     อัตสึโตะลองกลิ่นน้ำหอมกลิ่นดั้งเดิมแล้วรู้สึกไม่ชอบเหมือนกัน แต่เขาก็ซื้อทิชชู่ที่ผสมน้ำหอมกลิ่นนี้กล่องหนึ่งเก็บไว้เป็นที่ระลึก มานูเอลให้อัตสึโตะลองน้ำหอมกลิ่นอื่น ๆ อีก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ชอบกลิ่นไหนเลย แม้แต่กลิ่นใหม่นูโวโคโลญจน์ที่เพิ่งออกมาก็ตาม
     ไม่มีใครได้ของติดมือออกมาจากร้าน 4711 แต่ทุกคนก็ไม่รู้สึกว่าเสียเวลาแต่อย่างใดเพราะร้านน้ำหอมเก่าแก่แห่งนี้ก็จัดว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของเมืองได้เหมือนกัน
     เควิน เจอโรมและชินจิรออยู่แล้วเมื่อทั้งหมดเดินมาถึงที่สถานีรถไฟ
     มานูเอลบอกลาเพื่อนทั้งสี่คนที่อยู่ด้วยจนกระทั่งถึงเวลาที่จะต้องขึ้นรถไฟ อัตสึโตะกับคนอื่น ๆ ก็เข้ามากอดลา โดยเฉพาะอัตสึโตะ ชินจิและมายะที่ดูจะอาวรณ์และเศร้ามากกว่าคนอื่น ๆ
     “เราจะได้เจอกันอีกไหม พวกฉันต้องกลับญี่ปุ่นอีกไม่นานนี้แล้ว” อัตสึโตะถาม
     “ต้องได้เจออยู่แล้วล่ะ อาจจะไม่ใช่ในเร็ว ๆ นี้ แต่ฉันเชื่อว่าเราต้องได้เจอกันอีกอย่างแน่นอน” ลิซ่าแฟนโธมัสเป็นคนตอบแทนทุกคน แล้วหล่อนก็ตรงเข้ามากอดอัตสึโตะ จากนั้นก็กอดชินจิ และคนสุดท้ายคือมายะ หญิงสาวหัวเราะคิกเมื่อมายะบอกกับหล่อนว่า
     “เมื่อวานฉันขอโทษนะที่แกล้งเธอที่โอดิสเซอุม”
     “ไม่เป็นไรหรอก สนุกดีซะอีก ฉันยังไม่เคยเล่นอันนั้นมาก่อนเลยนะ” ลิซ่าคนสวยพูด
     พวกเขากอดลาลิซ่าแฟนเบเนดิกท์เป็นคนต่อไป เจ้าบ้านที่แสนน่ารักมีของที่ระลึกมอบให้เพื่อนใหม่ของหล่อนทุกคนเป็นพวงกุญแจรูปมหาวิหารอันเล็ก ๆ
     โธมัสกับเบเนดิกท์เข้ามาลาเป็นคนสุดท้าย แต่เพราะแฟนสาวทั้งสองทำหน้าที่ทูตสันถวไมตรีชั้นเลิศไปแล้ว ทั้งสองคนจึงแค่กอดและตบหลังตบไหล่ร่ำลาเพื่อนใหม่เท่านั้น หลังจากนั้นทุกคนก็ถ่ายรูปด้วยกันทั้งหมดเป็นระลึกก่อนที่จะจากลากันไป
     “หลังจากนี้เราคงไม่ได้สนุกกันแบบนี้แล้วเนอะ” อัตสึโตะอดใจหายไม่ได้ เมื่อรถไฟเคลื่อนตัวออกจากสถานีรถไฟ ชายหนุ่มเหลียวหลังมองออกไปนอกหน้าต่างมองจนเมืองเคิล์นลับหายไปจากสายตา
     “ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ” มานูเอลถาม
     “ไม่รู้สิ รู้สึกใจหายยังไงไม่รู้ มันแปลก ๆ” อัตสึโตะก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่หน้าของเขายุ่งและมันดูตลกมากจนมานูเอลอดไม่อยู่ เอื้อมมือมาคลึงรอยย่นที่หว่างคิ้วของคนรักอย่างนุ่มนวล
     “อย่าทำหน้าอย่างนี้สิ มันไม่ใช่ครั้งสุดท้ายสักหน่อย ถ้าอยากจะมาอีกก็มาได้” มานูเอลปลอบ อัตสึโตะจึงถือโอกาสนี้ซบหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่ายเสียเลย แล้วยังแกล้งเอาหน้าซุก ๆ มุด ๆ เล่นจนมานูเอลอดหัวเราะเบา ๆ ขำความขี้อ้อนของอัตสึโตะไม่ได้ ชายหนุ่มบอกกับคนรักว่า
     “เราต้องได้มาเที่ยวกันอีกแน่ ไม่ต้องห่วง”

     แต่ถึงอยากจะไปเที่ยวกันสักแค่ไหนก็ไม่มีโอกาสจะไปเที่ยวไหนไกล ๆ ได้อีกแล้ว ในเมื่อการสอบกำลังจะมาถึง ทุกคนตั้งอกตั้งใจทบทวนบทเรียนกันเป็นพิเศษ อัตสึโตะมาติวหนังสือกับมานูเอลทุกวันเพราะนอกจากอีกฝ่ายจะเรียนสาขาวิชาเดียวกันและเป็นแฟนแล้ว ยังควบตำแหน่งติวเตอร์ส่วนตัวอีกตำแหน่งด้วย และแน่นอนที่มายะก็อาศัยความเป็นติวเตอร์ของมานูเอลยัดเยียดตัวเองมานั่งกันท่า เอ๊ย มานั่งติวหนังสือด้วยทุกวันเหมือนกัน
     ส่วนชินจิ เขาไม่สามารถนั่งติวหนังสือกับแฟนได้เหมือนเพื่อน เพราะเควินไม่ยอมอย่างเด็ดขาด
     “ฉันชอบนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ คนเดียวน่ะ โทษทีนะ มีคนอยู่ด้วยแล้วฉันไม่มีสมาธิ อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง”
     “แต่ฉันไม่กวนนายหรอก ฉันจะนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ไม่ทำเสียงดังรบกวนนายแน่”
     เควินสั่นศีรษะ
     “ยังไงก็ไม่ได้ นายกลับไปอ่านหนังสือที่ห้องนายดีกว่า”
     ด้วยเหตุนี้ ชินจิจึงต้องหอบหนังสือกลับมาอ่านที่ห้องของตัวเองและในช่วงสอบชินจิก็แทบไม่ค่อยได้เห็นหน้าของเควินเลยเพราะชายหนุ่มขอร้องให้คนรักกลับไปนอนที่ห้องของตัวเองเหมือนเดิมด้วยโดยบอกว่าจะเป็นฝ่ายมาหาที่ห้องเอง ชินจิจึงต้องอ่านหนังสือที่ห้องอยู่คนเดียว อ่านไปก็ถอนหายใจไป บางครั้งก็น้ำตาซึมพลางนึกในใจว่า ถ้าเกอเธ่ได้มารู้จักเขาในตอนนี้ก็คงไม่มีนิยายเรื่องแวร์เธอร์ระทมออกมาหรอก แต่เกอเธ่คงจะเขียน “Die Leiden des jungen Shinji” ขึ้นมาแทนเพราะความรักของเขาทุกข์ระทมกว่าของเจ้าหนุ่มแวร์เธอร์นั่นมากมายนัก
     หากถึงจะอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนกันหนักเพียงไหน เพื่อน ๆ ก็ยังนัดเจอนัดสังสรรค์กันอยู่ดีเพื่อเป็นการพักผ่อนไปด้วยในตัว เอย์จิกับมาโกโตะชวนรุ่นน้องมาปาร์ตี้น้ำชาที่ห้องของพวกเขาที่หอพักถนนโมลวิทซ์ในวันหนึ่งซึ่งชินจิ มายะ อัตสึโตะพ่วงด้วยมานูเอลและยูเลี่ยนก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ครั้งนี้ในห้องของมาโกโตะนอกจากจะมีแพร์แล้ว ยังมีร่างสูงเพรียวของโทนี่นั่งยืดขาด้วยท่าทางสุดเท่เหมือนเดิมอยู่บนเตียงของมาโกโตะด้วยอีกคนหนึ่ง
     โทนี่ใส่เสื้อเสว็ตเตอร์ที่พวกเขาจำได้ว่าเคยเห็นรุ่นพี่ของพวกเขาใส่ และมาโกโตะในวันนี้ก็ใส่คาร์ดิแกนที่ดูคุ้นตาพวกเขาเหลือเกิน เหมือนเคยเห็นแวบ ๆ ว่าโทนี่เคยใส่เสื้อตัวนี้มาก่อน
     “ตกลงเป็นแฟนกันแน่ ๆ แล้วใช่ไหมครับเนี่ย” มายะกับอัตสึโตะหัวเราะคิกคักขึ้นมาทันที ขณะที่มาโกโตะเจ้าของห้องหน้าแดง กระแทกเสียงตอบว่า
     “เออ!”
     เอย์จิกับแพร์ช่วยกันขนเอาขนมขบเคี้ยวทั้งของญี่ปุ่นและของเยอรมันมาวางไว้บนโต๊ะ ขณะที่มายะกับชินจิช่วยกันชงชาญี่ปุ่นแจก พวกเขากินขนมกันไปคุยเล่นกันไปอย่างสนุกสนาน
     “แล้วตกลงเรื่องทุนวิจัยที่นายจะไปสมัครเป็นยังไงบ้างล่ะมานูเอล” เอย์จิหันมาถามชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างรุ่นน้องของเขา
     “คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหา ฉันคุยกับแฮร์เลอเว่นแฮร์ตส์แล้ว ปีหน้าคงจะได้ไปอยู่โตเกียวทั้งปีเลยล่ะ” มานูเอลตอบ รุ่นพี่จึงหันไปแหย่อัตสึโตะที่นั่งเคี้ยวขนมเซมเบ้อยู่กร้วม ๆ ว่า
     “ดีจังนะอัตสึโตะ แฟนจะได้ไปอยู่ด้วยกันแล้ว ยังงี้นายต้องสอนมานูเอลพูดภาษาญี่ปุ่นแล้วล่ะมั้ง”
     “ให้เรียนกับอัตสึโตะ มานูเอลมันจะได้อะไรไหมละนั่น ฉันว่าเทคคอร์สไปเลยดีกว่า หรือไม่ก็ให้มายะสอนให้ก่อน น่าจะได้เรื่องมากกว่า” มาโกโตะรีบขัด ในขณะที่มานูเอลรีบส่ายหน้าทันทีเมื่อได้ยินข้อเสนอข้อหลัง
     “ถ้าให้มายะสอน ฉันคงได้แต่คำด่าแน่เลย”
     ไม่ทันขาดคำของมานูเอล เสียงมายะก็สอดขึ้นมาทันทีว่า
     “ไอ้เวร! เดี๋ยวนี้ปากจัดนักนะแก คุจิ กะ วะรุย!”
     คำด่าปนกันทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาเยอรมันของมายะเรียกเสียงหัวเราะได้จากคนรอบตัว
     ชินจินั่งยิ้มเงียบ ๆ แทบจะไม่มีส่วนร่วมอะไร ถ้าเอย์จิจะไม่หันมาถามเขาบ้างว่า
     “นายล่ะชินจิ จบเทอมนี้แล้วจะทำยังไง เควินจะไปหานายที่ญี่ปุ่นรึเปล่า”
     ชินจิรู้สึกอึดอัดไม่น้อยที่สายตาของเพื่อนทุกคนในห้องเบนมามองเขาเป็นตาเดียวกัน ชายหนุ่มฝืนยิ้มให้ทุกคนอย่างที่คิดว่าสดใสที่สุด แล้วตอบว่า
     “ที่คุยกันเขาก็ว่าจะไปนะครับ แล้วผมคิดว่าจะหาทุนกลับมาเรียนต่อที่นี่อีกครั้งหนึ่ง ที่คณะมีทุนเรียนจนถึงปริญญาเอกเลย สำหรับจะเป็นอาจารย์”
     “นายอยากจะสอนหนังสือเหรอชินจิ” อัตสึโตะถาม
     “เปล่าหรอก แต่ก็เรียนได้ ที่สำคัญทุนนี้ดีที่สุด ระยะเวลานานที่สุด”
     ชินจิตอบตามตรง เขาเริ่มมองหาทุนเรียนต่ออยู่เรื่อย ๆ หลังจากที่เริ่มคบกับเควิน ทุนที่เงื่อนไขดี ๆ ก็มักจะไม่ใช่สาขาที่เขาเรียนหรือถ้ามีก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะทำสักเท่าไร แต่เพื่อให้ได้อยู่กับเควิน ชายหนุ่มยอมทุ่มอนาคตของเขาทั้งหมด
     “เขาบอกว่า เขาจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เสียฉันไป เราสัญญากันเอาไว้แล้ว ฉันก็จะพยายามในส่วนของฉันให้เต็มที่เหมือนกัน”
     ชินจิไม่สนใจว่าใครจะฟังประโยคนี้ของเขาแล้วมีปฏิกิริยาอย่างไร ชายหนุ่มเชื่อมั่นในคำพูดของเควิน และเขาก็มั่นใจในความรักของเขา
     ชายหนุ่มเชื่อมั่นอย่างนั้นแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่คำพูดลอย ๆ ของเควินก็ตาม คนรักของเขายังไม่ได้พยายามหรือทำอะไรที่ดูเป็นชิ้นเป็นอันเป็นรูปเป็นร่างเหมือนอย่างที่มานูเอลทำ แถมเมื่อสอบเสร็จ เควินก็จะกลับบ้านที่ดอร์ทมุนด์เลยโดยที่ไม่คิดจะอยู่รอส่งเขากลับญี่ปุ่น แต่ชินจิก็ยังคงยึดมั่นในคำพูดและคำสัญญาของเควิน
     “ยังไงฉันก็จะไปเยี่ยมนายที่ญี่ปุ่นอยู่ดีนั่นแหละ ไม่ต้องกังวล” เควินพูดอย่างนั้นในวันสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน พวกเขาสอบเสร็จกันหมดแล้ว และเควินก็กำลังจะกลับไปที่ดอร์ทมุนด์ พวกเขาจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ทั้งคู่ใช้เวลาทั้งวันอยู่ด้วยกันบนเตียง ต่างตักตวงความรักความปรารถนาระหว่างกันอย่างเต็มที่เพื่อเป็นสิ่งปลอบประโลมในช่วงเวลาที่จะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว
     “ฉันรักนายนะเควิน ฉันจะรอนายอยู่ที่ญี่ปุ่น” ชินจิพูด
     “ฉันไปหานายแน่ ฉันก็รักนายเหมือนกัน” เควินจูบคนรักของเขาและกอดร่างของชินจิเอาไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับตักตวงความหวานชื่นจากร่างกายที่เขากอดอยู่เป็นครั้งสุดท้าย
     ชินจิหลับตาเหมือนกับต้องการจะจดจำคำพูดของเควินให้ลึกลงไปในหัวใจของเขา
     แล้วในวันรุ่งขึ้น เควินก็กลับไปดอร์ทมุนด์
     ชินจิรู้สึกว่าสิ่งที่เขาเคยเจอมาบนเส้นทางรักของเขากับเควินมันกลายเป็นสิ่งที่เล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่รออยู่ เพราะนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะต้องเจอกับอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด นั่นคือ ระยะทางและความห่าง
     ความรักทางไกล
     ชายหนุ่มประหวั่นกับเรื่องนี้อยู่ไม่ใช่น้อย ยิ่งประกอบกับนิสัยคิดมากของตัวเองก็ยิ่งเหมือนกับจะทำให้อุปสรรคมันดูยิ่งใหญ่และน่ากลัวมากขึ้น ชินจิอดนึกอิจฉาคู่ของอัตสึโตะกับมานูเอลขึ้นมาไม่ได้ สองคนนั้นดูเข้ากันได้เป็นอย่างดี ไม่มีปัญหาอะไรกัน มานูเอลก็กำลังจะได้ไปอยู่โตเกียวหนึ่งปี เส้นทางความรักของทั้งคู่ดูเรียบราบไร้อุปสรรค ไม่เหมือนกับเส้นทางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อของเขาเลย แต่แล้วชินจิก็ตระหนักว่า เส้นทางความรักของแต่ละคนไม่มีวันเหมือนกัน
     เส้นทางที่ราบเรียบก็อาจจะพุ่งเข้าชนกำแพงได้เหมือนกัน
     เขาไม่จำเป็นต้องอิจฉาอัตสึโตะกับมานูเอลเลย

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 10.10.2014 page 3
«ตอบ #79 เมื่อ10-10-2014 19:41:13 »

เอาเวลาอิจฉาเพื่อนไปบอกเลิกเควินดีกว่านะ เฮ้อ
...
อ้าว .. มีตอนใหม่
...
สงสาร ชินจิอ่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-10-2014 19:48:36 โดย iforgive »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 10.10.2014 page 3
« ตอบ #79 เมื่อ: 10-10-2014 19:41:13 »





ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 14 - update - 10.10.2014 page 3
«ตอบ #80 เมื่อ10-10-2014 22:23:03 »

     ข้อความจากคัธรินส่งถึงมานูเอลในวันที่ชายหนุ่มกำลังจะออกจากห้องพักไปฉลองสอบเสร็จกับเพื่อน ๆ ที่คลับรูม เขากดอ่านข้อความแล้วก็นิ่งอึ้งไป

     “มานู ฉันท้อง
     ฉันอยากคุยกับเธอ โทรหาฉันด้วย
     คัธริน”


     มานูเอลไม่ได้โทรศัพท์ถึงแฟนเก่าของเขาในทันที ชายหนุ่มยังนั่งอึ้งอยู่บนเตียงเพราะความตกใจและคาดไม่ถึง โทรศัพท์วางอยู่ข้างตัว
     “มานู ทำอะไรอยู่ ลงไปกันเถอะ มายะโทรมาตามสองรอบแล้ว”
     เสียงแจ้ว ๆ ของอัตสึโตะดังเข้ามาในห้องพร้อมกับที่เจ้าตัวเปิดประตูเข้ามา
     “มานู เป็นอะไรไปน่ะ” อัตสึโตะถามเมื่อเห็นคนรักนั่งหน้าขาวอยู่บนเตียง ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับกับเสียงเรียกของเขา
     “มานู!” อัตสึโตะตรงเข้าไปเขย่าตัว มานูเอลจึงได้สติกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวพลอยทำให้อัตสึโตะสะดุ้งตามไปด้วย
     “เฮ้ย นายเป็นอะไรเนี่ย” อัตสึโตะถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
     “ขอโทษที ฉันแค่ตกใจ คือฉันกำลังงง ๆ” มานูเอลบอก แล้วเขาก็ส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้อัตสึโตะ แล้วเมื่ออ่านข้อความ ฝ่ายหลังก็อึ้งไปเหมือนกัน
     “เวลามีอะไรกัน นายไม่ได้ป้องกันเหรอ”
     ในที่สุด อัตสึโตะก็ถามออกมา
     “ฉันป้องกันทุกครั้ง” มานูเอลยืนยัน “ฉันไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ได้ยังไง”
     สีหน้าของอัตสึโตะเรียบนิ่งเมื่อสบตากับเขา แต่สายตาของชายหนุ่มมีความเจ็บปวดจนทำให้มานูเอลรู้สึกใจไม่ดี ชายหนุ่มรีบคว้ามือของอัตสึโตะมากุมไว้ซึ่งฝ่ายหลังก็ไม่ได้สะบัดออกและยังเลื่อนมืออีกข้างมากุมทับสองมือของมานูเอลด้วย
     “ถ้าเป็นลูกนายจริง ๆ นายรู้ใช่ไหมว่านายจะต้องทำยังไง” อัตสึโตะถาม และไม่รอคำตอบ แต่พูดต่อไปเลยว่า
     “ตัดสินใจได้เลย ไม่ต้องคิดถึงฉัน”
     “ไม่นะ อัตสึโตะ ฉันไม่เลิกกับนายนะ” มานูเอลใจหายวูบจนเขาต้องดึงตัวอัตสึโตะเข้ามากอดเอาไว้แน่น แล้วยิ่งกอดแน่นเข้าไปอีกเมื่ออัตสึโตะกอดเขาตอบเช่นกัน
     “ถ้าเด็กเป็นลูกของฉันจริง ๆ ฉันต้องรับผิดชอบลูกของฉันแน่ แต่ยังไงฉันก็ไม่เลิกกับนาย”
     “แล้วคาธี่ล่ะ นายจะทำยังไง”
     “ฉันเลิกกับคาธี่ไปแล้ว เราสองคนสามารถเป็นพ่อกับแม่ให้เด็กได้ แต่ไม่ใช่ในฐานะอย่างอื่น ตอนนี้ฉันมีนาย ฉันรักนาย นายจะด่าฉันเห็นแก่ตัวก็ได้ นายจะโกรธฉันก็ได้ แต่ขอให้นายอยู่กับฉันได้ไหม”
     อัตสึโตะผละตัวออกจากอ้อมแขนของมานูเอล สีหน้าของเขาแสดงถึงความเด็ดเดี่ยว
     “เราตัดสินอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอกนะมานู นายคุยกับคาธี่แล้วรึยัง สงบสติอารมณ์แล้วไปคุยกับเขาดูก่อน แล้วหลังจากนั้นไม่ว่านายจะตัดสินใจยังไง ฉันจะยอมรับทั้งนั้นเพราะฉันเชื่อว่านายจะต้องหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ได้”
     มานูเอลจำใจต้องปล่อยมือจากอัตสึโตะ สายตาของเขาที่มองชายหนุ่มมีความเจ็บปวดเช่นเดียวกันและยังมีความไม่มั่นใจ เสียงของเขาสั่นเมื่อถามอัตสึโตะว่า
     “นายเกลียดฉันรึเปล่า
     อัตสึโตะไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่การที่เขาก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากของมานูเอลก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่ทำให้ชายหนุ่มสามารถเรียกสติของตัวเองกลับคืนมาได้ในที่สุด
     ในขณะที่อัตสึโตะรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ด้วยความสงบ คนที่โวยวายแทนกลับเป็นมายะ ทันทีที่ชายหนุ่มรู้เรื่อง เขาก็ตรงไปหามานูเอลทันที
     “ในที่สุดนายก็ทำให้อัตสึโตะของฉันเสียใจ ไอ้เวรมานูเอล ฉันไม่น่ายกอัตสึโตะให้นายเลย” มายะพูดเสียงเหี้ยมพร้อมกับสาวเท้าเข้ามาหาด้วยอาการคุกคามชนิดไม่มีการล้อเล่น
     “ฉันเสียใจมายะ ฉันไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เหมือนกัน”
     ประโยคนี้ของมานูเอลทำให้มายะของขึ้นทันที ชายหนุ่มเหวี่ยงหมัดซัดเข้าหน้าเพื่อนเต็มแรงและมานูเอลก็ทรุดลงไปนั่งอยู่บนพื้นโดยที่ไม่หลบและไม่ได้โต้ตอบอะไร
     “เสียใจเหรอ นายบอกว่านายเสียใจเหรอ! แล้วอัตสึโตะไม่เสียใจรึไง! ก่อนทำอะไรทำไมไม่คิดวะ!” มายะตะโกน
     “ฉันเสียใจ” ชายหนุ่มพูดได้เพียงเท่านั้น เขาไม่คิดจะแก้ตัวหรือพูดอะไรมากกว่านี้อีก เพราะพูดไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และคนตรงหน้าก็คงไม่ฟัง ตอนนี้มายะโกรธเขามากจนควันออกหูแล้ว
     “ฉันจะทำให้นายเสียใจมากกว่านี้อีก คอยดู!” มายะชี้หน้า “ฉันจะทำให้อัตสึโตะเลิกกับนายให้ได้ ฉันจะไม่มีวันให้อัตสึโตะมาคบกับคนเลว ๆ แบบนายอีกเด็ดขาด จำไว้เลยนะ ไอ้นูเทลล่า นายไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้อัตสึโตะของฉันอีก กลับไปอยู่กับลูกกับเมียนายโน่น ไป!”
     “ไม่นะ มายะ ฉันรักอัตสึโตะ” มานูเอลลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับมายะ
     “แล้วนายทำกับคนที่นายรักอย่างนี้เหรอวะ หา! นายนี่มันโคตรเลว เลวสุด ๆ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่ารักอัตสึโตะอีก นายยังมีความอายเหลืออยู่รึเปล่าวะ” มายะด่าไม่ไว้หน้า จนมานูเอลเองก็พูดไม่ออก ชายหนุ่มเหมือนน้ำท่วมปาก ถ้าเขาพูดมากไปก็เท่ากับว่าเอาเรื่องของคัธรินมาประจาน แต่ถ้าเขาเงียบอยู่แบบนี้ เขาก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลว
     มานูเอลเลือกที่จะเงียบ ในเมื่อเรื่องมันยังไม่แน่ชัด เขาก็พูดอะไรไม่ได้จริง ๆ
     “อย่ามายุ่งกับอัตสึโตะของฉันอีก!”
     มายะสำทับเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะผลุนผลันออกจากห้องไปโดยสวนกับยูเลี่ยนที่เดินเข้ามาข้างในและเมื่อเห็นเพื่อนทรุดตัวลงนั่งบนเตียงเหมือนคนใกล้หมดแรงเต็มที ชายหนุ่มก็พูดว่า
     “ทำไมนายไม่ชกไอ้หน้าเต้าหู้มันไปสักที ปล่อยให้มันพล่ามอยู่ได้”
     มานูเอลเงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนจะยิ้มนิด ๆ 
     “แล้วนายไม่อยากต่อยหน้าฉันอีกคนเหรอ”
     ยูเลี่ยนเดินไปลากเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานมานั่งประจันหน้ากับมานูเอล สีหน้าของเขาจริงจัง ไม่ได้ดูเป็นเล่นเหมือนปกติ
     “ฉันจะทำยังงั้นไปทำไม ไอ้มายะมันโมโหจนเวอร์ ไม่ดูตาม้าตาเรือเอาซะเล้ย” ชายหนุ่มลากเสียงยาวพร้อมกับโคลงศีรษะด้วยความระอาพฤติกรรมของเพื่อน
     “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นก่อนนายจะคบกับอัตสึโตะ มันช่วยไม่ได้นี่หว่า แต่พูดก็พูดเถอะ ถ้านายบอกว่านายป้องกันทุกครั้ง แล้วเรื่องมันเกิดขึ้นได้ยังไง”
     “ฉันไม่รู้ คาธี่ยืนยันว่าเป็นลูกของฉัน ครั้งสุดท้ายที่เรามีอะไรกันคือคืนก่อนไฮลิกอาเบนด์ ฉันยืนยันว่าฉันป้องกันแล้วแน่นอน แต่ถึงจะป้องกันก็อาจจะพลาดได้ไม่ใช่เหรอ ถุงยางมันก็ไม่ได้ป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์”
     “หรือไม่ก็ไม่ใช่ลูกนาย” ยูเลี่ยนพูดลอย ๆ มานูเอลมองหน้าเพื่อนทันที ยูเลี่ยนย้ำว่า
     “คาธี่ไม่ได้มีนายคนเดียวนะ ตอนนั้นน่ะ เด็กอาจจะไม่ใช่ลูกนายก็ได้ นายต้องทำให้เรื่องมันกระจ่างให้ได้ มานู ก่อนที่อะไร ๆ มันจะแย่ลงไปกว่านี้”
     มานูเอลยกมือขึ้นลูบหน้า
     “แต่ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าคาธี่จะเป็นอย่างนั้น ฉันรู้จักคาธี่ดี เขาไม่ทำแบบนั้นหรอก”
     “แล้วแฟนเขาล่ะ” ยูเลี่ยนถาม
     “ฉันไม่รู้ เราไม่ได้คุยกันเรื่องนั้น คาธี่อยากให้เรากลับไปคุยกันที่บ้าน ฉันก็รับปากว่าฉันจะกลับไปให้เร็วที่สุด ฉันก็อยากเคลียร์เรื่องนี้ให้มันจบเหมือนกัน เอาให้มันรู้เรื่องกันไปเลย” มานูเอลพูดด้วยความมุ่งมั่น
     “อัตสึโตะล่ะ ถ้านายกลับตอนนี้ นายก็ไม่ได้ไปส่งอัตสึโตะที่สนามบินน่ะสิ”
     “ก็คงจะเป็นอย่างนั้น แต่ฉันคิดว่าอัตสึโตะเข้าใจฉัน หมอนั่นเข้มแข็งกว่าที่ฉันคิดเยอะ เข้มแข็งกว่าฉันซะอีก”
     “แล้วเรื่องนี้อัตสึโตะคิดยังไง ถ้าเด็กเป็นลูกนายจริง อัตสึโตะจะรับได้รึเปล่า หรือนายจะต้องเลิกกับหมอนั่นอย่างที่ไอ้หน้าเต้าหู้ประกาศจริง ๆ”
     “ฉันไม่ยอมเลิกกับอัตสึโตะหรอกนะยูเลี่ยน ฉันจะรับผิดชอบลูกของฉัน แต่ฉันคงแต่งงานกับคาธี่ไม่ได้ เราเลิกกันแล้ว ตอนนี้ฉันก็ไม่ได้รักคาธี่แล้วด้วย ฉันรักอัตสึโตะ” มานูเอลพูดด้วยความมั่นใจ แต่เขาก็มิวายยิ้มขื่น ๆ ออกมาเมื่อจบประโยคว่า
     “ฉันอยากยื้ออัตสึโตะไว้ ฉันมันเลวเหมือนที่มายะพูดนั่นแหละ”
     ยูเลี่ยนฟังแล้วจุ๊ปากดังลั่นด้วยความขัดใจทันที
     “อย่าไปฟังไอ้หน้าเต้าหู้มันเลยน่ะ เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับอัตสึโตะคนเดียว ถ้าหมอนั่นรับได้ก็ไม่มีปัญหาหรอก เคสของนายมันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น มันมีเยอะแยะไปที่เป็นแค่พ่อกับแม่ของลูก แต่ต่างคนต่างก็มีคนรักของตัวเอง มันอยู่ที่ว่านายต้องทำให้เรื่องมันเคลียร์ให้ได้ จะเอายังไงกันแน่ แล้วตกลงกับอัตสึโตะซะด้วย ว่าแต่หมอนั่นจะรับได้ไหมล่ะ”
     มานูเอลนึกถึงจูบของอัตสึโตะแล้วก็อยากจะเข้าข้างตัวเองจริง ๆ แต่เขาก็ไม่กล้าคิด ได้แต่เพียงสั่นศีรษะด้วยความไม่รู้ บอกว่า
     “ฉันทำได้แค่หวังเท่านั้นแหละว่าอัตสึโตะจะรับได้ แต่ถ้าไม่ได้ ฉันก็คงต้องยอมรับมัน”

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 14 - update - 10.10.2014 page 3
«ตอบ #81 เมื่อ10-10-2014 22:30:04 »

     มานูเอลไม่ได้ยินคำตอบของคำถามนั้นจากอัตสึโตะ แต่คนที่ได้ยินเต็มสองหูคือมายะ
     หลังจากที่ไปอาละวาดกับมานูเอลแล้ว ชายหนุ่มก็มาโวยวายใส่อัตสึโตะต่อ พร้อมกับยื่นคำขาดให้เพื่อนเลิกกับคนรักร่างใหญ่ให้ได้
     “ไอ้หมียักษ์มันทำกับนายถึงขนาดนี้ นายต้องเลิกกับมันนะอัตสึโตะ มันมีเมียมีลูกแล้ว นายก็เห็น เพราะฉะนั้นเลิกคบกันมันซะเถอะ”
     อัตสึโตะส่ายหน้าทันที ปากเม้มเป็นเส้นตรง
     “อัตสึโตะ!” มายะร้องลั่นด้วยความขัดเคืองใจ
     “มานูไม่ได้ทำอะไร หมอนั่นไม่ได้นอกใจฉัน เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นก่อนเราเป็นแฟนกัน มานูไม่ผิด คาธี่ก็ไม่ผิด ไม่มีใครทำอะไรผิดสักหน่อย ฉันจะไม่เลิกกับมานูเพราะเรื่องนี้เด็ดขาด”
     “แต่หมอนั่นมันมีลูกมีเมียนะอัตสึโตะ! มันต้องรับผิดชอบลูกเมียมัน แล้วนายยังจะทู่ซี้คบกับมันอยู่อีกงั้นเหรอ” มายะยิ่งเป็นเดือดเป็นร้อนที่เห็นอัตสึโตะนิ่งเหลือเกิน
     “ก็ให้เขาไปตกลงกันก่อน ถ้ามานูตัดสินใจอย่างนั้นจริง ๆ ฉันก็จะเลิก”
     “แล้วนายจะรอทำไม เลิกกันไปเลยสิ ยังไงไอ้หมียักษ์นั่นมันก็ต้องรับผิดชอบลูกมัน กับแฟนเก่ามันก็เคยรักกันจะเป็นจะตาย นายก็เห็น สองคนนั่นรีเทิร์นแน่นอนอยู่แล้ว นายจะยื้อเอาไว้ให้มันเจ็บปวดไปทำไม”
     “นายพูดของนายเอาเอง มายะ มานูยังไม่ได้ตัดสินใจ ฉันบอกแล้วนี่ว่าฉันจะรอการตัดสินใจของมานูก่อน”
     “โว้ย! ทำไมนายถึงได้ดื้อยังงี้วะ ไอ้มานูเอลมันทำนายขนาดนี้แล้วยังไม่เสียใจอีกรึไง” มายะบ่นด้วยอาการหัวเสีย
     “ฉันเสียใจสิที่เรื่องมันเป็นแบบนี้”
     “งั้นนายก็ต้องเลิกกับมัน!”
     “ไม่เลิก! ฉันไม่เลิกกับมานูเด็ดขาด!”
     เสียงของอัตสึโตะสั่น ริมฝีปากก็สั่น สายตาก็หวั่นไหวและเจ็บปวด แต่ชายหนุ่มก็ยังยืนยันความต้องการของตัวเอง มายะเห็นแล้วพูดไม่ออก แต่เขาก็เจ็บปวดไม่ต่างอะไรจากเพื่อน นอกจากนั้นเขายังโกรธที่อัตสึโตะดื้อรั้น รู้ทั้งรู้ว่าต้องเจ็บ แต่หมอนั่นก็กลับไม่ยอมเปลี่ยนใจ แล้วนี่เขาจะไม่สามารถทำให้อัตสึโตะเปลี่ยนใจได้เลยจริง ๆ เหรอ
     มายะคว้าตัวอัตสึโตะกดลงบนเตียง มือสองข้างของเขากำข้อมือของอีกฝ่ายแน่น
     “ฉันไม่เคยคิดจะทำกับนายแบบนี้ แต่ตอนนี้ฉันจะทำ ฉันไม่อยากเห็นนายเสียใจเพราะไอ้หมอนั่นอีกแล้ว”
     พูดจบมายะก็ก้มหน้าลงมาทันที แต่อัตสึโตะไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งนั้น แม้ว่าซอกคอจะโดนทั้งริมฝีปากและจมูกของอีกฝ่ายรุกราน จนแม้แต่เมื่อริมฝีปากของมายะเลื่อนมาประกบกับริมฝีปากของเขา อัตสึโตะก็ยังนิ่ง และเขาไม่หลับตาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มนอนนิ่งเหมือนท่อนไม้และสีหน้าของเขาเย็นชาเหมือนกับหินปักหน้าหลุมศพ
     มายะชะงักเมื่อสบสายตาว่างเปล่าของอัตสึโตะ แล้วเมื่อเขาถอนริมฝีปากออก อัตสึโตะก็พูดว่า
     “ถึงนายจะทำอย่างนี้ ฉันก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจหรอกมายะ ฉันรักมานู ฉันไม่ได้รักนาย”
     “โธ่เว้ย!” มายะสบถลั่น พร้อมกับผละตัวออกห่างจากอัตสึโตะ เลื่อนตัวลงมานั่งอยู่ที่พื้นหน้าเตียง ขณะที่อัตสึโตะค่อย ๆ ชันตัวขึ้นมาจากเตียงและนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น
     “โธ่เว้ย! ทำไมมันต้องเป็นยังงี้ด้วยวะ!” มายะสบถอีก แล้วชายหนุ่มก็เริ่มร้องไห้ ร้องไปด่าคนที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงไป
     “ไอ้บ้าอัตสึโตะ ไอ้คนหัวดื้อ ไอ้คนไม่มีหัวคิด ไอ้คนใจร้าย นายมันบ้า โคตรบ้า บ้าแล้วยังแถมโง่อีก เกิดมาฉันยังไม่เคยเจอใครบ้า โง่ ดื้อแบบนาย แม่นายให้นายกินอะไรแทนนมตอนเด็ก ๆ วะ นายถึงได้ทั้งบ้าทั้งดื้อทั้งโง่แบบนี้เนี่ย”
     มายะปาดน้ำตาไปทั้งที่ปากก็ยังด่าไม่หยุด อัตสึโตะเลื่อนตัวลงมานั่งบนพื้นข้าง ๆ เพื่อน มือของเขาแตะแขนมายะเอาไว้อย่างแผ่วเบา
     “แล้วนายจะร้องไห้ทำไมเนี่ย”
     “ก็นายไม่ยอมร้องไห้ ฉันก็ร้องไห้แทนสิวะ!” มายะหันมาโวยทั้งน้ำตา พร้อมกับสูดจมูกฟืดหนึ่ง
     “โธ่ มายะ” อัตสึโตะพูดได้แค่นั้น
     “นายนี่มันหัวช้า ความรู้สึกช้า ต้องให้เตือนกันทุกที เตือนแล้วก็ไม่เชื่อไม่ฟังไม่ทำตาม ฉันก็ต้องทำแทนให้ตลอดอีก ตอนนี้ฉันเสียใจแทนนาย ทำไมนายต้องมาเจอเรื่องบ้า ๆ แบบนี้ด้วยวะ”
     มายะสูดจมูกฟืด ๆ พลางปาดน้ำตาป้อย ยังร้องไห้อยู่ และแทนที่ชายหนุ่มจะเป็นคนปลอบโยนอัตสึโตะอย่างที่ควรจะเป็น มายะกลับเป็นฝ่ายนั่งร้องไห้ให้อัตสึโตะเป็นคนปลอบแทน
     อัตสึโตะยังคงไม่มีน้ำตาให้เรื่องนี้แม้แต่ตอนที่มานูเอลเข้ามาลาเขาในห้อง ทั้งสองคนกอดกันแน่นเพราะรู้ดีว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดกันแล้ว อนาคตยังไม่รู้ว่าจะได้เจอกันหรือกอดกันอย่างนี้อีกหรือไม่
     “ฉันจะเคลียร์เรื่องนี้ให้เร็วที่สุดนะอัตสึโตะ” มานูเอลสัญญา
     “อย่าลืมที่ฉันบอก นายไม่ต้องเป็นห่วงฉัน คิดถึงเด็กคิดถึงคาธี่ไว้ก่อน และฉันจะยอมรับการตัดสินใจของนายทุกอย่าง ฉันรู้ว่านายจะเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
     “เรายังคุยกันได้ใช่ไหมอัตสึโตะ” มานูเอลถามด้วยความคาดหวัง อัตสึโตะพยักหน้า
     “แน่นอน เรายังคุยกันได้เสมอ”
     “ฉันจะโทรหานายทุกวันเลย”
     อัตสึโตะยิ้มนิด ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับอีกครั้งหนึ่ง มานูเอลยกมือขึ้นลูบแก้มอัตสึโตะ
     “ฉันขอจูบนายได้ไหม”
     อัตสึโตะไม่ตอบ แต่หลับตาลง มานูเอลจึงก้มหน้าลงมาหา ริมฝีปากของเขาประทับลงบนริมฝีปากของอัตสึโตะและเขาก็ทำอย่างนั้นอยู่นาน นานที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แต่ในที่สุดเขาก็ต้องตัดใจถอนริมฝีปากออกมา ชายหนุ่มพูดขณะที่แตะหน้าผากของตัวเองลงกับหน้าผากของอัตสึโตะเป็นครั้งสุดท้ายว่า
     “ฉันรักนาย”
     อัตสึโตะก็ยังไม่มีน้ำตาแม้แต่ตอนที่ร่ำลาเพื่อน ๆ ในฟลอร์ ต่างจากชินจิที่น้ำตาร่วงตอนที่กอดลาเพื่อน ๆ ทุกคนที่เขารู้จักซึ่งอยู่กันแทบจะทุกคนในฟลอร์ มีแค่บางคนเท่านั้นที่กลับบ้านไปแล้ว
     มาร์โคดูจะอาลัยอาวรณ์แกมเสียดายอัตสึโตะอยู่ไม่หาย ชายหนุ่มกอดอัตสึโตะแน่นจนมาริโอ้ต้องดึงตัวออกมา แต่มาร์โคก็ยังมิวายขโมยหอมแก้มอัตสึโตะจนได้ แล้วเมื่อกอดลากับชินจิ ชายหนุ่มขี้เล่นจอมเจ้าชู้ประจำฟลอร์ก็หอมแก้มลาเขาอีกคน
     คู่ของมัตส์กับเอริคเป็นคนต่อไปที่พวกเขามาลา ทั้งสองคนนี้ไม่ค่อยได้มาสนิทสนมด้วยสักเท่าไร แต่เห็นกันทุกวันอยู่ในฟลอร์ เวลาจะจากกันก็อดใจหายไม่ได้ จากนั้นพวกเขาก็ลาเจอโรมกับมิโรสลาฟ ตามด้วยบาสเตียนกับลูคัสที่พอไม่มีแฟนสาวตัวจริงเคียงข้างก็กลับมาคลอเคลียกันเองเหมือนเดิม และจนบัดนี้อัตสึโตะก็ยังฟังสำเนียงบาเยิร์นของอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องอยู่ดี
ฟิลิปเป็นคนสุดท้ายที่พวกเขามาลาซึ่งก็เพียงแต่อวยพรสั้น ๆ ว่า
     “Alles Gute”
     ชินจิยังคงไม่ค่อยกล้าสบตากับประธานหอพักนัก เขาจับมือกับฟิลิปอย่างเป็นงานเป็นการแล้วถอยหลังกลับเพื่อเปิดโอกาสให้อัตสึโตะเข้ามาจับมือลาบ้าง
     ทั้งอัตสึโตะและชินจิไม่มีแฟนมาส่งที่สนามบินเหมือนกันทั้งคู่ แต่ก็ไม่เงียบเหงาเพราะยังมีรุ่นพี่และเพื่อนบางคนตามมาส่งที่สนามบิน
     “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับรุ่นพี่” อัตสึโตะเข้ามากอดลามาโกโตะและเอย์จิ ตอนขามาเมื่อห้าเดือนก่อน รุ่นพี่สองคนเป็นคนมารับเขา และตอนจะกลับ ทั้งสองคนก็มาส่งเขาเหมือนเดิมอีก นอกจากมาโกโตะกับเอย์จิแล้วก็ยังมีโทนี่และยูเลี่ยนอีกสองคน โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่เข้ามากอดเขาด้วยความอาลัยอาวรณ์
     “ลาก่อนนะอัตสึโตะ รักษาตัวเองด้วยนะ”
     “นายก็เหมือนกันยูเลี่ยน โชคดีนะ”
     “ฉันยังอยากเจอนายอีกนะ อัตสึโตะ เราจะได้เจอกันอีกใช่ไหม”
     ยูเลี่ยนอ้อนส่งท้ายโดยไม่สนใจเสียงจิ๊กจั๊กของมายะ อัตสึโตะหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้า
     “ฉันก็อยากเจอนายเหมือนกัน เราต้องได้เจอกันอีกแน่นอน ไม่ที่นี่ก็ที่ญี่ปุ่น นายจะมาเยี่ยมฉันบ้างก็ได้นี่นา”
     “ฉันอยากไปหานายที่ญี่ปุ่นม้ากมากเลยอัตสึโตะ” ยูเลี่ยนยังอ้อนต่อ แต่เมื่อพยายามจะเอาหน้ามาไถ ๆ กับไหล่ของอัตสึโตะเป็นการออดอ้อน ชายหนุ่มก็โดนมายะกระชากไหล่ให้ถอยห่างออกมาก่อน
     “พอเลย จะอ้อนกันไปถึงไหนวะ ไอ้เด็กบ้า” มายะคำรามลอดไรฟัน
     และถึงแม้ว่ามายะกับยูเลี่ยนจะฟอดแฟดใส่กันมากแค่ไหน จิกตีกันมาตลอดเทอมอย่างไร แต่เมื่อมาถึงตอนจากลา ทั้งคู่ก็กลับสวมกอดกันอย่างแนบแน่น
     “ดูแลอัตสึโตะด้วยนะไอ้หน้าเต้าหู้” ยูเลี่ยนกระซิบ
     “รู้แล้วล่ะน่ะ ไอ้เด็กบ้า นายเองก็คอยดูไอ้หมียักษ์นูเทลล่ามันด้วยล่ะ แล้วถ้ามีอะไร นายต้องติดต่อฉันทันที เข้าใจไหมวะ” มายะกระซิบสั่ง
     “เออ ฉันรู้หรอกน่าว่าจะต้องทำยังไง” ยูเลี่ยนกระซิบตอบ
     ทั้งสองคนผลัดกันตบไหล่อีกฝ่ายดังบึ้กก่อนจะสวมกอดกันแน่น ๆ อีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย
     “ดูแลตัวเองด้วยนะเว้ยไอ้เด็กบ้า” คราวนี้มายะไม่จำเป็นต้องกระซิบและยูเลี่ยนก็ตอบกลับเช่นกันว่า
     “โชคดีเหมือนกันว่ะไอ้หน้าเต้าหู้”
     ทั้งสามคนร่ำลาคนที่มาส่งเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินเข้าไปในส่วนผู้โดยสารขาออก
     อัตสึโตะ ชินจิและมายะก้าวออกจากเบอร์ลินด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือความอาลัย
     ตลอดระยะเวลาห้าเดือนที่ผ่านมามีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับพวกเขาที่นี่ ทั้งความสุข ความสนุกสนาน ความสมหวัง ความผิดหวังและความเศร้าโศกเสียใจ พวกเขาไม่รู้ว่าจะมีเรื่องราวแบบไหนเกิดขึ้นอีกบ้างหลังจากนี้ แต่มันคงไม่มีวันลบเลือนความทรงจำในเบอร์ลินไปได้แน่ ๆ
     อัตสึโตะมองออกไปนอกหน้าต่าง
     เมื่อเขามาถึงที่นี่ในวันแรก เบอร์ลินต้อนรับเขาด้วยสายฝน และเมื่อเขาต้องจากไป เบอร์ลินก็ร่ำลาเขาด้วยหิมะขาวสะอาดที่โปรยปรายลงมาบาง ๆ
     มันเย็นและมันก็ดูเศร้า
     ไม่ต่างอะไรจากความรู้สึกของเขาในตอนนี้เลย

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 14 - update - 10.10.2014 page 3
«ตอบ #82 เมื่อ10-10-2014 22:31:01 »

เวรกรรม เฮ้อ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 14 - update - 10.10.2014 page 3
«ตอบ #83 เมื่อ11-10-2014 07:36:42 »

บทที่ 15

     หลังจากกลับมาอยู่ที่ญี่ปุ่นสิ่งแรกที่ชินจิทำก็คือหางานพิเศษ
     ชายหนุ่มต้องการหาเงินเพื่อเป็นทุนในการกลับไปที่เยอรมนีอีกครั้งก่อนที่เขาจะเรียนจบและเตรียมตัวสอบชิงทุนปริญญาโทและปริญญาเอกอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ต่อไป
     ระหว่างนี้เควินติดต่อกับเขาอยู่ไม่เคยขาด ชายหนุ่มกลับไปอยู่กับครอบครัวที่ดอร์ทมุนด์แต่ก็ยังสไกป์หรือส่งข้อความคุยกันอยู่เรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าคนเริ่มต้นก่อนจะเป็นชินจิแทบทุกครั้งก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกดีเพราะคู่ของเขาไม่ได้มีปัญหาหนักอกอย่างคู่ของอัตสึโตะกับมานูเอล
     ชินจิยังติดต่อกับอัตสึโตะและมายะอยู่และยังสนิทสนมกันเหมือนเดิมเพียงแต่อาจจะไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนักหลังจากที่ชินจิเริ่มทำงานพิเศษอย่างหนักในช่วงเวลาปิดเทอมที่ยังเหลืออยู่ ทั้งสามคนทราบข่าวคราวของกันและกันจากอีเมล์กับข้อความที่ส่งหากันบ้าง หรือไม่ก็จากบล็อกของมายะ
     มายะเขียนบล็อกทำนองไดอารี่ประจำตัวอยู่บ้าง บางครั้งเขาก็ลงเรื่องของอัตสึโตะ แต่สิ่งที่มายะไม่ได้เขียนก็คือเรื่องของมานูเอล ชินจิก็เลยไม่ทราบว่าชายหนุ่มร่างใหญ่คนนั้นจะจัดการกับปัญหาของเขาได้อย่างไร

     ทันทีที่กลับถึงเกลเซ่นเคียเช่น มานูเอลก็ตรงไปที่บ้านของคัธรินในทันที แต่บรรยากาศที่บ้านของหญิงสาวต่างจากสมัยก่อนลิบลับ พ่อกับแม่ของหล่อนไม่ต้อนรับเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยอมให้ชายหนุ่มขึ้นไปคุยกับลูกสาวที่ห้อง
     “มานู” คัธรินตรงเข้ามากอดเขาเอาไว้ด้วยความดีใจ แต่มานูเอลดันตัวของหล่อนออก ถึงจะไม่รุนแรงแต่ก็มีความเหินห่างและระมัดระวังให้สัมผัสได้ สีหน้าของหญิงสาวจึงสลดลงเล็กน้อย
     “คุยกันเลยดีกว่าคาธี่ ฉันอยากรู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่” มานูเอลเริ่มต้นอย่างไม่อ้อมค้อม “เธอบอกว่าเธอท้องกับฉัน แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อเราก็ป้องกันทุกครั้ง ฉันไม่ได้จะว่าอะไรเธอนะ แต่ฉันอยากรู้ความจริงเท่านั้น”
     คัธรินเม้มริมฝีปาก สีหน้าของหล่อนดูอึดอัด แต่หล่อนก็ยังยืนยันว่า
     “ฉันท้องกับเธอจริง ๆ ตอนนี้ก็สองเดือนครึ่งแล้ว มันต้องเป็นช่วงคริสต์มาสนั่นแหละ ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่มันเป็นไปแล้ว”
     “แล้วแฟนของเธอล่ะ รู้เรื่องนี้รึเปล่า”
     “รู้สิ เขาจะไม่รู้ได้ยังไง ฉันบอกเขาเอง” น้ำเสียงของหล่อนที่พูดถึงเขาแสดงให้เห็นถึงความโกรธเคืองที่ผสมปนเปด้วยความน้อยใจ หางเสียงจึงค่อนข้างกระแทกกระทั้น
     “แล้วเขาก็เลิกกับฉันแล้วด้วยเพราะเรื่องนี้”
     “อะไรนะ” มานูเอลฟังแล้วตกใจจริง ๆ แต่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเมื่อนึกถึงปฏิกิริยาของพ่อกับแม่ของคัธรินซึ่งมันก็น่าโกรธอยู่หรอกที่ลูกสาวต้องเลิกกับคนรักเพราะดันตั้งท้องกับแฟนเก่าของตัวเองแบบนี้
     ชายหนุ่มถอนหายใจยาวด้วยความหนักอก
     “มันอาจฟังดูเลวนะคาธี่ แต่ยังไงฉันก็ต้องถามเรื่องนี้ ในช่วงนั้นเธอไม่ได้มีฉันคนเดียว แฟนเธอก็อยู่ เธอแน่ใจจริง ๆ น่ะเหรอว่าเด็กเป็นลูกของฉันแน่ ๆ”
     “ฉันแน่ใจ”
     “งั้นถ้าฉันจะขอตรวจดีเอ็นเอหรืออะไรทำนองนั้น เธอก็คงไม่ขัดข้องใช่ไหม”
     “แน่นอน ถ้าเธออยากจะทำอย่างนั้น ก็ทำเลย”
     มานูเอลจ้องตาคัธรินซึ่งฝ่ายหลังก็ไม่ได้เลี่ยงหลบ แต่ชายหนุ่มเห็นความหวั่นไหวอยู่ในสายตาของหล่อนเช่นกัน
     “เอาเถอะ ถ้าเธอพูดแบบนั้น ฉันก็จะเชื่อว่าเด็กเป็นลูกของฉัน ฉันจะรับผิดชอบลูกของฉันแน่นอน”
     มานูเอลสรุป หน้าของคัธรินชื่นขึ้นทันที หล่อนจับมือของเขาเอาไว้
     “เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมใช่ไหมมานู ฉันดีใจนะ ฉันดีใจจริง ๆ”
     หากมานูเอลส่ายหน้า ก่อนจะปลดมือของหญิงสาวออก
     “เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้หรอกนะคาธี่ ทั้งเธอทั้งฉันเปลี่ยนไปแล้วทั้งสองคน เราเป็นพ่อกับแม่ให้ลูกได้ แต่ไม่สามารถเป็นอะไรอย่างอื่นได้อีก”
     “เพราะผู้ชายคนนั้นยังงั้นเหรอที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปขนาดนี้ เธอเคยบอกว่าเธอรักฉันไม่ใช่เหรอ”
     “ฉันเคยรักเธอจริง ๆ แต่นั่นก่อนที่เธอจะบอกเลิกกับฉันและก่อนที่ฉันจะเจออัตสึโตะ ตอนนี้ในหัวใจของฉันมีแต่อัตสึโตะคนเดียว”
     “เธอกำลังจะมีลูกกับฉัน เธอคิดว่าเขาจะรับเรื่องนี้ได้เหรอ”
     “ฉันเชื่อว่าอัตสึโตะเข้าใจฉันแน่ ๆ”
     คัธรินส่ายหน้าอย่างอัดอั้น มานูเอลก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เขาคิดว่าเรื่องมันคงยังไม่จบแค่นี้หรอก มันยังมีเรื่องอีกมากที่เขาจะต้องพูดกับคัธริน แต่คงไม่ใช่วันนี้ เห็นได้ชัดว่าคัธรินไม่อาจจะรับฟังอะไรได้อีกต่อไปแล้ว มานูเอลก็เลยหยุดอยู่เพียงแค่นั้น
     มานูเอลกลับมาที่บ้านของเขาแล้วก็พบว่าในบ้านมีคนมาชุมนุมกันอยู่เต็มไปหมด โธมัส เบเนดิกท์และลิซ่าทั้งสองคนพร้อมใจกันมาคอยฟังข่าวอยู่ด้วยความเป็นห่วงและเมื่อฟังมานูเอลเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว ต่างคนต่างก็ถอนหายใจดังเฮือก
     “แต่ฉันก็ยังไม่คิดว่านั่นจะเป็นลูกของนายอยู่ดีแหละมานู” โธมัสพูด “มันแค่ครั้งเดียวแล้วนายก็บอกว่านายป้องกัน มันไม่น่าสงสัยเหรอ ฉันว่าแฟนคาธี่น่ะ ชื่ออะไรนะ”
     “ดาวิด” ลิซ่าแฟนสาวของเขาเป็นคนตอบ
     “เออ นั่นแหละ ฉันว่าหมอนั่นน่าสงสัยมากกว่าอีก”
     “เขาสองคนจู่ ๆ ก็เลิกกัน แต่คาธี่บอกว่าเพราะลูกเป็นลูกมานู ดาวิดเขารับไม่ได้ก็เลยต้องเลิกกัน มันก็สมเหตุสมผลอยู่นะ” ลิซ่าแฟนโธมัสพูด
     “ได้ยินว่าดาวิดคนนั้นมีแฟนใหม่ไปแล้วด้วยนะ คือมันเร็วมากจนน่าตกใจเชียวล่ะ” ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์เล่าบ้าง มีแฟนหนุ่มพยักหน้าเป็นลูกคู่ พวกเขามีเพื่อนเรียนอยู่ที่ดืสเซลดอร์ฟหลายคน การจะหาข่าวอะไรแบบนี้เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก ๆ
     “น่าสงสัย น่าสงสัย” โธมัสพึมพำ
     “ให้เราถามเพื่อน ๆ ที่ดืสเซลดอร์ฟอีกทีไหม เผื่อได้เรื่องอะไรมากกว่านี้” ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์เสนอ แต่มานูเอลโบกมือห้าม
     “อย่าเลย ไม่มีประโยชน์หรอก” ชายหนุ่มพูด “จะยังไงก็ช่าง ตอนนี้เราก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ฉันเองก็ไม่อยากขุดคุ้ยอะไรทั้งนั้น คาธี่บอกว่าเป็นลูกของฉัน ฉันก็จะเชื่อตามนั้นจนกว่าผลตรวจทางการแพทย์จะออกมา ยังไงคาธี่ก็เป็นเพื่อนฉัน ฉันไม่อยากกดดันเขามากนัก แค่นี้เขาก็แย่แล้ว ตั้งท้อง แถมยังโดนฉันปฏิเสธอีก”
     “นายปฏิเสธอะไรเขาวะ” โธมัสสงสัย
     “เขาขอให้ฉันกับเขากลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ฉันไม่ยอม ฉันบอกเขาว่าฉันไม่ได้รักเขาแล้ว ฉันรักอัตสึโตะ ฉันจะรับผิดชอบลูกของฉันในฐานะพ่อ แต่มากกว่านั้น ฉันทำไม่ได้” มานูเอลตอบ
     “เฮ้อ มันก็คงจะต้องเป็นอย่างนั้นล่ะนะ” โธมัสถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกหนักใจแทนเพื่อนขึ้นมาไม่น้อย จู่ ๆ ก็จะต้องมาเป็นคุณพ่อตั้งแต่อายุยี่สิบต้น ๆ มันไม่ใช่เรื่องสนุกสักนิด
     “แล้วอัตสึโตะจะว่ายังไง นายจะคุยกับเขาเมื่อไหร่” เบเนดิกท์ถาม
     “คงไม่ใช่ตอนนี้หรอก บอกตามตรงว่าฉันไม่อยากคุยเรื่องนี้กับอัตสึโตะเลย ฉันกลัวว่าหมอนั่นจะรับไม่ได้ ฉันไม่อยากเลิกกับอัตสึโตะ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะประวิงเวลาออกไปก่อน หรือจนกว่าผลตรวจจะออกมา”
     “นายยื้ออัตสึโตะไปตลอดไม่ได้หรอกนะ สักวันนายก็จะต้องพูดเรื่องนี้กับอัตสึโตะอยู่ดี”
     “ฉันรู้เบนนี่ ฉันรู้ดี”
     ถึงจะบอกเพื่อนไปแบบนั้น แต่มานูเอลก็ไม่ยอมพูดเรื่องนี้กับอัตสึโตะจนแล้วจนรอด ชายหนุ่มโทรศัพท์หาอัตสึโตะทุกวันจริง ๆ ทั้งทางเฟซไทม์หรือไม่ก็สไกป์ อย่างที่เขาสัญญาเอาไว้ แต่เรื่องที่คุยกันก็เป็นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องนี้ อัตสึโตะก็ไม่ได้ถามอะไร ชายหนุ่มเล่าเรื่องของเขา เรื่องที่ญี่ปุ่น หรือไม่ก็เล่าเรื่องเพื่อน ๆ ให้มานูเอลฟังบ้าง อย่างเช่นวันนี้เมื่อมานูเอลเฟซไทม์มา ชายหนุ่มก็เริ่มเล่าเรื่องของชินจิให้ฟัง
     “ชินจิทำงานพิเศษตั้งสองที่แน่ะ หมอนั่นทำงานที่ร้านหนังสือ แล้วก็ยังเป็นติวเตอร์ตามบ้านอีก ไม่รู้ทำได้ยังไง สุดยอดมาก ๆ เลย” อัตสึโตะเล่าด้วยความชื่นชม
     “แล้วนายล่ะ เริ่มหางานพิเศษอะไรทำบ้างแล้วรึยัง” มานูเอลถาม
     “ยังไม่ได้หาเลย ขี้เกียจ” อัตสึโตะย่นจมูกแบบที่มานูเอลเห็นแล้วนึกเอ็นดู นี่ถ้าอยู่ใกล้ ๆ กัน เขาคงบีบจมูกของฝ่ายนั้นเล่นไปแล้ว
     “เอาไว้ค่อยหาตอนเปิดเทอมดีกว่า ตอนนี้ขอพักก่อน”
     “พอเปิดเทอมเดี๋ยวก็บ่นอีกว่าเรียนหนัก ต้องเข้าชมรม สรุปนายก็ไม่ได้หาสักทีล่ะมั้ง” มานูเอลดักคอยิ้ม ๆ จึงโดนอัตสึโตะทำปากยื่นใส่โทษฐานที่บังอาจมารู้ทันเขาได้
     “แล้วคนอื่น ๆ เป็นยังไงกันมั่งล่ะ” อัตสึโตะถามบ้าง มานูเอลจึงเล่าเรื่องของพวกโธมัสให้ฟัง แต่ไม่ได้พูดเรื่องของเขาและคัธรินเลยแม้แต่คำเดียว
     ในขณะที่อัตสึโตะกับมานูเอลคุยกันอยู่ทุกวัน ชินจิกับเควินกลับคุยกันน้อยลงเรื่อย ๆ
     ตั้งแต่กลับมาจากเยอรมนี ชินจิก็ทำงานอยู่ตลอด ทั้งเป็นพนักงานในร้านหนังสือและเขายังสอนพิเศษตามบ้านอาทิตย์ละสองวันด้วย เวลาของเขาจึงหมดไปกับการทำงาน ไม่ได้กลับไปบ้านที่โกเบ หรือแม้แต่เมื่ออัตสึโตะกับมายะโทรศัพท์มาชวนไปเที่ยวหรือกินข้าวด้วยกัน เขาก็ไม่เคยว่างเลย ความสุขอย่างเดียวของเขาตอนนี้คือการที่ได้โทรศัพท์หรือสไกป์คุยกับเควิน แต่ก็ไม่ได้คุยกันทุกวัน บางครั้งชายหนุ่มก็เหนื่อยเกินไปจนเผลอหลับไปก่อนไม่สามารถอยู่ดึกเพื่อรอคุยกับคนรักได้ บางครั้งเมื่อโทรไป เควินก็ไม่ได้รับสาย แต่ก็ไม่ได้โทรกลับเช่นกัน ชายหนุ่มเคยถามเควินเรื่องนี้ เขาก็บอกง่าย ๆ ว่า
     “ก็มันไม่มีเรื่องอะไรนี่ ชีวิตฉันก็เหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ ฉันก็เลยคิดว่าไม่ต้องโทรก็ได้ เอาไว้มีเรื่องอะไรจะเล่าก็ค่อยโทรมาดีกว่า อ้อ อีกไม่กี่วันฉันก็จะกลับเบอร์ลินแล้วนะ”
     ชินจิฟังแล้วถอนใจยาว สำหรับเขา ไม่ว่าเรื่องจะเล็กน้อยขนาดไหน เขาก็ยังอยากจะแบ่งปันให้คนรักได้รับรู้ แล้วเขาก็อยากจะรับรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายให้มากที่สุดด้วย ถึงจะเป็นเรื่องชีวิตประจำวันที่เควินบอกว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่ก็เถอะ แต่ชินจิก็ยังอยากจะรู้อยู่ดี ยิ่งอยู่ห่างกันแบบนี้ เขาก็ยิ่งกระหายอยากจะรู้มากขึ้น
     “ฉันคิดถึงเบอร์ลินจัง คิดถึงนายด้วย ตอนนี้ฉันทำงานเก็บเงินอยู่ อีกไม่นานก็ไปเยี่ยมนายได้แล้วล่ะ”
     ชายหนุ่มเล่าอย่างมีความสุข แต่เควินเพียงรับคำในคอสั้น ๆ
     “แล้วนายล่ะ ตั้งใจจะหางานพิเศษบ้างไหม เผื่อตอนที่นายมาเยี่ยมฉันที่นี่ไง” ชินจิถาม
     “ยังไม่ได้คิดเลย” เควินตอบตรง ๆ แล้วตัดบทว่า “เออ ชินจิ ฉันต้องไปก่อนนะ วันนี้ว่าจะไปกินเบียร์กับคริสตอฟมันสักหน่อยน่ะ”
     ชินจิจำใจต้องวางหูทั้งที่เพิ่งคุยกันได้ไม่เท่าไร แต่ในใจของเขาอดรู้สึกหดหู่น้อย ๆ ไม่ได้ ตอนนี้เหมือนกับเขาวิ่งเต้นอยู่คนเดียวโดยที่เควินไม่ได้ทำอะไรสักนิด ยังมีเวลาออกไปกินเบียร์อย่างสบายใจหรือไม่ก็ไปปาร์ตี้ เควินปาร์ตี้บ่อยจนชายหนุ่มอยากถามเหลือเกินว่าแล้วแบบนี้จะมีเงินเหลือมาเที่ยวญี่ปุ่นอยู่อีกหรือ หากชายหนุ่มก็ไม่ได้ถามอะไรคนรักเรื่องนี้ คิดง่าย ๆ ว่าเควินก็คงหาได้เองเมื่อถึงเวลา อย่างไรคนรักก็สัญญาแล้วว่าจะมาเยี่ยมเขา
     ชายหนุ่มไม่เคยสงสัยคำพูดของเควินแม้แต่นิดเดียว เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาทำส่วนของตัวเองอย่างเต็มที่ต่อไปและไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าในช่วงเวลานั้น ลับหลังเขา เพื่อน ๆ และรุ่นพี่กำลังเป็นห่วงเขามากแค่ไหน
     อัตสึโตะเองก็ได้คุยกับมานูเอลเรื่องนี้เหมือนกัน
     ก่อนหน้านี้เขาเจอกับมายะและได้คุยสไกป์กับมาโกโตะและเอย์จิพร้อมกันสี่คน รุ่นพี่ของเขาถามถึงชินจิและเมื่อรู้ว่ารุ่นน้องกำลังพยายามอย่างหนักแค่ไหน เอย์จิก็ถึงกับถอนหายใจออกมา
     “ชินจิมันรู้รึเปล่าเนี่ยว่าแฟนมันกลับมาเบอร์ลินก็ปาร์ตี้ทุกวัน ไม่เห็นจะดูเดือดร้อนหรือพยายามทำอะไร ๆ อย่างที่ชินจิมันกำลังพยายามอยู่ตอนนี้เลย”
     “แต่เควินมันก็เป็นอย่างนี้มาตลอดอยู่แล้วนี่ครับ” อัตสึโตะว่า
     “ก็จริง แต่พูดก็พูดเถอะ หมอนั่นทำตัวอย่างกับไม่มีแฟน อยู่ในปาร์ตี้ก็เมาเฟลิร์ตไปทั่วเหอะ ยังดีนะที่มันไม่ได้หิ้วใครออกไป มันกินเบียร์จนเมาแล้วให้เพื่อนพากลับ” เอย์จิเล่า เมื่อสองสามวันก่อนมีปาร์ตี้ที่คลับรูมของหอพักของเขา แล้วเควินก็ไปร่วมงานกับเพื่อนคนเดิมที่รู้สึกว่าจะชื่อเจอโรม
     “มันทำเป็นไม่รู้จักพวกเราด้วยนะ” มาโกโตะเสริม ตอนที่เขากับเอย์จิเข้าไปทัก แฟนของรุ่นน้องคนนั้นมีท่าทีอึดอัดเมื่อเจอพวกเขา แล้วก็ไม่ได้ทักทายกลับหรือคุยอะไรด้วยแม้แต่น้อย เควินทำเพียงผงกศีรษะให้เล็กน้อย แล้วก็ตรงไปหาเพื่อนของเขา จากนั้นก็หลีกเลี่ยงทั้งเอย์จิและมาโกโตะตลอดงาน
     “เฮ้ย ทำแบบนี้มันไม่ดีแล้วนา” มายะพูดบ้าง เอามือลูบปลายคางอย่างคนกำลังใช้ความคิด “มันก็รู้จักพวกรุ่นพี่ แล้วทำไมทำเป็นไม่รู้จัก แสดงว่ามันต้องมีอะไรแน่ ๆ เลยแบบนี้”
     “ถามมานูเอลดูซิอัตสึโตะ เผื่อหมอนั่นรู้อะไรบ้าง” มาโกโตะเสนอ
     “แต่หมอนั่นยังอยู่เกลเซ่นเคียเช่นเลยครับ จะรู้จริง ๆ เหรอ” อัตสึโตะทำหน้าครุ่นคิด
     “ก็ลองถามดู ไม่เสียหายอะไรสักหน่อย พวกนายคุยกันทุกวันอยู่แล้วนี่” มาโกโตะพูด
     มายะนิ่งคิดอยู่นิดหนึ่งก่อนจะพูดออกมาเหมือนจำใจเหลือเกินว่า
     “ไอ้หมียักษ์มันคงไม่รู้อะไรหรอกครับ ถามมันก็เสียเวลา ผมว่าถ้าอยากสืบข่าวอะไรที่อัดเลอร์สโฮฟจริง ๆ ล่ะก็ใช้ไอ้บ้านั่นดีกว่า เรื่องสอดรู้สอดเห็นมันถนัด”
     “ใครเหรอ” อัตสึโตะหันมาถามอย่างงง ๆ ในขณะที่รุ่นพี่ทั้งสองคนฟังแล้วยิ้มกริ่ม แล้วมาโกโตะก็เป็นคนแหย่ว่า
     “นายหมายถึงยูเลี่ยนใช่ไหม แหม มีการคิดถึงกันด้วยวุ้ย”
     “โธ่ รุ่นพี่คร้าบ ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่อยากจะคิดถึงไอ้เด็กบ้านั่นสักเท่าไหร่หรอก แต่นี่มันจำเป็น เพื่อเพื่อน ผมจะกลั้นใจถามมันให้ก็ได้ เผื่อมันรู้อะไรบ้าง”
     ฟังน้ำเสียงที่จำใจเหลือเกินของมายะแล้วทุกคนก็อดหัวเราะไม่ได้ แล้วก็ตกลงกันว่าจะทำตามที่มายะเสนอ แต่ถึงอย่างนั้น อัตสึโตะก็เอาเรื่องนี้มาคุยกับมานูเอลทันทีที่คนรักเฟซไทม์มาหา
     “เควินน่ะเหรอทำยังงั้น”
     มานูเอลขมวดคิ้ว แต่ก็จริงอย่างที่มายะว่า ชายหนุ่มอยู่ที่เกลเซ่นเคียเช่น ทำให้เขาไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องอะไรที่เบอร์ลินมากนัก จะรู้บ้างก็ตอนที่โทรศัพท์คุยกับยูเลี่ยนเท่านั้น แต่ยูเลี่ยนก็ไม่ได้เล่าเรื่องของเควินให้เขาฟังเลย
     “ทุกคนก็เลยสงสัยแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจกันสักเท่าไหร่ เป็นห่วงชินจิ” อัตสึโตะสรุป
     “ฉันอยู่ทางนี้ก็ไม่ค่อยรู้อะไรซะด้วยสิ เอางี้ เอาไว้ฉันจะลองโทรไปคุยกับยูเลี่ยนก็แล้วกัน”
     “พูดเหมือนมายะเลย มายะก็บอกว่าจะโทรไปคุยกับยูเลี่ยนเหมือนกัน” อัตสึโตะบอกยิ้ม ๆ
     “ซึนเดเระ ทั้งที่เข้ากันได้ดีแท้ ๆ”
     อัตสึโตะตาโตเมื่อฟังคำพูดของมานูเอล ก่อนจะอุทานว่า
     “โอ้โฮ นี่นายไปรู้จักคำนี้มาจากไหนเนี่ย”
     “อินเตอร์เน็ต ใช้ได้ใช่ไหม”
     “มากเลย นายนี่สุดยอด แล้วไปรู้คำอะไรมาอีก ไหนบอกหน่อยซิ”
     “ให้พูดจริงเหรอ”
     “จริง ๆ พูดเลย” อัตสึโตะเร่ง
     “ไดสุกิ เดส”
     หน้าของอัตสึโตะแดงขึ้นมาทันทีจนมานูเอลอดหัวเราะไม่ได้ เย้าว่า
     “นายอยากให้ฉันพูดเองนะ”
     “ก็นึกว่าเป็นคำอื่นที่ไม่ใช่คำนี้นี่” อัตสึโตะอุบอิบ ไม่คิดว่าจู่ ๆ มานูเอลก็จะมาพูดคำว่าชอบเอาตอนนี้ เขาก็เลยตั้งตัวไม่ทัน หน้าก็เลยแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้จริง ๆ
     เมื่อเห็นอัตสึโตะอาย มานูเอลก็เลยเปลี่ยนเรื่อง
     “ใกล้วันเกิดเราแล้วนะ ฉันเคยบอกว่าจะโทรหานายวันนั้น แล้วนายก็เคยบอกว่าอยากจัดงานวันเกิดด้วยกัน นายจำได้ไหม”
     “จำได้ แต่มันทำไม่ได้นี่”
     “ได้สิ เราจัดงานวันเกิดด้วยกันได้” มานูเอลยืนยัน แล้วเขาก็เล่าให้ฟังว่าเขาตกลงกับที่บ้านไว้ว่าอย่างไร
     “ปกติวันเกิด เราก็จะจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ในครอบครัวกันอยู่แล้ว ปีนี้ก็จัดเหมือนเดิม แต่คงมีพวกโธมัสมาด้วย พอพวกมันรู้ว่าอัตสึโตะก็เกิดวันเดียวกัน พวกนั้นก็อยากจะมาร่วมอวยพรด้วยน่ะ แค่นายเปิดสไกป์ทิ้งไว้ ก็เหมือนเราได้อยู่ด้วยกันแล้ว ดีไหม”
     “จริงสิ” อัตสึโตะเห็นด้วย แล้วก็ชักรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เขากำลังจะได้เจอทุกคนอีกครั้งแล้ว แม้ว่าจะผ่านจอคอมพิวเตอร์ก็ยังดี
     มานูเอลคุยกับอัตสึโตะอยู่อีกสักพักก็ปิดสัญญาณเฟซไทม์ ใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้มค้างอยู่ แต่รอยยิ้มของเขาก็เลือนไปเมื่อหันมาเจอคัธรินยืนอยู่ที่ประตูห้องของเขา
     “เธอควรจะเคาะประตูก่อนจะเข้ามาในห้องของฉันนะ” มานูเอลตำหนิ
     “เธอไม่เคยพูดแบบนี้กับฉันเลยนะมานู” คัธรินพ้อ “แล้วทำไมฉันจะเข้ามาในห้องของเธอไม่ได้ ก็ห้องนี้ไม่ใช่เหรอที่เราเคยนอนด้วยกัน มานู คืนนั้นเธอยังจับมือฉันอยู่เลยนะ เธอจำไม่ได้แล้วเหรอ”
     “ฉันจำได้ และฉันก็จำได้ด้วยว่าเธอแกะมือของฉันออกจากมือเธอ” มานูเอลตอบเรียบ ๆ
     คัธรินนิ่งอึ้งไป หญิงสาวเถียงไม่ออกเพราะหล่อนทำแบบนั้นจริง ๆ และเมื่อถึงตอนนี้ หล่อนก็รู้สึกเสียใจที่ตัวเองทำอย่างนั้น เรื่องที่ผ่านมา สิ่งที่เสียไปแล้ว จะเรียกกลับคืนมาก็ไม่ได้อีก
     “มาร์เซลบอกฉันว่าเธอกำลังจะไปอยู่ญี่ปุ่นปีนึงใช่ไหม”
     มานูเอลพยักหน้า
     “ใช่ คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะตอนนี้”
     “แต่เธอไปไม่ได้นะ เธอสัญญาว่าเธอจะรับผิดชอบลูกนี่นา ตอนที่เธอไปฉันก็เพิ่งคลอด ลูกก็ยังเล็ก เธอจะทิ้งฉันไว้ที่นี่คนเดียวยังงั้นเหรอ เธอใจร้ายมากนะมานู”
     “ไม่ต้องห่วงหรอก พ่อกับแม่รวมทั้งมาร์เซลรับปากแล้วว่าจะช่วยดูแลเธอระหว่างนั้น ฉันก็จะโทรศัพท์มาถามข่าวคราวของเธอบ่อย ๆ แล้วถ้ามีอะไรฉันก็จะบินกลับมา”
     “ไม่ว่าจะทำยังไง เธอก็จะไม่ยอมเปลี่ยนใจจริง ๆ เหรอ เธอยังจะไปหาผู้ชายคนนั้นให้ได้ใช่ไหม”
     คัธรินถามเสียงแผ่ว มานูเอลก็พยักหน้า
     “ฉันสัญญากับอัตสึโตะเอาไว้แล้วว่าฉันจะไปหาเขาที่ญี่ปุ่น ฉันจะไม่มีวันผิดสัญญากับคนที่ฉันรักเด็ดขาด”
     “เธอรักผู้ชายคนนั้นจริง ๆ สินะ”
     “ใช่ ฉันรักอัตสึโตะ”
     คำตอบที่หนักแน่นของมานูเอล ทำให้คัธรินสะท้อนใจ ก่อนที่น้ำตาของหล่อนจะไหลออกมา หญิงสาวสะอื้นพลางพึมพำเสียงเบาว่า
     “ฉันทำผิดไปแล้วสินะ”
     มานูเอลเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้าในลิ้นชักมายื่นส่งให้หญิงสาวเงียบ ๆ ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรเลยแต่รอจนคัธรินร้องไห้จนพอใจ แล้วเมื่อหญิงสาวเลิกร้องไห้ หล่อนก็หันมามองเขาด้วยแววตาที่มีความเจ็บปวดผสมอยู่กับความรู้สึกผิด
     “ฉันโกหกเธอ มานู ฉันไม่ได้ท้องกับเธอหรอก”

ออฟไลน์ AMINOKOONG

  • ฝากติดตามนิยายด้วยนะคราฟฟฟฟ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-12
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 15 - update - 11.10.2014 page 3
«ตอบ #84 เมื่อ11-10-2014 08:40:14 »

 “ฉันโกหกเธอ มานู ฉันไม่ได้ท้องกับเธอหรอก”
พอคำนี้หลุดจากปากของมัน นึกคำด่ามันได้แค่ E-Dอก 
โคตรเสียดายค่าเครื่องบินแทนเลย เอาไปบริจาคยังจะดีซะกว่าบินกลับมาเพื่อเรื่องบ้าๆไร้สาระของชะนีไร้สติ :katai1: :katai1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-10-2014 08:49:34 โดย AMINOKOONG »

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 15 - update - 11.10.2014 page 3
«ตอบ #85 เมื่อ11-10-2014 10:05:27 »

คาธี่ชะนีน่าส้นเท้า อ๊ากก เพราะหล่อนคนเดียว  :m31:

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 15 - update - 11.10.2014 page 3
«ตอบ #86 เมื่อ11-10-2014 10:29:19 »

ขนาดคิดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้  ยังรู้สึกอยากกระโดดถีบคาธี่สักทีเหอะ
ทิ้งมานูเอลไปเพราะคบซ้อน  นอนซ้ำ ... พอโดนตีจาก  ก็จะมาตีขลุมเอาง่าย ๆ
หล่อนยังมีคุณค่า มีราคา อะไรเหลือบ้างล่ะเนี่ยะ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 15 - update - 11.10.2014 page 3
«ตอบ #87 เมื่อ11-10-2014 11:09:59 »

โอ๊ะโอ คาธี่เรียกแขกแฮะ
งั้นต่อเลยก็แล้วกันนะคะ อีกสองบทก็จะจบแล้วค่ะ
ใกล้จะแฮปปี้ละ (รึเปล่า?)

..........................................................................

     ความอึมครึมที่เคยครอบคลุมอยู่เหนือคู่ของอัตสึโตะกับมานูเอลกลับย้ายไปอยู่ที่คู่ของชินจิกับเควินอย่างรวดเร็วเหมือนโดนไต้ฝุ่นพัดเมื่อจู่ ๆ ชินจิก็ติดต่อเควินไม่ได้ ทุกครั้งที่โทรศัพท์ไปหาก็จะได้ยินเสียงอิเล็กทรอนิกส์บอกว่า ไม่สามารถติดต่อหมายเลขนี้ได้ ชินจิลองสไกป์ แต่ก็ไม่ได้ผลเหมือนกัน เควินไม่ออนไลน์ ชายหนุ่มฝากข้อความเอาไว้ แต่ก็ไม่มีข้อความตอบกลับเหมือนกัน
     ชินจิรู้สึกว้าวุ่น สังหรณ์มันบอกเขาว่ามีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้น จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเควินหรือเปล่าก็ไม่รู้ และเมื่อติดต่อเควินโดยตรงไม่ได้ ชายหนุ่มจึงโทรศัพท์ไปหาเจอโรมแทน
     “ไอ้เควินเหรอ? มันก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่นา” เจอโรมตอบ ท่าทางของเขาดูไม่แปลกใจที่จู่ ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากชินจิถามถึงเควิน
     “แต่ฉันติดต่อเควินไม่ได้เลย ฉันเป็นห่วงเขา” ชินจิยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่ดี
     “ไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก ไอ้เควินมันสบายจะตาย แต่ที่ติดต่อมันไม่ได้คงเพราะมันเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์น่ะ”
     “อะไรนะ เปลี่ยนเบอร์โทร ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ชินจิเผลอเอะอะออกมาเพราะข่าวที่คาดไม่ถึง
     “มันคงยังไม่ได้จังหวะบอกนายละมั้ง” เจอโรมตอบด้วยน้ำเสียงเจือรอยขำ แต่ชินจิไม่ได้สนใจเพราะในที่สุดเขาก็ได้หมายเลขโทรศัพท์ใหม่ของเควินมาจากเจอโรม
     “เควิน ทำไมนายเปลี่ยนเบอร์ใหม่ไม่บอกฉัน”
     ชินจิไม่อยากจะทักคนรักด้วยประโยคนี้เลย แต่ความอยากรู้และไม่สบายใจมันมากเกินกว่าที่เขาจะได้ทันไตร่ตรองอะไร
     “ขอโทษทีชินจิ ฉันเพิ่งเปลี่ยนเบอร์ใหม่ ยังไม่ค่อยได้บอกใครหรอก กะว่าจะบอกกับนายอยู่แล้ว แต่นายโทรมาก่อน นี่นายรู้จากใครกันล่ะ” เสียงของเควินฟังดูไม่เดือดร้อนและไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร ชายหนุ่มจึงพูดด้วยอารมณ์สบาย ๆ ต่างกับชินจิที่น้ำเสียงมีแต่ความร้อนรนและไม่สบายใจ
     “จากเจอโรม ฉันไม่รู้จะติดต่อใครดีเลยโทรไปถามเจอโรม ฉันเป็นห่วงนายมากเลยตอนที่ติดต่อนายไม่ได้”
     “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย นายนี่คิดมากจัง”
     “จะไม่ให้คิดมากได้ยังไง” ชินจิร้อง “ต่อไปนายอย่าทำแบบนี้อีกนะ มีอะไรก็บอกกันสิ”
     เควินเงียบไปนิด ก่อนที่จะพูดออกมาว่า
     “ตกลง ถ้ามีอะไร ฉันจะบอกนาย”
     ชินจิฟังแล้วรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ปัดความคิดนั้นออกไปจนได้ ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องมาคุยเรื่องอื่นซึ่งเควินก็คุยตอบอย่างดีจนชินจินึกอย่างไรไม่รู้ถามเรื่องที่เควินจะมาเยี่ยมเขาที่ญี่ปุ่นขึ้นมา
     “นายยังจะมาเยี่ยมฉันอยู่ใช่ไหม ฉันจะรอนายนะ”
     แต่คำตอบที่ได้รับจากเควินมีเพียงคำพูดสั้น ๆ ว่า
     “ฉันกำลังคิดอยู่”
     หลังจากที่วางหูจากเควิน ชินจิก็รู้สึกไม่สบายใจเลย จนถึงตอนนี้สังหรณ์ของเขาเริ่มทำงานอย่างเข้มข้นขึ้น แต่ก็แค่สังหรณ์ ถ้าเขาไม่คิดมาก มันก็จบ
     ชินจิปัดทุกอย่างออกจากหัว เขายังมีอะไรอย่างอื่นต้องทำอีกเยอะ
     ชายหนุ่มยังไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งนั้นแม้ว่าอัตสึโตะจะโทรศัพท์มาเลียบเคียงถามเรื่องของเขากับเควิน ชินจิก็ตอบไปอย่างร่าเริงเหมือนทุกครั้งว่า
     “ก็โอเคนะ ฉันยังคุยกับเควินอยู่เลย หมอนั่นบอกว่าจะมาเยี่ยมฉันที่ญี่ปุ่น”
     “แล้วมันจะมาเมื่อไหร่ล่ะ”
     “เอ ยังไม่รู้เลย แต่หมอนั่นบอกว่ากำลังคิด ๆ อยู่ ก็น่าจะเร็ว ๆ นี้แหละมั้ง”
     “เหรอ ก็ดีนะ ฉันดีใจกับนายสองคนด้วย”
     “แล้วนายล่ะ อัตสึโตะ เรื่องของมานูเอล ตกลงกันว่ายังไง”
     อัตสึโตะนิ่งไป ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีเท่าไรว่า
     “ไม่รู้สิ ฉันกับมานูยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กันสักที”
     “อ้าว นี่มันก็เกือบเดือนแล้วนะ ยังไม่คุยกันอีกเหรอ”
     ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็น แต่อัตสึโตะก็อดส่ายหน้าไม่ได้อยู่ดี
     “ยัง มานูไม่พูด ฉันก็ไม่ได้ถามเหมือนกัน คือ ฉันก็กลัวด้วยแหละ ถึงจะอึดอัดอยู่เหมือนกันที่ไม่รู้ว่าเรื่องมันจะเป็นยังไงต่อ แต่ฉันก็ยังไม่อยากรู้ตอนนี้ ช่างมันเหอะ เดี๋ยวมานูก็บอกฉันเอง”
     อัตสึโตะสรุปง่าย ๆ เหมือนเคย

     มานูเอลไม่บอกอะไรกับอัตสึโตะแม้ว่าปัญหาจะคลี่คลายลงไปแล้วก็ตาม เขาอยากจะบอกกับอัตสึโตะด้วยตัวของเขาเองมากกว่าจะบอกผ่านหน้าจอและเขายังเป็นห่วงคัธรินด้วย
     หลังจากคัธรินบอกเขาว่าหล่อนไม่ได้ท้องกับเขา หญิงสาวก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังรวมทั้งการตัดสินใจของหล่อนหลังจากนี้ด้วย
     “ความจริงฉันท้องได้แค่ราวหกอาทิตย์เท่านั้นแหละ เป็นลูกของดาวิด ไม่ใช่ลูกของเธอ” คัธรินสารภาพ
     “มีอยู่คืนนึงที่เราเมาด้วยกันทั้งคู่เราก็เลยไม่ได้ป้องกัน ฉันก็ลืมกินยาคุม คิดว่าแค่ครั้งเดียวคงไม่เป็นไร แต่มันก็พลาดจนได้ ฉันบอกดาวิด แต่เขาไม่ยอมเชื่อ เขายืนยันว่าป้องกันดีแล้วมันจะพลาดได้ยังไง เขาคิดว่าลูกไม่ใช่ลูกของเขา”
     มานูเอลมองคัธรินด้วยความเห็นใจ มือของเขาเลื่อนไปกุมมือของหล่อนไว้พร้อมกับบีบเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจ หญิงสาวจึงเล่าต่อไปได้
     “เขาก็เลยขอเลิกกับฉัน แต่จริง ๆ ไม่ใช่เพราะเรื่องลูกอย่างเดียวหรอก เขามีผู้หญิงคนใหม่ แต่เอาเรื่องนี้มาอ้างเพื่อจะได้เลิกกับฉันได้โดยที่เขาไม่ผิด และฉันก็เสียใจมาก”
     เล่าถึงตอนนี้ น้ำตาของคัธรินก็ไหลออกมา หล่อนใช้ผ้าเช็ดหน้าที่มานูเอลยื่นส่งให้ซับน้ำตาไปพลาง
     “ฉันรักดาวิดมากนะมานู จนกลายเป็นความโกรธและอยากจะประชด ถ้าเขาไม่รักฉัน เขามีคนใหม่ ฉันก็ไม่แคร์เหมือนกัน ฉันก็มีคนใหม่ได้ ฉันก็เลยดึงเธอเข้ามาเกี่ยว ฉันขอโทษนะมานู เพราะความพาลของฉัน เธอเลยต้องเดือดร้อนไปด้วยแบบนี้”
     มานูเอลอยากพูดว่าไม่เป็นไร แต่เขาก็ไม่ได้พูดเพราะหล่อนก็ทำเขาเดือดร้อนจริง ๆ ตลอดเวลากว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ชายหนุ่มมีแต่ความหวั่นไหวและไม่สบายใจ ทั้งเรื่องของตัวเองและเรื่องของอัตสึโตะ หากคัธรินก็เป็นเพื่อนของเขา ชายหนุ่มก็ไม่อยากจะว่าอะไร เขาจึงตอบสั้น ๆ ว่า
     “ฉันเข้าใจ เธอไม่ต้องกังวลหรอก”
     “ฉันอิจฉาเธอด้วย มานู ถึงเธอจะเลิกกับฉันไป แต่เธอก็มีแฟนใหม่ เธอมีความสุข ในขณะที่ฉันต้องเจอกับความทุกข์ ฉันไม่อยากจะทุกข์อยู่คนเดียว ฉันก็เลยทำแบบนั้นลงไป ฉันรู้ว่ามันแย่มาก แต่ฉันไม่มีทางเลือกจริง ๆ”
     “เอาเถอะ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมัน แล้วต่อไป เธอจะทำยังไงต่อ”
     คัธรินนิ่งไปเล็กน้อย แต่เมื่อหล่อนตัดสินใจสารภาพความจริงแล้วแบบนี้ สิ่งที่หล่อนจะทำก็เหลืออยู่เพียงแค่อย่างเดียว
     “ฉันจะทำแท้ง”
     “อะไรนะ” มานูเอลตกใจ
     “ฉันไม่พร้อมจะเป็นแม่หรือมีลูกตอนนี้ นี่เป็นทางออกเดียวของฉันกับปัญหานี้ เธอไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นหรอกมานู เด็กไม่ใช่ลูกเธอ เธอไม่มีอะไรต้องกังวลสักนิด”
     “แต่เธอเป็นเพื่อนฉัน จะไม่ให้ฉันเป็นห่วงได้ยังไง แล้วถ้าเด็กคนนี้คลอด ก็ถือเป็นหลานของฉัน ถ้าเธอจะไม่เก็บเอาไว้จริง ๆ มันก็ใจหายนะคาธี่ เธอแน่ใจแล้วเหรอว่าเธอจะไม่อยากเก็บเด็กเอาไว้จริง ๆ”
     คัธรินพยักหน้า
     “ฉันยังมีอนาคต ถ้าจะต้องเลี้ยงเด็กอยู่คนเดียวแบบนี้ ชีวิตฉันก็จบ ฉันตัดสินใจแล้วล่ะว่าฉันจะทำแบบนี้”
     “เธอยังมีพ่อกับแม่ไม่ใช่เหรอ มีเพื่อน มีฉัน เธอไม่ได้เจอปัญหานี้อยู่คนเดียวสักหน่อย แล้วเรื่องนี้พ่อกับแม่ของเธอรู้แล้วรึยัง”
     “ยังไม่รู้ แต่เรื่องนี้พ่อกับแม่ฉันไม่เกี่ยว ฉันอายุมากพอที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเองและฉันมีสิทธิ์ที่จะทำแท้งได้ตามกฎหมายด้วย เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง ที่ดืสเซลดอร์ฟมีออฟฟิศให้คำปรึกษา ฉันจะนัดเวลาเพื่อขอใบรับรองสำหรับทำแท้งเอง”
     “เธออยากให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหม”
     คัธรินยิ้มน้อย ๆ แต่หล่อนส่ายหน้า
     “ไม่ต้องหรอก เรื่องนี้ฉันจัดการคนเดียวได้”
     “ถ้าเธออยากจะเปลี่ยนใจหรือเธอต้องการความช่วยเหลืออะไร เธอติดต่อฉันได้เสมอนะ” มานูเอลบอก
     “ขอบใจนะ แต่เธอเป็นห่วงเรื่องของตัวเองดีกว่า ไปปรับความเข้าใจกับแฟนของเธอเถอะ ชื่ออะไรนะ อัตสึโตะใช่ไหม เรียกไม่เคยถูกเลยนะฉันเนี่ย” คัธรินพยายามสร้างบรรยากาศด้วยการหัวเราะขำตัวเอง และเปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องของมานูเอลบ้าง
     “ฉันต้องคุยกับอัตสึโตะอยู่แล้วล่ะ แต่หมอนั่นคงไม่สบายใจเหมือนกันที่เธอตัดสินใจแบบนี้นะ”
     “อย่าเป็นห่วงฉันเลย ฉันตัดสินใจแล้ว” คัธรินตัดบทพร้อมกับลุกขึ้นยืน ก่อนจะออกไปจากห้อง หล่อนหันมาบอกเขาว่า
     “ฉันยังไม่แน่ใจนะว่าจะมางานวันเกิดเธอได้รึเปล่า แต่บางทีอาจจะแวะเอาของขวัญมาให้”

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 15 - update - 11.10.2014 page 3
«ตอบ #88 เมื่อ11-10-2014 11:17:57 »

     เมื่อถึงวันเกิดของตัวเอง อัตสึโตะไม่ยอมออกไปไหนหรือทำอะไรทั้งนั้น แต่เปิดสไกป์รอตั้งแต่หัววันทีเดียว มายะที่เอาเค้กวันเกิดมาให้ที่ห้องได้แต่เบ้ปากอย่างหมั่นไส้
     “เปิดกล้องรอตั้งแต่ไก่โห่ ป่านนี้ไอ้หมียักษ์นั่นมันจะตื่นนอนรึยังก็ไม่รู้ นัดกันตอนดึก ๆ ไม่ใช่เหรอ ปิดก่อนก็ได้”
     อัตสึโตะไม่ยอมปิดกล้องอยู่ดีและยังอดทนไม่กินเค้กที่มายะเอามาให้ด้วย แต่รอจนเห็นสัญญาณออนไลน์จากมานูเอลและเมื่อเห็นหน้าของอีกฝ่ายปรากฏบนหน้าจอ อัตสึโตะก็ยิ้มกว้างทันที
     “มานู สุขสันต์วันเกิด!”
     มานูเอลยิ้มตอบเช่นกัน รอยยิ้มของเขาสดใสกว่าทุกครั้งที่อัตสึโตะเคยเห็น
     “สุขสันต์วันเกิดเช่นกันอัตสึโตะ”
     อัตสึโตะเลื่อนกล้องไปให้มายะอวยพรให้มานูเอลบ้างซึ่งอีกฝ่ายก็อวยพรสั้น ๆ อย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็เป็นตาของมานูเอลเลื่อนกล้องให้อัตสึโตะกับมายะเห็นเพื่อนคนอื่น ๆ เสียงโธมัสดังลั่นกว่าใครเมื่ออวยพรวันเกิดอัตสึโตะและทักทายมายะ
     “ไอ้เวรนี่ก็เอะอะมะเทิ่งไม่มีเปลี่ยน” มายะส่ายหน้าเมื่อได้ยินเสียงล้งเล้งของโธมัสดังออกมาจากลำโพง
     อัตสึโตะมองไปทั่ว ๆ แต่ก็ไม่เห็นใครอีกคนที่ควรจะอยู่ในงานด้วย ชายหนุ่มจึงตัดสินใจถาม
     “แล้วคาธี่ล่ะ ไม่มาร่วมงานด้วยเหรอ”
     “ชวนแล้ว แต่คาธี่ไม่รับปาก อาจจะมาหรือแค่แวะเอาของขวัญมาให้” มานูเอลตอบ แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องอื่นทันที อัตสึโตะที่ยังอยากจะถามต่อจึงไม่มีโอกาสได้ทำ
     มายะหรี่ตาและเขาสาบานจริงจริ๊งว่าเขาไม่มีความตั้งใจจะไซโคอะไรอัตสึโตะทั้งนั้นเมื่อพึมพำออกมาว่า
     “ไอ้มานูเอลมันทำท่าแปลก ๆ แฮะ มันต้องมีอะไรแน่ ๆ เลย”
     อัตสึโตะฟังแล้วชักคิดมากขึ้นมาเหมือนกัน
     งานวันเกิดที่เลี้ยงฉลองกันในครอบครัวไม่มีอะไรมาก ทุกคนพูดคุยกินดื่มกันอย่างสนุกสนาน แล้วก็ตัดเค้กวันเกิดก้อนใหญ่ฉลองให้มานูเอลและอัตสึโตะ
     อัตสึโตะมองเค้กวันเกิดส่วนของเขาที่มานูเอลตัดมาวางให้เห็นด้วยสายตาละห้อย เค้กวันเกิดฝีมือคุณแม่ของมานูเอลมันน่าอร่อยมากจนเขาอยากพุ่งทะลุจอเข้าไปชิมเลยจริง ๆ แต่เขาก็ยังมีเค้กวันเกิดที่มายะหอบมาให้เป็นของแก้ขัด
     ทุกคนดื่มอวยพรมานูเอลกับอัตสึโตะกันอีกรอบหนึ่งแล้วจากนั้นก็ถึงเวลาเลิกงาน
     มายะกลับไปที่ห้องของตัวเองแล้ว แต่อัตสึโตะยังคุยกับมานูเอลอยู่ ฝ่ายหลังหอบเอาคอมพิวเตอร์กลับไปที่ห้องส่วนตัวของตัวเอง แต่คุยกันได้สักพักก็มีเสียงเคาะประตู มานูเอลหันไปมองก็เห็นคัธรินยืนอยู่ที่ประตูห้อง เขาหันมาบอกอัตสึโตะว่า
     “รอแป๊บนึงนะอัตสึโตะ คาธี่น่ะ”
     อัตสึโตะชะงักไปนิด แต่ก็ไม่ว่าอะไร เมื่อมานูเอลลุกเดินไปที่ประตู จากจอคอมพิวเตอร์ที่หันไปทางหน้าห้อง อัตสึโตะเห็นไม่ค่อยชัดหรอก แต่เขาเห็นมานูเอลเดินตรงเข้าไปกอดคัธรินไว้ ทั้งสองคนคุยอะไรกันก็ไม่รู้ แต่มันนานมากในความคิดของอัตสึโตะ จากนั้นคัธรินก็ส่งกล่องของขวัญให้มานูเอล แล้วก็กอดกันอีกรอบ
     อัตสึโตะเม้มปากแน่น แต่เมื่อมานูเอลกลับมาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ชายหนุ่มก็ไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้นเกี่ยวกับคัธรินอยู่ดี แค่บอกสั้น ๆ ว่า
     “คาธี่เอาของขวัญวันเกิดมาให้”
     อัตสึโตะอยากจะซักต่อ เพราะเขาชักทนความอยากรู้ไม่ไหวแล้ว มันอึดอัดอยู่ข้างในอกเหลือเกิน แต่อัตสึโตะก็ไม่ได้ซักฟอกมานูเอลอยู่ดีเนื่องจากเรื่องที่มานูเอลพูดต่อจากนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับชินจิ
     “ฉันโทรคุยกับยูเลี่ยนแล้วนะ ได้ข่าวเควินมานิดหน่อย”
     “อะไรเหรอ” อัตสึโตะถามทันทีและทำให้สามารถเบี่ยงเบนความสนใจออกจากเรื่องของตัวเองไปได้
     “ยูเลี่ยนบอกว่ามันเป็นแค่ข้อสันนิษฐานนะ ยังไม่ชัดเจน แต่ก็มีอะไรแปลกหูแปลกตาอยู่เหมือนกัน”
     “อะไรล่ะ” อัตสึโตะเร่ง
     “ได้ข่าวว่าเควินกำลังสนิทสนมกับเพื่อนร่วมฟลอร์คนใหม่มาก คุยกันถูกคอในปาร์ตี้ ตัวติดกันตลอด ผู้ชายคนนี้มาอยู่ห้องที่ชินจิเคยอยู่ เพิ่งมาได้สักพัก”
     “นี่ไอ้เควินมันนอกใจชินจิเหรอ!” อัตสึโตะตาโต
     “มันยังไม่ชัดเจนนะอัตสึโตะ นายก็รู้ว่าเชื่อยูเลี่ยนมากนักไม่ได้หรอก คำพูดไอ้หมอนั่นบางทีต้องเอาสิบหาร สองคนนั้นอาจจะแค่สนิทกันเฉย ๆ ก็ได้ ยังไงเขาก็อยู่ห้องข้าง ๆ กันน่ะ”
     “แต่ฉันว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่นอน” อัตสึโตะกัดฟันกรอด “ฉันไม่ไว้ใจไอ้เควิน พรุ่งนี้ฉันจะไปหาชินจิ ไม่รู้ว่าหมอนั่นระแคะระคายอะไรแล้วรึยัง”
     “มันจะดีเหรออัตสึโตะ เผื่อชินจิยังไม่รู้ รู้แล้วเดี๋ยวจะกังวลเปล่า ๆ นะ”
     “ฉันไปเยี่ยมเฉย ๆ ก็ได้ ถ้าชินจิยังไม่รู้ ฉันก็จะไม่บอกอะไร” อัตสึโตะตัดสินใจ แล้วเขาก็ตัดสัญญาณสไกป์ไปโดยที่ลืมไปเสียสนิทว่าเขามีเรื่องที่ยังต้องคุยกับมานูเอลอยู่เหมือนกัน ชายหนุ่มตรงไปเคาะห้องมายะทันที เมื่อเพื่อนไม่ยอมเปิดให้เร็วอย่างใจ ชายหนุ่มก็ยิ่งเคาะดังขึ้นเรื่อย ๆ
     “มาแล้ว ๆ นายจะเคาะให้ประตูห้องฉันหลุดออกมาเลยรึไงวะอัตสึโตะ” มายะเปิดประตูรับหน้ามุ่ย และชายหนุ่มเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาถึงมาเปิดช้า
     “อาบน้ำอะไรตอนดึก ๆ วะ” อัตสึโตะบ่น
     “เศร้ามั่งสิ เห็นนายคุยกับไอ้หมียักษ์นั่นหงุงหงิงแล้วมันเศร้าจนต้องไปร้องไห้ในห้องน้ำไง ร้องไห้เสร็จก็เลยอาบน้ำไปเลย” มายะพูดหน้าตาเฉย
     อัตสึโตะกลอกตา แต่ไม่ด่าอะไรเพราะเขามีเรื่องสำคัญกว่านั้นต้องพูด
     “เมื่อกี้คุยกับมานู หมอนั่นบอกว่าเควินสนิทสนมกับเพื่อนข้างห้องคนใหม่อยู่คนหนึ่งตอนนี้”
     “อ้าว รู้เหมือนกันเหรอ ตะกี้ไอ้ยูเลี่ยนมันก็โทรมาบอกเรื่องนี้หมือนกัน ฉันว่าพรุ่งนี้จะไปคุยกับนายอยู่พอดีเลย”
     “พรุ่งนี้ไม่ทันแล้ว เราไปหาชินจิกันดีกว่า ฉันร้อนใจ ฉันอยากรู้ว่าชินจิระแคะระคายเรื่องนี้บ้างแล้วรึยัง ฉันเป็นห่วงมัน”
     “ถ้าจู่ ๆ ก็ไปแบบนี้ เผื่อหมอนั่นไม่รู้จะตกใจน่ะสิ” มายะพูด
     “งั้นเอางี้ เราก็ซื้อของไปทำกับข้าวที่ห้องของชินจิกันไง บอกว่าเรามาเยี่ยม อยากมากินข้าวด้วย”
     มายะไม่มีปัญหาเมื่อตกลงจะไปเยี่ยมชินจิด้วยกันกับอัตสึโตะซึ่งพวกเขาก็รู้สึกดีใจที่ตัดสินใจทำแบบนั้นเพราะชินจิไม่เพียงแต่จะระแคะระคาย หากเขาเป็นมากกว่านั้น

     ชินจิโทรคุยกับเควินเหมือนเคย แต่ครั้งนี้เมื่อเขาขอสไกป์ เควินกลับไม่ยอมเปิดสไกป์ แต่ใช้วิธีพิมพ์ข้อความคุยกันแทน เมื่อชายหนุ่มถาม เควินก็พิมพ์ตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า
     “ไม่มีอารมณ์”
     ชินจิถึงกับอึ้งไปนิด เขาสงสัยว่าแค่เปิดสไกป์คุยกับแฟนนี่มันต้องใช้อารมณ์ด้วยอย่างนั้นเหรอ
     “นายทำอะไรอยู่น่ะ ยุ่งอยู่รึเปล่า”
     “อยู่กับเพื่อน ไม่ยุ่งหรอก”
     “เจอโรมรึเปล่า ขอฉันทักหน่อยได้ไหม”
     “ไม่ใช่เจอโรม เพื่อนคนอื่น นายไม่รู้จักหรอก แล้วนี่มีอะไรรึเปล่า”
     ชินจิอึ้งอีกรอบ การโทรมาคุยกับแฟนนี่ต้องมีเรื่องด้วยเหรอ
     “เปล่าหรอก แค่อยากคุยกับนาย อยากได้ยินเสียงนาย ฉันคิดถึงนาย เควิน”
     เควินเงียบไปนานจนชินจิชักกังวลว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
     “ชินจิ ฉันกำลังสับสน”
     ข้อความของเควินทำให้ชินจิตัวชาจนแทบอ่านข้อความถัดมาของเควินไม่รู้เรื่องเลย

     เควิน: ฉันสับสน ไม่มีนายอยู่กับฉันแล้วมันรู้สึกแปลก ๆ ฉันทนไม่ได้ ฉันทนความรู้สึกที่ไม่มีใครแบบนี้ไม่ได้
     เควิน: ขอโทษนะ แต่ฉันคิดว่า เราเลิกกันเถอะ
     เควิน: เราไปด้วยกันไม่ได้แล้วล่ะ


     ชินจิต้องอ่านทวนประโยคที่เควินเขียนซ้ำ ๆ อยู่หลายรอบเพราะคิดว่าตัวเองอ่านแล้วตีความผิดไป
     มันต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ มันต้องไม่ใช่
     ชินจิพยายามจะขอเปิดกล้องสไกป์ เขาอยากเห็นหน้าเควิน เขาอยากคุยกับเควิน แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเปิดกล้องและไม่ยอมรับโทรศัพท์จากเขาด้วย สุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องกลับมาพิมพ์ข้อความอีกครั้ง

    ชินจิ: ไม่นะเควิน ฉันไม่เลิกกับนายนะ ฉันทำอะไรผิด นายบอกฉันมาสิ
     ชินจิ: เควิน ฉันรักนาย เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกจริง ๆ เหรอ
     ชินจิ: แล้วที่ผ่านมาของเรา มันไม่มีความหมายอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ
     ชินจิ: นายบอกว่ารักฉันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ นี่จริง ๆ แล้วนายรักฉันบ้างรึเปล่า


     ประโยคหลายประโยคที่พิมพ์ไป มีตัวอักษรเล็ก ๆ ขึ้นด้านล่างว่า ‘gelesen’ ทุกประโยค แต่ไม่มีคำตอบจากเควินจนชินจิพิมพ์ประโยคสุดท้ายประโยคนั้นไป

     Kevin: Ich liebte dich, aber jetzt nicht mehr. Leb’ wohl.

     ชินจิปล่อยโทรศัพท์หลุดจากมือ
     เคยรัก แต่ตอนนี้ไม่ได้รักแล้ว...
     ทำไมเควินถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ ทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจได้ง่าย ๆ ขนาดนี้ ก็ไหนบอกว่ารักกัน ก็ไหนสัญญาว่าจะมาหา
     ชินจิไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ มันเหมือนกับเส้นทางที่เขาเดินอยู่ดี ๆ ก็ขาดลงกลางคันแล้วตัวของเขาก็ก้าวตกลงไปในเหวลึก
     ชายหนุ่มคิดว่าเขาน่าจะร้องไห้โฮออกมา กรีดร้องฟูมฟายอาละวาดขว้างปาข้าวของ แต่ชายหนุ่มก็เพียงแต่ทรุดตัวลงนั่งที่พื้นหน้าเตียง ศีรษะของเขาเอนซบลงบนที่นอนและน้ำตาก็ไหลออกมาเงียบ ๆ
     ชินจินิ่งอยู่ในท่านั้นนาน... นานเท่าไรเขาเองก็ไม่รู้
     หัวใจของชายหนุ่มแตกสลายไปหมดแล้ว

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: "บนทางรัก" - บทที่ 15 - update - 11.10.2014 page 3
«ตอบ #89 เมื่อ11-10-2014 11:18:57 »

ชินจิก็ดูเป็นคนเรียนเก่งนะ  ทำไมไม่เฉลียวใจบ้างเลย  เฮ้อ
...
อ่านนิยายเรื่องนี้  ถ้ากลับไปนับ ๆ ดู  แต่ละเมนท์จะมีคำว่า เฮ้อ อยู่ด้วยเกือบตลอดอ่ะ
ชินจิ เอ๊ยยยย  ชินจิ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด