พิมพ์หน้านี้ - "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ) - แจ้งหมดลิขสิทธิ์/แจ้งขายอีบุ๊ก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Mettnoon ที่ 18-09-2014 20:27:59

หัวข้อ: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ) - แจ้งหมดลิขสิทธิ์/แจ้งขายอีบุ๊ก
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 18-09-2014 20:27:59
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

..................

สวัสดีอีกครั้งนะคะ

เรื่องสั้น ๆ ครั้งที่แล้วมีเพื่อน ๆ ให้ความกรุณาเข้ามาอ่าน ดีใจมากกกก ^^ ทำให้ฮึกเหิมเขียนเรื่องยาว ๆ เป็นครั้งแรก ยังไงก็ฝากเรื่องยาวเรื่องแรกของเราไว้ด้วยนะคะ

"บนทางรัก"

ตั้งชื่อเรื่องไม่เก่ง ไม่รู้จะมีใครเข้ามาอ่านบ้างนะ  :hao4:
จริง ๆ เรื่องนี้มันควรจะเกิดขึ้นในเมืองมหาวิทยาลัยเล็ก ๆ ทางตะวันตกของเยอรมัน แต่เพื่อสนองนี้ดคนเขียนและความฟินส่วนตัว เราจึงเปลี่ยนให้เรื่องเกิดขึ้นในเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมัน ดังนั้นต้องขอออกตัวก่อนนะคะว่ารายละเอียดบางอย่างจึงอิงกับเมืองเล็ก ๆ เมืองนั้นเป็นหลัก ซึ่งมันอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงในเบอร์ลินอยู่บ้าง ก็ต้องขอโทษไว้ตรงนี้ด้วยนะคะ

และชื่อของตัวละครแต่ละตัวจะเห็นว่า...คุ้น ๆ เนอะ  :hao7:
สนองนี้ดตัวเองอีกแล้วค่ะ คิดซะว่าเป็นแฟนฟิคอ่านเพื่อความสนุกสนานละกันนะคะ ไม่มีสาระและอะไรที่จริงจังในนิยายเรื่องนี้ค่ะ

จะทยอยลงให้เรื่อย ๆ นะคะ หวังว่าจะมีคนชอบบ้างน้า

แล้วเจอกันค่ะ

Mettnoon
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 18-09-2014 20:30:06
บทนำ

ความรักก็เหมือนกับการเดินทาง
   
เรามักจะต้องเจอกับปัญหาและอุปสรรคที่เข้ามาทำให้การเดินทางของเราสะดุด หรือหยุดลงบ้าง และการที่เราจะเดินทางไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะจัดการกับปัญหาและอุปสรรคเหล่านั้นได้มากน้อยแค่ไหน
   
สำหรับบางคู่ ปัญหาที่ใหญ่และหนักราวกับชะลอภูเขาทั้งลูกเข้ามากั้นทางก็ไม่สามารถขวางไม่ให้ปีนข้ามไปได้ แต่สำหรับบางคู่ แค่ขนนกเบาบางปัดผ่าน ความรักก็พร้อมจะพังทลายลงได้อย่างง่ายดาย

คนบางคนที่เราพบเจอบนเส้นทางแห่งความรักจึงเหมือนกับเป็นของขวัญให้ชีวิต สร้างความสุขสมหวัง แต่ขณะเดียวกันคนบางคนก็ทำให้เราเจ็บปวดผิดหวัง และกลายเป็นบทเรียนสำหรับการเดินทางบนเส้นทางสายใหม่ต่อไป
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 19-09-2014 00:22:24
บทที่ 1

     ฝนปลายฤดูใบไม้ร่วงที่โปรยปรายลงมาเป็นสายคือสิ่งที่ต้อนรับอัตสึโตะเป็นอย่างแรกเมื่อเขามาถึงเบอร์ลิน สนามบินเชินเนอะเฟลด์ในตอนสามทุ่มกว่ายังมีคนเดินขวักไขว่แม้ว่าร้านค้าจะทยอยกันปิดจนเหลือเพียงแค่ร้านกาแฟและบาร์ไม่กี่ร้านที่ยังเปิดรอนักท่องเที่ยวไฟลท์ดึก ชายหนุ่มลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เดินตามผู้คนออกมาจากส่วนผู้โดยสารขาเข้า สายตาสอดส่ายหาคนที่จะมารอรับ และไม่ต้องใช้เวลานานเลย ชายหนุ่มก็เห็นรุ่นพี่ของเขา
     มาโกโตะและเอย์จิโดดเด่นอยู่ท่ามกลางผู้คน ไม่ใช่เพราะทั้งสองคนเป็นคนเอเชียผมดำในหมู่ชาวเยอรมันผมทองเท่านั้น แต่เพราะการแต่งตัวที่เนี้ยบราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารนั่นด้วยที่ทำให้อัตสึโตะเห็นพวกเขาทันทีที่กวาดตามองแค่เพียงครั้งเดียว
     เปรียบเทียบกับเขาซึ่งอยู่ในชุดวอร์มเยิน ๆ และผมที่ยุ่งเหยิงทั้งหัวแล้ว มันก็เหมือนเจ้าชายกับยาจกดี ๆ นี่เอง ชายหนุ่มคิด ใคร ๆ ก็บอกให้เขาสนใจเรื่องการแต่งตัวมากกว่านี้หน่อย แต่เขาไม่เห็นความจำเป็น แค่แต่งตัวที่มันสบาย ๆ ก็น่าจะเพียงพอแล้วนี่นา
     มาโกโตะก็เหมือนกับคนอื่น ๆ คือทักเขาเรื่องนี้ก่อนเลย
     “ใส่ชุดวอร์มขึ้นเครื่องบิน นายนี่มันไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”
     “นั่งเครื่องบินเป็นสิบชั่วโมง ใส่ยีนไม่ไหวหรอกครับ ชุดวอร์มเนี่ยแหละดีที่สุดแล้ว นอนสบายมาก”
     “ก็น่าจะนอนสบายอยู่หรอกนะ ผมนายยุ่งอย่างกับรังนก”
     รุ่นพี่ของเขาหัวเราะเบา ๆ พลางเอามือขยี้หัวรุ่นน้องด้วยความเอ็นดู อัตสึโตะเป็นรุ่นน้องที่ชมรมฟุตบอล เขาตัวเล็ก แต่ก็เล่นเก่งมาก แถมยังหน้าตาน่ารักยิ่งกว่านักร้องไอด้อลยอดนิยมเสียอีก อัตสึโตะดังมากในหมู่สาว ๆ ที่มหาวิทยาลัย แต่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องหรอก ยังชอบทำหน้ามึน ๆ งง ๆ เมื่อเห็นสาวมากรี๊ด เหมือนกับที่ทำตอนนี้นี่แหละ และหน้ามึน ๆ แบบอัตสึโตะก็ยังทำให้ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องพลอยเอ็นดูตามกันไปหมดด้วย
     “หิวรึเปล่า อัตสึโตะ หาอะไรกินก่อนกลับหอพักไหม” เอย์จิถามบ้าง อัตสึโตะส่ายหน้า
     “ไม่หิวครับ ตอนนี้ผมอยากนอนต่ออีกรอบมากกว่า”
     “งั้นเรากลับกันเลยแล้วกัน นายจะได้พักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยมาคุยกันต่อ” มาโกโตะเสนอเมื่อเห็นตาของรุ่นน้องหรี่ลงจนทำท่าจะปิดอีกรอบอยู่รอมร่อ เขากอดคออัตสึโตะพาเดินไปด้วยกัน ส่วนเอย์จิลากกระเป๋าเดินทางของชายหนุ่มตามมาข้างหลัง
     “แล้วเราจะไปกันยังไงครับ” อัตสึโตะถาม
     “เอย์จิขับรถมา หอพักของพวกฉันอยู่ค่อนข้างไกลจากสนามบิน เอารถมาเองสะดวกดี”
     “แต่ปกติก็ไม่ค่อยได้ใช้รถส่วนตัวหรอก ที่นี่ก็เหมือนโตเกียว ใช้รถสาธารณะสะดวกที่สุด” เอย์จิเสริม
     เมื่อเดินมาถึงที่รถจอดอยู่ เอย์จิกับมาโกโตะช่วยกันยกกระเป๋าเดินทางของอัตสึโตะเก็บไว้ท้ายรถ ส่วนตัวเจ้าของกระเป๋าเดินหัวซุนขึ้นรถไปก่อนแล้ว อัตสึโตะนอนขดตัวอยู่บนที่นั่งด้านหลัง หัวหนุนเป้ใบเล็กต่างหมอน แล้วหลับตาลงอีกครั้ง หูของเขาแว่วเสียงคุยกันของรุ่นพี่จากที่นั่งด้านหน้า แต่สิ่งที่ได้ยินชัดเจนที่สุดคือเสียงฝนที่ตกกระทบหน้าต่างรถเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถในสนามบิน ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง เขาเห็นแต่เพียงสายฝนและความขมุกขมัวของเวลากลางคืนเมื่อพยายามจะมองออกไปนอกหน้าต่างรถ มาโกโตะหันหลังมาบอกว่า
     “หลับไปก่อนก็ได้ พอถึงแล้วฉันจะปลุก”
     อัตสึโตะทำตามอย่างว่าง่าย นอนหลับตาฟังเสียงฝนจนเคลิ้มหลับไปในที่สุด
     หอพักของเอย์จิและมาโกโตะตั้งอยู่ในย่านที่ชื่อว่าชาร์ล็อตเท่นบวร์ก เป็นย่านพักอาศัยในเขตตัวเมืองเบอร์ลินชั้นใน ใช้เวลาขับรถจากสนามบินเชินเนอะเฟลด์ราว ๆ ครึ่งชั่วโมง เบอร์ลินมีสนามบินสองแห่งคือเชินเนอะเฟลด์กับเทเกล ชาร์ล็อตเท่นบวร์กอยู่ใกล้กับสนามบินเทเกลมากกว่า และอยู่ใกล้กับแคมปัสกลางของมหาวิทยาลัยที่มาโกโตะกับเอย์จิเรียนอยู่ ส่วนอัตสึโตะจะมาเรียนที่แคมปัสอัดเลอร์สโฮฟซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบินเชินเนอะเฟลด์มากกว่า ถ้าชายหนุ่มหาไฟลท์ตอนกลางวันได้ก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนรุ่นพี่ทั้งสองคนให้มารับ เขาสามารถนั่งรถไฟเอสบาห์นจากสนามบินตรงมาที่หอพักของตัวเองได้เลย
     มาโกโตะปลุกรุ่นน้องของเขาให้เดินตามเข้าไปข้างในหอพักซึ่งเป็นหมู่ตึกสูงหลายชั้นตั้งอยู่บนถนนโมลวิทซ์ แต่อัตสึโตะก็ไม่ได้สังเกตอะไรมากกว่านั้น เขาเดินตาปรือตามมาโกโตะและเอย์จิขึ้นลิฟท์ไปชั้นที่ห้า แล้วเมื่อเข้าไปในห้องได้ ชายหนุ่มก็ปีนขึ้นเตียงและหลับไปทันที มาโกโตะซึ่งเป็นเจ้าของห้องและเจ้าของเตียงพยายามจะปลุกเรียกให้มาอาบน้ำ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมตื่น มาโกโตะจึงจำใจต้องปล่อยให้รุ่นน้องนอนหลับไปทั้งชุดวอร์มอย่างนั้นบนเตียงของเขา
     “เป็นอย่างนี้ตลอด เจ้าอัตสึโตะเอ๊ย ฉันละอยากให้สาว ๆ มาเห็นมันตอนนี้นัก ยังจะคลั่งไคล้มันอยู่ได้อีกก็ให้มันรู้ไป” มาโกโตะบ่นงึมงำกับเอย์จิที่ลากกระเป๋าของอัตสึโตะเข้ามาวางแอบไว้ที่ผนังห้องด้านหนึ่ง เอย์จิไม่ว่าอะไร เพียงแค่ยิ้ม ๆ แล้วช่วยมาโกโตะยกฟูกสำรองจากตู้มาปูหน้าเตียง เสร็จเรียบร้อยก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง

     อัตสึโตะรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งนอนหลับไปได้แป๊บเดียวเท่านั้นเมื่อมาโกโตะมาปลุกเขาในตอนเช้า ชายหนุ่มเอาหน้าซุกหมอน ไม่อยากจะตื่นเลย แต่คราวนี้มาโกโตะไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว เขาดึงตัวรุ่นน้องลงจากเตียงได้สำเร็จและบังคับให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
     น้ำอุ่น ๆ ทำให้อัตสึโตะตาสว่างขึ้นมาได้นิดหน่อย แต่ก็ยังรู้สึกง่วงอยู่ดี ชายหนุ่มอ้าปากหาวหวอด ๆ เมื่อดื่มกาแฟร้อน ๆ ที่รุ่นพี่ชงให้
     “เดี๋ยวไปกินข้าวเช้าที่ห้องเอย์จิกัน ตอนสาย ๆ พวกฉันจะไปส่งนายที่หอพัก จะได้จัดการเรื่องห้องพักซะให้เสร็จ แล้วนี่มายะจะตามมาเมื่อไหร่”
     มาโกโตะวางแผน เพราะรู้ดีว่ารุ่นน้องของเขาคนนี้ไม่ค่อยทำอะไรเองเท่าไร อย่างเรื่องที่ได้ทุนมาเรียนที่นี่หนึ่งเทอมก็เหมือนกัน เพื่อนสนิทของเจ้าหมอนี่คือมายะที่พูดถึงเมื่อสักครู่เป็นคนจัดการให้ทั้งหมด รวมทั้งเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยอย่างอื่นด้วย แต่ไม่รู้มันวางแผนกันอีท่าไหน เจ้าอัตสึโตะดันมาถึงที่นี่ก่อน แล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
     “อาทิตย์หน้ามั้งครับ”
     อัตสึโตะตอบอย่างไม่ค่อยสนใจนัก เขายกถ้วยกาแฟของตัวเองเดินตามรุ่นพี่มาที่ห้องของเอย์จิซึ่งอยู่ถัดไปอีกสองห้อง ทั้งสองห้องเป็นแบบเดียวกันคือสตูดิโอขนาดยี่สิบห้าตารางเมตร มีเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นประเภทเตียง ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของ โต๊ะทำงานพร้อมเก้าอี้ และมีห้องน้ำกับห้องครัวในตัว
     เอย์จิเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เรียบร้อยแล้วเมื่อทั้งสองคนมาถึง แม้จะเป็นแค่ข้าวสวยธรรมดากับไข่ม้วน สาหร่าย และซุปมิโสะ แต่มันก็อร่อยมากสำหรับอัตสึโตะที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนกินอาหารบนเครื่องที่สุดแสนจะไม่ถูกปากอยู่หลายมื้อ
     หลังอาหารเช้า เอย์จิกับมาโกโตะขับรถพาอัตสึโตะมาที่แคมปัสอัดเลอร์สโฮฟซึ่งเป็นแคมปัสสำหรับนักศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ และมีที่พักสำหรับนักศึกษาเรียกว่าหมู่บ้านนักศึกษาอัดเลอร์สโฮฟอยู่ห่างออกไปแค่ถนนคั่น นับว่าสะดวกสบายมากถึงแม้ว่าหอพักลักษณะนี้จะหรูหราไม่เท่าหอพักที่ถนนโมลวิทซ์ก็ตาม แต่ก็ราคาย่อมเยาว์และมีสาธารณูปโภคครบครัน
     เอย์จิที่พูดภาษาเยอรมันคล่องแคล่วกว่าทุกคนเป็นคนจัดการติดต่อเจ้าหน้าที่ พวกเขาเดินตามเจ้าหน้าที่มาที่ห้องพักบนชั้นสองของตึกสามชั้นตึกหนึ่งในหลาย ๆ ตึกที่ประกอบกันเป็นหมู่บ้านนักศึกษาแห่งนี้ ชายหนุ่มช่วยเจ้าหน้าที่เช็คเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างในห้องว่าอยู่ในสภาพเรียบร้อย และตอนคืนห้องหลังจบสัญญาเช่าแล้วทุกอย่างยังเรียบร้อยเหมือนเดิม เจ้าของห้องก็จะได้เงินมัดจำคืน
     ห้องพักของอัตสึโตะเป็นสตูดิโอขนาดประมาณสิบห้าตารางเมตร นับว่าเล็กถ้าเทียบกับห้องของมาโกโตะและเอย์จิ มีเฟอร์นิเจอร์จำเป็นคือเตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงานและเก้าอี้ พร้อมห้องน้ำในตัว แต่ไม่มีครัวให้ นักศึกษาต้องใช้ห้องครัวและห้องนั่งเล่นร่วมกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ในชั้นหรือเรียกว่าในฟลอร์เดียวกัน
     อัตสึโตะไม่ค่อยสนใจว่าห้องของเขาจะแคบหรือกว้าง แค่นอนได้ก็พอแล้ว และตอนนี้เขาก็มองเตียงนอนอย่างอาลัยอาวรณ์ อยากจะล้มตัวลงไปนอนต่อเต็มแก่ แต่มาโกโตะและเอย์จิลากเขาออกมานอกห้องก่อน
     เจ้าหน้าที่พาทั้งหมดเดินมาที่ห้องกลางซึ่งเป็นห้องครัวและห้องนั่งเล่นในห้องเดียวกัน ผนังด้านหนึ่งวางโต๊ะและโซฟาพร้อมเก้าอี้กับบีนแบ็กหลายตัว มีโทรทัศน์และวิทยุพร้อม อีกด้านหนึ่งเป็นเคานท์เตอร์ครัวที่มีทั้งเตาและตู้อบพร้อมเครื่องดูดควัน ข้าง ๆ เป็นตู้เย็นขนาดใหญ่ที่ข้างในทำเป็นช่องมีฝาปิดล็อกได้ติดเบอร์ห้องจำนวนเท่ากับห้องพักในฟลอร์และตู้แช่แข็งขนาดกลางหนึ่งตู้ ที่ผนังด้านหนึ่งวางตู้ขนาดใหญ่ลักษณะเป็นตู้ล็อกเกอร์เอาไว้ให้นักศึกษาในฟลอร์เก็บพวกของแห้งหรืออุปกรณ์ส่วนตัว
เอย์จิเปิดตู้ให้อัตสึโตะดูอุปกรณ์ครัวที่เป็นของส่วนกลางขณะที่เจ้าหน้าที่อธิบายกฎของหอพักซึ่งส่วนใหญ่เป็นการรักษาความสะอาด การช่วยกันประหยัดพลังงาน และไม่ส่งเสียงดังหรือทำอะไรที่เป็นการรบกวนผู้พักอาศัยคนอื่น จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ชี้ไปที่ถังขยะจำนวนหลายใบที่วางกระจายอยู่หลายจุดในห้อง ที่เยอรมนีแยกขยะแบ่งย่อยมากกว่าที่ญี่ปุ่น ฝาสีเขียวเป็นขยะสด ฝาสีเหลืองเป็นประเภทบรรจุภัณฑ์ที่ส่วนใหญ่จะเป็นพลาสติก และยังมีถังที่ไว้ใส่กระดาษ ถังใส่บรรจุภัณฑ์ประเภทแก้วที่ต้องแยกเป็นสีขาวและสีเข้ม และถังสุดท้ายคือขยะพิษ ประเภทขวดสเปรย์ต่าง ๆ
     อัตสึโตะฟังภาษาเยอรมันรัว ๆ กับเห็นถังขยะหลายใบไม่ใช่แค่ขยะเผาได้กับเผาไม่ได้อย่างของที่บ้านแล้วมึน ยอมแพ้ถอยไปนั่งรอที่โซฟา ปล่อยให้เอย์จิกับมาโกโตะคุยกับเจ้าหน้าที่ไปแทน ชายหนุ่มมองไปรอบตัว ก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าต่างบานใหญ่ที่มองออกไปเห็นสวนซึ่งมีใบไม้สีน้ำตาลร่วงอยู่เต็มพื้น
     วันนี้ฝนไม่ตก ฤดูใบใม้ร่วงก็กำลังจะจบลง แล้วก็จะเริ่มหน้าหนาวในไม่ช้า
     “นั่งซะหมดสภาพเลย แล้วนี่นายจะอยู่ไหวไหมเนี่ยอัตสึโตะ”
     มาโกโตะทักหลังจากคุยกับเจ้าหน้าที่เสร็จเรียบร้อยแล้วหันมาเจอรุ่นน้องนั่งเหยียดขายาวอยู่บนโซฟา คอเงยหนุนพนักไว้ เอย์จิเดินเข้ามาสมทบ ชายหนุ่มตอบแทนให้รุ่นน้องว่า
     “ไหวสิ เทอมเดียวเอง อีกสองสามวันมายะก็จะมาแล้วด้วย สบายมาก”
     อัตสึโตะก็ยิ้มรับจนตาหยี แล้วฟังรุ่นพี่สรุปเรื่องทั้งหมดที่เจ้าหน้าที่อธิบายก่อนหน้านี้
     มาโกโตะบอกกับเขาว่า
     “บ่ายนี้พวกฉันสองคนมีธุระคงอยู่กับนายไม่ได้ อาหารเที่ยงก็กินขนมปังกับน้ำชาไปก่อนแล้วกัน ฉันซื้อเผื่อเอาไว้ให้แล้ว อยู่ในเป้ ส่วนตอนเย็น แถว ๆ นี้มีซูเปอร์มาร์เก็ต นายลองเดิน ๆ ดู ถ้าหลงหรือหาไม่เจอก็ถามคนแถวนั้นได้”
     เห็นหน้ามึน ๆ ของรุ่นน้องแล้ว ชายหนุ่มอดถามย้ำอีกครั้งไม่ได้ว่า
     “นายอยู่ได้แน่นะ”
     “อยู่ได้สิครับ ไม่ต้องเป็นห่วง” อัตสึโตะรับรอง
     เอย์จิยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้
     “เบอร์โทรของฉันกับมาโกโตะ แล้วก็ที่อยู่ที่หอพัก มีอะไรก็ติดต่อมา แล้ววันไหนว่าง ๆ พวกฉันจะพานายไปเที่ยว”
     อัตสึโตะกล่าวขอบคุณพร้อมกับลารุ่นพี่ผู้ใจดีทั้งสองคน และหลังจากกินขนมปังรองท้อง ชายหนุ่มก็คลานขึ้นเตียง
     อากาศเย็น ๆ แบบนี้ได้นอนบนเตียงอุ่น ๆ มันแสนจะวิเศษ อัตสึโตะคิดพร้อมกับหลับตาลงอย่างมีความสุข เขานอนเพลินจนเย็น รู้สึกหิวเหมือนกัน แต่ขี้เกียจจะลุกเลยนอนต่อ แล้วก็หลับยาวไปจนกระทั่งเกือบเที่ยงของวันถัดมา
     กระเพาะที่ว่างเปล่าเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เย็นวานทำให้เขาต้องลุกขึ้นมาจากเตียงในที่สุด แล้วก็พบว่านอกจากขนมปังชืด ๆ ไม่กี่ชิ้นที่เหลือมาจากเมื่อวานแล้วก็ไม่มีอาหารอย่างอื่นอีก ปกติอัตสึโตะไม่ค่อยเจอปัญหาของหมดตอนที่อยู่บ้าน เพราะมายะเพื่อนสนิทของเขาจะเป็นคนซื้อเตรียมเอาไว้พรักพร้อม แต่เขาลืมไปเสียสนิทว่าเขาจะไม่มีมายะไปอีกสองสามวัน
อัตสึโตะเดินสะลึมสะลือตาปรือออกมาจากห้องตรงไปที่ห้องครัวเพื่อจะต้มน้ำมาชงชา ในครัววันนี้ไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนเมื่อวานแล้ว แต่มีผู้ชายตัวสูงใหญ่ผมสีทองคนหนึ่งกำลังเอาพิซซ่าเข้าเตาอบ เขาหันมามองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า และเมื่อเห็นอัตสึโตะก็ชะงักไปครู่ใหญ่ ก่อนจะส่งยิ้มกว้างมาให้ ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายสดใส
     “Alles klar bei dir?”
     อัตสึโตะงงเมื่อได้ยินรูปประโยคที่ไม่คุ้นเคยและหน้าตาของเขาคงตลกมากเพราะผู้ชายตรงหน้ายิ่งยิ้มมากขึ้นจนหางตาเป็นรอยย่น ก่อนจะเปลี่ยนคำถาม
     “Wie geht’s?”
     นั่นแหละชายหนุ่มถึงตอบได้ว่าสบายดี แล้วก็เป็นฝ่ายส่งมือให้ก่อนพร้อมกับแนะนำตัว
     “ฉันชื่ออัตสึโตะ นายล่ะ”
     “มานูเอล ยินดีที่ได้รู้จัก” ชายหนุ่มผมทองยื่นมือไปจับด้วย มือใหญ่ของเขาแทบจะกำมือของคนตรงหน้าได้อยู่แล้ว และเมื่อมายืนใกล้ ๆ กันแบบนี้ ชายหนุ่มชาวเอเชียคนนี้ตัวเล็กกว่าที่เขาคิดเสียอีก อัตสึโตะสูงเลยไหล่เขามานิดเดียวเท่านั้นเอง แล้วตอนนี้ก็กำลังใช้สองมือขยี้ตาเพื่อไล่ความง่วงงุน
     ตัวก็เล็ก แต่ใส่เสว็ตเตอร์ตัวใหญ่เชียว แขนเสื้อยาวลงมาจนแทบจะไม่เห็นมือโผล่ออกมาแล้ว
     เสียงเตาอบดังขัดจังหวะความคิดของเขา มานูเอลขยับตัวไปเปิดเตาอบเอาพิซซ่าออกมาขณะที่อัตสึโตะทำตาปรอยมองพิซซ่าหอม ๆ ในมือเพื่อนใหม่อย่างไม่รู้ตัว
     “นายกินอะไรรึยัง กินพิซซ่าด้วยกันไหม” มานูเอลชวน
     “จะดีเหรอ” อัตสึโตะลังเล แต่กลิ่นพิซซ่าอบใหม่ ๆ มันรบกวนท้องไส้ของเขามาก
     “เอาเลย ถือว่าเลี้ยงรับเพื่อนข้างห้องก็แล้วกัน ฉันอยู่ห้องข้าง ๆ นายนี่เอง ห้องเบอร์หก”
     ฟลอร์นี้มีทั้งหมดสิบสามห้อง ด้านเดียวกับห้องครัวมีห้องพักห้าห้อง ทางด้านซ้ายสามห้อง ด้านขวาสองห้อง ด้านตรงข้ามห้องครัวมีห้องพักอีกแปดห้อง ด้านขวามือหกห้อง แล้วถ้ามานูเอลอยู่ห้องเบอร์หก ห้องของมานูเอลกับของเขาซึ่งเป็นห้องเบอร์เจ็ดก็เป็นสองห้องที่แยกมาอยู่ด้วยกันทางด้านซ้ายมือ
     “งั้นก็ตกลง ขอบคุณนะ ฉันจะชงชาให้แล้วกัน” อัตสึโตะตอบรับด้วยความยินดี ก่อนจะนึกอะไรได้จึงถามต่อเหมือนไม่แน่ใจว่า “ว่าแต่นายกินชาญี่ปุ่นได้รึเปล่า”
     มานูเอลพยักหน้า อัตสึโตะจึงรีบกลับไปเอาชาในห้องมาชงให้อย่างรวดเร็ว เขาเลื่อนถ้วยชาไปให้มานูเอลพร้อมกับรับจานใส่พิซซ่ามา
     “อร่อยจัง นายช่วยชีวิตฉันไว้เลยนะเนี่ย” อัตสึโตะพูดพร้อมกับเคี้ยวพิซซ่าในมือตุ้ย ๆ อย่างเอร็ดอร่อย
     “งั้นเชียว” มานูเอลยิ้มขำ
     “งั้นสิ ฉันเพิ่งมาถึงเมื่อวาน ยังไม่ได้ซื้ออะไรเลยอะ”
     อัตสึโตะพูดกับเพื่อนใหม่ด้วยภาษาเยอรมันง่าย ๆ เขาเรียนภาษาเยอรมันเป็นวิชาเลือก แต่ไม่ค่อยได้ฝึกเท่าไรก็เลยพูดไม่คล่องมาก เจอรูปประโยคที่ไม่คุ้นเคยก็งง  แต่ก็พอจะสื่อสารได้บ้างถ้าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเร็วจนเกินไป
     “วันนี้กับพรุ่งนี้ฉันว่าง ฉันจะพานายไปซื้อของก็แล้วกัน จะพาเดินดูแถว ๆ นี้กับที่แคมปัสด้วย ตกลงไหม”
     “จริงเหรอ ขอบคุณมากเลย นายนี่ใจดีสุด ๆ”
     รอยยิ้มของอัตสึโตะทำให้มานูเอลชะงักไปอีกครั้ง รู้สึกมึนงงเหมือนกับถูกหมัดน็อค ก่อนที่เขาจะบอกอีกฝ่ายด้วยท่าทางเหมือนคนละเมอว่า
     “ถ้านายมีปัญหาอะไรก็มาหาฉันได้ตลอดเวลาเลยนะ”

     มานูเอลพาอัตสึโตะขึ้นรถไฟใต้ดินมายังกรอพิอุส พาสซาเกิ้นบนถนนโยฮันนิสธาเลอร์ ชอสซีซึ่งเป็นตึกสามชั้นรูปโค้ง กรุกระจกสีฟ้า เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของพวกเขานัก
     อัตสึโตะต้องการของใช้ในบ้านพวกจานชามแก้วน้ำ รวมทั้งอาหารสดและอาหารแห้ง มานูเอลจึงพาไปซื้อของใช้ในบ้านที่กาเลอเรีย เค้าฟ์โฮฟก่อนซึ่งเหมือนกับเป็นห้างย่อย ๆ ข้างในห้างใหญ่อีกทีหนึ่ง กินเนื้อที่ในอาคารทั้งสามชั้น
     ระหว่างที่อัตสึโตะกำลังเลือกแก้วน้ำ มานูเอลก็ชวนคุย
     “นายมาเรียนอะไรที่นี่ล่ะ”
     “ฟิสิกส์” อัตสึโตะตอบ วางแก้วน้ำสีขาวเรียบ ๆ ลงในตะกร้าที่มานูเอลช่วยถือให้
     “สาขาเดียวกันเลย” มานูเอลพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความดีใจอยู่ลึก ๆ “แล้วทำไมนายเลือกเรียนฟิสิกส์ล่ะ”
     “อยากเป็นนักสืบน่ะ”
     คำตอบของอัตสึโตะทำให้มานูเอลอ้าปากค้าง
     “ฉันติดซีรีส์เรื่องกาลิเลโอ พระเอกเป็นนักฟิสิกส์โคตรเก่งเลย ช่วยตำรวจคลี่คลายคดีที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์ เวลาไขคดีออกนะพระเอกจะเขียนสูตรฟิสิกส์ไว้ตามที่ต่าง ๆ เท่สุด ๆ ไปเลย ฉันอยากเท่แบบนั้นบ้าง”
     เห็นแววตาเป็นปลื้มของคนพูดแล้วมานูเอลก็อดแซวไม่ได้
     “ฝันเฟื่อง”
     อัตสึโตะหันมามองอย่างเคือง ๆ
     “แล้วนายล่ะ เรียนไปทำไม”
     “ฉันสนใจการกำเนิดจักรวาลและเอกภพ สนใจดาราศาสตร์และอวกาศ ตั้งใจว่าจะไปสมัครเป็นนักวิจัยที่สถาบันมักซ์พลังค์เพื่อการค้นคว้าเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาล”
     “โหย ก็ฝันเฟื่องพอกันล่ะว้า”
     อัตสึโตะได้โอกาสจิกกัดคืนบ้าง มานูเอลหัวเราะไม่ถือสา ชายหนุ่มเดินตามช่วยอัตสึโตะเลือกของ เขาสังเกตว่าเพื่อนใหม่ของเขาคนนี้เป็นคนไม่พิถีพิถันเท่าไรเลยและไม่ใช่คนรอบคอบด้วย ตอนเลือกของใช้พวกจานชามมีดส้อม อัตสึโตะเลือกส่ง ๆ มาอย่างละหนึ่งชิ้น เขาต้องแนะนำให้เลือกเผื่อไว้บ้าง เอาไว้เวลาที่มีแขกมาเยี่ยม เพราะบางทีของส่วนกลางก็ไม่มีพอให้ใช้ และอัตสึโตะก็เชื่อ
     อย่างนี้น่าจะต้องมีคนคอยช่วยดูแล มานูเอลคิดในใจด้วยความเผลอไผล
     เมื่อได้ของที่ต้องการจากกาเลอเรีย เค้าฟ์โฮฟจนครบ มานูเอลก็พาอัตสึโตะมาซื้ออาหารต่อที่เค้าฟ์ลันด์ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่ชั้นใต้ดิน และอัตสึโตะก็ทำเหมือนเดิม คือเลือกซื้อของแค่พอกินได้ไปมื้อสองมื้อเท่านั้น มานูเอลเห็นแล้วอดไม่อยู่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยอีกครั้ง
     “ฉันว่านายเลือกซื้อไปให้พอกินสักอาทิตย์ดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาซื้อบ่อย ๆ ซื้ออาหารแช่แข็งพวกพิซซ่าหรือปะเอญ่าเก็บไว้ก็ดีเหมือนกันนะ วันไหนขี้เกียจทำอาหารก็เอามาอุ่นกิน ง่าย เร็ว ไม่ยุ่งยาก”
     “ฉันไม่ทำอาหาร” อัตสึโตะบอก จ้องห่อไส้กรอกเยอรมันที่วางเรียงกันเป็นพรืดบนชั้น คิดไม่ตกว่าควรจะเอาชนิดไหนดี และควรซื้อไปสักกี่ห่อ หยิบแล้ววาง วางแล้วหยิบ จนมานูเอลทนไม่ไหว เลือกให้เองเสร็จสรรพ
     “แล้วตอนอยู่ที่โตเกียว นายซื้อเอาตลอดเลยเหรอ” มานูเอลถาม อัตสึโตะเล่าให้ฟังว่าเขาเกิดที่คานาซาว่า แต่มาเรียนที่โตเกียวตั้งแต่ตอนมัธยมปลายและอยู่ที่โตเกียวมาตลอดจนถึงตอนนี้
     “เปล่า มายะเป็นคนทำอาหาร” อัตสึโตะตอบ
     “แล้วมายะนี่ใคร”
     “คนรับใช้ของฉันเอง”
     มานูเอลมองหน้า นึกว่าอีกฝ่ายล้อเล่น แต่อัตสึโตะหน้าตาจริงจังมาก
     “มายะทำอาหาร ซักผ้า ทำความสะอาดห้อง ซื้อกับข้าว เลือกซื้อเสื้อผ้าให้ฉันด้วย ทำทุกอย่างแหละ เขาเป็นคนรับใช้ แล้วก็เป็นเพื่อนด้วย”
     “แล้วนายทำอะไรบ้าง” มานูเอลอดถามไม่ได้
     อัตสึโตะสั่นศีรษะ พูดหน้าตาเฉยว่า
     “ไม่ทำ ให้มายะทำ ถึงเรียนรุ่นเดียวกัน แต่หมอนั่นก็เป็นรุ่นน้อง เกิดทีหลัง”
     “นายเกิดวันที่เท่าไหร่”
     “27 มีนาคม”
     “เฮ้ย เกิดวันเดียวกันเลย ฉันก็เกิดวันที่ 27 มีนาคมเหมือนกัน” มานูเอลพูดด้วยความตื่นเต้น
     “งั้นปีนี้เราจัดงานวันเกิดพร้อมกันเลยดีไหม” อัตสึโตะหันมาถามยิ้ม ๆ แต่แล้วก็ทำหน้ายุ่งเมื่อนึกได้ “ไม่ได้สิ ฉันอยู่ที่นี่เทอมเดียวเท่านั้นเองนี่นา หมดเดือนกุมภาพันธ์ก็ต้องกลับแล้ว”
     มานูเอลชะงักไปนิดหนึ่ง เขาลืมไปเสียสนิทเลย
     “งั้นวันนั้นฉันจะโทรศัพท์ไปหา” มานูเอลสัญญา
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 1 - update - 19.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 19-09-2014 05:33:29
     ออกจากเค้าฟ์ลันด์ มานูเอลกับอัตสึโตะช่วยกันหอบหิ้วของที่ซื้อมาทั้งหมดกลับหอพัก ยิ่งใกล้วันเปิดเทอมฤดูหนาว หมู่บ้านนักศึกษาก็เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งเพราะคนทยอยกันกลับมาจากการพักผ่อนในระหว่างปิดภาคเรียน อัตสึโตะเจอเพื่อนร่วมฟลอร์อีกสองคนในวันนั้น มานูเอลแนะนำให้รู้จักมิโรสลาฟกับฟิลิป
     มิโรสลาฟเป็นชายหนุ่มร่างสูงชาวโปแลนด์ที่ดูเป็นคนดีมาก รอยยิ้มของเขาเมื่อทักทายอัตสึโตะก็ดูใจดีและสุภาพ มานูเอลเรียกเขาสั้น ๆ ว่ามิโรและแนะนำว่าเป็น Wohnheimtutor คือคนที่อยู่มานานจนได้ตำแหน่งที่ปรึกษาหอพักและจะคอยให้คำปรึกษาเรื่องการเรียนและการใช้ชีวิตในเบอร์ลินแก่นักศึกษาคนอื่น ๆ ที่อยู่ในหอพักแห่งนี้
     ส่วนฟิลิป เขาเป็นผู้ชายที่จัดว่าตัวเล็กเมื่อเทียบกับคนเยอรมันทั่วไป เตี้ยกว่าอัตสึโตะนิดหน่อยด้วยซ้ำ แต่เป็นคนที่มีท่าทางเอาจริงเอาจังและเคร่งขรึมมาก แถมยังดูเจ้าระเบียบจนทำให้อัตสึโตะที่ปกติจะเป็นคนยุกยิกอยู่ไม่สุขรู้สึกเกร็งนิดหน่อยเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายหน้าตาดีแต่ตัวเล็กคนนี้
     “อาทิตย์หน้ามีประชุมฟลอร์ อย่าลืมนะ” ฟิลิปเตือนก่อนจะเดินจากไป
     มานูเอลหันมาอธิบายให้อัตสึโตะฟังว่า
     “ก่อนเปิดเทอมเราจะประชุมทุกคนที่อยู่ในฟลอร์ เหมือนมาคุยกันว่าใครมีปัญหาอะไรรึเปล่าน่ะ แล้วก็จะแบ่งเวรเก็บขยะ เก็บเงินค่าของใช้ส่วนกลางอะไรทำนองนี้ วันนั้นนายคงได้เจอคนในฟลอร์ครบทุกคนล่ะ อ้าว ทำไมทำหน้ายังงั้น” เขาถามเมื่อเห็นอัตสึโตะทำหน้านิ่ว
     “ก็เพื่อนนาย ฟิลิปน่ะ เหมือนครูปกครองสมัยมัธยมปลายของฉันเปี๊ยบเลย ฉันรู้สึกเกร็ง ๆ หายใจไม่ทั่วท้องยังไงก็ไม่รู้”
     มานูเอลหัวเราะขัน อดไม่ได้จริง ๆ ต้องเอามือใหญ่ของตัวเองจับหัวอัตสึโตะเขย่าด้วยความเอ็นดูก่อนจะบอกว่า
     “ฟิลิปมันเป็น Selbstverwaltung เหมือนเป็นประธานหอพักน่ะ ดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของหอพักเรา เป็นตัวแทนนักศึกษาประสานงานเรื่องต่าง ๆ กับผู้ดูแลหอด้วย มันก็ดูระเบียบจัดไปยังงั้นเอง ความจริงไม่มีอะไร” มานูเอลรับรอง เขาช่วยอัตสึโตะเก็บของที่ซื้อมาเข้าที่ ของสิ่งไหนที่ต้องเก็บไว้ในตู้หรือชั้นส่วนกลางที่ใช้ร่วมกันก็เขียนชื่อด้วยปากกาเมจิกอย่างเรียบร้อย
     อัตสึโตะฟังแล้วตาโต อุทานว่า
     “โอ้โห ทั้งประธานหอพัก ทั้งที่ปรึกษาหอพักอยู่ในฟลอร์เราแบบนี้ก็...”
     “ถูกต้อง เราอยู่ในชั้นของผู้มีอิทธิพลยังไงล่ะ”
     มานูเอลต่อประโยคให้จนจบ

     นับจากวันที่ไปซื้อของด้วยกันวันนั้น เพื่อนต่างชาติคนแรกที่อัตสึโตะรู้จักที่เยอรมนีอย่างมานูเอลก็เข้ามามีบทบาทในชีวิตของชายหนุ่ม ชื่อของมานูเอลติดปากอัตสึโตะโดยที่เขาไม่รู้ตัว ตอนที่รุ่นพี่ของเขาโทรศัพท์มาถามไถ่ข่าวคราวด้วยความเป็นห่วง อัตสึโตะก็เล่าถึงแต่มานูเอลให้มาโกโตะกับเอย์จิฟัง บอกว่ามานูเอลช่วยเขาขอพาสเวิร์ดอินเตอร์เน็ตไร้สายระบบ Eduroam มานูเอลช่วยอธิบายเส้นทางและวิธีการใช้รถสาธารณะในเบอร์ลิน มานูเอลไปเป็นเพื่อนรายงานตัวที่สำนักงานกิจการต่างประเทศของมหาวิทยาลัย แจ้งย้ายเข้าที่ทะเบียนราษฎร์ นัดหมายทำเรื่องขอพักอาศัยระยะยาวเกินกว่าสามเดือน และเปิดบัญชีธนาคาร มานูเอลอย่างนั้นมานูเอลอย่างนี้จนมาโกโตะอดแซวไม่ได้ว่า
     “ยังงี้มายะก็ตกกระป๋องแล้วสิ”
     และคนที่โดนแซวว่าตกกระป๋องรับรู้เรื่องนี้ในเวลาอันรวดเร็ว ทันทีที่มายะเหยียบแผ่นดินเบอร์ลินในวันถัดมา ชายหนุ่มก็รีบแล่นมาหาอัตสึโตะที่ห้องโดยที่ไม่สนใจจะเอากระเป๋าเดินทางและข้าวของอย่างอื่นไปเก็บที่ห้องของตัวเองก่อนด้วยซ้ำ มายะพักที่หมู่บ้านนักศึกษาอัดเลอร์สโฮฟเช่นเดียวกัน แต่อยู่คนละชั้นคนละตึกซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาโทษโชคชะตาฟ้าดินที่กลั่นแกล้งเขาอยู่ไม่หาย เขาควรจะได้อยู่ห้องข้าง ๆ อัตสึโตะเหมือนเดิมสิ อย่างหมอนั่นปล่อยให้คลาดสายตาได้ที่ไหน ดูสิ แค่ห่างตาไปอาทิตย์เดียวเท่านั้นก็มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ดอดมาตีสนิทเสียแล้ว
     “อ้าว มายะ มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่” อัตสึโตะทักเมื่อเปิดประตูห้องออกมาเจอเพื่อนสนิทยืนหน้างอเป็นจวักพร้อมกระเป๋าเดินทางสองใบใหญ่ ๆ และเป้อีกหนึ่งใบ
     “แล้วนายเข้ามาได้ไงเนี่ย ประตูฟลอร์มันน่าจะปิดล็อคนี่นา แล้วนี่กระเป๋าอะไรมากมาย”
     “มีคนเปิดให้” มายะตอบห้วน ๆ พลางชะเง้อชะแง้เข้าไปในห้องของเพื่อน พยายามจะมองว่ามีใครอยู่ข้างในหรือไม่ แต่ในห้องก็ไม่มีใครเลย
     อัตสึโตะมองมายะอย่างงง ๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาเบี่ยงตัวหลบให้มายะเดินเข้ามาในห้อง ส่วนกระเป๋าเดินทางทั้งสองใบกับเป้ยังวางกองอยู่หน้าห้องแต่ไม่กีดขวางทางใครเพราะห้องของอัตสึโตะอยู่ริมสุดอยู่แล้ว
     “ได้ยินว่ามาถึงวันแรกก็หาเพื่อนได้แล้วเหรอ” มายะแกล้งถาม
     “เอ๋? อ้อ นายหมายถึงมานูเอลใช่ไหม เขาเป็นคนใจดีนะ ช่วยอะไรฉันตั้งหลายอย่าง”
     มายะหน้าหงิกเมื่อได้ยินชื่อคนที่อาจจะกลายเป็นศัตรูหัวใจหลุดออกมาจากปากอัตสึโตะ แถมยังเล่าให้ฟังแจ้ว ๆ ว่าหมอนั่นมันทำอะไรบ้างให้เขาฟังอีก มายะกวาดตามองรอบห้องของอัตสึโตะ ห้องรกเหมือนเดิม ข้าวของกองเกลื่อนอยู่ที่โต๊ะลามไปจนถึงที่พื้น แต่เท่าที่ดูก็มีของที่จำเป็นครบหมด ไอ้ที่เขาวางแผนเอาไว้ว่าจะทำให้อัตสึโตะเห็นความสำคัญ ให้หมอนั่นมันได้รู้ว่าขาดเขาไปสักคนแล้วชีวิตมันลำบากแค่ไหน พอเห็นหน้าเขาแล้วอัตสึโตะจะได้วิ่งเข้ามากอด ร้องเรียกมาย้า (เสียงยาว) แล้วเขาก็จะได้กอดตอบพร้อมกับสัญญาว่าจะไม่ห่างไปไหนอีกแล้ว
     พังหมด!
     เพราะไอ้บ้านั่นคนเดียว
     “นายก็เลยไม่โทรหาฉันสินะ” มายะพ้อ
     “โทรทำไมล่ะ ฉันไม่ได้ต้องการอะไรสักหน่อย” อัตสึโตะงง
     มายะอยากจะถอนใจยาว ๆ ออกมาสักครั้งกับสถานะของเขาที่ดูจะไม่เปลี่ยนแปลงสักที
     “ช่างเหอะ แล้วนี่นายกินอะไรรึยัง บ่ายกว่าแล้ว”
     อัตสึโตะพยักหน้า
     “กินแล้ว คัพราเม็ง ซื้อมาจากห้างที่นี่อะ แต่ไม่อร่อยเลย คิดถึงข้าวสวยร้อน ๆ ฝีมือนายจัง”
     “งั้นเดี๋ยวฉันทำให้กิน เย็นนี้เลยเนอะ”
     มายะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที แล้วกระวีกระวาดเก็บห้องที่รก ๆ ให้อัตสึโตะโดยลืมไปเสียสนิทว่ายังไม่ได้ติดต่อจัดการเรื่องห้องพักของตัวเองเลย
     เสียงเคาะประตูดังขึ้น อัตสึโตะที่นั่งดูวีดิโอทางยูทูบจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอยู่บนเตียงเป็นคนลุกไปเปิด เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ชายหนุ่มก็ยิ้มกว้าง ทักว่า
     “มานูเอล”
     มายะที่กำลังสาละวนกับการขัดกระจกหน้าต่างห้องให้อัตสึโตะหันขวับมาทันที แล้วทิ้งผ้าลงบนพื้น ขยับตัวพรวดเดียวมายืนซ้อนหลังอัตสึโตะ
     มานูเอลชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่ไม่รู้จักถลึงตาใส่เขาอย่างดุเดือด แต่ก็ยิ้มให้เมื่อเจ้าของห้องแนะนำว่า
     “นี่มายะ มายะ นี่มานูเอล”
     เขาจำชื่อมายะได้ แล้วเจ้าของชื่อก็ดูไม่ผิดไปจากที่คิดไว้ มายะตัวสูงใหญ่กว่าอัตสึโตะ ผิวขาวกว่า ตาที่ตี่อยู่แล้วหรี่ลงจนกลายเป็นเส้นตรง มายะจ้องเขาเหมือนเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อน แล้วเมื่อจับมือกัน มายะก็บีบมือเขาจนเจ็บ
     มานูเอลเหลือบมองอัตสึโตะที่ยืนยิ้มอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วเขาก็ถอยห่างจากอัตสึโตะออกมาก้าวหนึ่ง ตอนนั้นเองที่ทุกคนเห็นว่ามานูเอลไม่ได้มาคนเดียว แต่เยื้องไปทางข้างหลังเขามีผู้ชายชาวเอเชียคนหนึ่งยืนอยู่ เขาสูงพอ ๆ กับอัตสึโตะ ผิวคล้ำ หน้าตาเรียบ ๆ จมูกค่อนข้างยาว แต่เมื่อยิ้มแล้วดูน่ามอง
     “นี่ใครอะ” อัตสึโตะถาม รู้สึกคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้อยู่นิดหน่อย
     “เกือบลืมแนะนำเลย นี่ชินจิ เป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนเหมือนกับนาย มหาวิทยาลัยเดียวกับนายด้วย เพิ่งมาถึงวันนี้ ฉันเจอข้างล่างก็เลยขึ้นมาด้วยกัน ชินจิอยู่ห้องเบอร์แปด”
     อัตสึโตะร้องอ๋อ งั้นสาเหตุที่คุ้นหน้าอาจจะเพราะเคยเดินสวนกันที่มหาวิทยาลัยก็เป็นได้
     “ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ชินจิพูดพร้อมกับยิ้มให้อย่างสุภาพ
     “ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่ออัตสึโตะ อยู่ห้องเบอร์เจ็ด ส่วนนี่มายะ เอ ว่าแต่นายอยู่ห้องไหนแล้วล่ะ” อัตสึโตะหันไปถามเพื่อนที่กำลังมองชินจิเหมือนเหยี่ยวมองลูกไก่อันโอชะไม่มีผิด
     “ชินจิ แลกห้องกันไหม” มายะโพล่งขึ้นมา
     “เอ๋? เอ้อ ไม่รู้สิ ฉันว่าไม่น่าจะได้ล่ะมั้ง ฉันเซ็นสัญญาเช่าไปแล้ว” ชินจิพูดด้วยความลำบากใจพลางเกาศีรษะอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
     มานูเอลไม่เข้าใจที่พูดกันเพราะทุกคนใช้ภาษาญี่ปุ่น เขาเห็นกระเป๋าเดินทางที่วางชิดผนังด้านในสุด นอกห้องของอัตสึโตะก็ถามว่า
     “นี่ของใคร ทำไมวางอยู่ตรงนั้น ไม่เก็บไว้ในห้องล่ะ”
     “ของมายะ” อัตสึโตะตอบ คิ้วขมวดนิด ๆ “แล้วนี่ตกลงนายอยู่ห้องไหน”
     “ไม่รู้ ยังไม่ได้ไปติดต่อเลย” มายะทำหน้ายุ่ง
     “อ้าว แต่นี่บ่ายขนาดนี้ เจ้าหน้าที่ยังอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้” มานูเอลมองนาฬิกา
     “ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร ฉันนอนห้องอัตสึโตะคืนนี้ก็ได้” มายะประกาศพร้อมกับจ้องหน้ามานูเอลเหมือนจะท้าตีท้าต่อย แต่คนที่โวยวายกลับเป็นอัตสึโตะ
     “นายจะบ้าเหรอ ห้องเล็กขนาดนี้จะนอนได้ไง แค่กระเป๋ายักษ์สองใบนั่นก็เต็มห้องฉันแล้ว ไม่มีที่เหลือให้นายปูผ้านอนหรอก”
     “ฉันว่าเรารีบไปติดต่อเจ้าหน้าที่ดีกว่า บางทีอาจจะยังอยู่ก็ได้” ชินจิเสนอ สุดท้ายมายะก็ไม่มีทางเลือก เขาเดินลงมาพร้อมกับมานูเอลที่อาสาจะช่วยติดต่อเจ้าหน้าที่ให้เพื่อความรวดเร็ว แต่แทนที่มายะจะรู้สึกขอบคุณ เขากลับประกาศสงครามทันทีเมื่อคล้อยหลังอัตสึโตะมาได้ไม่เท่าไร
     “อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะญาติดีกับนายนะ” ใช่แล้ว ความฝันของเขาพังทลายหมดเพราะไอ้หมียักษ์ผมทองอย่างมันนี่แหละ
     มานูเอลยิ้มนิด ๆ เขาอึ้งจนเปลี่ยนเป็นขำท่าทางออกนอกหน้าของมายะแล้ว
     “ยิ้มอะไร” มายะถามเสียงขุ่น
     “ฉันคิดว่านายน่ารักดีนะ อัตสึโตะก็ด้วย อยู่ด้วยแล้วขำดี” มานูเอลยิ้มกว้างแล้วตอนนี้ “พยายามเข้าก็แล้วกันเรื่องอัตสึโตะ ส่วนฉัน นายไม่ต้องกังวลหรอก ฉันมีแฟนแล้ว ไม่ใช่คู่แข่งของนายแน่”
     “แน่นะ” มายะหรี่ตา
     มานูเอลพยักหน้ารับรอง สีหน้าของมายะก็เลยดีขึ้น ท่าทางเป็นศัตรูก็ลดลง...นิดหนึ่ง แค่นิดเดียวเท่านั้นล่ะ
     ของอย่างนี้มันไว้ใจกันง่าย ๆ ได้ที่ไหน!

     อัตสึโตะเกือบลืมเรื่องการประชุมฟลอร์ไปแล้วหากมานูเอลไม่มาเคาะประตูเรียก เขามัวแต่คุยโทรศัพท์กับมายะอยู่ เจ้าหมอนั่นมันออด ๆ ให้เขาไปซื้อของเป็นเพื่อน แต่เขาสุดแสนจะขี้เกียจ และก็แหม ของกินยังเต็มตู้อยู่เลย แล้วเขาจะไปทำไม ชายหนุ่มจึงแค่บอกทางให้มายะไปที่ห้างกรอพิอุส พาสซาเกิ้นเท่านั้น แต่เจ้ามายะก็ยังโอดครวญไม่ยอมหยุด เมื่อมานูเอลมาเรียก เขาจึงถือเป็นข้ออ้างวางหูโทรศัพท์ได้
     “คุยกับมายะเหรอ” มานูเอลถาม
     “ใช่ เจ้าบ้านั่นจะให้ไปเป็นเพื่อนซื้อของ แต่ฉันขี้เกียจไป” อัตสึโตะตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร มองเลยไปที่โต๊ะในส่วนของห้องนั่งเล่นที่ตอนนี้มีคนหลายคนทยอยกันเดินมานั่งบนเก้าอี้หรือไม่ก็บีนแบ็ก เขาเห็นชินจินั่งอยู่บนโซฟาคนเดียวจึงเดินไปนั่งข้าง ๆ โดยมีมานูเอลตามมานั่งข้างเขาอีกทีหนึ่ง
     ชินจิยิ้มทักอัตสึโตะกับมานูเอล และหันไปยิ้มให้คนที่เพิ่งจะนั่งลงข้าง ๆ เขาอีกด้านหนึ่งด้วย ผู้ชายคนนั้นสูงกว่าเขา ตัดผมสั้นเกรียน และมองชินจิไม่วางตาจนเขารู้สึกอึดอัดนิดหน่อย
     “หัวหน้าฟลอร์มาแล้ว หมอนั่นชื่อบาสเตียน”
     หูของชินจิได้ยินเสียงมานูเอลบอกอัตสึโตะ เขาจึงหันไปมองบ้าง
     บาสเตียนเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่และหนา แต่ดูสมาร์ทมาก ผมสีทองตัดสั้น หน้าตาดูขึงขังแบบคนเยอรมัน และคงเป็นที่ชื่นชอบจากคนในฟลอร์อยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อเข้ามาถึงก็แปะมือทักทายคนไปทั่ว แต่ชะงักนิดหนึ่งเมื่อมาถึงฟิลิปที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้หัวโต๊ะด้านหนึ่ง แล้วเปลี่ยนเป็นจับมือด้วย
     มานูเอลเอียงตัวไปกระซิบกับอัตสึโตะ
     “บาสตี้กับฟิลิปมันมักจะงัดข้อกัน บาสตี้เป็นหัวหน้าฟลอร์ เข้าข้างคนในฟลอร์แบบสุดลิ่มทิ่มประตูก็เลยปะทะกับฟิลิปค่อนข้างบ่อย ฟิลิปมันไม่ชอบให้ทำอะไรตามใจกันมากเกินไป”
     อัตสึโตะพยักหน้ารับ เขารับรู้ถึงรัศมีความไม่เป็นมิตรที่แผ่ออกมาจากตัวทั้งสองคนเช่นกัน อาจจะไม่ถึงขนาดเป็นศัตรูกัน แต่ก็เรียกว่าเป็นมิตรไม่ได้แน่
     “ข้าง ๆ บาสตี้คือลูคัส หมอนั่นกับบาสตี้เป็นคู่จิ้นกัน ชอบทำให้ใคร ๆ คิดว่าพวกมันรักกัน”
     ตอนแรกอัตสึโตะไม่เข้าใจคำว่าคู่จิ้น แต่ประโยคถัดมาของมานูเอลและท่าทางที่สนิทสนมกันชนิดบาสเตียนนั่งบนเก้าอี้ปุ๊บลูคัสก็นั่งลงบนเข่าข้างหนึ่งของบาสเตียนปั๊บทำให้เขาคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้อีก
     “ทำเพื่อ?” อัตสึโตะทำหน้าไม่เข้าใจจริงจัง มานูเอลแค่ยิ้มนิดหนึ่ง ตอบสั้น ๆ ว่า
     “สนุกดีมั้ง”
     บาสเตียนเริ่มเปิดประชุมทันทีที่ทุกคนมากันพร้อมหน้า แต่อัตสึโตะไม่เข้าใจที่บาสเตียนพูดเลยสักนิด ชายหนุ่มพูดด้วยสำเนียงแปลก ๆ ที่ฟังแล้วเหมือนไม่ใช่ภาษาเยอรมันเลย และโชคร้ายของอัตสึโตะที่บาสเตียนหันมาหาเขาเป็นคนแรกพร้อมกับพูดอะไรยืดยาวเสียงดัง
     อัตสึโตะทำหน้าเหรอหราขณะที่ทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว
     ชินจิขยับจะช่วยอัตสึโตะ แต่ไม่ทันมานูเอล เพราะเพียงแค่เขาอ้าปาก มานูเอลก็สวนขึ้นก่อนแล้ว
     “เลิกเร่งสักทีบาสตี้ อัตสึโตะเพิ่งจะมา เขาไม่เข้าใจสำเนียงบาเยิร์นที่นายแสนจะภาคภูมิใจหรอก ฉันบอกนายแล้วใช่ไหม กับคนใหม่ ๆ ให้พูดโฮคด๊อยชท์ ภาษากลาง ช้า ๆ ชัด ๆ” มานูเอลโคลงศีรษะ ก่อนจะหันมาอธิบายให้อัตสึโตะฟังว่า
     “บาสตี้อยากให้นายแนะนำตัว ชื่ออะไร มาจากไหน อยู่ห้องเบอร์อะไร ประมาณนี้แหละ”
     อัตสึโตะจึงได้แนะนำตัวเองสั้น ๆ จบแล้วก็หันไปยิ้มให้มานูเอลอย่างขอบคุณ
     บาสเตียนหันมาที่ชินจิเป็นรายต่อไป แต่เขายังไม่ยอมเปลี่ยนสำเนียง
     “แล้วนายล่ะ ไม่เข้าใจที่ฉันพูดเหมือนกันรึเปล่า”
     “ฉันเข้าใจ อาจจะไม่ทั้งหมดที่นายพูด แต่ฉันพอจะเข้าใจว่านายหมายความว่ายังไง” ชินจิตอบเป็นภาษาเยอรมันที่สละสลวยกว่าอัตสึโตะมาก แล้วชายหนุ่มก็แนะนำตัวเองสั้น ๆ
     บาสเตียนทำหน้าพอใจ แล้วเขาก็หันไปชี้คนต่อไป
     ข้างตัวชินจิ ผู้ชายผมเกรียนที่นั่งข้าง ๆ ก็เอียงตัวมากระซิบริมหูเขา
     “พูดเยอรมันเก่งนี่”
     ชินจิแทบสะดุ้ง แต่ก็หันไปยิ้มให้นิด ๆ พร้อมกับเขยิบถอยห่างไปทางอัตสึโตะมากขึ้น
     หลังจากคนใหม่ในฟลอร์อย่างอัตสึโตะกับชินจิแนะนำตัวแล้วก็ถึงคราวคนเก่าบ้างซึ่งแต่ละคนก็แนะนำตัวกันสั้น ๆ พร้อมกับหมายเลขห้อง อัตสึโตะพยายามจะจำ แต่เขาก็รู้ตัวว่าจำได้ไม่หมดหรอกและชายหนุ่มไม่เดือดร้อน จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อยู่ไปก็จำได้เอง หรือถามมานูเอลเอาก็ได้ แต่เอ หรือจะถามชินจิดี อัตสึโตะเห็นชินจิหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาจด บันทึกรายละเอียดของเพื่อนร่วมฟลอร์แต่ละคนอย่างเป็นระเบียบ
     บาสเตียน (บาสตี้) ห้องหมายเลขหนึ่ง หัวหน้าฟลอร์ ตัวใหญ่ ผมทอง พูดสำเนียงบาเยิร์น หมายเหตุ ดูเหมือนจะเป็นแฟนกับลูคัส
     ลูคัส ห้องหมายเลขสิบเอ็ด ผมสีดำตัดสั้น ยิ้มสวย ติดโทรศัพท์ หมายเหตุ ดูเหมือนจะเป็นแฟนกับบาสเตียน
     เอริค ห้องหมายเลขห้า ผมสั้นสีน้ำตาล หน้าตาดี ตาตี่ แก้มแดง
     มัตส์ ห้องหมายเลขสี่ ผมสีดำหยักศก หัวยุ่ง มีหนวดมีเครา หน้าตาดี
     มาร์โค ห้องหมายเลขสาม ผมสีทองแสกกลาง ผมด้านหน้าตั้งชี้เหมือนหงอนไก่ หน้าตาดี แต่เวลายิ้มดูเจ้าเล่ห์
     มาริโอ้ ห้องหมายเลขสอง ผมสีน้ำตาลทำไฮไลท์สีทอง ตัวอวบ ๆ ตาหวาน
     มิโรสลาฟ (มิโร) ห้องหมายเลขสิบสอง ผมสั้นสีน้ำตาลเข้ม เป็นที่ปรึกษาหอพัก ท่าทางสุภาพ
     ฟิลิป ห้องหมายเลขสิบสาม ประธานหอพัก ตัวเล็กที่สุดในฟลอร์ ท่าทางเอาจริงเอาจัง หมายเหตุ ดูเหมือนจะไม่ถูกกับบาสเตียน
     เจอโรม ห้องหมายเลขสิบ คนผิวดำ ผมสีดำ ไว้ด้านหน้ายาวเป็นหย่อม ด้านข้างไถเกรียน
     มานูเอล ห้องหมายเลขหก
     อัตสึโตะ ห้องหมายเลขเจ็ด
     เควิน ห้องหมายเลขเก้า ผมสีเข้มตัดสั้นเกรียนแนบหัว หน้ายาว ริมฝีปากบาง ตาดุ
     อัตสึโตะเห็นแล้วทึ่ง
     ชินจิสุดยอด!

     หลังจากทุกคนแนะนำตัวเสร็จ บาสเตียนก็พูดอย่างอื่นต่อ แต่อัตสึโตะฟังแต่ที่มานูเอลสรุปให้คร่าว ๆ เท่านั้น ทุกคนต้องผลัดเวรกันเอาขยะไปทิ้งและเปลี่ยนถุงขยะใหม่คนละหนึ่งอาทิตย์เรียงตามเบอร์ห้องหมุนเวียนกันไปเรื่อย ๆ ซึ่งเท่ากับว่า เวรของเขาคืออาทิตย์ที่เจ็ด และบาสเตียนขอเก็บเงินค่าของใช้ส่วนกลางประจำภาคเรียนคนละสิบยูโร ลูคัสเป็นคนเก็บรวบรวมเงินและจะเป็นคนที่จัดการเรื่องซื้อของมาเติมเมื่อของส่วนกลางหมดลง
     “อุตสาหกรรมในครัวเรือนสุด ๆ” อัตสึโตะกระซิบกับมานูเอล
     แล้วก็มาถึงช่วงเวลาถกปัญหาในฟลอร์ ซึ่งคนเริ่มต้นแน่นอนว่าเป็นฟิลิป เขาพูดถึงปัญหาเรื่องขยะที่ไม่ได้รับการจัดเก็บอย่างรวดเร็ว บางครั้งทิ้งให้เต็มจนล้นถัง ปัญหาเรื่องการทำความสะอาดและเก็บล้างหลังจากทำอาหาร เขาพูดไปก็เถียงกับบาสเตียนที่คอยแก้ต่างให้คนในฟลอร์ไป
     “เริ่มแล้ว ศึกสองผู้ยิ่งใหญ่ บอสปะทะกัปตัน”
     ชายหนุ่มหัวเกรียนข้างตัวชินจิที่ตอนนี้รู้แล้วว่าชื่อเควินกระซิบที่หูเขา ชินจิหันมามองอย่างงง ๆ ชายหนุ่มจึงขยายความว่า
     “บาสตี้ฉายาคือบอส หัวหน้าพวกเราทุกคน ส่วนฟิลิป มันกุมบังเหียนหอพักเราเอาไว้ แถมชื่อซ้ำกับอดีตกัปตันทีมชาติเยอรมัน ทุกคนก็เลยเรียกมันว่ากัปตัน คนอื่นก็มีฉายานะ อย่างมิโร รายนั้นเป็นพ่อพระ สุภาพบุรุษตลอดกาล”
     “แล้วนายล่ะ ฉายาอะไร”
     เควินไม่ต้องตอบคำถามนี้เพราะฟิลิปหันมาจ้องชายหนุ่มเขม็ง
     “ส่วนคุณนะครับ คุณเควิน ไอ้เจ้าพ่อปาร์ตี้ ช่วยเพลาการจัดปาร์ตี้ลงบ้างนะเทอมนี้ เทอมที่แล้วนายเล่นจัดแทบจะทุกอาทิตย์ แถมยังชอบเลยเวลา ครั้งสุดท้ายที่จัดตอนฉันไม่อยู่นี่ล่อเข้าไปตีสอง แถมเสียงดังจนชาวบ้านเขาเรียกตำรวจ ฉันโดนผู้ดูแลด่าจนหูชาเลยรู้รึเปล่า”
     “ว้า น่าเสียดาย ฉันอุตส่าห์วางแผนสำหรับเทอมนี้แล้วเชียว” เควินแกล้งบ่น
     “เฮ้ย มันก็แค่ปาร์ตี้เองน่า” บาสเตียนเข้าข้างลูกฟลอร์เต็มที่
     “จัดได้ แต่ห้ามเสียงดัง ห้ามเลยเวลา ห้ามเกินเที่ยงคืน ห้ามเมาแล้วทำข้าวของเสียหายเด็ดขาด เข้าใจไหม” ฟิลิปกำชับเสียงแข็ง
     เควินยักไหล่ หันไปสบตากับชินจิที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว แต่พอยักคิ้วข้างหนึ่งให้ด้วยท่าทางกวน ๆ แทนคำตอบของคำถามเมื่อสักครู่ ชินจิก็รีบหันหน้าหนีไป ข้างตัวเขา อัตสึโตะที่ฟังฟิลิปพูดเร็ว ๆ โต้ตอบกับบาสเตียนและเควินไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรก็ยังจำต้องพึ่งมานูเอลที่คอยฟังแล้วสรุปคร่าว ๆ ให้เขาฟังอยู่ แต่ชายหนุ่มไม่เดือดร้อน เขากลับรู้สึกสนุกไม่น้อย
     ดู ๆ ไปแล้วฟลอร์ของเขานี่มันสุดยอดไปเลยนะ แล้วตอนนี้เขาก็รู้จักทุกคนในฟลอร์หมดแล้วด้วย เทอมนี้ก็น่าจะมีอะไรสนุก ๆ รอเขาอยู่อีกเยอะเลยล่ะ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 1 - update - 19.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 19-09-2014 20:39:59
โห แบบนี้ก็หาตัวคนที่จะอยู่
บนทางรักของอัตสึยากเลยนะ
เอ๊ะหรือว่าจะมีหลายคน ชักสงสัย
แอบสงสารมายะล่วงหน้าเลยได้มั้ย
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 1 - update - 19.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 20-09-2014 00:30:29
บทที่ 2

     ก่อนเปิดเทอมประมาณหนึ่งสัปดาห์ทางมหาวิทยาลัยได้จัดให้มีการพานักศึกษาใหม่เที่ยวชมรอบมหาวิทยาลัยซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่สมัครเข้ารับบริการ รวมทั้งอัตสึโตะและมายะ ความจริงอัตสึโตะไม่จำเป็นต้องไปก็ได้ เพราะมานูเอลพาเขาไปเดินรอบแคมปัสอัดเลอร์สโฮฟมารอบหนึ่งแล้ว แต่มายะยังไม่เคยไป เขาก็เลยต้องไปเป็นเพื่อน แต่เมื่อเขาชวนชินจิ รายนั้นกลับปฏิเสธ
     “ฉันไม่ได้เรียนที่แคมปัสอัดเลอร์สโฮฟ ฉันเรียนที่แคมปัสกลาง” ชินจิบอก ชายหนุ่มเรียนวรรณคดีเยอรมัน นักศึกษาสาขาวิชาพวกภาษา วรรณคดี สังคม ปรัชญา กฎหมาย พวกนี้จะเรียนที่แคมปัสกลางในตัวเมืองเบอร์ลินชั้นใน
     “เจ้าหน้าที่เขาจองที่พักให้ผิดน่ะ อาจจะเห็นว่ามาจากประเทศเดียวกับพวกนาย เขาก็เลยจองให้อยู่ด้วยกันซะเลย” ชินจิไม่เดือดร้อน การเดินทางจากแคมปัสอัดเลอร์สโฮฟไปยังแคมปัสกลางทำได้อย่างง่ายดาย แค่นั่งรถไฟเอสบาห์นหมายเลขแปดหรือหมายเลขเก้าไปลงที่สถานีโอสท์ครอยส์แล้วเปลี่ยนเป็นหมายเลขห้าไปลงที่สถานีถนนฟรีดริช จากนั้นเดินอีกประมาณสิบนาทีก็ถึงแล้ว
     ชายหนุ่มลาอัตสึโตะกับมายะที่สถานีเอสบาห์นอัดเลอร์สโฮฟ เขาสมัครรับบริการพาชมมหาวิทยาลัยในวันนี้เหมือนกัน แต่เป็นที่แคมปัสกลาง ส่วนอัตสึโตะกับมายะไปสมทบกับนักศึกษาคนอื่น ๆ ที่จุดนัดพบแถวสถานีนั่นเอง
     อัดเลอร์สโฮฟเป็นแคมปัสสำหรับนักศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นนักศึกษารุ่นพี่นี่เองพากลุ่มนักษาใหม่เดินชมและแนะนำสถานที่ต่าง ๆ ในบริเวณนี้
     มายะเรียนคณิตศาสตร์ เขาตื่นเต้นกับตึกของภาควิชามาก เป็นตึกแบบสมัยใหม่สีแดงเข้ม ติดกระจกใสเรียงต่อกันเป็นแถว ตรงส่วนที่เป็นสีแดง เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ จะเห็นว่าเป็นอิฐเรียงกันเป็นชั้น ด้านหน้าตึกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ส่วนที่เป็นอิฐสีแดงเข้มติดหน้าต่างกระจกสลับกับส่วนที่ตกแต่งด้วยแผ่นวัสดุใสเรียงกันจนเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ มองทะลุผ่านเข้าไปเห็นบันไดเวียนในอาคารได้
     อัตสึโตะชอบตึกภาควิชาฟิสิกส์ของเขาที่เป็นสีน้ำเงินเหมือนกัน หน้าตาตึกเหมือนเอากล่องสีฟ้ากับสีน้ำเงินมาวางซ้อน ๆ กัน แต่เขาไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนมายะ ตอนนี้เขาสนใจโรงอาหารของแคมปัสมากกว่า การพาชมสถานที่ใช้เวลาราว ๆ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง เมื่อเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็หิวพอดี เขากับมายะเข้าไปรับประทานอาหารที่โรงอาหารมหาวิทยาลัยหรือเรียกว่าเม็นซ่า โรงอาหารเป็นบริการพิเศษสำหรับนักศึกษาเพื่อให้สามารถซื้ออาหารได้ในราคาถูก คนทั่วไปก็สามารถเข้ามาใช้บริการได้ แต่จะต้องจ่ายค่าอาหารในราคาที่สูงกว่า รายการอาหารแต่ละวันติดไว้ด้านหน้าและสามารถเช็ครายการอาหารทั้งอาทิตย์ได้ในเว็บไซต์ของโรงอาหารแต่ละแห่ง
     โรงอาหารที่แคมปัสแห่งนี้ชื่อว่าเม็นซ่าโออาเซ่อ อัดเลอร์สโฮฟ เป็นโรงอาหารที่เพิ่งตกแต่งใหม่ให้สว่าง โล่ง และโปร่งมากขึ้น จัดวางโต๊ะและเก้าอี้หลายแบบ ทั้งแบบโต๊ะไม้ยาวธรรมดา แบบเคานท์เตอร์ริมหน้าต่าง หรือแบบโต๊ะบิวด์อินตัวยาวพร้อมเก้าอี้แบบสตูลสีสันสดใส อัตสึโตะกับมายะซื้อบัตรโรงอาหารเม็นซ่าการ์ดแล้วไปส่องรายการอาหาร
     มายะเลือกแล้วเลือกอีกก่อนลงท้ายด้วยซุปครีมมันฝรั่งใส่เห็ด พาสต้าซอสอาร์ทิโช้คกับพริก และแอปเปิ้ลชตรูเดลกินกับซอสวนิลา ส่วนอัตสึโตะ กวาดตามองครั้งเดียวก็เลือกรากูต์ไก่ใส่แอปริคอทรับประทานกับข้าว ส่วนของหวาน เขาเลือกมาทั้งพุดดิ้งและผลไม้กับครีมซึ่งมันอร่อยมากจนทำให้เขาติดใจ แล้วก็ไปแย่งเอาแอปเปิ้ลชตรูเดลของมายะมากิน เจ้าของก็ไม่ได้ว่าอะไร
     อัตสึโตะกินเสร็จก่อนเพราะไม่ได้ละเลียดกินอย่างเพื่อน ระหว่างรอมายะเขาก็หยิบโทรศัพท์มากดเล่นเกมไปเรื่อย ๆ จะคุยเล่นระหว่างรับประทานอาหารไม่ได้ มายะมันไม่ยอม
     “ใครส่งข้อความมา”
     มายะละเมิดกฎของตัวเองทันทีที่ได้ยินเสียงจากโทรศัพท์ของอัตสึโตะ
     “ชินจิส่งมา มันชวนไปกินเบียร์คืนนี้ บอกว่าคนอื่น ๆ ที่หอนัดกัน” อัตสึโตะตอบ

     ชินจิได้รับคำชวนไปกินเบียร์จากเควิน
     ชายหนุ่มมารอที่โถงตึกกลางซึ่งเป็นจุดนัดพบสำหรับการพาชมมหาวิทยาลัย แคมปัสกลาง ระหว่างที่รอคนอื่น ๆ เขาก็กวาดตามองไปรอบตัวด้วยความสนใจก่อนจะหยุดอยู่ที่บันไดหินอ่อนสีน้ำตาลแดงแทรกริ้วบาง ๆ สีขาวที่ตรงชานบันไดมีข้อความตัวสีทองติดอยู่
     คำพูดของนักปรัชญาคนสำคัญชาวเยอรมัน คาร์ล มาร์กซ์
     ชินจิฆ่าเวลาด้วยการอ่านมันแล้วพยายามหาคำแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นที่สละสลวย ก่อนที่จะเดินตามคนอื่น ๆ ไปเมื่อเจ้าหน้าที่ที่เป็นนักศึกษารุ่นพี่ส่งสัญญาณเรียก
     การชมแคมปัสกลางใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เจ้าหน้าที่พาเดินชมตึกคณะต่าง ๆ ทั้งที่เป็นตึกเก่าแก่สวยงามแบบยุคศิลปะบาร็อคและตึกสูงแบบสมัยใหม่ รวมทั้งพาชมโรงอาหาร คาเฟ่ และห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัยซึ่งมีดีไซน์ที่สวยงามแปลกตามาก ชินจิทึ่งกับตัวตึกที่เป็นแบบเรียบ ๆ สีเทาอ่อน ติดกระจกรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าบานยาวติด ๆ กัน เว้นช่องว่างระหว่างบานกระจกเพียงแคบ ๆ เท่านั้น ภายในยิ่งดูน่าทึ่งด้วยมีเสาไม้สีน้ำตาลต้นใหญ่เรียงกันไปเป็นตับโดยเว้นช่องว่างระหว่างเสาแต่ละต้นไว้พอสมควร ลักษณะเหมือนกรอบประตูหรือหน้าต่างที่ไม่มีบาน ข้างหลังเสาไม้สีน้ำตาลพวกนี้เป็นชั้นวางหนังสือสูงจรดเพดานบรรจุหนังสือเอาไว้เป็นล้าน ๆ เล่ม ปกติเขาไม่ชอบตึกสมัยใหม่ที่มีดีไซน์แปลกตา อย่างตึกสีขาวของคณะเขาที่จตุรัสเฮเกล มันดูไม่สวยเลย เขาชอบตึกเก่ามากกว่า น่าอิจฉาคนที่ได้เรียนในตึกแบบบาร็อคอย่างพวกที่เรียนกฎหมายจริง ๆ ตึกคณะนั้นเคยเป็นห้องสมุดเก่าของแคว้นปรัสเซีย สีน้ำตาลอ่อนสวยมาก
     “ถ่ายรูปซะเยอะ ชอบเหรอ”
     เสียงทักพร้อมกับมือของใครก็ไม่รู้มาจับที่ไหล่ทำให้ชินจิสะดุ้ง แต่เมื่อหันไปเห็นหน้าที่รู้จักก็โล่งอก
     “เควิน”
     เพื่อนร่วมหอพักและเพื่อนข้างห้องด้วยยิ้มให้ รอยยิ้มของเขาดูเหมือนแสยะนิด ๆ ที่ตอนแรกชินจิรู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไร แต่อยู่ ๆ ไปก็ชิน เพราะเควินยิ้มอย่างนี้ตลอด
     “ถ่ายแต่รูปตึกนี้ อยากมาเรียนกฎหมายกับฉันรึไง”
     “เปล่า แค่ตึกสวยดี ฉันชอบ” ชินจิพูด ก่อนจะถามด้วยความสงสัยว่า “แล้วนายมาที่นี่ทำไม นักศึกษาเก่าอย่างนายยังต้องมาเดินชมมหาวิทยาลัยอีกเหรอ”
     “มาเป็นเพื่อนเพื่อนน่ะ” เควินพยักพเยิดไปยังนักศึกษาชายสองสามคนที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่ห่างออกไปหน่อย กำลังสูบบุหรี่และพูดคุยกันเบา ๆ ชินจินิ่วหน้านิดหน่อย นึกตำหนิในใจว่าไม่น่าสูบบุหรี่ในเวลาแบบนี้เลย น่าจะรอให้การชมมหาวิทยาลัยจบเสียก่อน
     “เสร็จจากนี้แล้วนายไปไหนต่อ” เควินถาม
     “ไม่รู้สิ หาข้าวเที่ยงกินที่โรงอาหารมั้ง แล้วก็คงจะไปห้องสมุดต่อ”
     “เย็นนี้ล่ะ”
     “ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ”
     “ไปกินเบียร์กันไหม คนอื่น ๆ ที่หอเขาจะไปกัน ถ้านายสนใจ เย็นนี้ตอนทุ่มนึง”
     “ไปสิ” ชินจิตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดเลย ชายหนุ่มออกจะมีปมเรื่องเพื่อนอยู่นิดหน่อย เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คนที่มีมนุษยสัมพันธ์เท่าไร ออกจะเป็นคนเงียบ ๆ และขี้เหงาด้วยซ้ำ มาเรียนที่นี่ก็มาคนเดียว เพื่อนชาติเดียวกันที่รู้จักที่นี่อย่างอัตสึโตะหรือมายะก็ตัวติดกันเพราะรู้จักกันมาก่อน ส่วนเพื่อนต่างชาติที่จะต้องเรียนด้วยกัน ก็ไม่มีใครชวนเขาไปไหนสักคน ชายหนุ่มจึงเริ่มรู้สึกเหงาขึ้นมานิดหน่อย และคำชวนของเควินก็มาพอดี
     ชินจิมองเควินด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก
     “ฉันชวนอัตสึโตะกับเพื่อนไปด้วยได้ไหม”
     “ตามสบาย”
     เมื่อได้รับอนุญาต ชายหนุ่มจึงส่งข้อความหาอัตสึโตะกับมายะ

     ผับหรือคไนเปอเป็นร้านสำหรับคนไปดื่มเบียร์และนั่งคุยกัน บางแห่งอาจจะสั่งอาหารจำพวกสแน็คได้บ้าง แต่หลัก ๆ คือขายเบียร์และเครื่องดื่มอย่างอื่นโดยเฉพาะ อัตสึโตะ มายะ และชินจิตามคนอื่น ๆ เข้ามาในผับที่ไม่ไกลจากแคมปัสมากนัก เป็นร้านที่ตกแต่งสวยงามด้วยเครื่องประดับจำพวกแก้วและคริสตัล บนโต๊ะวางจานแก้วลอยเทียนที่จุดไฟสว่าง
     มันคงจะโรแมนติกดีอยู่หรอกถ้ามากับแฟนสองคน ไม่ใช่ผู้ชายทั้งโขยงมาดื่มเบียร์กันแบบนี้
     ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่มีเสียงใครสักคนบ่นพึม
     “ใครเลือกร้านวะ”
     แต่ทุกคนก็ขี้เกียจจะไปหาร้านใหม่เลยแยกย้ายกันนั่ง ชินจินั่งที่โต๊ะเดียวกับมายะและอัตสึโตะที่ฝ่ายหลังเป็นคนลากเพื่อนไปนั่งโต๊ะเดียวกับมานูเอล มายะหน้างอ แต่ก็ยอมตามใจ และเอาตัวเองไปนั่งคั่นกลางระหว่างอัตสึโตะกับมานูเอลไว้ ชินจินั่งลงที่เก้าอี้ข้างมานูเอลและแปลกใจนิดหน่อยที่เควินเลือกนั่งข้างเขา ส่วนเก้าอี้ตัวสุดท้ายที่โต๊ะเป็นของเจอโรม
     ชินจินึกว่าเควินกับเจอโรมจะไปนั่งโต๊ะเดียวกับบาสเตียนและลูคัสเสียอีกเพราะดูท่าทางสนิทสนมกันดี แต่ตอนนี้ที่โต๊ะตัวนั้นมีใครหลายคนที่เขาไม่รู้จักมานั่งด้วย คงจะอยู่คนละฟลอร์คนละตึกกัน เขาได้ยินมายะทักใครคนหนึ่งในโต๊ะนั้นแว่ว ๆ ได้ยินเรียกชื่อว่ามัทธีอัส
     เกือบทุกคนที่โต๊ะสั่งเบียร์ซึ่งเสิร์ฟมาในแก้วทรงสูง ชินจิเริ่มกังวลว่าเขาจะดื่มมันหมดหรือไม่
     คนเดียวที่ไม่สั่งเบียร์คืออัตสึโตะ เขาดื่มน้ำส้มแทนและไม่สนใจว่าใครจะล้อเลียนว่าเป็นเด็กด้วย
     “ไม่ชอบเบียร์” ชายหนุ่มประกาศ “กินกันเข้าไปได้ยังไง ไม่เห็นจะอร่อยเลย ขมก็ขม กินแล้วก็เมา เสียของ ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาสักนิด”
     “พูดได้เสียบรรยากาศมาก” เควินโคลงศีรษะ “แต่ไม่สนใจว่ะ”
     แล้วเขาก็คุยอย่างสนุกสนานกับเจอโรม ส่วนมานูเอลหันไปชวนอัตสึโตะว่า
     “ลองดื่มมอลต์เบียร์ไหม”
     “ก็อัตสึโตะมันบอกแล้วไงว่าไม่กินเบียร์” มายะแฟ่ดใส่ทันที แต่มานูเอลไม่สนใจ บอกต่อว่า
     “ไม่มีแอลกอฮอล์ อร่อยนะ”
     อัตสึโตะนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้า มานูเอลเป็นคนสั่งให้ เมื่อบริกรเอาขวดวีต้ามัลส์มาวางให้ ชายหนุ่มก็ส่งต่อให้อัตสึโตะ
     “อร่อยไหม” เขาถามเมื่อเห็นอัตสึโตะชิมไปหนึ่งอึก แล้วก็ดื่มต่ออีกอึกใหญ่ ๆ
     “หวาน อร่อยสุด ๆ เลย” อัตสึโตะตอบ และท่าทางจะถูกใจจริง ๆ เพราะหลังจากนั้นก็กระดกรวดเดียวจนหมดขวด หน้าตาอิ่มเอมเต็มที่
     มานูเอลยิ้ม บอกว่า
     “มาเยอรมันก็ควรจะกินเบียร์ และตอนนี้นายก็กินเบียร์ได้แล้ว ถือว่ามาถึงเยอรมันแล้ว”
     “โห เบียร์ยังงี้ชอบเลยล่ะ” อัตสึโตะหัวเราะชอบใจ
     มายะทำหน้าเซ็งสุดชีวิต
     ชินจินั่งดื่มเบียร์เงียบ ๆ ฟังเพื่อน ๆ คุยกัน แต่เขาไม่รู้สึกเหงา ขอแค่ได้เป็นส่วนหนึ่งในบรรยากาศสนุกสนานก็ดูจะเพียงพอแล้ว เขาได้ยินมายะถามถึงแฟนของมานูเอล ฝ่ายหลังก็เล่าให้ฟังว่าแฟนสาวของเขาชื่อคัธริน เรียนอยู่ที่ดืสเซลดอร์ฟ
     “เรียนไกลกันจังนะ ทำไมไม่ย้ายไปเรียนใกล้ ๆ กัน” มายะจิกกัดแบบหวังผล
     “ฉันมาจากรัฐนอร์ดไรน์เวสต์ฟาเล่นทางตะวันตก เกิดที่เกลเซ่นเคียเช่น เมืองแถว ๆ นั้นพวกดืสเซลดอร์ฟ เคิล์น บอนน์ ก็ไปเสียจนปรุ ฉันก็เลยเลือกมาเมืองทางด้านตะวันออกบ้าง มหาวิทยาลัยที่เบอร์ลินก็สุดยอดด้วย” มานูเอลตอบ
     ชินจิไม่ได้ยินว่ามายะหรืออัตสึโตะพูดอะไรต่อเพราะเควินหันมาถามเขาเสียก่อนว่า
     “นายล่ะ มีแฟนแล้วรึยัง”
     ชินจิสั่นศีรษะ
     “แล้วคิดจะมีแฟนเป็นคนต่างชาติไหม” เควินถามต่อ ชินจินิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนส่ายหน้า
     “ไม่ดีกว่า ถ้ามีแฟนต่างชาติ ก็จะต้องอยู่ไกลกัน ฉันไม่อยากให้เป็นยังงั้นเท่าไหร่ อยากอยู่ใกล้ ๆ กันมากกว่า”
     “งั้นเหรอ” เควินลากเสียง เขาสบตากับชินจิเมื่อพูดต่อว่า
     “แต่ถ้าเป็นฉันนะ ลองว่ารักแล้วล่ะก็ ฉันไม่สนใจเรื่องจะอยู่ใกล้กันหรือไม่ ระยะทางไม่ใช่ปัญหาสำหรับฉัน”
     ชินจิรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นอย่างผิดปกติ
     ก่อนกลับที่พักในคืนนั้น เควินประกาศว่าเขาจะจัดปาร์ตี้ครั้งแรกสำหรับเทอมนี้ในวันศุกร์ก่อนเปิดเรียน

     ปาร์ตี้สำหรับนักศึกษาที่จัดกันในฟลอร์ที่หอพักความจริงก็ไม่มีอะไรมากไปกว่ากินเบียร์ คุยกัน และเปิดเพลงเต้นรำ เพื่อน ๆ ก็ชักชวนกันมาเมื่อรู้ บางคนก็ไม่รู้จักเจ้าของงานหรอกแต่ตามเพื่อนมาและมาทำความรู้จักเพื่อนหน้าใหม่กันในงานนี้เอง เครื่องดื่มหรือของกินเล่นแกล้มเบียร์เอากันมาเอง หรือบางครั้งเจ้าของงานอาจจะเตรียมเอาไว้ให้บ้างก็แล้วแต่
     เควินเตรียมเบียร์เอาไว้ลังหนึ่งพร้อมกับกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เพื่อน ๆ ร่วมกันทำ
     ชายหนุ่มบอกว่าเขาไม่ได้ชวนใครมากนอกจากคนในฟลอร์กับเพื่อนคนอื่นอีกไม่กี่คนจึงจัดเป็นเครปปาร์ตี้ ให้ทุกคนได้ลองทำเครปแบบฝรั่งเศส เจอโรมเป็นคนผสมแป้งเครปและเตรียมแยม ช็อกโกแล็ต กับเนยถั่วไว้เป็นไส้เครป
     ชินจิมองเควินเทแป้งเครปลงกระทะด้วยความสนใจ เขาใช้ไฟอ่อนทอดเครปจนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ ทั่วทั้งแผ่นแล้วตักใส่จาน ไส้เลือกเป็นเนยถั่วทาทั่วแผ่น แล้วม้วนกัดกิน
     “ตาพวกนายแล้ว” เควินพูด ทำท่าจะส่งตะหลิวให้อัตสึโตะ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ หันไปยื่นให้ชินจิแทน แล้วดึงแขนมาที่หน้าเตา
     มาโกโตะที่ถูกชวนมาด้วยหัวเราะเบา ๆ กับเอย์จิ
     “ดีนะที่มันเปลี่ยนใจส่งให้ชินจิเป็นคนแรก ถ้ามันให้อัตสึโตะทำ มีหวังเละเทะ”
     “โห นินทา ผมก็ทำได้เหอะ” อัตสึโตะหน้าคว่ำ
     การจัดปาร์ตี้ทำให้รู้ความสัมพันธ์ของคน ในฟลอร์นี้ก็มีคู่รักอยู่หลายคู่ ไม่นับคู่รักคู่จิ้นที่ไม่รู้ว่าจริงหรือแกล้งอย่างบาสเตียนกับลูคัส คู่รักที่เปิดเผยแบบโจ่งแจ้งที่สุดชนิดไม่ต้องเดาคือมาร์โคกับมาริโอ้ มีการป้อนเครปกันกุ๊กกิ๊ก และตอนนี้ก็เปลี่ยนมาจูบกันอย่างดูดดื่มแล้ว
     ไม่มีใครสนใจอาการของคู่รักเพราะเป็นเรื่องธรรมดา เดินตามถนนยังเห็นคนกอดจูบกันให้เกร่อ แต่อัตสึโตะก็อดชำเลืองมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ แล้วเขาก็พลอยสังเกตคนอื่น ๆ ไปด้วย
     “นายว่าคู่นั้นอะ เป็นแฟนกันไหม” ชายหนุ่มใช้ศอกกระทุ้งแขนมายะที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พยักพเยิดไปทางหน้าต่างครัวที่เอริคกับมัตส์กำลังยืนคุยกันประหนึ่งมีกันแค่สองคนในโลก
     “ไม่รู้สิ นายอยู่ฟลอร์นี้ เคยเห็นเขาจูบกันไหมล่ะ” มายะถามเหมือนต่อบทสนทนาแค่นั้น สายตาเขาไม่ได้มองไปทางเดียวกับอัตสึโตะ แต่มองไปที่เตาที่ขณะนี้เจอโรมกำลังสอนเพื่อนที่มายะไม่คุ้นหน้าคนหนึ่งทำเครปอยู่
     “ก็ไม่นะ” อัตสึโตะส่ายหน้า
     “อ๊ะ เตาว่างแล้ว นายเอาเครปไหมอัตสึโตะ ฉันจะไปทำให้”
     “เอาสิ เอาหลาย ๆ แผ่นเลยนะ” อัตสึโตะสั่ง แล้วพอมายะกระวีกระวาดไปที่เตา เขาก็หนีบมาโกโตะกับเอย์จิไปหามานูเอลที่เพิ่งเดินเข้ามาในครัวและนั่งลงคุยกับฟิลิป
     “มานูเอล นี่รุ่นพี่ของฉันชื่อมาโกโตะกับเอย์จิ ส่วนนี่เพื่อนผม ชื่อมานูเอลกับฟิลิปครับ”
     อัตสึโตะแนะนำ ทั้งหมดจับมือกัน มาโกโตะกับเอย์จิพิจารณามานูเอลเป็นพิเศษเพราะรุ่นน้องพูดถึงไว้มากเหลือเกินด้วยความชื่นชม เพิ่งได้เห็นตัวจริงก็วันนี้เอง
     “เจ้าอัตสึโตะชมนายไม่ขาดปาก บอกว่านายใจดีมาก” มาโกโตะพูด มานูเอลมีท่าทีเขิน ๆ แต่ก็ตอบอย่างถ่อมตัวว่าเขาแค่ทำในสิ่งที่ควรจะทำเท่านั้น
     “เครปมาแล้วอัตสึโตะ”
     เสียงมายะดังมาก่อน แล้วก็วางจานเครปที่ทอดอย่างสวยงามลงบนโต๊ะพร้อมกับเบียดตัวแทรกเข้าไปตรงกลางระหว่างอัตสึโตะกับมานูเอลที่นั่งติดกันอยู่บนโซฟา อัตสึโตะกระเถิบตัวโดยอัตโนมัติและไปเบียดมาโกโตะที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
     “เบียดมาทำไมวะมายะ ที่มีตั้งกว้าง ไปเอาเก้าอี้มานั่งให้มันดี ๆ สิ” รุ่นพี่ของเขาบ่น
     “ผมจะนั่งตรงนี้นี่” มายะดื้อแพ่ง “อัตสึโตะ เอาไส้เครปเป็นอะไร เดี๋ยวฉันทาให้”
     “แยมก็ได้” อัตสึโตะตอบ ก่อนจะหันไปชวนมานูเอล “กินเครปด้วยกันนะมานูเอล มายะทำมาตั้งเยอะแน่ะ”
     คนถูกชวนลังเล เพราะเห็นชัดว่ามายะตั้งใจทำมาให้ใคร
     “กินเหอะ มายะทำมาตั้งขนาดนี้ เจ้าอัตสึโตะมันกินคนเดียวไม่หมดหรอก” มาโกโตะคะยั้นคะยอมาอีกคนหนึ่ง มานูเอลจึงรับจานเครปมา เขาทาช็อกโกแล็ตนูเทลล่าลงไปจนชุ่มทั้งแผ่นแล้วม้วนกิน
     “มันอร่อยเหรอแบบนั้น”
     อัตสึโตะถามเมื่อเห็นเครปชุ่มช็อกโกแล็ตในมือเพื่อนหมดไปทีเดียวเกือบครึ่ง ส่วนเครปไส้แยมในมือเขานั้นไม่ค่อยถูกใจเท่าไร
     มานูเอลพยักหน้า ก่อนจะเหวอไปเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ อัตสึโตะก็พูดว่า
     “งั้นขอชิมหน่อยนะ” แล้วก็โน้มตัวข้ามหน้ามายะมาจับมือเขาที่ถือเครปอยู่ให้ป้อนเครปเข้าปากตัวเอง
     “อร่อยจริง ๆ ด้วยล่ะ” อัตสึโตะพูดอย่างพอใจ
     มายะแทบอยากจะดิ้นตายเดี๋ยวนั้นเมื่อเห็น เขาดึงมืออัตสึโตะออกจากมือไอ้หมียักษ์ตัวใหญ่แต่ดันชอบกินนูเทลล่าเหมือนเด็ก ๆ ทันที พลางเอ็ดว่า
     “ถ้าอยากลองกินทำไมไม่บอกฉัน เดี๋ยวจะทำให้ ไม่เห็นต้องไปแย่งของคนอื่นกินเลย”
     “แค่ชิมหน่อยเดียวเอง อยากรู้ว่ามันรสชาติเป็นไง ถ้าให้นายทาให้ทั้งแผ่น เกิดมันไม่อร่อยก็เสียของแย่สิ” อัตสึโตะเถียง
     มานูเอลยังพูดไม่ออก และเขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมหัวใจของเขามันเต้นตึกตักผิดจังหวะอย่างนี้ ขณะที่เอย์จิกับมาโกโตะส่ายหน้า ปรามว่า
     “อย่าทะเลาะกันน่า”
     ตอนนั้นเองชินจิก็เดินมาพร้อมกับจานเครปและถ้วยที่ใส่ซอสครีมเห็ด มีเควินเดินตามมาข้างหลัง ชายหนุ่มวางจานกับถ้วยลงตรงหน้าทุกคน แล้วบอกว่า
     “ลองชิมเครปกับซอสครีมเห็ดหน่อยนะครับทุกคน เควินสอนผมทำเมื่อกี้นี้เอง”
     ฟิลิปมองชินจิก่อนจะชำเลืองมองเควินที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเก้าอี้ของเขา เปรยลอย ๆ ว่า
     “คืนนี้นายทำตัวดีนะเควิน”
     “รับรองว่าไม่ทำให้กัปตันผิดหวังแน่นอนครับ และปาร์ตี้วันนี้จะเลิกแค่สี่ทุ่มเท่านั้น”
     “ก็ขอให้มันเป็นแบบนี้ไปให้ตลอดก็แล้วกัน” ฟิลิปพึมพำ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 2 - update - 20.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 21-09-2014 01:45:18
     มหาวิทยาลัยเปิดเทอมในอีกสองวันถัดมา อัตสึโตะยุ่งกับการเลือกวิชาเรียน ความจริงนักศึกษาแลกเปลี่ยนเทอมเดียวอย่างเขาไม่ต้องลงเรียนมากมายอะไรก็ได้ ชายหนุ่มอยากเรียนวิชาของคณะ แต่ก็ลังเลว่าจะลงเรียนคอร์สภาษาด้วยดีไหม กลัวว่าถ้าลงเรียนเยอะ เขาก็จะเหนื่อยเกินไป
     อาจารย์ผู้ดูแลนักศึกษาต่างชาติของคณะซึ่งเป็นคนที่ทางคณะที่ญี่ปุ่นติดต่อประสานงานด้วยแนะนำให้เขาลงเรียนคอร์สปรับพื้นฐานคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการเรียนฟิสิกส์ เป็นคอร์สสั้น ๆ ที่จะทำให้ทราบว่าการเรียนการสอนที่นี่เป็นอย่างไรและยังจะได้รู้จักเพื่อน ๆ ในชั้นปีเดียวกันด้วย อัตสึโตะก็เลือกตามนั้น และคิดว่าจะลงเรียนวิชาของคณะเพิ่มอีกสองวิชาคือการใช้คอมพิวเตอร์ในวิชาฟิสิกส์และวิธีการทางคณิตศาสตร์ในวิชาฟิสิกส์
     อัตสึโตะเคาะประตูห้องที่ติดป้ายชื่อไว้ว่า „Löwenhertz“ ซึ่งเป็นห้องทำงานของอาจารย์ผู้ดูแลนักศึกษาต่างชาติอย่างเขา เมื่อได้รับอนุญาต เขาก็เปิดประตูเข้าไป
     “อ้าว มานูเอล” อัตสึโตะแปลกใจที่เจอร่างสูงใหญ่ของเพื่อนร่วมฟลอร์ของเขาอยู่ในห้องด้วย
     “นี่รู้จักกันแล้วเหรอ ดีเลย จะได้ไม่ต้องแนะนำมาก” แฮร์เลอเว่นแฮร์ตส์พูดด้วยความยินดี อาจารย์ของอัตสึโตะเป็นหนุ่มใหญ่วัยประมาณห้าสิบปีที่ยังดูดีกว่าอายุจริงมาก ผมสีเข้มของเขามีเส้นสีขาวปนอยู่ หุ่นสูงและสมาร์ทราวกับนายแบบ ยิ่งใส่สูทสีเข้มยิ่งดูเท่ชนิดที่ถ้ามีใครบอกว่าแฮร์เลอเว่นแฮร์ตส์ทำงานนอกเวลาเป็นนายแบบ อัตสึโตะก็เชื่อ
     “อัตสึโตะอยู่หอพักเดียวกับผมครับ ห้องเราอยู่ติดกัน” มานูเอลตอบ
     “เยี่ยมเลย อัตสึโตะ มานูเอลจะเป็นติวเตอร์ให้คุณตลอดเวลาที่คุณเรียนอยู่ที่นี่” อาจารย์หนุ่มใหญ่แจ้งให้อัตสึโตะทราบ
     สำหรับนักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาเรียนใหม่ คณะมักจะจัดติวเตอร์ซึ่งอาจจะเป็นนักศึกษารุ่นพี่หรืออาจารย์เอาไว้ให้ในเทอมแรก ๆ เพื่อช่วยเรื่องเรียน แต่ใครจะไม่เอาก็ได้
     อัตสึโตะรู้สึกดีใจที่ติวเตอร์ของเขาคือคนคุ้นหน้าอย่างมานูเอล
     เมื่อออกมาจากห้องอาจารย์ ชายหนุ่มก็เขย่งตัวขึ้นกอดคอติวเตอร์คนใหม่ของเขา
     “โชคดีจังที่ติวเตอร์ของฉันคือนาย”
     มานูเอลปลดมือของอัตสึโตะออกจากไหล่เขาอย่างนุ่มนวล แล้วถามถึงวิชาที่เลือกจะลง อัตสึโตะส่งกระดาษจดชื่อรายวิชาให้ดู ชายหนุ่มไม่มีอะไรขัดข้อง แต่เขาแนะนำให้อัตสึโตะลงเรียนคอร์สภาษาเพิ่มอีกสองคอร์ส
     “ไม่ลงได้ไหมอะ เรียนไวยากรณ์กับการสนทนาไม่เห็นจะสนุกเลย” อัตสึโตะงอแง
     “แต่มันมีประโยชน์นะ สองคอร์สนี้เป็นคอร์สเบื้องต้น ไม่ยากหรอก นายจะได้เข้าใจภาษาเยอรมันมากขึ้นไง” มานูเอลพยายามกล่อม
     “แต่ฉันว่าไม่เข้าใจไว้มันสนุกกว่าอีก ใช้ภาษามือแทนเอา แบบนี้ไง ไม่เอาไม่ชอบ” อัตสึโตะยกสองแขนไขว้กันเป็นรูปกากบาทและย้ำซ้ำด้วยการส่ายหน้าแรง ๆ
     “นายนี่บ้าจริง ๆ” มานูเอลโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ แต่ไม่ยอมตามใจอัตสึโตะ
     “งั้นลงไวยากรณ์คอร์สเดียวได้ไหมล่ะ ไม่อยากลงคอร์สสนทนาอะ ฉันก็พูดกับนายทุกวันอยู่แล้วนี่” อัตสึโตะต่อรอง
     “แต่นายจะได้ฝึกพูดกับคนเยอะ ๆ นะ”
     “ไม่เอา พูดกับนายคนเดียวก็พอแล้ว นะมานูเอล ให้ฉันลงไวยากรณ์คอร์สเดียวนะ แล้วนายสอนฉันพูด ตกลงนะ”
     มานูเอลใจอ่อนกับลูกอ้อนของอัตสึโตะในที่สุด

     มายะแทบเต้นเมื่อรู้ว่าอัตสึโตะจะเรียนภาษาเยอรมันกับมานูเอล แค่เวลาเรียนของเขาไม่ตรงกับอัตสึโตะก็เซ็งพออยู่แล้ว ชายหนุ่มลงสองวิชาเหมือนกัน เรียนวันอังคารตอนบ่ายกับวันพุธตอนเช้า สลับเวลากับอัตสึโตะโดยสิ้นเชิง หมอนั่นเรียนอังคารเช้ากับพุธบ่าย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาคิดว่าสวรรค์กลั่นแกล้งเขาได้อย่างไร แถมสวรรค์ยังกระหน่ำซ้ำเติมเขาด้วยการให้ไอ้หมียักษ์นูเทลล่ามาเป็นติวเตอร์ให้อัตสึโตะของเขาเสียอีก
     ชายหนุ่มไม่ยอมแพ้ เขาลงเรียนไวยากรณ์ภาษาเยอรมันคอร์สเดียวกับอัตสึโตะในวันศุกร์และอาศัยความหน้าด้านตามมาขอเรียนกับมานูเอลในตอนเย็นวันพุธด้วย
     “ฉันอยากเรียนด้วย ฉันก็อยากพูดภาษาเยอรมันเก่ง ๆ เหมือนกัน” มายะยืนยัน แม้ว่าอัตสึโตะจะคัดค้านด้วยความเกรงใจมานูเอล แต่มายะก็ไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายมานูเอลก็ต้องออกโรงไกล่เกลี่ย ตัวเขาเองไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วถ้าจะมีนักเรียนเพิ่มอีกหนึ่งคน และอันที่จริง มีนักเรียนหลายคนสิยิ่งจะดี จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน การเรียนจะได้สนุกขึ้น
     “แต่เวลาเรียนอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ มายะเรียนตอนเช้า ต้องรอหลายชั่วโมง อยากจะเปลี่ยนเวลาใหม่ไหม” มานูเอลเป็นห่วง
     “ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก เวลานี้ดีแล้ว ฉันไม่อยากให้นายยุ่งยากนะมานูเอล ส่วนนาย ถ้าอยากจะเรียนก็ต้องรอ รอได้ใช่ไหมมายะ”
     อัตสึโตะจ้องหน้าเพื่อนเขม็งและมายะไม่กล้าคัดค้านหรือมีปัญหาอะไรทั้งนั้น
     ดังนั้นทุกวันพุธตอนเย็นในคาเฟ่โออาเซ่อที่อยู่ในบริเวณตึกสีแดงเข้มของภาควิชาคณิตศาสตร์อัตสึโตะและมายะจะนั่งเรียนภาษาเยอรมันรวมทั้งติววิชาเรียนที่พวกเขาไม่เข้าใจอยู่กับมานูเอลจนถึงเวลาคาเฟ่ปิดในตอนห้าโมงครึ่ง

     ถ้าไม่นับเรื่องเรียน นักศึกษาอย่างพวกอัตสึโตะก็มีกิจกรรมอื่นทำกันอีกเยอะมาก นอกจากเฮาส์ปาร์ตี้ที่นักศึกษาจัดกันเองแล้ว ทางองค์กรนักศึกษาของเมืองก็ยังขยันจัดกิจกรรมเสียเหลือเกิน และที่กำลังจะมาถึงคือ Stammtisch เป็นกิจกรรมที่ให้นักศึกษาแต่ละประเทศทำอาหารประจำชาติให้เพื่อน ๆ จากประเทศอื่นได้ชิม
     งานเลี้ยงอาหารประจำชาติครั้งแรกของเทอมนี้หวยออกที่ประเทศญี่ปุ่น
     แม่งานคือมายะเพราะทำอาหารเก่งที่สุด เขาดึงชินจิมาช่วยอีกแรง ส่วนอัตสึโตะเป็นได้แค่แรงงานช่วยขนของเท่านั้นสำหรับงานนี้
     เมนูอาหารก็เลือกเอาที่ไม่ยุ่งยากจนเกินไปและทุกคนรู้จักกันดีคือซูชิ เน้นไปที่มากิซูชิซึ่งก็คือข้าวห่อสาหร่าย รวมทั้งฟุโตมากิซึ่งม้วนเป็นแท่งโต ๆ และเทมากิซึ่งจะม้วนสาหร่ายเป็นรูปกรวย ไม่เอานิงิริซูชิซึ่งเป็นชิ้นปลาดิบแปะอยู่บนก้อนข้าว เพราะไม่อยากกังวลเรื่องวัตถุดิบและการเก็บรักษา นอกจากซูชิก็ยังมีไก่คาราอะเกะ ไข่ม้วน ซุปมิโสะ และข้าวสวยร้อน ๆ
     มายะกับชินจิอยากจะลองทำกันดูก่อน ทั้งสองคนจึงชวนกันไปซื้อของและมาทดลองทำกันที่ครัวในฟลอร์ของชินจิกับอัตสึโตะ
     “ฉันช่วยเอาไหม” มานูเอลอาสาเมื่อเปิดประตูห้องมาเจอ
     “ทำเป็นเหรอ แค่นจะช่วย” มายะจิกกัด
     “ไม่เป็น ฉันเคยกินซูชิ แต่ยังไม่เคยลองทำ ดูน่าสนใจดีนะ” มานูเอลว่า
     “เอาสิ มีคนมาช่วยก็ดีเหมือนกัน ขอบใจนะ” ชินจิยิ้มรับ และอัตสึโตะปลดผ้ากันเปื้อนที่ตัวเองใส่อยู่ส่งไปให้มานูเอล
     “เราก็เริ่มจากหุงข้าวกันก่อน” มายะพูด และถึงปากจะจิกกัด แต่ชายหนุ่มก็อธิบายให้มานูเอลที่ตั้งใจฟังเป็นอย่างดีว่าการหุงข้าวทำซูชินั้นควรต้องใส่อะไรบ้าง ชินจิเริ่มทอดไข่ม้วน ส่วนอัตสึโตะหั่นแตงกวา ปูอัด เนื้อปลาโอเป็นแท่งยาว ๆ เตรียมทำเป็นไส้ซูชิ
     “ลองทอดไข่ม้วนดูไหมมานูเอล” ชินจิชวนซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ขัดข้อง เขาตั้งอกตั้งใจใช้ตะเกียบม้วนไข่ที่ทอดจนเป็นสีเหลืองสวยบนกระทะ แม้จะทุลักทุเลสักนิด แต่ก็ม้วนสำเร็จจนได้
     “มานูเอลนี่เก่งเหมือนกันนะ” ชินจิชมกับอัตสึโตะที่ยังตั้งหน้าตั้งตาหั่นไส้ซูชิ ส่วนมายะที่หุงข้าวเสร็จแล้วและกำลังหั่นไก่เตรียมหมักร้องฮึอยู่ในลำคอด้วยความไม่สบอารมณ์
     ไข่ม้วนเสร็จแล้ว ชินจิตัดส่วนหนึ่งแบ่งออกเป็นท่อน ๆ เรียงใส่จาน ที่เหลือให้อัตสึโตะหั่นเป็นแท่งยาวเตรียมทำเป็นไส้ซูชิ เมื่อข้าวหุงสุกก็เตรียมม้วนข้าวกับสาหร่ายทำเป็นซูชิ
     มายะเป็นคนสอนมานูเอลห่อซูชิ พร้อมกับกระซิบจิกกัดเมื่อชายหนุ่มห่อเบี้ยว ก่อนจะปิดปากฉับเมื่ออัตสึโตะเงยหน้าจากเขียงขึ้นมามองทั้งสองคนด้วยความสงสัย
     “ไก่คาราอะเกะเสร็จแล้ว เป็นไงมั่ง ควรให้สุกกว่านี้อีกไหม” ชินจิเป็นคนเอาไก่ที่มายะหมักเตรียมไว้ให้พร้อมไปทอด อัตสึโตะใช้ตะเกียบคีบชิ้นไก่สีน้ำตาลขึ้นมาชิมก่อนชูนิ้วโป้งให้
     “ฉันว่าใช้ได้แล้วนะ หรือว่ายังไง” อัตสึโตะคีบไก่ป้อนทั้งมายะและมานูเอลที่มือเปื้อนข้าว ทั้งสองคนก็ยืนยันว่าใช้ได้แล้ว
     มายะละมือจากซูชิไปทำซุปมิโสะ ปล่อยให้อัตสึโตะกับมานูเอลบรรเลงซูชิกันไปตามลำพัง แน่นอนล่ะว่าออกมาบูด ๆ เบี้ยว ๆ แต่เมื่อตัดออกมาเป็นชิ้น มันก็ไม่ได้ดูแย่จนเกินไป
     อาหารเย็นของทั้งสี่คนในวันนี้จึงเป็นอาหารญี่ปุ่นที่ทดลองทำเพื่องานเลี้ยงอาหารประจำชาติ
     มานูเอลชิมไก่คาราอะเกะ ซุปมิโสะ ไข่ม้วน แต่เขาบอกว่าชอบซูชิที่สุด
     “เพราะฉันเป็นคนทำเอง” ชายหนุ่มร่างใหญ่พูดด้วยความภูมิใจ
     “นายทำตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” มายะสงสัย
     “ก็ฉันม้วนไง ถือว่าทำเหมือนกัน” มานูเอลโต้
     “เฮอะ ได้ข่าวว่าฉันเป็นคนผสมข้าว ซูชิจะอร่อยหรือไม่มันอยู่ที่ข้าวโว้ย” มายะไม่ให้เครดิต
     ทั้งสี่คนคุยกันไปรับประทานอาหารไปอย่างครื้นเครง แม้ว่ามายะจะบ่นกระปอดกระแปดไม่อยากให้พูดไปกินไปเพราะมันเสียมารยาทก็ตาม
     ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในครัวเงียบ ๆ ชินจิเห็นจากหางตาก็เลยหันไปมอง แล้วก็ยิ้มเมื่อเห็นว่าเป็นเควิน
     “กินข้าวด้วยกันไหม” ชินจิชวน
     เควินกวาดตามองอาหารหน้าตาแปลกตาบนโต๊ะแวบหนึ่งก่อนส่ายหน้า
     “ไม่ดีกว่า ฉันแค่กะจะมาชวนพวกนายไปคลับรูม วันนี้วันอังคาร เบียร์ลดครึ่งราคา”
     ที่หอพักมีคลับรูม เป็นเหมือนกับผับ คือมีบาร์เครื่องดื่มที่ขายให้นักศึกษาในราคาถูก และมีของเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น โต๊ะฟุตบอลมือหมุน เกมกระดาน และกระดานปาเป้า คลับรูมเรียกลูกค้าด้วยการลดราคาเบียร์ครึ่งหนึ่งทุกวันอังคารและพฤหัสบดี
     ชินจิสนใจ คนอื่น ๆ ก็ไม่มีอะไรขัดข้อง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จและเก็บล้างเรียบร้อย ทั้งหมดก็ย้ายไปที่คลับรูมซึ่งเป็นห้องกว้าง มีบาร์เครื่องดื่มอยู่ทางซ้ายมือใกล้ประตูทางเข้า มุมห้องด้านในถัดจากบาร์เครื่องดื่มวางโต๊ะฟุตบอลมือหมุน ด้านตรงกันข้ามยกพื้นเป็นเวทีเล็ก ๆ ใกล้กันเป็นโต๊ะขนาดนั่งได้สักหกคนและชั้นเล็ก ๆ วางหนังสือนิตยสารและเกมกระดานชนิดต่าง ๆ
     มายะกับเควินเป็นคนไปซื้อเบียร์มาให้ทุกคน ยกเว้นอัตสึโตะที่ดื่มมอลต์เบียร์
     “เล่นเกมเศรษฐีกันนะ” อัตสึโตะถูไม้ถูมือ มายะตามใจเพื่อนอยู่แล้ว มานูเอลไม่มีปัญหา แต่เควินสะกิดชินจิให้ลุกไปเล่นเกมปาเป้ากับเขา
     “เคยเล่นรึเปล่า” เควินถาม เมื่อเห็นเควินมองเขาทดลองปาลูกดอกอย่างสนใจ
     ชินจิสั่นศีรษะ ลูกดอกของเขาเมื่อปาไปแล้วมันกลับไม่ปักที่กระดานกลม ๆ แต่เด้งหล่นลงพื้นทุกครั้งไป
     “ไม่ต้องปาแรง กะน้ำหนักให้พอดี ๆ อย่างนี้”
     เควินพูดแล้วก้าวมาซ้อนหลังชินจิ มือจับลงบนมืออีกฝ่ายที่ถือลูกดอกไว้ แล้วจับมือชินจิให้ปาลูกดอกไป
     “ได้แล้ว” ชินจิเผลอร้องอุทานด้วยความยินดีเมื่อเห็นลูกดอกติดอยู่บนกระดานในที่สุด เขาหันไปจะขอบคุณชายหนุ่ม แล้วก็พบว่าใบหน้าของเขาอยู่ใกล้กับใบหน้าของเควินมากจนจมูกเกือบจะชนกัน
     หัวใจของชินจิเต้นแรงและเขารู้สึกว่าใบหน้าของเขาร้อนผ่าว ชินจิถอยห่างออกมาก้าวหนึ่งโดยอัตโนมัติ
     เควินไม่แสดงทีท่าอะไร ชายหนุ่มทำตัวเป็นปกติ หยิบลูกดอกอันใหม่มาส่งให้ แล้วชวนด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า
     “ลองดูอีกครั้งไหม”

     วันเสาร์แรกที่มาโกโตะและเอย์จิว่างพร้อมกัน ทั้งคู่ก็โทรศัพท์ชวนรุ่นน้องให้มาเที่ยวชมตัวเมืองเบอร์ลินชั้นใน อัตสึโตะชวนชินจิไปด้วยกัน ใจจริงอยากจะชวนมานูเอลไปด้วยอีกคน แต่มายะเบรกเขาเอาไว้ก่อน
     “หมอนั่นมันมาเรียนอยู่ที่นี่ตั้งนาน มันคงไปจนเบื่อแล้วล่ะ อย่าไปชวนมันให้เสียเวลาเลย”
     อัตสึโตะคิดไปคิดมาก็เห็นด้วยกับมายะจึงไม่ได้ชวนมานูเอล
     มาโกโตะกับเอย์จินัดให้ทุกคนมาเจอกันที่หอพักบนถนนโมลวิทซ์ก่อน ชินจิยังไม่เคยมาที่หอพักแห่งนี้ เขาจึงชอบใจมากเมื่อเห็นหมู่ตึกสูงที่มีไม้เลื้อยสีเขียวอ่อนสดใสเกาะไปทั่วผนังสีเทาขรึม
     “หอพักของรุ่นพี่สวยมากเลย สวยกว่าหอพักเราที่อัดเลอร์สโฮฟอีกเนอะ” ชายหนุ่มพูดกับอัตสึโตะ
     “แพงกว่าก็ต้องสวยกว่าเป็นธรรมดาแหละ” อัตสึโตะตอบ
     รุ่นพี่ทั้งสองเดินลงมารับที่หน้าประตู มาโกโตะบอกให้ขึ้นไปดื่มชาสักถ้วยที่ห้องของเขากันก่อนแล้วค่อยออกไปเที่ยว อัตสึโตะฟังแล้วโวยทันที
     “นี่คุณแกล้งนัดพวกผมก่อนเวลาอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย”
     “ก็ฉันคิดว่าพวกนายจะมาช้ากว่านี้” มาโกโตะพูดหน้าตาเฉย
     กิตติศัพท์เรื่องนัดก่อนเวลาของมาโกโตะเป็นที่เลื่องลือ ชายหนุ่มเป็นคนที่วางแผนทุกเรื่องเอาไว้เป็นอย่างดีก่อนที่จะลงมือทำอะไร ดังนั้นจึงไม่ชอบใจเลยหากนัดใครแล้วคนนั้นมาสายจนทำให้แผนการที่วางไว้เป็นอย่างดีผิดพลาดไป เขาจึงถือคติว่า รอดีกว่าสาย เวลานัดใครจึงนัดก่อนเวลาจริงตลอด แต่บางครั้งมันก็มากเกินไปนะ อัตสึโตะจำได้ว่าเขาเคยต้องมาแกร่วรอแบบนี้แหละถึงสองชั่วโมงเต็ม
     “ซวยชะมัด!” เสียงมาโกโตะสบถเมื่อเห็นร่างสูงเพรียวของผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูหน้าตึก
     “ใครครับเอย์จิซัง” อัตสึโตะกระซิบถาม เมื่อได้ยินมาโกโตะที่เดินนำอยู่ข้างหน้าสบถแว่ว ๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น คนที่เพิ่งเดินออกมาที่เขาเห็นเป็นผู้ชายหน้าตาหล่อเหลา ผมสีน้ำตาลตัดสั้น สวมแว่นกันแดดสีดำ ผ้าพันคอพันหลวม ๆ สวมชุดกันหนาวยี่ห้อดี ท่าทางเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อัตสึโตะคิดว่าเขาเห็นภาพสะท้อนของมาโกโตะจากผู้ชายคนนี้ และเมื่อผู้ชายสองคนที่ดูเนี้ยบด้วยกันทั้งคู่เดินมาประจันหน้ากัน ทั้งคู่ก็มองกันและกันอย่างหยั่งเชิง ก่อนจะเมินใส่กันแล้วแยกกันไปคนละทาง
     “คุณชายโทนี่” เอย์จิตอบยิ้ม ๆ และชายหนุ่มไม่มีอคติกับคนที่พูดถึงเหมือนมาโกโตะ ดังนั้นเมื่อโทนี่เดินสวนมา เอย์จิก็ทัก และชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณชายทักตอบอย่างสุภาพพร้อมกับทักเลยมาถึงอัตสึโตะ มายะและชินจิด้วย
     “ถูกเรียกว่าเป็นคุณชายเพราะมันเนี้ยบทุกกระเบียดนี่แหละ” เอย์จิอธิบายเมื่อคล้อยหลังโทนี่ไปแล้ว
     อัตสึโตะเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเพราะการพูดและท่าก้มศีรษะทักทายของโทนี่นั้นดูสง่างามราวกับเป็นคุณชายจริง ๆ
     “สุดยอด โคตรเท่เลย ผมอยากเท่ยังงั้นมั่งจัง” อัตสึโตะชื่นชม
     “ถ้านายเลิกแต่งตัวอย่างที่แต่งอยู่ตอนนี้ได้เมื่อไหร่เดี๋ยวก็เท่เหมือนโทนี่มันเองแหละ”
     เอย์จิพูด วันนี้รุ่นน้องของเขาแต่งตัวได้แนวมาก คือแนวหายนะทางแฟชั่นอย่างรุนแรง เสื้อเสว็ตเตอร์ลายทางทับเสื้อเชิ้ตลายสก็อต เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวมันหยิบส่ง ๆ มาใส่โดยไม่ได้คำนึงว่ามันจะเข้ากันหรือไม่
     “ทำไมมาโกโตะซังไม่ชอบโทนี่ล่ะครับ” ชินจิสงสัย
     “หมั่นไส้ไงที่มาเนี้ยบเป็นคุณชายเกินหน้าเกินตามัน” เอย์จิตอบหน้าตาเฉย

     แผนเที่ยวที่มาโกโตะวางไว้เริ่มจากปราสาทชาร์ล็อตเท่นบวร์กที่ใกล้หอพักที่สุดก่อนซึ่งเป็นปราสาทที่ใหญ่โตและเก่าแก่ย้อนไปถึงสมัยปลายศตวรรษที่สิบเจ็ด ปราสาทแห่งนี้สร้างในแบบศิลปะยุคบาร็อค ตามข้อมูลในหนังสือนำเที่ยวบอกว่าเป็นอาคารสองชั้นครึ่งแผ่ออกเป็นปีกซ้ายและขวา แต่อัตสึโตะมองอย่างไรก็นับได้สองชั้น ชั้นบนสีไข่ไก่อ่อนจาง ชั้นล่างสีเข้มกว่าดูออกไปทางสีเบจ หลังคาสีน้ำตาลแดง ตรงกลางเป็นโดมสูงหลังคาสีเขียวอมฟ้า มีรูปปั้นทองคำอยู่บนยอดโดม
     ชินจิอยากเข้าไปข้างในปราสาทที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บรวบรวมภาพเขียนแบบฝรั่งเศสสมัยศตวรรษที่สิบแปดและเครื่องกระเบื้องเคลือบจากจีนและญี่ปุ่น อยากเดินชมห้องงาม ๆ ที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหราแบบร็อคโคโค แต่เห็นแถวนักท่องเที่ยวยาวเหยียดหน้าปราสาทแล้วต้องยอมแพ้ พวกเขาถ่ายรูปกันที่ลานหน้าปราสาทตรงรูปปั้นกษัตริย์ฟรีดริช วิลเฮล์มที่หนึ่งแห่งปรัสเซีย แล้วเดินไปชมสวนของปราสาทที่เปิดให้เข้าชมฟรี จากนั้นก็ออกเดินทางต่อไปยังอาคารรัฐสภา
     มาโกโตะกับเอย์จิพารุ่นน้องขึ้นรถบัสสายเอ็มสี่สิบห้าไปลงที่ถนนเจเบนส์ใกล้กับสวนสัตว์แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถบัสสายหนึ่งร้อยไปลงที่อาคารรัฐสภาซึ่งเป็นอาคารแบบเก่าสีเทาดูเคร่งขรึม ด้านบนมีโดมกระจกรูปครึ่งวงกลม และคราวนี้แม้ว่าคนจะต่อคิวรอเยอะขนาดไหน แต่ทุกคนก็ยอมอดทนรอเพื่อจะได้ขึ้นไปชมวิวที่สวยงามของเมืองเบอร์ลินจากข้างในโดมกระจก
     “สวยสุดยอดไปเลย” อัตสึโตะเกาะกระจกโดมมองออกไปยังตัวเมืองเบอร์ลินที่อยู่ต่ำลงไปเบื้องล่าง จากหางตาเขาเห็นธงสามสีของเยอรมันปลิวสะบัดไปตามแรงลม
     “นั่น Fernsehturm รึเปล่า” มายะชี้ชวนให้ดูเสาสูง ๆ ที่มีลูกกลม ๆ อยู่ข้างบนที่คาดว่าน่าจะเป็นอาคารสถานีโทรทัศน์
     “สวนเทียร์การ์เท่นนี่ดูยังไงก็ป่าชัด ๆ เนอะ” ชินจิมองบริเวณที่เป็นสีเขียวกว้างใหญ่แทบจะสุดสายตา
     มาโกโตะกับเอย์จิปล่อยให้รุ่นน้องเดินเวียนรอบโดมกระจกชมโน่นชมนี่อยู่พักใหญ่ ๆ แล้วต้อนทั้งหมดเดินต่อไปที่ประตูบรันเดนบวร์กซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
     ประตูเมืองเก่าขนาดใหญ่ซึ่งมีรูปปั้นรถม้าและม้าลากสี่ตัวอยู่ด้านบนนั้นนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ใคร ๆ ก็ต้องมาถ่ายรูปด้วย ขนาดมาโกโตะและเอย์จิที่มาหลายครั้งแล้วก็ยังอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปด้วย พวกเขาเดินชมเส้นที่ขีดลากให้เห็นแนวอดีตกำแพงเบอร์ลินที่แยกเมืองออกเป็นฝั่งตะวันตกและตะวันออก ถ่ายรูปเล่นกันอยู่หน้าประตูบรันเดนบวร์กและจัตุรัสปารีสอยู่อีกพักก็เดินต่อไปตามถนนบูเลอวาร์ดอันกว้างใหญ่และสวยงามที่ชื่ออุนเทอร์ เดน ลินเด้น
     อัตสึโตะเดินรั้งท้ายเพราะหยุดถ่ายรูปหมีตัวใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าร้านค้า สัญลักษณ์ของเมืองเบอร์ลินคือหมี ร้านค้าหลายร้านจึงนำรูปปั้นหมีที่เพ้นท์ลายสวย ๆ มาตั้งด้านหน้าเพื่อเรียกลูกค้า ชายหนุ่มชอบหมีตัวใหญ่สีน้ำตาลใส่เสื้อสีขาวหน้าร้านขายของที่ระลึกแห่งหนึ่งบนถนนสายนี้มาก มันดูน่ารักน่ากอด เขาจึงตัดสินใจซื้อพวงกุญแจรูปหมีตัวนี้เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก
     “ทำอะไรอยู่น่ะอัตสึโตะ” มายะเดินมาตาม
     “ถ่ายรูปหมีอยู่ ดูสิ น่ารักเนอะ”
     อัตสึโตะรีบเก็บพวงกุญแจใส่กระเป๋ากางเกง แล้วเดินแกมวิ่งมาหา พร้อมกับส่งรูปในโทรศัพท์ให้ดู
     “ก็งั้น ๆ แหละ” มายะไม่เออออด้วย เขาไม่ชอบหมี
     “ไปเหอะอัตสึโตะ คนอื่น ๆ เดินลิ่วไปโน่นแล้ว”
     มายะรีบดึงแขนอัตสึโตะให้เดินตามเขาไป
     ระหว่างทางมีซุ้มขายขนมปังเพรทเซลและไส้กรอกย่างอยู่เป็นระยะ อาหารเที่ยงของทุกคนก็เลยเป็นของพวกนี้ อัตสึโตะติดใจไส้กรอกย่างทั้งแบบเทือริงเง่อและแบบที่ผสมผงเครื่องเทศและผงพริก แต่เขาชอบซื้อแบบเทือริงเง่อมากกว่า เขาจะได้ขนมปังก้อนเล็ก ๆ ผ่าครึ่งเสียบไส้กรอกย่างหนังกรอบดุ้นยาว ๆ ที่ดูแล้วไม่สมดุลกันเลย แต่เขาชอบเพราะรูปร่างมันตลกดี ส่วนชินจิไม่ชอบทั้งขนมปังและเพรทเซล แต่เขากินไส้กรอกเยอรมันได้ เขาก็เลือกสั่งแต่ไส้กรอกเปล่า ๆ ไม่เอาขนมปังทุกครั้ง
     ทั้งหมดเดินชมสถานที่ท่องเที่ยวแถวนั้นต่อไล่ไปทั้งเบอร์ลินโดม โรงอุปรากร ศาลาว่าการเมือง จนมาจบลงที่สถานีโทรทัศน์และจตุรัสอเล็กซานเดอร์
     “บนนั้นมีร้านอาหารหมุนได้ด้วยนะ ให้คนนั่งกินข้าวชมวิว” มาโกโตะชี้ไปที่ลูกกระจกกลม ๆ บนอาคารสถานีโทรทัศน์ แต่ตอนนี้ไม่มีใครสนใจอยากจะไปกินข้าวชมวิว แต่ละคนเริ่มเหนื่อยเพราะเดินมาทั้งวัน ต้องการที่จะหาอะไรกินและกลับไปพักผ่อนมากกว่า ทุกคนจึงหาอะไรง่าย ๆ กินกันแถวนั้น แล้วเดินไปชมเวิร์ลด์คล็อคทาวเวอร์ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยซึ่งจะแสดงเวลาจากทั่วทุกมุมโลก จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ
     ชินจิลาอัตสึโตะที่หน้าห้อง และเมื่อเขาเปิดไฟในห้องพัก เขาก็เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งพับครึ่งวางอยู่บนพื้น คงมีใครสักคนเสียบกระดาษแผ่นนี้ลอดช่องประตูเข้ามา ชินจิคิดเมื่อก้มลงไปหยิบมาเปิดอ่าน

     “อยากชวนนายไปกินเบียร์ แต่นายไม่อยู่ที่ห้อง เที่ยวสนุกเลยสินะวันนี้ ดีจัง – เควิน”

     ชายหนุ่มอึ้งไปนิดเมื่ออ่านจบ
     เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าเควินคิดอย่างไร
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 2 - update - 21.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 21-09-2014 07:52:01
สุดยอดมาก
ทั้งรายละเอียด เนื้อเรื่อง และการบรรยาย
คนแต่งเรียนอยู่ที่โน่นใช่ไหมครับ อ่านแล้วมันใช่จริงๆ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 2 - update - 21.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Paracetamol ที่ 21-09-2014 13:39:54
สนุกดีเหมือนได้ไปเที่ยวเลย o13
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 2 - update - 21.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 22-09-2014 00:50:33
บทที่ 3

     งานเลี้ยงอาหารประจำชาติครั้งแรกจัดที่คลับรูมของหมู่บ้านนักศึกษาอัตเลอร์สโฮฟ แม่งานอย่างมายะงานยุ่งตั้งแต่ตอนเช้า เขากับชินจิและอัตสึโตะไปซื้อของสดที่เค้าฟ์ลันด์หิ้วกลับมาทำกันที่ห้องครัวในฟลอร์ของอัตสึโตะและชินจิ
     งานนี้กะจำนวนแขกค่อนข้างยากเพราะไม่มีการลงชื่อหรือลงทะเบียนกันก่อน แต่จากงานครั้งก่อน ๆ ก็พอจะกะคร่าว ๆ ได้ว่าอาจจะมีคนมาร่วมงานสักห้าสิบคน จุดประสงค์ของงานคือให้นักศึกษาได้ทำความรู้จักกันและเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง อาหารในงานก็ขอแค่มีพอให้ทุกคนได้ชิมกันคนละนิดละหน่อยเท่านั้นก็พอ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น พวกเขาก็อยากจะทำกันออกมาให้ดีที่สุด
     มายะ ชินจิและอัตสึโตะเริ่มทำอาหารกันตั้งแต่บ่าย แบ่งหน้าที่กันเหมือนเดิมคือมายะเป็นคนปรุงข้าวซูชิ หมักเนื้อไก่ ทำซุปมิโสะ ปรุงรสไข่ที่จะไว้ทำไข่ม้วน ชินจิเป็นคนทอดไก่และไข่ม้วน ส่วนอัตสึโตะเป็นมือมีดหั่นทุกอย่างที่ขวางหน้า
     มานูเอลอาสาเป็นลูกมือเหมือนเดิมเช่นกัน คอยช่วยมายะม้วนมากิซูชิ
     “โอ้โห น่าสนุกจังเลยนะ”
     คู่รักเปิดเผยมาร์โคและมาริโอ้ทักเมื่อเดินเข้ามาในครัวแล้วเห็นเพื่อนร่วมฟลอร์กำลังทำอาหารกันอย่างขะมักเขม้น
     “ว้าว ซูชิ นี่สำหรับงานคืนนี้เหรอ” มาร์โคถาม เขารู้จักซูชิ อาหารตะวันออกชนิดนี้เป็นที่นิยมในเยอรมนี ร้านอาหารในห้างหลายร้านก็ขายซูชิ แถมยังมีแบบเป็นกล่องแช่เย็นขายอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ก็ดูไม่สดใหม่น่ากินเหมือนที่เพื่อนของเขากำลังทำอยู่ตอนนี้
     “ใช่แล้ว นายจะมาร่วมงานด้วยรึเปล่าล่ะ” อัตสึโตะถาม
     มาร์โคยิ้มกริ่ม ก่อนจะเดินไปกอดเอวอัตสึโตะพร้อมกับเอาคางเกยบ่าเอาไว้
     “ไปสิ อยากกินอาหารฝีมืออัตสึโตะ นายนี่มันน่ากินจังเลยนะ”
     ซูชิที่ม้วนเป็นแท่งยาวอย่างสวยงามในมือของมายะถูกขยำรวมกันเป็นก้อนข้าวสีกระดำกระด่างทันทีขณะที่ชายหนุ่มถลึงตาใส่มาร์โคที่กล้าบังอาจมาแต๊ะอั๋งอัตสึโตะของเขา
     วอนซะแล้ว ไอ้หัวหงอนไก่!
     แต่ยังไม่ทันจะได้ขว้างก้อนข้าวในมือใส่หน้ามาร์โคไปอย่างใจคิด มานูเอลที่ยืนอยู่ข้างเขาก็ปรามเพื่อนเสียก่อนว่า
     “อย่าเล่นกับอัตสึโตะอย่างนี้น่ามาร์โค หมอนั่นไม่ได้เป็นอย่างนาย”
     มาร์โคปล่อยมือที่โอบเอวอัตสึโตะอยู่ทันทีโดยที่ไม่อ้อยอิ่ง แต่ก็ยังมิวายแกล้งหยิกแก้มอัตสึโตะเล่นก่อนจะย้ำว่าเขาไปร่วมงานเลี้ยงคืนนี้อย่างแน่นอน แล้วเดินกลับไปคลอเคลียกับมาริโอ้ใหม่ เมื่อทั้งคู่เดินออกไปข้างนอกแล้ว มายะก็ทิ้งก้อนข้าวในมือลงบนโต๊ะอย่างไม่แยแส แล้วคว้าผ้าเช็ดหน้ามาเช็ด ๆ ถู ๆ ตรงที่ที่อัตสึโตะโดนหยิกแก้ม
     “โอ๊ย นายทำอะไรของนายเนี่ย มันเจ็บนะ” อัตสึโตะปัดมือมายะออกด้วยความรำคาญ
     “ก็ลบรอยของไอ้หัวไก่นั่นไง มันหยิกแก้มนาย แถมยังมาโอบเอวอีก มันทำบ้าอะไรของมันก็ไม่รู้ ฉันต้องรีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม”
     “แต่นายเช็ดมากเกินไปแล้วโว้ย พอเลย เลิกเช็ดแล้วกลับไปทำงานต่อเดี๋ยวนี้นะ” อัตสึโตะโวยตอบเสียงขุ่นมัวพร้อมกับไล่ให้มายะกลับไปม้วนซูชิต่อ แล้วเขาก็เลยลืมไปว่าตัวเองตั้งใจจะถามมานูเอลว่ามาร์โคเป็นอะไรและทำไมมาร์โคมาหยอกล้อเล่นกับเขาแบบนี้แต่มาริโอ้กลับไปสนใจเลยสักนิดเดียว

     เมื่อเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็ช่วยกันยกลงไปที่คลับรูมซึ่งจัดไว้พร้อมสำหรับงานเลี้ยงแล้ว โต๊ะยาวถูกขนมาตั้งไว้ด้านหนึ่งเพื่อไว้วางอาหาร บนเวทีมีคอมพิวเตอร์พร้อมลำโพงสำหรับเปิดเพลงและเมื่องานครั้งนี้เป็นของประเทศญี่ปุ่น เพลงที่จะเปิดจึงเป็นเพลงญี่ปุ่นจากไอพ็อดของมายะและอัตสึโตะ
     มายะเจ้ากี้เจ้าการสั่งให้จัดอาหารวางเรียงแบบที่เขาต้องการ ตัวชายหนุ่มจัดจานกระดาษ ถ้วยพลาสติก ตะเกียบไม้แบบใช้แล้วทิ้ง พร้อมทั้งกระดาษทิชชู่เตรียมไว้อย่างพรักพร้อม และยังมีชาร้อนแบบญี่ปุ่นชงใส่กระติกอย่างดีไว้ให้คนในงานชิมด้วย
     งานเริ่มในตอนหกโมงเย็น แต่คนเริ่มทยอยกันมาก่อนหน้านั้นและตั้งแถวรอที่โต๊ะอาหาร ทุกคนสนใจอยากจะลองชิมซูชิหน้าตาน่ากินกันทั้งนั้น มายะกับชินจิช่วยกันตักอาหารแจก แต่สองคนตักกันไม่ทัน ชินจิจึงไปขอให้เอริคที่บังเอิญยืนอยู่ใกล้พวกเขาที่สุดมาช่วยด้วยอีกคน
     อัตสึโตะขอบายเรื่องการตักอาหารแล้วไปประจำอยู่บนเวทีแทนเพื่อเปิดเพลง ชายหนุ่มดึงตัวมานูเอลมานั่งกับเขาหลังคอมพิวเตอร์เพราะเขาไม่ถนัดคอมพิวเตอร์ที่คำสั่งทุกอย่างเป็นภาษาเยอรมัน
     “นายฟังเพลงแบบไหน” อัตสึโตะชวนคุย
     “ฟังได้ทุกแนว เพลงป๊อบทั่วไปอะไรยังงี้แหละ นายล่ะ”
     “เหมือนกัน แต่ฉันมักจะฟังเพลงญี่ปุ่นน่ะนะ เพลงอนิเมชั่นการ์ตูนก็ชอบ” อัตสึโตะเลื่อนแทร็คเพลงการ์ตูนเพลงหนึ่งขึ้นมาต่อจากเพลงที่เล่นใกล้จะจบแล้ว
     “จังหวะสนุกดี” มานูเอลชม
     “งานอดิเรกอย่างอื่นล่ะมีไหม” อัตสึโตะถามต่อ
     “ชอบกีฬา ฉันเล่นเทนนิส สกี เทร็กกิ้ง อ้อ ชอบไปเที่ยวด้วย”
     อัตสึโตะฟังแล้วย่นจมูก บอกว่า
     “ฉันไม่ค่อยชอบเล่นกีฬาเท่าไหร่ ไม่ชอบไปไหนด้วย ถ้ามีเวลาว่างขนาดนั้นฉันว่านอนดีกว่า ขี้เกียจออกไปข้างนอก สำหรับฉันนะ โซฟานุ่ม ๆ เนี่ยเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในโลกแล้ว”
     “ไหนมาโกโตะบอกฉันว่านายเล่นฟุตบอล” มานูเอลถาม
     “ก็เล่นได้ แต่ขี้เกียจ”
     “ใกล้ ๆ นี่มีทะเลสาบด้วยนะ นายรู้ไหม” มานูเอลลองหยั่งเสียง เมื่ออีกฝ่ายส่ายหน้า แต่ดูมีทีท่าสนใจ เขาก็พูดต่อว่า “ชื่อมึกเกลเซ สวยมากเลย มีโรงเบียร์ มีเบียร์การ์เด้น ขี่จักรยานก็ได้ หรือเทร็กกิ้งที่ภูเขามึกเกลก็ได้ ฉันกำลังคิดจะไปเทร็กกิ้งสักครั้งอยู่พอดีก่อนหน้าหนาว ตอนแรกคิดว่าจะชวนนาย แต่เมื่อกี้นายบอกว่าไม่ชอบออกไปข้างนอก งั้นนายก็คงไม่สนใจใช่ไหม”
     อัตสึโตะรีบส่ายหน้าอย่างแรง
     “สนใจสิ ให้ฉันไปกับนายด้วยนะ”
     “ไหนบอกขี้เกียจออกไปข้างนอกไง”
     “ก็ขี้เกียจ แต่อยากไปกับนาย แล้วฉันก็ยังไม่เคยไปทะเลสาบนี่ด้วย ให้ฉันไปกับนายด้วยคนนะ” อัตสึโตะรบเร้า
     “ไปสิ” มานูเอลตกลง แล้วเขาก็ยิ้ม บอกว่า “เบอร์ลินมีอะไรน่าทำมากมาย นายอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว ถ้ามัวแต่นอนอยู่ในห้องมันก็น่าเบื่อออกนะ นายว่าจริงไหม”

     ชินจิกำลังตักซุปมิโสะมือเป็นระวิง คนที่มาร่วมงานวันนี้น่าจะมากกว่าห้าสิบคนเพราะเขาเห็นคนแน่นคลับรูมไปหมด ระหว่างที่กำลังเป็นกังวลว่าอาหารจะไม่พอ ไหล่ของเขาก็ถูกสะกิด
     “ขยันจังนะ” เควินทัก
     “นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ชินจิหันมาคุยด้วย แต่มือของเขายังตักซุปต่อไป
     “มาเมื่อกี้ คนเข้าคิวกันยาวจังเลยเนอะ ยังงี้คงอีกนานแน่กว่าจะได้กิน” เควินเปรย
     ชินจิฟังแล้วทำหน้ายุ่ง ใจจริงเขาอยากลัดคิวให้ชายหนุ่มอยู่เหมือนกัน แต่เขาทำไม่ได้ คนอื่น ๆ เข้าคิวกันเป็นอย่างดี ถ้าเขาลัดคิวให้ใครมันจะไม่ดี แต่เขาก็อยากเอาใจเควินเหมือนกัน ชินจิจึงตัดสินใจก้มลงไปหยิบกล่องทัปเปอร์แวร์ในถุงกระดาษใต้โต๊ะที่แบ่งอาหารส่วนของตัวเองใส่เอาไว้ขึ้นมาส่งให้เควินไป กล่องทัปเปอร์แวร์สีเข้มดูไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นทำให้ดูไม่น่าเกลียดนัก แล้วเมื่อเห็นรอยยิ้มของเควิน ชินจิก็รู้สึกดีใจที่ทำอย่างนั้น
     อาหารพอดีกับจำนวนคนอย่างฉิวเฉียด ต้องขอบคุณความรอบคอบของมายะที่ทำเผื่อเอาไว้พอสมควร ชินจิช่วยมายะเก็บของทั้งหมดใส่ถุงเตรียมไว้ขนกลับตอนเลิกงาน เมื่อเสร็จเรียบร้อย มายะก็เอากล่องทัปเปอร์แวร์ใส่อาหารสามกล่องออกมา ชายหนุ่มสบถด้วยความขัดใจเมื่อเห็นอัตสึโตะอยู่กับมานูเอลอีกแล้ว มายะรีบแทรกผู้คนไปยังเวทีทันที ปล่อยให้ชินจินั่งอยู่ที่โต๊ะยาวคนเดียว
     หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย งานเลี้ยงอาหารประจำชาติจะกลายเป็นปาร์ตี้ธรรมดาไปในทันที เพลงจะถูกเปลี่ยนใหม่เป็นจังหวะที่เร็วขึ้นเพื่อให้คนในงานได้เต้นกัน ทุกคนดื่ม คุย และเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน
     ชินจิไม่สนใจเรื่องเต้น เขาจิบเบียร์ดูคนอื่นไปเงียบ ๆ มีคนแวะเวียนกันมาทักและชมเขาเรื่องอาหารบ้างซึ่งชายหนุ่มก็ยิ้มแย้มพูดคุยด้วยเป็นอย่างดี แล้วตอนที่เขากำลังคุยอยู่กับชายหนุ่มผมดำหน้าตาดีคนหนึ่ง เควินก็เดินเข้ามาขัดจังหวะ เขาส่งกล่องทัปเปอร์แวร์คืนให้พร้อมกับชมว่า
     “อร่อยทุกอย่างเลย นายนี่ทำอาหารเก่งจัง”
     คนถูกชมเป็นปลื้ม แทบจะลืมผู้ชายอีกคนหนึ่งไปในทันที
     “นายชอบอะไรมากที่สุดล่ะ”
     “ไก่ทอด”
     “แล้วนายว่าซูชิเป็นยังไงบ้าง ชอบแบบไหนมากที่สุด”
     “ไอ้แบบที่ม้วนเป็นกรวยก็อร่อยดี”
     ทั้งคู่คุยกันจนชินจิไม่เห็นว่าผู้ชายผมดำคนนั้นหายไปตั้งแต่เมื่อไร
     เควินขยับเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ข้างชินจิ และตอนนั้นเองที่เจอโรมเดินผ่านมาพอดี ชายหนุ่มชะงักเท้านิดหนึ่ง มองเพื่อนสนิทตัวเองและชินจิที่กำลังคุยกันอย่างสนิทสนม
     “เอ๋ สองคนนี้ชักจะยังไง ๆ แล้วนะ” เจอโรมแซวพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
     “ไปให้พ้นเลย” เควินไล่ แต่เขาไม่ปฏิเสธหรือแก้ตัวอะไรสักนิด ชินจิเหลือบมองเควินนิดหนึ่ง แต่เมื่อชายหนุ่มไม่พูดอะไร เขาก็ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองเหมือนกัน
     เขาอยากได้ยินจากปากของเควินเองมากกว่า
     “อย่าไปสนใจเลยนะ เจอโรมมันปากมากยังงี้แหละ” เควินหันมาบอก
     “นายสองคนสนิทกันมากเลยใช่ไหม” ชินจิถาม
     “ฉันสนิทกับเจอโรมที่สุด ที่ฉันพักที่นี่ ไม่หาหอพักใกล้แคมปัสกลางก็เพราะเจอโรมนี่แหละ อยู่กับมันแล้วสนุกดี”
เควินตอบ สบตากับชินจิเมื่อพูดต่อว่า
     “แล้วตอนนี้ก็ต้องบอกว่าตัวเองโชคดีแล้วที่เลือกพักที่นี่”
     สายตาของเควินรวมทั้งความนัยในคำพูดของชายหนุ่มทำให้ชินจิหน้าร้อน

     หลังจากเปลี่ยนโหมดจากงานเลี้ยงอาหารประจำชาติเป็นปาร์ตี้ธรรมดา หน้าที่เปิดเพลงของอัตสึโตะก็จบลง ชายหนุ่มดึงมือมานูเอลไปยืนด้วยกันที่มุมหนึ่ง ทั้งคู่คุยกันต่อเรื่องงานอดิเรก ขณะที่มานูเอลกำลังเล่าเรื่องเทร็กกิ้งที่ภูเขาที่เขาเคยไป มายะก็เข้ามาหาพร้อมกับกล่องทัปเปอร์แวร์ในมือ ยื่นกล่องใบหนึ่งให้อัตสึโตะ
     “นี่ส่วนของนาย”
     “แล้วไหนของมานูเอล” อัตสึโตะสงสัย
     “ไม่มี ฉันลืมแบ่ง” มายะตอบ แต่พอเห็นสายตาของอัตสึโตะ เขาก็หน้ามุ่ย แล้วก็ยัดกล่องใบที่สามใส่มือใหญ่ ๆ ของมานูเอล บอกเสียงสะบัดว่า
     “เออ ๆ รู้แล้ว ฉันแบ่งไว้แล้วล่ะน่า ขอบใจที่มาช่วยวันนี้”
     อัตสึโตะส่ายหน้าอย่างระอากับอาการออกนอกหน้าของเพื่อน ก่อนจะเปิดกล่องเพื่อหยิบของข้างในออกมากิน
     เพียะ
     มายะตีมือเขาพร้อมกับดุว่า
     “ถ้าจะใช้มือ นายต้องไปล้างมือก่อน”
     “อะไรของนายเนี่ย” อัตสึโตะบ่นงึมงำ แต่เขาก็ยอมทำตามที่มายะบังคับเพื่อตัดรำคาญ เพราะถ้าไม่ทำ มายะจะบ่นไม่หยุด ชายหนุ่มเอากล่องอาหารฝากคนดุนั่นแหละไว้ แล้วก็เดินฝ่าคนออกไปห้องน้ำที่อยู่ด้านนอก
     “นายก็เหมือนกัน จับตะเกียบผิด ฉันสอนเท่าไหร่ทำไมไม่จำ”
     มายะเล่นงานมานูเอลต่อ เมื่อหันไปเห็นชายหนุ่มจับตะเกียบไขว้กัน
     “ก็ฉันใช้ตะเกียบไม่เป็น” มานูเอลว่า เขาพยายามจับตะเกียบแบบที่มายะสอนแล้ว โดยใช้สองนิ้วประคองและนิ้วชี้เป็นตัวบังคับ แต่มันยาก เวลาเผลอจึงกลับไปจับแบบเก่าทุกที
     “ใช้ไม่เป็นก็ต้องหัดสิ” มายะดุ และมานูเอลคิดว่า มายะต้องกำลังแก้แค้นเขาอยู่แน่ ๆ เพราะคำพูดของมายะนั้นเหมือนกันเปี๊ยบกับตอนที่เขาเคี่ยวเข็นให้ทั้งอัตสึโตะและมายะพูดภาษาเยอรมันตลอดเวลา ถ้าหลุดภาษาญี่ปุ่นออกมาเมื่อไร เขาในฐานะติวเตอร์ส่วนตัวของทั้งคู่ก็จะดุว่า
     ‘มัวแต่พูดญี่ปุ่น แล้วเมื่อไหร่จะพูดเยอรมันได้ อยากพูดได้ก็ต้องหัดเยอะ ๆ สิ’
     ชายหนุ่มหัวเราะหึหึ ก่อนจะเปรย ๆ ว่า
     “นายนี่ดุยิ่งกว่าแม่ฉันอีกนะมายะ”
     “นายอย่าพูดเหมือนเจ้าอัตสึโตะอีกคนได้ไหม ฉันไม่ได้อยากเป็นแม่มัน แล้วก็ยิ่งไม่อยากเป็นแม่นายเข้าไปใหญ่”
     “นายรักอัตสึโตะมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว”
     “ตั้งแต่สี่ขวบ”
     อัตสึโตะตอนเด็ก ๆ ตาเรียว แก้มแดงป่อง ๆ น่ารักน่าหยิกแก้มมาก มายะรักอัตสึโตะมาตั้งแต่เจอครั้งแรกที่โรงเรียนอนุบาลแล้ว และเขาก็ตามดูแลประคบประหงมอัตสึโตะมาโดยตลอด ขนาดหมอนั่นไปเรียนที่โตเกียวตอนมัธยมปลาย เขายังกระเสือกกระสนตามไปเรียนด้วยเลย
     “นานนะ”
     “นาน และฉันจะไม่ยอมแพ้”
     มายะพูดด้วยความมุ่งมั่น ตาเรียวจ้องมานูเอลเขม็ง
     “นายยังไม่เลิกคิดว่าฉันเป็นคู่แข่งอีกรึไง” ชายหนุ่มถาม
     มายะขยับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ตัดสินใจไม่พูด จังหวะนั้นเอง อัตสึโตะก็เดินเข้ามาจับแขนมานูเอลเขย่า ๆ
     “นายเป็นอะไร” มานูเอลขมวดคิ้วเมื่อเห็นเพื่อนทำหน้าพิลึก
     “ก็..ก็..” อัตสึโตะนึกคำพูดไม่ออก และเมื่อเขาพยายามจะนึก ชายหนุ่มก็จะกระโดด นึกไปกระโดดหย็องแหย็งไปเหมือนตั๊กแตนจนมานูเอลเปลี่ยนจากสงสัยเป็นขำ มือใหญ่ของเขาจับศีรษะอัตสึโตะด้วยความเอ็นดูพลางพูดว่า
     “ทำไมทำท่าแปลก ๆ อย่างนั้น นายเป็นอะไร มีอะไรก็พูดมาสิ”
     “คือ..ในห้องน้ำอะ” อัตสึโตะพยายามเรียบเรียงคำพูด “มาร์โคกับใครก็ไม่รู้ จะว่าใครก็ไม่รู้ไม่ได้สิ ฉันว่าฉันรู้จักผู้ชายคนนั้นนะ คนที่เจอที่ผับวันนั้น ชื่ออะไรวะ...” อัตสึโตะเงียบไปเดี๋ยวหนึ่งก่อนจะนึกได้ “อ้อ มัทธีอัส ขื่อมัทธีอัส คือมาร์โคกับมัทธีอัสกำลังมีอะไรกันในห้องน้ำอะ”
     อัตสึโตะนึกถึงตอนที่เปิดประตูห้องน้ำเข้าไปแล้วได้ยินเสียงอะไรแปลก ๆ ในห้องน้ำห้องในสุด พอเดินเข้าไปเมียงมองก็ต้องตกใจเพราะห้องน้ำห้องนั้นประตูยังเปิดอ้าซ่า ข้างในห้อง มาร์โคกำลังพันตูอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งอย่างถึงลูกถึงคน
     “อ้อ เรื่องนี้เอง” มานูเอลทำเสียงเข้าใจในลำคอ
     “ทำไมเป็นมาร์โคกับมัทธีอัส ทำไมไม่ใช่มาริโอ้ สองคนนั้นเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ” อัตสึโตะไม่ได้ตกใจสิ่งที่เห็น แต่เขาติดใจเรื่องนี้มากที่สุด
     “ดูโน่นแน่ะ” มานูเอลชี้ไปยังมุมหนึ่งใกล้โต๊ะบอลมือหมุน อัตสึโตะกับมายะมองตามไปเห็นผู้ชายตัวอวบ ๆ คนหนึ่งกำลังจูบกับผู้ชายอีกคนหนึ่งอยู่
     อัตสึโตะยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่
     “สองคนนั้นเป็นแฟนกันแบบนี้แหละ สำหรับเรื่องเซ็กซ์ พวกนั้นไม่ได้จำกัดว่าจะต้องทำแต่กับคู่ของตัวเองเท่านั้น มันก็เปลี่ยนของมันไปเรื่อย ๆ บางทีก็ทรีซัม แล้วแต่โอกาส อยู่ ๆ ไปนายก็เห็นเอง อย่างมัทธีอัส เทอมที่แล้วฉันก็เคยเห็นมันมาค้างที่ห้องมาร์โคอยู่บ่อย ๆ”
     มานูเอลอธิบาย
     “ตอนที่มันมาเกาะแกะนายในครัว ฉันถึงปรามมันไปอย่างนั้นไง”
     อัตสึโตะเข้าใจแล้ว แต่ก็ยังทำหน้ายุ่งอยู่ดี เรื่องแบบนี้ทำอย่างไรก็คงชินไม่ได้ง่าย ๆ หรอก
     “ที่ญี่ปุ่นคงไม่มีแบบนี้สินะ” มานูเอลถาม
     “ก็มีเหมือนกัน แต่มันไม่ประเจิดประเจ้อขนาดนี้” อัตสึโตะพูด ก่อนจะมองมานูเอลเขม็ง
     “แล้วนายเป็นอย่างนี้เหมือนกับเขาอีกคนรึเปล่าเนี่ย”
     “ฉันไม่ได้มีแฟนตาซีเซ็กซ์แบบนั้นหรอก” มานูเอลรีบปฏิเสธ
     ทั้งสองคนพูดกันโดยไม่สนใจมายะที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนั้นอีกคนสักนิด แกล้งกระแอมยังไม่มีใครหันมามองเขาเลย
     หรือสวรรค์จะกลั่นแกล้งเขาจริง ๆ
     กล่องข้าวในมือมายะทิ่มพรวดไปตรงหน้าอัตสึโตะทันที
     “นี่กล่องข้าวของนาย! กินก่อนเถอะ มันเย็นหมดแล้ว”
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 3 - update - 22.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 22-09-2014 01:57:54
ชอบมากค่ะ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 3 - update - 22.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 23-09-2014 01:47:37
     งานเลี้ยงอาหารประจำชาติครั้งแรกของเทอมนี้จบลงอย่างเรียบร้อยและประสบความสำเร็จเกินคาด องค์กรนักศึกษาจึงจัดครั้งที่สองต่อในเวลาอันรวดเร็ว สถานที่จัดงานยังคงเป็นคลับรูมเหมือนเดิม และคราวนี้เป็นตาของประเทศเจ้าบ้าน คือเยอรมัน
ฟิลิปเป็นแม่งานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นครั้งแรกที่อัตสึโตะเห็นชายหนุ่มกับบาสเตียนจับมือกัน
     เข้าทำนองยามศึกเราร่วมรบ ยามสงบเราตบตีกันเอง
     นอกจากฟิลิปและบาสเตียนก็ยังมีมานูเอลกับเควินที่ถูกดึงให้มาเข้าร่วมด้วย เมนูคืออาหารท้องถิ่นของรัฐทางตะวันตกและทางใต้ เควินกับมานูเอลมาจากรัฐนอร์ดไรน์เวสต์ฟาเล่นทางตะวันตก เลือกทำขนมปังโรยเกลือกับเมล็ดยี่หร่ารับประทานกับหมูสับและหัวหอม และเฟฟเฟอร์พ็อตฮัสท์ซึ่งเป็นสตูเนื้อแบบเวสต์ฟาเล่น ส่วนบาสเตียนกับฟิลิปซึ่งมาจากรัฐบาเยิร์นทางใต้เตรียมคเนอเดลซึ่งเป็นก้อนแป้งต้ม ไส้กรอกขาวไวซ์วัวร์สท์ และสลัดมันฝรั่งแบบบาเยิร์น ของหวานเป็นขนมโดนัทโรยน้ำตาลของขึ้นชื่อของเบอร์ลิน และเครื่องดื่มคือเบียร์ดอร์ทมุนด์ เบียร์จากเมืองเกิดของเควินซึ่งได้ชื่อว่ามีการหมักเบียร์ทำเบียร์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
     อาหารที่จะทำไม่ยุ่งยากอะไร แต่ก็จำเป็นต้องใช้แรงงานคนอยู่ดี ข้างตัวฟิลิปจึงมีสาวน้อยหน้าแฉล้มคนหนึ่งมาช่วยปั้นแป้งคเนอเดล แล้วเอาแป้งที่ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ เล็ก ๆ ไปต้มในหม้อจนสุก ฟิลิปแนะนำว่าชื่อเคลาเดีย เป็นคนรักของเขา บาสเตียนทำสลัดมันฝรั่งแบบบาเยิร์นซึ่งก็ไม่ยุ่งยากอะไรเพียงแค่หั่นมันฝรั่ง แตงกวา หัวหอม แอปเปิ้ลเป็นชิ้นแล้วผสมด้วยน้ำสลัดที่ปรุงรสด้วยน้ำส้ม เกลือ น้ำตาล พริกไทย มัสตาร์ด และน้ำมันนิดหน่อยโรยหน้าด้วยเบคอนกรอบ ส่วนไส้กรอกขาวกับขนมโดนัทแบร์ลีนเนอร์ก็ซื้อแบบที่ทำสำเร็จมาแล้ว
     ชินจิอาสาช่วยเควิน ขนมปังโรยเกลือและเมล็ดยี่หร่านั้นไม่ได้ทำเอง แต่ซื้อมาจากร้านขายขนมปัง เควินต้องทำไส้ที่เป็นหมูสับปรุงรสและหัวหอมสับเอง เขาให้ชินจิช่วยผ่าครึ่งขนมปังก้อนกลม ตักหมูสับใส่ลงไป วางขนมปังอีกครึ่งประกบ แล้วโรยด้วยหัวหอมสับด้านบน
     อัตสึโตะก็อยากช่วยมานูเอลเหมือนกัน แต่เขาเหมือนมาช่วยชิมมากกว่า เพราะกลิ่นเฟฟเฟอร์พ็อตฮัสท์ที่ใส่เม็ดพริกไทย ใบกระวาน และกานพลูลงไปปรุงรสด้วยน้ำมะนาวและพริกไทยป่นนั้นหอมยั่วกระเพาะชายหนุ่มเหลือเกิน หลังจากเคี่ยวเนื้อจนสุก มานูเอลจึงตักใส่ถ้วยเล็กมาให้อัตสึโตะ
     “ปกติจะกินกับมันฝรั่ง แตงกวา หรือหัวผักกาดแดง แต่กินกับคเนอเดลก็ได้” ชายหนุ่มบอก
     “ไม่เอาล่ะ ฉันว่ากินกับข้าวสวยอร่อยที่สุด” อัตสึโตะว่า เขาอุ่นข้าวที่มายะหุงไว้ให้เกือบทุกวันมากินกับสตูเนื้อฝีมือมานูเอลอย่างมีความสุข
     งานเริ่มหกโมงเหมือนเดิม อาหารถูกลำเลียงไปวางไว้บนโต๊ะในคลับรูมอย่างเรียบร้อย คนก็ทยอยกันมาเรื่อย ๆ และเริ่มมาเข้าแถวที่โต๊ะเพื่อรอชิมอาหารเหมือนครั้งที่แล้ว
     “ให้ฉันช่วยนะเควิน” ชินจิอาสา และเควินก็ส่งมีดให้ชายหนุ่มช่วยตัดครึ่งขนมปัง
     “เราจะให้คนละครึ่งชิ้น” เควินบอก ชินจิก็หยิบขนมใส่จานให้แขกในงานตามนั้น
     มานูเอลไม่ได้เป็นคนตักอาหาร เพราะมีคนช่วยอยู่มากแล้วที่โต๊ะ ทั้งชินจิ เควิน ฟิลิป เคลาเดีย และเพื่อนอีกสองสามคน เขาจึงนั่งจิบเบียร์ดอร์ทมุนด์ที่เควินสุดแสนจะภาคภูมิใจเป็นล้นพ้นพลางคุยกับอัตสึโตะ ส่วนมายะถูกใช้ให้ไปต่อคิวรับอาหาร ชายหนุ่มบ่นกระปอดกระแปดไม่อยากจะไป แต่ไม่สามารถขัดใจอัตสึโตะได้
     “มานูเอล นายมีเหรียญยี่สิบเซ็นต์ให้ฉันยืมสักเหรียญไหม ฉันจะไปซื้อน้ำอัดลม เหรียญฉันเกลี้ยงหมดแล้ว มีแต่แบงค์ใหญ่ ๆ”
     อัตสึโตะคุ้ยหาเศษเหรียญในกระเป๋าสตางค์ แต่ไม่เจอเลย งานนี้มีแต่เบียร์แจก ชายหนุ่มไม่ดื่มเบียร์ เขาต้องเดินไปซื้อน้ำอัดลมที่บาร์เอง และตอนนี้ขวดเก่าก็ดื่มหมดไปแล้ว
     มานูเอลหยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองมาเปิดดูแล้วหยิบเหรียญสีทองเหลืองส่งให้
     “รูปแฟนรึเปล่าที่อยู่ในกระเป๋า” จู่ ๆ อัตสึโตะก็ถามขึ้น
     “เนี่ยเหรอ ใช่แล้วล่ะ” มานูเอลหยิบรูปส่งให้
     “สวยนะ” อัตสึโตะชม เคยได้ยินแต่ชื่อคัธริน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรูป คัธรินเป็นผู้หญิงหน้าคม ตัดผมสั้นแค่คอดูสวยเก๋ ในรูปมานูเอลกอดเอวหล่อนไว้
     “ไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ นายไม่คิดถึงแฟนบ้างเหรอ”
     “ก็มีบ้าง แต่ชินแล้ว ถ้าคิดถึงก็จะคุยสไกป์กัน” มานูเอลนิ่งไปนิดโดยที่อัตสึโตะไม่ได้สังเกตเพราะมัวแต่จ้องดูรูปเพื่อนกับคนรักอยู่ “ตอนนี้ไม่ได้คุยกันสักพักแล้ว เทอมนี้คาธี่ยุ่ง ได้ยินว่ากำลังจะไปฝึกงาน”
     “อยู่ห่างกันยังงี้ไม่กลัวเรื่องนอกใจเหรอ มันเผลอใจกันได้ง่าย ๆ เลยนะ”
     คราวนี้มานูเอลเงียบไปนานจนอัตสึโตะเงยหน้าขึ้นมองอย่างผิดสังเกต
     “มันก็เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นคาธี่หรือตัวฉันเองก็ตาม ถ้ามันจะเกิด” มานูเอลไม่สบตากับอัตสึโตะ ท่าทางของชายหนุ่มดูอึดอัดแปลก ๆ เขาเสจิบเบียร์ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปว่า
     “นายไม่ไปซื้อน้ำอัดลมแล้วเหรอ”
     อัตสึโตะมองมานูเอลที่จู่ ๆ ก็มีทีท่าเหินห่างขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วยแววตาที่ขุ่นมัวลงเล็กน้อย ปากของชายหนุ่มเม้มเข้าหากัน เขาอยากจะพูดอะไรกับมานูเอล แต่ก็ไม่ได้พูด อัตสึโตะลุกขึ้นไปซื้อเครื่องดื่มที่บาร์แล้วกลับมาพร้อมกับมายะที่ถือจานใส่อาหารมาทั้งสองมือ
     ทั้งสามคนนั่งรับประทานกันอย่างเงียบ ๆ บรรยากาศดูอึดอัดจนมายะที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรยังจับความผิดปกติได้ เขามองมานูเอลสลับกับอัตสึโตะอย่างสงสัย แต่ยังไม่สบโอกาสจะถาม
     บรรยากาศอึดอัดคลี่คลายลงเมื่อมีใครสักคนเรียกชื่อมานูเอล
     “มานู”
     แล้วเจ้าของเสียงซึ่งเป็นหนุ่มน้อยตัวใหญ่ตัดผมสั้นเกรียนก็เข้ามาทักทายเขาด้วยการทุบไหล่ดังอั้ก
     “ยูเลี่ยน”
     เจ้าเด็กจอมแสบประจำหมู่บ้านนักศึกษานี่เอง ตัวสร้างปัญหาคนละแบบกับเควิน ยูเลี่ยนถนัดเรื่องแกล้งคน เขาเคยเผลอลืมล็อคประตูห้องครั้งหนึ่ง ผลคือเจ้าหมอนี่เข้าไปสร้างเซอร์ไพรซ์ด้วยการตกแต่งห้องพักให้เขาใหม่ ชายหนุ่มตกใจมากเมื่อเปิดประตูห้องมาเจอเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นของเขาถูกพันด้วยกระดาษทิชชู่สีขาวเหมือนมัมมี่ กระดาษทิชชู่ที่เขาซื้อเก็บตุนไว้ทั้งห่อใหญ่หมดเกลี้ยงไม่มีเหลือสักม้วน
     “หายหน้าหายตาไปเลยนะ เปิดเทอมมาตั้งเกือบเดือน แต่ฉันแทบไม่เคยเห็นหน้านายเลย” มานูเอลทัก
     “ฉันก็อยู่แถว ๆ นี้แหละ ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อย” ยูเลี่ยนพูด แต่สายตาของเขาจ้องเป๋งไปที่อัตสึโตะที่ฟังทุกอย่างด้วยความสนใจ มานูเอลจึงแนะนำ
     “นี่ยูเลี่ยน เพื่อนรุ่นน้องของฉัน เอ น่าจะอ่อนกว่าพวกนายด้วยนะ” มานูเอลไม่แน่ใจ “ส่วนนี่อัตสึโตะ เพื่อนข้างห้องของฉัน ข้าง ๆ นั่นชื่อมายะ เรียนคณิตศาสตร์เหมือนนาย แล้วถ้าฉันจำไม่ผิด อยู่ตึกเดียวฟลอร์เดียวกับนายด้วยนะ”
     มายะขมวดคิ้ว รู้สึกไม่คุ้นหน้าเลย ไม่ว่าจะเป็นที่ฟลอร์หรือที่คณะ และเจ้ายูเลี่ยนอะไรนี่มันก็ดูแปลก ๆ พิกล ทำไมมันจ้องอัตสึโตะตาวาวอย่างนั้นล่ะ เฮ้ย มันกอดอัตสึโตะทำไม! ชายหนุ่มลุกพรวดมาประจันหน้ากับเพื่อนรุ่นน้องของมานูเอลทันที
ยูเลี่ยนผละจากการกอดทักทายอัตสึโตะมาเผชิญหน้ากับมายะ สายตาและสีหน้าของเขาแสดงความสนุกสนาน แล้วเด็กหนุ่มก็เข้าไปกอดทักมายะอีกคนซึ่งฝ่ายหลังรีบผละออกแทบไม่ทัน
     “ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันชื่อยูเลี่ยน”
     เด็กหนุ่มแนะนำตัวเองซึ่งฟังแล้วเหมือนการประกาศศึกมากกว่าในสายตาของมายะ แล้วเจ้าเด็กแสบก็หย่อนระเบิดลงบนหัวเขาทันทีด้วยการประกาศว่า
     “มานู เพื่อนนายน่ารักจัง ฉันอยากจีบอัตสึโตะเพื่อนนาย”
     “จีบไม่ได้!” มายะออกโรงค้านทันควัน แต่ยูเลี่ยนไม่สนใจ
     “ทำไมจะจีบไม่ได้ หรือนายเป็นแฟนกับอัตสึโตะล่ะ”
     มายะอึกอักตอบไม่ได้ ยูเลี่ยนยิ้มอย่างมีชัยแล้วหันไปทางอัตสึโตะที่นั่งฟังอยู่เฉย ๆ
     “ให้ฉันจีบนายนะอัตสึโตะ ฉันชอบนาย นายนี่มันน่ารักสุด ๆ ไปเลย”
     มานูเอลขยับจะปรามอาการเล่นไม่เข้าเรื่องของยูเลี่ยนอยู่แล้ว แต่อัตสึโตะกลับพูดขึ้นก่อนว่า
     “เอาสิ อยากจีบก็จีบ ท่าทางน่าจะสนุกดีนะ”
     “อัตสึโตะ!” มายะร้องเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง มานูเอลก็มองอัตสึโตะอย่างสงสัยเช่นกัน
     “แค่มีคนอยากจะจีบฉัน ตกใจทำไมกันนักหนา พวกนายไม่ได้เป็นอะไรกับฉันสักหน่อย” อัตสึโตะไม่สนใจ เขาหันไปจับมือกับยูเลี่ยน แล้วพูดว่า
     “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะยูเลี่ยน”

     ชินจิอยู่ช่วยเควินจนเลิกงาน ชายหนุ่มช่วยตักอาหาร ช่วยเก็บภาชนะใส่อาหารลงถุงเตรียมเอากลับไปล้างที่ครัว ช่วยเก็บขยะใส่ถุงดำมัดปากถุงเรียบร้อย และเมื่อเควินเดินมาหาเขา เอาเบียร์ดอร์ทมุนด์ขวดหนึ่งมายื่นให้พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ ชายหนุ่มก็รู้สึกดีใจจนตัวลอย
     พอดึก คนก็ทยอยกันกลับ แต่ชินจิยังอยู่ในงานเพราะเควินยังอยู่ เควินออกไปเต้นกับเพื่อน ๆ อย่างสนุกสนานสลับกับเดินมาหาเขา เอาขวดเบียร์ในมือมาชนกับขวดเบียร์ของเขา ชวนดื่มด้วยกัน จากนั้นก็ออกไปเต้นต่อ ชินจิไม่ชอบเต้น เขาจึงนั่งอยู่เฉย ๆ มองโน่นมองนี่ไปเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายสายตาของเขาก็จะมาหยุดที่เควินเสมอ คืนนี้เควินดื่มเยอะเป็นพิเศษ แต่เขาก็ยังไม่มีท่าทีจะเมา แค่เดินเซ ๆ เท่านั้นและยังหัวเราะร่วนกับเพื่อน ๆ ตลอดเวลา
     เพื่อนคนอื่นทยอยกันกลับเกือบหมดแล้ว ฟิลิปกับเคลาเดียกลับทันทีที่หน้าที่ของเขาหมดลง บาสเตียนช่วยทำอาหารและโผล่มาดูในงานแวบหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้อยู่นาน และชายหนุ่มคิดว่าเห็นมัตส์กับเอริคในงานด้วย แต่ตอนนี้หายไปแล้วทั้งสองคน อัตสึโตะก็กลับไปพร้อมกับมานูเอล ข้างหลังพวกเขา มายะเถียงกับผู้ชายคนหนึ่งที่ชินจิไม่รู้จักไปตลอดทาง ตอนนี้ในงานเหลือเพียงแค่ตัวเขากับกลุ่มของเควินเท่านั้น
     “วันนี้สนุกมากเลย” เควินพูดเมื่อนั่งลงข้างชินจิ ตาของเขาเยิ้มเพราะแอลกอฮอล์
     “ฉันก็สนุก อาหารก็อร่อย ฉันชอบขนมปังของนาย” ชินจิบอก
     “ขอบใจอีกครั้งสำหรับวันนี้นะ นายช่วยฉันได้มากเลย” เควินพูด พร้อมกับชูขวดเบียร์ในมือขึ้นเพื่อแสดงความชื่นชม ทำเอาชินจิยิ้มไม่ยอมหุบ เอาขวดเบียร์ในมือชนกับเบียร์ของเควินอีกรอบ ระยะห่างของทั้งคู่เขยิบเข้ามาใกล้กันมากขึ้น
     “นายเป็นคนพิเศษมากชินจิ”
     เควินพูด แต่มันกำกวมมากในสายตาของคนที่ได้ฟัง
     “พิเศษยังไง แบบไหนล่ะ” ชายหนุ่มขอคำอธิบาย เขาไม่อยากคิดไปเอง เขาอยากได้ยินจากปากเควิน อยากได้ยินสิ่งที่ชัดเจนกว่านี้ แต่เควินก็ไม่ยอมพูดอะไรต่อ
     เจอโรมเดินเตร่มาใกล้เพราะเห็นเพื่อนสนิทกับชินจินั่งชิดกันชนิดเข่าแทบจะเกยกันอยู่ตรงยกพื้นเวที มาถึงปุ๊บก็หัวเราะชอบอกชอบใจ พลางแหย่ว่า
     “จีบกันไปถึงไหนแล้วล่ะ ได้ยินเรียกกันว่าอะไรนะ คนพิเศษหรืออะไรนี่แหละ”
     “ฉันไม่เข้าใจ เจอโรม พิเศษยังไง” ชินจิถาม สีหน้าเขาคาดหวัง
     “พิเศษก็คือพิเศษน่ะแหละ” เควินตัดบท เจอโรมหัวเราะชอบใจอีกครั้งหนึ่งแล้วเดินจากไป เควินโยนขวดเบียร์เปล่าในมือลงถังขยะ แล้วส่งมือให้
     ชินจิลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยอมจับมือเควินให้เขาดึงตัวลุกขึ้นยืน
     “กลับเหอะ ดึกแล้ว ช่วยฉันเคลียร์ห้องหน่อยก็แล้วกันนะชินจิ” เควินขอร้อง
     หลังจากกลับเข้าไปในห้องพักของตัวเองอีกครั้ง ชินจิก็รู้สึกว่าตัวเองตาสว่าง ไม่มีความง่วงงุนเลย แม้ว่าจะดื่มเบียร์ไปหลายขวดและเวลากำลังจะล่วงเข้าเที่ยงคืนแล้วก็ตาม
     เสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้น เควินส่งข้อความมาขอบคุณเขาอีกครั้ง ชินจิก็ตอบไปอย่างรวดเร็ว
     ชายหนุ่มยังคงนอนไม่หลับเพราะคิดถึงคำพูดกำกวมของเควินและคิดถึงมือที่อบอุ่นของเขา ชินจิต้องหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาอ่านเพื่อดับความฟุ้งซ่าน แต่อีกพักใหญ่ ๆ ข้อความก็เข้ามาอีก

     “เควิน: พรุ่งนี้มีเรียนไหม”
     “ชินจิ: มี ตอนเก้าโมง”
     “เควิน: งั้นนอนเถอะ ฝันดีนะ”
     “ชินจิ: ขอบใจ ฝันดีเช่นกัน”


     ชายหนุ่มยังคงอ่านหนังสือต่อเพราะใจเต้นตึกตัก ไม่สามารถข่มตาลงนอนได้อีกแล้ว เขาพยายามไม่สนใจโทรศัพท์ แต่ก็อดเหลือบตามองอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ แล้วเมื่อเสียงเตือนข้อความดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เขาก็รีบคว้ามาดูทันที

     “เควิน: ยังตื่นอยู่รึเปล่า”
     “ชินจิ: ยังตื่นอยู่”
     “เควิน: …”


     ชินจิงงกับเครื่องหมายจุดสามจุด แต่คำตอบก็มาพร้อมกับเสียงเคาะประตูในวินาทีถัดมา
     เควินยืนอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นชินจิเปิดประตูออกมา ชายหนุ่มก็ถามว่า
     “ทำไมยังไม่นอนอีก”
     “ยังไม่ง่วง คิดอะไรเพลินไปหน่อย คือฉันอยากรู้ว่าคำว่าพิเศษจะหมายถึงอะไรได้บ้าง”
     ชินจิสบตากับเควินนิ่ง ก่อนจะหลับตาลงเมื่อเควินก้มหน้าลงมาหา และเมื่อเควินถอนริมฝีปากออก ชินจิก็ได้ยินเสียงกระซิบที่ริมหูว่า
     “หมายถึงฉันรักนายไง เป็นแฟนกับฉันนะชินจิ”
     ชายหนุ่มพยักหน้าโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 3 - update - 23.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 23-09-2014 22:16:35
บทที่ 4

     ชินจิตื่นขึ้นมาในเช้าวันนั้นพร้อมกับความรู้สึกที่แปลกใหม่
     เขามีแฟนแล้ว
     เมื่อคืนกว่าเขาจะได้นอนก็ตีสองกว่า พอทุกอย่างมันชัดเจนแจ่มแจ้ง เขาก็นอนหลับได้ในที่สุด
     หลังจากสารภาพรัก เควินก็จูบเขาอีกครั้ง แล้วขอตัวกลับห้อง ตอนนี้จะตื่นหรือยังก็ไม่รู้
     ชายหนุ่มตัดสินใจไม่เข้าเรียนในตอนเช้า แต่เข้าครัวทำอาหารฆ่าเวลาไปพลางแวะเวียนไปดูที่ห้องของเควินไปพลาง แต่ประตูก็ยังคงปิดสนิท ชายหนุ่มล่าถอยกลับมาที่ครัวอีกครั้ง ทำอาหารเช้าจนเสร็จเรียบร้อยก็ยังไม่เห็นวี่แววของเควิน หลังจากกินอาหารเช้าที่ทำเองแล้ว ชินจิก็ตัดสินใจกลับห้อง แต่พอมือของเขาจับลูกบิดประตูปุ๊บ ประตูห้องข้าง ๆ ก็เปิดออก
     “อรุณสวัสดิ์เควิน” ชินจิทักด้วยความดีใจ แต่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในภาวะทำอะไรไม่ถูกอย่างไรก็ไม่รู้ มือไม้ดูเกะกะไปหมดไม่รู้จะเอาวางไว้ตรงไหน และไม่แน่ใจว่าควรจะทำตัวอย่างไรกับเควินดี
     คือนี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความรักและมีแฟนเป็นตัวเป็นตน
     คนรักของชินจิเป็นคนคลี่คลายสถานการณ์ให้ด้วยการยื่นหน้ามาจุ๊บแก้มเขาเร็ว ๆ ครั้งหนึ่งพร้อมกับบอกว่า
     “อรุณสวัสดิ์ชินจิ ตื่นเช้าจัง”
     “ไม่เช้าแล้วนะ นี่จะสิบเอ็ดโมงแล้ว” ชินจิตอบ ความเกร็งลดลงบ้างแล้ว แต่หน้าเขายังไม่หายร้อนเพราะมอร์นิ่งคิสที่แก้มเมื่อสักครู่
     “หิวไหมเควิน จะกินอะไรไหม ฉันจะทำให้”
     “ไม่เป็นไร ฉันมีของกินอยู่แล้ว” เควินปฏิเสธ แล้วเปิดตู้เย็นหยิบเอาโยเกิร์ตถ้วยใหญ่กับกล้วยหอมแช่เย็นเจี๊ยบจนเปลือกกลายเป็นสีน้ำตาลออกมา
     “นายอยากไปปาร์ตี้วันฮัลโลวีนกับฉันไหมคืนนี้” เควินถาม
     ชินจิลืมไปเสียสนิทเลยว่าวันนี้เป็นวันฮัลโลวีน แต่ก็เพราะเขาไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเป็นพิเศษกับวันนี้อยู่ก่อนแล้วด้วย ที่ญี่ปุ่นมีการจัดดิสเพลย์ร้านค้าตามเทศกาลแบบนี้อยู่เหมือนกัน ที่นี่ก็เริ่มตกแต่งกันก่อนล่วงหน้าแล้วตั้งอาทิตย์ ไปที่ไหนเขาก็เห็นแต่ฟักทองฉลุเป็นหน้าคน ค้างคาวสีดำ แม่มดขี่ไม้กวาดใส่หมวกปลายแหลม เขาไม่คิดมาก่อนว่าปีนี้จะไม่เหมือนทุกปีที่ผ่านมา
     ชินจิตอบตกลงทันที แต่เขากังวลอยู่เรื่องหนึ่ง
     “แล้วฉันควรแต่งตัวยังไงดี ต้องแต่งคอสตูมไหม แต่งานมันวันนี้แล้ว จะหาอะไรกันทัน”
     “ไม่เป็นไร เดี๋ยวนายเอาเสื้อบอลของฉันไปใส่ก็แล้วกัน แต่งคอสตูมเป็นแฟนบอล”
     เควินบอกง่าย ๆ แล้วพาคนรักเข้าไปในห้องพักของตัวเอง ชินจิไม่เคยเข้ามาในห้องของเควินมาก่อนและมันผิดไปจากที่เขาคิดไว้มาก
     ห้องของเควินรกและไม่เป็นระเบียบมากที่สุดเท่าที่ชายหนุ่มเคยเห็นมา
     เตียงนอนยับย่น ผ้าห่มม้วนเป็นกองอยู่ปลายเตียง หัวเตียงวางหนังสือกับกองกระดาษสุม ๆ อยู่กับนาฬิกาปลุกและโคมไฟอันเล็ก บนโต๊ะทำงานวางคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป หนังสือกฎหมายวางกองเต็มโต๊ะ เว้นที่ว่างตรงมุมไว้นิดเดียวเพื่อวางจานอาหารที่ยังไม่ได้ล้าง บนพื้นมีกระดาษที่ขยำเป็นก้อน รองเท้ากระจายอยู่คนละทิศละทาง ถังขยะเต็มจนเกือบจะล้น ชินจิอดรู้สึกผิดหวังนิด ๆ ไม่ได้เมื่อนึกถึงห้องตัวเองที่จัดเก็บข้าวของทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
     ชายหนุ่มค่อย ๆ นั่งลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง
     เควินเปิดตู้เสื้อผ้าที่รกพอกันกับส่วนอื่นในห้อง คุ้ยหาอยู่สักครู่ก่อนจะโยนเสื้อสีเหลืองสลับดำตัวหนึ่งมาให้ ชินจิรับมาคลี่ออกดู มันคือเสื้อทีมโบรุสเซียดอร์ทมุนด์ หมายเลขสิบเก้า สกรีนชื่อ โกรสคร้อยซต์ ที่ด้านหลัง
     “แล้วนายจะแต่งตัวเป็นอะไร” ชายหนุ่มถาม
     เควินงัดเอาเสื้อคลุมยาวสีดำกับหน้ากากดาร์ธเวเดอร์ออกมาให้ดู
     “น่าเสียดายที่ไม่มีดาบ เจอโรมมันยืมไปแล้วทำพัง” เควินบ่น
     ชินจินิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจถามว่า
     “วันนี้นายต้องทำอะไรรึเปล่า”
     “ไม่นะ ไม่ได้ทำอะไร”
     “งั้นฉันช่วยนายทำความสะอาดห้องนะ ฉันว่าห้องของนายเริ่มรกแล้วล่ะ”
     เควินมองชินจิแล้วมองไปรอบห้องตัวเอง สุดท้ายเขาก็ยักไหล่
     “เอาสิ อยากทำก็ได้”
     ชินจิมัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำความสะอาดห้องของเควินจึงลืมชวนอัตสึโตะกับมายะเสียสนิท แต่ทั้งคู่ก็รู้เรื่องงานปาร์ตี้วันฮัลโลวีนจากยูเลี่ยนที่ตามมาเทียวไล้เทียวขื่ออัตสึโตะถึงอาคารลีเซ่อไมท์เน่อแห่งภาควิชาฟิสิกส์ชนิดไม่มีการยอมน้อยหน้ามายะเด็ดขาด อัตสึโตะไม่รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักหลังจากที่อนุญาตให้ยูเลี่ยนจีบเขาได้ ก็แค่เหมือนมีมายะเพิ่มมาอีกคนเท่านั้น แต่เป็นมายะที่ปากว่ามือถึงอยู่สักหน่อย ยูเลี่ยนชอบเข้ามากอดมาคลอเคลียเขาจนต้องเปิดศึกกับมายะอยู่บ่อย ๆ
     “ไปด้วยกันนะอัตสึโตะ” ยูเลี่ยนชวน แต่อัตสึโตะยังมีทีท่าลังเลเพราะงานจัดที่คลับรูมของหอพักใกล้แคมปัสกลาง ชายหนุ่มไม่ค่อยอยากออกไปไหนไกล ๆ ในตอนกลางคืนสักเท่าไร มันเสียเวลานอนของเขา
     “ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปหรอกอัตสึโตะ ฮัลโลวีนปาร์ตี้ไม่เห็นจะมีอะไร ก็แค่หาเรื่องดื่มกันเท่านั้น” มายะถือโอกาสขัดคอทันที เขาเองก็ไม่อยากเข้าเมืองตอนกลางคืนเหมือนกัน และยิ่งไม่อยากให้อัตสึโตะไปไหนมาไหนกับเจ้าเด็กแสบนี่ด้วย
     “ไปเถอะ สนุกนะ ฮัลโลวีนปาร์ตี้น่ะทุกคนจะต้องแต่งคอสตูม ถือว่าไปเปิดหูเปิดตาดูคนแต่งอะไรแปลก ๆ ไง” ยูเลี่ยนไม่สนใจเสียงนกเสียงกายังคงพยายามชักชวนอัตสึโตะซึ่งเริ่มมีทีท่าสนใจขึ้นเล็กน้อยตอนที่ได้ยินคำว่าคอสตูม
     “แต่งานจัดในเมือง ขากลับจะกลับกันยังไง เออ แล้วมีใครไปบ้าง” อัตสึโตะถาม
     “ที่แน่ ๆ ก็มีฉัน เจอโรม เควิน มาร์โค มาริโอ้ มัทธีอัส อ้อ ถ้ามานูตกลงไปด้วย ขากลับก็กลับรถของมานูได้”
     อัตสึโตะนิ่งคิด เขาเพิ่งเจอมานูเอลเมื่อเช้าก่อนจะออกมาเรียน แต่ชายหนุ่มไม่เห็นพูดอะไรเรื่องนี้เลย
     “แล้วเรื่องคอสตูมล่ะ มาชวนเอาวันนี้ จะไปหาอะไรมาใส่ได้” มายะยังมีปัญหา
     “ก็ถ้านายหาไม่ได้ก็ไม่ต้องไป” ยูเลี่ยนพูดไม่ไว้หน้า แต่บอกอัตสึโตะเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “สำหรับอัตสึโตะนะเดี๋ยวฉันหาให้ นายอยากเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ไหม ฉันจำได้ว่ามานูมีผ้าพันคอสีเหลืองแดงของบ้านกริฟฟินดอร์กับไม้กายสิทธิ์ของใครสักคนนี่แหละ ถ้านายตกลง ฉันจะไปยืมมาให้”
     “ไปก็ได้ ท่าทางจะสนุกดีเหมือนกัน” อัตสึโตะตกลงหลังจากคิดอยู่สักครู่ แต่เขาบอกกับยูเลี่ยนว่า
     “นายไม่ต้องไปยืมของจากมานูเอลให้ฉันหรอก เดี๋ยวฉันไปยืมเอง”

     อัตสึโตะเคยไปเคาะห้องมานูเอลอยู่หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาข้างใน
     มานูเอลเปิดประตูรับเขาและพอรู้ว่าจะมาขอยืมของ ชายหนุ่มก็ให้เขาเข้ามารอในห้อง เมื่ออัตสึโตะก้าวเข้ามา สิ่งแรกที่สะดุดตาเขาที่สุดคือตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่ใส่เสื้อฟุตบอลสีขาวน้ำเงินทีมชาลเก้วางเด่นอยู่บนเตียง
     “ของขวัญวันเกิดจากพ่อของฉัน” มานูเอลบอกเมื่อสังเกตเห็นสายตาของอัตสึโตะ ท่าทางของชายหนุ่มขัดเขินเมื่อพูดต่อว่า
     “ติดมาก ไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน”
     “นายเป็นแฟนชาลเก้เหรอ” อัตสึโตะเอานิ้วจิ้มตัวนุ่ม ๆ ของตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เล่น
     “แน่นอน ฉันมาจากเกลเซ่นเคียเช่นนี่นา”
     “แต่ไม่ยักเล่นฟุตบอลเนอะ” อัตสึโตะจำได้ว่ามานูเอลเล่นกีฬาอย่างอื่น
     “เล่นตอนเด็ก ๆ ฉันเป็นผู้รักษาประตูด้วยนะ” มานูเอลเล่า แล้วกวักมือเรียกอัตสึโตะให้เดินเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มเลื่อนคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปให้อัตสึโตะมองเห็นหน้าจอ แล้วกดเลือกวีดิโอขึ้นมาคลิปหนึ่ง
     “เฮ้ย นี่นายเหรอเนี่ย” อัตสึโตะหัวเราะก๊ากเสียงดังเมื่อเห็นเด็กน้อยมานูเอลวัยห้าขวบในวีดิโอกำลังจะลงแข่งฟุตบอล แขนหนีบตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ใส่เสื้อทีมชาลเก้ซึ่งก็คือตัวที่อยู่บนเตียงนี่แหละ มานูเอลตอนเด็กเป็นผู้รักษาประตูและรับบอลพลาด ปล่อยให้ทีมฝ่ายตรงข้ามทำประตูได้ เด็กน้อยมีท่าทางเสียใจ เขาเดินหงอย ๆ ไปรวมกลุ่มกับเพื่อน แต่คุณครูเดินมาบอกว่าเขาลืมตุ๊กตาหมีไว้ที่ประตูฟุตบอล มานูเอลจึงวิ่งกระดุ๊กกระดิ๊กกลับไปเอาตุ๊กตาหมีกลับมา
     วีดิโอจบลงแค่นั้น แต่อัตสึโตะยังหัวเราะงอหาย
     “นายตอนเด็ก ๆ นี่ตลกอะ มีลืมตุ๊กตาหมีด้วย”
     “แล้วตอนเด็ก ๆ มีใครบ้างไม่ตลก ตัวนายเองก็ต้องทำอะไรตลก ๆ เหมือนกันแหละ” มานูเอลพูดด้วยน้ำเสียงเคือง ๆ เมื่อเห็นอัตสึโตะหัวเราะเอา ๆ อย่างนั้น
     “ตกลงนายจะเอาอะไร ผ้าพันคอกริฟฟินดอร์ใช่ไหม แป๊บนะ ขอฉันหาก่อน”
     ระหว่างที่มานูเอลเปิดตู้หา อัตสึโตะก็ถือโอกาสล้มตัวลงนอนอย่างสบายบนเตียงของมานูเอลที่ปูผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดเรียบตึง ผ้าห่มสีฟ้าอ่อน ๆ พับเรียบร้อยวางอยู่ปลายเตียง
     ห้องของมานูเอลสะอาดเรียบร้อย ม่านหน้าต่างสีครามเย็นตา ที่ผนังสีขาวติดรูปอวกาศและดวงดาวอย่างที่เจ้าตัวเคยบอกว่าชอบ มีโมเดลระบบสุริยะจักรวาลวางอยู่บนหัวเตียงด้วย ห้องนี้ให้ความรู้สึกสบายตาสบายใจจนเขาต้องพูดออกมาว่า 
     “สบายจัง วันหลังฉันมานอนกับนายได้ไหม”
     มานูเอลชะงัก หันมามองอัตสึโตะตาโต แต่คนพูดนอนหลับตาคว่ำหน้าซุกหมอนของเขาอย่างสบายใจ แถมเท้ายังถีบผ้าห่มของเขาเอียงกะเทเร่แทบจะตกจากเตียง ท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าคำพูดตัวเองทำให้คนฟังตกใจแค่ไหน แต่เห็นอัตสึโตะแบบนี้แล้ว มานูเอลก็เรียนรู้ว่าเขาไม่ควรคิดมากกับคำพูดของอัตสึโตะ
     ชายหนุ่มโคลงศีรษะ ลองมาอีท่านี้ ห้องของตัวเองคงจะรก แล้วก็กะมาทำให้ห้องคนอื่นเขารกไปด้วยสินะ
     “แล้วห้องนายล่ะ”
     “ก็มันรกอะ มายะยังไม่ได้มาทำความสะอาดให้เลย”
     นั่นไง เขาว่าแล้ว
     “แล้วทำไมไม่ทำเองล่ะ มัวแต่รอมายะ ห้องนายก็รกไปเรื่อย ๆ”
     “ไม่เอา ขี้เกียจทำ”
     “แล้วนายคิดว่ามายะจะอยู่ทำให้ได้ตลอดเหรอ สักวันหนึ่งมายะก็ต้องมีแฟน เขาก็ต้องไปดูแลแฟนเขา นายลองทำเองไม่ดีเหรอ ไม่ต้องรอคนอื่น ห้องของนายก็ไม่รก”
     อัตสึโตะนิ่งคิดตาม เสียงมานูเอลกล่อมต่อ
     “ลองดูสักหน่อยสิ แล้วนายจะรู้ว่าจริง ๆ มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลย แถมทำเองก็จะรู้ว่าจะเก็บจะทิ้งอะไร ให้คนอื่นทำให้เกิดเอาของสำคัญของนายทิ้งไปโดยที่ไม่รู้ มันจะแย่นะ”
     “จริงด้วย” อัตสึโตะเริ่มคล้อยตาม
     “งั้นตอนแรก ๆ ก็เริ่มจากเก็บของที่ใช้แล้วให้เข้าที่อย่างเดียวก่อนก็ได้ นายเอาอะไรออกมาจากที่ไหน ใช้เสร็จแล้วเอากลับไปวางคืนที่เดิม เท่านี้แหละง่าย ๆ ห้องนายก็ไม่รกแล้ว”
     “จริงนะ”
     “แน่นอน” มานูเอลรับรอง
     “งั้นฉันจะทำ” อัตสึโตะสัญญา
     “ดีมาก” มานูเอลชม แล้วเขาก็ให้รางวัลด้วยการยื่นกล่องกระดาษใส่ผ้าพันคอสีเหลืองสลับแดงปักตราอาร์มบ้านกริฟฟินดอร์ให้ และยังมีเสื้อคลุมยาวสีดำปักตราอาร์มแบบเดียวกันอยู่ในกล่องด้วย อัตสึโตะรับมาดู ก่อนจะบอกว่า
     “ต้องใช้ไม้กายสิทธิ์ด้วย”
     “แต่ฉันไม่มีของแฮร์รี่นะ มีแต่ของสเนป ฉันว่ามันสวยกว่า” มานูเอลยื่นกล่องใส่ไม้กายสิทธิ์สีดำเรียบ ๆ ตรงด้ามจับฉลุเป็นลายให้ดู “ใส่ผ้าพันคอกริฟฟินดอร์ แต่ถือไม้กายสิทธิ์ของสลิธีริน มันคงดูประหลาด”
     “ไม่เห็นจะเป็นไร แฮร์รี่ยังเคยใช้ไม้กายสิทธิ์ของมัลฟอยเลย”
     มานูเอลหัวเราะชอบใจ
     “พูดงี้แสดงว่าอ่านเหมือนกัน”
     “ทั้งอ่านหนังสือทั้งดูหนังเลย ฉันชอบอะไรแบบนี้อะ ผจญภัย ต่อสู้ เวทมนตร์ ทั้งหนังสือทั้งหนัง การ์ตูนก็ชอบ นายรู้จักไหม การ์ตูนปล่อยพลัง ดราก้อนบอลอะไรแบบนี้อะ สนุกมาก”
     “ที่ดัง ๆ ที่นี่ก็นารุโตะ วันพีซ บลีช ยูกิโอ้ ฉันเคยดูในช่องการ์ตูน สนุกดีนะ”
     “นั่นแหละ ๆ สนุกเนอะ”
     “ชอบอะไรแบบนี้ถึงว่าอยากจะเป็นนักฟิสิกส์ที่เป็นนักสืบ” มานูเอลล้อ
     “เฮอะ โอตาคุระบบสุริยะจักรวาลอย่างนายไม่มีสิทธิ์มาพูดแบบนี้กับฉันนะ” อัตสึโตะโต้กลับทันควัน
     ทั้งสองคนคุยกันอย่างถูกคอและเพลินจนอัตสึโตะเกือบลืมว่าตัวเองมาเคาะห้องมานูเอลเพราะเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง
     “แล้วตกลงนายจะไปงานด้วยกันรึเปล่า ถ้านายไม่ไป พวกฉันก็ไม่รู้จะกลับกันยังไงนะ”
     “กลัวจะไม่มีใครขับรถพากลับว่างั้น โหย ประโยชน์ของเรามีแค่นี้เอง” มานูเอลแกล้งว่า แต่เขาก็พยักหน้ารับ “ไปแหละ คืนนี้ฉันก็ว่างด้วย ไปเป็นคนขับรถให้ก็ได้”
     “แล้วนายจะแต่งตัวเป็นอะไร ฉันแย่งชุดนายมาใส่ซะแล้ว”
     “ไม่เป็นไร ในตู้มีเสื้อบอลทีมชาลเก้ ฉันแต่งตัวเป็นแฟนบอลก็ได้”
     มานูเอลยิ้มให้แล้วขมวดคิ้วนิด ๆ เพราะเห็นอัตสึโตะจ้องหน้าเขานิ่ง และเมื่อเขาถาม อัตสึโตะก็ตอบว่า
     “ฉันนึกว่านายโกรธที่ฉันถามเรื่องแฟนนายซะอีก ตั้งแต่เมื่อวานนายดูเมิน ๆ ฉันยังไงก็ไม่รู้”
     “ฉันไม่ได้โกรธนาย จะโกรธทำไม” มานูเอลพูด แล้วถ้าถามก็ต้องบอกว่าเขาโกรธตัวเองมากกว่า โกรธที่คิดอะไรเผลอไผลเลื่อนเปื้อนทั้ง ๆ ที่ไม่สมควร แล้วเมื่อถูกถามถึงคนรักเข้า มันก็เหมือนถูกตอกย้ำด้วยความจริง เขาถึงทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะวางตัวแบบไหนดี
     “งั้นก็ดี คราวหลังนายอย่าเมินฉันอีกละกัน เหมือนไม่ใช่มานูเอลคนเดิมเลย ปกตินายใจดีออก”
     “ขอโทษที”
     มานูเอลรับคำ แต่เขาก็รู้ว่าถึงเขาจะไม่ทำตัวห่างเหิน แต่เขาก็จะใกล้ชิดอัตสึโตะมากไปกว่านี้ไม่ได้เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 4 - update - 23.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 24-09-2014 20:34:32
โถ งานนี้สงสารคนที่ตกหลุมอัตสีโตะจริง ๆ ... ยกเว้นยูเลี่ยนนะ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 4 - update - 23.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 24-09-2014 22:40:19
     ชินจิไปงานเลี้ยงวันฮัลโลวีนกับเควินและเจอโรม เขาใส่เสื้อทีมโบรุสเซียดอร์ทมุนด์สีเหลืองสลับดำทับด้วยเสื้อกันหนาว เควินยังให้ยืมผ้าพันคอของทีมสีเดียวกับเสื้อมาด้วย ส่วนเควินใส่หน้ากากและเสื้อคลุมยาวสีดำเป็นดาร์ธเวเดอร์อย่างที่ตั้งใจไว้ แถมยังไปหาแท่งพลาสติกทรงเดียวกับดาบเลเซอร์มาได้อีก เจอโรมแต่งเป็นแดร็กคูลา ใส่ทักซีโด้กับเขี้ยวปลอม
พวกเขานั่งรถเอสบาห์นไปกันจึงมาถึงช้ากว่าพวกอัตสึโตะที่มากับรถของมานูเอล
     “อัตสึโตะ นายแต่งตัวน่ารักจัง”
     เมื่อเข้าไปในงานเจออัตสึโตะที่แต่งตัวเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ ชินจิก็ทักด้วยความชอบอกชอบใจ อัตสึโตะใส่ชุดคลุมกับผ้าพันคอสีเหลืองสลับแดง ใส่แว่นกลมขอบสีดำ ที่หน้าผากเขียนรูปสายฟ้าฟาด มือถือไม้กายสิทธิ์ เพื่อนของเขาตอนใส่แว่นดูน่ารักมากจนเขาอดชมไม่ได้
     “ใส่แว่นด้วย” มือของชินจิแตะแว่นตาที่มีแต่กรอบไม่มีเลนส์ของอัตสึโตะ
     “แว่นเก่าของฉันเอง เลนส์มันแตกเลยเอาออก เหลือแต่กรอบเปล่า โชคดีที่เอาติดมา” อัตสึโตะพูด “แล้วนี่นายมายังไง มากับเควินเหรอ”
     “เควิน เจอโรม มาร์โค มาริโอ้ มัทธีอัส” ชินจิแจกแจง เขายังไม่ได้บอกใครว่าตกลงเป็นแฟนกับเควินแล้ว มันออกจะเขิน ๆ คิดว่าให้ค่อย ๆ รู้กันเองดีกว่า
     “นี่นายแต่งตัวเป็นแฟนโบรุสเซียดอร์ทมุนด์ยังงี้ นายจะตีกับมานูเอลไหม” มายะยื่นหน้าเข้ามาถามบ้าง เขาไม่ได้แต่งคอสตูม ยูเลี่ยนไม่ยอมจึงจับดินสอเขียนหน้ามาละเลงวงกลมรอบขอบตาชายหนุ่มแล้วถมดำจนดูเหมือนคนโดยต่อยตาช้ำ มายะโวยวายลั่นไปหมดตอนที่ส่องกระจกดู
     ชินจิมองตามอาการบุ้ยใบ้ของมายะไปทางมานูเอลที่ใส่เสื้อของทีมคู่อริแล้วหัวเราะชอบใจ มานูเอลที่โดนพาดพิงก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย
     ทั้งหมดทักทายและแยกย้ายกันไปนั่งหรือยืนที่มุมใดมุมหนึ่งของงาน คลับรูมกว้างขวางเต็มไปด้วยผู้คนที่แต่งตัวเป็นผีและปีศาจรวมทั้งคอสตูมแบบอื่น ๆ
     ชินจินั่งอยู่ข้างเควินที่กำลังคุยกับคนอื่น ๆ อย่างสนุกสนาน นาน ๆ ทีจึงหันมาชนแก้วกับเขาสักครั้ง ชินจิพยายามจับต้นชนปลายเรื่องที่พูดกันอยู่ แต่เขาตามไม่ค่อยทันจึงเพียงแต่ตั้งใจฟังและจิบน้ำส้มผสมว็อดก้าไปเรื่อย ๆ พร้อมกับมองไปรอบตัว ที่มุมหนึ่งของงาน เขาเห็นพวกอัตสึโตะกำลังเล่นเกมกันอย่างสนุกสนาน ดูเหมือนจะเป็นไพ่อีแก่กินน้ำ ใครแพ้ต้องดื่มเบียร์หมดแก้ว
     “เครื่องดื่มนายหมดแล้วนี่นา ฉันเติมให้นะ” เควินทักพร้อมกับผสมว็อดก้ากับน้ำส้มแก้วใหม่ให้ ชินจิละความสนใจจากภาพเมื่อกี้ทันที สายตาของเขาจ้องมองแต่เควินคนเดียว ไม่ได้หันไปทางอื่นอีก เขาฟังเควินคุยกับเพื่อนสลับกับคุยกับเจอโรมบ้าง แล้วก็ดื่มเครื่องดื่มในมือไปเรื่อย ๆ ชินจิดื่มแอลกอฮอล์ได้ แต่เขาไม่ใช่คนคอแข็งอะไร ครู่เดียวก็เริ่มมึน แต่ยังฝืนดื่มต่อเรื่อย ๆ เพราะเควินยังไม่ยอมกลับ สุดท้ายเขาก็เมา
     เจอโรมสะกิดเควินให้ดูชินจิ ชายหนุ่มจึงเลิกคุยกับเพื่อนได้ในที่สุด
     “ชินจิ นายเมาแล้วรึเนี่ย” เควินเขย่าตัวที่โงนเงนของคนรัก
     “กลับเลยดีกว่ามั้ง แฟนนายเมาแล้วล่ะ” เจอโรมเสนอ
     “เอา กลับก็กลับ” เควินตกลง แล้วเขาก็ประคองร่างของชินจิติดรถเพื่อนของเจอโรมกลับมาที่หอพัก ชินจิยังมีสติรู้ตัว แต่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้และไม่รู้เรื่องเมื่อเควินถามหากุญแจห้อง เควินจึงต้องพามาที่ห้องของตัวเอง แล้วเมื่อเข้ามาในห้อง ชินจิก็ฝืนตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป เขาเดินโซเซเข้าห้องน้ำ แล้วอาเจียนออกมาหมดไส้หมดพุง
     “เฮ้ย อย่าอ้วกในอ่างล้างหน้าสิ” เควินร้องห้ามเสียงหลง แต่ไม่ทัน ชินจิเกาะขอบอ่างโก่งคออาเจียนเรียบร้อยแล้ว
     “ว้า เมาหมดสภาพเลยชินจิเอ๊ย” เควินโคลงศีรษะ มือข้างหนึ่งของเขาประคองชินจิ อีกข้างหนึ่งควานลงไปในกองอาเจียนของชินจิให้มันกระจายตัวเพื่อให้ไหลลงท่อได้เร็วขึ้น ชินจิมองเห็นทุกอย่างตลอดเวลา เขาเมาควบคุมตัวเองไม่ได้ก็จริง แต่มีสติพอที่จะอึ้งไปเมื่อเห็นเควินใช้มือเปล่าแตะของที่เขาอาเจียนออกมาอย่างไม่รังเกียจรังงอน ชินจิยังคิดถึงตัวเองต่อว่าเขาจะทำอย่างนั้นได้บ้างหรือเปล่า และเขาบอกตัวเองทันทีว่าเขาจะทำให้ได้เหมือนที่เควินทำให้เขา
     ชินจิถูกประคองมานอนที่เตียง เมื่อเควินเอาผ้าห่มมาคลุมให้ ชายหนุ่มก็หลับไปอย่างรวดเร็ว
     ตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนเช้า ชินจิก็ไม่เห็นเควินแล้ว แต่บนพื้นหน้าเตียงมีผ้าห่มที่ปูเป็นที่นอนยังไม่ได้เก็บ บนหมอนมีกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งวางอยู่ ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาอ่าน

     “ไปเล่นเกมห้องเจอโรม นายตื่นแล้วมาหาด้วย – เควิน”

     ชินจิยิ้มนิด ๆ รู้สึกดีอย่างประหลาด
     หลังจากเก็บที่นอนให้เควินและพับผ้าห่มที่ตัวเองใช้เมื่อคืนอย่างเรียบร้อย ชินจิก็เดินออกจากห้องของเควิน ตอนแรกเขาตั้งใจจะไปที่ห้องของเจอโรมเลย แต่คิดอีกที กลับห้องไปล้างหน้าล้างตาและหาอะไรรองท้องหน่อยดีกว่า ชายหนุ่มจึงกลับเข้าไปในห้องตัวเอง อาบน้ำให้เนื้อตัวสดชื่น แล้วออกมาหาอะไรกินในห้องครัว
     “สวัสดีฟิลิป” ชินจิทักเพื่อนร่วมฟลอร์ที่นั่งอ่านหนังสือนิตยสารอยู่บนโต๊ะอาหาร ตรงหน้ามีกาแฟกับจานขนมที่ยังกินค้างไว้วางอยู่
     “สวัสดี” ฟิลิปทักตอบ เขามองใบหน้าสดใสของชินจิอย่างคนที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่นับรวมถึงตอนที่เขาเห็นชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องเควินเมื่อสักครู่นี้
     ชินจิทักแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ตรงไปต้มน้ำชงชา หยิบโอนิงิริไส้ทูน่ามายองเนสทำเองที่เก็บไว้ในตู้เย็นออกมา แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ห่างจากที่ฟิลิปนั่งเล็กน้อย
     “ได้ยินว่านายตกลงเป็นแฟนกับเควินแล้วยังงั้นเหรอ” จู่ ๆ ฟิลิปก็ถามขึ้น
     ชินจิมองประธานหอพักด้วยความประหลาดใจ
     “ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน แต่ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะไม่ตัดสินใจอย่างนี้”
     “ทะ...ทำไม” ชินจิหน้าเสีย
     ฟิลิปขยับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สีหน้าของชินจิทำให้เขาตัดสินใจไม่พูด แค่ยักไหล่ แล้วเปลี่ยนเป็นบอกว่า
     “นายอยู่ที่นี่แค่เทอมเดียว ฉันว่าเวลามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่จะมีความรัก”
     “อ้อ เรื่องนี้เอง” ชินจิสีหน้าดีขึ้น “ฉันว่าไม่น่าจะเป็นอะไรนะ”
     เขาคิดถึงคำพูดที่หนักแน่นของเควินที่ผับในวันนั้นและสิ่งที่เควินทำให้เมื่อคืนนี้ แล้วก็มั่นใจว่ามันจะไม่ใช่ปัญหาจริง ๆ
     ฟิลิปมองหน้าชินจิอีกครั้ง สีหน้าและแววตาของชินจิบอกความรู้สึกออกมาจนหมด ฟิลิปจึงเพียงแต่พูดว่า
     “เอาเถอะ แล้วแต่นาย ฉันขอให้นายมีความสุขก็แล้วกัน”

     ชินจิบอกตัวเองว่าเขากำลังมีความสุข
     ตั้งแต่ตกลงเป็นแฟนกัน เควินก็ชวนเขาไปไหนมาไหนบ่อยขึ้น และยังมีดอกไม้ ชินจิไม่เคยได้รับดอกไม้จากใครมาก่อน แต่เขาได้รับดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่งจากเควิน
     “สวยจังเลย” ชินจิชื่นชม แล้วเอามันใส่แจกันวางไว้บนโต๊ะทำงาน
     ครั้งต่อมาเควินก็ซื้อกุหลาบดอกเล็ก ๆ สีชมพูมาให้กระถางหนึ่ง ชินจิไม่ใช่คนมือเย็นที่ปลูกอะไรก็งอกงาม ในห้องของเขาจึงไม่เคยมีดอกไม้หรือกระถางต้นไม้ แต่ชายหนุ่มก็เฝ้าประคบประหงมกระถางกุหลาบที่ได้มาจากคนรักอย่างดี
     คนรอบตัวเริ่มทราบว่าเขาคบกับเควิน
     ตอนนี้ชินจิไม่ค่อยได้ไปไหนกับอัตสึโตะและมายะเหมือนแต่ก่อน เพราะเขาอยู่แต่กับเควิน อย่างเช่นในคืนนี้ คนในหอพักนัดกันไปไอริชผับเพื่อไปเล่นเกมตอบคำถามซึ่งทางผับจัดขึ้นทุกวันจันทร์เพื่อเรียกลูกค้า ใครตอบถูกหมดทั้งห้าคำถามจะได้รับรางวัลห้าสิบยูโร ชินจิก็แยกกันไปกับอัตสึโตะและมายะโดยไปกับเควินและเจอโรมแทน
     เกมในวันนี้มีหัวข้อคือแฮร์รี่ พอตเตอร์ เข้าทางอัตสึโตะกับมานูเอลพอดี ทั้งคู่อยู่ทีมเดียวกัน พ่วงด้วยมายะและยูเลี่ยน ส่วนทีมของชินจิมีเควิน เจอโรม มัตส์และเอริค
     คำถามยากง่ายปนกัน พนักงานจะแจกกระดาษคำตอบให้ทีมละแผ่น จากนั้นอ่านทีละคำถาม ฟังคำถามปุ๊บก็เขียนคำตอบลงไป เมื่อส่งกระดาษคำตอบครบหมดทุกทีม พนักงานจะเฉลยคำตอบและประกาศชื่อทีมที่ได้รับรางวัล
     ชินจิรู้เกี่ยวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์มากกว่าคนอื่น แต่ปัญหาของเขาคือฟังคำถามไม่เข้าใจทั้งหมด ต้องให้เควินช่วยแปล
     ส่วนทีมของอัตสึโตะ ชินจิได้ยินแต่เสียงเถียงกันโหวกเหวกของมายะกับยูเลี่ยนที่พยายามจะแย่งกันตอบคำถามเพื่อเอาใจเพื่อนของเขา แต่ทั้งทีมของเขาและอัตสึโตะไม่มีใครได้รับรางวัลทั้งคู่เพราะตอบคำถามข้อสุดท้ายผิด ชินจิได้ยินอัตสึโตะบ่นอย่างเซ็ง ๆ ว่า
     “ใครมันจะไปรู้วะว่าผู้กำกับชอบหนังสือเล่มที่เท่าไหร่”
     ชายหนุ่มก็ไม่รู้ เขาก็เลยเลือกตอบหนังสือเล่มที่เขาชอบที่สุดคือเล่มเจ็ด แต่ผู้กำกับคริส โคลัมบัสเคยให้สัมภาษณ์ว่าชอบเล่มที่สามมากที่สุด แต่ถึงจะไม่ได้รางวัล เขาก็สนุกมาก เควินแสดงออกกับเขาอย่างเปิดเผย นั่งอยู่ใกล้ ๆ เอามือโอบเอวเขาไว้ตลอดเวลา บางครั้งก็หันมาจูบเขาโดยไม่สนใจสายตาใคร ชายหนุ่มเองเสียอีกที่หน้าแดงด้วยความอาย แต่เขาก็ชอบที่คนรักทำแบบนี้
     เควินยังเซอร์ไพรซ์เขาด้วยการจัดดินเนอร์ใต้แสงเทียนให้ในวันหนึ่ง
     ชินจินึกว่าจะทำอาหารกินกันง่าย ๆ เมื่อเควินบอกเขาว่า
     “วันนี้กินข้าวด้วยกันนะ ฉันทำอาหารเอง”
     แล้วเขาก็ถูกไล่ให้ไปรอในห้องของตัวเองตอนที่เขาเสนอตัวว่าจะช่วย
     “ฉันทำเอง นายไปรอในห้องเถอะ เสร็จแล้วเดี๋ยวฉันจะไปเรียก”
     สามสิบนาทีถัดมา เควินก็มาเคาะประตูและจูงมือชินจิไปที่ห้องของเขา ข้างในห้องปิดไฟมืด มีแต่แสงสลัว ๆ ของเทียนไขสามเล่มที่ปักอยู่บนเชิงเทียน
     “สวยจัง” ชินจิชื่นชม เขาเคยฝัน ๆ ถึงดินเนอร์ใต้แสงเทียนอยู่เหมือนกัน เคยคิดว่ามันจะเป็นอย่างไรหากมีใครสักคนทำให้เขา แล้วเมื่อความฝันเป็นจริงขึ้นมาในวันนี้ ชายหนุ่มบอกได้เลยว่ามันพิเศษจริง ๆ
     “ชอบไหม” เควินถาม
     “ชอบมากเลย” ชินจิตอบ อาหารที่เควินทำเป็นสเต็กหมูง่าย ๆ ราดซอสเห็ดเคียงด้วยมันฝรั่งผัด เขาซื้อไวน์ราคาไม่แพงมากมาด้วยหนึ่งขวด ชินจิรับประทานอาหารที่เควินทำอย่างเอร็ดอร่อย
     ทุกอย่างมันดีจนเหมือนอยู่ในความฝัน ชินจิยิ้มหวานให้เควินพร้อมกับพูดว่า
     “ขอบใจมากนะเควินสำหรับทุกอย่างที่นายทำให้ฉัน”
     “ฉันดีใจที่นายชอบ”
     เควินยิ้มตอบ ชินจิเห็นสายตาที่แสดงความรักใคร่ของเควินทอดจับอยู่ที่เขา ชายหนุ่มบอกตัวเองว่า
     เขามีความสุขจริง ๆ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 4 - update - 24.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 24-09-2014 22:58:34
เควิน​จริงใจ​หรือเปล่าฟระ แหม่งๆ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 4 - update - 24.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 25-09-2014 19:41:16
บทที่ 5

     ชินจิกำลังเห่อทำอาหาร เพราะเควินบอกว่าชอบอาหารที่เขาทำ
     ปกติชายหนุ่มไม่ได้ทำอาหารกินเองบ่อยนัก เมื่อตอนอยู่ญี่ปุ่น เขาก็ฝากท้องไว้ที่โรงอาหารบ้าง ข้าวกล่องร้านสะดวกซื้อบ้าง ร้านราเม็งหรือร้านอาหารสำหรับครอบครัวราคาไม่แพงบ้าง นาน ๆ ทีมีเวลาก็ทำกินเองสักที แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่เขาทำอาหารบ่อยขึ้นเพราะไม่ได้ชอบอาหารฝรั่งมากเท่าไร กินติด ๆ กันเข้าก็เบื่อ ต้องหันกลับมาหาข้าวสวยทุกครั้ง
     หลังจากคบกับเควิน ชินจิทำอาหารทุกวัน เขาเปิดอินเตอร์เน็ตหาสูตรอาหาร หรือไม่ก็ขอคำแนะนำจากมายะ
     อาหารที่เขาทำส่วนใหญ่เป็นอาหารญี่ปุ่นด้วยความที่คุ้นเคยมากกว่า และเควินก็ชมว่าอร่อย คนรักกินอาหารเย็นกับเขาแทบทุกวันจนเจอโรมแซวว่า
     “ตั้งแต่เป็นแฟนกับนายเนี่ย ฉันไม่เคยเห็นมันเข้าครัวเลย มีคนทำกับข้าวให้กินตลอด น่าอิจฉาจริงวุ้ย”
     ชินจิก็ได้แต่ยิ้มอาย ๆ
     วันนี้เขาก็ทำอาหารอยู่ในครัวเหมือนทุกวัน แต่มีมายะกับอัตสึโตะอยู่ด้วย มายะสอนเขาทำผักต้มซอสและผลงานของเขาก็ออกมาดี ดีจนอัตสึโตะกินเอา ๆ เกือบจะหมดหม้อนี่แหละ
     “นายทำอาหารเก่งชะมัดเลย ฉันว่าเก่งกว่ามายะแล้วล่ะ” อัตสึโตะชม
     “พูดยังงี้เดี๋ยวฉันเลิกทำให้กินซะเลย” มายะงอน แต่อัตสึโตะไม่สนใจตามเคย เขายกถ้วยขึ้นซดน้ำซุปที่เหลือจนเกลี้ยง
     “อย่าทะเลาะกันน่า” ชินจิห้าม ก่อนจะขอคำปรึกษาว่า “ฉันอยากทำอาหารออกไปปิกนิก พวกนายคิดว่าดีไหม เสาร์อาทิตย์ไหนว่าง ๆ ออกไปเที่ยวนอกเมืองกัน”
     “เอาสิ ก็ดีเหมือนกัน เปลี่ยนบรรยากาศ” มายะเห็นด้วย เขาเองก็อยากไปเที่ยวกับอัตสึโตะเหมือนกัน การทำอาหารไปปิกนิกก็น่าสนใจ
     “อากาศหนาว ๆ เนี่ยนะ” แต่คนที่มายะอยากให้ไปด้วยกลับทำหน้ายุ่ง ต้นเดือนพฤศจิกายนอย่างนี้อากาศเย็น อัตสึโตะไม่เข้าใจเลยว่าการออกไปปิกนิกท่ามกลางอากาศหนาว ๆ มันจะดีกว่าการนอนห่มผ้าห่มอุ่น ๆ ตรงไหน
     “ก็ดีกว่าจับเจ่าอยู่ในหอพักล่ะน่า” มายะว่า
     “ไปไหนกันดีล่ะ” ชินจิถาม
     ทั้งชินจิและมายะพากันนิ่งคิด แต่อัตสึโตะที่ไม่ค่อยยินดียินร้ายในตอนแรกกลับมีไอเดียให้

     มานูเอลไม่มีอะไรขัดข้องเมื่ออัตสึโตะมาทวงสัญญาเรื่องไปเที่ยวมึกเกลเซ แต่เมื่อจุดประสงค์คือการไปปิกนิก ชายหนุ่มก็เลือกเปลี่ยนโปรแกรมเล็กน้อยเพราะคงไม่เหมาะสมที่จะเทร็กกิ้งกันสักเท่าไร
     “เราไปกันแบบสบาย ๆ ก็แล้วกัน ออกตอนสาย ๆ แล้วไปกินข้าวเที่ยงที่ทะเลสาบ บ่าย ๆ ข้ามไปเดินเที่ยวที่รานส์ดอร์ฟ แล้วก็กลับ”
     ทุกคนไม่มีปัญหาอะไร
     ในตอนแรกคนที่จะไปมีมานูเอลในฐานะไกด์ อัตสึโตะ มายะ ยูเลี่ยน (มายะสงสัยว่าไอ้หมอนี่มันรู้ได้อย่างไรในเมื่อเขาอุตส่าห์กำชับทุกคนแล้วว่าไม่ให้บอก) ชินจิ และเควิน แต่วันที่จะไปกันนั้นกลับมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน เควินชวนเจอโรม มัตส์ และเอริคไปด้วยโดยที่ไม่ได้บอกชินจิก่อน แล้วเมื่อรู้ ชินจิก็อึ้งไปเล็กน้อย
     “ฉันไม่ได้ทำอาหารเผื่อสามคนนั้นนะ นายน่าจะบอกฉันก่อนว่าจะชวน ฉันจะได้ทำอาหารเพิ่ม” ชินจิเป็นกังวล
     นี่ยังไม่นับเรื่องผิดแผนที่จะได้อยู่กันสองคนโดยที่ไม่มีเพื่อน ๆ ของเควินอยู่ด้วยอีก ส่วนพวกมานูเอลนั่นยกไว้เถอะ ถึงเวลาก็คงป้วนเปี้ยนกันอยู่รอบตัวอัตสึโตะทุกคนนั่นแหละ ไม่มีใครมารบกวนเขาหรอก
     “ไม่ต้องห่วงหรอก พวกนั้นหาอะไรกินกันเองได้แหละน่ะ” เควินไม่เดือดร้อน แต่ชินจิก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ถึงกระนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่หิ้วถุงใส่กล่องอาหารหนักอึ้งเดินตามคนรักไปสมทบกับคนอื่น ๆ
     มึกเกลเซเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของเบอร์ลิน ตั้งอยู่ในเขตเคอเพนิค เป็นสถานที่ตากอากาศยอดนิยมของชาวเมืองในตอนหน้าร้อน เหมาะกับการเล่นกีฬาทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็นพายเรือ เล่นเซิร์ฟ หรือว่ายน้ำ รอบ ๆ ทะเลสาบยังมีเรือให้เช่าตั้งแต่เรือยนต์ไปจนถึงเรือแคนู และยังมีบริการนั่งเรือชมวิวด้วย
     จากหอพัก พวกเขานั่งรถรางสายหกสิบมาลงที่ป้ายถนนบาห์นโฮฟตัดกับถนนเซเล่นบินเดอร์ จากนั้นต่อรถบัสสาย X69 มาลงที่ป้ายถนนโอแดร์นไฮเมอร์ซึ่งเป็นป้ายสุดท้าย
     “มึกเกลเซมีสองส่วนคือ ทะเลสาบใหญ่กับทะเลสาบน้อย ที่เราจะไปกันคือมึกเกลเซน้อย เพราะถ้าเราจะข้ามไปรานส์ดอร์ฟด้วย ตรงนี้จะสะดวกกว่า” มานูเอลอธิบายให้อัตสึโตะฟังขณะอยู่บนรถบัส
     เมื่อนั่งรถมาถึงป้าย ทั้งหมดก็เดินไปตามถนนที่สองข้างทางเป็นป่าร่มครึ้มเพื่อไปยังจุดที่เป็นหาดทรายให้เล่นน้ำและนั่งปิกนิกกันได้
     “รู้งี้ฉันน่าจะแบกจักรยานมาด้วย นี่ต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหนเนี่ย” มายะโอดครวญเพราะเขาต้องแบกเป้หนัก ๆ ใส่กล่องอาหารที่บรรจุของกินลงไปแบบเต็มพิกัด และถึงมานูเอลจะแบ่งไปช่วยแบกด้วย แต่เขาก็ยังบ่นอยู่ดี
     “ไม่ไกล อีกแป๊บนึงก็ถึงแล้ว” มานูเอลที่เดินอยู่ข้าง ๆ บอก
     ชินจิหิ้วถุงอาหารเดินเยื้องไปทางข้างหลังเล็กน้อยรั้งท้ายทุกคน ชายหนุ่มอยากบ่นเหมือนกัน แต่คนละเรื่องกับมายะ เควินไม่ช่วยเขาหิ้วของ ชายหนุ่มก็ไม่ว่าอะไร แต่เควินทิ้งเขาไปเดินนำโด่งอยู่ข้างหน้า รวมอยู่กับเจอโรม มัตส์และเอริค ชินจิไม่ชอบแบบนี้เลย เขาอยากให้เควินเดินอยู่ข้าง ๆ เขามากกว่า ชายหนุ่มพยายามไม่คิดมาก เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังงี่เง่า แต่เขาก็ไม่ค่อยพอใจที่มันเป็นแบบนี้
     หลังจากที่เดินกันมาประมาณสิบนาทีก็ถึงจุดหมาย หาดริมฝั่งมึกเกลเซน้อยเป็นหาดทรายสีน้ำตาลกว้างพอประมาณ น้ำนิ่งสงบเป็นสีน้ำเงินหม่น ๆ มองออกไปเห็นบ้านน่ารักสีขาว สีเหลือง สีส้ม สีชมพูอ่อนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบ และถึงแม้จะเป็นตอนปลายฤดูใบไม้ร่วง อากาศหนาว แต่ก็มีคนมาเที่ยวกันอย่างหนาตา
     เควินกับเจอโรม มัตส์และเอริคพากันเดินลงไปหาที่นั่งอย่างรวดเร็ว มานูเอล มายะ อัตสึโตะและยูเลี่ยนตามลงมา รั้งท้ายด้วยชินจิ และเพราะกำลังไม่พอใจ ชินจิจึงเลือกนั่งบนผ้าผืนเดียวกับพวกอัตสึโตะซึ่งเป็นผ้าปูผืนใหญ่ ปล่อยให้เควินนั่งกับเพื่อนบนผ้าปูอีกผืนหนึ่งที่มีขนาดเล็กกว่า
     อัตสึโตะคว้าเป้ของมายะมาเปิดเอากล่องอาหารออกมาทันทีที่นั่งลง แล้วก็คีบอาหารเข้าปากตุ้ย ๆ
     มานูเอลชวนชินจิคุยเมื่อเห็นเขานั่งเงียบ ๆ ฟังมายะกับยูเลี่ยนเถียงกัน หลังจากที่ยกอาหารทั้งกล่องไปวางไว้ให้เควินแล้ว
     “นายมาจากคานาซาว่าเหมือนอัตสึโตะรึเปล่า”
     “เปล่า ฉันมาจากโกเบ นายรู้จักไหม”
     มานูเอลพยักหน้า
     “รู้จักสิ เคยเห็นรูป ที่มีสวนสนุกตรงท่าเรือใช่ไหม”
     “ใช่แล้ว นายนี่รู้เยอะเหมือนกันนะ”
     “ฉันชอบญี่ปุ่น ฉันว่าประเทศนายสวยมาก อาหารก็อร่อย สักวันหนึ่งฉันอยากจะไปเที่ยวบ้าง”
     “มาสิ แล้วอย่าลืมมาเที่ยวที่โกเบด้วยนะ”
     “ต้องไปแน่นอน” มานูเอลตอบอย่างกระตือรือร้น และนั่นทำให้ชินจิแอบสะท้อนใจนิด ๆ ชายหนุ่มเหลือบมองเควินที่กำลังนั่งคุยกับเจอโรมพลางดื่มเบียร์กันไปพลาง เควินไม่เคยถามเลยว่าชินจิมาจากเมืองอะไร หรือแสดงทีท่าสนใจอะไรญี่ปุ่นเป็นพิเศษ มันคงจะดีนะถ้าเควินสนใจประเทศของเขาเหมือนที่มานูเอลสนใจบ้าง
     มัตส์กับเอริคชวนกันไปเช่าเรือมาพายเล่น ท่าทางสนุกสนานมาก มายะจึงหันมาชวนอัตสึโตะที่ทำท่าจะล้มตัวลงนอนหลังจากกินอิ่มให้ไปพายเรือเล่นกับเขา
     “ฉันอยากนอนสักงีบอะ” อัตสึโตะสั่นศีรษะปฏิเสธ
     “มาถึงนี่ทั้งทีจะนอนทำไม นายไปพายเรือเล่นกับฉันดีกว่า ฉันจะพายให้นายนั่งเอง” มายะยังพยายามตื๊อและแน่นอนว่ายูเลี่ยนไม่มีทางน้อยหน้า เขาจับมืออัตสึโตะทันที
     “นายไปพายเรือเล่นกับฉันก็ได้นะถ้าไม่อยากไปกับมายะ”
     “อัตสึโตะไม่อยากไปกับนายหรอกเจ้าเด็กบ้า อัตสึโตะจะไปกับฉัน” แล้วมายะก็จับมืออัตสึโตะอีกข้างหนึ่ง
     มายะกับยูเลี่ยนมองหน้ากันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
     อัตสึโตะรำคาญเต็มแก่ เขาสะบัดมือออก แล้วประกาศว่า
     “ถ้าอยากพายเรือนักก็พายด้วยกันสามคนเนี่ยแหละ”
     พูดจบเขาก็เดินดุ่ม ๆ ไปจัดการเช่าเรือ มายะกับยูเลี่ยนต้องรีบวิ่งตามมา
     “เอาจริงเหรอ อัตสึโตะ” มายะถาม เขาอยากนั่งเรือกับอัตสึโตะ แต่ไม่อยากมีเจ้าเด็กแสบพ่วงไปด้วยนี่นา ยูเลี่ยนก็ทำหน้าเซ็งพอกัน
     “ก็ไหนบอกว่าอยากพายเรือ พวกนายอย่าเรื่องมากได้ไหม” อัตสึโตะเอ็ด “ยูเลี่ยน นายลงไปก่อน”
     ยูเลี่ยนจำต้องลงไปนั่งในเรือ สองมือจับพายเอาไว้
     “ต่อไปมายะ” อัตสึโตะสั่ง และเมื่อมายะยึกยัก เขาก็ดันตัวเพื่อนลงไปนั่งในเรือจนได้ มายะต้องรีบจับกราบเรือเพื่อพยุงตัวไม่ให้ตกน้ำเพราะอัตสึโตะผลักเขาอย่างแรงจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
     “พายเรือกันให้สนุกนะทั้งสองคน”
     อัตสึโตะพูดพร้อมกับถีบเรืออย่างแรงให้ลอยห่างออกจากท่า
     “ไม่นะ! อัตสึโตะ!” มายะร้องโหยหวน มือของเขายืดออกสุดเอื้อม ขณะที่เรือลอยห่างจากฝั่งเรื่อย ๆ
     “บ๊ายบาย” อัตสึโตะยืนโบกมือส่งอยู่ที่ท่า เสียงหัวเราะชอบใจของเขาดังประสานกับเสียงโหวกเหวกโวยวายของทั้งมายะและยูเลี่ยนบนเรือที่กำลังหมุนเป็นวงกลม
     “ไอ้ยูเลี่ยน พายกลับสิวะ นี่นายพายเรือเป็นรึเปล่าเนี่ย”
     “ฉันก็พยายามอยู่นี่ไง ปากดีนัก มาพายเองไหมล่ะ”
     บนฝั่ง มานูเอลโคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ อัตสึโตะนี่ก็เอาเรื่องไม่หยอก บทจะเกรียนขึ้นมา แม้แต่เจ้าเด็กแสบยูเลี่ยนยังหลงกล แล้วเมื่ออัตสึโตะเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กลับมา เขาก็ถามว่า 
     “แกล้งให้สองคนนั่นนั่งเรือด้วยกันยังงั้นไม่สงสารพวกนั้นรึไง”
     “สงสารทำไม ก็สองคนนั้นอยากนั่งเรือนี่ ฉันก็ช่วยให้สมหวังแล้วไง”
     อัตสึโตะตอบพร้อมกับล้มตัวลงนอนอย่างสบายอารมณ์
     ชินจิไม่ได้สนใจวีรกรรมของอัตสึโตะมากนัก สายตาของเขาคอยแต่จะเหลือบแลไปทางเควินมากกว่า แต่เควินก็ไม่ได้มีท่าทีจะรับรู้หรือสังเกตอะไร สนใจเบียร์ในมือมากกว่าสนใจมองหาเขาด้วยซ้ำ
     ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ
     “ไม่สนุกเหรอชินจิ” มานูเอลถาม
     “เปล่า ๆ” ชินจิรีบปฏิเสธทันที “ฉันแค่สงสัยว่าเราจะไปรานส์ดอร์ฟกันตอนกี่โมง”
     “บ่าย ๆ หน่อยก็ได้ รานส์ดอร์ฟอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง นั่งเรือเฟอรี่ไปไม่นาน นายจะหลับสักงีบก็ได้นะ”
     ชินจิไม่ได้นอน และในที่สุดชายหนุ่มก็ทนความอึดอัดที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเองไม่ไหว ต้องลุกไปหาเควินจนได้
     “อาหารอร่อยไหม”
     “ก็ดี ขอบใจนะ” เควินตอบพลางตบที่ว่างข้างตัว ชินจิจึงทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ซบศีรษะลงกับไหล่เควิน
     “เบียร์ไหม” เควินถาม ชินจิพยักหน้า คนเยอรมันดื่มเบียร์กันเป็นน้ำ ความจริงที่ญี่ปุ่นก็ดื่มกันเยอะเหมือนกัน เขาจึงไม่แปลกใจที่เควินเอะอะก็ชวนเขาดื่มเบียร์ทุกที
     “ฉันชอบที่นี่จัง นายเคยไปที่มึกเกลเซใหญ่ไหม เป็นยังไงมั่ง” ชินจิชวนคุย
     “ก็เหมือนที่นี่แหละ แต่กว้างกว่า มีที่เล่นน้ำ พายเรือ มีร้านอาหารริมน้ำ มีโรงเบียร์ด้วย อ้อ แล้วยังมีมึกเกลเทาเวอร์ให้ขึ้นไปชมวิวได้”
     “น่าไปจัง”
     “เอาไว้วันหลังค่อยไปกันก็ได้”
     ได้คุยกันแบบนี้ ชินจิเริ่มรู้สึกดีขึ้น เขารู้สึกว่าตัวเองไม่น่างี่เง่าเลย การไม่ทะเลาะกันแบบนี้มันดีออก แต่เรื่องที่เควินทิ้งเขาให้เดินคนเดียวก็คิดว่าจะต้องลองเปรย ๆ ดูตอนกลับไปที่ห้อง บางทีถ้าเควินรู้ เขาอาจจะไม่ทำอย่างนี้อีกก็ได้
     หลังจากปล่อยให้พักผ่อนกันตามสบายอยู่อีกครู่ใหญ่ มานูเอลก็ปลุกอัตสึโตะและบอกทุกคนให้เตรียมตัวไปรานส์ดอร์ฟ ตอนนั้นเองปัญหาก็เกิด มัตส์กับเอริคปฏิเสธที่จะไปด้วย พวกเขายังอยากจะพายเรือเล่นมากกว่า เควินกับเจอโรมก็ไม่สนใจเช่นกันเนื่องจากเคยไปกันมาแล้ว อยากจะนอนเล่นจิบเบียร์กันอยู่ตรงนี้มากกว่า ชินจิละล้าละลัง อยากอยู่กับคนรักก็อยาก แต่ก็อยากจะไปกับพวกอัตสึโตะเหมือนกัน
     “ไปเถอะเควิน ไหน ๆ ก็มาด้วยกันแล้วนะ” เขาพยายามชวน
     “ไม่ดีกว่า รานส์ดอร์ฟมันก็แค่หมู่บ้านชาวประมงธรรมดา ไม่มีอะไรน่าสนใจสักเท่าไหร่หรอก อย่างดีก็มีโบสถ์เล็ก ๆ ให้ดู ไม่มีอะไรมาก”
     “แต่ฉันยังไม่เคยไปเลยนะ ฉันอยากไปดู”
     “งั้นนายก็ไปกับพวกมานูเอลนั่นแหละ แล้วค่อยกลับไปเจอกันที่หอพัก” เควินบอกง่าย ๆ ชินจิจึงไม่พอใจกรุ่น ๆ ขึ้นมาอีก แต่เขาพยายามระงับอารมณ์สุดความสามารถ
     “ก็ได้ ฉันจะไปกับพวกมานูเอล ถ้านายไม่ไป งั้นฉันฝากถุงใส่กล่องอาหารกลับด้วยนะ”
     พูดจบก็เดินไปสมทบกับพวกมานูเอลที่ยืนรออยู่ อัตสึโตะยืนตาปรือ มีมายะกับยูเลี่ยนขนาบอยู่คนละข้าง พยายามไม่มองหน้ากันอย่างสุดความสามารถ เพราะเหตุการณ์บนเรือเมื่อสักครู่มันยังหลอนอยู่ไม่หาย แค่คิดว่าได้ไปอยู่ด้วยกันบนเรือสองคนกันอย่างนั้น ผื่นก็จะขึ้นแล้ว
     “ไม่ไปด้วยกัน ไม่เป็นไรเหรอ” มานูเอลถามด้วยความเป็นห่วง
     “ไม่เป็นไรหรอก เควินเขาไม่อยากไปนี่นา ฉันไปกับพวกนายก็ได้ คนเป็นแฟนกันไม่จำเป็นต้องตัวติดกันก็ได้นี่นา ใช่ไหม”       
     ชินจิยิ้มก็จริง หากมานูเอลดูออกว่าเพื่อนกำลังฝืนความรู้สึกตัวเองอยู่อย่างเต็มที่ แต่ในเมื่อชินจิยืนยันอย่างนั้น เขาจึงไม่พูดอะไรอีก เดินนำทุกคนไปที่ท่าเรือนอยเฮลโกลันด์ซึ่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย มีจุดสังเกตเป็นโรงแรมและร้านอาหารริมน้ำสีขาวชื่อเดียวกับท่าเรือ
     มานูเอลพาทุกขึ้นขึ้นเรือยนต์สายยี่สิบสาม เขาเล่าเพิ่มเติมว่า
     “มีเรือข้ามแม่น้ำแบบใช้คนพายด้วยนะ ลำเล็กสีส้มนั่งได้ประมาณแปดคน สายยี่สิบสี่”
     เรือแล่นไปตามแม่น้ำที่มีบ้านหลังเล็กสวยงามเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่ง ถ้าเป็นหน้าร้อนคงเห็นดอกไม้และสนามหญ้าเขียวขจี แต่นี่มากันตอนใกล้หน้าหนาว ทุกอย่างเลยดูแห้ง ๆ แถมลมก็พัดแรง แต่กระนั้นทุกคนก็ยังตื่นเต้นกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
     ชินจิเองก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้นเมื่อขึ้นจากเรือที่ท่าเรือครู้กกัซเซ่อแล้วเจอถนนปูหินและสองฝั่งถนนเป็นบ้านเรือนหน้าตาสวยงาม ล้อมรอบด้วยรั้วเตี้ย ๆ สีขาว ชายหนุ่มชอบหมู่บ้านเล็ก ๆ น่ารักแบบนี้มาก รู้สึกเหมือนเดินอยู่ในหมู่บ้านในหนังสือนิทาน
     มานูเอลพาเดินนำไปตามถนนที่ทอดไปสู่โบสถ์ยอดแหลมสีน้ำตาล เขาถามทุกคนว่า
     “อยากเข้าไปดูในโบสถ์ไหม”
     ทุกคนพยักหน้า เขาจึงเดินนำเข้าไปข้างใน โบสถ์เล็ก ๆ แห่งนี้สร้างเป็นแบบผสมระหว่างโรมาเนสก์และกอธิค ภายในโบสถ์จึงมีหน้าต่างแบบโค้งและมีหน้าต่างติดกระจกสีอย่างสวยงามอยู่เหนือแท่นบูชา อัตสึโตะเงยขึ้นมองโครงหลังคาที่ทาสีฟ้าอ่อนสวยงามด้วยความสนใจ
     “หายง่วงแล้วเหรอ” มานูเอลอดแซวไม่ได้ เพราะเมื่อครู่นี้อัตสึโตะยังตาปรือท่าทางจะหลับแหล่มิหลับแหล่อยู่เลย ตอนนี้กลับเงยหน้ามองหลังคาตาแป๋วเสียแล้ว
     “สวยอะ ฉันชอบสีฟ้าแบบนี้” อัตสึโตะตอบ
     “ฉันก็ชอบสีฟ้าเหมือนกัน”
     “ไม่ต้องบอกก็รู้ นายมันโอตาคุอวกาศ ชอบสีอื่นสิแปลก”
     “ในอวกาศมีสีทุกสีน่ะแหละ ไม่ใช่สีฟ้าอย่างเดียวสักหน่อย”
     “แต่อวกาศของนายมันอยู่บนฟ้าที่เป็นสีฟ้า”
     มานูเอลยอมจำนนกับเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ของอัตสึโตะ เรียนรู้นิสัยของอีกฝ่ายได้อีกอย่างหนึ่งแล้วว่านอกจากจะเกรียนในบางครั้งแล้ว หมอนี่มันยังดื้อด้วย แต่เป็นความดื้อที่ทำให้เขาขำ เพราะอัตสึโตะกวนเขาเสร็จก็ทำปากยื่นเหมือนเด็ก หน้าตาตลกมาก
     “เราจะไปไหนกันต่อ” ชินจิเดินเข้ามาถาม สีหน้าของเขาสดชื่นขึ้นมาก ในมือถือกล้องถ่ายรูปคอมแพ็คเล็ก ๆ ที่เก็บภาพไว้มากมาย
     “นอยเวเนดิก นายน่าจะชอบนะ บ้านเล็ก ๆ สวย ๆ ริมคลองที่มีเรือแล่นไปมา มีสะพานข้ามคลอง ดูคล้ายกับในเมืองเวนิซ ก็เลยเรียกว่านอยเวเนดิก”
     มานูเอลตอบ เขาสังเกตว่าชินจิสนใจบ้านเรือนและถนนปูหินของหมู่บ้านนี้มาก เขาจึงมั่นใจว่าเพื่อนน่าจะชอบที่ที่เขากำลังจะพาไปด้วย ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น ชินจิตื่นเต้นมากเมื่อเห็นภาพของบ้านหลังเล็กเรียงรายอยู่ริมคลองเล็ก ๆ ที่มีสะพานเล็ก ๆ พาดผ่านด้านบน นาน ๆ ครั้งก็มีเรือยนต์สีขาวแล่นมาตามคลอง
     “นี่ เวนิซของจริงมันต้องสวยกว่านี้อีกใช่ไหม” อัตสึโตะหันมาถามมานูเอลกับยูเลี่ยน เขาตื่นตาตื่นใจกับวิวสวย ๆ ตรงหน้าเหมือนกัน แม้ว่าปากจะชอบพูดว่าขี้เกียจไม่อยากออกไปไหนหรืออิดออดไม่อยากจะมาในตอนแรก แต่เขาก็มักจะตื่นเต้นชอบใจกับสิ่งที่ได้เห็นในท้ายที่สุดเสมอ
     “สวยมาก คลองเยอะกว่าถนน ใช้เรือแทนรถ บ้านเรือน โบสถ์ วิหาร สวย ๆ ทั้งนั้น แล้วก็มีกอนโดลาให้เช่านั่งชมเมือง คนพายเรือจะร้องเพลงให้เราฟังด้วยนะ”
     “แต่น้ำในคลองมันเน่า” ยูเลี่ยนสรุป
     ทุกคนเดินชมบ้านเรือนริมคลองและถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานจนบ่ายคล้อยและฝนทำท่าจะตกจึงตัดสินใจกลับ มานูเอลพาทุกคนนั่งรถบัสมาที่สถานีเอสบาห์นรานส์ดอร์ฟ แล้วนั่งรถบัสไปต่อรถรางที่ฟรีดริชส์ฮาเก้น ใช้เวลาราวสี่สิบนาทีก็กลับมาถึงหอพัก
     ชินจิตรงไปที่ห้องของเควินทันที เมื่อเควินเปิดประตูมาเจอหน้าคนรัก เขาก็ทักว่า
     “สนุกไหม”
     “ก็ดี สวยดี ถ่ายรูปมาเยอะแยะเลย ฉันขอเข้าไปข้างในได้ไหม”
     เควินเบี่ยงตัวให้ชินจิเข้ามาในห้อง ห้องของเควินกลับมารกเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ชินจิไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องนี้ เขาเดินไปนั่งลงบนเตียง เควินตามมานั่งลงใกล้ ๆ พลางโอบตัวเขามากอดไว้
     “ฉันดีใจที่ได้ยินแบบนี้นะ”
     “แต่ฉันคงสนุกกว่านี้ถ้ามีนายไปด้วย” ชินจิพูด เบือนหน้าหนีเล็กน้อยเมื่อคนรักก้มหน้าลงมาจะจูบ เควินชะงักนิดหนึ่ง ถามว่า
     “นายโกรธฉันเหรอ”
     “โกรธนิดหน่อยที่นายปล่อยฉันให้ไปคนเดียวกับพวกอัตสึโตะ แล้ววันนี้นายก็ให้ฉันเดินคนเดียว เควิน ฉันขอร้องได้ไหม คราวหลังอย่าเดินไปคนเดียวอย่างวันนี้อีกได้ไหม ช่วยหันกลับมามองฉันบ้าง”
     “ขอโทษที ฉันไม่รู้เลยว่านายโกรธ ก็เห็นนายทำท่าเฉย ๆ แล้วที่ไม่ไปรานส์ดอร์ฟด้วยก็เพราะเห็นว่านายไปกับเพื่อนนายอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
     “มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แค่ฉันจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้ามีนายไปด้วย”
     “โอเค โอเค คราวหน้าฉันจะไปด้วย”
     ชินจิหายงอนทันที่ที่เห็นเควินดูมีทีท่าตกใจเมื่อรู้ตัวว่าทำให้เขาโกรธและชายหนุ่มยังสัญญาด้วยว่าคราวหลังจะไม่ทำอีก คราวนี้เขาจึงเต็มใจรับจูบของเควิน แต่แล้วก็ชะงักนิดหนึ่งเมื่อมือของอีกฝ่ายเริ่มไล้ลงต่ำไปเรื่อย ๆ เขาตะครุบมือเควินไว้ทันก่อนที่จะขยับลงไปต่ำกว่านั้น
     “นะ ชินจิ ขอฉันนะ” เควินกระซิบเสียงพร่า ริมฝีปากของเขาจูบเรื่อยไปตามแนวคางของคนรัก
     “แต่...แต่ว่า...” ชินจิอึกอัก เขาชอบจูบและกอดของเควินนะ แต่เขายังรู้สึกไม่พร้อมกับสิ่งที่มันเกินกว่านั้นและชายหนุ่มก็บ่ายเบี่ยงสำเร็จมาตลอด เควินไม่เคยว่าอะไร ชินจิก็ยิ่งประทับใจที่เควินไม่เร่งรัดหรือฝืนใจเขา ถึงแม้ชายหนุ่มจะรู้ว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องทำมัน
     “ชินจิ ฉันรักนายนะ อย่าปฏิเสธฉันอีกเลย”
     เหมือนเป็นคำวิเศษ ชินจิใจอ่อนยวบทันทีและไม่ปฏิเสธเมื่อเควินดันร่างของเขาให้นอนลงไปบนเตียง เควินถอดเสื้อผ้าของตัวเองและถอดให้ชินจิจนเปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่ ก่อนจะก้มลงไปใช้ปากเล้าโลมให้จนชินจิครางไม่หยุด แล้วเขาก็ยกสะโพกของชินจิขึ้น นิ้วชุ่มเจลของชายหนุ่มค่อย ๆ แทรกเข้าไปในตัวของอีกฝ่าย
     “เจ็บ เควิน ไม่เอาแล้ว” แม้จะเป็นแค่นิ้วและมีเจลช่วย แต่ชินจิก็เจ็บมาก เขารั้งมือของเควินไว้ทันทีพร้อมกับกระถดตัวหนี หน้าตาเหยเก
     “พอเถอะ ฉันเจ็บ”
     “เดี๋ยวก็หายเจ็บแล้ว”
     “ไม่เอา ฉันเจ็บ”
     ชินจิไม่ยอมให้ความร่วมมือ เขาดิ้นหนีตลอดเวลาจนเควินหมดอารมณ์ สุดท้ายจึงทำได้แค่เพียงใช้มือให้กันและกันเท่านั้น
     “เควิน ฉันขอโทษ” ชินจิพูด เมื่อเห็นคนรักยังมีสีหน้าเหมือนคนอารมณ์ค้าง แม้ว่าจะปลดปล่อยไปแล้วก็ตาม ทั้งคู่นอนอยู่ด้วยกันบนเตียงของเควินโดยที่เควินหันหลังให้ ชายหนุ่มบอกว่าเขาเป็นคนนอนยาก ไม่สามารถเป็นฝ่ายกอดชินจินอนได้อย่างที่ชินจิชอบ เขาจะนอนไม่ถนัดถ้าทำอย่างนั้น แต่ชายหนุ่มไม่ว่าอะไรเมื่อชินจิเป็นฝ่ายเอื้อมมือมากอดเขาเอง ดังนั้นเวลาที่นอนด้วยกันตอนกลางคืน เควินจะนอนหันหลังให้โดยมีชินจินอนซ้อนอยู่ข้างหลังและเป็นฝ่ายเอามือข้างหนึ่งมาพาดเอวเควินและกอดไว้
     “ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”
     เควินหันกลับมากอดชินจิและจูบที่หน้าผาก แล้วหันหลังกลับไปนอนท่าเดิม
     ชินจิยังไม่รู้สึกดีขึ้นแม้เควินจะบอกว่าไม่เป็นไรก็ตาม เควินต้องรู้สึกไม่ดีแน่ ๆ เขารู้ แต่เขายิ่งรู้สึกไม่ดีมากกว่าหลายเท่าที่ไม่สามารถทำให้เควินมีความสุขได้ เขากอดคนรักแน่นขึ้นอีกนิดพร้อมกับซบศีรษะลงกับแผ่นหลังของชายหนุ่มโดยระวังไม่ให้ลมหายใจของตัวเองรดหลังของอีกฝ่ายเพราะชายหนุ่มเคยบอกเขาว่านอนไม่หลับเพราะรู้สึกจั๊กจี้ที่ชินจิหายใจรดแผ่นหลังของเขาตลอดเวลา
     ฉันขอโทษนะเควิน แต่ฉันสัญญาว่าครั้งหน้าฉันจะพร้อม ฉันจะไม่ทำให้นายผิดหวังเหมือนครั้งนี้อีก

     
     ..................................
     เซ็งอะ คิดงานไม่ออก ลงนิยายดีกว่า  :katai4:
     แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ เป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้าอย่างมากจริง ๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 5 - update - 25.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 25-09-2014 21:44:49
     “มานูเอล นายจะไปไหน”
     เสียงเรียกของอัตสึโตะทำให้มานูเอลที่อยู่ในชุดวอร์มกำลังจะเดินออกจากห้องหันหลังกลับมามอง
     “ไปวิ่งที่พาร์กใกล้ ๆ เนี่ย” มานูเอลตอบ ก่อนจะมองเพื่อนด้วยความฉงน “ทำไมวันนี้นายตื่นเช้าจัง”
     ปกติอัตสึโตะตื่นสายตลอดแหละและมายะจะเป็นคนมาปลุกพร้อมกับทำอาหารเช้าให้
     “ฉันไปด้วยนะ ขอฉันเปลี่ยนรองเท้าแป๊บนึง” อัตสึโตะพูด แล้วก็ไม่รอคำตอบจากเขา ผลุบหายเข้าห้องตัวเองไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะออกมาด้วยชุดวอร์มและเปลี่ยนเป็นรองเท้ากีฬาอย่างเรียบร้อย
     “รีบไปกันเถอะ เร็ว ๆ เข้า” อัตสึโตะเร่ง พร้อมกับตรงเข้ามาจับข้อมือของมานูเอลที่ยังมีสีหน้างง ๆ ให้วิ่งตามเขามา
     “นายเป็นอะไรของนาย จะรีบร้อนทำไมเนี่ย” มานูเอลสงสัย
     “จะได้ไม่เสียเวลาไง”
     ใกล้หอพักของพวกเขามีสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่ห่างออกไปประมาณกิโลเมตรกว่า ๆ ย่างเข้าหน้าหนาวแบบนี้ หญ้าในสนามกลายเป็นสีน้ำตาลแห้ง ๆ ต้นไม้บางต้นที่ปลูกอยู่เป็นหย่อมเหลือแต่เพียงกิ่งก้าน มานูเอลเล่าให้อัตสึโตะฟังว่าสวนสาธารณะแห่งนี้เคยเป็นสนามบินเก่า
     “ชื่อสนามบินโยฮันนิสธาล แต่เลิกใช้ไปตั้งแต่หลังสงคราม ปล่อยให้มีต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด เขาก็เลยออกแบบใหม่ให้เป็นสวนสาธารณะ”
     มานูเอลกับอัตสึโตะวิ่งเหยาะ ๆ ไปด้วยกันตามทางเดินที่สร้างให้ยกขึ้นจากพื้นหญ้า
     “รันเวย์สนามบินก็ยังมีอยู่นะ แต่กลายเป็นทางสำหรับเล่นเสก็ตกับโรลเลอร์เบลดไปแล้ว”
     อัตสึโตะมองไปทางที่มานูเอลชี้ เขาเห็นนักเสก็ตมาเล่นกันอยู่ประปราย บางคนก็เอาเสก็ตบอร์ดมาไถลเล่นแข่งกันอย่างสนุกสนาน
     “ตกลงนายนึกยังไงออกมาวิ่งกับฉัน” มานูเอลถาม ก่อนจะหรี่ตาลงนิดหนึ่ง “หรือนายหนีใครมา”
     “รู้ได้ไงอะ”
     “อย่างนายน่ะอ่านไม่ยากหรอก” มานูเอลหัวเราะเบา ๆ อยู่ในลำคอ แล้วถามว่า “หนีใครล่ะ มายะหรือยูเลี่ยน”
     “ทั้งสองคนนั่นแหละ เมื่อเช้ายูเลี่ยนโทรมาปลุกฉัน ขอมากินข้าวเช้าด้วย นายคิดดูนะ สองคนนั่นมาเจอกันทีไรทะเลาะกันทุกที ฉันรำคาญ” อัตสึโตะหน้ามุ่ย
     “อยากหาเรื่องเอง” คนฟังไม่สงสาร “อยู่ดีไม่ว่าดีไปให้ยูเลี่ยนมันมาจีบ หมอนั่นมันก็เกาะไม่ยอมปล่อยน่ะสิ”
     “ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันจะมาแนวเดียวกับมายะยังงี้อะ”
     อัตสึโตะโอดครวญ แต่ประสาคนไม่คิดอะไรมากก็ยักไหล่
     “ช่างมันเหอะ ตัดสินใจพลาดบ้างก็สนุกดี ใครมันจะไปเหมือนนายล่ะเนอะ มีสติตลอดเวลา ทำอะไรก็ต้องไตร่ตรองก่อน ไม่ยอมทำอะไรตามใจตัวเองซะบ้าง ถามจริงเหอะ เคยตัดสินใจพลาดบ้างไหม”
     มานูเอลฟังแล้วไม่ค่อยแน่ใจว่าอัตสึโตะกำลังชมเขาหรือด่ากันแน่ แต่เขาก็ตอบว่า
     “บ่อยไป ฉันก็ไม่ได้มีสติตลอดเวลาหรอก” ชายหนุ่มถอนใจนิด ๆ “บางครั้งก็คิดอยากจะทำอะไรตามใจตัวเองบ้างเหมือนกัน ไม่ต้องคิดว่ามันจะผิดหรือมันจะถูก”
     “ก็ทำสิ” อัตสึโตะยุ แต่มานูเอลกลับสั่นศีรษะ สีหน้าหมองลงไปเล็กน้อย แต่แทบสังเกตไม่ออก
     “ไม่ได้หรอก เรื่องบางอย่างถึงอยากทำตามใจชอบก็ทำไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง”
     แล้วชายหนุ่มก็รีบเปลี่ยนเรื่อง
     “ใกล้ปิดเบรกคริสต์มาสแล้ว นายจะกลับญี่ปุ่นไหม”
     “กลับทำไม ปิดแป๊บเดียวเอง ฉันก็คงอยู่ที่นี่แหละ นายล่ะ”
     “ฉันก็คงกลับบ้านที่เกลเซ่นเคียเช่นไปฉลองคริสต์มาสกับพ่อแม่ ไปช่วยงานด้วย บ้านฉันเป็นโรงแรม อยู่นอกเมืองไปนิดหน่อย”
     “จริงเหรอ” อัตสึโตะตื่นเต้น “บ้านฉันก็ทำโรงแรม เอ ไม่ใช่สิ เรียกเกสต์เฮาส์น่าจะเหมาะกว่า คือพ่อแม่ฉันก็เป็นพนักงานบริษัทธรรมดาแหละ แต่คุณอาของฉันเปิดเกสต์เฮาส์ อยู่ใกล้สถานีรถไฟคานาซาว่า”
     ทั้งคู่หยุดวิ่งแล้วนั่งพักกันอยู่บนพื้นทางเดินนั่นเอง อัตสึโตะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดให้ดูรูปบ้านสองชั้นสีแดงเข้มที่ตั้งอยู่ริมคลองสายเล็ก ๆ มีป้ายเขียนเวลาปิดเปิดและกระถางดอกไม้สวยงามตั้งอยู่ด้านหน้า
     “วันหยุด ถ้าฉันกลับบ้านก็จะไปช่วยที่เกสต์เฮาส์ สนุกดีนะ ได้คุยกับคนเยอะแยะเลย”
     “จริง พวกนักท่องเที่ยวบางทีก็มีเรื่องมาเล่าให้เราฟังเยอะแยะ” มานูเอลเห็นด้วย เขากดโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้อัตสึโตะดูรูปโรงแรมของเขาเช่นกัน เป็นอาคารสองชั้นแบบฟาคแวร์คเฮาส์สีขาว ผนังด้านนอกมีไม้สีดำวางพาดเหมือนเป็นลวดลาย ด้านหน้าวางโต๊ะและเก้าอี้ใต้ร่มสีขาวสำหรับนั่งพักและรับประทานอาหาร รอบ ๆ ปลูกต้นไม้ไว้เต็มไปหมด
     “สวยจังเลย” อัตสึโตะชม
     “ตอนหน้าร้อนจะมีลูกเบอรี่ป่าขึ้นเต็มไปหมด เก็บมากินกับครีมเย็น ๆ นายชอบรึเปล่า”
     อัตสึโตะพยักหน้าหงึกหงัก ทำหน้าละห้อย ตอบว่า
     “ชอบสิ พูดแล้วก็อยากกินขึ้นมาเลย ฉันอยากเก็บลูกเบอรี่ด้วย ยังไม่เคยลองเก็บดูสักที เคยแต่เก็บสตรอเบอรี่ แบบที่สวนเขาเปิดให้เข้าไปเก็บกินได้ตามใจชอบน่ะ”
     “อันนี้ก็เก็บกินได้ตามใจชอบเหมือนกัน” มานูเอลพูด
     “บ้านนายสวยจัง” อัตสึโตะยังติดใจโรงแรมสีขาวของเพื่อนอยู่ มือเลื่อนรูปภาพดูไปเรื่อย ๆ ด้วยความสนใจ มานูเอลเห็นอย่างนั้น เขาก็เลยตัดสินใจชวน
     “นายอยากไปบ้านฉันตอนวันหยุดคริสต์มาสรึเปล่า”
     อัตสึโตะเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมามองทันที
     “ฉันไปได้เหรอ”
     “ได้สิ ไปฉลองคริสต์มาสกัน ชวนพวกมายะไปด้วยกันก็ได้ มาโกโตะกับเอย์จิด้วย บ้านฉันเป็นโรงแรมอยู่แล้ว ห้องมีเยอะแยะ นายจะได้ไม่ต้องจับเจ่าอยู่ที่นี่ ดีไหม”
     “Toll!” อัตสึโตะอุทานเป็นภาษาเยอรมันด้วยความดีใจ ท่าทางของเขาตื่นเต้นมาก แล้วก็ลุกมากระโดดหย็องแหย็งเป็นตั๊กแตนอีกครั้งจนมานูเอลอดยิ้มไม่ได้
     “ดีใจอะไรนักหนา ที่ชวนเนี่ยไม่ได้ให้ไปเฉย ๆ นะ นายต้องไปช่วยฉันทำงานด้วย แลกกับที่พักและอาหาร”
     “อ้าว” อัตสึโตะร้องเสียงหลง คนแกล้งก็เลยหัวเราะชอบใจ
     “ตกลงไปใช่ไหม”
     อัตสึโตะพยักหน้า พูดต่อว่า
     “ฉันจะไปชวนพวกมายะดูนะ แล้วก็ชินจิ นายว่าชินจิจะไปกับเรารึเปล่า หรือว่าจะไปฉลองคริสต์มาสกับเควิน”
     “เอ ไม่รู้สิ แต่ลองชวนดูก่อนก็ได้”
     “ตกลง โอ๊ย ดีใจจัง แต่น่าเสียดายที่อดเก็บลูกเบอรี่”
     “นายมาเยี่ยมฉันตอนหน้าร้อนสิ เดี๋ยวจะพาไปเก็บให้หนำใจเลย”
     “หน้าร้อนนายมาเยี่ยมฉันที่ญี่ปุ่นบ้างดีกว่า ฉันจะได้พานายเที่ยวเป็นการตอบแทนไง แต่เอ หน้าร้อนไม่ดี อากาศมันร้อนมาก นายมาหาฉันตอนหน้าซากุระดีกว่า สวยกว่า ซากุระบานเต็มทั้งเมืองคานาซาว่าเลย แถมสวนเคนโระคุเองก็เปิดให้เข้าฟรีด้วย สวนนี่สวยมากเลยนะ ข้ามไปเดินเที่ยวปราสาทคานาซาว่าก็ได้ สวยเหมือนกัน เป็นปราสาทสีขาว แล้วถ้านายมา ฉันจะพาไปกินอาหารทะเลกับซูชิอร่อย ๆ อร่อยกว่าที่มายะทำล้านเท่าเลย” อัตสึโตะจาระไน
     “ฉันต้องไปเยี่ยมนายที่ญี่ปุ่นแน่นอน” มานูเอลสัญญาอย่างหนักแน่น

     ชินจิตื่นขึ้นมาไม่เจอเควินในตอนเช้า มีแต่โน้ตเขียนทิ้งไว้ว่าไปมหาวิทยาลัย
     เควินคงยังเคืองเรื่องเมื่อคืนนี้อยู่แน่ ๆ
     ชายหนุ่มเดินหงอย ๆ ออกมาจากห้องของเควิน เห็นมายะนั่งหน้าหงิกอยู่ในครัวกับยูเลี่ยน ด้วยความสงสัยว่าทำไมสองคนนี้ถึงมานั่งอยู่ด้วยกันได้ ชินจิจึงตัดสินใจไม่กลับเข้าห้องพักของตัวเองก่อน แต่เดินเข้ามาถามว่า
     “มายะ ยูเลี่ยน มาหาอัตสึโตะเหรอ”
     “เออ แต่หมอนั่นมันไม่อยู่ในห้อง นายเห็นบ้างไหม” ยูเลี่ยนถาม
     “ไม่รู้สิ ฉันก็เพิ่งตื่น ยังไม่เจอใครเลย”
     “มานูเอลก็ไม่อยู่เหมือนกัน” มายะพูดลอย ๆ
     “มานูเอลคงออกไปวิ่งที่พาร์กเหมือนทุกวันนั่นแหละ” ชินจิพูด เขาตื่นมาทำอาหารเช้าให้ตัวเองกับเควินทุกวันก็เจอมานูเอลออกไปวิ่งทุกวันเหมือนกัน
     “ฉันบอกแล้วว่าสองคนนั่นไม่ได้ไปด้วยกัน” ยูเลี่ยนได้โอกาสตอกมายะทันทีเพราะมายะปักใจเชื่อเหลือเกินว่ามานูเอลต้องจีบอัตสึโตะแน่ ๆ มายะฟังชินจิแล้วก็ชักเริ่มไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะมันดูจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จู่ ๆ อัตสึโตะจะตื่นแต่เช้าออกไปวิ่งได้ ถูกล่ะที่หมอนั่นอยู่ชมรมฟุตบอล เคยออกไปวิ่งตอนเช้า แต่นั่นเพราะเข้าชมรมถึงต้องทำ แต่อยู่ที่นี่ไม่มีใครบังคับ แล้วอัตสึโตะจะลุกขึ้นมาวิ่งทำไม
     “เซ็งว่ะ อุตส่าห์จะมากินข้าวด้วยซะหน่อย ดันไม่เจออัตสึโตะซะได้ เจอแต่ไอ้หน้าเต้าหู้” ยูเลี่ยนลุกขึ้นยืนพลางบ่นงึมงำเสียงไม่เบานัก กะว่ามายะต้องได้ยินแน่ ๆ
     “ว่าใครหน้าเต้าหู้วะ” มายะได้ยินเต็มสองหู เขาลุกขึ้นมาประจันหน้าด้วยทันที ชินจิต้องรีบเข้ามาแยกทั้งคู่อย่างรวดเร็ว
     “อย่าทะเลาะกันน่าทั้งสองคน”
     “ก็นายดูมันสิ กวนฉิบหาย” มายะฟ้องเมื่อเจ้าเด็กแสบยูเลี่ยนเดินออกไปแล้ว
     “นายยั่วขึ้นแบบนี้ ยูเลี่ยนมันก็ชอบน่ะสิ อย่าไปสนใจเลยน่ะ ยังไงอัตสึโตะก็สนิทกับนายมากกว่ายูเลี่ยนอยู่ดี ไม่ต้องกังวลไปหรอก”
     “แต่ตอนนี้อัตสึโตะสนิทกับเจ้ามานูเอลอีกคน นี่ ชินจิ ไอ้หมียักษ์นั่นมันจีบอัตสึโตะของฉันรึเปล่า”
     มายะถามด้วยความสงสัย ชินจินิ่งคิด แต่แล้วก็ส่ายหน้า
     “ก็ไม่นะ อัตสึโตะสนิทกับมานูเอลมากที่สุดในฟลอร์นี้ก็จริง แต่มานูเอลก็ไม่มีท่าทีอะไรเป็นพิเศษนี่นา ก็ปกติ ใจดีกับทุกคน”     
     ใช่แล้วล่ะ มานูเอลเป็นคนใจดีมาก พลอยใจดีมาถึงเขาด้วยจนบางครั้งเขายังอยากให้เควินเอาอย่างชายหนุ่มสักนิดบ้างเลย
     “เฮอะ ก็ขอให้มันจริงเหอะ บอกตรง ๆ นะ ฉันไม่ไว้ใจไอ้หมียักษ์นั่นเลย” มายะยังบ่นงึมงำ
     ชินจิไม่อยากให้เพื่อนเครียดจึงเปลี่ยนเรื่องไปถามถึงสูตรอาหาร เพราะตั้งใจว่าจะจัดดินเนอร์ใต้แสงเทียนเพื่อเควินบ้าง ชายหนุ่มอยากให้เขารับประทานอาหารอร่อย ๆ อยากให้เขาประทับใจ และยังอยากจะชดเชยเรื่องเมื่อคืนนี้ด้วย
     “นายจะทำให้เควินล่ะสิ เฮ้อ อิจฉาจัง” มายะพูดด้วยความเซ็งสุดขีด แต่ก็ยอมช่วยเพื่อนเลือกอาหาร ชินจิตกลงใจทำแฮมเบอร์เกอร์เนื้อบดราดซอสปอนสึ เขาวิ่งไปถึงห้างกรอพิอุส พาสซาเกิ้นเพื่อหาซื้อจานชามสำหรับใส่อาหารใหม่เพื่อให้ดินเนอร์ของเขาออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ชายหนุ่มเลือกกระดาษเช็ดปาก รวมไปถึงเทียนไขอันเล็ก ๆ พร้อมกับจานรองทำจากแก้วสวยงาม ก่อนจะหอบของทั้งหมดติดตัวไปเข้าเรียนในตอนบ่ายด้วย เสร็จแล้วก็หอบกลับมาหอพัก
     เควินยังไม่กลับขณะที่ชินจิกำลังทำอาหารอยู่ในครัว วันนี้ฟลอร์ของเขาคึกคักเป็นพิเศษ ชายหนุ่มมีเพื่อนทำอาหารหลายคน แต่ไม่มีใครจัดเต็มเท่าเขาเท่านั้น
     “หอมจังเลย น่ากินจัง” มาร์โคเดินโฉบเข้ามาหาใกล้พลางชะโงกหน้าข้ามไหล่เขามาดูแฮมเบอร์เกอร์ที่ร้อนฉ่าอยู่ในกระทะ จมูกของมาร์โคเฉียดแก้มเขาไปหวุดหวิด แต่เขาสนิทกับมาร์โคจนไม่ถือสาความมือไวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเพื่อนร่วมฟลอร์คนนี้แล้ว รู้ว่าเพื่อนทำเป็นหมาหยอกไก่ไปอย่างนั้น ไม่ได้จริงจังอะไร
     ชินจิอารมณ์ดีพอจะแบ่งอาหารที่เขาทำให้มาร์โคชิมได้ รวมไปถึงบาสเตียนกับลูคัสที่นั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ในครัวด้วย ทุกคนชมเปาะว่าอร่อยมาก ยิ่งทำให้ชินจิอารมณ์ดียิ่งขึ้นจนไม่ได้ใส่ใจฟิลิปที่เดินเข้ามาในครัว แต่ปฏิเสธไม่เข้ามาร่วมชิมอาหารที่เขาทำ
     ระหว่างที่ชินจิจัดอาหารที่ทำเสร็จแล้วลงจานอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่นั้น ประตูครัวก็เปิดออกพร้อมกับเสียงถกเถียงกันของมายะกับอัตสึโตะดังเข้ามา มายะไม่ชอบใจเลยที่อัตสึโตะจะไปฉลองคริสต์มาสที่บ้านของมานูเอล
     “ทำไมนายต้องไปบ้านมันด้วย อยู่ฉลองที่นี่ก็ได้”
     “ก็แล้วทำไมฉันจะไปไม่ได้” อัตสึโตะไม่ยอม “ฉันอยากไปบ้านมานูเอล แล้วฉันก็ไม่ได้ไปคนเดียวสักหน่อย ฉันกำลังชวนนายอยู่นี่ไง ชวนมาโกโตะซังกับเอย์จิซังไปด้วย ชินจิด้วย”
     ชินจิเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง อัตสึโตะจึงถือโอกาสชวนว่า
     “นายมีแผนวันคริสต์มาสรึยัง ไปบ้านมานูเอลที่เกลเซ่นเคียเช่นกันไหม มานูเอลชวนพวกเราไปฉลองด้วยกันที่บ้าน”
     “ไม่รู้สิว่าจะไปได้ไหม ขอฉันถามเควินก่อนนะ” ชินจิลังเล แต่ใจคิดว่าคงไม่ได้แน่ เพราะเควินคงกลับไปฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวและจะต้องชวนเขาไปด้วย เขาจึงแบ่งรับแบ่งสู้ซึ่งอัตสึโตะก็ไม่ได้ว่าอะไร
     มายะกับอัตสึโตะเดินไปพลางเถียงกันไปพลางก่อนจะเงียบเสียงลงเมื่อประตูห้องของอัตสึโตะปิดลง
     ชินจิทำงานของเขาต่อไป จัดแฮมเบอร์เกอร์วางลงในจานราดด้วยไชเท้าสับละเอียด แต่งจานด้วยมันบดก้อนเล็กวางเคียงกับบล็อคโคลี่ต้ม ไข่ต้มผ่าซีก และถ้วยใบเล็กใส่น้ำซอสปอนสึ แล้วยกจานมาตั้งบนถาด จัดถ้วยข้าว ถ้วยซุป ถ้วยไข่ตุ๋น และจานใบเล็กใส่ผักดองวางตามลงไป
     ชายหนุ่มมีกุญแจห้องของเควิน เขาจึงสามารถเข้าไปจัดเตรียมสถานที่ได้ขณะที่เจ้าของห้องยังไม่กลับ ชินจิจุดเทียนที่วางอยู่บนจานแก้ว แล้ววางกระจายไว้บนโต๊ะกับตามมุมต่าง ๆ ถาดอาหารวางพร้อมอยู่บนโต๊ะพร้อมกับกระดาษเช็ดปากและตะเกียบกับมีดและส้อม เมื่อเขาปิดไฟ แสงสว่างจากเทียนก็ทำให้โต๊ะอาหารที่เขาจัดยิ่งดูสวยงามมากขึ้น
     ชินจิมองผลงานของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ เควินจะต้องชอบแน่ ชายหนุ่มคิด แล้วก็ส่งข้อความหาคนรัก ถามว่าจะกลับมาถึงเมื่อไร และคำตอบของเควินก็ทำให้เขาดีใจมากเพราะเควินกำลังจะกลับมาแล้ว
     “โอ้โฮ อะไรกันเนี่ย”
     เควินอุทานด้วยความประหลาดใจเมื่อเปิดประตูเข้ามาแล้วเจอห้องของตัวเองเต็มไปด้วยเทียน
     ชินจิยิ้มกว้าง ตรงเข้าไปกอดคนรักเอาไว้
     “ฉันทำอาหารไว้ให้นาย จัดห้องให้ด้วย นายชอบไหม”
     “ก็ดีนะ ขอบใจมาก” เควินพูดพร้อมกับก้มลงจูบชินจิเร็ว ๆ ที่ริมฝีปากเป็นการทักทาย แล้วเดินตามแรงจูงของชินจิมานั่งที่โต๊ะทำงานที่แปลงร่างเป็นโต๊ะอาหารชั่วคราว เขามองอาหารบนโต๊ะ แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้ม
     “หิวแล้วยัง กินเลยไหม” ชินจิถาม เควินพยักหน้า แล้วทั้งคู่ก็ลงมือรับประทานอาหารด้วยกัน ชายหนุ่มยิ้มแก้มปริเมื่อคนรักชมแฮมเบอร์เกอร์ของเขา หลังจากอิ่มอาหารคาว ชินจิกระวีกระวาดยกถาดไปเก็บที่ในครัว แล้วกลับมาใหม่พร้อมกับของหวานเป็นไอศกรีมชาเขียวที่เขาได้มาจากเค้าฟ์ลันด์ ชายหนุ่มยิ้มด้วยความเป็นปลื้มอีกครั้งขณะมองคนรักกินไอศกรีมจนหมด
     “ขอบใจนะชินจิ” เควินพูด แล้วลุกขึ้นมาดึงตัวชินจิไปกอดเอาไว้
     “ไม่เป็นไร” ชินจิกอดตอบ ทั้งคู่กอดกันแน่น แล้วมือของเควินก็เริ่มขยับ ชินจิไม่ขัดขืน เควินจึงถือโอกาสนี้รั้งตัวชินจิให้นั่งลงบนตักของเขา ชินจิเงยหน้ารับจูบเร่าร้อนของเควิน สมองของเขามึนเบลอไปหมดจนไม่รู้ตัวสักนิดว่าเสื้อผ้าถูกถอดออกจากตัวไปตั้งแต่เมื่อไร ชายหนุ่มหลับตาลงเพื่อซึมซับความรู้สึกจากสัมผัสของเควินที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เขาครางเสียงแผ่วไปพร้อมกับทุกสัมผัสทั้งจากมือและริมฝีปากของคนรัก สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อร่างกายของเขาสัมผัสเจลเย็นเฉียบ ก่อนจะสะดุ้งขึ้นทั้งตัวเมื่อนิ้วร้อน ๆ ของเควินแทรกเข้าไปในร่างกายของเขา
     ความเจ็บผุดพลุ่งขึ้น แต่ชายหนุ่มกัดฟันทน นิ้วของเควินเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง ขยับเป็นจังหวะจนความเจ็บปวดเปลี่ยนแปลงเป็นความรู้สึกอย่างอื่นในท้ายที่สุด เสียงจากปากของชินจิก็เริ่มสั่นพร่าตามอารมณ์และจุดไฟให้ความปรารถนาของเควินเพิ่มมากขึ้นจนทนไม่ไหว ชายหนุ่มชักนิ้วออก แล้วสอดตัวเองเข้าไปแทน
     ชินจิผวาขึ้นกอดเควินทั้งตัว คราวนี้เควินไม่ยอมให้อีกฝ่ายขัดขืนอีกแล้ว เขารัดร่างชินจิแน่นขณะที่เริ่มขยับสะโพก ชินจิร้องเสียงดังด้วยความลืมตัว ไม่สนใจว่าเสียงของเขาอาจจะดังไปถึงข้างนอก ในสมองของเขาตอนนี้มีแต่เควินที่ขยับไม่หยุดอยู่ในตัวของเขา ชายหนุ่มยอมให้เควินพาเขาไปสู่ความรู้สึกที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
     ในเสี้ยวสมองที่เบลอ ๆ มึน ๆ ของชินจิเพราะความหฤหรรษ์ที่เควินปรนเปรอให้ ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงความไม่พอใจที่เขาเคยรู้สึก แต่ตอนนี้ความไม่พอใจพวกนั้นหายไปหมดแล้วเมื่อเขาอยู่ในอ้อมแขนของเควินแบบนี้
     ความรักมันต้องมีปัญหาและความไม่เข้าใจกันบ้าง แต่เขาเชื่อว่าทั้งเขาและเควินจะผ่านมันไปได้
     เขาบอกตัวเองอย่างมั่นใจ
     แต่ชินจิเพิ่งตระหนักได้ในตอนหลังว่า ปัญหาบางอย่างก็ไม่สามารถแก้ไขได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปัญหานั้นไม่ได้เกิดมาจากเขา
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 5 - update - 25.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 26-09-2014 19:08:38
     หลังจากที่ชินจิกับเควินเคลียร์ความรู้สึกกันได้ ชินจิก็รู้สึกว่า เขามีความสุขทุกวัน
     เควินติดใจเขามาก วนเวียนคลอเคลียเขาอยู่แทบจะทุกวัน ไม่สนใจว่าจะเป็นตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน และชินจิก็ยอม เขายอมทุกอย่างเพื่อให้เควินมีความสุข แม้ว่าบางอย่างที่เควินเรียกร้องมันออกจะน่าอายอยู่บ้าง แต่เขาก็ทำ
     เควินชอบให้เขาทาเล็บสีสด ๆ ที่เท้าเวลาที่มีอะไรกัน ชายหนุ่มบอกว่ามันกระตุ้นอารมณ์ของเขาได้เป็นอย่างดีเมื่อเห็นเท้าที่ทาเล็บสีสด ๆ ไล้ไปตามแนวขา
     ชินจิรู้สึกอายในตอนแรก แต่เขาก็ยอมทาเล็บและล้างเล็บเพื่อเควินทุกวัน
     เควินยังนอนหันหลังให้เขาอยู่ แต่ชายหนุ่มก็พลิกตัวกลับมาหาเขามากขึ้นตามที่เขาเคยขอร้อง
     ความสุขที่ชินจิกำลังได้รับทำให้เขาเริ่มฝันถึงสิ่งที่พิเศษกว่านั้น
     ชินจิยังไม่ได้คุยกับเควินเรื่องแผนการวันคริสต์มาส แต่เขาเริ่มฝันว่าบ้านที่ดอร์ทมุนด์ของเควินจะเป็นอย่างไร ครอบครัวของเควินจะน่ารักและใจดีขนาดไหน แต่ชินจิไม่ทันจะได้ถาม คำตอบก็กลับเดินมาหาเขาก่อน
     เควินกำลังสไกป์คุยกับพี่สาวของเขาเมื่อชินจิเปิดประตูห้องเข้ามา ชายหนุ่มทำท่าจะเดินกลับออกไป แต่เควินชิ้ให้เขาไปนั่งที่เตียงเสียก่อน ชินจิทำตาม เขาได้ยินเควินบอกลาพี่สาว แล้วปิดสไกป์
     “คิดถึงนายจัง”
     เควินเข้ามากอดเขาเอาไว้
     “คิดถึงเหมือนกัน” แล้วเขาก็โอนอ่อนให้เควินเอนร่างเขาลงไปบนเตียง
     “เมื่อกี้นายคุยกับใคร พี่สาวเหรอ” ชินจิถาม ขณะที่นอนนิ่งให้คนรักปลดเสื้อผ้าออกจากตัว
     “ใช่แล้ว ฉันมีพี่สาวหนึ่งคน อยู่ที่ดอร์ทมุนด์กับพ่อแม่” เควินตอบ
     ชินจินิ่งไปนิดหนึ่ง นึกได้ว่าตัวเองไม่ค่อยทราบเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเควินมากนัก ชายหนุ่มไม่ค่อยเล่าอะไรมาก ถ้าเขาถามถึงจะตอบ ตอบเสร็จแล้วก็จบ ไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับตัวเขาต่อด้วยเหมือนกัน เรื่องที่คุยกันก็มักจะเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป ข่าวสาร เรียน ไปเที่ยว หรือชวนไปปาร์ตี้ เควินชอบปาร์ตี้เหลือเกิน สมฉายาเจ้าพ่อปาร์ตี้มาก
     “พี่โทรมาถามเรื่องปิดเบรกคริสต์มาส ฉันคงจะกลับบ้านล่ะนะ นายล่ะจะฉลองที่ไหน”
     ชินจิอึ้งไปเลยเมื่อเจอเควินพูดแบบนี้
     “ฉัน..ฉันไม่รู้”
     “เพื่อนนายล่ะ พวกอัตสึโตะจะไปฉลองที่ไหน คงไม่ได้กลับบ้านกันใช่ไหม ได้ฉลองกับเพื่อน นายคงไม่เหงาหรอกนะ”
     “นายจะกลับบ้านจริง ๆ เหรอเควิน ฉันนึกว่าเราจะได้ฉลองคริสต์มาสด้วยกันซะอีก”
     “กลับสิ ฉันต้องกลับไปฉลองกับครอบครัว เมื่อกี้พี่ฉันก็ถามถึงนายนะ แต่ฉันบอกว่านายคงไม่ได้ไปด้วย”
     “ทำไมล่ะ นายไม่ได้ปิดบังเรื่องที่เราคบกันอยู่สักหน่อย หรือที่บ้านนายเขาไม่ชอบฉัน” ชินจิหน้าเสีย
     “ไม่ใช่หรอก เขาเป็นห่วงฉันกันมากกว่า” เควินเล่า มือของเขาก็ยังไล้เล่นไปตามเนื้อตัวของชินจิ “ตอนฉันมีแฟน ฉันชวนแฟนไปฉลองคริสต์มาสที่บ้านเหมือนกัน แต่สองสามวันหลังจากนั้นเราก็เลิกกัน เพราะเข้ากันไม่ได้ ที่บ้านเขาก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นอีก ครั้งนี้เขาก็เลยบอกว่าให้มันแน่ ๆ ก่อนแล้วค่อยพามา ฉันก็เห็นด้วย เอาไว้เราคบกันนานกว่านี้ก่อนก็แล้วกันนะ คริสต์มาสปีที่สอง ฉันค่อยพานายไปฉลองที่บ้าน”
     ชินจิฟังแล้วคิดว่ามันไม่เข้าท่าสักนิด สำหรับเขา ถ้าเขามีแฟน เขาจะแนะนำแฟนเขาให้คนที่บ้านรู้จักแน่นอนแม้ว่าจะเพิ่งเริ่มคบกันมาได้แค่หนึ่งวันก็ตาม ชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นการแสดงความจริงใจ แต่คนรักคงไม่คิดอย่างเดียวกัน
     “นายคงเข้าใจฉันนะ” เควินพูด แล้วจูบเขา
     ชินจิหลับตาลง เขาไม่เข้าใจหรอก แต่เขารู้ว่าลองเควินพูดแบบนี้ เขาก็ต้องเข้าใจให้ได้ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกับว่ามีน้ำตาไหลอยู่ข้างในหัวใจของเขา
     มันช่วยไม่ได้จริง ๆ ในเมื่อเรื่องมันออกมาแบบนี้ ครอบครัวของเควินยังไม่อยากให้เขาไปที่บ้าน เขาก็ไม่สามารถจะดึงดันไปได้เหมือนกัน
     “เอาไว้เราค่อยมาฉลองปีใหม่ด้วยกันนะ ฉันจะกลับมาตอนปีใหม่ แล้วเราไปเที่ยวที่ไหนไกล ๆ กันสักแห่งดีไหม ฉันว่าไปอัมสเตอร์ดัมก็แล้วกันนะ ฉันยังไม่เคยไปเลย มันน่าจะสนุกดีเหมือนกัน ตกลงไหม”
     ชินจิพยักหน้าแกน ๆ เขาไม่สนว่าจะเป็นอัมสเตอร์ดัมหรือที่ไหน เขายังเสียใจเรื่องวันหยุดคริสต์มาสอยู่ แต่เขาไม่ได้ตัดพ้ออะไร ชินจิยอมรับทุกอย่าง และยอมให้เควินขยับตัวอยู่เหนือร่างของเขา แต่ชายหนุ่มไม่ได้มีอารมณ์คล้อยตามมากนัก ในใจของเขาตระหนักอยู่แค่อย่างเดียวในตอนนี้ว่า
     ความรัก... มันอาจจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปเสียแล้ว
     เขาต้องยอมรับให้ได้
     เขาต้องทำได้



     ....................................
     จบบทที่ห้า ขอตัวพักเบรกไปทำงานสักพักนะคะ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีสมาธิเลย อยากแต่จะนั่งอยู่หน้าจอคอมพ์เขียนต่อเรื่อย ๆ
     ไม่อยากทำงาน แต่ต้องไปทำละค่ะ ใกล้อดตายละ  :ling2:
     แต่อาทิตย์หน้าน่าจะมาอัพเดตได้อีกนะคะ เอาไว้ค่อยมาอ่านกันต่อเนอะ จะรีบกลับมาโดยเร็วที่สุดค่ะ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 5 - update - 26.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 26-09-2014 21:26:03
ชินจิไม่เฉลียวใจบ้างเลยนะ รัรักบังตาจริง ๆ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 5 - update - 26.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 30-09-2014 09:39:19
บทที่ 6

     แต่เวลาที่คนเรามีปัญหา ปัญหามันก็มักจะมาติด ๆ กัน
     คืนวันศุกร์ที่หอพักถนนโมลวิทซ์มีการจัดงานปาร์ตี้ที่คลับรูมซึ่งอยู่ชั้นใต้ดิน มาโกโตะและเอย์จิชวนรุ่นน้องของเขามาร่วมงานด้วย งานนี้คนที่หอพักอัดเลอร์สโฮฟก็ไปกันอีกหลายคน อัตสึโตะ มายะ ยูเลี่ยนติดรถมานูเอลไป ในขณะที่ชินจิไปกับเควินและเจอโรม
     คลับรูมใต้ดินของหอพักถนนโมลวิทซ์กว้างขวางหรูหรากว่าที่หอพักอัดเลอร์สโฮฟมาก เปิดไฟสลัวสีแดง เพลงจังหวะสนุก เครื่องดื่มเต็มที่ คนจึงมางานกันแน่นขนัด แล้วก็จับกลุ่มดื่มเบียร์คุยกัน เต้นรำกันอย่างสนุกสนาน
     ชินจิไม่ชอบงานที่มีคนเยอะ ๆ แต่เขาอยากไปทุกที่กับเควิน คนรักของเขาฉายาเจ้าพ่อปาร์ตี้ มีปาร์ตี้ที่ไหนเขาไม่เคยพลาด และเมื่อมาถึง ชายหนุ่มก็จะสนุกอย่างสุดเหวี่ยง เควินเดินไปคุยกับคนโน้นคนนี้ทั่วงาน ดื่มเบียร์ขวดแล้วขวดเล่า เต้นโยกตัวอย่างเมามัน และสูบบุหรี่มวนแล้วมวนเล่า ชินจิเพิ่งทราบว่าคนรักของเขาสูบบุหรี่ก็ตอนไปงานปาร์ตี้ด้วยกัน แล้วเขาก็เห็นเควินสูบอยู่เรื่อย ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นก่อนนอน ครั้งละมวน แต่จะสูบมากขึ้นเมื่ออยู่ในงานปาร์ตี้
     “ปกติก็ไม่ได้สูบหรอก เฉพาะในงานเท่านั้นแหละ สนุก ๆ” เควินบอกเขา ชินจิไม่ค่อยชอบให้คนรักสูบบุหรี่เท่าไร แต่เมื่อเขายืนยันว่าไม่ค่อยได้สูบ ชายหนุ่มก็เลยไม่อยากจะจู้จี้ ปล่อยให้เขาทำอะไรไปตามใจชอบ
     ปาร์ตี้ครั้งนี้เควินก็ทำเหมือนเดิม คือสนุกสนานอย่างเต็มที่ โดยลืมไปว่ามีชินจิมากับเขาด้วยอีกคน
     ชินจิถูกทิ้งให้รวมกลุ่มอยู่กับพวกอัตสึโตะอีกครั้ง เขาไม่ชอบใจเลย แต่ไม่อยากแสดงความไม่พอใจออกมาให้ใครเห็น ถ้ารุ่นพี่หรือเพื่อนรู้ ชายหนุ่มคิดว่า เขาคงโดนด่าว่างี่เง่าเป็นแน่ เขาจึงไม่อยากจะพูดหรือบ่นอะไร เพียงแต่นิ่งเงียบจิบเบียร์ไปพลางฟังอัตสึโตะชักชวนรุ่นพี่ทั้งสองคนไปเที่ยวบ้านมานูเอลไปพลาง
     “นะครับ ไปฉลองคริสต์มาสที่บ้านมานูเอลกัน” อัตสึโตะอ้อน สองมือเขย่าแขนมาโกโตะพร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนสุดพลัง แต่ไม่รู้ตัวเลยว่าข้างตัวเขา มายะกับยูเลี่ยนอยากจะเข้าไปสิงร่างมาโกโตะมากแค่ไหน
     “บ้านนายอยู่ไหน” เอย์จิหันไปถามมานูเอล
     “เกลเซ่นเคียเช่น ถิ่นของเอฟซีชาลเก้” ชายหนุ่มตอบยิ้ม ๆ และนั่นเรียกความสนใจจากรุ่นพี่ชมรมฟุตบอลของอัตสึโตะได้ เอย์จิจึงตอบตกลงเป็นคนแรก
     “ขอฉันดูตารางก่อน” มาโกโตะต้องมีออแกไนเซอร์ติดตัวตลอดเวลาประสาคนช่างวางแผนทุกเรื่อง หลังจากกด ๆ แตะ ๆ แท็บเล็ตดูแล้วและเห็นว่าช่วงเวลานั้น ตารางของเขาว่างเปล่า ชายหนุ่มจึงตกลงอย่างไม่อิดเอื้อน เขาเคยฉลองคริสต์มาสในเบอร์ลินแล้ว ปีนี้ได้ออกไปเที่ยวที่อื่นบ้างก็น่าสนใจไม่น้อย ชายหนุ่มคิดพลางเพิ่มรายการนัดหมายใหม่ลงไปในปฏิทินของเขา
     “ยะฮู้! เอย์จิซังกับมาโกโตะซังน่ารักที่สุดเลย ผมรักคุณ” อัตสึโตะพูดพลางยื่นหน้าเข้ามาจะจุ๊บแก้มขอบคุณมาโกโตะที่นั่งอยู่ใกล้เขาที่สุด แต่โดนยันหน้าออกไปก่อน
     “ไม่ต้องมาเล่นเลย เจ้าบ้า มาพูดแบบนี้กับฉัน เดี๋ยวฉันก็โดนแฟนคลับนายงับหัวตาย”
     มาโกโตะหมายถึงมายะกับยูเลี่ยนที่กำลังมองเขาด้วยสายตาแสดงความอิจฉาอย่างที่สุด แล้วถ้าทำได้ พวกมันคงอยากแปลงร่างเป็นเขากับเอย์จิแน่ ๆ
     “รุ่นพี่ไปได้ ตอนนี้ก็รวมกันเป็นห้าคนแล้ว นายโอเคนะมานูเอล” อัตสึโตะถามเจ้าของบ้านอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
     มานูเอลรับรองอย่างแข็งขัน แล้วชายหนุ่มจึงหันไปทางชินจิที่นั่งเงียบมาตลอดจนทุกคนแทบลืมกันไปแล้วว่ายังมีเขานั่งอยู่ที่โต๊ะนี้อีกหนึ่งคน แต่มานูเอลไม่ลืม เขาคอยจับสังเกตเพื่อนของอัตสึโตะอยู่และรู้ว่าชินจิต้องมีอะไรในใจแน่ เขาคิดว่าคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเควิน เพราะชินจิเอาแต่เงียบสลับกับการมองหาคนรักของตัวเอง
     “นายจะไปกับพวกเราด้วยไหม”
     “เอ้อ...ไปสิ” ชินจิอ้อมแอ้มตอบ
     “อ้าว นายไม่ได้ไปกับเควินเหรอ” อัตสึโตะถาม
     “เปล่า” ชินจิส่ายหน้าปฏิเสธ “คือ...เควินจะกลับไปฉลองกับที่บ้าน”
     “แล้วนายไม่ไปด้วยเหรอ ไม่อยากไปรู้จักครอบครัวของมันรึไง” มายะสงสัย
     ชินจิตอบไม่ถูก ใครบอกว่าเขาไม่อยากไป แต่เขาไปไม่ได้ต่างหาก
     “ไม่เป็นไร ปีนี้นายก็มาฉลองกับพวกเราแล้วกัน โรงแรมของบ้านฉันน่ะสวยมากเลยนะ รับรองว่านายต้องชอบแน่ ๆ” มานูเอลรีบยื่นมือเข้ามาช่วยไม่ให้ชินจิต้องตอบคำถามที่ไม่สะดวกใจจะตอบของมายะ เขาจึงมองมานูเอลอย่างขอบคุณ
     “เออใช่ มีใครบอกพวกนายเรื่องงานอัดเว้นท์ปาร์ตี้แล้วรึยัง วันที่สามสิบพฤศจิกาน่ะ” เอย์จิถามขึ้นต่อทันทีและชินจิก็รู้สึกขอบคุณรุ่นพี่ด้วยอีกคนที่เบนหัวข้อสนทนาออกห่างจากเรื่องของเขา มายะกับอัตสึโตะที่มองเขาด้วยความสงสัยจึงไม่มีโอกาสจะได้ซักไซ้อะไรต่อ
     พวกอัตสึโตะยังไม่มีใครรู้เรื่องงานอัดเว้นท์ปาร์ตี้กันเลย
     “งานฉลองเริ่มต้นเทศกาลคริสต์มาสยังไงล่ะ วันนั้นจะมีปาร์ตี้ นักศึกษาต่างชาติต้องจัดแสดงอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนึงบนเวที จะเต้น จะร้องเพลง แล้วแต่สะดวก ปีนี้ยังไงก็ต้องขอฝากพวกนายแล้วล่ะนะ” เอย์จิอธิบายก่อนจะรีบรวบรัดตัดความและมัดมือชกรุ่นน้องทันที งานแสดงอะไรพวกนี้มักจะเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็เกี่ยงกันและรุ่นน้องก็มักจะเป็นคนที่ต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปีที่แล้วเขากับมาโกโตะก็ต้องหาอะไรมาแสดงเหมือนกัน แต่ปีนี้ไม่เอาอีกแล้ว
     “แสดงเนี่ยนะครับ” อัตสึโตะขมวดคิ้ว เขาไม่ค่อยถนัดอะไรแบบนี้เสียด้วยสิ
     “ฉันเต้นไม่เป็น ร้องเพลงก็ไม่ได้ ขอเถอะนะ ไม่ไหวจริง ๆ” ชินจิรีบปฏิเสธเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนเบนมาที่ตัวเอง
     “งั้นวันนั้นนายใส่ยูกาตะสิชินจิ เอาของฉันไปใส่ก็ได้ ถ้านายไม่แสดงอะไร” เอย์จิเสนอ
     “แล้วพวกผมจะแสดงอะไรดีล่ะ” อัตสึโตะครุ่นคิด มายะก็ไม่มีไอเดียอะไร
     “เต้นไหม ไอ้แบบที่นายเคยพาพวกฉันไปดูที่บ้านนายน่ะ โอะวะระ นากาชิ ที่คนเต้นใส่ยูกาตะ ฮัปปิ กับหมวกฟาง” มาโกโตะเสนอ รุ่นน้องเคยพาเขาไปเที่ยวบ้านเกิดและที่ย่านเกอิชาฮิงาชิของคานาซาว่ามีการเต้นรำแบบพื้นบ้าน ผู้หญิงใส่ยูกาตะ ผู้ชายใส่เสื้อฮัปปิซึ่งเป็นเสื้อคลุมผ่าหน้าตัวสั้น และทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายใส่หมวกฟางปิดหน้า
     “ก็ดีเหมือนกันนะ ฉันพอจะจำท่าเต้นได้” มายะเห็นด้วย
     “แต่มันต้องเต้นเป็นคู่ผู้ชายกับผู้หญิงนะ” อัตสึโตะขมวดคิ้ว “ใครจะเป็นผู้หญิงให้ล่ะ”
     “นายไง” นิ้วของทุกคนชี้มาที่อัตสึโตะทันที แม้แต่ยูเลี่ยนและมานูเอลซึ่งไม่รู้หรอกว่าการแสดงที่ว่ามันจะเป็นอย่างไร แต่แค่ได้ยินว่าอัตสึโตะจะแต่งเป็นผู้หญิงใส่ยูกาตะ แค่นี้ก็น่าตื่นเต้นแล้ว
     อัตสึโตะไม่มีทางเลือกต้องจำยอมแต่งเป็นผู้หญิงอย่างช่วยไม่ได้
     เอย์จิกับมาโกโตะพาชินจิกับอัตสึโตะไปเอาชุดยูกาตะที่ห้องพัก พวกเขามียูกาตะทั้งของผู้หญิงและผู้ชายจากอัดเว้นท์ปาร์ตี้ครั้งที่แล้ว ส่วนชุดฮัปปิและหมวกฟาง เอย์จิกับมาโกโตะจะเป็นธุระจัดหาให้ทีหลัง ที่โต๊ะจึงเหลือมานูเอล ยูเลี่ยน และมายะนั่งอยู่ตามลำพัง
     “เฮ้ โทนี่”
     เสียงมานูเอลทักทายใครคนหนึ่งพร้อมกับโบกมือให้ มายะคุ้นชื่อจึงหันไปมองแล้วเขาก็เห็นว่าโทนี่ที่มานูเอลทักเป็นคนเดียวกับคุณชายโทนี่สุดเนี้ยบที่เขาเคยเจอพร้อมกับพวกอัตสึโตะตอนมาที่นี่นั่นเอง
     “ไงมานู ยูเลี่ยน” โทนี่ทัก แล้วหันมาทางมายะ “ฉันเคยเจอนาย ชื่อมายะใช่ไหม”
     มายะพยักหน้า นึกแปลกใจนิดหน่อยที่คุณชายโทนี่ความจำดีทีเดียว ชื่อคนญี่ปุ่นไม่คุ้นหูแต่กลับจำได้แม่น
     “โทนี่ ฉันจองห้องให้นายกับครอบครัวที่โรงแรมของฉันเรียบร้อยแล้วนะ” มานูเอลบอก
     “ขอบใจมาก แต่ไม่ต้องราคาพิเศษหรอกนะ คิดตามธรรมดานี่แหละ”
     “เฮ้ย ไม่ได้สิ เพื่อนไปทั้งที”
     “งั้นก็ขอบคุณมาก”
     เมื่อโทนี่เดินจากไปแล้ว มายะก็สะกิดมานูเอลทันที ถามว่า
     “โทนี่จะไปบ้านนายตอนคริสต์มาสด้วยเหรอ”
     มานูเอลพยักหน้า
     “ใช่แล้ว ได้ยินว่าปีนี้ครอบครัวหมอนั่นจะไปเที่ยวกันแถบนอร์ดไรน์เวสต์ฟาเล่น ก็เลยตัดสินใจว่าจะมาฉลองคริสต์มาสกันที่โรงแรมของฉัน”
     “สนุกแน่” มายะพึมพำ
     “ทำไม” มานูเอลสงสัย
     “ก็มาโกโตะซังกับหมอนั่นไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ ไปเจอกันยังงั้นคงมีตีกันอะ” มายะตอบ ยูเลี่ยนได้ยินเข้าก็คันปากเหลือเกิน
     “เหมือนที่ฉันกับนายตีกันใช่ไหม ฉันขอย้ำอีกครั้งว่าตอนนี้ยังถอนตัวทันนะไอ้หน้าเต้าหู้ จะได้ไม่ต้องไปเห็นฉันสวีทกับอัตสึโตะที่เกลเซ่นเคียเช่นให้ช้ำใจ”
     “ไอ้เด็กบ้า!”
     แล้วมายะกับยูเลี่ยนก็เปิดศึกน้ำลายเกทับบลัฟแหลกกันเรื่องของอัตสึโตะจนมายะลืมที่จะพูดเรื่องโทนี่กับรุ่นพี่เสียสนิท มาโกโตะจึงไม่รู้จนแล้วจนรอดว่าจะมีอะไรและใครรอเขาอยู่ที่เกลเซ่นเคียเช่นบ้าง
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 6 - update - 30.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 30-09-2014 11:16:44
ถ้าโทนี่เบนเข็มมาที่อัตสึโตะ  คงจะแซ่บน่าดู
คนนึงเนี๊ยบ  คนนึงไม่ใส่ใจตัวเองสุด ๆ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 6 - update - 30.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 30-09-2014 15:12:07
ถ้าโทนี่เบนเข็มมาที่อัตสึโตะ  คงจะแซ่บน่าดู
คนนึงเนี๊ยบ  คนนึงไม่ใส่ใจตัวเองสุด ๆ

สงสารโทนี่เถอะค่ะ ถ้าเป็นยังงั้นเธอคงปวดหัวแย่เลยล่ะ  :try2:
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 6 - update - 30.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 30-09-2014 21:57:15
     ชินจิตัดสินใจที่จะรอกลับพร้อมเควิน
     พวกอัตสึโตะกลับกันไปตั้งแต่ยังไม่ดึกมาก แต่เขาต้องรอเควินถึงตอนปาร์ตี้เลิกคือราว ๆ เที่ยงคืนและคนรักของเขาก็เมาแประ เขากับเจอโรมต้องช่วยกันหิ้วปีกกลับ
     เมื่อกลับมาถึงห้อง ชินจิก็พยายามจะดูแลเควินด้วยการหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ แต่เควินปัดทิ้งลูกเดียว ท่าทางหงุดหงิดและรำคาญ เขาเอะอะโวยวายตลอด และพยายามจะออกไปหาเบียร์มาดื่มต่อ ชินจิต้องรั้งเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เขากับเควินยื้อกันจนล้มลงไปบนพื้นทั้งคู่ แล้วเควินก็ลุกขึ้นมานั่งคร่อมตัวเขาไว้ พยายามจะดึงเสื้อผ้าของเขาออก
     “ไม่เอา เควิน นายเมาแล้ว ไปนอนเถอะนะ” ชินจิพยายามขืนตัวเองไว้
     “ไม่ ไม่ ไม่ ฉันจะทำ” เควินไม่ยอมลูกเดียว เมื่อโดนขัดใจเรื่องปาร์ตี้ก็ต้องยอมเรื่องนี้ แต่ชินจิผลักชายหนุ่มลงจากตัว และถึงจะรู้ว่าไม่ควรถือสาคนเมา แต่เขาก็เริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมาเหมือนกัน
     “คืนนี้ฉันจะกลับไปนอนที่ห้อง สร่างเมาเมื่อไหร่ค่อยกลับมาคุยกัน”
     เป็นครั้งแรกที่ชินจิตวาดเควินด้วยความโกรธ แล้วก็หมุนตัวจะเดินออกไปจากห้อง แต่เควินตรงมาฉุดข้อมือของชายหนุ่มเอาไว้ก่อน
     “ไม่เอา ไม่ไป ไม่ให้ไป” เควินพูด แล้วก็ยังพยายามจะเข้ามากอดเขา แต่ชินจิก็ไม่ยอมเหมือนกัน
     “อะไรวะ ทำไมไม่ได้” เควินหงุดหงิดอยู่เป็นทุนอยู่แล้ว เมื่อโดนชินจิปฏิเสธอีก เขาก็ยิ่งไม่พอใจ
     “ฉันจะเอานาย ให้ฉันจ่ายเงินก็ได้”
     เสียงพูดของเควินอ้อแอ้ แต่ก็ยังฟังรู้เรื่องดี แล้วเขาก็ควักธนบัตรยับ ๆ ออกมาจากกระเป๋าตัวเองทิ้งลงไปบนพื้น
     ชินจิรู้สึกเหมือนโดนตบหน้า เขาไม่คิดว่าเควินกำลังเมาอีกแล้ว ชายหนุ่มชกหน้าเควินเข้าไปทีหนึ่งด้วยความโมโห โดนเข้าถนัดถนี่ที่มุมปากจนเลือดซิบ
     เควินดูงงมากและไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงโดนชก
     “เราจะคุยกันพรุ่งนี้!” ชินจิย้ำอีกครั้ง ก่อนจะเดินลงส้นออกจากห้องเควินไป แล้วเมื่อกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ชายหนุ่มก็ทุ่มตัวลงนอนบนเตียงของตัวเองที่ไม่ได้นอนมานานมาก แล้วก็ร้องไห้ไปตลอดทั้งคืน สภาพของชินจิในวันต่อมาจึงแย่มาก ตาของเขาแดงและดูท่าทางอิดโรยเหมือนกับคนไม่ได้นอน
     “นายเป็นอะไรรึเปล่าชินจิ” มานูเอลที่กำลังจะไปวิ่งในตอนเช้าเห็นเข้าก็ทักด้วยความตกใจ
     “ไม่เป็นไร เมื่อคืนกลับดึกไปหน่อยก็เลยตาค้าง นอนไม่ค่อยหลับ” ชินจิปด แต่มานูเอลก็รู้ทันและด้วยความเป็นห่วงเพื่อน ชายหนุ่มก็เลยยอมเสียมารยาท ถามย้ำว่า
     “นายไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะ ทำไมฉันคิดว่านายร้องไห้”
     คำถามของมานูเอลจี้ใจดำชินจิได้ตรงจุดพอดี จากตอนแรกที่ไม่คิดจะเล่าอะไรให้ใครฟัง ชินจิกลับอยากเล่าให้ผู้ชายตัวใหญ่ตรงหน้าฟังเพราะมั่นใจว่ามานูเอลจะเข้าใจและเห็นใจเขา ชายหนุ่มจึงพรั่งพรูเรื่องเมื่อคืนออกมา แต่ข้ามเรื่องที่เขาโดนดูถูกเรื่องมีค่าตัวไป
     มานูเอลฟังเพื่อนเล่าด้วยความเห็นใจจริง ๆ แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ปลอบใจ
     “เควินมันคงไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ มันเมา”
     “แต่ฉันก็ยังเสียใจอยู่ดีแหละ มันไม่ควรจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย นี่ มานูเอล เควินเขาเมาแล้วเป็นแบบนี้เสมอเลยรึเปล่า”
     “ปกติเวลามันเมามันก็จะเฮฮา สนุกสนาน เสียงดัง ทำอะไรห่าม ๆ บ้างประสาคนเมาน่ะแหละ”
     “แล้วเมาบ่อยรึเปล่า”
     “เอ อันนี้ฉันไม่แน่ใจนะ คือฉันก็ไม่ได้ปาร์ตี้บ่อยขนาดนั้น แต่เท่าที่เห็นก็มีบ้างเหมือนกัน”
     “ฉันไม่ชอบแบบนี้เลย” ชินจิบ่นด้วยความไม่ชอบใจ “เรื่องทิ้งฉันให้อยู่คนเดียวอีก ถ้าเป็นนายล่ะมานูเอล เวลานายไปปาร์ตี้กับแฟน นายทิ้งให้แฟนนายอยู่คนเดียวแบบนี้รึเปล่า”
     “เรื่องนี้ฉันว่ามันแล้วแต่จะตกลงกันนะ ฉันก็เคยเห็นมาทั้งสองแบบ นายต้องคุยกับเควินแล้วล่ะว่าจะทำยังไง”
     ชินจิถอนใจยาว หน้าตากลัดกลุ้ม
     “ฉันงี่เง่ามากไหม เรื่องมาก จู้จี้จุกจิกบ้าบอเกินไปรึเปล่า”
     “อย่าพูดอย่างนี้เลย ชินจิ นายกับเควินยังอยู่ในช่วงเริ่มคบกัน เรื่องปรับตัวมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ฉันเชื่อว่านายกับเควินต้องปรับตัวให้เข้ากันได้แน่ ๆ” มานูเอลปลอบพร้อมกับบีบไหล่เพื่อนเป็นเชิงให้กำลังใจซึ่งชินจิก็ยิ้มให้ด้วยความขอบคุณและมือข้างหนึ่งยกขึ้นจับมือมานูเอลบนไหล่ของตัวเองโดยอัตโนมัติ
     “ชินจิ!”
     เสียงเคร่งเครียดของเควินดังขึ้นเมื่อเขาเดินออกมาจากห้องแล้วเห็นคนรักของตัวเองกำลังนั่งคุยกับเพื่อนร่วมฟลอร์อยู่ ชินจิปล่อยมือจากมานูเอลทันที หน้าของเขาบึ้งด้วยความไม่พอใจที่ยังเหลือเชื้ออยู่จากเมื่อวาน
     “นายอย่าพูดเรื่องนี้กับใครนะ ฉันขอร้อง ฉันไม่อยากให้ใครรู้ เดี๋ยวคนอื่นจะเป็นห่วง” ชินจิขอร้องซึ่งมานูเอลก็รับปาก ชายหนุ่มพยักหน้าทักเควิน แต่ฝ่ายหลังแค่ผงกศีรษะตอบนิดเดียว คิ้วขมวดนิด ๆ ด้วยความไม่สบอารมณ์
     “ชินจิ” เควินเรียกอีก แต่คราวนี้น้ำเสียงมีความออดอ้อนเพิ่มขึ้น ชินจิสะบัดหน้า เดินผ่านเควินกลับเข้าห้องของตัวเองไป แต่เปิดประตูทิ้งไว้ เควินรีบเดินตามเข้าไปและปิดประตูตามหลัง
     มานูเอลเห็นเควินเดินตามชินจิไปอย่างนั้น เขาก็คลายความเป็นห่วงลง แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ เตรียมตัวจะไปวิ่งตามปกติ ขณะที่หมุนตัวไปทางประตู ชายหนุ่มก็เห็นอัตสึโตะยืนตาปรือทำหน้ามุ่ย ๆ อยู่ที่ทางเดินบริเวณหน้าห้องของเขา
     “อ้าว อัตสึโตะ ทำไมวันนี้ตื่นเช้าอีกแล้ว” มานูเอลทัก
     “ก็จะไปวิ่งกับนาย”
     “หือ? คิดยังไงขึ้นมา หรือหนีมายะกับยูเลี่ยนอีก” มานูเอลล้อ แต่วันนี้อัตสึโตะไม่ขำด้วย หน้ามุ่ย ๆ ของชายหนุ่มยิ่งหงิก
     “ฉันจะไม่ให้มายะมาปลุกตอนเช้าแล้ว ฉันจะตื่นเอง แล้วออกไปวิ่งกับนาย ได้รึเปล่าล่ะ”
     “ก็ได้อยู่หรอก แต่นึกยังไงจะไปวิ่งตอนเช้า” มานูเอลสงสัย
     “ก็อยากวิ่งเฉย ๆ ไปวิ่งกับนายวันก่อนมันรู้สึกสดชื่นดี”
     “ดีแล้วล่ะ วิ่งตอนเช้า ๆ จะทำให้อารมณ์แจ่มใส มีสมาธิ สุขภาพดีด้วย” มานูเอลยิ้มกว้าง นึกดีใจที่อัตสึโตะตัดสินใจแบบนี้
     “งั้นไปกันเลยไหม นายไปเปลี่ยนรองเท้าสิ ฉันจะรอ”
     “ไม่ไป! วันนี้ไม่มีอารมณ์แล้ว ฉันจะกลับไปนอนต่อ”
     “อ้าว” มานูเอลงงกับโหมดเอาแต่ใจตัวเองของอัตสึโตะ
     “แล้วเมื่อกี้นายคุยอะไรกับชินจิ” อัตสึโตะถาม
     “ก็ไม่มีอะไร ทักทายกันนิดหน่อย” มานูเอลตอบเลี่ยง ๆ แต่คำตอบของเขากลับยิ่งกระตุกต่อมเอาแต่ใจของคนฟังมากขึ้น
     “ทักทาย แล้วทำไมต้องจับไหล่จับมือกันด้วย”
     มานูเอลตอบไม่ถูก ไม่คิดว่าจะเจอคำถามแบบนี้พร้อมสีหน้าเอาเรื่องของอัตสึโตะ
     “ช่างเหอะ ยังไงมันก็เรื่องของนายกับชินจิสองคน ไม่ใช่เรื่องของฉัน” เมื่อเห็นอีกฝ่ายอึกอัก อัตสึโตะก็ประชด และเมื่อพูดจบก็เดินกระแทกเท้าเข้าห้องปิดประตูดังปัง มานูเอลตามไปเคาะประตูเรียก แต่อัตสึโตะก็ไม่ยอมเปิดให้
     “ฉิบหายแล้ว ทีนี้จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย” มานูเอลเกาศีรษะอย่างจนปัญญา
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 6 - update - 30.9.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-10-2014 00:26:27
     ในเวลาเดียวกันในห้องของชินจิ เควินก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ชินจิโมโหจนไม่ยอมพูดกับเขาเลย ชายหนุ่มเมามากเมื่อคืนนี้ จำได้ราง ๆ แค่ว่าตัวเองโวยวายมาก ไม่ยอมให้คนรักจับตัว แต่ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องแค่นี้ทำให้อีกฝ่ายโมโหมากขนาดนั้น แถมตื่นขึ้นมาปากเขายังแตกอีกต่างหาก
     เควินพยายามจะง้อ แต่ชินจิหันหลังหนีลูกเดียว
     “นายเป็นอะไร หันหน้ามาคุยกันดี ๆ ดีกว่าน่ะ” ชายหนุ่มเรียก แต่ชินจิก็ไม่ยอมหันกลับมามองเลย
     “ชินจิ”
     เควินเรียกอีก พร้อมกับเข้ามากอดเอาไว้ ชินจิสะบัด แต่เควินเข้ามากอดเอาไว้อีกไม่ยอมปล่อย
     “นายโกรธอะไรฉัน บอกหน่อยได้ไหม”
     ชินจิยังเงียบ
     “โอเค โอเค ถ้านายไม่อยากพูดตอนนี้ก็ได้ ไม่เป็นไร เอาไว้นายอารมณ์ดีขึ้นเมื่อไหร่ แล้วค่อยคุยกัน”
     ชินจิเหวอไปเลยเมื่อคนรักไม่ง้อต่อ แล้วเมื่อเห็นเควินทำท่าจะเดินออกไปจากห้องจริง ๆ เขาจึงลืมโกรธทันที วิ่งตามไปกอดเอวรั้งเอาไว้
     “อยากจะพูดแล้วเหรอ” เควินถาม
     ชินจิพยักหน้ากับบ่าของอีกฝ่าย แล้วก็ยอมเดินตามแรงจูงของคนรักกลับมานั่งด้วยกันบนเตียงเหมือนเดิม
     “เป็นอะไร”
     หลังคำถามของเควิน ชินจิจึงเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังทั้งหมด รวมทั้งเรื่องที่เควินดูถูกเขาเอาไว้ด้วย ชายหนุ่มฟังแล้วเอามือกุมขมับ
     “ฉันก็เลยชกหน้านาย” ชินจิสรุป มือของเขาแตะที่แผลปากแตกของคนรัก เควินจับมือของเขาไว้
     “ฉันสมควรโดนแล้ว” ชายหนุ่มพูด แล้วกอดชินจิไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง “ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ เมื่อคืนฉันเมาจริง ๆ ไม่รู้เลยว่าฉันทำกับนายแบบนั้นลงไป”
     “คราวหลังนายอย่าเมาแบบนี้อีกได้ไหม ฉันไม่ชอบที่นายเป็นแบบนี้เลย มันเหมือนนายไม่รักฉัน”
     “ฉันรักนาย” เควินพูด แล้วก้มหน้าลงมาจูบ คราวนี้ชินจิเต็มใจรับจูบของคนรักโดยที่ไม่บ่ายเบี่ยงหรือเบือนหน้าหนีอีก
     “ฉันก็รักนาย รักมากที่สุด” ชินจิพูดเมื่อเควินถอนริมฝีปาก จากนั้นทั้งสองคนก็ล้มตัวลงไปบนเตียงด้วยกัน เควินกอดชินจิอย่างที่ชินจิชอบ ลูบศีรษะเขา และจูบอย่างอ่อนหวาน การเคลื่อนไหวของเควินอ่อนโยนทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมากจนแทบจะลืมความขุ่นเคืองใจทั้งหมด ชินจินอนซบศีรษะอยู่กับอกของเควินโดยมีคนรักกอดเอาไว้ ริมฝีปากของเควินคลอเคลียอยู่ที่ขมับ
     “คราวหลังถ้ามีอะไรก็พูดกันตรง ๆ นะชินจิ อย่าเงียบเหมือนวันนี้อีก”
     “นายจะทำตามที่ฉันขอร้องใช่ไหม” ชินจิถาม
     “ฉันจะพยายาม” เควินสัญญา “นิสัยฉันก็แบบนี้ เปลี่ยนยาก แต่ฉันสัญญาว่าฉันจะกลับมาหานายให้บ่อยขึ้น ไม่ทิ้งนายอีก”
     เท่านี้ชินจิก็พอใจแล้ว เขาเข้าใจเควินและดีใจที่อย่างน้อยชายหนุ่มก็สัญญาว่าจะพยายาม
     “แล้วเมื่อกี้นายคุยอะไรกับมานู” เควินถามบ้าง ชินจิก็เลยเล่าให้ฟังเรื่องที่เขาปรับทุกข์กับเพื่อนร่วมฟลอร์
     “นี่นายเล่าทุกเรื่องเลยเหรอ” เควินถามเสียงขุ่นนิด ๆ
     “ไม่ทุกเรื่องหรอก แค่เรื่องที่ไม่สบายใจบางเรื่องเท่านั้นแหละ บางทีฉันก็ไม่รู้จะคุยกับใคร นายก็รู้ ก็นายน่ะชอบทิ้งฉัน”
     เจอแบบนี้เข้าเควินก็ยอมจำนน เถียงไม่ออก เพราะตัวเองก็มีชนักปักหลังอยู่
     “โอเค ฉันยอม แต่คราวหลังมีอะไรให้คุยกับฉัน ไม่ต้องไปปรึกษามานู”
     ชินจิอมยิ้มเมื่อเห็นเควินมีท่าทางหึงเขากับมานูเอล การที่คนรักมีท่าทีแบบนี้บ้างมันทำให้รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจดีเหลือเกิน เขาแนบแก้มลงกับแผ่นอกของคนรักพลางออดอ้อนว่า
     “ฉันไม่อยากคุยกับใครมากนักหรอก ฉันอยากคุยกับนายแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ”
     เควินจูบคนรักเป็นรางวัล แล้วเขาก็บอกว่าเขาจะชดเชยให้
     “เย็นนี้นายไม่ต้องทำอาหารนะ ฉันจะทำให้เอง นายจะได้ไม่ต้องเหนื่อยไง”
     “แน่ใจนะ”
     “แน่ใจ บ่ายนี้เราไปซื้อของที่เค้าฟ์ลันด์กันนะ ของในตู้เย็นของฉันหมดแล้ว เดี๋ยวเย็นนี้ไม่มีของทำอาหารสูตรพิเศษให้นายกิน”
     “สูตรพิเศษด้วย นายจะทำอะไร ฉันตื่นเต้นจัง”
     “เย็นนี้ก็รู้เอง”
     ทั้งสองคนคุยกันกระจุ๊กกระจิ๊กอย่างมีความสุข แล้วหลังจากนั้นก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวออกไปซื้อของด้วยกัน แต่เพราะเควินจะเป็นคนทำอาหารและเขาอยากจะเซอร์ไพรซ์ ชายหนุ่มจึงเป็นคนเข้าไปเลือกซื้อของสดในเค้าฟ์ลันด์คนเดียวโดยนัดหมายเวลาเจอกันไว้
     ระหว่างรอเควินซื้อของ ชินจิจึงเดินหาร้านหนังสือฆ่าเวลา ตั้งใจว่าเลือกซื้อนิยายไปอ่านเล่น ๆ สักเล่มสองเล่ม ทุกวันนี้เขาต้องอ่านวรรณคดีคลาสสิคภาษาเยอรมันยาก ๆ จนปวดหัวไปหมด ถ้าได้ออกห่างจากเกอเธ่ ชิลเล่อร์ หรือโธมัส มันน์เสียบ้างก็จะดีไม่น้อย
     ชายหนุ่มกำลังจะเดินเข้าไปในร้านหนังสือที่มีชื่อร้านเป็นตัวหนังสือตัวใหญ่สีแดงเด่นสะดุดตาก็พอดีกับที่ร่างสูงใหญ่ของมานูเอลเดินสวนออกมา ในมือของเพื่อนร่วมฟลอร์ถือถุงใบใหญ่สองถุง ชินจิทักว่า
     “มาซื้อหนังสือเหมือนกันเหรอ”
     “เปล่าหรอก ปฏิทินกับของนิดหน่อย” มานูเอลตอบ สังเกตว่าชินจิมีสีหน้าดีขึ้นมาก ท่าทางก็สดใสเหมือนไม่เคยมีเรื่องขุ่นเคืองใจมาก่อน เขาจึงถามว่า
     “เคลียร์กับเควินได้แล้วใช่ไหม”
     ชินจิพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ด้วยความเขินนิดหน่อย เพราะเมื่อเช้าเขาใส่อารมณ์ตอนปรึกษากับเพื่อนไปแบบเต็มที่ทีเดียว
     “ขอบใจนะมานูเอลที่ให้คำปรึกษาฉัน”
     “ไม่เป็นไรหรอก เพื่อนกันก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว” ชายหนุ่มพูด ก่อนจะถามว่า “อัตสึโตะไปถามอะไรนายบ้างรึเปล่า”
     “วันนี้ฉันยังไม่เจออัตสึโตะเลย มีอะไรเหรอ”
     “หมอนั่นเห็นนายกับฉันคุยกันเมื่อเช้า แต่ฉันไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง หมอนั่นก็เลยโมโหที่ฉันปิดบัง ฉันเกรงว่าอัตสึโตะอาจจะไปกวนนาย” มานูเอลอธิบายก่อนถามด้วยความระมัดระวังว่า “ตอนนี้นายก็คืนดีกับเควินแล้ว ถ้าอัตสึโตะถามอีก ฉันเล่าได้ไหมว่านายมีเรื่องไม่สบายใจอะไร หมอนั่นจะได้เลิกโกรธฉันซะที”
     “ก็ได้แหละ” ชินจิตกลง สีหน้าของมานูเอลจึงค่อยดีขึ้น
     “นายนี่ห่วงความรู้สึกของอัตสึโตะจังเลยนะ” ชินจิตั้งข้อสังเกต “ถ้าฉันไม่รู้มาก่อนว่านายมีแฟนแล้ว ฉันคงนึกว่านายชอบอัตสึโตะแน่ ๆ เลย”
     มานูเอลเงียบไปเลย แต่ก็ไม่นานจนทำให้ชินจิสงสัย ชายหนุ่มตอบแก้เก้อไปว่า
     “ไม่หรอก ก็เป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไร เอ้อ...ฉันขอตัวก่อนนะ ยังต้องไปซื้อของเพิ่มอีกนิดหน่อย”
     ชินจิพยักหน้า โบกมือลา แล้วก็เดินเข้าไปในร้านหนังสือโดยที่ไม่ได้สนใจอะไรอีก
     เควินซื้อของที่ต้องการเสร็จเรียบร้อยก็ส่งข้อความบอกคนรัก แล้วทั้งคู่ก็พากันกลับมาที่หอพัก เควินเข้าไปในครัว ส่วนชินจิกลับไปที่ห้องของตัวเองเพราะเควินบอกว่าจะไปตามเมื่อทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเดินสวนกับอัตสึโตะที่ทำหน้าบึ้งต่างออกไปจากปกติและท่าทางก็ดูเมิน ๆ เมื่อเห็นเขา ชินจิจึงเรียกเพื่อนเอาไว้
     “ทำไมทำหน้ายังงั้นล่ะอัตสึโตะ เป็นอะไร”
     “โกรธคนนิดหน่อย” อัตสึโตะตอบ ชินจิเลิกคิ้วนิด ๆ
     “โกรธฉันรึเปล่า”
     “นายทำอะไรให้ฉันโกรธรึเปล่าล่ะ” อัตสึโตะย้อนถาม ชินจิยิ้มขำ อธิบายว่า
     “ถ้าเป็นเรื่องเมื่อเช้าล่ะก็ ฉันปรึกษากับมานูเอลเรื่องเควินเท่านั้นแหละ เมื่อคืนเราทะเลาะกันนิดหน่อย ฉันไม่รู้จะปรึกษาใคร ก็พอดีเจอมานูเอลเข้า”
     “แค่นี้เนี่ยนะ แล้วทำไมต้องทำท่าปิด ๆ บัง ๆ” อัตสึโตะสงสัย
     “ก็ฉันขอร้องเขาเอาไว้เอง ฉันไม่ค่อยอยากให้มีใครรู้เรื่องฉันทะเลาะกับเควิน มันดูงี่เง่าอะ ทะเลาะกันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นั้น”
     “แล้วนายมาบอกฉันทำไม”
     “นายจะได้หายโกรธมานูเอลไง เมื่อกี้ฉันเจอเขาที่ห้าง เขาเล่าให้ฟังว่าโดนนายโกรธเอา ท่าทางเป็นเดือดเป็นร้อน”
     “ก็อยากทำตัวไม่ดีเอง” อัตสึโตะงึมงำบ่น แต่สีหน้าดีขึ้นมาก ไม่งอนแก้มป่องเหมือนเมื่อสักครู่แล้ว หากก็ยังดูน่าหมั่นเขี้ยวอยู่ดี ชินจิจึงหยิกแก้มเพื่อนไปทีหนึ่ง
     “หายโกรธรึยัง โกรธนาน ๆ มานูเอลเสียใจตายเลย”
     “หายก็ได้” อัตสึโตะพูดอย่างเสียไม่ได้
     ชินจิขอตัวจากอัตสึโตะแล้วกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง หยิบเอานิยายที่ซื้อมาจากร้านหนังสือขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา แล้วก็อ่านเพลินจนถึงเวลาที่เควินมาเคาะประตูเรียก
     “อาหารสุดพิเศษเสร็จแล้ว”
     เควินผายมือให้ดูอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารในครัวด้วยความภาคภูมิใจ ถึงงานนี้เขาจะไม่ได้จัดเป็นดินเนอร์ใต้แสงเทียน แต่ชายหนุ่มก็ตั้งใจทำสุดฝีมือ เขาเลื่อนเก้าอี้ให้คนรักที่มีสีหน้าอึ้ง ๆ งง ๆ
     “พาสต้าโฮมเมด ฉันทำเส้นพาสต้าเองเลยนะ” เควินบอก
     ชินจิยังมีสีหน้าอึ้ง ๆ เมื่อเห็นพาสต้าในจานตรงหน้า คือเขาก็ดีใจนะที่เควินทำอาหารให้ แต่เขาผิดหวังนิดหน่อยที่เควินทำพาสต้า ไม่ใช่สเต็กหรืออาหารอย่างอื่นที่ใส่เนื้อสัตว์อย่างในครั้งแรก ๆ เขาไม่ค่อยเคยเห็นชายหนุ่มรับประทานพาสต้าหรืออาหารอิตาเลียนอย่างอื่น ไม่นึกว่าเควินจะมาเลือกทำเอาในวันนี้
     พาสต้าในจานตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมตรงกลางกลวงซึ่งชินจิก็เรียกไม่ถูกว่าควรจะเป็นชนิดไหน ชิ้นไม่หนาและใหญ่มากนัก ขนาดกำลังพอดี ราดซอสมะเขือเทศที่ใส่มอสซาเรลล่าชีสแบบเต็มพิกัด โรยหน้าด้วยผักสีเขียวที่ชายหนุ่มไม่รู้จักชื่อ แถมยังมีชีสป่นใส่จานวางไว้ข้าง ๆ พร้อมกับตะกร้าใส่ขนมปังกับเนยอีกหนึ่งถ้วย
     อาหารที่เควินทำรวมสิ่งที่ชินจิไม่ชอบเอาไว้เกือบทั้งหมด ทั้งเส้นพาสต้า ขนมปัง เนย ชีส
     “น่ากินใช่ไหม ลงมือเลย” เควินเชิญชวน ชินจิก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ
     ชายหนุ่มกินพาสต้าพอได้ แต่ต้องเป็นสปาเก็ตตี้นโปลิตันใส่ไส้กรอกเยอะ ๆ หรือจำพวกซอสที่มีเนื้อผสมอยู่ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนต่างชาติถึงชอบกินซอสที่ผสมด้วยมะเขือเทศกับชีสเท่านั้น อย่างพิซซ่าก็เหมือนกัน เขาเห็นเพื่อน ๆ ต่างชาติที่คณะชอบสั่งกันแต่แบบมาร์เกริต้าที่แทบจะไม่มีอะไรนอกจากแผ่นแป้งกับซอสมะเขือเทศและชีส
     “ไม่อร่อยเหรอ” เควินถามเมื่อเห็นชินจิเขี่ย ๆ อาหารในจานและกินอย่างช้า ๆ รวมทั้งไม่ยอมแตะขนมปังในตะกร้าเลย
     “อร่อยสิ ฉันเพิ่งเคยกินมอสซาเรลล่าชีสก็วันนี้ รสชาติมันแปลกใหม่ดีนะ”
     ชายหนุ่มตอบอย่างต้องการจะถนอมน้ำใจคนฟัง แต่ใจจริงของเขานั้นคิดว่ามื้อต่อไปจะไม่ให้เควินทำอาหารแล้ว
     “กินกับมะเขือเทศสดยิ่งอร่อย ฉันชอบมาก” เควินบอก อาหารในจานของเขาหมดแล้ว ชายหนุ่มลากตะกร้าขนมปังมาตรงหน้า แล้วหยิบก้อนหนึ่งมากัดกิน
     “นายชอบชีสเหรอ”
     “ใช่ ชีสทุกชนิดเลย แล้วก็พวกเนย ครีม โยเกิร์ต วิปครีมก็ดีนะ บีบใส่ปากกินเล่นเพลิน ๆ ดี”
     เควินเพิ่งเปิดปากเรื่องรสนิยมการกินอาหารของตัวเองเยอะหน่อยก็วันนี้และชินจิฟังแล้วถึงกับมึนตึ้บเพราะเป็นของที่เขากินได้ แต่ไม่ค่อยชอบทั้งนั้นเลย
     “ฉันซื้อวิปครีมมากระป๋องนึงด้วย เดี๋ยวกินกับพีชกระป๋องก็แล้วกันนะ”
     ชินจิได้แต่พยักหน้ารับอย่างเซ็ง ๆ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 6 - update - 01.10.2014
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 01-10-2014 08:07:09
ชินจิกับเควิน เหมือนขั้วบวกกับขั้วลบมาเจอกันนะ
แตกต่างทั้งนิสัยและรูปแบบการใช้ชีวิตทีเดียว
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 6 - update - 01.10.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-10-2014 14:46:47
     ปลายโต๊ะอาหารอีกด้าน มายะรับประทานอาหารเย็นอยู่กับอัตสึโตะ ชายหนุ่มยังบ่นกระปอดกระแปดเรื่องที่อัตสึโตะไม่ยอมให้เขามาทำอาหารเช้าให้ไม่หาย พอถาม อัตสึโตะก็ไม่ยอมบอกเหตุผลว่าทำไม บอกแต่เพียงว่า
     “ฉันไม่อยากกวนนายแล้ว แค่อาหารเช้าง่าย ๆ ฉันทำเองก็ได้”
     “นายไม่ได้กวนฉันสักหน่อย ฉันอยากทำให้นาย”
     “เดี๋ยวฉันก็เคยตัวกันพอดี แค่นี้ฉันก็นิสัยเสียพอแล้ว”
     มายะนิ่วหน้าน้อย ๆ เมื่อได้ยินอัตสึโตะพูดแบบนั้น ซึ่งมันออกจะแปลกเอามาก ๆ
     “เมื่อก่อนนายไม่เห็นเคยคิดแบบนี้เลย หรือใครมันมาเป่าหูนาย” ใจของมายะแล่นปราดไปถึงมานูเอลทันที หนอย ไอ้หมียักษ์ ถ้ามันอยู่เบื้องหลังความคิดประหลาด ๆ แบบนี้ของอัตสึโตะจริง ๆ ล่ะก็ เขาจะวางยาในกระปุกนูเทลล่าของมัน คอยดู
     “เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน นายน่ะดูแลฉันมากเกินไปแล้ว คนอื่นเขาไม่เห็นต้องให้ใครมาดูแล”
     มายะอยากจะร้องเฮ้อออกมาดัง ๆ ที่อัตสึโตะไม่เจียมตัวเองเอาซะเล้ยยยย
     ถ้าจะมีใครสักคนที่ต้องการคนดูแล เจ้าอัตสึโตะนี่แหละมาเป็นที่หนึ่ง
     ก่อนมาที่นี่มันยังพังไมโครเวฟไปแล้วเครื่องหนึ่ง อยากจะต้มไข่ แต่ขี้เกียจเปิดน้ำใส่หม้อใส่กระทะต้มให้มันเป็นเรื่องเป็นราว จับไข่ยัดใส่ไมโครเวฟจนเครื่องระเบิดเสียอย่างนั้น ไม่นับไอ้ที่มันเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเบลอติดกระดุมเสื้อสลับแถว ซื้อตั๋วรถไฟไม่เป็น ขึ้นรถผิดทิศผิดทาง หรือลืมนั่นลืมนี่ให้ต้องช่วยเตือนกันตลอด
     “ชินจิมันยังดูแลแฟนมันเลย” มายะชี้ให้ดูเพื่อนที่กำลังรับประทานอาหารกับเควิน
     “ก็นั่นเขาเป็นแฟนกัน แต่ฉันกับนายเป็นเพื่อนกันเฉย ๆ ไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย”
     “โหย นายพูดแบบนี้เอาตะเกียบมาทิ่มตากันเลยเหอะ”
     อัตสึโตะจ้องหน้ามายะ
     “ฉันเคยบอกนายแล้วนะว่าเราเป็นเพื่อนกัน”
     “ฉันรู้ ฉันรู้ แต่ช่วยเปลี่ยนเป็นเพื่อนสนิทได้ไหม ไม่อยากเป็นเพื่อนเฉย ๆ อะ”
     เขามันดื้อเองนั่นล่ะที่ไม่ยอมตัดใจเสียที ทั้ง ๆ ที่อัตสึโตะไม่เคยชอบเขาแบบอื่นนอกจากเป็นเพื่อนสนิทและไม่เคยเรียกเขาเป็นอย่างอื่นนอกจากคนรับใช้แท้ ๆ
     เขาอยากจะร้องเฮ้อออกมาดัง ๆ ก็ดันยอมเป็นทุกอย่างให้อัตสึโตะและยอมรับสถานะมากกว่าเพื่อนแต่ยังไงก็ไม่ใช่แฟนนี่อย่างสมัครใจเองนี่นะ
     “เอ้า! ฉันกับนายเป็นเพื่อนสนิทกัน และในฐานะเพื่อนสนิท นายต้องยอมรับการตัดสินใจของฉัน ทุกอย่าง
     มายะจำต้องยอมจำนนแต่โดยดี หากเขายังพยายามปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยเขายังได้ทำอาหารเย็นให้อัตสึโตะทุกวัน
     หลังจากที่มายะกลับไปแล้ว อัตสึโตะก็กลับเข้าห้องพักของตัวเอง แต่ปิดประตูตามหลังยังไม่ทันจะเท่าไร ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อเขาหันหลังกลับมาเปิดก็พบมานูเอลยืนอยู่หน้าประตู
     “ฉันเข้าไปในห้องนายได้ไหม”
     อัตสึโตะพยักหน้าพร้อมกับเบี่ยงตัวหลีกทางให้
     “ห้องนายเรียบร้อยขึ้นนะ มายะมาทำให้เหรอ” มานูเอลมองไปรอบ ๆ ห้องที่ไม่ค่อยมีของวางระเกะระกะไม่เป็นที่แล้ว
     “ทำเองสิ ก็ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ดันบอกฉันว่าให้ลองทำเองดูบ้าง ฉันก็ดันทำตามซะอีก เหนื่อยจะตาย รู้งี้ให้มายะมาทำให้เหมือนเดิมดีกว่า”
     ‘ไอ้บ้า’ ยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนจะยื่นถุงสองถุงที่ถืออยู่ให้อย่างง่าย ๆ
     “ฉันซื้อนี่มาให้”
     มานูเอลบอก อัตสึโตะรับมาเปิดดูอย่างสงสัย
     “นี่มันอะไรน่ะ”
     ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นของในถุง ซึ่งเป็นกิ่งกับใบสนสีน้ำเงินเข้มร้อยเป็นวงประดับด้วยลูกกลม ๆ สีขาวและสีทองสลับกับดาวสีแดง วางรองเทียนสีขาวเล่มอ้วน ๆ สีเล่มผูกริบบิ้นผ้าโปร่งสีทอง ตรงกลางมีตุ๊กตาเซนต์นิโคเลาส์ตัวเล็กในชุดบิชอปไว้หนวดเครายาวฟูสีขาว ถือไม้เท้าสีทองและถุงใส่เหรียญทอง ส่วนอีกถุงหนึ่งใส่บอร์ดกระดาษแข็งขนาดใหญ่ที่มีหมีเท็ดดี้แปะติดอยู่ทั่วทั้งแผ่น แต่ละตัวสวมหมวกซานต้าสีแดงอุ้มถุงเล็ก ๆ ที่มีลูกกลม ๆ สีทองใส่อยู่ข้างใน บนถุงมีหมายเลขตั้งแต่หนึ่งถึงยี่สิบสี่ติดอยู่
     “สำหรับอัดเว้นท์ไง Adventskranz กับปฏิทิน” มานูเอลบอกยิ้ม ๆ “ปีนี้เริ่มอัดเว้นท์ในวันที่สามสิบพฤศจิกายน พอถึงวันนั้นเด็ก ๆ จะเริ่มกินช็อกโกแลตจากปฏิทินอัดเว้นท์ เริ่มจากหมายเลขหนึ่ง” ชายหนุ่มชี้ให้ดูถุงหมายเลขหนึ่งที่เจ้าหมีเท็ดดี้ตัวหนึ่งอุ้มอยู่ “แล้วก็กินเรียงตามหมายเลขไป วันละหนึ่งก้อนจนกระทั่งถึงวันที่ยี่สิบสี่ พอช็อกโกแลตหมดก็ถึงวันคริสต์มาสพอดี”
     “นี่ช็อกโกแลตเหรอ” อัตสึโตะเอานิ้วล้วงลูกกลม ๆ สีทองในถุงออกมาดูพลางย่นจมูก “ของเด็ก แล้วเอามาให้ฉันทำไม”
     “ก็ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้โกรธฉันยังกับเป็นเด็ก ๆ ฉันก็ต้องเอาช็อกโกแลตของเด็กมาง้อไง”
     “เฮอะ ฉันไม่ได้โกรธนายสักหน่อย”
     “เหรอ ไม่โกรธเลย แค่งอนจนแก้มป่องแค่นี้เองใช่ไหม”
     มานูเอลหยิกแก้มสองข้างของอัตสึโตะทันทีเมื่ออีกฝ่ายทำเป็นปากแข็งไม่ยอมรับ
     “ไม่ได้โกรธ” อัตสึโตะปัดมือชายหนุ่มออก “ใครจะไปโกรธเรื่องเล็กน้อยแค่ชินจิมาปรึกษาเรื่องเควินแค่นั้นกันล่ะ”
     “ชินจิบอกนายแล้วเหรอ”
     อัตสึโตะพยักหน้า ก่อนจะชี้ไปที่ของอีกอย่างหนึ่งที่มานูเอลซื้อมาให้
     “แล้วไอ้เนี่ยล่ะอะไร”
     “เทียนสี่เล่มนี่เอาไว้จุดทุกวันอาทิตย์นับจากอัดเว้นท์เริ่ม อาทิตย์ละเล่ม ครบสี่เล่มก็ถึงคริสต์มาสพอดี เทียนแต่ละเล่มมีความหมาย แต่ฉันจำไม่ได้แล้วว่าแต่ละเล่มหมายถึงอะไรบ้าง” มานูเอลอธิบาย ก่อนจะถามว่า
     “ชอบไหม”
     “ก็ดี ขอบใจนะ” อัตสึโตะตอบ
     “หายโกรธแล้วนะ”
     “ก็บอกว่าไม่ได้โกรธไงเล่า”
     มานูเอลหัวเราะ เขาลุกขึ้นยืน และก่อนจะกลับห้อง ชายหนุ่มก็หันมาถามว่า
     “พรุ่งนี้นายจะไปวิ่งกับฉันรึเปล่า” เมื่ออัตสึโตะพยักหน้า ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ
     “ถ้านายไม่ตื่น ฉันจะมาเคาะประตูเรียกนายเอง ห้ามเบี้ยวล่ะ”
     “เออ ไม่เบี้ยวหรอกน่า กลับไปได้แล้ว”
     อัตสึโตะไล่ มานูเอลเดินไปเปิดประตูห้อง แต่เมื่อนึกอะไรได้ก็หันกลับมาอีกครั้ง บอกว่า
     “แล้วนายห้ามกินช็อกโกแลตหมดก่อนล่ะ เขาให้กินวันละก้อน ไม่ใช่กินวันเดียวหมดทุกก้อน”
     “รู้แล้วล่ะน่ะ”
     “แล้วเทียนเนี่ย เก็บไว้เฉย ๆ ไม่ต้องจุดก็ได้ ขืนนายจุดแล้วลืมเป่าดับตอนออกจากห้อง นายจะทำไฟไหม้หอพักเราซะเปล่า ๆ”
     “รีบกลับไปเลย ไอ้บ้า!”
     หมอนบนเตียงของอัตสึโตะลอยไปที่ประตูหมายให้โดนหัวมานูเอล แต่ชายหนุ่มนกรู้รีบปิดประตูเสียก่อนพร้อมกับหัวเราะชอบใจและหูของเขาก็ยังได้ยินเสียงสบถอย่างขัดใจของมือขว้างตามหลังมา
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 6 - update - 01.10.2014
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 01-10-2014 16:19:43
ใครเป็นพระเอกว๊า  มานูเอลแหงเลย
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 6 - update - 01.10.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 01-10-2014 19:58:25
     ชุดฮัปปิของมายะและหมวกฟางสำหรับการแสดงในงานอัดเว้นท์ของพวกอัตสึโตะมาถึงในเวลาไม่นานนักรวมทั้งซีดีเพลงและซีดีที่บันทึกท่าเต้นด้วย เมื่อของพร้อม มายะกับอัตสึโตะก็เริ่มซ้อมกันทันทีที่ฟลอร์ของอัตสึโตะโดยมีชินจิเป็นคนคอยส่งเสบียงอาหารเพราะแม่ครัวหัวป่าก์อย่างมายะไม่ว่างทำเสียแล้ว ชายหนุ่มเป็นคนทำอาหารให้เพื่อนทั้งสองคนโดยมีมานูเอลคอยช่วยทุกครั้งเมื่อว่าง
     ชินจิสังเกตว่ามานูเอลดูจะสนใจการทำอาหารแบบญี่ปุ่นเป็นพิเศษและเขากินอาหารญี่ปุ่นได้แทบจะทุกชนิดแม้แต่ปลาดิบและสาหร่ายที่คนต่างชาติบางคนบอกว่าน่าขยะแขยง แถมกินแล้วยังชอบเสียอีกด้วย
     “นายนี่เก่งจังนะเดี๋ยวนี้ ใช้ตะเกียบคล่องขึ้นเยอะเลย แถมกินอะไร ๆ ได้อีกตั้งเยอะ” ชินจิพูดขึ้นในวันหนึ่งเมื่อมานูเอลเข้ามาช่วยเขาทำอาหารในครัว มาโกโตะและเอย์จิเอาชุดการแสดงของมายะกับอัตสึโตะมาให้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาแถมด้วยมิโสะอย่างดีทั้งกระปุกจากเมืองทาเทยาม่า เขาจึงคิดว่าจะลองทำมิโสะย่างดู
     “ขืนใช้ไม่คล่องสิ ถูกมายะด่าไม่รู้จบ” มานูเอลบอกยิ้ม ๆ พลางช่วยเพื่อนทำซุปมิโสะ ตอนนี้เขาพอจะทำเองได้แล้วโดยที่ชินจิไม่ต้องอยู่ดู
     “ฉันชอบอาหารญี่ปุ่น ไอ้ที่นายทำเมื่อวันก่อนนั่นก็อร่อยมากเลย ฉันจำชื่อไม่ได้แล้ว”
     “โอโคโนมิยากิน่ะเหรอ” ชายหนุ่มหมายถึงแป้งผสมเครื่องจำพวกเนื้อสัตว์หรืออาหารทะเลและผักแล้วนำไปทอดในกระทะเป็นแผ่น ๆ
     “ใช่ ๆ คราวหลังนายบอกสูตรฉันหน่อยนะ” มานูเอลพูดอย่างกระตือรือร้น
     ชินจิพยักหน้า แต่ในใจของเขากลับไพล่ไปคิดถึงคนรักของตัวเอง
     เควินไม่เป็นเหมือนมานูเอลเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นโอโคโนมิยากิกับข้าวสวยที่เขายกเข้าไปให้เป็นอาหารเย็น ชายหนุ่มก็ทำหน้าเบ้ บ่นว่า
     “ข้าวอีกแล้วเหรอ เบื่อจัง”
     ชินจิชะงัก หน้าเสียไปเลย
     “นายเบื่อแล้วเหรอ” เขาถามตะกุกตะกัก
     “อือม์ กินข้าวทุกวัน น่าเบื่อจะตาย นายทำอย่างอื่นบ้างสิ พาสต้า อาหารฝรั่ง อะไรก็ได้” เควินพูดโดยไม่สนใจว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร เขากำตะเกียบเขี่ย ๆ แป้งอะไรไม่รู้ในจานอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร
     “เออ นายลืมเอามีดกับส้อมมาให้ฉันนี่ ฉันไม่ใช้ตะเกียบ” เควินบอกชินจิที่ยังยืนอึ้งอยู่
     ดูเหมือนว่าระยะนี้ความพยายามของเขาจะไร้ผลขึ้นทุกวัน ชินจิไม่ได้รับคำชมอาหารที่เขาทำจากเควินอีก แม้ว่าเขาจะพยายามหาอะไรใหม่ ๆ หรือพลิกแพลงอะไรอย่างไรก็ตาม แต่ก็ไม่ถูกปากเควินเลย ชายหนุ่มรู้ว่าเขาทำอาหารญี่ปุ่นบ่อยมากเพราะเป็นสิ่งที่เขามั่นใจ รู้จักรสชาติเป็นอย่างดี และเมื่อเขารู้ว่าเควินชอบกินอาหารประเภทชีสและครีม เขาก็พยายามจะปรับอาหารให้ไปในแนวทางนั้น แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล แม้แต่สปาเก็ตตี้นโปลิตันที่เขาภาคภูมิใจ เควินยังไม่มีทีท่าจะพอใจเลย บ่นว่าซอสรสจัดเกินไปจนแทบจะกินไม่ได้ ชินจิรับรู้ในวันนั้นเองว่าเควินกินเผ็ดได้น้อยมาก ซอสพริกที่ใส่ในนโปริตันจึงไม่ถูกปากชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
     แต่จะให้เขาทำอาหารฝรั่งแท้ ๆ เขาก็ทำไม่ได้ แถมตัวเองก็ยังไม่ชอบกินด้วย
     เรื่องรสนิยมการรับประทานจึงเป็นเรื่องที่อิหลักอิเหลื่อมากสำหรับเขาและเควิน
     ต่างกับมานูเอล เพื่อนของเขาคนนี้ไม่เคยมีปัญหาในการรับสิ่งใหม่ ๆ เลย กินอะไรก็ได้ ทำอะไรให้ก็กิน แถมยังช่างคิดถึงคนอื่นอีก ชายหนุ่มรู้ว่าเพื่อนสามคนของตัวเองถนัดรับประทานอาหารญี่ปุ่นกันทั้งนั้นจึงมีความคิดทำอาหารแบบผสมผสานเพื่อให้ถูกปากทั้งตัวเองและเพื่อน คราวที่แล้วมานูเอลทำสปาเก็ตตี้ครีมซอสที่ตัวเองชอบ แต่ใส่แฮม กุ้ง แถมด้วยหน่อไม้ฝรั่งที่อัตสึโตะชอบแบบเต็มพิกัด ผลก็คือรับประทานกันจนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือเลยแม้แต่นิดเดียว
     เขาไม่อยากเปรียบเทียบคนรักของตัวเองกับใครเลย แต่เขาก็อดเปรียบเทียบเควินกับมานูเอลในเรื่องนี้ไม่ได้ทุกที
     “ถ้านายได้แฟนเป็นคนญี่ปุ่น นายคงไม่มีปัญหาเรื่องกินเลยเนอะ” ชินจิลืมตัวหลุดปากออกมาตามใจคิด ก่อนจะรีบโบกไม้โบกมือกลบเกลื่อนและเปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องอื่นอย่างรวดเร็วเมื่อมานูเอลเลิกคิ้วมองมาอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินคำพูดของเขา
     “เอ ทำไมพวกนั้นยังซ้อมกันไม่เสร็จก็ไม่รู้นะ นายไปดูทีได้ไหม ฉันกลัวว่ามิโสะย่างจะเย็นเสียก่อน”
     มานูเอลขยับจะทำตาม แต่ก็เห็นอัตสึโตะกับมายะออกมาจากห้องพอดี ท่าทางเหนื่อยและหิวโซมาทีเดียว แต่หน้าตาก็ยิ้มแย้มสดชื่นดีและมายะก็ไม่ได้บ่นเรื่องอัตสึโตะไม่ยอมจำท่าให้ดีด้วย แสดงว่าการซ้อมวันนี้เป็นไปได้ด้วยดี
     ชินจิยกถาดอาหารมาวางตรงหน้าเพื่อน ๆ ที่พอเห็นมิโสะย่างหอม ๆ ก็เป่าปากด้วยความชอบใจ
     “แหม ถ้าได้เนื้อฮิดะสักหน่อยนะจะสุดยอดมากเลย” อัตสึโตะบ่น แต่เขาก็คีบข้าวเข้าปากคำโตตามด้วยมิโสะรสแหลม ๆ ย่างผสมกับเห็ดและต้นหอมสับละเอียด
     “เอาเนื้อธรรมดาได้ไหมล่ะ พรุ่งนี้ฉันจะย่างเนื้อกับมิโสะกับเต้าหู้ สนใจไหม กินกับโซบะเย็น ๆ ฉันยังมีเส้นโซบะเหลืออยู่ในตู้”
     อัตสึโตะกับมายะร้องเฮทันทีด้วยความชอบใจ

     งานอัดเว้นท์จัดขึ้นที่บริเวณแคมปัสกลาง องค์การนักศึกษาและสำนักงานกิจการต่างประเทศใช้ห้องประชุมในตึกเรียนที่จัตุรัสเฮเกลเป็นสถานที่จัดงาน งานนี้นักศึกษาต่างชาติพากันมาแทบจะทุกคนเพราะต่างต้องแสดงบนเวทีในฐานะตัวแทนของประเทศตัวเอง
     ชินจิไม่ได้แสดงอะไร เขาจึงแค่เปลี่ยนมาใส่ชุดยูกาตะสีเข้มที่เอย์จิให้ยืมมาเท่านั้นและเข้ามาช่วยอัตสึโตะแต่งตัวในห้อง ชุดยูกาตะที่ชายหนุ่มจะต้องใส่นั้นเป็นของผู้หญิง เป็นชุดยูกาตะสีชมพูโอลด์โรสคาดโอบิสีดำ ใส่ถุงเท้าสีขาวกับรองเท้าฟางสายคาดสีดำ สีชุดหวานมากจนคน (ที่ถูกบังคับให้) ใส่แอบงอแงเล็กน้อย
     “มันหวานไปไหมอะชินจิ โอ๊ย! ไม่อยากใส่เลย ทำไมฉันต้องใส่ด้วยวะ”
     “แล้วจะให้มายะใส่รึไง สงสารคนดูมั่งเหอะ” ชินจิพูดยิ้ม ๆ นินทาได้เพราะมายะไม่ได้อยู่ในห้องด้วย ชายหนุ่มมองอัตสึโตะที่ยืนหมุนไปหมุนมาทำหน้ามุ่ยอยู่หน้ากระจกด้วยความขบขัน
     “น่ารักจะตายแล้วอัตสึโตะ ไม่ต้องดูกระจกแล้ว”
     “อย่าแซวสิ” อัตสึโตะโอด แล้วก็ทำท่าจะคว้าหมวกฟางมาสวมเพื่อซ่อนหน้าตัวเองที่แดงแปร๊ดเพราะความอาย หมวกใบนี้จะคาดหน้านักแสดงเอาไว้ ตัวหมวกจะลู่ลงเหมือนกับถูกพับครึ่งปิดทับหน้าคนใส่ไม่ให้ใครเห็น แต่อัตสึโตะไม่ทันจะได้ใส่ ชินจิคว้าเอาไว้ได้เสียก่อน
     “ถ้านายใส่หมวกซะแล้ว คนที่รอดูนายในชุดยูกาตะคงเสียใจกันน่าดู ทั้งมายะ ทั้งยูเลี่ยน ทั้งมานูเอล”
     ชายหนุ่มแซวยิ้ม ๆ เพราะทั้งสามคนนี้มารอลุ้นอัตสึโตะอยู่ในครัวกันตั้งแต่ไก่โห่
     “ไอ้พวกนั้นมันบ้า ไม่รู้จะอยากดูกันไปทำไม ใส่ชุดนี้น่าอายจะตาย” อัตสึโตะบ่นงึมงำ แต่ก็ไม่ได้พยายามจะยื้อแย่งหมวกกลับคืนมาแต่อย่างไร
     “ถ้าเสร็จแล้วก็ออกไปกันเถอะ” ชินจิชวน อัตสึโตะพยักหน้า และก่อนออกจากห้องเขาก็เดินไปดับเทียนที่หัวเตียง ชินจิมองตามแล้วอุทานว่า
     “โอ้โฮ นี่นายจุดเทียนอัดเว้นท์ด้วยเหรอเนี่ย”
     “ฮื่อ” อัตสึโตะรับคำในลำคอ
     แล้วเมื่อเห็นหรีดอัดเว้นท์ที่หัวเตียง ชินจิจึงสังเกตเห็นปฏิทินอัดเว้นท์รูปหมีเท็ดดี้ที่แขวนอยู่ใกล้ ๆ ด้วยซึ่งตอนเข้ามาทีแรกชายหนุ่มไม่ทันได้สังเกตเพราะมัวแต่ช่วยเพื่อนใส่ชุดยูกาตะอยู่
     “ปฏิทินก็มี น่ารักแฮะ รูปหมีเท็ดดี้ซะด้วย แล้ววันนี้กินช็อกโกแลตก้อนแรกแล้วรึยัง”
     “กินตั้งแต่เช้าแล้ว อร่อยดีนะ ตอนแรกนึกว่าไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ซะอีก ของเด็ก ๆ”
     “มานูเอลซื้อให้ใช่ไหม”
     อัตสึโตะหันมามองเพื่อนทันทีเมื่อจู่ ๆ ชินจิก็ถามขึ้นมาแบบนี้
     “นายรู้ได้ไง” เขามองเพื่อนอย่างสงสัย
     “มันคุ้น ๆ ฉันว่าฉันเคยเห็นปฏิทินแบบนี้ที่ร้านหนังสือที่ห้างกรอพิอุส ร้านเดียวกับที่ฉันเคยเจอมานูเอลเดินออกมา ไม่เห็นหรอกนะว่าซื้ออะไร แต่ถุงที่หิ้วงี้ใหญ่เบ้อเริ่ม ใหญ่พอจะใส่ไอ้ปฏิทินอันนี้แหละ” ชินจิตอบพลางมองเพื่อนด้วยสายตาค้นคว้า ก่อนจะตัดสินใจถามว่า
     “มานูเอลกับนายนี่ตกลงยังไงกัน หมอนั่นมันมาจีบนายรึเปล่า”
     “ไม่มีอะไรนี่ เป็นเพื่อนกันเฉย ๆ” อัตสึโตะปฏิเสธ
     “เพื่อนกันเฉย ๆ เขาไม่ซื้ออะไรแบบนี้ให้กันหรอกมั้ง” ชินจิยังแซวไม่เลิก
     “หมอนั่นมันก็ใจดีกับคนอื่นไปทั่วน่ะแหละ” หางเสียงของอัตสึโตะสะบัดเล็ก ๆ โดยที่ไม่รู้ตัว แต่คนฟังก็ยังจับได้
     “แต่ใจดีกับนายที่สุด ดูแลนายมากที่สุด เป็นห่วงนายมากที่สุด” ชินจิว่า เขาพยายามจับสังเกตอัตสึโตะขณะที่พูด และเมื่อพิจารณาดูดี ๆ แล้ว สีหน้าของอัตสึโตะก็แสดงอะไร ๆ ออกมามากพอดูทีเดียวจนชินจิคิดว่าตัวเองมองไม่ผิด
     “นายรักมานูเอลใช่ไหม อัตสึโตะ”
     “ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก” อัตสึโตะทำหน้ายุ่งเหมือนกับตอนที่คิดโจทย์ฟิสิกส์ไม่ออก “แต่ฉันชอบมานูเอลมาก ๆ เลย”
     “มากกว่ามายะกับยูเลี่ยนอีกใช่ไหม”
     อัตสึโตะพยักหน้า
     “แล้วพอมานูเอลไปทำดีกับใครที่ไม่ใช่นายมาก ๆ นายโกรธรึเปล่า”
     “ก็โกรธนะ” เขานึกถึงตอนที่มานูเอลทำดีกับชินจิ ตอนนั้นเขาก็โมโหมากเสียจนหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดีไปทั้งวันเลยทีเดียว
     “ฉันว่าฉันพอจะได้คำตอบแล้วล่ะ” ชินจิพูดยิ้ม ๆ แต่ไม่ยอมบอกแม้ว่าจะโดนอัตสึโตะตื๊อถามมากแค่ไหน ชายหนุ่มบอกว่า
     “เรื่องแบบนี้มันต้องรู้ด้วยตัวเอง จะให้คนอื่นมาบอกมันไม่ได้หรอก”
     จากนั้นเขาก็ดันหลังเพื่อนที่ทำหน้างอเพราะถูกขัดใจออกไปจากห้อง
     สามหนุ่มที่รออยู่ในห้องครัวพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อเห็นชินจิกับอัตสึโตะเดินออกมาจากห้อง ท่าทางขัดเขินและหน้าแดง ๆ ของอัตสึโตะที่ใส่ชุดยูกาตะของผู้หญิงสีหวานทำให้ทั้งมายะและยูเลี่ยนมองตาค้าง
     มานูเอลเองก็มีทีท่าเหมือนกับจะหายใจไม่ออก
     อัตสึโตะน่ารักเหลือเกิน
     “มองอะไรกันวะ” อัตสึโตะโวยกลบเกลื่อนความเขิน
     มายะกับยูเลี่ยนพุ่งเข้าหาอัตสึโตะทันที แล้วก็มะรุมมะตุ้มรุมกันชื่นชมยกใหญ่ แต่ก็ยังมิวายจิกกัดและกันท่ากันเองสุดชีวิต
     “ถอยออกไปไอ้ยูเลี่ยน อย่ามาจับมือถือแขนอัตสึโตะของฉันนะเว้ย”
     “นายสิถอยไป นายอยู่ใกล้อัตสึโตะสุดที่รักของฉันมากไปแล้วเหมือนกันโว้ย”
     “ไอ้เด็กบ้า”
     “ไอ้หน้าเต้าหู้”
     “...”
     “...”
     ชินจิโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ เดินมาหยุดยืนข้างตัวมานูเอลที่ได้แต่นิ่งมองเพื่อนของเขา ก่อนจะเปรยว่า
     “อัตสึโตะแต่งตัวแบบนี้แล้วน่ารักดีนะ นายว่าไหม”
     “เอ้อ...” มานูเอลเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ เขาอึกอักตอบไม่ถูกจนชินจิอดหัวเราะเบา ๆ ด้วยความขบขันไม่ได้
     “อยากถ่ายรูปเก็บไว้ไหมมานูเอล ฉันจะถ่ายให้ เอาโทรศัพท์มาสิ”
     แต่เมื่อดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง มานูเอลก็ชะงัก
     เขามีหนึ่งสายที่ไม่ได้รับ
     บนหน้าจอสีดำขึ้นตัวหนังสือว่า

     Kathrin vor 5 Min.
     Verpasster Anruf
     Zum Anrufen streichen
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 6 - update - 01.10.2014
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 01-10-2014 20:30:29
หวา แฟนโทร.มา  เซ็งเบย
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 6 - update - 01.10.2014
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-10-2014 09:15:53
บทที่ 7

     งานอัดเว้นท์ประจำปีนี้เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่หัวหน้าสำนักงานกิจการต่างประเทศขึ้นกล่าวเปิดงานบนเวที ตามด้วยแฮร์เลอเว่นแฮร์ตส์ อาจารย์ที่ปรึกษาของอัตสึโตะซึ่งเป็นพิธีกรของงานกล่าวถึงความเป็นมาของการจัดงานอัดเว้นท์ จากนั้นก็จะถึงเวลาของการแสดงของนักศึกษาชาติต่าง ๆ
     คนที่มาร่วมงานบ้างก็นั่งที่โต๊ะเก้าอี้ที่จัดไว้บ้างก็ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ที่โต๊ะกลมตัวสูงซึ่งมีแก้วใส่เทียนวางอยู่ตรงกลางโต๊ะพร้อมกับมีหรีดอัดเว้นท์พวงเล็ก ๆ จากกิ่งและใบสนสีเขียวเข้มประดับด้วยลูกสนสีน้ำตาลและริบบิ้นลายตารางสีขาวแดงวางอยู่ข้าง ๆ
     ภายในห้องจัดงาน นักศึกษาใส่ชุดประจำชาติหลากสีหลายแบบเดินกันขวักไขว่ แต่ละชุดมีเอกลักษณ์ทำให้คนเห็นบอกได้ทันทีว่าคนที่ใส่นั้นมาจากประเทศไหน พวกอัตสึโตะในชุดยูกาตะและเสื้อฮัปปิสวมหมวกฟางก็ได้รับความสนใจไม่น้อยทันทีที่เดินเข้ามาในงาน และก่อนจะถึงเวลางานเริ่ม นักศึกษาจำนวนมากต่างก็พากันมาขอถ่ายรูปด้วย
     เมื่อถึงเวลาแสดง อัตสึโตะกับมายะไปเตรียมตัวที่หลังเวที ชินจิเดินมาหาเควินกับเจอโรมที่ยืนอยู่ด้วยกันที่โต๊ะตัวหนึ่ง ส่วนมานูเอลกับยูเลี่ยนแยกไปยืนกับมิโรและฟิลิปรวมทั้งแฟนสาวของทั้งคู่ที่โต๊ะอีกตัวหนึ่ง
     การแสดงของอัตสึโตะกับมายะได้รับความสนใจพอสมควร แม้ว่าจังหวะที่เต้นจะเป็นจังหวะช้า ๆ เอื่อย ๆ เรื่อย ๆ ไม่รวดเร็วสนุกสนานคึกคักเหมือนการเต้นของนักศึกษาที่มาจากประเทศทางแถบแอฟริกาก็ตาม แต่เพราะเครื่องแต่งกายที่สวยงามแปลกตาทำให้มีเสียงปรบมืออย่างชื่นชมดังขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่แสดงจบ
     ทันทีที่การแสดงสิ้นสุดลง อัตสึโตะก็ร่ำ ๆ อยากจะถอดยูกาตะออก แต่ทุกคนพากันห้ามไว้อย่างพร้อมเพรียง แถมหมวกฟางก็ถูกยึดไป ชายหนุ่มจึงต้องใส่ชุดยูกาตะของผู้หญิงเดินไปทั่วงานอย่างเลี่ยงไม่ได้
     เมื่อมายะกับอัตสึโตะตามมาสมทบ โต๊ะที่ยืนกันอยู่ก็เล็กไป พวกเขาจึงอพยพกันมานั่งที่โต๊ะยาวตัวที่นักศึกษาจากอัดเลอร์สโฮฟนั่งรวมกลุ่มกันอยู่หลายคน มีบาสเตียนกับลูคัสซึ่งวันนี้ควงสาวตัวจริงของตัวเองเคียงข้างเป็นหัวโจกนำพวกพ้องแซวคนโน้นคนนี้ที่ขึ้นไปแสดงบนเวทีอย่างสนุกสนาน
     “แฟนใหม่บาสตี้ ชื่ออะนา”
     เมื่อพวกมานูเอลนั่งลงที่โต๊ะ มาริโอ้ก็เอนตัวมากระซิบบอกมานูเอลกับยูเลี่ยนเนื่องจากเห็นทั้งคู่ชำเลืองมองสาวหน้าใหม่ข้างตัวหัวหน้าฟลอร์ด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
     อัตสึโตะสะกิดมานูเอลทันที ชายหนุ่มก็รีบหันมากระซิบอธิบายว่า
     “บาสตี้ควงสาวคนใหม่มา มาริโอ้บอกว่าชื่ออะนา”
     ส่วนคนที่ตกเป็นหัวข้อความสนใจเห็นอัตสึโตะใส่ชุดของผู้หญิงสีหวานก็แซวเล่นอย่างสนุกปาก แต่คนโดนแซวฟังสำเนียงบาเยิร์นไม่รู้เรื่องและมานูเอลก็ไม่แปลให้ฟังเช่นกัน เขาก็เลยไม่ได้สนใจว่าบอสแซวอะไรเขาบ้าง ชายหนุ่มสนใจดูการแสดงอย่างอื่นบนเวทีแทน
     หลังจากพิธีการและการแสดงทั้งหลายจบลง งานก็เปลี่ยนไปเป็นปาร์ตี้ธรรมดาเหมือนทุกครั้ง เสียงเพลงคริสต์มาสเปลี่ยนเป็นเพลงจังหวะคึกคักสนุกสนาน ยิ่งดึกเพลงก็ยิ่งดัง พื้นที่หน้าเวทีกลายเป็นฟลอร์เต้นรำ คนมาร่วมงานดื่ม กิน เต้นกันอย่างสนุกสนาน
     ชินจิโดนทิ้งตามเคย เขายืนคุยกับเจอโรมอยู่ที่โต๊ะขณะที่เควินออกไปวาดลวดลายอยู่กับกลุ่มเพื่อน ๆ หน้าเวที ชินจิไม่พอใจจนเปลี่ยนเป็นความเซ็งเต็มที ยิ่งเซ็งเขาก็ยิ่งดื่ม
     “นายไม่ออกไปเต้นกับเควินล่ะ” เจอโรมถาม ชินจิส่ายหน้า
     “ฉันไม่ค่อยชอบเต้น เต้นไม่เป็น” ชายหนุ่มตอบ ให้เขาออกไปเต้นก็ขายหน้าเปล่า เขาไม่กระดิกสักนิดเรื่องดนตรีเรื่องจังหวะ แค่ปรบมือให้เข้าจังหวะเขายังทำไม่ได้เลย ถ้าต้องออกไปเต้นจริง ๆ เขาก็ทำได้แค่โยก ๆ หัวนิดหน่อยพอเป็นพิธีแค่นั้นแหละ
     “นายล่ะ ออกไปเต้นก็ได้นะ ฉันอยู่คนเดียวได้”
     “ไม่เป็นไร ตอนนี้ยังไม่ค่อยอยากเต้น ไว้ดึก ๆ หน่อยค่อยออกไป”
     “นายรู้จักกับเควินมานานแค่ไหนแล้ว” ขินจิชวนคุยเรื่อยเปื่อย
     “ตั้งแต่มาเรียนที่นี่แหละ เจอกันตามงานปาร์ตี้บ่อย ๆ ก็สนิทกันไปเอง”
     “ถ้านายเรียนจบ นายจะทำงานที่นี่ไหม หรือนายจะกลับประเทศ”
     “คงไม่กลับ ที่กาน่าไม่ค่อยมีอะไร อยู่ที่นี่มีอะไรทำเยอะกว่า”
     “นายมาจากกาน่าเหรอ”
     ชายหนุ่มไม่เคยได้ยินชื่อประเทศนี้มาก่อน แต่ก็รู้สึกดีใจที่จะมีหัวข้อคุย เขาก็เลยถามเจอโรมถึงประเทศกาน่า แล้วก็คุยกันเรื่อย ๆ จนเควินเดินกลับมาหา
     “อีกสองอาทิตย์คริสตอฟจะมา” ชายหนุ่มบอกเจอโรม มือของเขากอดไหล่ชินจิไว้ แต่ไม่สังเกตว่าคนรักยืนนิ่ง ไม่มีท่าทีจะกอดตอบเหมื่อนที่เคย
     “ยอดเลย ไม่ได้เจอหมอนั่นมาตั้งนาน แล้วมันมาคนเดียวหรือมากับใคร”
     “คนเดียว ให้นอนห้องฉันก็ได้ เดี๋ยวฉันไปนอนห้องชินจิชั่วคราว”
     เควินคุยกับเจอโรมโดยที่ไม่ปรึกษาชินจิสักคำจนชายหนุ่มชักโมโห แต่เขาไม่อยากโวยวายต่อหน้าคนอื่นในงานแบบนี้จึงแค่เพียงถามขึ้นเสียงเย็นว่า
     “ใครจะมา”
     “เพื่อนเราสองคนจะมาเยี่ยม คงมาพักที่ห้องฉันสักสองสามวัน”
     เควินตอบ ชายหนุ่มไม่ได้สังเกตอะไรทั้งนั้น เจอโรมเสียอีกที่จับน้ำเสียงที่ผิดแปลกไปของชินจิได้ เขาจึงพูดว่า
     “นายถามชินจิแล้วรึยังว่าโอเคไหม”
     “ถามทำไม ชินจิโอเคอยู่แล้ว แฟนฉันน่ารักพูดง่ายจะตาย เนอะชินจิ นายไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมถ้าเราจะเปลี่ยนไปนอนที่ห้องนายตอนนั้น”
     พูดแบบนี้ใครจะมีปัญหาได้ ชินจิคิด ก่อนจะพยักหน้ารับ
     “นายสองคนนี่เข้ากันดีนะ” เจอโรมเปรยยิ้ม ๆ “วันนี้ชินจิแต่งตัวน่ารัก พวกนายสองคนได้ถ่ายรูปกันบ้างรึยังเนี่ย ฉันถ่ายให้แล้วกัน”
     “เออ เกือบลืมเลย เอาสิ ๆ” เควินว่าพลางโอบตัวชินจิเข้ามาใกล้ ให้เจอโรมถ่ายรูปคู่ให้รูปหนึ่ง พอจะถ่ายรูปที่สอง เควินก็หอมแก้มชินจิพร้อมกับเสียงกดปุ่มถ่ายภาพดังขึ้น ชินจิเอามือกุมแก้มด้วยความอายนิด ๆ ขณะที่เควินดึงโทรศัพท์จากมือเพื่อนมาดูรูปคู่รูปที่สองพลางยิ้มอย่างพอใจ
     “น่ารัก เอารูปขึ้นล็อคสกรีนดีกว่า”
     เสร็จแล้วก็เอามาอวด ความขุ่นเคืองใจของชินจิจึงมลายหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับตอนที่มันเกิด และแม้ว่าเควินจะทิ้งเขาออกไปเต้นกับเจอโรมอีกครั้งหลังจากนั้น ชายหนุ่มก็ไม่มีอาการไม่พอใจแต่อย่างไร เพียงแค่ตัดสินใจลุกไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ที่โต๊ะของนักศึกษาจากอัดเลอร์สโฮฟเพราะไม่อยากยืนเหงาอยู่คนเดียวที่โต๊ะเท่านั้น
     “มานูเอลล่ะ” ชินจิถามมาริโอ้ที่ขยับไปนั่งอยู่บนตักของมาร์โคเพราะเสียสละเก้าอี้ให้เขา
     “เห็นบอกว่าจะออกไปโทรศัพท์นะ” มาริโอ้ตอบอย่างไม่ค่อยสนใจนัก หันไปกระซิบกระซาบคุยจุ๋งจิ๋งกับคนรักของตัวเองต่อ
ชายหนุ่มชักเป็นห่วง ก่อนออกมาที่นี่ เขาเห็นมานูเอลดูโทรศัพท์แล้วมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่เมื่อถาม มานูเอลก็ไม่ได้ตอบว่าอะไร เพียงแต่ดูเงียบขรึมลง แล้วพอเผลอก็จะแสดงสีหน้าหนักใจคิดไม่ตกออกมาโดยไม่รู้ตัว
     “อ้าว ชินจิ แล้วเควินล่ะ ทำไมไม่มาด้วยกัน”
     ชินจิอยากจะร้องเฮ้อออกมาดัง ๆ เพราะถูกถามแบบนี้ตั้งแต่เดินมานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว ชายหนุ่มนึกอยากจะแฟ่ดใส่คนถามอยู่เหมือนกัน แต่เพราะไม่มีนิสัยขี้เหวี่ยงและหันไปเจอคนถามเป็นหัวหน้าฟลอร์ของตัวเองซึ่งไม่สมควรจะโวยใส่เป็นอย่างยิ่ง เขาจึงได้แต่ทำหน้าเมื่อยนิด ๆ เมื่อตอบว่า
     “ออกไปเต้นอยู่กับเจอโรมแน่ะ”
     “เอาอีกละเจ้านั่น งั้นฝากบอกมันด้วยนะว่าฉันไม่มีปัญหาเรื่องมันจะให้เพื่อนมาค้างที่ห้อง” บาสเตียนพูดแล้วโอบเอวแฟนสาวคนใหม่เดินออกไปจากงาน
     ข้างตัวเขาในเวลาเดียวกัน ชินจิได้ยินเสียงอัตสึโตะพูดด้วยความรำคาญว่า
     “ฉันไม่เต้นกับใครทั้งนั้นแหละ ฉันขี้เกียจ นายสองคนอยากเต้นก็ไปเต้นกันเองสิ”
     พูดจบเพื่อนของเขาในชุดยูกาตะสีชมพูอมส้มหวานก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับประกาศว่า
     “ฉันจะไปห้องน้ำ ไม่ต้องตามมา!”
     ชินจิไม่ได้หันไปมองว่ามายะกับยูเลี่ยนจะทำหน้ากันอย่างไร เพราะตัวเขาเองก็ไม่มีอารมณ์จะใส่ใจคนอื่นในเวลานี้เหมือนกัน ชายหนุ่มเคยสัญญากับตัวเองว่าจะพยายามไม่คิดมาก แต่เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้ ก็ใครมันจะไปทำได้ เขาคิด ในเมื่อรอบตัวมีแต่คู่รัก ข้างตัวนี่ก็มาร์โคกับมาริโอ้ จากที่คุยกันอยู่ดี ๆ เปลี่ยนเป็นจูบกันเสียแล้ว ตรงกันข้ามนี่ก็มัตส์กับเอริค สบตากันผ่านแสงเทียนสุดโรแมนติก โน่นก็เพื่อนเขาที่คณะ จับกันเป็นคู่ ๆ คุยกันแนบชิด คนอื่นเขายังอยู่ด้วยกัน ไม่เห็นใครเป็นเหมือนคู่ของเขากับเควินสักคน
     “ชินจิ อยู่ตรงนี้เอง”
     เจอโรมเดินมาหาเขาพร้อมกับเบียร์สองขวดเมื่อเดินกลับไปที่โต๊ะเดิมแล้วไม่เจอเขา
     “เควินล่ะ”
     “ยังเต้นอยู่ หมอนั่นมันเจอเพื่อนที่คณะ เอาเบียร์ขวดใหม่ไหม” ประโยคท้ายเขาถามเมื่อเห็นขวดเบียร์ตรงหน้าของเพื่อนพร่องไปเกือบหมดแล้ว ชินจิพยักหน้ารับไปอย่างนั้นเอง แล้วก็จำต้องคุยกับเจอโรมเพราะเควินไม่ยอมกลับมาหาเขาสักที
     ความรู้สึกของชินจิดิ่งลงเหวเรื่อย ๆ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 7 - update - 02.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 02-10-2014 09:23:43
ให้ตายสิ  นิสัยโครตต่างกันเลย  ไม่น่าจะไปด้วยกันรอดหรอก
เควินเจ้าสำราญ  สบาย ๆ ไม่คิดอะไรเลย ...
ส่วนชินจิเจ้าระเบียบ แบบแผนในชีวิตเยอะ  ยึดติด  คิดมาก
ไม่รอดแน่ ๆ ... ว่าแต่ไม่ใช่ว่าอัตสึโตะออกไปเจอช็อตเด็ดมานูเอลกับแฟนล่ะ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 7 - update - 02.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-10-2014 10:14:04
คัธริน นางอยู่ที่ดืสเซลดอร์ฟค่ะ  :m12:
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 7 - update - 02.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 02-10-2014 21:26:10
     อัตสึโตะเดินออกจากห้องจัดงาน แต่เขาไม่ได้ไปห้องน้ำอย่างที่บอกมายะกับยูเลี่ยน ชายหนุ่มแค่หาข้ออ้างไม่ให้สองคนนั้นตามติดเขาเป็นเงาตามตัวเท่านั้น
     ชายหนุ่มไม่เคยเข้ามาในตึกคณะในบริเวณแคมปัสกลางมาก่อนจึงถือโอกาสเดินดูโน่นดูนี่เรื่อยเปื่อยและสุดท้ายอัตสึโตะก็หลงทิศเดินหลุดออกมาทางประตูข้างที่เปิดออกสู่จัตุรัสเฮเกลซึ่งเป็นสนามหญ้ากว้างอยู่หลังแนวต้นไม้
     ถึงแม้อากาศจะหนาวและชุดที่ใส่อยู่เป็นเพียงยูกาตะที่เนื้อผ้าไม่หนานัก แต่อัตสึโตะก็ไม่สนใจ กลับเดินฉับ ๆ ตรงไปทางสนามหญ้า
     “มานูเอล”
     เสียงเรียกของอัตสึโตะทำให้ร่างสูงใหญ่ที่นั่งพิงต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่หันกลับมามองอย่างรวดเร็ว
     “อัตสึโตะ”
     “นายมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียวมืด ๆ เนี่ย” อัตสึโตะถามเมื่อเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ โดยไม่สนใจว่ายูกาตะที่ใส่อยู่จะเปรอะเปื้อนหรือไม่
     “ออกมาโทรศัพท์นิดหน่อย” ชายหนุ่มตอบ
     สีหน้าของมานูเอลที่แสดงออกมาในขณะนี้ทำให้แม้แต่คนที่ไม่ค่อยคิดอะไรมากอย่างอัตสึโตะยังรับรู้ได้ว่ามีอะไรผิดปกติ ชายหนุ่มเอื้อมมือมาจับแขนเขาไว้
     “นี่นายเป็นอะไรรึเปล่า”
     “เปล่า”
     “ถ้านายคิดว่าฉันเป็นเพื่อนก็อย่าปิดบังอะไรฉัน”
     อัตสึโตะดักคอ อีกฝ่ายถอนหายใจนิด ๆ แล้วเล่าว่า
     “ฉันเพิ่งโทรคุยกับคาธี่ คริสต์มาสคงกลับไปเจอกันที่บ้านที่เกลเซ่นเคียเช่น”
     “ก็ดีสิ นายไม่ได้เจอแฟนมานานแล้วไม่ใช่เหรอ” อัตสึโตะพูด และน่าแปลกที่ในใจของเขามันรู้สึกโหวง ๆ เมื่อคิดว่ามานูเอลจะกลับไปเจอกับคัธริน
     “มันรู้สึก...แปลก ๆ” มานูเอลเว้นวรรคนิดหนึ่ง “ช่วงหลัง ๆ ฉันกับคาธี่ไม่ค่อยได้คุยกัน ทุกครั้งที่อยากคุยด้วย แต่โทรไปคาธี่ก็มักจะยุ่งจนไม่ได้คุยกันสักเท่าไหร่ ฉันก็ได้แต่ส่งเป็นข้อความไป แต่วันนี้จู่ ๆ คาธี่ก็โทรมา พอฉันโทรกลับไปก็บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย แต่จะไปคุยที่บ้าน ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงก็ไม่รู้”
     ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งเฮือก
     “นายคิดว่าแฟนนายจะมีคนใหม่เหรอ” อัตสึโตะไม่อยากถามเลย แต่เขาก็ต้องถาม และมานูเอลก็พยักหน้ารับ
     “มันก็แค่สงสัยเท่านั้นแหละ ไม่รู้สินะ อัตสึโตะ แต่บางครั้งคนเรามันก็สังหรณ์เรื่องแบบนี้ได้เหมือนกัน”
     “แล้วถ้าแฟนนายมีใครใหม่จริง ๆ นายจะเสียใจมากไหม”
     “ก็คงเสียใจ” มานูเอลนิ่งไปนิด ยกมือขึ้นลูบหน้า แต่แล้วก็อุทานเสียงหลงด้วยความตกใจเมื่อจู่ ๆ คนข้างตัวก็คว้าคอของเขามากอดจนชายหนุ่มเสียหลักหัวเกือบคะมำจนต้องเอามือยันพื้นไว้
     “เฮ้ย! อะไรของนายเนี่ย!”
     “เห็นนายทำหน้าจ๋อย ๆ แบบนี้แล้วมันน่าโมโหอะ” อัตสึโตะพูด กอดคอเพื่อนเอาไว้ แต่ดูไปแล้วเหมือนกำลังล็อคคออีกฝ่ายมากกว่า
     “ถ้าแฟนนายจะไม่รักนายแล้วจริง ๆ ก็ไม่เห็นต้องเสียใจเลย ยังมีคนอื่นชอบนายอีกตั้งเยอะ”
     “งั้นเหรอ” มานูเอลปลดแขนอัตสึโตะออกจากคอ “แล้วคนที่ว่าเนี่ย รวมนายด้วยรึเปล่า”
     “แน่นอน ฉันก็ชอบนายเหมือนกัน”
     อัตสึโตะตอบอย่างหนักแน่น
     มานูเอลมองสบตากับอัตสึโตะที่จ้องหน้าเขาตาแป๋วอยู่ครู่ก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
     “นายนี่ตรงไปตรงมาดีนะ”
     “หายนอยด์ได้แล้วยัง”
     มานูเอลพยักหน้า แก้มของอัตสึโตะเย็นเหมือนกับมือเขาที่จับอยู่ตอนนี้
     “บางทีฉันก็คิดเหมือนกันว่าฉันอาจจะไม่เสียใจมากอย่างที่เคยคิดก็ได้ ถ้าคาธี่จะเลิกกับฉันจริง ๆ” ชายหนุ่มพึมพำ เขาไม่รู้ตัวสักนิดว่าก้มหน้าลงไปหาอัตสึโตะตั้งแต่เมื่อไร แต่เมื่อริมฝีปากของเขากำลังจะแตะลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็กลับหยุดเพียงเท่านั้น แล้วเปลี่ยนเป็นแตะหน้าผากลงกับหน้าผากของอัตสึโตะแทน
     “ขอบใจนะอัตสึโตะ ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลย”
     อัตสึโตะยิ้มทั้งที่กำลังหลับตาอยู่ มือของเขาอบอุ่นอยู่ในมือใหญ่ของมานูเอล ทั้งคู่นิ่งอยู่ในท่านั้นจนรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเย็น ๆ ตกลงมาแตะที่แก้ม
     “หิมะ”
     มานูเอลกับอัตสึโตะลืมตาขึ้นมาพบกับเกล็ดหิมะสีขาวสะอาดโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าสีดำสนิทของคืนวันเริ่มต้นเทศกาลคริสต์มาส อัตสึโตะเงยหน้ามองอย่างชอบใจ
     “หิมะแรกของปีนี้ เราคงมีไวท์คริสต์มาสแน่” มานูเอลพูด
     อัตสึโตะลุกขึ้นยืน ฉุดมือของมานูเอลให้ลุกตามด้วย
     “สวยจังเลย” ชายหนุ่มแหงนมองท้องฟ้าคอตั้งบ่า ถึงจะมาจากประเทศที่มีหิมะ เจอหิมะมาทุกปีจนไม่น่าจะต้องมีอะไรประหลาดใจ แต่เขาก็ยังตื่นเต้นกับหิมะนี้อยู่ดี หิมะแรกในเบอร์ลิน...กับมานูเอล
     “มานูเอล บ้านนายจะมีหิมะยังงี้ด้วยใช่ไหม ตอนคริสต์มาส”
     “แน่นอน สวยกว่านี้อีก”
     ชายหนุ่มรับรอง มือของอัตสึโตะในมือของเขาขยับยุกยิกเมื่อเจ้าตัวเริ่มรู้สึกเขิน มานูเอลจึงปล่อยมือ แล้วเขาก็ถอดเสื้อแจ็กเกตที่สวมอยู่ให้อัตสึโตะใส่
     “ถ้านายเป็นหวัด ฉันคงรู้สึกผิดแย่ที่ทำให้นายต้องใส่เสื้อบาง ๆ ยังงี้ออกมาตามฉัน”
     มานูเอลพูดขณะที่ติดกระดุมเสื้อให้จนเสื้อปิดมาถึงคอ
     “จะเป็นได้ยังไง เสื้อนายตัวใหญ่ขนาดนี้ แล้วก็อุ่นสุด ๆ”
     อัตสึโตะหัวเราะชอบใจ เสื้อแจ็กเก็ตที่มานูเอลสวมให้ตัวใหญ่จนเขาใส่แล้วไหล่ตก แขนก็ยาวคลุมมือทั้งสองข้างจนมองไม่เห็น ชายหนุ่มชูมือทั้งสองข้างขึ้นให้อีกฝ่ายดู แขนเสื้อของมานูเอลส่วนที่เลยออกมาตกห้อยอย่างน่าขัน
     “กลับเข้าไปข้างในกันเถอะ อากาศเริ่มหนาวแล้ว”
     มานูเอลจับมืออัตสึโตะอีกครั้ง จูงให้เดินตามเขากลับเข้าไปข้างใน ระหว่างที่เดินตามกันมาเงียบ ๆ มานูเอลก็บอกคนที่เขากำลังจูงมืออยู่ว่า
     “ต่อไปนี้นายเรียกฉันว่ามานูก็ได้นะ”

     ..........
     ทักทายได้นะคะ จริง ๆ
     คนเขียนขี้เหงา  :hao7:
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 7 - update - 02.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 02-10-2014 22:09:34
ถ้ามันง่ายอย่างที่คิดก้อดีสินะ มานูจะได้โสด อิ อิ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 7 - update - 02.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 03-10-2014 08:10:30
     ชินจิคงต้องจำอัดเว้นท์ครั้งแรกของเขาในเบอร์ลินต่อไปอีกนาน
     ชายหนุ่มไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงอารมณ์รวดเร็วขนาดนี้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
     เริ่มแรกเขารู้สึกงอนเควินที่ทิ้งเขาไปสนุกสนานกับเพื่อน แต่แล้วก็หายงอนเมื่อเควินมาง้อมาถ่ายรูปด้วย รู้สึกสนุกขึ้นเมื่อมีเจอโรมเป็นเพื่อนคุย ก่อนจะรู้สึกแย่และเหงาขึ้นมาอีกเมื่อมองไปรอบตัวแล้วเจอแต่คู่รักหวานแหวว จากนั้นก็รู้สึกกังวลเมื่อได้ยินมายะบ่นว่าอัตสึโตะหายไปห้องน้ำนานมากแล้ว มายะชวนเขาไปเดินตามหาอัตสึโตะ เขาจึงไปบอกเควินซึ่งชายหนุ่มก็เพียงพยักหน้านิดเดียว แล้วหันไปเต้นต่อ
     มายะกับเขาเดินออกมาจากห้องจัดงานก็เจออัตสึโตะเดินกลับมาพอดี มีมานูเอลเดินอยู่ข้าง ๆ และที่ทำให้มายะตาโตก็คือ บนตัวของอัตสึโตะมีเสื้อกันหนาวของมานูเอลสวมอยู่
     “นายเอาเสื้อมันมาใส่ทำไมอัตสึโตะ” มายะเอ็ดอึงทันที อัตสึโตะไม่สนใจท่าทางเป็นเดือดเป็นร้อนของเพื่อน บอกง่าย ๆ ว่า
     “ข้างนอกหิมะตกด้วยล่ะมายะ สวยมาก ๆ เลย อยากไปดูไหม”
     เท่านั้นเองมายะก็พยักหน้าหงึก ๆ ทันที แล้วก็เดินตามอัตสึโตะที่ยังใส่เสื้อกันหนาวของมานูเอลอยู่ต้อย ๆ ส่วนเจ้าของเสื้อไม่ได้เดินตามไปด้วย เขาหันมายิ้มให้ชินจินิดหนึ่ง
     “นายล่ะชินจิ ไม่ไปเหรอ”
     เมื่อชินจิส่ายหน้า ชายหนุ่มก็ไม่ว่าอะไร
     “กลับเข้าไปในงานกันไหม”
     ชินจิปฏิเสธอีก มานูเอลจึงกลับเข้าไปในงานคนเดียว ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนเคว้งคว้างพร้อมกับความรู้สึกเหงาที่ผุดพลุ่งขึ้นมาอีกระลอกจนทนแทบไม่ไหว ในหัวใจของเขาเกิดคำถามขึ้นมาเป็นครั้งแรก
     นี่เขาคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่ตัดสินใจเลือกรักเควิน
     ชายหนุ่มพยายามปัดความรู้สึกบ้า ๆ แบบนั้นออกไป แล้วหันซ้ายหันขวาหามุมเหมาะ ๆ เพื่อโทรศัพท์กลับไปหาครอบครัวของเขาที่โกเบ
     แม่ของเขาเป็นคนรับสาย และเมื่อได้ยินเสียงแม่ ชินจิก็น้ำตาไหล
     “ผมคิดถึงแม่ อยู่ที่นี่ผมเหงามากเลย”
     แม่ของเขาหัวเราะ นึกว่าลูกชายอ้อนเล่น เพราะร้อยวันพันปีชินจิไม่เคยโทรศัพท์มาบ่นว่าเหงาหรือมีปัญหาอะไร ลูกชายอยู่โตเกียวจนชิน แถมยังเคยบอกว่าชอบ อาจจะหางานทำที่โน่นเลยก็ได้ และตอนมาเบอร์ลินแรก ๆ ก็โทรมาหาหลายครั้ง ทุกครั้งมีแต่ความตื่นเต้น เล่าให้ฟังว่าไปโน่นไปนี่
     “อีกสามเดือนเองนะชินจิ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้ว”
     “ผมอยากกลับบ้านตอนนี้เลย อยากกลับไปกอดแม่” เขากลั้นเสียงสะอื้นอย่างสุดความสามารถ แต่น้ำตาไหลอาบแก้ม ไม่กล้าเล่าให้แม่ฟังว่าเขาทุกข์เรื่องอะไร คนฟังก็นึกว่าลูกชายเหงาจริง ๆ อย่างที่ปากว่า
     “อ้อนอีกแล้ว ลูกคนนี้” แม่ของเขาบ่นมาตามสาย แต่น้ำเสียงเอ็นดู จากนั้นแม่ของเขาก็เล่าโน่นเล่านี่ประสาคนช่างคุย ชินจิฟังพลางเช็ดน้ำตาป้อย ๆ รู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่ง และในที่สุดก็ยิ้มออกมาได้เล็กน้อย
     ชายหนุ่มกลับเข้าไปในงานอีกครั้งหนึ่ง เขาเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดธรรมดาแล้วและเดินไปสมทบกับเพื่อนที่โต๊ะ อัตสึโตะกับมายะก็กลับมาที่โต๊ะแล้วเหมือนกัน เพื่อนเขายังใส่เสื้อแจ็กเกตของมานูเอลไม่ยอมถอด
     “ชินจิ จะกลับด้วยกันไหม” มายะถาม “หรือนายจะรอกลับพร้อมเควิน”
     “ฉันกลับกับพวกนายดีกว่า” ชายหนุ่มว่า เพราะเห็นท่าสนุกจนไม่สนใจอะไรทั้งนั้นของคนรักแล้วกว่าจะยอมกลับก็คงโน่น งานเลิก เหมือนทุก ๆ ครั้งนั่นแหละ และตอนนี้เขาเองก็ไม่ค่อยอยากเจอหน้าเควินเท่าไรด้วย เอาไว้ค่อยรอเคลียร์ทีเดียวพรุ่งนี้ดีกว่า
     แต่ชินจิไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้อย่างที่ใจคิด เพราะหลังจากที่เขากลับถึงห้องได้ไม่เท่าไร เควินก็กลับมา ชินจินอนในห้องของเควินและเขายังไม่หลับเมื่อคนรักตรงเข้ามาสวมกอดเขาไว้เหมือนกลัวว่าเขาจะหายตัวไปจนคนถูกกอดทำตัวไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง
     “เควิน” ชายหนุ่มเรียก
     “นายร้องไห้ทำไม” เควินถาม น้ำเสียงของเขาดูเป็นห่วงจนชินจิรู้สึกดีขึ้นมากและตัดสินใจที่จะไม่โวยวายอย่างที่อยากทำในตอนแรก ชายหนุ่มกอดตอบเควิน
     “ใครบอกนาย”
     “เจอโรม มันเดินออกไปเห็นนายพอดี”
     “ไม่มีอะไรหรอก คุยกับแม่น่ะ คิดถึงบ้านนิดหน่อยเลยร้องไห้”
     ชินจิปด เควินถามต่อว่า
     “แล้วนายกลับมาก่อนทำไมไม่บอกฉันล่ะ”
     “ก็เห็นนายยังสนุกอยู่เลยไม่อยากไปกวน”
     “ชินจิ นายโกรธฉันรึเปล่า”
     คำถามของเควินทำให้ชินจินิ่งไปนิดหนึ่ง ลังเลว่าจะพูดสิ่งที่ต้องการดีไหม เพราะตอนนี้เขาเองก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว แต่คิดไปคิดมา เขาน่าจะพูด เควินจะได้รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร
     “ก็นิดหน่อย นายเอาแต่ปาร์ตี้ ไม่ค่อยกลับมาหาฉันอีกแล้ว”
     “แต่ฉันก็กลับมาหานายนี่นา ยังได้ถ่ายรูปเลย แถมนายก็กำลังคุยสนุกกับเจอโรม ฉันก็เลยคิดว่านายโอเค”
     “ฉันคุยกับเจอโรมเพราะนายไม่อยู่ แล้วฉันก็รู้สึกว่าวันนี้ฉันอยู่กับเจอโรมมากกว่าอยู่กับนายซะอีก จนฉันไม่รู้เหมือนกันว่าระหว่างนายกับเจอโรม ใครเป็นแฟนฉันกันแน่”
     เควินถอนหายใจ แล้วชายหนุ่มก็แก้ตัวด้วยการจูบคนรัก จูบไปพลางฟังคนรักพูดไปพลาง
     “ฉันรู้ว่ามันงี่เง่า แต่ฉันก็รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ”
     “ขอโทษ ฉันนึกว่านายโอเค วันนี้นายก็ดูสนุก เพื่อนนายก็ไปงานกันเยอะ ไม่น่าจะมีปัญหา”
     “ฉันไม่ได้โกรธนายนะเควิน แค่อยากบอกให้รู้ว่าฉันรู้สึกยังไง ฉันรู้ว่านายชอบปาร์ตี้และเมื่ออยู่ในงานนายก็จะเป็นแบบนี้ ฉันก็จะพยายามไม่งี่เง่าให้มันมากเกินไป”
     “ดีใจที่นายบอกว่าไม่โกรธ” เควินพูด แต่คราวนี้เขาไม่ได้สัญญาเรื่องปาร์ตี้อีก เพราะผ่านไปหลายครั้ง แล้วก็พอจะรู้ว่าเขาทำไม่ได้ดีไปกว่านี้หรอก ชายหนุ่มไม่ถกเรื่องพวกนี้อีก แต่ดันร่างของอีกฝ่ายให้นอนลงบนเตียงเพื่อเปลี่ยนเรื่อง ชินจิก็ไม่ใส่ใจคำสัญญาอะไรนั่นอีกเมื่อริมฝีปากของเควินรุกล้ำเข้ามาหา
     ทั้งสองคนกอดกันอยู่บนเตียง แล้วเควินก็พลิกตัวลงมานอนข้างคนรัก ยังคงหอบน้อย ๆ
     “อยู่กับนายแบบนี้ฉันมีความสุขจริง ๆ”
     ชินจิยิ้มอย่างเป็นปลื้ม เรื่องบนเตียงเขาก็พยายามไม่แพ้เรื่องอื่น ๆ นี่นา ทั้งทาเล็บเอาใจเควิน หรือจะลองสารพัดท่าที่คนรักต้องการก็ตาม
     “วันนี้นายน่ารักมากเลยชินจิ ตอนที่ใส่ชุดสีเข้มนั่นก็ยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่ เจอโรมมันยังชมเลย”
     เควินพูดต่อ ก่อนจะพลิกตัวขึ้นนอนคว่ำ มองคนรักที่นอนหลับตาพร้อมรอยยิ้มด้วยแววตาที่เหมือนลุ้น ๆ พลางถามว่า
     “นายอยากลองเปลี่ยนอะไร ๆ ดูมั่งไหม”
     ชินจิลืมตาขึ้นมามองอย่างงง ๆ
     “เปลี่ยนอะไรล่ะ”
     “ก็เรื่องนี้ เรื่องเซ็กส์น่ะ นายอยากลองอะไรใหม่ ๆ ดูไหม อย่างลองให้เจอโรมมาร่วมด้วย”
     “ไม่นะ! ไม่เอา!” ยังไม่ทันขาดเสียงเควิน ชินจิก็ผุดลุกขึ้นมานั่งทันที หน้าของเขาซีดเผือดเมื่อระล่ำระลักปฏิเสธ
     “ฉันไม่นอนกับคนอื่นนอกจากนาย แล้วฉันก็ไม่ยอมให้นายไปนอนกับคนอื่นด้วย”
     “โอเค โอเค ไม่เอาก็ไม่เอา ฉันล้อเล่นน่า อย่าคิดมากนะชินจิ ฉันก็แค่นึกว่าเผื่อนายอยากจะลองทำอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ดูบ้างเท่านั้นเอง”
     เควินรีบแก้ตัวพลางเข้ามากอดชินจิที่ตัวสั่นด้วยความตกใจและคาดไม่ถึง
     “ฉันรักนายนะชินจิ ขอโทษ อย่าคิดมากนะ”
     “ฉันก็รักนาย เควิน” ชินจิกอดตอบ “แต่ทีหลังอย่าพูดอะไรแบบนี้อีก ฉันไม่ชอบ”
     “โอเค เข้าใจแล้ว ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้อีก”
     เควินสัญญา ก่อนจะกดตัวชายหนุ่มลงกับที่นอนอีกครั้งเพื่อทำให้ชินจิเลิกคิดมากและเป็นกังวลกับเรื่องที่เขาเพิ่งพูดออกไป
ชินจิไม่ขัดขืน แต่ในใจของชายหนุ่มนั้นไม่อาจลืมความรู้สึกผิดหวังในตัวเควินในครั้งนี้ได้อีกเลย

     เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเมื่อมานูเอลกำลังจะล้มตัวลงนอนในคืนนั้น ชายหนุ่มอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เพื่อให้ตัวเองรู้สึกสดชื่นขึ้นก่อนที่จะเข้านอน ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วไม่จำเป็นเลย แค่เขานึกถึงหน้าของใครบางคนในชุดยูกาตะสีหวาน ๆ แค่นี้ก็พอจะทำให้เรื่องหนักหนาที่อาจจะเกิดขึ้นกับเขาในเร็ววันนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวนัก
     “อ้าว อัตสึโตะ”
     คนที่เขากำลังคิดถึงอยู่เมื่อสักครู่ตอนนี้กลับมายืนอยู่หน้าห้องของเขา แต่หน้าของอัตสึโตะเหมือนมีเรื่องไม่สบอารมณ์ พอเขามาเปิดประตู ชายหนุ่มก็บอกว่า
     “ฉันลืมแว่นตาไว้ในรถนาย”
     คิ้วของอัตสึโตะขมวดเพราะต้องเพ่ง แต่ก็ยังเห็นหน้าของมานูเอลไม่ชัดจนน่าหงุดหงิด
     “ไปเอาเป็นเพื่อนหน่อยสิ ฉันไม่กล้าไปคนเดียว ฉันถอดคอนแท็คเลนส์แล้ว ฉันมองไม่เห็น”
     “เอ นายใช้แว่นตาด้วยเหรอ เห็นใส่แต่คอนแท็คเลนส์” ชายหนุ่มสงสัย
     “ไม่ใช้ แต่ต้องมีในกระเป๋า ไม่งั้นมันไม่มั่นใจ” อัตสึโตะตอบพร้อมกับเขย่าแขนมานูเอลแรง ๆ ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่มีอะไรขัดข้อง เขาปิดห้องแล้วจูงมืออัตสึโตะที่เดินตามเขาต้อย ๆ เหมือนเด็กเหมือนกับตอนที่จูงเดินเมื่อตอนค่ำที่ผ่านมา แต่คราวนี้คงไม่มีใครหรืออะไรมาทำให้เขาต้องปล่อยมือของอัตสึโตะอีก
     “คืนวันศุกร์หน้าโน้น นายว่างรึเปล่า วันศุกร์โน้นที่ถัดจากศุกร์หน้าอะ”
     มานูเอลนึกขำคำที่อัตสึโตะเลือกใช้ ด้วยไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรดีก็เลยใส่คำขยายเยอะ ๆ ให้มันฟังดูไกล ๆ เข้าไว้ อยู่ใกล้อัตสึโตะนี่ทำให้เขารู้สึกสนุกจริง ๆ
     “ว่างนะ ทำไมเหรอ”
     “วันเกิดมาโกโตะซัง จะมีปาร์ตี้สุกี้ยากี้ทำกันที่ห้อง นายไปด้วยกันนะ ฉันอยากให้นายไป มาโกโตะซังก็บอกให้ฉันชวนนาย”
     “ตกลง ฟังดูน่าสนุกดีเหมือนกันนะ” มานูเอลตอบยิ้ม ๆ
     “นี่ มานู” อัตสึโตะเขย่ามือเรียก
     “หือ?” มานูเอลทำเสียงตอบรับในลำคอ
     “ฉันนึกไม่ออกว่าจะหาของขวัญอะไรให้มาโกโตะซังดี นายช่วยฉันเลือกหน่อยได้ไหม ไม่ถนัดหาซื้อของขวัญเลย”
     “เอาสิ ไว้วันไหนว่าง เราไปเดินหาซื้อกัน” มานูเอลรับปาก เขากระชับมือที่กุมมือของอีกฝ่ายแน่นขึ้นอีกนิดเมื่อพูดต่อว่า
     “เดือนนี้มีตลาดคริสต์มาสนะ สนใจไปกันสักวันไหม มีของเยอะเลย แล้วถ้าเราไปที่จตุรัสอเล็กซานเดอร์ก็จะมีเครื่องเล่นให้เล่นด้วย ม้าหมุน ชิงช้าสวรรค์...”
     “ไป ๆ ชิงช้าสวรรค์ ฮูเร่!”
     มานูเอลหัวเราะชอบใจท่าทางตื่นเต้นเอามาก ๆ ของอัตสึโตะ
     ทั้งสองคนเดินจูงมือไปด้วยกันจนถึงที่รถ มานูเอลเก็บกล่องแว่นที่เจ้าของทำตกไว้บนพื้นในรถขึ้นมาเปิด แล้วหยิบแว่นตาข้างในขึ้นมาสวมให้อัตสึโตะ
     ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นตาสีดำไม่คุ้นตาเขานัก แต่อัตสึโตะเวลาใส่แว่นก็น่ารักไปอีกแบบหนึ่ง ยิ่งเวลายิ้มจนตาหยีอย่างนี้ด้วยแล้วยิ่งน่ารักจนเขาหายใจขัด ๆ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มต้องข่มใจตัวเองเป็นอย่างมากที่จะไม่ทำอะไรที่ใจจริงเขาอยากจะทำเหลือเกินในตอนนี้
     “ได้แว่นแล้ว กลับเลยเนอะ ข้างนอกนี่อากาศหนาวจัง”
     มานูเอลบอกตัวเองว่าให้อดทน รอจนเรื่องทุกอย่างถูกต้องและชัดเจน เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะสามารถทำทุกอย่างที่ใจต้องการได้โดยที่ไม่รู้สึกผิดอยู่ลึก ๆ เหมือนกับตอนนี้
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 7 - update - 03.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 03-10-2014 15:06:31
คนแต่ง ไม่เหงานะ  มีเรามาเมนท์อยู่คนเดียว  อิ อิ อิ
เขาเรียกว่า ...แฟนพันธุ์แท้ ... นะเนี่ยะ
...
ไม่ว่ายังไงก็รู้สึกว่า เควินกับชินจิท่าจะอยู่ด้วยกันลำบาก
คนหนึ่งตึงปานจะขาด  คนหนึ่งหย่อนยานปานย้วย  เฮ้อ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 7 - update - 03.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 03-10-2014 16:46:06
ไม่เหงาละค่า :sad4:
มีคนอ่านบ้างก็ขอบคุณละค่ะ แต่ลงไปก็หวั่น ๆ ไปนะว่าจะชอบกันรึเปล่า กลัวจะเบื่อกันซะก่อน
เรื่องมันเรื่อย ๆ ไม่ได้ดุเด็ดเผ็ดมันอะไร คือ เขียนยังงั้นไม่เป็นอะค่ะ แหะ ๆ  :hao4:
แต่ก็จะพยายามเต็มที่ค่ะ   
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 7 - update - 03.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 03-10-2014 22:08:45
บทที่ 8

     งานวันเกิดของมาโกโตะในวันศุกร์ไม่มีชินจิ
     อัตสึโตะกับมายะชวนชายหนุ่มแล้ว แต่ชินจิไม่สามารถไปร่วมงานได้เพราะวันนั้นเป็นวันเดียวกับที่เพื่อนของเควินจะมาพอดี
เพื่อนของเควินชื่อคริสตอฟ เป็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งทีเดียว ผมสีทรายตัดสั้นอย่างเรียบร้อย ดวงตาเป็นสีฟ้าอมเขียวที่สวยมาก แต่ชินจิกลับรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ ดวงตาสีสวยของคริสตอฟมันดูลอย ๆ และไม่เคยเหลือบแลมาทางเขา
     คริสตอฟทำเหมือนกับชินจิไม่มีตัวตน
     หลังจากจับมือและทักทายกันคำสองคำแล้ว คริสตอฟก็ไม่ได้คุยอะไรกับชินจิอีก เอาแต่คุยกับเควินและเจอโรมโดยที่มีชินจิเดินเงียบ ๆ เยื้องไปทางข้างหลังทุกคน
     เควินพาเพื่อนไปดื่มเบียร์ที่ไอริชผับที่ไม่มีการจัดควิซแล้ว แต่จัดแข่งคาราโอเกะแทน
     ชินจิโดนคะยั้นคะยอให้ร้องเพลงทั้งจากเควินและเจอโรม แต่ชายหนุ่มปฏิเสธ เขาร้องเพลงไม่ได้ แต่ถึงร้องได้เขาก็ไม่มีอารมณ์จะร้อง ในเมื่อเขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกกันให้เป็นคนนอก
     คริสตอฟคุยกับเจอโรมและเควินในเรื่องที่ชายหนุ่มไม่รู้เรื่องเลย แถมยังพูดกันเร็วมากโดยไม่สนใจว่าชินจิจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ เขาจับใจความได้เพียงว่าทั้งสามคนกำลังคุยกันเรื่องบ้านที่ดอร์ทมุนด์ของเควิน ดูเหมือนทั้งคริสตอฟและเจอโรมจะเคยไปกันมาแล้วทั้งนั้น นอกจากนั้นยังมีเรื่องสารพัดวีรกรรมที่ทั้งสามคนทำร่วมกัน ไม่รวมถึงชื่อของคนที่ชินจิไม่รู้จักอีกราวโขยงหนึ่งจากปากของคริสตอฟ
     ชายหนุ่มจึงทำได้แค่เพียงนั่งนิ่งฟังคนทั้งสามคุยกันพลางจิบเบียร์แก้เบื่อไปเรื่อย ๆ เท่านั้น ในใจของชายหนุ่มอดคิดอย่างพาล ๆ ไม่ได้ว่า รู้อย่างนี้เขาน่าจะให้ทั้งสามคนมากันเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด ส่วนตัวเขาไปงานวันเกิดของมาโกโตะ ความรู้สึกของเขาคงดีกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า
     ในขณะที่ชินจิคร่ำครวญเสียดายอยู่ในใจ อัตสึโตะก็บ่นถึงชินจิด้วยความเสียดายแทนที่เพื่อนอดกินสุกี้ยากี้แสนอร่อยของมายะ
     “ชินจิไปกับเควินครับ ได้ยินว่าเพื่อนมาเยี่ยมจากดอร์ทมุนด์ก็เลยชวนกันไปผับ ชินจิฝากขอโทษมาด้วย แล้วก็ฝากของขวัญวันเกิดมาให้มาโกโตะซังด้วย”
     อัตสึโตะตอบพร้อมกับส่งถุงในมือให้หลังจากที่มาโกโตะถามถึงเพื่อนรุ่นน้องที่ไม่ได้มาด้วย
     ชายหนุ่มนั่งเหยียดขาตามสบายอยู่ในห้องของรุ่นพี่ที่เคลียร์ของออกไปจนห้องว่างพอที่จะวางโต๊ะโคทัตสึได้ บนโต๊ะวางขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ จำพวกถั่วและมันฝรั่งอบกรอบกินแกล้มกับเบียร์ระหว่างรออาหาร ตรงหน้าของอัตสึโตะคนเดียวที่มีแก้วน้ำส้มวางอยู่ ข้างตัวเขา มานูเอลกำลังคุยกับแพร์ เพื่อนข้างห้องร่างสูงโย่งเกือบสองเมตรของมาโกโตะกับเอย์จิซึ่งได้รับเชิญมาร่วมงานด้วยเช่นกัน ส่วนเจ้าของห้องช่วยเอย์จิกับมายะเตรียมของทำสุกี้ยากี้อยู่ในครัว
     “อัตสึโตะท่าทางสนิทสนมกับมานูเอลดีนะ” มาโกโตะเปรยกับเอย์จิ “ตอนแรกฉันยังนึกห่วงว่าเจ้าอัตสึโตะมันจะอยู่ที่นี่ไหวรึเปล่า แต่เห็นได้เพื่อนดีอย่างมานูเอล ฉันก็หมดห่วง”
     มายะที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักกำลังใช้มีดหั่นผักกาดขาวออกเป็นสองท่อน เสียงมีดกระทบเขียงไม้ดังปัง
     “อะไรวะมายะ อิจฉารึไง” เอย์จิหันมาแซวยิ้ม ๆ
     ชายหนุ่มร้องฮึในลำคอ ถามมาได้ว่าเขาอิจฉาไหม...
     บอกเลยว่าที่สุด!
     เขาโคตรอิจฉาไอ้หมียักษ์นูเทลล่านี่เลย แค่เขาประมาทไปนิดเดียวเท่านั้นที่ปล่อยให้มันดอดพาอัตสึโตะไปชมหิมะด้วยกันสองต่อสองได้ ตั้งแต่นั้นมาอัตสึโตะก็ดูจะติดมันมากเหลือเกิน
     “มานู ไอ้นี่มันเล่นยังไงอะ” เสียงของอัตสึโตะดังเข้ามาในครัว
     เอย์จิกับมาโกโตะอมยิ้ม ก่อนที่ฝ่ายหลังจะหันมาแหย่รุ่นน้องที่ยืนหั่นผักหน้าหงิก
     “เรียกชื่อเล่นกันแล้วเว้ยเฮ้ย”
     “โธ่ รุ่นพี่คร้าบ ให้กำลังใจกันบ้างเหอะ แค่นี้ผมก็เจ็บช้ำพออยู่แล้วนะ” มายะวางมีดหันมาโอดครวญอย่างน่าสงสาร แต่รุ่นพี่ทั้งสองคนกลับหัวเราะเบา ๆ แล้วเอย์จิก็เป็นฝ่ายตบไหล่รุ่นน้องหนัก ๆ เป็นการให้กำลังใจอย่างที่เจ้าตัวต้องการ
     มาโกโตะ เอย์จิและมายะช่วยกันลำเลียงของสำหรับสุกี้ยากี้ออกมาตั้งที่โต๊ะโคทัตสึซึ่งมานูเอล อัตสึโตะและแพร์ช่วยกันเก็บกวาดขวดเบียร์และซองขนมกินเล่นออกไปจนหมดแล้ว
     ตรงกลางตั้งหม้อสุกี้หม้อใหญ่ใส่น้ำซุปสีเข้ม ข้าง ๆ มีเตาไฟฟ้าใบเล็กที่สามารถเอาเนื้อกับผักลงไปย่างได้ มายะกับเอย์จิช่วยกันคีบเนื้อ เต้าหู้ เส้นบุก ต้นหอม เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม และผักกาดใส่ลงไปในหม้อสุกี้ มาโกโตะคีบเนื้อ หอมหัวใหญ่และหน่อไม้ฝรั่งลงไปย่างในเตาเล็ก อัตสึโตะเปิดเบียร์ขวดใหม่แจกทุกคน ขณะที่มานูเอลรินน้ำส้มเติมลงในแก้วให้อัตสึโตะ
     “ว้าว น่ากินจัง” แพร์ร้องอุทาน แล้วเมื่อของในหม้อสุก ทุกคนก็ชูแก้วและขวดเบียร์ชนกันพร้อมกับประสานเสียงว่า
     “สุขสันต์วันเกิดมาโกโตะ!”
     “เสียดายชินจิไม่ได้มาด้วย” อัตสึโตะบ่นพลางคีบเนื้อเข้าปากอย่างมีความสุขไปพลาง เนื้อนุ่ม ๆ ชุบไข่แล้วเอาเข้าปากนี่มันอร่อยยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น
     “เอาไว้เราค่อยทำกินกันที่ห้องอีกก็ได้ ชินจิจะได้กินด้วย” มายะเสนอ
     มาโกโตะหันไปถามมานูเอลว่า
     “เป็นไงมั่ง โคทัตสึกับสุกี้ยากี้”
     “เจ๋งมาก สุกี้อร่อยมากเลย กินอะไรร้อน ๆ ตอนที่นั่งให้ขาอุ่นอยู่ในโต๊ะนี่ก็สุดยอดไปเลย”
     มาโกโตะหัวเราะด้วยความชอบใจ เขาชูนิ้วโป้งให้เพื่อน
     “นายเป็นคนญี่ปุ่นได้แล้วล่ะ”
     “เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย กินผักกันบ้างสิพวกนาย” เอย์จิเอะอะ เมื่อเห็นต่างคนต่างคีบเนื้อจนเนื้อหม้อใหญ่หมดไปในพริบตา
     ทั้งหมดรับประทานไปพลางคุยกันไปพลางอย่างสนุกสนาน (มายะเลิกค้านเรื่องคุยระหว่างกินไปนานแล้ว) มาโกโตะกับเอย์จิช่วยกันเผารุ่นน้องโดยเฉพาะอัตสึโตะจนเกรียม มานูเอลก็เล่าให้คนอื่น ๆ ฟังเรื่องบ้านของเขาและชีวิตที่เกลเซ่นเคียเช่น แพร์กับเอย์จิคุยกันเรื่องงานวันปีใหม่ที่จะมีปาร์ตี้และดอกไม้ไฟสวย ๆ พวกเขากำลังจะได้พักเบรกคริสต์มาสในอีกสิบวันข้างหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างดูสดใสสวยงามไปหมด
     เสียงโทรศัพท์มือถือของแพร์ดังขึ้น ทุกคนจึงเงียบเสียงลงเพื่อไม่ให้รบกวน เสียงของชายหนุ่มที่กำลังพูดโทรศัพท์กับใครบางคนจึงดังชัดเจน
     “ไม่เป็นไร ยินดีเพื่อน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง” แพร์พูดแล้วเงียบฟังปลายสาย
     “เปล่า ฉันอยู่ที่ห้องมาโกโตะ อ้าว นายอยู่หน้าห้องฉันเหรอ” แพร์อุทาน เขาลุกขึนจากโต๊ะพร้อมกับพูดใส่โทรศัพท์ว่า
     “มาที่ห้องมาโกโตะเลย เดี๋ยวฉันออกไป”
     “ใครมาน่ะ” เอย์จิถาม แพร์หันมาบอกว่า
     “โทนี่ มันจะเอาของมาคืนฉัน”
     ทุกคนในห้องเงียบก่อนจะเบนสายตาไปที่เจ้าของห้องและเจ้าของวันเกิดเป็นตาเดียว มาโกโตะทำหน้าเซ็ง ๆ
     “ปาร์ตี้เหรอ” คุณชายโทนี่ถามเมื่อเยี่ยมหน้าเข้ามามองในห้องและเห็นคนเต็มไปหมด ชายหนุ่มอยู่ในชุดกันหนาวเต็มยศเห็นชัดว่าเพิ่งกลับมาจากข้างนอกและยังไม่ได้กลับเข้าห้องตัวเอง เขาโบกมือทักมานูเอลที่เขารู้จักก่อนแล้วตามด้วยคนอื่น ๆ ในห้อง
     “วันนี้วันเกิดมาโกโตะ” แพร์บอก
     “เข้ามาฉลองด้วยกันสิโทนี่ อาหารยังเหลืออีกเพียบ” เอย์จิชวน
     มาโกโตะมองหน้าเพื่อนทันที แต่เอย์จิทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
     โทนี่ไม่ทันจะตอบรับหรือปฏิเสธก็ถูกแพร์ดึงตัวเข้ามาในห้องแล้ว และถูกดันให้นั่งข้าง ๆ เจ้าของงาน
     “วันเกิดนายเหรอ สุขสันต์วันเกิดละกัน” โทนี่พูดและมาโกโตะก็พยักหน้ารับอย่างเสียมิได้
     “อะไรอยู่ในกล่องน่ะโทนี่” อัตสึโตะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น โทนี่จึงยกกล่องที่ถือมาด้วยวางลงบนโต๊ะตรงหน้ามาโกโตะ แต่เขาหันไปบอกแพร์ว่า
     “ที่บ้านส่งขนมมาให้ ฉันก็เลยแบ่งมาให้นาย” พูดจบก็เปิดฝากล่องออกให้ทุกคนเห็นเค้กช็อกโกแลตก้อนใหญ่ที่หน้าเค้กเป็นช็อกโกแลตสีน้ำตาลเข้มแวววาวดูฉ่ำน่ากินอย่างที่สุด
     มาโกโตะกลืนน้ำลายดังเอื้อก แทบหลุดมาดนิ่งและเนี้ยบที่อุตส่าห์รักษามาเป็นอย่างดี
     ช็อกโกแลตเค้กแบบนี้นี่ของโปรดเขาเลย
     “พอดีเลย เราได้เค้กวันเกิดให้มาโกโตะแล้ว” เอย์จิพูดยิ้ม ๆ
     “พูดมากน่าเอย์จิ นี่มันของแพร์” มาโกโตะดุเพื่อน แต่แพร์ยิ้มกว้าง
     “ก้อนใหญ่ยักษ์ยังงี้ฉันกินไม่หมดหรอก โทนี่ ไม่ว่าอะไรนะถ้าเราขอเอาเค้กของนายมาฉลองวันเกิดให้มาโกโตะ”
     “ก็เอาสิ” โทนี่พูดอย่างไม่ค่อยสนใจ และมาโกโตะก็ทำท่าเหมือนกันไม่มีผิดเมื่อพูดลอย ๆ ว่า
     “ขอบใจ”
     อัตสึโตะมองมาโกโตะสลับกับโทนี่ด้วยสายตางง ๆ แล้วหันไปมองมานูเอล ฝ่ายหลังยักไหล่เป็นทำนองว่าไม่รู้เหมือนกัน ขณะที่มายะเอียงตัวมากระซิบกับเพื่อนทั้งสองคนว่า
     “ฉันว่าฉันสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างระหว่างสองคนนี้ว่ะ”

     ชินจิกลับมาถึงห้องพักด้วยอาการหมดแรง นี่มันเป็นวันที่เขารู้สึกเหนื่อยที่สุดในชีวิต ไม่ใช่แค่เหนื่อยกาย แต่เหนื่อยใจร่วมด้วย พวกเขาออกจากไอริชผับและไปต่อกันที่ดิสโก้เธค
     ในร้านแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นลักษณะของผับที่ให้นั่งคุยพร้อมกับดื่ม และส่วนที่สองซึ่งอยู่ด้านในเปิดไฟสีต่าง ๆ ด้านหนึ่งยกพื้นเป็นเวที อีกด้านหนึ่งมีโต๊ะกลมตัวสูงวางกระจายอยู่ทั่วบริเวณ
     เข้ามาข้างในได้ เควิน เจอโรมและคริสตอฟก็ตรงเข้าไปในส่วนที่เป็นดิสโก้เธคทันที ชินจิเดินรั้งท้ายคนอื่นและก็ได้แต่ยืนดูทั้งสามคนออกไปวาดลวดลายบนฟลอร์กันอย่างสนุกสนาน อันที่จริงแล้ว เธคนี้เปิดเพลงได้ไม่เลวเลย แต่ดนตรีจังหวะสนุก ๆ และเพลงที่กำลังเป็นที่นิยมก็ไม่ได้ช่วยให้ชายหนุ่มรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้
     “ฉันจะไปสั่งเครื่องดื่ม นายจะเอาอะไรไหม ฉันจะสั่งให้” ชินจิพยายามผูกมิตรกับเพื่อนของเควิน แต่ไม่ค่อยได้ผลเท่าไร คริสตอฟยังไม่ค่อยพูดกับเขาอยู่เหมือนเดิม และครั้งนี้ก็เพียงแต่ส่ายหน้า คนชวนจึงได้แต่ถอนใจ แล้วก็ออกไปสั่งเครื่องดื่มที่บาร์ด้านนอก ชายหนุ่มเพิ่งค้นพบว่าตัวเองชอบค็อกเทลมากกว่าที่คิด ชินจิสั่งเตกีล่าซันไรส์ให้ตัวเองเป็นแก้วที่สองแล้ว เขาเคยกลัวว่าตัวเองจะเมาจนทำให้เควินต้องลำบากอีก แต่วันนี้เขาไม่อยากใส่ใจแล้ว
     ชินจิยืนอยู่คนเดียวอีกครั้ง เพราะเมื่อกลับมาที่โต๊ะพร้อมเครื่องดื่มแก้วใหม่ คริสตอฟก็ออกไปเต้นกับเพื่อนทั้งสองแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ยืนอยู่คนเดียวนาน เพราะครู่ต่อมาก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักเขา
     “สวัสดี ไม่ออกไปเต้นล่ะ”
     ชายหนุ่มไม่ค่อยชอบพูดกับคนแปลกหน้า แต่จากหางตา เควินไม่สนใจเขาเลยเพราะกำลังสนุกสนาน ตอนนี้ก็ย่อตัวลงไปนั่งแล้วให้คริสตอฟขี่คอพาแบกไปทั่วฟลอร์
     ชายหนุ่มรู้สึกหึงคริสตอฟกับเควินขึ้นมานิด ๆ เขาจึงยิ้มแล้วชวนชายหนุ่มแปลกหน้าคุยพร้อมกับเหลือบตามองไปทางเควินเป็นระยะ
     ชินจิคิดว่าตัวเองคุยกับเพื่อนใหม่อยู่นานพอที่จะทำให้เควินหันมาสนใจและสงสัยบ้าง แต่ก็ไร้ผล สุดท้ายชายหนุ่มก็เลิก เพราะคิดว่าการยั่วให้หึงแบบนี้มันงี่เง่าและมันก็ยิ่งงี่เง่าหนักขึ้นเมื่อทำแล้วเป้าหมายจะสนใจหรือก็เปล่า เขาจึงตอบชายหนุ่มคนนั้นไปหลังจากถูกถามว่า จะนัดเจอชินจิหลังจากนี้ได้บ้างหรือไม่
     “คงไม่ได้หรอก ฉันมีแฟนแล้ว ผู้ชายใส่เสื้อสีดำคนนั้นน่ะ คงไม่สะดวกจะนัดพบคนอื่นอีก”
     เพื่อนใหม่ล่าถอยไปแล้ว ชินจิจึงได้กลับมายืนจิบเครื่องดื่มเงียบ ๆ ต่อไปตามเดิม
     พวกเขากลับมาถึงหอพักราว ๆ ตีหนึ่ง เควินคลานขึ้นเตียงทันทีพร้อมกับดึงตัวชินจิให้นอนด้วยกัน เวลานอนเควินไม่ชอบใส่เสื้อผ้า ชินจิก็เลยต้องถอดด้วย เหลือเพียงแต่กางเกงชั้นใน นอนกอดซ้อนหลังเควินเหมือนเดิม
     ชินจินอนหลับไม่ค่อยสนิทนัก ชายหนุ่มลุกขึ้นมาแต่เช้าและก็ทำอาหารเช้าตามปกติ เขาทักทายอัตสึโตะกับมานูเอลที่กำลังจะออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งตอนเช้าด้วยกัน รู้สึกดีใจเมื่อทราบว่ามาโกโตะซังชอบของขวัญที่เขาให้
     อาหารเช้าที่ชินจิทำให้ตัวเองคือข้าวสวย ไข่ไก่ต้ม สาหร่ายแผ่น และบ๊วยเค็ม มีซุปมิโสะร้อน ๆ อีกถ้วยหนึ่ง ส่วนอาหารเช้าของเควิน เขาคิดจะทำโยเกิร์ตผลไม้สด ชายหนุ่มหั่นผลไม้สดใส่ถ้วยแช่ตู้เย็นเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว พอเควินตื่น เขาก็เพียงแต่เปิดโยเกิร์ตรสธรรมชาติเทใส่ลงไปเท่านั้น แต่คนที่เข้ามาในครัวก่อนใครคือคริสตอฟ เขามาตอนที่ชินจิกำลังกินข้าวเช้าของตัวเองอยู่พอดี เมื่อเห็นคริสตอฟ ชินจิจึงชวนว่า
     “กินอาหารเช้าด้วยกันไหม”
     ชายหนุ่มหมายถึงนม โยเกิร์ต ไส้กรอก กล้วยหอม ขนมปังในตู้ของเควิน ถ้าคริสตอฟตกลง เขาก็จะไปหยิบมาให้ แต่คริสตอฟฟังแล้วเข้าใจผิด เขาเหลือบมองข้าวสวยกับซุปในถ้วยของชินจิแล้วส่ายหน้าทันทีโดยไม่ต้องคิดเลย ชายหนุ่มบอกชินจิสั้น ๆ ว่า
     “จะขับรถไปซื้อขนมปังที่ร้านใกล้ ๆ นี่ เควินตื่นแล้วบอกด้วย”
     ชินจิรู้สึกว่าตัวเองหน้าชาอย่างไรก็ไม่รู้ เมื่อได้ยินเพื่อนของคนรักพูดแบบนี้ เขาก็เลยไม่ได้บอกเรื่องของกินในตู้ของเควิน แต่จะบอกก็คงไม่ทันเพราะคริสตอฟเดินลิ่ว ๆ ออกไปทันทีที่พูดจบ
     ความรู้สึกอยากผูกมิตรของชินจิแทบหมดลงในวินาทีนั้น ก็ถ้าคนเขาไม่อยากรับไมตรี ชายหนุ่มก็ไม่อยากจะดึงดันเหมือนกัน
     “อรุณสวัสดิ์” เควินทักเมื่อเห็นคนรักนั่งอ่านนิตยสารอยู่ในครัว เขาตรงเข้าไปจูบทักทายแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ
     “หิวรึยัง” ชินจิถามพลางปิดหนังสือที่อ่านอยู่ เควินพยักหน้า ชายหนุ่มจึงลุกไปทำโยเกิร์ตผลไม้สดมาให้
     “มันดูแปลก ๆ แฮะ” เควินใช้ช้อนเขี่ย ๆ ดูเพราะไม่ค่อยชินกับโยเกิร์ตแบบนี้ ปกติอาหารเช้าของเขากินง่าย ๆ เปิดโยเกิร์ตรสต่าง ๆ เอา หรือขนมปังกับกล้วยหอมสักลูกก็พอแล้ว ไม่เคยต้องมานั่งบรรจงหั่นผลไม้เป็นชิ้นแล้วเอาโยเกิร์ตใส่ลงไปแบบนี้ แต่บ่น ๆ ไปเขาก็กินเข้าไปอยู่ดี
     ชินจิพยายามไม่สนใจให้เสียอารมณ์ ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือนิตยสารที่อ่านค้างอยู่ต่อไป
     เจอโรมตามเข้ามาในครัวอีกคน เขามองหาคริสตอฟ ชินจิจึงบอกตามที่คริสตอฟฝากไว้ เควินเกาศีรษะอย่างงง ๆ บ่นว่า
     “ขนมปังที่นี่ก็มีเยอะแยะทำไมต้องขับรถออกไปซื้ออีก”
     เมื่อคริสตอฟกลับมาในครัวอีกครั้ง เจอโรมกับเควินก็คุยกันเรื่องจะพาคริสตอฟไปไหน (ผับไหน) ต่อดี ชินจิอยากจะมีส่วนร่วมบ้างจึงเสนอว่า
     “ไปเดินตลาดคริสต์มาสกันไหมล่ะ ฉันเห็นในรูป ตรงปราสาทชาร์ล็อตเท่นบวร์กน่ะสวยดีนะ”
     “ตลาดคริสต์มาสเหรอ” เควินย่นจมูก “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ก็แค่เอาของประดับมาขายกันเท่านั้น ไปปีไหนก็ยังงี้เหมือนกันตลอด”
     ชายหนุ่มไปมาหลายครั้งจึงหมดความสนใจ แต่เขาไม่ได้นึกว่าคนรักของเขายังไม่เคยไปเลยสักครั้ง
     ชินจิเม้มริมฝีปากเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ รู้สึกเหมือนถูกหักหน้าต่อหน้าคนอื่นอย่างไรก็ไม่รู้ เควินทำเหมือนเขาเสนอความคิดอะไรไร้สาระออกมาอย่างนั้นแหละ
     “ตลาดคริสต์มาสก็ดีเหมือนกันนะ อย่างน้อยก็มีกลูไวน์อุ่น ๆ ให้กิน” คริสตอฟพูด
     “งั้นก็ได้ เย็นนี้ไปกัน” เควินตกลง
     ชินจิได้ไปตลาดคริสต์มาสแล้ว แต่ทำไมเขาไม่ค่อยรู้สึกดีใจเท่าที่ควรก็ไม่รู้

หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 8 - update - 03.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 03-10-2014 22:22:19
เฮ้อ รักหรือหลงกันแน่ฟระ ชินจิ
ทุกข์ขนาดนี้ เลิกกันไปเหอะ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 8 - update - 03.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 04-10-2014 08:35:08
     อัตสึโตะกับมานูเอลก็จะไปตลาดคริสต์มาสเหมือนกัน ทั่วทั้งเมืองเบอร์ลินมีตลาดคริสต์มาสหลายสิบแห่ง มากมายจนเลือกไม่ถูก แต่ทั้งสองคนรวมทั้งมายะและยูเลี่ยนตัดสินใจไปเริ่มต้นกันที่ตลาดคริสต์มาสบริเวณหน้าปราสาทชาร์ล็อตเท่นบวร์ก แล้วโทรศัพท์ชวนมาโกโตะกับเอย์จิออกมาเดินเที่ยวด้วยกัน
     ตลาดคริสต์มาสจัดอยู่ที่หน้าปราสาทชาร์ล็อตเท่นบวร์กซึ่งประดับไฟอย่างสวยงาม ตัวปราสาทถูกจัดไฟให้เปลี่ยนสีไปได้เรื่อย ๆ เป็นสีม่วง สีเขียว สีแดง น่าตื่นตา ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยเต้นท์ขายของหลังคาสีขาวประดับไฟสีส้มเป็นสาย และมีต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ประดับไฟสีส้มสว่างอยู่ตรงกลางตลาด
     พวกอัตสึโตะเดินเที่ยวกันไปบนพื้นที่มีหิมะคลุมบาง ๆ ปีนี้หิมะตกค่อนข้างมากและคาดว่าจะตกยาวไปจนกระทั่งคริสต์มาส หลายครั้งที่อัตสึโตะทำท่าจะลื่น แต่มือใหญ่ ๆ ของมานูเอลฉุดเอาไว้ได้ทันทุกครั้ง
     เมื่อมาถึงที่ตลาด ทุกคนพุ่งเข้าไปที่ซุ้มขายเครื่องดื่มก่อนเพื่อสั่งกลูไวน์มาดื่มให้อุ่นท้อง
     “รสชาติมันเป็นยังไงน่ะ” อัตสึโตะที่ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทใด ๆ มองเครื่องดื่มสีน้ำตาลอมแดงเข้มในแก้วในมือมานูเอลอย่างสนใจ มานูเอลบอกว่ากลูไวน์เป็นไวน์ที่นำมาอุ่นให้ร้อนแล้วผสมเครื่องเทศประเภทกานพลู จันทน์เทศ อบเชยพร้อมกับฝานส้มเป็นแว่นบาง ๆ ใส่ลงไปด้วย นิยมกินกันตอนหน้าหนาวในช่วงเทศกาลคริสต์มาสแบบนี้แหละ
     “ขอชิมหน่อยนะ” พูดจบก็ชิมกลูไวน์จากแก้วของมานูเอล
     “เป็นไงมั่ง” มานูเอลถามเมื่อเห็นอัตสึโตะทำหน้าประหลาด
     “มันแปลก ๆ ดีนะ ขม แต่ก็หวาน หอมด้วย ฉันว่าฉันกินได้นะ”
     “เอาไหมล่ะ” มานูเอลถาม “ฉันจะสั่งให้”
     “แต่ฉันกินทั้งแก้วไม่หมดนะ”
     “ฉันช่วยกินเอง”
     อัตสึโตะจึงตกลง
     นอกจากกลูไวน์แล้ว ขนมในตลาดคริสต์มาสก็เป็นสิ่งที่อัตสึโตะสนใจมากยิ่งกว่าอย่างอื่น ชายหนุ่มไม่สนใจของประดับต้นคริสต์มาส งานฝีมือ ของขวัญ หรือเสื้อผ้าที่ขายกันเป็นส่วนใหญ่ แต่พุ่งเข้าหาร้านขายขนมที่มีขนมสีสวย ๆ แขวนอยู่เต็มหน้าร้าน แล้วก็ชิมโน่นชิมนี่อย่างมีความสุขทั้งนูกัตตัดเป็นชิ้น ขนมเยลลี่เส้นยาว ๆ ช็อกโกแลตหลากรส และอมยิ้มอันกลม ๆ สีสดใส แม้แต่เลบคูเคิ่นหรือคุ้กกี้คริสต์มาสที่ทำเป็นรูปหัวใจดวงใหญ่ตกแต่งด้วยน้ำตาลสีต่าง ๆ และเขียนข้อความหวาน ๆ เช่น “เธอคือยอดดวงใจของฉัน” หรือ “ฉันบ้ารักเธอ” ที่มายะกับยูเลี่ยนซื้อมาให้ ชายหนุ่มก็กัดกร้วมเข้าให้โดยไม่ได้สนใจข้อความบนชิ้นขนมเลยแม้แต่น้อย
     มานูเอลสะดุดตาร้านขายเครื่องประดับต้นคริสต์มาสร้านหนึ่งเข้าจึงหยุดยืนดูตุ๊กตาที่แขวนเป็นพวงอยู่หน้าร้าน แล้วหยิบตุ๊กตาตัวหนึ่งขึ้นมาดูพร้อมกับอมยิ้ม ก่อนจะหยิบเงินส่งให้คนขายตามจำนวนที่ติดเอาไว้ที่ป้าย
     “ฉันให้” ชายหนุ่มส่งของในมือให้อัตสึโตะที่ยืนรอมาโกโตะกับเอย์จิซื้อของอยู่กับมายะและยูเลี่ยน
     “อะไรเนี่ย” อัตสึโตะขมวดคิ้ว ขณะที่มายะกัดฟันกรอด
     “นายจะเป็นคู่แข่งกับฉันอย่างเปิดเผยแล้วใช่ไหม ไอ้นูเทลล่า”
     ยูเลี่ยนมองมานูเอลตาโตเหมือนยังไม่อยากจะเชื่อ แต่มานูเอลไม่สนใจอาการกระฟัดกระเฟียดแบบเวอร์ ๆ ของใครทั้งนั้น เขามองแต่อัตสึโตะ บอกว่า
     “ไอ้ตัวนี้มันเหมือนนาย”
     “ตั๊กแตนเนี่ยนะ” อัตสึโตะอุทาน มองตุ๊กตาตัวเล็กใส่ชุดและหมวกซานต้าสีแดงอย่างงง ๆ
     “เวลานายคิดอะไรไม่ออกทำอะไรไม่ถูก นายจะกระโดด เหมือนไอ้ตัวนี้”
     ถึงจะหมั่นไส้ไอ้หมียักษ์นูเทลล่านี่มากแค่ไหน แต่มายะก็อดขำไม่ได้เมื่อนึกภาพตาม เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนจนมานูเอลเปรียบเทียบให้ฟังนี่แหละ ยูเลี่ยนก็หัวเราะ ส่วนคนโดนล้อหน้าคว่ำ ทำปากขมุบขมิบบ่นว่าไม่เหมือนสักหน่อย แต่ก็เก็บตุ๊กตาตัวเล็กลงในกระเป๋าเสื้อกันหนาวอย่างทะนุถนอม
     มาโกโตะกับเอย์จิซื้อของเสร็จแล้วก็มาสมทบกับคนอื่น ๆ แล้วตกลงกันว่าจะไปต่อกันที่ตลาดคริสต์มาสที่จตุรัสอเล็กซานเดอร์ที่มีเครื่องเล่นและลานเสก็ตน้ำแข็ง ทั้งหมดนั่งรถไฟเอสบาห์นมาลงที่สถานีจตุรัสอเล็กซานเดอร์ แล้วก็เห็นชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านเด่นสะดุดตาเป็นอันดับแรก
     “โอ้โฮ!” อัตสึโตะอุทานเมื่อต้องแหงนคอตั้งบ่ามองชิงช้าสวรรค์ที่ประดับไฟสว่างไสว
     “นั่น อัตสึโตะ ม้าหมุน” มายะกวักมือเรียกให้มาดูม้าหมุนแบบโบราณขนาดใหญ่เหมือนที่เจอตามคณะละครสัตว์ มีสองชั้น ชั้นบนเป็นระเบียงให้ชมวิวตลาดในมุมสูง ชั้นล่างมีม้าสีขาวหน้าตาเหมือนม้าของเจ้าหญิงในนิทานให้นั่งหมุนไปรอบ ๆ
     “หน้าเต้าหู้แบบนายจะไปนั่งม้าหมุน นึกภาพแล้วขนลุกว่ะ” ยูเลี่ยนจิกกัด
     ตลาดคริสต์มาสที่นี่คนเยอะกว่าที่หน้าปราสาทชาร์ล็อตเท่นบวร์กมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดแออัด อัตสึโตะกับคนอื่น ๆ เดินชมเต้นท์ขายของประดับต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่จะหยุดอยู่ตามซุ้มเล่นเกมนานหน่อย เอย์จิปาเป้าได้ของรางวัลมาเป็นบัตรชิงช้าสวรรค์หนึ่งรอบ เขาส่งให้อัตสึโตะ ขณะที่มายะและยูเลี่ยนแย่งกันชวนเสียงขรม
     “ขึ้นกับฉันนะอัตสึโตะ”
     “อัตสึโตะจะนั่งกับฉันต่างหาก ไอ้เด็กบ้า หลบไป”
     “นั่งด้วยกันนี่แหละ” อัตสึโตะตัดรำคาญ และมายะกับยูเลี่ยนมัวแต่ดีใจจนไม่ทันนึกถึงเหตุการณ์สยองที่มึกเกลเซ ประวัติศาสตร์จึงซ้ำรอยอีกครั้ง อัตสึโตะที่ได้รับความร่วมมือจากมาโกโตะและเอย์จิผลักมายะกับยูเลี่ยนเข้าไปนั่งด้วยกันในกระเช้าได้สำเร็จพร้อมกับประตูที่ปิดดังกริ๊ก
     อัตสึโตะหัวเราะชอบใจพร้อมกับโบกมือบ๊ายบายมายะกับยูเลี่ยนที่ทำหน้าเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมาใส่หัวอยู่ในกระเช้าที่ค่อย ๆ ลอยสูงขึนเรื่อย ๆ
     “น่าสงสาร” มานูเอลโคลงศีรษะ ก่อนจะหันมาถามว่า “อยากนั่งบ้างไหม ข้างบนนั้นน่ะเห็นได้ทั่วเมืองเบอร์ลินเลยนะ”
     “ไว้วันหลังดีกว่า ตอนที่คนไม่เยอะยังงี้น่ะ”
     อัตสึโตะปฏิเสธ แล้วล้วงโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูเมื่อรู้สึกว่ามันสั่น
     “ชินจิ ว่าไง” ชายหนุ่มกรอกเสียงลงไป “เอ๋? พวกฉันเหรอ? อยู่ที่จตุรัสอเล็กซานเดอร์ ตรงชิงช้าสวรรค์”
     อัตสึโตะปิดโทรศัพท์แล้วหันมาบอกคนอื่น ๆ ว่า
     “ชินจิจะขอมาเดินด้วยนะ กำลังมาแล้ว ให้เรารอหน่อย”
     “แล้วแฟนเขาล่ะ” มาโกโตะถาม ชายหนุ่มจำชื่อเควินไม่ได้ แฟนของรุ่นน้องคนนี้ไม่ค่อยมาสุงสิงกับพวกเขาเท่าไร เคยเห็นกันผ่าน ๆ ตามงานปาร์ตี้เท่านั้น
     “เควินมากับเพื่อนครับ เพื่อนเขามาเยี่ยมจากดอร์ทมุนด์ ชินจิก็เลยจะมาเดินกับเราแทน”
     ไม่กี่นาทีต่อมาชินจิก็เดินมาสมทบ ใบหน้าของชายหนุ่มดูเหนื่อย ๆ แต่ก็พยายามยิ้มอย่างสดใสให้เพื่อน ๆ
     “มายะกับยูเลี่ยนล่ะ” ชายหนุ่มถามเมื่อมองไม่เห็นทั้งสองคนรวมกลุ่มอยู่ด้วยซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ
     “นู่น อยู่บนโน้น” มาโกโตะชี้นิ้วขึ้นข้างบน
     “เอ๋? จริงรึเนี่ย” ชินจิอุทาน ทำหน้าเหมือนรุ่นพี่เพิ่งบอกให้เขาดูกบมีปีกบินได้
     “นายลองกลูไวน์รึยัง” อัตสึโตะถาม
     “กินไปสามแก้วแล้วล่ะ” ชินจิพูดพลางยิ้มขำ ทั้งที่ใจจริงของเขานั้นขำไม่ออก จะไม่ให้ดื่มถึงสามแก้วได้อย่างไรในเมื่อเขาแทบไม่ได้ไปไหนเลย เมื่อมาถึงที่นี่ เควิน คริสตอฟ และเจอโรมก็เดินหาร้านเครื่องดื่มก่อนเพื่อน แล้วก็ยืนเหมือนรากงอกตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ไม่ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากกินกลูไวน์และสูบบุหรี่คุยกัน สุดท้ายชินจิทนไม่ไหว โทรศัพท์หาอัตสึโตะขอมาเดินเที่ยวด้วย และเมื่อบอกเควิน คนรักของเขาก็พยักหน้าอย่างง่าย ๆ แล้วหันไปคุยกับเพื่อนต่อโดยที่ไม่สนใจเขาอีก
     ชินจิรู้สึกเซ็งและไม่พอใจอย่างมาก
     “งั้นไปเล่นเสก็ตน้ำแข็งกันไหม ฉันอยากเล่น” อัตสึโตะชวน
     ด้านหลังจตุรัสอเล็กซานเดอร์คือศาลาว่าการเมืองสีแดงเข้มประจำเมืองเบอร์ลินและมีน้ำพุขนาดใหญ่ที่ประดับด้วยรูปปั้นเทพเจ้าเนปจูน รอบตัวเขาเป็นรูปปั้นสตรีสี่นางที่เป็นตัวแทนของแม่น้ำสี่สายสำคัญของแคว้นปรัสเซียคือแม่น้ำเอลเบอ ไรน์ วิสตูลา และโอเดอร์ เมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาส บริเวณรอบน้ำพุแห่งนี้จะถูกทำให้เป็นลานเสก็ตน้ำแข็งให้ผู้คนได้เข้ามาเล่นกันโดยไม่เสียเงิน
     พวกอัตสึโตะเช่ารองเท้าเสก็ตและลงไปวิ่งรอบ ๆ น้ำพุกันอย่างสนุกสนาน
     ชินจิเห็นอัตสึโตะวิ่งช้า ๆ ไปกับมานูเอลและเมื่ออัตสึโตะทำท่าอะไรประหลาด ๆ จนทำท่าจะเสียหลักล้ม มานูเอลก็จะคว้าแขนเอาไว้ได้ทัน อัตสึโตะที่เกือบล้มจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มและมานูเอลก็จะยิ้มตอบ ทั้งสองคนจูงมือกันเสก็ตไปด้วยกันครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือ...
     ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในอกไม่น้อยเมื่อมองไปข้าง ๆ ตัวแล้วพบแต่ความว่างเปล่า
     ข้อความจากเควินก็ไม่มีเลย แม้ว่าเขาจะมาอยู่กับพวกอัตสึโตะนานพอสมควรแล้วก็ตาม
     พวกเขาตัดสินใจกลับกันในตอนเกือบ ๆ สี่ทุ่ม ชินจิจึงโทรศัพท์หาเควิน
     “นายอยู่ไหน จะกลับแล้วรึยัง ฉันจะเดินไปหา พวกอัตสึโตะกำลังจะกลับกันแล้ว”
     คำตอบของเควินทำให้ชินจิโมโหจี๊ดขึ้นหัวในทันที
     “อะไรนะ! ทำไมนายกลับไปก่อนแล้วไม่ยอมบอกฉัน”
     เควินตอบอะไรยืดยาว แต่ความโกรธของชินจิทำให้เขาฟังไม่รู้เรื่อง ชายหนุ่มจึงพูดสั้น ๆ ว่า
     “กลับไปคุยกันที่ห้อง!”
     “มีอะไรรึเปล่าชินจิ” อัตสึโตะเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นเพื่อนพูดโทรศัพท์เอะอะ ชินจิฝืนยิ้มให้แล้วตอบปฏิเสธว่า
     “ไม่มีอะไรหรอก กลับเลยเนอะ”
     “เควินล่ะ”
     “กลับไปแล้ว” ชินจิตอบด้วยอารมณ์เซ็งเต็มที่ เขาไม่อยากจะพาลเหวี่ยงเพื่อนไปด้วยจึงรีบเดินหนีก่อนจะถูกซักอะไรมากกว่านั้น และชายหนุ่มก็เก็บเอาความรู้สึกไม่พอใจนี้ไปเหวี่ยงใส่เควินในห้องพักทันทีที่เขากลับไปถึง
     “นายทำอย่างนี้ได้ยังไงเควิน ทำไมนายจะกลับถึงไม่บอกฉัน”
     “ก็ฉันเห็นนายมีเพื่อนแล้ว นายก็ดูท่าทางสนุก ฉันก็ไม่อยากกวน” เควินแก้ตัว
     “สนุกเหรอ? นายคิดว่าฉันสนุกเหรอ? พวกนายไม่ได้ไปเดินเที่ยวที่ไหนเลย เอาแต่กินกลูไวน์ แล้วนายคิดว่าฉันสนุกเหรอ”
     “แต่นายก็ได้ไปเดินกับเพื่อนแล้วนี่ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”
     “แต่เพื่อนก็ไม่ใช่แฟน ฉันอยากไปเดินเที่ยวกับนาย ไม่ได้อยากไปกับคนอื่น!”
     เควินรู้สึกเหนื่อยใจที่ต้องมาทะเลาะกันในเรื่องเดิม ๆ ไหนชินจิเคยบอกว่าจะไม่งี่เง่า แต่แล้วก็เข้าอีหรอบนี้ทุกครั้ง
     “ฉันไม่ทะเลาะด้วยหรอกนะ พูดไปก็ไม่เข้าใจกัน” ชายหนุ่มตัดบท เขาไม่ใช่คนที่ชอบการทะเลาะหรือถกเถียงกับใคร ปกติเขาหลีกเลี่ยงการโต้เถียงด้วยการจูบ เขาจะจูบจนคนรักของเขาไม่คิดจะต่อต้านและจบเรื่องทุกอย่างลงบนเตียง แต่ครั้งนี้เขาไม่มีอารมณ์และชินจิเองก็โมโหมากจนเขาคิดว่าจูบคงไม่ได้ผลในครั้งนี้
     “แต่เราต้องคุยกันนะเควิน ฉันไม่ชอบที่เรื่องมันเป็นอย่างนี้อีกแล้ว”
     “ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องเข้าใจฉันสิชินจิว่าฉันเป็นอย่างนี้ ฉันพยายามแล้วนะ ไปไหนฉันก็กลับมาหานาย เราก็ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เพื่อนฉันมาเยี่ยม เราก็ยังไปไหนต่อไหนด้วยกันเหมือนเดิม” เควินชักแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบาย “ฉันรักนายเพราะนายเป็นคนมีเหตุผลนะชินจิ นายไม่ได้เป็นเหมือนอย่างวันนี้ แล้วที่นายบอกว่าฉันทิ้งนายกลับคนเดียว มันก็ไม่ใช่ เพราะฉันอยากให้นายสนุกกับเพื่อน ๆ ไม่ต้องรีบกลับมานั่งเบื่ออยู่ที่ห้องกับฉัน ฉันเป็นห่วงนายนะ”
     ฟังคำพูดยืดยาวของเควินแล้วชินจิตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าควรจะยกโทษให้หรือไม่ดี เพราะเควินดูจะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมคนรักต้องโกรธขนาดนั้น ชายหนุ่มบอกว่าเขาทำทุกอย่างแล้วที่ชินจิต้องการ แต่เขาไม่คิดว่าเขาทำมันน้อยเกินไป ไม่เพียงพอหรือไม่ใช่อย่างที่ชินจิต้องการ
     ทั้งสองคนคิดไปกันคนละทาง
     แล้วเควินก็ยื่นของสิ่งหนึ่งให้
     “และฉันรักนาย” เควินพูด
     ในมือของชินจิมีเลบคูเคิ่นชินใหญ่รูปหัวใจแต่งด้วยน้ำตาลสีต่าง ๆ และเขียนข้อความว่า
     „Ich liebe dich“
     เท่านั้นหัวใจของชินจิก็อ่อนยวบ เขาคิดว่าตัวเองงี่เง่าขึ้นมาในทันที เควินยังคิดถึงเขา แต่เขากลับคิดถึงแต่ตัวเอง ชายหนุ่มจึงพูดเบา ๆ ว่า
     “ฉันขอโทษ”
     เควินเดินเข้ามากอดเขาเอาไว้พร้อมกับบอกว่าไม่เป็นไร
     “ชอบเลบคูเคิ่นไหม จะกินเลยก็ได้นะ” ชายหนุ่มว่า แต่ชินจิส่ายศีรษะ
     “ฉันจะเก็บเอาไว้ จะไม่กินเลย ความรักที่นายให้ฉันมันสวยเกินกว่าจะกินนะ จริงไหม”
     เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มก็เอามันไปวางไว้ที่หัวเตียง แล้วหันกลับมาถามคนรักว่า
     “สวยไหม”
     เควินพยักหน้า จากนั้นก็รวบตัวคนรักเข้าไปกอดไว้ เมื่อวิกฤตการณ์ผ่านพ้นไป คนรักกลับมาว่าง่ายอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ก้มลงจูบชินจิ หวังจะเรียกความรู้สึกดี ๆ ระหว่างกันคืนมา และมันก็ได้ผล ชินจิกำลังปลื้มกับของขวัญมากจนเปิดปากรับจูบของชายหนุ่มด้วยความเต็มใจและล้มตัวลงไปบนเตียงด้วยกัน
     “นายนี่เซ็กซี่ชะมัด ตอนทำหน้าแบบนี้ ให้ฉันถ่ายรูปนายเก็บไว้ได้ไหม”
     เควินกระซิบขณะที่ชินจินอนหอบน้อย ๆ ด้วยความสุขสมหลังจากที่เสร็จด้วยปากของเขา
     “เอ๋? แต่..แต่ว่า..”
     ชินจิลังเล แต่ค่อนไปในทางไม่เห็นด้วย เขาไม่เคยคิดจะทำเรื่องแบบนี้
     “นะ นะ ฉันชอบนายตอนนี้มากเลย” เควินพยายามกล่อม ใช้ทั้งปากและมือจนในที่สุดชินจิก็ยอมจำนน
     เควินถ่ายรูปคนรักของเขาขณะที่เปลือยเปล่าไปหลายรูป และค่อย ๆ เรียกร้องมากขึ้นทีละนิด ๆ เมื่อเห็นชินจิยอมทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข
     ชินจิถูกถ่ายรูปในขณะที่ใช้ปากให้เควิน รวมทั้งในตอนที่เขานอนอ้าขากว้างเพื่อรอให้เควินแทรกตัวเข้ามา ทั้งยังมีรูปตอนที่เขานอนคว่ำหน้ายกสะโพกขึ้นให้เห็นช่องทางด้านหลังชัด ๆ
     รูปทุกรูปถูกเก็บไว้ในโฟลเดอร์ที่มีการใส่รหัสเรียบร้อยและถูกซ่อนเอาไว้ในคอมพิวเตอร์ของเควิน ชายหนุ่มมีสีหน้าพออกพอใจอย่างมากที่มีรูปคนรักอยู่ในเครื่อง เขาจูบชินจิที่มีสีหน้าไม่ค่อยดีนักพร้อมกับบอกว่า
     “ระหว่างปิดเบรกที่เราไม่ได้เจอกัน ฉันจะมีรูปนายไว้ดู เวลาคิดถึงนาย ฉันจะใช้รูปพวกนี้แทนตัวนาย”
     เขาหมายถึงเวลาที่มีอารมณ์ รูปพวกนี้จะช่วยให้เขาปลดปล่อยได้
     “หน้าของนายนี่สุดยอดได้อารมณ์เลย แค่ดูฉันก็แทบทนไม่ไหวแล้ว” เควินพูดเสียงสั่นพร่า
     เมื่อได้ยินแบบนี้เข้า จากที่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่สบายใจและไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรในตอนแรก ชินจิกลับรู้สึกดีขึ้น รู้สึกว่าตัวเองเป็นที่ต้องการ เป็นที่รัก และชายหนุ่มบอกตัวเองว่า
     ถ้าเควินมีความสุข เขาก็มีความสุขเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 8 - update - 04.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 04-10-2014 14:08:27
รสนิยมของเควินไม่ธรรมดา  ชินจิเอ้ย
อาจได้เป็นนายเอกหนังโป๊ก็คราวนี้แหละ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 8 - update - 04.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: j_world ที่ 04-10-2014 16:33:40
ไม่เหงาละค่า :sad4:
มีคนอ่านบ้างก็ขอบคุณละค่ะ แต่ลงไปก็หวั่น ๆ ไปนะว่าจะชอบกันรึเปล่า กลัวจะเบื่อกันซะก่อน
เรื่องมันเรื่อย ๆ ไม่ได้ดุเด็ดเผ็ดมันอะไร คือ เขียนยังงั้นไม่เป็นอะค่ะ แหะ ๆ  :hao4:
แต่ก็จะพยายามเต็มที่ค่ะ   
ชอบมากจ้ะ เขียนเป็นธรรมชาติดี ฮาความอึนพ่ออัตสึโตะ เป็นเรื่องเรียบๆที่ใช้ภาษาขั้นเทพเห็นภาพจะแจ้ง
ขำมายะกับยูเลียน ไม่ใช่ลงสนามรบชิงนาย ระวังจะได้กันเองล่ะ เดี๋ยวตาอยู่มานูเอลจะได้หยิบพ่ออัตสึโตะกินซะเรียบ

ชินจิเหมือนเด็กน้อยที่กำลังมีความรัก ขาดความคิดไคร่ครวญ เจอรสนิยมเควินเจ้าพ่อปาร์ตี้เข้า เฮ้อ ชินจิ นายได้ดังดับแน่
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 8 - update - 04.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 04-10-2014 20:13:47
บทที่ 9

     คริสตอฟกลับไปก่อนปิดเบรกคริสต์มาสท่ามกลางความโล่งใจของชินจิเพราะจนแล้วจนรอดเขาก็ไม่สามารถเข้ากับเพื่อนของเควินได้ และหลังจากที่ได้กลับมาอยู่ด้วยกันตามลำพังอีกครั้งไม่กี่วันเท่านั้น เควินก็ต้องกลับบ้าน
     ชินจิหงอยลงไปเล็กน้อยตั้งแต่ที่คนรักจากไป แต่ก็พยายามไม่คิดมากเพราะเควินสัญญาว่าจะกลับมาฉลองปีใหม่ด้วยกันและจะไปเที่ยวที่ไหนไกล ๆ หลังจากนั้นซึ่งตอนนี้แน่นอนแล้วว่าคือ อัมสเตอร์ดัม พวกเขามีเวลาสี่วันสามคืน จะอยู่ที่อัมสเตอร์ดัมสองวัน ที่เดลฟ์และเดน ฮากหนึ่งวัน วันที่สี่กลับเบอร์ลิน หลังจากตกลงเรื่องเวลากันได้ ชินจิก็เข้าห้องสมุดขอยืมหนังสือนำเที่ยวเนเธอร์แลนด์มาอ่านเก็บข้อมูล เควินให้เขาเป็นคนตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวกันที่ไหนบ้าง
     นอกจากนั้นเขาก็ยังมีทริปเกลเซ่นเคียเช่นรออยู่
     ตอนนี้ทั้งมายะและยูเลี่ยนแข่งกันทำคะแนนกับอัตสึโตะยกใหญ่เพราะต่างเริ่มตงิด ๆ ว่ามานูเอลอาจจะกำลังกลายมาเป็นคู่แข่งหัวใจคนสำคัญ ยิ่งเมื่อวันก่อนสองคนนั้นเกิดไปรู้ว่ามานูเอลพาอัตสึโตะไปนั่งชิงช้าสวรรค์กันสองคนมา ทั้งมายะและยูเลี่ยนก็ทำท่าเหมือนกับว่าชายหนุ่มร่างใหญ่ได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงระดับเดียวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองลงไป แต่เพราะมานูเอลกำลังจะเป็นเจ้าภาพทริปคริสต์มาสนี้ ทั้งสองคนจึงไม่อาจแสดงตนเป็นศัตรูได้เด่นชัดนัก
     ในวันเดินทาง ทุกคนไปเริ่มต้นกันที่สถานีเบอร์ลินเพื่อนั่งรถไฟด่วนพิเศษอีเซเอไปลงที่สถานีเอสเซ่นจากนั้นต่อด้วยรถเร็วท้องถิ่นไปยังสถานีเกลเซ่นเคียเช่น สมาชิกผู้ร่วมทางมีกันตามที่ตกลงกันไว้แต่แรกคืออัตสึโตะ มายะ ยูเลี่ยน ชินจิ มาโกโตะ เอย์จิ และมานูเอล ไม่มีใครอื่นมาเพิ่มอีก แล้วเมื่อขึ้นไปบนรถไฟ ทั้งมายะและยูเลี่ยนต่างอยากจะนั่งกับอัตสึโตะทั้งคู่ แต่ก็อกหักด้วยกันทั้งสองคน เมื่ออัตสึโตะเลือกจะนั่งกับชินจิแทน
     “ฉันนึกว่านายจะนั่งกับมานูเอลซะอีก” ชินจิอดถามไม่ได้ แต่เพื่อนกลับส่ายหน้า ตอบว่า
     “ไม่เอาล่ะ ขี้เกียจฟังมายะกับยูเลี่ยนบ่น ฉันมานั่งกับนายนี่แหละดีแล้ว”
     อัตสึโตะพูดจบก็เอาหูฟังไอพ็อดเสียบหูแล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว
     รถไฟขบวนด่วนพิเศษอีเซเอแล่นระหว่างเมืองเหมือนกับชินคันเซ็นของญี่ปุ่น ใช้เวลาราวสี่ชั่วโมงแล่นจากเบอร์ลินในฝั่งตะวันออกข้ามไปยังเอสเซ่นในฝั่งตะวันตก แล้วเมื่อเปลี่ยนรถไปเป็นรถไฟท้องถิ่นใช้เวลาอีกราวสิบนาที ทั้งหมดก็มาถึงสถานีรถไฟเมืองเกลเซ่นเคียเช่น
     คนจากโรงแรมของมานูเอลเอารถมารอรับอยู่ที่สถานีแล้ว มานูเอลแนะนำให้ทุกคนรู้จักพ่อและพี่ชายของเขาซึ่งทั้งสองคนเป็นผู้ชายรูปร่างใหญ่ไม่ผิดกับลูกชายคนเล็ก ผมสีทอง ตาสีฟ้า ท่าทางอารมณ์ดีและใจดีทั้งคู่ พี่ชายของมานูเอลชื่อมาร์เซลช่วยขนกระเป๋าขึ้นรถ เขาขับรถมาคันหนึ่งและพ่อของเขาขับรถมาอีกหนึ่งคันเพื่อรับลูกชายและเพื่อน ๆ มาที่โรงแรมซึ่งอยู่นอกตัวเมืองเกลเซ่นเคียเช่น
     ตัวโรงแรมเป็นอาคารสีขาวสองชั้นแบบฟาคแวร์คเฮาส์มีไม้สีดำวางพาดเป็นลวดลาย แต่ดูต่างจากรูปที่อัตสึโตะเคยเห็นซึ่งเป็นตอนฤดูร้อน ในตอนนี้ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยหิมะสีขาวสะอาด ต้นไม้ที่เคยเป็นสีเขียวชอุ่มในหน้าร้อนถูกปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ดูสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง
     แม่ของมานูเอลรอรับอยู่แล้ว ตรงกันข้ามกับสามีและลูกชาย หล่อนเป็นผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวและยิ้มสวยมาก หลังจากทักทายเพื่อนของลูกชายอย่างร่าเริงแล้ว หล่อนก็จัดให้ทุกคนนอนที่บ้านส่วนตัวของครอบครัวซึ่งอยู่เยื้องไปทางด้านหลัง ห้องพักแขกพักได้สองคน อัตสึโตะนอนกับชินจิ ส่วนมายะที่เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมนอนห้องเดียวกับยูเลี่ยนเด็ดขาดนอนกับมาโกโตะ และเอย์จินอนห้องเดียวกับยูเลี่ยน และเพราะมาถึงกันในตอนเย็นแล้ว วันนี้จึงไม่มีโปรแกรมจะทำอะไรเป็นพิเศษ แต่ให้พักผ่อนกันได้ตามสบาย
     “นายนี่สุดยอดแห่งความเรียบร้อยเลยนะชินจิ” อัตสึโตะเปรยขณะที่นอนเท้าคางอยู่บนเตียงมองเพื่อนกำลังจัดเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้อย่างเป็นระเบียบ ต่างจากเขาที่รื้อกระเป๋าเป้ตัวเองจนกระจุยและยังไม่ยอมเอาเสื้อผ้าออกมาแขวนจนแล้วจนรอด
     “จริง ๆ แล้วก็ไม่ค่อยเรียบร้อยหรอก แต่ฉันก็พยายามทำให้ดีที่สุด”
     “นายนี่เจ๋งเป็นบ้าเลย” อัตสึโตะพูดด้วยความนับถือ
     “เออ แล้วมานูเอลบอกรึเปล่าว่าพรุ่งนี้เราจะทำอะไรกัน” ชินจิถาม
     “เอ พรุ่งนี้น่าจะเป็นช่วยกันจัดปาร์ตี้คริสต์มาสนะ แล้วหลังวันคริสต์มาส หมอนั่นบอกว่าจะพาไปเที่ยวในเมือง ที่ไหนบ้างฉันจำไม่ได้แล้ว แต่มีเฟลทินส์อรีน่า สนามบอลทีมชาลเก้แน่นอนหนึ่งที่ เพื่อเอย์จิซังโดยเฉพาะ” อัตสึโตะพูดพร้อมกับพลิกตัวมาเป็นนอนหงาย กางแขนกางขาเต็มเตียงอย่างสบายอารมณ์
     ชินจิมองเพื่อนอย่างเอ็นดู ก่อนแซวว่า
     “นายนี่ท่าทางตื่นเต้นเหลือเกินนะ ดีใจล่ะสิ ได้มาเที่ยวบ้านมานูเอล”
     “แน่นอน ฉันชอบที่นี่ ชอบพ่อกับแม่มานูด้วย ใจดีมากเลย ตะกี้ยังให้ฉันชิมเค้กชิ้นเบ้อเริ่ม”
     อัตสึโตะพูด นึกถึงตอนที่เขาออกไปเดินรอบ ๆ บ้าน แล้วเจอกับแม่ของมานูเอลที่ในครัว กำลังเตรียมทำอาหารเย็นเลี้ยงพวกเขาอยู่ และเมื่อรู้ว่าเขาชอบกินขนม หล่อนก็ยกเค้กโฮมเมดชิ้นใหญ่ให้เขากินรองท้อง
     “นี่ ชินจิ ฉันสงสัยมานานแล้ว ทำไมนายไม่ไปบ้านเควินล่ะ ไม่อยากไปรู้จักพ่อแม่ของแฟนรึไง”
     ชินจิชะงักมือที่กำลังจะปิดกระเป๋าเดินทางใบเล็ก เขาไม่นึกอยากจะตอบคำถามนี้เลย แต่ก็รู้ว่าคงเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเขาไม่ตอบอะไรสักอย่าง มีหวังคนดื้อรั้นอย่างอัตสึโตะต้องไม่ยอมรามือง่าย ๆ อย่างแน่นอน
     “ความจริงฉันก็อยากจะไปนั่นแหละ แต่ทางบ้านเควินเขาไม่ค่อยสะดวก คือเราก็เพิ่งเริ่มคบกัน เควินเขาก็เลยคิดว่าให้เราคบกันไปนานพอสมควรก่อน แล้วค่อยพาฉันไปที่บ้าน”
     “ยุ่งยากจังเนอะ การมีความรักมันต้องคิดมากขนาดนี้เลยเหรอ”
     ชินจิตอบไม่ถูกเหมือนกัน เพราะตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าความรักของเขาจะเจอกับอะไรมากมายแบบนี้ ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่ามันโรแมนติกมากที่ได้มาเจอคนรักในต่างประเทศแบบนี้ มันเหมื่อนกับโชคชะตาฟ้าลิขิต แต่ตอนนี้เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่ามันดีจริง ๆ หรือไม่ หากในเมื่อเลือกเส้นทางสายนี้แล้ว เขาก็ต้องเดินไปให้สุดทางให้ได้
     “ตัวนายเองเถอะอัตสึโตะ มานูเอลเขายังไม่ได้เลิกกับแฟนไม่ใช่เหรอ แล้วเรื่องของนายกับหมอนั่น มันจะเป็นยังไงต่อไป”
     ชินจิเปลี่ยนเรื่องบ้าง แต่อัตสึโตะฟังแล้วไม่รู้สึกกลุ้มใจอะไร น้ำเสียงที่พูดถึงเรื่องของตัวเองฟังดูสบาย ๆ 
     “ก็เป็นยังงี้แหละ จะไปคิดอะไรให้มันมากทำไม เหนื่อยเปล่า ๆ ฉันกับมานูเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว เราเป็นเพื่อนกัน ยังไงก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
     ชินจิพิศมองหน้าเพื่อนเพื่อจะหาว่าอัตสึโตะแกล้งทำเป็นพูดกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงหรือเปล่า แต่ก็ไม่เจออะไร อัตสึโตะก็ยังเป็นอัตสึโตะที่ไม่คิดอะไรมากเหมือนเดิม ต่างกับตัวเขา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ดูจะคิดมากและกังวลไปหมด
     “แล้วถ้านายกับมานูเอลไม่ได้คบกัน นายจะเสียใจไหมล่ะ”
     “เสียใจสิ” อัตสึโตะตอบทันที “แต่เอาไว้ค่อยเสียใจตอนนั้นดีกว่า”
     ชินจิรู้สึกทึ่งกับความไม่คิดอะไรมากของเพื่อนจนหลุดขำออกมาจนได้ แล้วเมื่อเขาเก็บของของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงชวนอัตสึโตะออกมาข้างนอก
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 9 - update - 04.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 04-10-2014 20:23:50
     ช่วงเทศกาลคริสต์มาสปีนี้ทางโรงแรมมีแขกไม่มากนัก อาหารเย็นของวันนี้จึงจัดเป็นบุฟเฟ่ต์ให้แขกที่มาพักทั้งหมดรับประทานด้วยกันในห้องอาหารของโรงแรม ของยืนพื้นคือไส้กรอกเยอรมันสารพัดชนิด ชีส ชนิตเซลหรือหมูชุบเกล็ดขนมปังทอด มันฝรั่งผัด ผักสลัดพร้อมน้ำสลัดหลายชนิด ขนมปัง เค้ก และผลไม้สด
     เมื่ออัตสึโตะกับชินจิเดินเข้ามาในห้องอาหารนั้น เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่มากันแล้ว กำลังคุยกันเบา ๆ ในมือถือแก้วเครื่องดื่มกันคนละแก้ว อัตสึโตะมองไปรอบ ๆ ก่อนจะยิ้มออกมานิดนึง แล้วสาวเท้าตรงไปทางที่ร่างสูงใหญ่ของมานูเอลยืนอยู่ แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เขาก็ชะงัก เพราะชายหนุ่มไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว แต่กำลังยืนคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่อัตสึโตะรู้สึกคุ้นหน้ามาก
     “เอ้อ.. นี่คัธริน คาธี่ นี่เพื่อนของฉัน ชื่ออัตสึโตะ เป็นคนญี่ปุ่น”
     “ยินดีที่ได้รู้จักนะ อัตสึโตะ ฉันออกเสียงชื่อเธอถูกรึเปล่า”
     “ถูกแล้วล่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” อัตสึโตะตอบ เขามองผู้หญิงผมสั้นระคอ หน้าตาสวยเก๋ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่ เกลียด ไม่ชอบ หึง ไม่พอใจ ก็ไม่ชัดเจนสักอย่าง อย่างเดียวที่เขาพอจะนึกออกก็คือ เขาตกใจมากกว่า ไม่คิดว่าจะต้องเจอกับแฟนของมานูเอลตั้งแต่วันแรกที่มาถึง
     มานูเอลกับคัธรินคุยกันตามธรรมดา ท่าทางเหมือนกับไม่มีปัญหาอะไรกันเลย ใบหน้าของทั้งคู่มีรอยยิ้มเสียด้วยซ้ำ มานูเอลก็ดูดีใจที่ได้เจอแฟนสาว ทำให้อัตสึโตะจำต้องถอยห่างออกมา ชายหนุ่มกลับมารวมอยู่กับมายะ ชินจิและยูเลี่ยน
     มายะกับยูเลี่ยนดูจะกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษเมื่อเห็นว่ามานูเอลยืนคุยอยู่กับใคร
     “นั่นแฟนมานู ชื่อคัธริน เป็นคนเมืองนี้เหมือนกัน แต่ได้ยินว่าเรียนอยู่ที่ดืสเซลดอร์ฟ สวยเนอะ” ยูเลี่ยนกระซิบ แต่เสียงดังจนได้ยินกันชัดเจนทั้งกลุ่ม
     “ใช่ ๆ สวยมาก หน้าเก๋ ไอ้มานูเอลมันตาแหลมเนอะ เลือกแฟนได้สวย ดูสวีทกันที่สุด น่าอิจฉาจังเลย นายว่าไหม” มายะเสริม
     “ถูกต้อง ใครจะหวานเท่าคู่นี้ไม่มีอีกแล้ว มานูมันเป็นพวกรักจริง มันรักแฟนมันหัวปักหัวปำ ใคร ๆ ก็รู้” ยูเลี่ยนเห็นพ้องด้วย
ชินจิมองมายะกับยูเลี่ยนด้วยสีหน้าเหวอ ๆ เมื่อเห็นสองคนที่เคยตีกันเป็นกิจวัตรกลับเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเช่นนี้ ส่วนอัตสึโตะไม่ฟังคำพูดของใครทั้งนั้น แต่คว้าจานไปตักเค้กชิ้นใหญ่ ๆ รวดเดียวห้าชิ้นวางซ้อนกันจนเหมือนหอคอยขนมหวาน แล้วลงนั่งกินเอา ๆ โดยไม่สนใจอะไรหรือใครอีก
     มายะกับยูเลี่ยนทำท่าจะไปช่วยกันรุมไซโคอัตสึโตะต่อ แต่เอย์จิกับมาโกโตะช่วยกันขวางเอาไว้ก่อนเพราะกลัวจะทำให้รุ่นน้องสติแตกมากไปกว่านี้
     “พวกนายอยู่กับพวกฉันที่นี่แหละ อย่าไปกวนอัตสึโตะ” มาโกโตะสั่งห้ามเสียงเฉียบขาด แต่มาดรุ่นพี่ที่แข็งขันมีอันต้องหลุดเมื่อจู่ ๆ ชายหนุ่มก็ร้องเฮ้ยออกมาเสียงดังและร่างเพรียวของเขาเซนิด ๆ
     “เด็ก!” มายะกับยูเลี่ยนอุทานพร้อมกันเมื่อเห็นว่าที่ขาของมาโกโตะมีเด็กผู้หญิงตัวอ้วนกลมแก้มแดงวัยประมาณสี่ห้าขวบกอดแน่นอยู่
     “เด็กที่ไหน ลูกใคร แล้วมากอดฉันทำไมเนี่ย” มาโกโตะทำหน้าไม่ถูก แต่ท่าทางที่เขาเอามือจับตัวป้อม ๆ ของเด็กหญิงดูอ่อนโยนแทบไม่น่าเชื่อ
     “Onkel!” เด็กหญิงตัวกลมเงยหน้าขึ้นยิ้มกับมาโกโตะจนตาหยีขณะที่มือกอดขาแน่นไม่ยอมปล่อย หน้าตาของเด็กหญิงน่ารักเหมือนนางฟ้า ผมเป็นสีทอง ตาสีฟ้าใสแจ๋ว ทำให้มาโกโตะอดคิดถึงหลานสาวของเขาไม่ได้ ฮานาโกะจังของเขาอายุก็รุ่นราวคราวเดียวกับเด็กคนนี้เลย
     “เอ้อ...ฉันไม่ใช่คุณอาของหนูหรอกนะ” มาโกโตะย่อตัวลงคุยด้วย
     “Onkel” แม่หนูน้อยไม่สนใจ ยังคงเรียกอีกฝ่ายเป็นคุณอาอยู่ เรียกอย่างเดียวไม่พอ คราวนี้จากเกาะขา เด็กหญิงเปลี่ยนเป็นโถมเข้าใส่ทั้งตัวจนมาโกโตะต้องกอดเอาไว้
     “โอ้โฮ รุ่นพี่เสน่ห์แรงจัง แม้แต่เด็กยังไม่ละเว้น” มายะล้อเลียน
     “ไอ้เวร หุบปากไปเลย คิดอะไรแต่ละอย่างมีดี ๆ มั่งไหม” มาโกโตะด่าแต่เปลี่ยนมาพูดด้วยภาษาบ้านเกิดเพื่อไม่ให้เด็กได้ยินสิ่งแสลงหู แต่ยังไม่ทันที่เขาจะอุ้มเด็กหญิงไปประกาศเด็กหาย เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้น
     “เลโอน่า!”
     ทุกคนหันไปมองตามเสียง มาโกโตะคนเดียวที่อ้าปากค้างเพราะไม่รู้มาก่อนว่าจะเจอใครที่นี่
     “หมอนี่มันมาได้ไงวะ” มาโกโตะพึมพำเมื่อเห็นโทนี่เดินเร็ว ๆ มาทางเขา
     “ขอโทษทีที่หลานฉันมากวนนาย” โทนี่พูด ท่าทางและน้ำเสียงยังเนี้ยบจัดชวนให้หมั่นไส้เหมือนเดิม ชายหนุ่มพยายามจะดึงตัวหลานสาวคืน แต่แม่หนูน้อยไม่ให้ความร่วมมือ ปัดไม้ปัดมืออาหนุ่มของแกตลอด
     “นี่หลานนายเหรอ น่ารักจังเลย” ชินจิถาม ส่งมือไปหยอกล้อเล่นด้วย ก่อนจะบีบแก้มกลม ๆ ของเด็กหญิงเล่นด้วยความหมั่นเขี้ยว
     “ใช่ ชื่อเลโอน่า อายุสี่ขวบนิด ๆ ละ” โทนี่ตอบพลางก้มหน้าลงไปหาหลานสาว กล่อมให้ปล่อยตัวมาโกโตะ แต่เด็กหญิงก็ไม่ยอมท่าเดียว ยังกอดชายหนุ่มแน่น
     “เด็กติดมาโกโตะแล้วล่ะ นายพาหลานไปนั่งที่โต๊ะดีกว่า อุ้มอย่างนั้นเมื่อยแย่” เอย์จิบอกเพื่อน มาโกโตะลังเล แต่ก็ยอมทำตาม อุ้มหลานของเพื่อน (รึเปล่า?) ไปนั่งที่โต๊ะเดียวกับอัตสึโตะ มีโทนี่ตามไปด้วยไม่ห่าง
     “นี่ตกลงสองคนนี้เขาเกลียดกันจริงไหมครับเอย์จิซัง”
     ชินจิถาม วันนี้เขาเจอแต่เรื่องน่าประหลาดใจ ตั้งแต่มายะญาติดีกับยูเลี่ยนแล้ว และการที่มาโกโตะนั่งเลี้ยงหลานให้โทนี่ได้แบบนี้มันยิ่งเสียกว่าเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกรวมกันเสียอีก
     “ไม่รู้สินะ ต้องดูกันต่อไป” เอย์จิตอบยิ้ม ๆ
     ทุกคนหันไปมองมาโกโตะที่มีหลานสาวของโทนี่นั่งอยู่บนตักขณะที่อาหนุ่มของแกลุกไปตักอาหาร แล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงเอ็ดอึงของมาโกโตะดังขึ้นหลังจากนั้นครู่หนึ่งว่า
     “เฮ้ย อัตสึโตะ อย่าให้เค้กเด็กกินอย่างนั้น มันเยอะเกินไป นายสติแตกไปคนเดียวพอแล้ว อย่ามาทำให้เด็กสติแตกตามไปด้วยสิโว้ย”
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 9 - update - 04.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 04-10-2014 21:10:17
คิดบวกมากอ่ะ หนูอัตสึโตะ ต้องอย่างนี้สิ ....

ส่วนของตอนล่าสุด ... ขำยูเลี่ยนกับมายะมากอ่ะ
สามัคคีกันขึ้นมาเชียว
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 9 - update - 04.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 05-10-2014 08:47:00
     ในคืนนั้นทั้งอัตสึโตะและชินจิต่างไม่มีใครนอนหลับกันได้อย่างเต็มตาเลย
     ชินจิเฝ้าคอยข้อความจากเควินทั้งคืน ส่วนอัตสึโตะก็นอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงด้วยความว้าวุ่นใจทั้งคืนเช่นกัน เช้ามาจึงขอบตาดำปี๋เหมือนหมีแพนด้าด้วยกันทั้งคู่
     คัธรินยังคงอยู่ข้างตัวของมานูเอลเหมือนเป็นเงาตามตัว เขากับอัตสึโตะจึงไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากนัก วันก่อนวันที่ยี่สิบสี่ซึ่งเป็นวันคริสต์มาสอีฟอย่างวันนี้ทุกคนมีงานล้นมือเพื่อเตรียมจัดงานเลี้ยงฉลอง แม่ของมานูเอลเตรียมตัวอบขนมปังและขนมเค้กเป็นการใหญ่ หนึ่งในนั้นคือขนมหวานประจำเทศกาล ชโตลเล่นและคุ้กกี้คริสต์มาส
     มายะ ชินจิ ยูเลี่ยน และอัตสึโตะเข้ามาช่วยในครัว แต่สองคนหลังเหมือนเข้ามาช่วยให้ยุ่งมากกว่า ขณะที่มายะกับชินจิกำลังช่วยทำชโตลเล่นซึ่งเป็นเค้กผลไม้แห้งแบบฉบับเยอรมันผสมถั่ว เครื่องเทศประเภทกระวานและอบเชย และมาร์ซิพาน โรยด้านบนด้วยน้ำตาลไอซิ่งสีขาวละเอียดทำให้ดูราวกับว่าตัวขนมที่เป็นก้อนยาวคล้ายขนมปังนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ อัตสึโตะกับยูเลี่ยนกลับเอาหมวกซานต้ามาใส่เล่นกันและแกล้งเป่าแป้งใส่หน้าอีกฝ่ายจนตัวขาวเหมือนตกกระด้งแป้งกันมาทั้งสองคน
     อัตสึโตะกับยูเลี่ยนหัวเราะชอบอกชอบใจ แต่มายะหัวเสียขึ้นมาทันทีทั้งเรื่องที่ครัวเลอะแป้งจนขาวไปหมดและเรื่องที่ยูเลี่ยนถือโอกาสนี้กอดคอเล่นแบบแก้มแนบแก้มกับอัตสึโตะอย่างสนิทสนมด้วย
     “พวกนายสองคนออกไปช่วยเอย์จิซังกับมาโกโตะซังข้างนอก เดี๋ยวนี้!” มายะเอ็ดตะโร
     เอย์จิอยู่ในห้องอาหาร กำลังช่วยทำของขวัญที่จะแจกให้แขกในงานเลี้ยง เป็นถุงเท้าใบเล็กกะทัดรัดที่ข้างในใส่ลูกกวาด ส้ม ถั่ว คุ้กกี้ และซานตาคลอสตัวเล็ก ๆ ที่ทำมาจากช็อกโกแลต ตรงมุมใกล้ประตูที่จะเปิดออกไปเป็นเทอเรซกว้าง มานูเอลกับคัธรินกำลังช่วยกันจัดตกแต่งต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ที่เพิ่งจะเอาเข้ามาในวันนี้ ภายในโรงแรมมีต้นคริสต์มาสต้นเล็ก ๆ วางประดับอยู่ทั่วไปตั้งแต่อัดเว้นท์เริ่มต้นขึ้นแล้วเพื่อสร้างบรรยากาศ แต่จะมาตกแต่งต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ที่สุดให้สวยที่สุดด้วยของประดับต่าง ๆ และไฟราวกันในวันนี้
     “อ้าวเฮ้ย นั่นไปทำอะไรกันมา”
     เอย์จิทักพร้อมกับหัวเราะก๊ากทำให้มานูเอลกับคัธรินพลอยวางมือแล้วหันมามองอัตสึโตะกับยูเลี่ยนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องด้วย ทั้งคู่ยังขาวเป็นหย่อม ๆ ไปทั้งตัวด้วยแป้งทำขนมและไม่สนใจจะเช็ดหรือปัดออกด้วย ยูเลี่ยนกอดคออัตสึโตะแบบแก้มแนบแก้มอีกครั้ง ตอบว่า
     “เราทำสงครามแป้งกัน เนอะอัตสึโตะ สนุกมาก ๆ เลย”
     “แต่ถูกมายะไล่ออกมา หาว่าพวกเราเกะกะ ให้มาช่วยเอย์จิซังแทน”
     อัตสึโตะรายงาน หน้าที่เปื้อนแป้งเป็นปื้นมีรอยยิ้มสนุกสนาน เอย์จิได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ขณะเดียวกัน คัธรินบอกแฟนหนุ่มเสียงเบาว่า
     “มานู เธอบีบลูกบอลจนบี้แล้วนะนั่น เอาลูกใหม่ไหม ฉันจะหยิบให้”
     มานูเอลสะดุ้งเล็กน้อย ก้มลงมองลูกบอลประดับสีแดงที่บุบบี้ในมืออย่างงง ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีสมาธิเลยตั้งแต่เมื่ออัตสึโตะเดินเข้ามาในห้อง เขาอยากจะมีเวลาคุยกับอัตสึโตะสักหน่อย แต่อีกฝ่ายไม่เคยอยู่คนเดียวเลย เกาะติดอยู่กับคนอื่นตลอดเวลา และในตอนนี้ก็เอาแต่ช่วยเอย์จิบรรจุของลงในถุงเท้าอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่เหลือบแลมาทางเขาเลย
     “มาโกโตะล่ะ ฉันไม่เห็นหมอนั่นเลย” ยูเลี่ยนถามขึ้นมา
     เอย์จิบุ้ยใบ้ไปทางประตูที่เปิดออกไปสู่เทอเรซและสวนกว้างใหญ่ทางด้านข้างของโรงแรม
     “ออกไปข้างนอกทั้งที่หนาว ๆ ยังงี้น่ะเหรอ” อัตสึโตะถามด้วยความสงสัย
     “ใช่” เอย์จิตอบแล้วยิ้มด้วยความขบขันอาการอ้าปากค้างของทั้งยูเลี่ยนและอัตสึโตะหลังจากที่เขาเสริมต่ออีกนิดว่า
     “ออกไปกับโทนี่”
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 9 - update - 05.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 05-10-2014 08:59:21
     ความจริงแล้วมาโกโตะไม่ได้อยากออกมากับโทนี่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะความซนแสบซ่าของหลานสาวของไอ้คุณชายจอมเนี้ยบเป็นเหตุ เลโอน่าติดเขามาก เรียกว่าพอตื่นลืมตาปุ๊บ แม่หนูน้อยก็วิ่งเข้ามาในห้องของเขาปั๊บ แล้วโถมตัวทับเขาจนสะดุ้งตื่น ส่วนไอ้อาตัวดีได้แต่ยืนเก๊กมองอยู่นอกห้อง ไม่มีการห้ามปรามหลานสาวตัวเองเลยสักนิด
     มายะที่นอนอยู่บนเตียงข้าง ๆ ได้แต่หัวเราะขำท่าทางทำอะไรไม่ถูกของรุ่นพี่ มาโกโตะเพิ่งตื่นนอน หัวยุ่ง ถึงแม้จะใส่ชุดนอนอย่างเรียบร้อย แต่เทียบไม่ติดเลยกับคุณชายโทนี่ที่เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่แล้ว ส่วนหลานสาวของเขาก็เอาแต่เขย่ามือมาโกโตะ
     “มาโกะ ไปเล่นกัน ไปเล่นกันเถอะ”
     เด็กเรียกชื่อเต็มของมาโกโตะไม่ได้จึงเรียกแบบย่อ ๆ เอา ยิ่งทำให้มายะขำไม่ยอมหยุด
     “หุบปาก ไอ้มายะ” มาโกโตะกัดฟันกรอด
     “มาโกะ มาโกะ มาโกะ” เลโอน่าเรียกไม่ยอมหยุด
     ชายหนุ่มไม่มีทางเลือก เขาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่และอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับเลโอน่าตั้งแต่เช้า มีโทนี่อยู่ด้วยอีกคน ชายหนุ่มรับอาสาดูแลหลานสาวเพื่อให้พี่ชายและพี่สะใภ้ของเขาได้มีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่ภาระกลับไปตกอยู่ที่มาโกโตะอย่างไม่รู้ตัว แถมใครผ่านไปผ่านมาแล้วเห็นเขานั่งเล่นอยู่กับเลโอน่าโดยมีโทนี่อยู่ใกล้ ๆ ก็เป็นต้องแซวทุกครั้งไป
     โดยเฉพาะไอ้ตัวดีมายะกับอัตสึโตะ
     “ว้าว ครอบครัวสุขสันต์ พ่อแม่ลูก น่ารักจังเลย”
     “แล้วใครจะเป็นพ่อ ใครจะเป็นแม่ดีล่ะเนี่ย”
     แม้แต่เอย์จิยังหัวเราะขำทุกครั้งที่เดินผ่านมา แถมล้อเลียนได้อย่างเจ็บแสบกว่าใคร
     “เขาว่ากันว่าเกลียดอะไรจะได้ยังงั้น นายว่าจริงไหม มาโกะ”
     โชคดีที่ไอ้พวกนี้มันพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น โทนี่จึงฟังไม่เข้าใจ และเขาจะไม่มีวันแปลให้มันฟังอย่างเด็ดขาด
     ยายเด็กแสบเลโอน่ายิ่งทวีความซนตามเวลาที่ผ่านไป ตอนแรกก็นั่งอ่านนิทานนิ่งดีอยู่หรอก แต่สักพักแม่หนูก็เริ่มอยู่ไม่สุข วิ่งพล่านไปทั่วทั้งห้องพร้อมกับหว่านตัวต่อเลโก้เหมือนหว่านเมล็ดข้าวลงในนาให้ต้องตามเก็บกันให้วุ่น แถมยังพยายามจะปีนป่ายทุกอย่างที่ขวางหน้า ใครจะจับตัวให้หยุดก็ไม่ยอม แม่หนูจะสะบัดตัวหนีแล้วร้องกรี๊ด ๆ ท้าทาย
     มาโกโตะแทบลมจับกับความซุกซนของเลโอน่า ยิ่งเมื่อแม่หนูวิ่งเร็วจี๋ออกไปข้างนอกตัวอาคารเมื่อเห็นกระต่ายป่าตัวสีขาวหูยาวโผล่ออกมาจากป่าเข้ามากระโดดไปกระโดดมาอยู่ในสวนด้านข้าง มาโกโตะกับโทนี่ก็รีบร้อนตามออกไป พร้อมกับคว้าเสื้อกันหนาวให้แม่หนูใส่แทบไม่ทัน เลโอน่าวิ่งไล่จับกระต่ายพร้อมกับหัวเราะร่าชอบอกชอบใจ
     “หนูอยากกินกระต่าย หนูจะกินกระต่าย” เลโอน่าร้องกรี๊ด ๆ
     มาโกโตะคว้าตัวเด็กหญิงได้ในที่สุด แต่เลโอน่าก็อยู่ในสภาพหัวยุ่ง ผมเปียสองข้างหลุดรุ่ย เสื้อผ้ามีหิมะติดเต็มไปหมดเพราะล้มคว่ำคะมำหงายกลางหิมะอยู่หลายครั้งเต็มที
     ความอึกทึกครึกโครมและความวุ่นวายทั้งหลายแหล่จบลงเมื่อแม่หนูเล่นจนเหนื่อยเพลียและนอนหลับไปในที่สุด แต่ก่อนจะหลับ เลโอน่ายังออกฤทธิ์ส่งท้าย
     “หนูจะเอาริบบิ้นสีขาว! ริบบิ้นสีขาวของหนู!”
     เลโอน่าร้องไห้สะอึกสะอื้นเมื่อพบว่าตัวเองทำริบบิ้นผูกผมหายไปกลางหิมะเสียแล้ว มาโกโตะกับโทนี่ต้องสัญญาว่าจะหามาคืนให้ แม่หนูจึงยอมหลับได้ และนั่นทำให้มาโกโตะกับโทนี่ต้องมาเดินย่ำต๊อกอยู่ด้วยกันกลางหิมะทั้งที่อากาศหนาว ๆ แบบนี้นี่แหละ
     “หาริบบิ้นสีขาวบนหิมะสีขาวเนี่ยนะ ตาบอดกันพอดี อูย อากาศก็หนาว” มาโกโตะบ่นพึมแม้ว่าจะใส่เสื้อกันหนาวพร้อมผูกผ้าพันคอเต็มยศ แต่ก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี
     “แล้วหลานนายนี่ก็โคตรซน ถามจริง ดูแลหลานยังไงวะให้ซนได้ขนาดนี้เนี่ย”
     “ปกติก็ไม่ซนไม่ดื้อขนาดนี้หรอก เพิ่งวันนี้แหละที่ออกฤทธิ์มากเป็นพิเศษ สงสัยจะโดนตามใจเยอะเกินไป”
     “อ้าว ไอ้เวร หลอกด่านี่หว่า” มาโกโตะร้องลั่น เพราะโทนี่พูดแล้วก็มองมาที่เขา
     “พูดยังงี้หาไปคนเดียวเลยนะ ริบบิ้นน่ะ ไม่ช่วยแล้ว” ชายหนุ่มตีหน้าบึ้งใส่ แล้วทำท่าจะเดินหนี แต่โทนี่คว้าแขนเอาไว้ก่อน
     “ไม่ให้หนี ต้องอยู่ด้วยกันก่อน”
     “ไม่อยู่โว้ย ปล่อยเลย”
     มาโกโตะสะบัดแขน แต่โทนี่ไม่ยอมปล่อย กลับรั้งตัวอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม มาโกโตะเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมาแบบแปลก ๆ ทั้งที่อากาศออกจะหนาวเยือก ขณะที่สบตากับโทนี่
     “ทำไมนายต้องโมโหตลอดเวลาตอนที่อยู่กับฉัน ฉันไปทำอะไรให้นายไม่พอใจรึไง” โทนี่ถามเสียงขรึม มือที่จับแขนอีกฝ่ายไว้บีบแน่นขึ้นเพื่อเตือนให้รู้ว่า ครั้งนี้เขาเอาจริง อยากจะรู้จริง ๆ
     “ก็นายมันกวนโมโห” มาโกโตะตอบห้วน ๆ พลางรีบหลบตา “ปล่อยสิวะ จับแขนไว้ทำไม”
     “กวนโมโหยังไง ฉันจำได้ว่าฉันไม่เคยทำอะไรให้นายสักหน่อย” โทนี่ยังไม่ยอมง่าย ๆ มาโกโตะมีท่าทีอึกอักพูดไม่ถูก แล้วเมื่อแขนของเขาถูกบีบแน่นขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มก็เลยหลุดปากว่า
     “นายแย่งฉันซื้อเสื้อโค้ตอาร์มานี่สีเทา!”
     โทนี่อ้าปากค้าง
     “ไม่ใช่แค่นั้นนะ ทั้งเสื้อแจ็กเก็ต นาฬิกา แว่นตา ผ้าพันคอ ไม่ว่าฉันชอบชิ้นไหน เป็นต้องถูกนายแย่งซื้อตัดหน้าตลอด นายไม่รู้หรอกว่า ตารางชีวิตที่ฉันวางแผนเอาไว้เป็นอย่างดีมันต้องปั่นป่วนมากแค่ไหน ฉันวางแผนเอาไว้แล้วล่วงหน้าว่าวันไหนฉันจะใส่อะไร จะแต่งตัวยังไง แต่นายทำแผนฉันพังหมด!”
     มาโกโตะท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้น ขณะที่คนฟังฟังแล้วมึนหัวอย่างบอกไม่ถูก
     “นายไม่ชอบหน้าฉันเพราะเรื่องแค่นี้นี่นะ”
     “มันไม่ใช่เรื่องแค่นี้นะ ฉันจะไม่มีวันอภัยให้คนที่มาทำให้แผนของฉันพังพินาศอย่างเด็ดขาด”
     “นายนี่บ้าว่ะ” โทนี่โคลงศีรษะด้วยความอ่อนระอาใจ “ฉันอุตส่าห์กลุ้มอยู่ตั้งนานว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไปตรงไหน ปรากฎว่าผิดที่แย่งซื้อเสื้อผ้า โธ่เอ๊ย”
     แต่แล้วชายหนุ่มก็ยิ้ม และเมื่อเขายิ้มก็ยิ่งดูดีขึ้น หากมาโกโตะกลับพาลหาว่าโทนี่ยิ้มเยาะเขา
     “เลิกยิ้มเดี๋ยวนี้ และฉันไม่ได้บ้าโว้ย!”
     “แต่พูดก็พูดเถอะ แสดงว่าเรานี่รสนิยมตรงกันพิลึกเลยนะว่าไหม ความจริงเราน่าจะสนิทสนมกันให้มันมากกว่านี้หน่อย ดีไหม” โทนี่พูดพลางสืบเท้าเข้ามาใกล้อีกนิด มือก็ยังจับแขนอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
     “สนิทสนมบ้าอะไร ไม่เอาโว้ย นี่นายออกไปห่าง ๆ ฉันหน่อยได้ไหม”
     มาโกโตะถอยหนีจนไม่มีที่จะถอยอีกแล้ว และโทนี่ก็ยิ่งรุกคืบเข้ามาไม่หยุด
     “ก็สนิทสนมกันแบบที่ฉันยืมเสื้อผ้านายใส่ได้ นายก็ยืมเสื้อผ้าฉันใส่ได้เหมือนกันไง ถ้าฉันเกิดซื้อตัดหน้านายอีกโดยที่ไม่รู้ตัว นายก็มาเอาของฉันไปใส่ได้เลย”
     “ฉันไม่ใส่เสื้อผ้าของนายหรอก”
     มาโกโตะโต้ตอบไม่ลดละ แต่ยังขยับถอยหนีฝ่ายตรงข้ามเรื่อย ๆ จนโทนี่ชักรำคาญ มือที่จับแขนมาโกโตะอยู่จึงดึงร่างของเขาเข้ามากอดเอาไว้ในอ้อมแขนเสียให้รู้แล้วรู้รอด
     “เพราะไม่มีอยู่ในแผนการของนายรึไง” โทนี่จ้องหน้า แววตาขึงขัง “งั้นก็วางแผนใหม่ซะ อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เสื้อกันหนาวของนายตัวนี้จะเปื้อนหิมะ ผ้าพันคอผืนนี้ก็จะพัง แล้วไม่ว่านายจะใส่เสื้อข้างในสักกี่ชั้นมันก็จะขาดทั้งหมด เอาล่ะ ใส่ลงไปในแผนชีวิตของนายซะนะว่าต่อไปนี้เราจะแชร์เสื้อผ้ากัน”
     “ไม่เอา เฮ้ย!” คำหลังมาโกโตะอุทานเสียงหลงเพราะถูกโทนี่ดึงให้ล้มลงไปนอนบนพื้นหิมะหนานุ่มด้วยกันและเสื้อกันหนาวของเขาก็เปื้อนหิมะจนได้...
     มาโกโตะกับโทนี่หาริบบิ้นสีขาวของเลโอน่าเจอในที่สุด ตอนที่ทั้งสองเดินกลับเข้ามาข้างในโรงแรมนั้น พวกเอย์จิก็ยังทำงานกันอยู่ในห้องอาหาร ยูเลี่ยนสะกิดอัตสึโตะก่อนและอัตสึโตะก็สะกิดเอย์จิอีกต่อหนึ่งให้หันไปมองมาโกโตะและโทนี่ที่มีหิมะเกาะเต็มไปหมดจนทั่วทั้งตัวกลายเป็นสีขาวไม่ต่างจากอัตสึโตะกับยูเลี่ยนตอนตัวเปื้อนแป้งเลย
     “สองคนนั้นน่ะ หายไปทำอะไรกันมาถึงได้หมดมาดคุณชาย หัวเหอยุ่ง เสื้อเปื้อนไปหมดแบบนั้นล่ะ”
     เอย์จิแซวเพื่อนเสียงดัง แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นมาโกโตะเดินลิ่ว ๆ ไม่ยอมมองหน้าใครเลย แต่หน้ากลับแดงจัดด้วยความขัดเขิน

     คัธรินอยู่ข้าง ๆ มานูเอลตลอดเวลา
     หล่อนกลับมาก่อนเขาหนึ่งวันและเมื่อเขากลับมาถึงบ้าน คัธรินก็มาหาทันที หล่อนคุยกับเขาอยู่ในห้องอาหารระหว่างรอรับประทานอาหารเย็น ถึงแม้ว่าท่าทางของหล่อนจะยังเหมือนเดิม พูดคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้กับเขาอย่างร่าเริง แม้แต่ตอนที่เขาแนะนำให้รู้จักกับอัตสึโตะ หล่อนก็ยังหัวเราะขำตัวเองที่ออกเสียงชื่อของอัตสึโตะเพี้ยนไปบ้าง แต่ชายหนุ่มรู้ว่าคัธรินมีอะไรในใจ เพียงแต่เมื่อหล่อนไม่พูด เขาก็เลยยังไม่ได้ถาม และอัตสึโตะยังทำให้เขาเป็นห่วงอีกด้วย
     ตอนอาหารเย็น เจ้าหมอนั่นกินเค้กไปตั้งไม่รู้กี่ชิ้น แทบจะไม่ได้แตะของคาวเลยกระมัง
     เขารู้ว่าอัตสึโตะชอบกินขนม แต่กินไม่หยุดอย่างนั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังสติแตกซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะจู่ ๆ ได้เจอคัธรินอย่างไม่ทันจะได้ตั้งตัว เขาเองก็ไม่รู้ว่าหล่อนจะกลับมาวันไหน คิดว่าน่าจะมีเวลาได้บอกอัตสึโตะก่อน แต่ก็ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเอาไว้
     เขาอยากคุยกับอัตสึโตะ แต่ชายหนุ่มเกาะติดอยู่กับคนอื่นแจ แถมมายะกับยูเลี่ยนก็ยังจับมือกันกันท่าเขาสุดชีวิต โดยคิดว่าจะอาศัยโอกาสนี้ตีเขาให้แตกกับอัตสึโตะให้ได้ ยังไม่นับเรื่องที่คัธรินคอยอยู่ข้างตัวเขาอีก ชายหนุ่มก็เลยยังไม่ได้คุยกับอัตสึโตะจนแล้วจนรอด
     เช้าวันถัดมา คัธรินก็มาหาเขาแต่เช้าอีกและชายหนุ่มก็ต้องช่วยที่บ้านจัดงานเลี้ยงวันคริสต์มาสจึงทำให้ไม่มีเวลา แต่ท่าทางของอัตสึโตะดีกว่าเมื่อคืนมาก ดีจนเล่นสงครามแป้งกับยูเลี่ยนได้นั่นแหละ ใบหน้าเปื้อนแป้งของหมอนั่นน่ารักน่าหยิกแก้มมาก แต่ไม่ดีตรงที่ยอมให้ยูเลี่ยนมันเอาแก้มมาแนบแก้มเล่นเนี่ยแหละ เขาหงุดหงิดจนเผลอบีบลูกบอลประดับต้นคริสต์มาสบุบบี้คามือ
     ตอนบ่ายและตอนเย็น เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับอัตสึโตะอยู่ดี ทุกคนวุ่นวายกันเรื่องจัดสถานที่และทำอาหาร จนค่ำต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน คัธรินตามเขาเข้าไปในห้องส่วนตัวด้วยและอยู่ด้วยกันจนเวลาล่วงเข้าวันใหม่
     “ฉันคิดมาตลอดว่าจะพูดเรื่องนี้กับเธอยังไงดี”
     หล่อนเปรยขึ้น
     ทั้งคู่นั่งอยู่บนเตียงคนละฟาก หันหลังให้กัน คัธรินกำลังสวมเสื้อผ้า แต่มานูเอลยังนั่งอยู่ทั้งที่มีเพียงผ้าห่มคลุมร่างกายท่อนล่างที่เปลือยเปล่าเอาไว้
     “คิดว่ากลับมาเจอเธอที่นี่ มีเวลาอยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน ถ้าฉันยังรู้สึกเหมือนเดิม ฉันก็อาจจะไม่พูด”
     “แล้วเธอยังรู้สึกเหมือนเดิมไหม” มานูเอลถามทั้งที่พอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว
     “เธอก็น่าจะรู้นะว่ามันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เราอยู่ห่างกันนานเกินไป” คัธรินหันมาตอบ สีหน้าของหล่อนไม่ค่อยดีนัก แต่ก็มีแววเด็ดเดี่ยวอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว
     “ความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอเปลี่ยนไปแล้ว ฉันคุยกับเธอ อยู่กับเธอ มีอะไรกับเธอ ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ฉันกลับรู้สึกไม่เหมือนเดิม”
     “แค่อยู่ห่างกันเท่านั้นน่ะเหรอ” มานูเอลถาม สีหน้าของเขาเคร่งเครียด “ระยะทางมันมีผลกับเธอถึงขนาดนี้เลยเหรอ เรายังคุยกันได้นี่ ถ้าคิดถึงก็มาหากันได้”
     “ไม่ได้หรอก ฉันไม่ได้ต้องการอย่างนั้น”
     “สรุปก็คือเธออยากจะขอเลิกกับฉัน”
     “ใช่ ขอโทษนะมานู ฉันมีคนที่ฉันชอบแล้วล่ะ” คัธรินพูด หล่อนไม่อยากมองหน้าแฟนหนุ่มที่กำลังจะกลายเป็นแฟนเก่าหลังจากวันนี้เลย ขณะเล่าต่อว่า
     “ฉันเจอเขาที่ออฟฟิศที่ฉันไปฝึกงาน เราเข้ากันได้ดีมาก เขาเป็นคนที่น่ารักและพร้อมที่จะอยู่กับฉัน เรามีอะไรกัน และฉันไม่อยากหลอกเธอ พรุ่งนี้เขาจะมาที่บ้าน มาฉลองคริสต์มาสกับฉัน ขอโทษนะมานูที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้”
     “เขาจริงจังกับเธอและรักเธอมากกว่าฉันอีกงั้นเหรอ” มานูเอลหน้าสลดลงไปอีก
     “โธ่ อย่าพูดอย่างนั้นสิ มานู เรื่องมันก็มีแค่ว่า เขารักฉันและฉันก็รักเขา มันก็แค่นั้นแหละ”
     คัธรินขยับเข้าไปหามานูเอลที่ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง หล่อนยกมือทั้งสองขึ้นประคองหน้าของชายหนุ่มไว้พลางมองสบตาที่มีแววเศร้าของเขา
     “เรื่องของเราให้มันจบลงตรงนี้เถอะนะ”
     มานูเอลไม่สามารถคัดค้านอะไรได้ ถึงแม้ว่าจะเคยคิดว่าเรื่องมันต้องออกมาในรูปนี้ แต่เมื่อถูกคนรักที่คบกันมานานตัดรอนเอาจริง ๆ ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดีและยังเหลือความอาลัยอาวรณ์อยู่มากจนตอนที่คัธรินกำลังจะลุกลงจากเตียง มือของเขาก็เอื้อมไปคว้ามือหล่อนเอาไว้โดยอัตโนมัติเหมือนกับต้องการจะยื้อหล่อนให้ยังอยู่กับเขา
     คัธรินปลดมือของชายหนุ่มออก
     “ฉันขอโทษนะมานู ลาก่อน”
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 9 - update - 05.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 05-10-2014 10:32:25
เอาจริง ๆ เลยนะ  มานูเอลอาจจะเหมาะกับใครซักคนหนึ่ง  ซึ่งคงไม่ใช่อัตสึโตะแล้วล่ะ
ในขณะที่มีใจให้อัตสึโตะ  แต่ก็แทงกั๊ก ไม่ได้เคลียร์ตัวเอง  หย่อนเบ็ดเอาไว้
อัตสึโตะเหมือนปลาที่มาติดเบ็ดแล้วล่ะ  เจ็บปวด เสียใจ  แต่ก็ยังเป็นตัวของตัวเอง
เข้าใจ  ไม่แย่งชิง แค่เหินห่าง .... 
แต่มานูเอลในขณะที่เหมือนจะรู้อยู่แล้วว่า แฟนตัวเองมีบางอย่างเปลี่ยนไป
กลับมาคราวนี้อาจมีอะไรไม่เหมือนเดิม  ใจเหมือนยังรักแแฟนอยู่นะ
แต่ก็ชอบอัตสึโตะ  อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคนน่ะ
ที่เจ็บที่สุด คือ การมีอะไรกันกับแฟนตัวเอง  ในขณะที่อัตสึโตะอยู่บ้านด้วยนี่แหละ
และทั้งที่แฟนเก่าก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้รักแล้ว  มานูเอลเองก็ปันใจเล็ก ๆ ไปให้คนอื่นแล้ว
สองคนนี้ก็ยังมีความสัมพันธ์ทางกายกัน ...อัตสึโตะคงรู้สึกดีมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกอ่ะ
....
อยากให้อัตสึโตะ  ทำใจได้  แล้วเป็นแค่เพื่อนกับมานูเอลพอ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 9 - update - 05.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 05-10-2014 11:00:29
สิ่งหนึ่งที่กังวลตอนลงนิยายคือ อาจจะทำให้คนอ่านไม่ชอบเนี่ยแหละค่ะ
ถ้ามันไม่ค่อยได้อย่างใจ หรืออ่านแล้วขัดใจไปบ้าง คนเขียนก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ  :hao5:
บางทีคนเขียนก็ชอบคิดอะไรง่าย ๆ หรือคิดไม่ถึงในบางเรื่องจนได้อ่าน feedback เนี่ยแหละค่ะ
อย่าโกรธเค้าน้า  :m15:

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นจริง ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 9 - update - 05.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 05-10-2014 11:09:51
บทที่ 10

     วันคริสต์มาสอะไรอย่างนี้!
     แทบทุกคนรอบตัวอัตสึโตะกับชินจิต่างอยากจะอุทานออกมาแบบนี้กันทั้งนั้น เทศกาลคริสต์มาสควรจะเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองที่เต็มไปด้วยความสุขสิ แต่มองไปทางไหนทำไมเห็นแต่คนที่ทำหน้าเซ็งซังกะตายกันทั้งนั้น
     เริ่มจากชินจิ ตั้งแต่มาที่นี่เขายังไม่ได้รับการติดต่อจากเควินเลย ใจจริงเขาอยากจะกระหน่ำส่งข้อความไปหาคนรักมาก แต่เขากลัวว่ามันจะดูเป็นการจิกเควินเกินไป ชายหนุ่มจึงต้องอดทน เขาส่งข้อความไปหาเควินเมื่อเขามาถึงเกลเซ่นเคียเช่น ตอนก่อนนอนส่งข้อความราตรีสวัสดิ์ ตื่นนอนส่งข้อความอรุณสวัสดิ์ และตอนนี้ก็บ่ายจัดของวันที่ยี่สิบสี่แล้ว จะถึงคืนคริสต์มาสอีฟอยู่รอมร่อ เขายังไม่ได้รับข้อความตอบกลับจากเควินเลย
     ภายใต้ข้อความไม่มีคำว่า “gelesen” นั่นเป็นสิ่งปลอบใจอย่างเดียวของชายหนุ่ม แสดงว่าคนรักยังไม่ได้เห็นข้อความของเขา ดูเหมือนว่าตั้งแต่กลับไปที่ดอร์ทมุนด์ เควินก็ไม่ได้แตะโทรศัพท์อีกเลย
     ชินจิหน้าเหี่ยวลงทุกวัน ๆ เขาเอาแต่ดูโทรศัพท์ ถึงแม้ว่าจะมีกิจกรรมให้ทำมากมาย อย่างช่วยอบขนมชโตลเล่นหรือทำขนมทำอาหารสำหรับฉลองคริสต์มาส แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่มีทีท่าจะกลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเดิม
     “นายอยากไปหาเควินที่ดอร์ทมุนด์ไหมล่ะ เกลเซ่นเคียเช่นอยู่ใกล้ดอร์ทมุนด์นิดเดียวเอง จะไปก็ทำได้สบายมาก” มายะเอ่ยปากถามเมื่อเห็นเพื่อนมองโทรศัพท์แทบจะทุกชั่วโมง ดูแล้วก็ถอนหายใจเฮือก ๆ
     “ฉันจะไปได้ยังไง” ชินจิพูดอย่างอัดอั้น “เราตกลงกันไว้แล้วว่าคริสต์มาสปีนี้ต่างคนต่างฉลอง แล้วถ้าเกิดจู่ ๆ ฉันไปหาเควินที่ดอร์ทมุนด์ขึ้นมา มันก็ผิดไปจากที่พูดกันไว้น่ะสิ เควินเขาอาจจะไม่ชอบใจก็ได้”
     “นายน่ะคิดมากเกินไป ทำไมเควินมันจะไม่ชอบใจ คนรักกันนะ ต้องดีใจที่จะได้เจอกันสิ” มายะไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่สามารถจะพูดอะไรได้มากไปกว่านี้ในเมื่อชินจิยินยอมที่จะทำแบบนี้เอง นอกจากนั้น เรื่องของตัวเองก็ยังแก้ไม่ตก
     เขากับยูเลี่ยนจับมือเป็นพันธมิตรกันชั่วคราวเพื่อจะตีกันมานูเอลให้ออกห่างจากอัตสึโตะซึ่งก็ได้ผล ไอ้หมียักษ์นูเทลล่าแทบจะไม่ได้เข้าใกล้อัตสึโตะของเขาอีก แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก ก็หน้าตาของอัตสึโตะเป็นแบบนั้น จะให้เขาสบายใจได้อย่างไร
     ตั้งแต่เห็นมานูเอลกับแฟน อัตสึโตะก็ทำตัวแปลกไป แม้ว่าเจ้าหมอนั่นจะยังเล่นสนุกเหมือนเดิม ทำหน้ามึน ๆ ป่วนนั่นป่วนนี่ แต่เขาก็รู้ว่ามันไม่ปกติ ยิ่งตั้งแต่ตื่นเช้ามาในวันที่ยี่สิบสี่ อัตสึโตะเอาแต่กินขนมไม่หยุดปาก เค้กอบใหม่ ๆ กี่ชิ้นต่อกี่ชิ้นหมอนั่นซัดเรียบวุธ
     “พอแล้วน่าอัตสึโตะ อยากจะเป็นเบาหวานตายนักรึไง กินซะขนาดนี้”
     มายะออกปากห้ามเมื่อเห็นเพื่อนจ้องถาดคุ้กกี้คริสต์มาสที่เขาเพิ่งเอาออกมาจากเตาอบตาเป็นมัน คุ้กกี้ทำเป็นรูปร่างต่าง ๆ ทั้งดาว หัวใจ ต้นคริสต์มาส ไม้เท้า มีน้ำตาลไอซิ่งสีขาวเคลือบด้านบน และเมื่อเขาเผลอ อัตสึโตะก็คว้าคุ้กกี้ชิ้นใหญ่เข้าปากเคี้ยวกร้วม ๆ
     มายะประกาศห้ามอัตสึโตะเหยียบเข้ามาในครัวอีกตั้งแต่บัดนั้น แต่เขาไม่สบายใจเลยที่เห็นหมอนั่นทำหน้าไม่มีความสุข ยูเลี่ยนก็เหมือนกัน แม้จะปวารณาตัวเป็นพันธมิตร (ชั่วคราว) กับมายะ แต่เมื่อเห็นอัตสึโตะสติแตกขนาดนี้ เขาก็ชักไม่สบายใจตามไปด้วย
     “ถามจริง ๆ นะ ไอ้หน้าเต้าหู้ ถ้าอัตสึโตะหักอกนายแล้วตกลงเป็นแฟนกับฉัน นายจะทำยังไง”
     “ไม่ทำยังไงเพราะมันไม่มีวันเป็นไปได้หรอกโว้ย” มายะตอบทันควัน ยูเลี่ยนทำเสียงจิ๊กจั๊กไม่สบอารมณ์
     “ก็บอกว่าถ้าไง สมมุติอะสมมุติ สมมุติอัตสึโตะไปมีแฟนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่นาย แต่หมอนั่นยิ้มได้ ไม่เอาแต่ยัดขนมเค้กเข้าปากอย่างตอนนี้ นายจะว่ายังไง”
     มายะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาอยากจะตอบว่าไม่ยอมเหมือนกัน เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้อัตสึโตะไปมีแฟนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เขาเด็ดขาด มีเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะดูแลอัตสึโตะได้ แต่เห็นหน้าหมอนั่นเป็นอย่างนั้นแล้ว มันกระแทกใจเขาจนจุกไปหมด
     “นายล่ะจะว่ายังไง” มายะถามกลับ
     “ยอมสิ ฉันชอบอัตสึโตะที่ยิ้มแย้มแจ่มใสทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ มากกว่าเห็นหมอนั่นเป็นแบบนี้”
     คำตอบของยูเลี่ยนทำให้มายะจำต้องยอมรับ
     “ฉันก็เหมือนกันแหละ ถ้าอัตสึโตะเลือกคนอื่นแล้วหมอนั่นมีความสุข ฉันจะไปทำอะไรได้วะนอกจากต้องยอม แต่คนอื่นอย่างไอ้หมียักษ์นูเทลล่าเท่านั้นนะที่ฉันจะยอม ถ้าอัตสึโตะเลือกไอ้เด็กบ้าแบบนาย ฉันจะขวางสุดพลัง ถึงจะต้องจับนายฆ่าหมกป่าอยู่แถวนี้ฉันก็จะทำ”
     “อ้าว ไอ้เวร ไอ้หน้าเต้าหู้ปากเสีย!” ยูเลี่ยนสบถด้วยความโมโห แต่มายะไม่สนใจ เขาถามต่อว่า
     “แล้วไอ้หมียักษ์มันหายไปไหน ฉันไม่เห็นหน้ามันตั้งแต่เช้าแล้ว”
     หมียักษ์ของมายะหายหน้าไปตั้งแต่เช้า มานูเอลไม่ได้มากินอาหารเช้าในห้องอาหาร ตอนเที่ยงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มหายตัวไปไหน แต่เมื่อเขากลับมา ทุกคนก็ไม่กล้าไปเซ้าซี้ถามว่าเขาหายไปไหนมา เพราะชายหนุ่มทำหน้าเหมือนคนอกหักและไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
     อัตสึโตะเองก็ยังไม่กล้าเข้าไปหา มานูเอลมีท่าทางย่ำแย่และดูห่างเหินจนทำให้เขาเจ็บปวดใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
บรรยากาศค่อยดีขึ้นเมื่อถึงเวลารับประทานอาหารเย็น งานฉลองในคืนศักดิ์สิทธิ์ไฮลิกอาเบนด์คืนนี้จัดในบ้านส่วนตัวของครอบครัวมานูเอล ไม่ได้รับประทานกับแขกคนอื่น ๆ ของโรงแรม และเพราะมีพ่อ แม่ พี่ชายร่วมโต๊ะด้วย มานูเอลจึงค่อยเปิดปากพูดคุยได้บ้าง ทั้งยังสามารถหัวเราะขำตอนที่มาโกโตะโดนเอย์จิแซวเรื่องโทนี่ได้
     “อ้าว ฉันนึกว่านายจะไปกินกับครอบครัวโทนี่ซะอีก เห็นช่วยกันเลี้ยงหลานสนิทสนมถึงเนื้อถึงตัวออกขนาดนั้น”
     มายะที่นั่งข้าง ๆ หัวเราะขำก๊ากทันทีเลยโดนมาโกโตะเขกหัวไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้
     อาหารที่อยู่บนโต๊ะในคืนนี้ครอบครัวของมานูเอลจัดอย่างเต็มที่เพื่อให้แขกซึ่งเป็นเพื่อนของลูกชายประทับใจ มีอาหารประจำเทศกาลคือห่านคริสต์มาสตัวโตยัดไส้หัวหอม แอปเปิ้ลและเกาลัด ผสมด้วยสมุนไพรจำพวกมาร์จอแรมและใบเซจรับประทานกับแป้งต้มปั้นเป็นก้อนและกะหล่ำม่วง นอกจากนั้นยังมีรัคเล็ตหรือชีสที่โดนความร้อนทำให้ละลายรับประทานกับมันฝรั่ง มีไส้กรอกดุ้นเล็ก ๆ เคียงด้วยสลัดมันฝรั่ง ทั้งยังมีขนมหวานมากมายหลายชนิดคือชโตลเล่น เลบคูเคิ่นหรือคุ้กกี้คริสต์มาส พุดดิ้ง และไอศกรีม
     ทุกคนเจริญอาหารกันถ้วนหน้า ต่างรับประทานอาหารแกล้มไวน์และคุยกันไปอย่างรื่นเริง แล้วเมื่อมีคนตั้งคำถามว่าทำไมต้องกินห่านตอนคริสต์มาส พ่อของมานูเอลก็ใจดีเล่าตำนานให้ฟังว่าเป็นเพราะตอนที่นักบุญคนสำคัญคือซังต์มาร์ตินหนีไปหลบอยู่ในคอกสัตว์เพราะไม่อยากเป็นบิชอปนั้น เจ้าห่านปากโป้งเป็นตัวร้องบอกที่ซ่อนของซังต์มาร์ตินให้คนอื่นรู้ ทำให้ซังต์มาร์ตินต้องเป็นบิชอปจนได้ แล้วจากนั้นมาในวันระลึกถึงซังต์มาร์ตินและในวันคริสต์มาส เจ้าห่านปากโป้งจอมทรยศจึงต้องถูกกินเป็นการแก้แค้น
     ชินจิคนเดียวยังแสดงหน้าตาแบกโลกไม่หาย ชายหนุ่มส่งข้อความไปหาคนรักอีกแต่ก็ไม่ได้รับตอบเหมือนเดิม เขากินอะไรแทบจะไม่ลง ได้แต่กระดกไวน์แก้วแล้วแก้วเล่าจนเริ่มมึน และในที่สุดจึงตัดสินใจจะไปโทรศัพท์ถึงเควินให้รู้แล้วรู้รอด
     ปรากฏว่าคนที่รับสายคือพี่สาวของเควินและบอกว่าเควินกำลังกินข้าวอยู่กับครอบครัว ไม่สะดวกจะรับโทรศัพท์ในตอนนี้ อะไรบางอย่างในน้ำเสียงของหล่อนบอกให้ชินจิรู้ว่าเขาไม่ควรจะโทรมารบกวนเควินในช่วงนี้ ชายหนุ่มรู้สึกหน้าชาและตำหนิตัวเองว่าไม่น่าโทรเลย ดูเหมือนว่าคะแนนของเขาในสายตาครอบครัวของเควินดูจะติดลบลงไปอีกเพราะเหตุนี้
     ชินจิกลับมาที่โต๊ะอาหารด้วยความเซ็งและหดหู่อย่างถึงที่สุด มือของเขาคว้าขวดไวน์มาเทเพิ่มลงในแก้วของตัวเองจนเกือบเต็มและยกขึ้นซดรวดเดียวหมดแก้ว
     “เฮ้ย! ชินจิ ทำไมกินไวน์แบบนั้น เดี๋ยวก็เมาตายพอดี”
     ยูเลี่ยนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามเห็นเต็มตาและโวยขึ้นทันที มายะที่นั่งข้าง ๆ หันขวับมาอย่างรวดเร็วและพยายามจะดึงมือชินจิเอาไว้ แต่ชายหนุ่มก็ดึงดันดื่มจนหมดแก้วในที่สุด
     เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะร้องไห้เวลาเมาไวน์ด้วย แต่เขาเริ่มต้นร้องไห้กระอืด ๆ ทันทีหลังจากไวน์หมดแก้ว
     “ไหวไหมวะเนี่ยนาย” มายะเขย่าตัวชินจิที่นั่งตัวโงนเงนอยู่บนเก้าอี้ ฝ่ายหลังพยายามจะรินไวน์เพิ่มลงในแก้วของตัวเองอีก แต่มาร์เซลที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ยกขวดหนีไปก่อน
     “เป็นอะไรชินจิ” เอย์จิลุกจากเก้าอี้ตัวเองเดินอ้อมมานั่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงข้าง ๆ รุ่นน้อง
     “ไวน์อร่อยอะ อยากกินอีก” ชินจิตอบไปคนละทาง น้ำตาของเขายังคงไหลอยู่
     “ไปพักไหม ฉันว่านายเมาแล้วล่ะ”
     “ไม่เอา อยากกินไวน์อีก เอย์จิซัง ช่วยหาขวดไวน์หน่อยสิ หายไปไหนแล้วไม่รู้” ชินจิพูดด้วยท่าทางมึนเต็มพิกัด
     รุ่นพี่โคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ เขาสัญญาว่าจะหาให้ แต่กลับพาชินจิไปส่งที่ห้องแทน
     อัตสึโตะมองตามเพื่อนไปด้วยความเป็นห่วง แล้วเขาก็เอียงตัวไปทางมานูเอล กระซิบบอกว่า
     “สงสัยนอยด์เรื่องเควิน ได้ยินว่าตั้งแต่มาที่นี่ก็ติดต่อเควินไม่ได้เลย”
     แต่อัตสึโตะไม่ได้ยินเสียงตอบรับใด ๆ จากมานูเอลเลย

     เมื่อชินจิสติแตกไปคนหนึ่ง งานเลี้ยงในตอนท้าย ๆ ก็เลยชักกร่อย ๆ ลง เอย์จิอาสาไปอยู่เป็นเพื่อนรุ่นน้องที่ห้อง มานูเอลกลับมาปิดปากเงียบเป็นหอยกาบเหมือนเดิม อัตสึโตะก็เริ่มคว้าขนมใกล้มือเข้าปากอีกรอบ ถึงแม้มายะ ยูเลี่ยน และมาโกโตะจะพยายามสรรหาเรื่องมาคุยสร้างบรรยากาศแค่ไหน แต่ก็ไม่ค่อยมีใครให้ความร่วมมือเลย สุดท้ายต่างคนก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนในตอนประมาณห้าทุ่มโดยที่ยังไม่ได้แลกของขวัญคริสต์มาสกัน ทุกคนตกลงกันว่าจะเอาของขวัญทั้งหมดติดชื่อ แล้วนำไปวางใต้ต้นคริสต์มาสในห้องนั่งเล่น เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาในวันที่ยี่สิบห้าก็ค่อยไปแกะดูกันเอง
     ในตอนที่อัตสึโตะเดินกลับเข้ามาในห้องพักของเขากับชินจินั้น เอย์จิยังนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงของชินจิที่เมาไวน์จนหลับไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นรุ่นน้องเดินเข้ามา เอย์จิก็บอกว่า
     “ชินจิเพิ่งหลับไปเมื่อกี้ นายอย่าทำอะไรเสียงดังรบกวนมันแล้วกัน เดี๋ยวตื่นมาจะร้องไห้อีก”
     “เข้าใจแล้วครับ” อัตสึโตะรับคำอย่างเรียบร้อยผิดปกติจนเอย์จิเอะใจ
     “นายล่ะ หน้าตาดูแย่เหมือนกัน ทะเลาะอะไรกับมานูเอลรึเปล่า”
     “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” หน้าของอัตสึโตะตอนนี้งงเป็นจริงเป็นจังมาก “เมื่อวานยังเห็นดี ๆ กับแฟนอยู่เลย พอเช้ามาวันนี้จู่ ๆ ก็หายไป กลับมาก็ไม่พูดไม่จา ผมพูดด้วยก็เมินใส่ เป็นบ้าอะไรของมันก็ไม่รู้อะเอย์จิซัง ผมไม่เข้าใจมันจริง ๆ”
     “บางทีมันอาจจะมีเรื่องกลุ้มใจอะไรอยู่ก็ได้มั้ง” เอย์จิเดา
     “งั้นก็น่าจะพูดออกมาสิครับ เล่นเอาแต่เงียบ ทำคนอื่นเขาจะเป็นโรคประสาทตายอยู่แล้ว” อัตสึโตะบ่นด้วยความไม่ชอบใจ แล้วพอพูดขึ้นมาก็ชักจะของขึ้น ชายหนุ่มทำท่าเหมือนกับอยากจะบุกห้องมานูเอลเพื่อจับหมอนั่นมาซักฟอกเสียให้รู้เรื่องไป
     “รอพรุ่งนี้ดีกว่าน่ะ คืนนี้อย่าเพิ่งไปกวนมานูเอลเลย ถ้ามันมีเรื่องอะไรจริง ๆ มันก็คงต้องการเวลาในการปรับใจบ้าง ขืนนายไปวุ่นวายด้วยตอนนี้จะยิ่งทำให้เรื่องมันแย่ลง และหมอนั่นจะเมินนายอีก” เอย์จิเตือน
     รุ่นน้องเชื่อฟังเป็นอย่างดี เมื่อเอย์จิออกไปจากห้องแล้ว อัตสึโตะก็คลานขึ้นเตียง แต่เขานอนไม่หลับอยู่ดี ได้แต่พลิกไปพลิกมา แถมยังอึดอัดเพราะไม่สามารถทำเสียงดังได้เนื่องจากเกรงใจชินจิ ดังนั้นพอทนมาได้จนถึงตีห้าเขาก็ลุกขึ้นเดินออกไปที่ห้องนั่งเล่น กะว่าจะไปแกะของขวัญคริสต์มาสแก้เครียด
     ในห้องนั่งเล่นมีคนที่คิดเหมือนกับเขาอยู่ด้วยแฮะ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 10 - update - 05.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 05-10-2014 11:31:18
จริง ๆ มันก็เป็นธรรมชาติของคนปกติทั่ว ๆ ไปนะ  ที่จะเลือกทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามีความสุขที่สุด
มานูเอลก็แค่ยังรักแฟนอยู่  แล้วก็ชอบอัตสึโตะด้วย  ในชีวิตคนเราจริง ๆ หายากนะ
ที่ใครซักคนหนึ่งจะรักเดียวใจเดียว  ถ้ามีคนในแบบที่เราชอบ  และสบายใจมาชอบเรา
เป็นใครก็เอียงไปหาทั้งนั้นแหละ  มานูเอลก็เช่นกัน ...
มานูเอลมีความสัมพันธ์กับแฟนก็เรื่องปกติ  ก็เขาเคย ๆ กันมาอยู่แล้วนี่
... พี่เมนท์ในลักษณะไม่ชอบใจ  เพราะพี่รู้ว่านี่มันนิยายวาย  ไม่มีทางที่มานูเอลจะลงเอยกับแฟนสาวได้หรอก
และสังเกตดูสิ  คนเมนท์นิยายส่วนใหญ่จะคาดหวังอะไรบางอย่างที่หาได้ยากในชีวิตจริง
ตัวเอกที่หน้าตาดี ฐานะดี  นิสัยดี  ความสัมพันธ์ที่ครอบครัวยอมรับ  การเป็นคนรักที่เข้าใจกันทุกอย่าง
เอาอกเอาใจ คิดอะไร ๆ เหมือน ๆ กัน  มองตาก็รู้ใจ  ทำเซอร์ไพรส์ทุกวันสำคัญ  นิสัยเข้ากันได้ดี  etc.
ว่ากันตามจริง  คนแบบนี้ในชีวิตจริงมันอยู่ที่ไหนว๊า  หามาให้หน่อยสิ
แต่งไปเถอะค่ะ  พี่ชอบ  ไม่ว่าอย่างไรพี่ก็ชอบ เพียงแต่นิสัยพี่บางอย่างอาจไม่เหมือนคนอื่นทั่วไป
ก็เลยอิน  ฟาดหัวฟาดหางเล็กน้อยให้กับตัวละคร  แต่ไม่ได้ว่าคนแต่งน๊า  อย่าเข้าใจผิด
...
จริง ๆ ทุกตัวละคร  มันเหมือนมีตัวตนนะ  และก็ใช่  ที่เวลาเราถูกใจใครส่วนใหญ่ก็มองที่หน้าตา บุคลิกก่อน
พอคบแล้วก็ค่อยมานิสัย พฤติกรรม  สังคมรอบตัว  และอื่น ๆ ละ
กรณีของเควินกับชินจินี่ก็ชัดเลย  ซึ่งถ้าเป็นมานูเอลไปชอบใจชินจิ  คาดว่าเรื่องราวก็จะเป็นอีกแบบ
ในชีวิตจริงของคนเราก็แบบนี้แหละ  บางทีเราก็ได้เจอได้อยู่กับคนที่ไม่ได้เข้ากันได้กับเราทุกอย่างก่อน
แต่บังเอิญเป็นคนที่เราเลือกแล้ว ณ เวลานั้น  แล้วของแบบนี้มันก็เปลี่ยนกันไม่ได้ง่าย ๆ ซะด้วย
....
พี่ว่า เอาต่อไปมาเสิร์ฟดีกว่า  ... พี่ช่างเป็นลูกค้าคนเดียวที่แสนเอาแต่ใจจริง ๆ อิ อิ อิ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 10 - update - 05.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 05-10-2014 11:52:54
จริง ๆ มันก็เป็นธรรมชาติของคนปกติทั่ว ๆ ไปนะ  ที่จะเลือกทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามีความสุขที่สุด
มานูเอลก็แค่ยังรักแฟนอยู่  แล้วก็ชอบอัตสึโตะด้วย  ในชีวิตคนเราจริง ๆ หายากนะ
ที่ใครซักคนหนึ่งจะรักเดียวใจเดียว  ถ้ามีคนในแบบที่เราชอบ  และสบายใจมาชอบเรา
เป็นใครก็เอียงไปหาทั้งนั้นแหละ  มานูเอลก็เช่นกัน ...
มานูเอลมีความสัมพันธ์กับแฟนก็เรื่องปกติ  ก็เขาเคย ๆ กันมาอยู่แล้วนี่
... พี่เมนท์ในลักษณะไม่ชอบใจ  เพราะพี่รู้ว่านี่มันนิยายวาย  ไม่มีทางที่มานูเอลจะลงเอยกับแฟนสาวได้หรอก
และสังเกตดูสิ  คนเมนท์นิยายส่วนใหญ่จะคาดหวังอะไรบางอย่างที่หาได้ยากในชีวิตจริง
ตัวเอกที่หน้าตาดี ฐานะดี  นิสัยดี  ความสัมพันธ์ที่ครอบครัวยอมรับ  การเป็นคนรักที่เข้าใจกันทุกอย่าง
เอาอกเอาใจ คิดอะไร ๆ เหมือน ๆ กัน  มองตาก็รู้ใจ  ทำเซอร์ไพรส์ทุกวันสำคัญ  นิสัยเข้ากันได้ดี  etc.
ว่ากันตามจริง  คนแบบนี้ในชีวิตจริงมันอยู่ที่ไหนว๊า  หามาให้หน่อยสิ
แต่งไปเถอะค่ะ  พี่ชอบ  ไม่ว่าอย่างไรพี่ก็ชอบ เพียงแต่นิสัยพี่บางอย่างอาจไม่เหมือนคนอื่นทั่วไป
ก็เลยอิน  ฟาดหัวฟาดหางเล็กน้อยให้กับตัวละคร  แต่ไม่ได้ว่าคนแต่งน๊า  อย่าเข้าใจผิด
...
จริง ๆ ทุกตัวละคร  มันเหมือนมีตัวตนนะ  และก็ใช่  ที่เวลาเราถูกใจใครส่วนใหญ่ก็มองที่หน้าตา บุคลิกก่อน
พอคบแล้วก็ค่อยมานิสัย พฤติกรรม  สังคมรอบตัว  และอื่น ๆ ละ
กรณีของเควินกับชินจินี่ก็ชัดเลย  ซึ่งถ้าเป็นมานูเอลไปชอบใจชินจิ  คาดว่าเรื่องราวก็จะเป็นอีกแบบ
ในชีวิตจริงของคนเราก็แบบนี้แหละ  บางทีเราก็ได้เจอได้อยู่กับคนที่ไม่ได้เข้ากันได้กับเราทุกอย่างก่อน
แต่บังเอิญเป็นคนที่เราเลือกแล้ว ณ เวลานั้น  แล้วของแบบนี้มันก็เปลี่ยนกันไม่ได้ง่าย ๆ ซะด้วย
....
พี่ว่า เอาต่อไปมาเสิร์ฟดีกว่า  ... พี่ช่างเป็นลูกค้าคนเดียวที่แสนเอาแต่ใจจริง ๆ อิ อิ อิ

หนูรักคุณพี่! /me โดดจูบเหมือนที่อัตสึโตะจูบมาโกโตะ
หนูชอบที่คุณพี่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนอัตสึโตะนะคะ แต่ก็ขอบคุณม้ากมากที่เข้าใจมานูด้วย
มานูเขาบอกหนูว่า "ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันครับ"
หนูก็เลยสงสารเขาอะค่ะคุณพี่  :sad11: ต้องขอแอบเข้าข้างนิดนึง แฮะแฮะ

เดี๋ยวคืนนี้มาต่อให้จบตอนสิบค่ะ ขอตัวไปทำงานก่อน งานยังไม่เสร็จเลย เอาแต่เขียนนิยาย  :ling2:
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 10 - update - 05.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 05-10-2014 19:32:01
     มานูเอลนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ข้าง ๆ ต้นคริสต์มาสของครอบครัวในห้องรับแขก กำลังแกะของขวัญของตัวเองด้วยท่าทีเนือย ๆ แกะเสร็จก็จบ แทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครให้อะไรตัวเองบ้าง แต่มีของชิ้นเดียวเท่านั้นที่ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาพินิจดู
     ตุ๊กตาตัวอ้วนสีเหลืองสดหน้าตาตลก มีวงกลมสีแดงติดอยู่ที่แก้มทั้งสองข้าง หน้าตาเหมือนอัตสึโตะไม่มีผิด
     รู้สึกว่าเจ้านี่มันจะเป็นโปเกมอนที่มีชื่อว่าปิกะจู
     ตรงท้องของมันมีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะอยู่ เขียนว่า “drück mich“ มานูเอลก็เลยกด
     “นายเป็นอะไร”
     เขาแน่ใจว่าเขาได้ยินเสียงที่สองซ้อนกับเสียงจากตุ๊กตาตัวนี้ มานูเอลหันขวับไปทางประตูห้องทันที แล้วเขาก็เห็นเจ้าของของขวัญและเจ้าของเสียงเมื่อสักครู่นี้ยืนอยู่ตรงนั้น
     “อัตสึโตะ” มานูเอลเรียก แต่แล้วก็นิ่งไป
     ริมฝีปากของอัตสึโตะเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรงทันทีเมื่อเห็นท่าทีอึดอัดเหินห่างของมานูเอล ชายหนุ่มก้าวฉับ ๆ เข้ามาในห้องแล้วทรุดตัวลงนั่งประจันหน้ากับอีกฝ่าย
     “นาย-เป็น-อะไร” อัตสึโตะถามเน้นทีละคำ น้ำเสียงที่ใช้ก็คาดคั้น
     “ของขวัญของนายน่ารักดีนะ เจ้าตัวนี้หน้าตาเหมือนนายเลย ดูสิ”
     มานูเอลพูดยิ้ม ๆ แต่ไม่ยอมสบตากับเจ้าของของขวัญ เอาแต่ก้มหน้าลงมองตุ๊กตาในมือ
     อัตสึโตะโมโหขึ้นมาทันที เขาโถมทั้งตัวเข้าใส่คนตรงหน้า สองมือดึงคอเสื้อเสว็ตเตอร์ตัวหนาของมานูเอลไว้ ตะโกนว่า
     “อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่านายเป็นอะไรกันแน่ เอาแต่เงียบไม่ยอมพูดยอมจา เมื่อวานนายก็เมินฉันทั้งวัน แล้วตอนนี้ยังจะทำตัวแบบนี้อีก นายคิดบ้างไหมว่าฉันจะรู้สึกยังไง มานู!”
     มานูเอลเสียหลักเกือบจะหงายหลังล้มลงไป มือข้างหนึ่งของเขายันพื้นไว้ อีกข้างหนึ่งคว้าเอวของอัตสึโตะเอาไว้โดยอัตโนมัติ
     “มานู!”
     “ขอโทษที” มานูเอลพึมพำพลางถอนหายใจยาว ยอมแพ้ “ฉันเลิกกับคาธี่แล้ว”
     “อะไรนะ ตั้งแต่เมื่อไหร่”
     “ตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้วล่ะ คาธี่บอกเลิกกับฉัน เขาบอกว่ามีคนใหม่ที่เขาชอบแล้วและคนคนนั้นจะมาฉลองคริสต์มาสด้วย เมื่อวานฉันก็เลยแอบไปที่บ้านคาธี่ อยากจะเห็นว่าผู้ชายคนนั้นเป็นยังไง”
     “นายเจอเขาไหม” อัตสึโตะซัก
     “เจอ แต่เห็นอยู่ไกล ๆ ก็ดูดีนะ หน้าตาดี ดูท่าทางเอาใจใส่คาธี่ดี แล้วคาธี่ก็ดูรักเขามาก”
     อัตสึโตะฟังน้ำเสียงของมานูเอลตอนพูดประโยคนี้แล้วรู้สึกใจหาย ชายหนุ่มหน้าสลด น้ำเสียงก็เศร้า ฟังเหมือนคนใกล้หมดแรงเต็มที
     “นายคงเสียใจมากสินะ” อัตสึโตะปล่อยคอเสื้อของมานูเอล สองมือประคองใบหน้าของชายหนุ่มไว้ แววตาของอัตสึโตะแสดงถึงความเห็นใจและเข้าใจ
     “อือม์” มานูเอลทำเสียงตอบรับอยู่ในลำคอ เขาจับมือสองข้างของอัตสึโตะที่ประคองใบหน้าของเขาอยู่แล้วดึงออกอย่างนุ่มนวล แต่ยังกุมเอาไว้ในมือของเขา
     “ฉันกับคาธี่รักกันมานาน ความผูกพันที่เคยมีมันตัดไม่ได้ง่าย ๆ ฉันก็เลยไม่รู้ว่าฉันควรจะทำยังไงดี หรือควรจะรู้สึกยังไงในตอนนี้ อัตสึโตะ นายคงเข้าใจฉันใช่ไหม”
     “เข้าใจสิว่านายน่ะโคตรเสียใจเลย เสียใจมากจนพลอยเมินฉันไปด้วยอีกคนหนึ่ง” อัตสึโตะทำปากยื่นด้วยความขัดใจนิด ๆ แต่ท่าทีก็ไม่ได้โกรธเคืองเป็นจริงเป็นจังอะไร
     “ขอโทษที ฉันกำลังสับสนจริง ๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะทำตัวกับนายยังไงดีด้วย”
     “ก็ทำเหมือนเดิมไง”
     มานูเอลส่ายหน้าด้วยความไม่แน่ใจ
     “ไม่รู้สินะ อัตสึโตะ แต่ที่จริงฉันก็ไม่ต่างอะไรจากคาธี่เลย ฉันเองก็เปลี่ยนไปแล้วเหมือนกัน แต่ฉันยังไม่อยากยอมรับเท่านั้น ถ้าคาธี่ไม่เลิกกับฉัน ฉันก็ไม่สามารถเป็นฝ่ายบอกเลิกคนที่ไม่ได้ทำอะไรผิดได้เหมือนกัน แต่ถึงจะเลิกกันแล้ว มันกลับรู้สึกแปลก ๆ ถ้าฉันจะเริ่มต้นกับใครใหม่เลยในตอนนี้”
     ชายหนุ่มมองหน้าอัตสึโตะ เขาไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่จ้องหน้าเขาตาแป๋วอยู่ตอนนี้จะเข้าใจความหมายในคำพูดของเขาไหม แต่อัตสึโตะก็ดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจใด ๆ เลย ดูเหมือนว่าแค่ได้รู้ต้นสายปลายเหตุอาการหมางเมินของเขา อัตสึโตะก็พอใจแล้ว
     “นายนี่คิดมากจัง ชอบทำให้ชีวิตยากอยู่เรื่อย” ชายหนุ่มมิวายบ่น ก่อนจะหัวเราะเมื่อโดนมานูเอลสวนว่า
     “นายก็คิดน้อยเกินไปตลอดเหมือนกันน่ะแหละ”
     “แล้วนายโอเคที่ฉันเป็นแบบนี้ไหมล่ะ”
     อัตสึโตะดึงมือที่ยังอยู่ในมือของมานูเอลออกแล้วเป็นฝ่ายกุมมือชายหนุ่มเอาไว้แทน คำถามของเขาตรง ๆ เหมือนกับที่หัวใจของตัวเองรู้สึก
     “เท่าที่เรารู้จักกันมา นายโอเคกับสิ่งที่ฉันเป็นรึเปล่า นายคิดว่านายจะรักฉันได้ไหม”
     “อัตสึโตะ” มานูเอลพูดอะไรไม่ออก
     “แต่ฉันน่ะชอบนายมากเลยนะ ชินจิเคยถามว่าฉันรักนายรึเปล่า ตอนแรกฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ชอบนายมาก ๆ อยู่กับนายแล้วฉันมีความสุข คุยกับนายก็สนุกดี นายใจดีกับฉัน ดูแลฉัน แต่ไม่ได้ประคบประหงมจนโอเวอร์ ฉันรู้สึกดีมากเลย แต่ตอนโดนนายเมินเนี่ย มันก็โคตรเจ็บเลย รู้สึกทนไม่ได้เอามาก ๆ จนบางทีอยากจะอาละวาด อยากจะชกหน้านายที่กล้าเมินฉันหรือสนใจคนอื่นมากกว่าฉัน”
     อัตสึโตะยิ้มให้กับท่าทางแบบคนตั้งตัวไม่ติดของมานูเอล แล้วพูดอย่างมั่นใจและชัดเจนว่า
     “ฉันรักนาย”
     มานูเอลยังพูดอะไรไม่ถูกในขณะที่คนรุกก่อนก็ยังรุกต่อไปไม่หยุด อัตสึโตะเปลี่ยนจากจับมือมาเป็นกอดเขาเอาไว้แน่น
     มือของมานูเอลที่ตกห้อยอยู่ข้างตัวค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมา ตอนแรกก็ลังเล แต่ภายหลังก็เปลี่ยนเป็นความมั่นใจ สุดท้ายเขาก็กอดตอบอัตสึโตะเต็มอ้อมแขน
     “ฉันก็รักนายเหมือนกันนั่นแหละ นายน่ารักมากและฉันคิดว่าเราเข้ากันได้ดีจนบางทีฉันก็เผลอคิดว่ามันจะเป็นยังไงถ้าเราคบกัน คิดแล้วก็เลิกคิด แล้วก็กลับมาคิดอีก อันที่จริงความรู้สึกของฉันก็ไม่ต่างไปจากนายหรอกนะ”
     “งั้นก็ไม่ต้องรู้สึกแปลก ๆ แล้วแบบนี้!” อัตสึโตะร้อง “ในเมื่อฉันรักนายและนายก็บอกว่ารักฉัน ทุกอย่างจบ เลิกสับสนได้แล้ว แต่ถ้านายยังสับสนอีก ฉันก็จะทำให้นายหายสับสนเอง”
     ริมฝีปากของมานูเอลขยับจะถามว่าจะทำอย่างไร แต่ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปาก ริมฝีปากของอัตสึโตะก็เลื่อนขึ้นมาประกบกับริมฝีปากของเขาก่อนแล้ว
     กว่าทุกคนจะได้แกะของขวัญคริสต์มาสของตัวเองปีนี้ก็ปาเข้าไปในตอนบ่ายเพราะไม่ว่าใครก็ตามที่เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นในตอนเช้าเป็นต้องล่าถอยออกไปจากห้องอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับรอยยิ้มแทบทุกคนหลังจากที่เข้าไปแล้วเห็นมานูเอลนอนหลับอยู่บนพื้นพรม มือข้างหนึ่งของเขาจับมืออัตสึโตะที่นอนหนุนท้องเขาหลับอยู่ด้วยกัน รอบตัวของทั้งสองคนมีของขวัญทั้งที่แกะแล้วและยังไม่ได้แกะวางอยู่เต็มไปหมด

     มายะยิ้มทั้งน้ำตา
     ตอนนี้เขารู้ชัดแล้วว่าอัตสึโตะของเขาตอบตกลงคบกับไอ้หมียักษ์มานูเอลจริง ๆ รอยยิ้มของอัตสึโตะทำให้เขาต้องยอมรับอย่างที่เคยคุยกับยูเลี่ยนไว้นั่นแหละ ถ้าเป็นมานูเอล เขายังพอจะทำใจได้...
     ซะเมื่อไหร่กันเล่า!
     อัตสึโตะนะอัตสึโตะ ทำร้ายเขาอย่างเจ็บช้ำที่สุด... มายะปาดน้ำตาป้อย ๆ
     “นายจะวางยาในกระปุกนูเทลล่าของไอ้มานูมันรึเปล่า ฉันจะดูต้นทางให้”
     ยูเลี่ยนถาม เมื่อเข้ามาในครัวแล้วเห็นไอ้หน้าเต้าหู้มายะนั่งร้องไห้ แต่จ้องกระปุกช็อกโกแลตกระปุกใหญ่ตาเป็นประกายด้วยความเคียดแค้น ตัวเขาเองไม่มีน้ำตาสำหรับเรื่องนี้ แต่ถ้าไอ้หน้าเต้าหู้จะทำขึ้นมาจริง ๆ เขาก็จะร่วมมือด้วยอย่างเต็มที่
     “ถ้าฉันทำ ไอ้นูเทลล่ามันตาย ฉันถูกจับ นายก็จะได้จิกเอาอัตสึโตะของฉันไปกินสินะ ฉันรู้ทันหรอกน่ะไอ้เด็กบ้า” มายะค้อนปะหลับปะเหลือก
     “โห คิดได้อะ เพ้อเจ้อ” ยูเลี่ยนส่ายหน้า
     “แต่ฉันก็อยากทำเหมือนกันว่ะ นายว่าวางยาพิษให้มันตายเร็ว ๆ หรือจับมันกดหิมะให้มันค่อย ๆ ขาดอากาศหายใจตายดีกว่าวะ จะได้ทรมาน ๆ” มายะขอคำปรึกษา
     “ฉันว่าหลอกมันไปเล่นสกี แล้วทิ้งไว้กลางภูเขาหิมะให้มันอดข้าวอดน้ำตายดีกว่าว่ะ ไอ้มานูมันชอบเล่นสกี มันต้องหลงกลตามเราไปแน่ ๆ” ยูเลี่ยนเสนอ
     แล้วสารพัดวิธีฆ่าคนให้ตายอย่างทรมานก็พรั่งพรูออกมาจากปากของมายะและยูเลี่ยนผู้อกหัก
     ส่วนชินจิ ชายหนุ่มตื่นมาพร้อมกับอาการแฮงค์และปวดหัวอย่างหนักจนต้องนอนแบ่บอยู่บนเตียง แต่เขาก็รู้ข่าวเพราะมาโกโตะและเอย์จิที่เข้ามาดูเขาเอามาบอก
     ชายหนุ่มดีใจกับเพื่อนทั้งสองคน แต่เขารู้สึกอิจฉาอัตสึโตะอยู่ลึก ๆ
     “แฟนนายติดต่อมารึยัง” เอย์จินั่งลงข้างเตียง ในมือถือถาดอาหารเอาไว้ ขณะที่มาโกโตะลากโต๊ะเล็กมาให้เพื่อนวางอาหารของชินจิลง
     “ยังเลยครับ” รุ่นน้องส่ายหน้า
     “เถอะ อย่าคิดมาก ยังไงก็ได้กลับไปเจอที่เบอร์ลินอยู่ดี” เอย์จิปลอบ พร้อมกับชี้ที่ถาดอาหารบนโต๊ะข้างเตียง
     “อาหารเช้าของนาย กินรองท้องซะ จะได้มีแรง”
     “นั่นสิ เรายังต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน มานูเอลมันจะพาไปเที่ยวด้วย ถ้านายเอาแต่นอนอยู่บนเตียงมันจะมีประโยชน์อะไรที่จะมาถึงที่นี่” มาโกโตะเสริม รู้สึกเห็นใจรุ่นน้องไม่น้อย ชายหนุ่มไม่ค่อยรู้จักเควิน ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วหมอนั่นเป็นคนอย่างไรกันแน่จึงไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์อะไรได้มากมายนัก ชายหนุ่มจึงแค่ช่วยพูดดึงความสนใจของชินจิเท่านั้น เพื่อไม่ให้ชายหนุ่มรุ่นน้องหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเองมากเกินไป
     “ขอบคุณมากเลยครับ” ชินจิพูดเนือย ๆ แต่ก็ยอมรับประทานอาหารแต่โดยดี
     แล้วไม่ว่าคนที่รู้เรื่องมานูเอลกับอัตสึโตะจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เห็นด้วย หรือไม่พอใจ หรืออยากจะฆ่า (เฉพาะมานูเอล) ให้ตาย ทุกคนก็ยอมรับการตัดสินใจของทั้งคู่
     อัตสึโตะเป็นห่วงมายะมากที่สุด ถึงแม้เขาไม่เคยรักมายะในแบบแฟน แต่มายะก็เป็นเพื่อนสนิท เป็นเพื่อนที่เขารักที่สุด และถ้าเรื่องของเขากับมานูเอลจะทำให้ต้องเลิกคบมายะ อัตสึโตะก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะทำอย่างไรดี
     “ฉันขอโทษนะมายะ” อัตสึโตะพูด เมื่อเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายในห้องพัก
     วันที่ยี่สิบห้าเป็นวันหยุดพักผ่อนหลังเหนื่อยกับการเตรียมฉลองในคืนไฮลิกอาเบนด์ ทุกคนจะอยู่กับบ้าน ดูหนัง พูดคุยกับครอบครัว หรืออาจจะออกไปพบปะเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงก็แล้วแต่ พวกเขาเองก็ไม่มีแผนการอะไรเป็นพิเศษเหมือนกัน มาร์เซลพี่ชายของมานูเอลเปิดหนังดูเล่นในห้องนั่งเล่น เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ก็เลยไปนั่งดูหนังกันอยู่ที่นั่น แต่อัตสึโตะคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้คุยกับมายะสองคน
     “ขอโทษทำไม นายทำอะไรผิดล่ะ แค่นายไม่รักฉัน แต่ไปรักไอ้หมียักษ์นูเทลล่าแค่เนี้ย ฉันไม่โกรธเลย! ไม่โกรธแม้แต่นิดเดียว!”
     มายะไม่มองหน้าอัตสึโตะ น้ำเสียงของเขาก็สูงปรี๊ดบ่งบอกว่ากำลังงอนอยู่อย่างเต็มที่ อัตสึโตะเข้ามานั่งลงบนเตียงข้าง ๆ เพื่อน
     “ฉันไม่รู้จะพูดหรืออธิบายหรือแก้ตัวกับนายยังไงดี แต่ฉันแค่อยากบอกนายว่าฉันรู้สึกไม่สบายใจเหมือนกันที่ต้องทำให้นายเสียใจแบบนี้ ในฐานะเพื่อน...”
     “เพื่อนสนิท!” มายะขัดขึ้น
     อัตสึโตะยิ้มน้อย ๆ
     “ในฐานะเพื่อนสนิท ฉันเคยขอให้นายยอมรับทุกอย่างที่ฉันตัดสินใจ แต่ฉันใจร้ายไปหน่อยที่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของนายเลย พอมาถึงวันนี้ การตัดสินใจของฉันก็ทำร้ายนาย ฉันจะไม่เรียกร้องให้นายเข้าใจหรือยอมรับมัน มายะ นายจะโกรธหรือเกลียดฉัน ฉันขอยอมรับทั้งหมด”
     “ไอ้บ้า!” อัตสึโตะโดนมายะตบหัวจนแทบจะหัวทิ่ม หน้าของเขาเหวอด้วยความคาดไม่ถึง
     “ฉันรักนายมาตั้งแต่สี่ขวบ สิบกว่าปีมานี้นายทำฉันเสียใจมาไม่รู้ตั้งกี่หน ฉันก็ไม่เคยเกลียดนายไม่ใช่เหรอ ไอ้บ้าอัตสึโตะ แค่นายมีแฟนแค่เนี้ย มันไม่ทำให้ฉันเกลียดนายหรอกน่ะ”
     “มายะ”
     “ฉันเสียใจก็จริง แต่ฉันไม่มีวันเกลียดนาย” ชายหนุ่มยิ้มให้อัตสึโตะ และคราวนี้เขายกมือขึ้นลูบศีรษะเพื่อนอย่างนุ่มนวล
     “ฉันเป็นคนดีว่ะ มีน้ำใจนักกีฬาพอ ในเมื่อนายเลือกมัน ฉันก็จะยอมรับการตัดสินใจของนาย”
     “ขอบใจนะมายะ”
     ประโยคนี้เป็นของมานูเอลที่เพิ่งเดินเข้ามาสมทบในห้อง สำหรับมายะ ถึงปากจะบอกว่ายอมรับได้ แต่พอเห็นหน้าไอ้หมียักษ์นี่แล้ว เขาก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ แล้วเมื่อไม่พอใจ ชายหนุ่มก็ต้องจิกกัด
     “แต่ฉันไม่ได้พูดว่าฉันยอมรับนายนะเว้ย ไอ้มานูเอล ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ ถ้านายเผลอขึ้นมาเมื่อไหร่ หรือทำอัตสึโตะของฉันเสียใจ ฉันจับนายถ่วงน้ำด้วยกระปุกนูเทลล่าแน่ จำไว้เลย”
     “ฉันจะจำไว้” มานูเอลรับปาก
     “แล้วเข้ามาในห้องนี้ทำไมวะ ได้อัตสึโตะของฉันไปแล้ว ยังจะมาขัดขวางไม่ให้ฉันอยู่กับอัตสึโตะสองคนอีก นายนี่มันโคตรเลวเลย”
     จากที่เครียดอยู่พอสมควร มานูเอลเปลี่ยนเป็นหัวเราะขำแล้วในตอนนี้
     “จะมาชวนไปกินไอศกรีม แม่ฉันเพิ่งทำไอศกรีมอบเชยเสร็จ ถามหานาย อยากให้นายไปชิม มาร์เซลก็จะเปิดหนังเรื่องใหม่ด้วย ฉันจำได้ว่านายอยากดู”
     “ไม่ต้องมาใจดีกับฉัน คลื่นไส้ว่ะ ฉันไม่ใช่แฟนนายสักหน่อย ไปไป๊ เอาแฟนตัวเองไปดูเหอะ” มายะไล่ แล้วผลักอัตสึโตะที่ยังนั่งอยู่ใกล้ ๆ เขาไปหามานูเอล แต่มิวายจิกกัดส่งท้ายว่า
     “แล้วก็ไปบอกแม่นายด้วยว่า ฉันจะตามออกไป แต่ขอร้องไห้เสียใจอีกสักห้านาที เพราะลูกชายคุณแม่มันโคตรเลวทำให้คนดี ๆ น่ารัก ๆ อย่างฉันต้องเสียน้ำตา”
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 10 - update - 05.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 05-10-2014 19:40:07
     หลังจากวันหยุดคริสต์มาสสองวันผ่านไป มานูเอลก็พาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวในเมือง
     บรรยากาศในตอนนี้ดีกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ คู่รักคู่ใหม่อย่างอัตสึโตะกับมานูเอลไม่ได้หวานกันมาก ทำตัวเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ใครที่อยู่ใกล้ ๆ จะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่เพิ่มมากขึ้น ยูเลี่ยนกับมายะก็ดูจะไม่ได้เสียใจมากมายอีกแล้ว แถมยังจับมือกันแสดงความแสบ ดอดไปแอบดูมาโกโตะจูบร่ำลากับโทนี่แล้วเอามาโพนทะนาให้คนรู้กันทั่วโรงแรมจนมาโกโตะบ่นอุบว่า
     “ไอ้พวกเด็กเวร! ฉันไม่น่าเป็นห่วงพวกมันเลย!”
     ส่วนชินจิก็หายนอยด์แล้วเพราะหัวค่ำของวันคริสต์มาส เควินก็โทรศัพท์มาหา เขาบอกว่าเวลาอยู่บ้านเขาไม่ค่อยได้สนใจโทรศัพท์และขอโทษขอโพยที่ไม่ได้ติดต่อมาก่อนหน้านี้ เควินบอกว่าเขาตั้งใจจะโทรมาอวยพรคริสต์มาสอยู่แล้ว
     “ฉันไม่ได้ลืมนายหรอกน่ะ อย่าคิดมาก” ชายหนุ่มปลอบคนรัก
     ชินจิบ่นนิดหน่อย แต่เขาก็เห็นว่าเควินไม่ได้เปิดดูข้อความจริง ๆ จึงไม่ได้โกรธเคืองอะไร เขาคุยกับเควินอยู่นาน เล่าเรื่องที่เกลเซ่นเคียเช่นให้ชายหนุ่มฟังและก่อนที่จะวางหู เควินก็บอกว่าเขาจะกลับถึงเบอร์ลินเช้าวันที่สามสิบเอ็ดเพื่อฉลองปีใหม่และวันที่หนึ่งพวกเขาจะไปเที่ยวปีใหม่กันที่อัมสเตอร์ดัมตามที่วางแผนกันไว้ ชินจิจึงอารมณ์ดีขึ้นมากและตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวกับทุกคน
     มาร์เซลกับพ่อขับรถมาส่งทุกคนที่สถานีเกลเซ่นเคียเช่นและพวกเขาเจอเพื่อน ๆ ของมานูเอลรออยู่
     “นี่โธมัสกับเบนนี่” มานูเอลแนะนำเพื่อนสมัยเด็กของเขาให้ทุกคนรู้จัก โธมัสเป็นผู้ชายตัวผอมสูงเก้งก้างท่าทางเหมือนนกกระยางในขณะที่เบนนี่หรือเบเนดิกท์ตัวใหญ่กว่า หน้าตาดี แต่ผมบนกระหม่อมเริ่มบางอย่างเห็นได้ชัด ทั้งคู่เป็นมิตรและเข้ากับเพื่อนใหม่ของมานูเอลได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะโธมัสที่เมื่อรู้จักกันแล้วจะเห็นชัดว่าเป็นคนตลก เฮฮา และรั่วเอามาก ๆ จนเข้ากับมายะและยูเลี่ยนได้อย่างกลมกลืน
     ทั้งสองคนตื่นเต้นที่ได้เจออัตสึโตะ คนรักใหม่ของเพื่อนมาก
     “น่ารักกว่าที่นายเคยเล่าให้ฉันฟังอีกว่ะ” โธมัสตรงเข้ามากอดอัตสึโตะแน่น เบเนดิกท์ต้องดึงตัวเพื่อนออกห่างพลางปรามยิ้ม ๆ ว่า
     “กอดแน่นแบบนี้เกรงใจแฟนเขาหน่อยสิวะ”
     จากนั้นทั้งหมดก็เดินเล่นกันในตัวเมืองเก่าของเกลเซ่นเคียเช่นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับสถานีรถไฟ แต่ถึงจะบอกว่าเป็น Altstadt แต่ก็ไม่มีตึกเก่าแก่สวยงามอย่างในเมืองอื่น ๆ มานูเอลเล่าว่า
     “เกลเซ่นเคียเช่นเป็นเมืองอุตสาหกรรมอยู่ทางเหนือของเขตรัวห์ ถูกทิ้งบอมบ์เยอะมากในสมัยสงครามเพราะเป็นแหล่งผลิตถ่านหินและกลั่นน้ำมัน หลังสงครามก็เลยมีการปรับโฉมเมืองกันใหม่ พวกสถานที่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมก็เอามาทำเป็นฮอลล์บ้าง เป็นพาร์กบ้าง เมืองเราเป็นเมืองอุตสาหกรรม ไม่ใช่เมืองวัฒนธรรม”
     เขาชี้ให้ดูโบสถ์ที่จตุรัสไฮน์ริชเคอนิกซึ่งเป็นโบสถ์สีน้ำตาล ยอดโบสถ์สีขาว หน้าตาดูร่วมสมัยมาก และก็ยังมีโรงละครซึ่งเป็นตึกสมัยใหม่สีขาวกรุกระจก
     พวกเขาเดินชมรอบ ๆ ตัวเมือง เข้าไปเดินเล่นในสวนสาธารณะประจำเมืองซึ่งมีหิมะปกคลุมจนเป็นสีขาวไปหมด ต้นไม้หน้าตาคล้ายต้นหลิวที่ยืนต้นเดี่ยวอยู่ริมสระน้ำพุถูกน้ำแข็งจับจนขาวโพลน แต่ก็สวยงามมาก จากนั้นทั้งหมดก็เดินกลับไปที่สถานีรถไฟเพื่อขึ้นรถไปสวนนอร์ดชแตร์น มาร์เซลทิ้งรถไว้ให้คันหนึ่งและเบเนดิกท์ขับรถมาอีกคันจึงไปกันได้อย่างสะดวกสบาย
สวนนอร์ดชแตร์นเป็นสวนสาธารณะที่บ่งบอกความเป็นเกลเซ่นเคียเช่นได้ดีในความคิดของทุกคนเมื่อเดินเข้าไปแล้วเห็นสิ่งก่อสร้างที่เคยใช้ในอุตสาหกรรมเหมืองโดดเด่นผสมผสานอยู่กับบรรยากาศแบบสวนธรรมชาติได้อย่างน่าดู ยิ่งพื้นสวนปกคลุมไปด้วยสีขาวของหิมะก็ยิ่งขับให้สิ่งก่อสร้างสีเข้มทวีความโดดเด่นขึ้น
     “มีทัวร์ชมเหมืองเก่าด้วย เอาไว้คราวหน้าเนอะ สนใจรึเปล่า” มานูเอลกระซิบถามอัตสึโตะซึ่งพยักหน้าหงึก ๆ รับอย่างรวดเร็ว
     พวกเขาเดินต่อไปชมโรงละครกลางแจ้งหลังคาสีขาวริมน้ำและสะพานสีแดงซึ่งเป็นเหล็กสองเส้นทำเป็นรูปโค้งอยู่เหนือคลองไรน์-แฮร์เน่อ สวนนอร์ดชแตร์นแห่งนี้กว้างใหญ่และเมื่อถึงหน้าร้อนก็จะเป็นสวนพักผ่อนที่มีกิจกรรมให้ทำอย่างมากมาย แต่เมื่อมากันในหน้าหนาว พวกเขาก็เพียงแต่เดินชมความงามของสวนที่กลายเป็นสีขาวเท่านั้น
     มายะมองอัตสึโตะเดินจับมือกับมานูเอลไปตามทางเดินใต้สะพานแดงด้วยสายตาที่ยังคงมีความเจ็บปวดอยู่ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือก ๆ
     “อิจฉาเหรอวะ ทำใจซะเถอะน่า” เอย์จิเข้ามากอดคอรุ่นน้องเอาไว้
     “โธ่ มันทำได้ง่าย ๆ ซะที่ไหนละคร้าบรุ่นพี่” มายะโอดครวญ
     “ก็หาคนมาดามใจสิ จะยากอะไร” เอย์จิหัวเราะหึหึ
     “ใครล่ะ”
     “ยูเลี่ยนไง เดี๋ยวนี้เข้ากันได้ดีนี่”
     “โหย ถ้าเป็นไอ้หมอนี่ ผมกัดลิ้นตายดีกว่า เอย์จิซังอะ อย่าแกล้งผมเหมือนมาโกโตะซังอีกคนเลย”
     เอย์จิหัวเราะก๊าก มาโกโตะเคืองทั้งสองคนที่ปากโป้งเรื่องของเขากับโทนี่มาก ดังนั้นเมื่อสบโอกาสก็จะชงมายะกับยูเลี่ยนบ้างเป็นการแก้แค้นเพราะรู้ดีว่าทั้งสองคนเป็นไม้เบื่อไม้เมากันแค่ไหน และคนอื่น ๆ ก็พลอยสนุกล้อเลียนสองคนนี้เล่นตามไปด้วย ทำเอาทั้งมายะทั้งยูเลี่ยนบ่นอุบ แล้วก็เลิกจับมือเป็นพันธมิตรกันอย่างเด็ดขาด
     โปรแกรมตอนบ่ายเพื่อเอย์จิโดยเฉพาะกับการเยี่ยมชมเฟลทินส์อรีน่า สนามเหย้า ถิ่นของเอฟซีชาลเก้
     พวกเขาซื้อตั๋วชมสนามรวมกับพิพิธภัณฑ์ซึ่งทำให้ทั้งหมดมีเวลาที่จะชมความยิ่งใหญ่ของสนามกีฬาแห่งนี้ราว ๆ เจ็ดสิบห้านาทีโดยเริ่มจากประตูด้านตะวันตก
     เอย์จิดูจะตื่นเต้นมากเมื่อไกด์สนามพาทุกคนเยี่ยมชมห้องแถลงข่าว ห้องแต่งตัว บิสซิเนสคลับ สถานที่ทั้งหลายแหล่ที่ปกติแล้วมีเพียงนักกีฬาและพนักงานที่จะเข้าไปได้ รวมทั้งอธิบายรายละเอียดและความสุดยอดของสนามกีฬาระดับห้าดาวแห่งนี้ ชายหนุ่มยิ่งอินมากเมื่อได้เข้าไปสัมผัสกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของทีมในพิพิธภัณฑ์และไม่ลังเลใจเลยที่จะละลายเงินแทบเกลี้ยงกระเป๋าไปกับของในร้านขายของที่ระลึกทีมชาลเก้
     เจ้าถิ่นทั้งสามคนเห็นแขกอินขนาดนั้นก็พาไปเลี้ยงที่ร้านอาหารชื่อดังที่อยู่ใกล้สนามและแฟนช้อปหลังจากทัวร์สนามจบลง
“ร้านโปรดของพวกเรา กินไปดูซ้อมไป โคตรฟิน” โธมัสบอก จากนั้นก็แนะนำให้สั่งอาหารจานเด็ดของร้านคือสเต็กกินกับถั่วฝักยาวและมันฝรั่งผัด ส่วนมานูเอลสั่งอาหารโปรดของเขาคือสปาเก็ตตี้ครีมซอสเห็ดแชมปิยองกับกุ้งและเฟรนช์ฟรายที่คนทางตะวันตกเรียกกันว่าฟริทเท่น
     “อร่อยไหม” ชายหนุ่มถามอัตสึโตะที่นั่งเคี้ยวฟริทเท่นอย่างเมามัน แต่คนรักยังไม่ทันจะได้ตอบหรือแม้แต่พยักหน้า มายะที่ยังขอจองที่นั่งข้างอัตสึโตะอีกข้างหนึ่งอยู่ดีก็สอดขึ้นก่อนโดยหันไปโวยโธมัสที่เป็นคนแนะนำอาหารว่า
     “แนะนำอะไรของนายวะโธมัส สเต็กนี่โคตรหวานเลยอะ กินไม่ได้ เซ็งโว้ย”
     ทุกคนในโต๊ะหัวเราะขำท่าทางเป็นเดือดเป็นร้อนของมายะ แต่ไม่มีใครสงสารเขาเลยสักนิด ยิ่งไอ้เด็กแสบยูเลี่ยนยิ่งแล้วใหญ่ เอื้อมมือข้ามโต๊ะมาคว้าจานสเต็กของเขาไปเลย
     “งั้นไม่ต้องกิน ฉันกินแทนเอง”
     “ไอ้บ้า เอาคืนมาเลยนะโว้ย” มายะโวยวายแล้วก็แย่งสเต็กกับยูเลี่ยนเป็นการใหญ่
     ชินจิที่ไม่ค่อยพูดมากนักยังพลอยหัวเราะขำเพื่อน ๆ ไปด้วย ชายหนุ่มรู้สึกใจหายเหมือนกันที่จะต้องกลับเบอร์ลินไปก่อนโดยที่ไม่ได้ฉลองปีใหม่กับทุกคนที่เกลเซ่นเคียเช่น แต่ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่รวมทั้งวันนี้เขามีความสุขและสนุกมากจริง ๆ
     มันเป็นความสุขที่เขาไม่รู้เลยว่าในอีกไม่กี่วันต่อมา เขาจะคิดถึงมันอย่างมากที่สุด


     ......................
     ยาว ๆ ค่ะ เอาให้จบบทไปเลย
     
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 10 - update - 05.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 05-10-2014 20:45:26
ประโยคทิ้งท้ายมันคืออะไร จะดราม่าแล้วเหรอ...
เรื่องนี้คนที่น่ารักที่สุด คือ มายะ ...
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 10 - update - 05.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 06-10-2014 05:46:06
บทที่ 11

     ชินจิได้เจอเควินอีกครั้งในตอนสาย ๆ ของวันที่สามสิบเอ็ดธันวาคม
     ชายหนุ่มกลับมาจากเกลเซ่นเคียเช่นตั้งแต่เมื่อคืน แต่คนรักของเขายังไม่กลับมา เควินบอกว่ายังไม่แน่ใจว่าจะมาถึงคืนวันที่สามสิบหรือเช้าวันที่สามสิบเอ็ดกันแน่ แต่ถ้ามาถึงแล้วจะมาเคาะประตูเรียก ชินจิจึงต้องรออยู่ที่ห้องของตัวเอง
     ปกติเขานอนกับเควินที่ห้องของฝ่ายนั้น เมื่อได้กลับมานอนที่ห้องของตัวเองบ้าง มันกลับรู้สึกแปลกที่จนนอนไม่ค่อยจะหลับ ชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งบนเตียงในที่สุดหลังจากที่พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงอยู่นาน สายตาของเขามองไปที่โต๊ะทำงานซึ่งตรงมุมโต๊ะมีกระถางเล็ก ๆ ปลูกต้นคริสต์มาสที่ใบตรงส่วนยอดเป็นสีแดงและตรงส่วนโคนต้นเป็นสีเขียว ต้นไม้ต้นนี้เขาซื้อมาจากเค้าฟ์ลันด์เพื่อให้เข้าบรรยากาศคริสต์มาสและเพื่อแทนที่กระถางกุหลาบที่เควินเคยซื้อให้ แต่เขาทำให้มันเหี่ยวเฉาจนตายไปภายในเวลาไม่นาน หากเควินก็ไม่ได้สนใจอะไร บอกแค่ว่าตายก็ตายไป เอาไว้ซื้อใหม่ก็ได้ แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ดีเพราะมันเหมือนกับว่าเขารักษาของที่คนรักให้ไว้ไม่ได้
     ชินจินั่งคิดอะไรฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ๆ จนเริ่มง่วงขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุดและก็หลับเพลินจนตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่เควินมาเคาะประตูนี่แหละ
     ทันทีที่เห็นหน้าเควิน ชินจิก็กระโดดกอดเขาทันทีด้วยความคิดถึงและพวกเขาก็กอดกันไม่ปล่อยจนเวลาล่วงเข้าตอนบ่าย ทั้งสองคนออกมาจากห้องด้วยกันและเข้าไปรับประทานอาหารในครัว
     เจอโรมนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารอยู่แล้วตอนที่พวกเขาเดินเข้าไปข้างใน เมื่อเห็นทั้งคู่ ชายหนุ่มก็ทัก
     “ตกลงคืนนี้ไปฉลองซิลเวสเตอร์กันที่ไหนกันดี”
     ชินจิคร้านจะบ่นเรื่องที่เควินติดเพื่อนเอามาก ๆ แล้ว ถึงจะมีเขาเป็นแฟน แต่เควินก็ไปไหนมาไหนกับเพื่อนตลอดเวลา ขนาดทริปปีใหม่ที่อัมสเตอร์ดัม เมื่อเจอโรมรู้เรื่องและอยากจะไปด้วย เควินก็ทำท่าจะอนุญาตให้ไปด้วยกัน แต่เขานี่แหละที่เบรกเอาไว้ก่อน เป็นตายร้ายดีอย่างไร ทริปนี้เขาต้องไปกับเควินสองคนให้ได้ และเมื่อชินจิเป็นคนออกปากเอง เจอโรมจึงไม่ได้ไปด้วย แต่ก็ยังจะไปฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วยกันกับเขาและเควินอยู่ดี
     “ที่ประตูบรันเดนบวร์กน่ะแหละ เจ๋งสุดละ” เควินตอบ
     งานฉลองคืนส่งท้ายปีเก่าหรือซิลเวสเตอร์ปาร์ตี้ที่เบอร์ลินนั้นจัดกันหลายที่มาก ทั้งที่จตุรัสอเล็กซานเดอร์และสถานีโทรทัศน์ ที่ริมฝั่งแม่น้ำชเพร แต่ที่ขึ้นชื่อมากที่สุดคืองานที่จัดหน้าประตูบรันเดนบวร์กซึ่งทุก ๆ ปีจะมีคนไปร่วมงานทะลุหลักล้าน
     ปีนี้งานซิลเวสเตอร์ที่ประตูบรันเดนบวร์กก็สุดยอดเหมือนเดิม เป็นงานกลางแจ้ง ตั้งเต้นท์อาหารและเครื่องดื่มเรียงรายตั้งแต่หน้าประตูบรันเดนบวร์กยาวไปตามถนนวันที่สิบเจ็ดมิถุนายนเป็นระยะทางราวสองไมล์จนกระทั่งถึงวงเวียนโกรสเซ่อร์ชแตร์นใกล้สวนเทียร์การ์เท่นซึ่งเป็นที่ตั้งของซีเกสซอยเล่อซึ่งเป็นเสาหินที่มีรูปปั้นเทพธิดาแห่งชัยชนะวิคตอเรียสีทองประดับอยู่ด้านบนที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงชัยชนะของแคว้นปรัสเซียเหนือเดนมาร์ก ออสเตรียและฝรั่งเศสในอดีต
     งานที่ประตูบรันเดนบวร์กเริ่มตั้งแต่ตอนบ่าย ๆ โดยจะเป็นการลองเสียงและซ้อมดนตรี ก่อนที่จะเริ่มการแสดงดนตรีสดในตอนราว ๆ หกโมงครึ่ง และตั้งแต่เวลาราว ๆ สี่ทุ่มเป็นต้นไปจะเริ่มการถ่ายทอดสดบรรยากาศในงานของทางช่องเซ่ดเดเอฟ หลังจากเค้านท์ดาวน์ในตอนเที่ยงคืนเสร็จสิ้นลงก็จะเป็นเวลาของปาร์ตี้กลางแจ้งแบบสุดเหวี่ยงกับดีเจและเพลงมัน ๆ
     ชินจิ เควิน และเจอโรมมาถึงงานในตอนสองทุ่มกว่า ๆ และปักหลักกันอยู่ที่บริเวณเวทีหนึ่งในสามเวทีของงาน ชินจิไม่ชอบงานที่มีคนเยอะ ๆ แบบนี้มากนัก แต่เขาก็รู้สึกตื่นตาที่ได้มาเห็นบรรยากาศการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ ประตูบรันเดนบวร์กในคืนนี้ถูกจัดแสงเป็นสีต่าง ๆ ทั้งสีเขียว สีม่วง สีแดง และยังมีการยิงแสงขึ้นฟ้าเป็นลำ ตรงหน้าประตูเป็นเวทีการแสดงขนาดใหญ่ตั้งอยู่พร้อมกับจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่กระจายกันไปในหลาย ๆ จุดเพื่อให้ผู้คนที่มาร่วมงานมองเห็นการแสดงบนเวทีได้ชัดเจน และเมื่อหันไปอีกด้านหนึ่งก็จะเห็นชิงช้าสวรรค์อันใหญ่ยักษ์ติดไฟสว่างเป็นฉากหลังด้วย
     เจอโรมกับเควินดื่มเบียร์ สูบบุหรี่ และโยกตัวเป็นจังหวะไปตามเสียงดนตรีจากเวที ส่วนชินจิลำบากหน่อยเพราะไม่ชอบความอึกทึกครึกโครม แต่เมื่อเห็นคนรักมีความสุขและสนุกสนาน เขาก็เลยยอมทนฟังเพลงแร็พจังหวะเร็ว ๆ กับดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เสียงสั่นสะเทือนเสียดแทงประสาทหูของนักร้องอย่างสกู๊ตเตอร์ ลูมิดี้ หรือฟอลโลว์ยัวร์อินสทิงวท์อยู่กับเควินทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่แนวดนตรีที่เขาชอบเลยสักนิด ชายหนุ่มอยากจะฟังเพลงป็อปหรือป็อปร็อคธรรมดาอย่างนิค โฮวาร์ดอะไรประมาณนั้นมากกว่า แต่เขารู้ว่าเควินคงไม่ยอมเปลี่ยนเวทีแน่ คนรักของเขาฟังแต่เพลงแร็พและเสียงอิเล็กทรอนิกส์พวกนี้แหละ เมื่อก่อนเขาเคยเปลี่ยนไปเปิดเพลงของมิสเตอร์ชิลเดรน วงที่เขาชอบ แต่ฟังไปได้ไม่นาน เควินก็เปลี่ยนกลับไปฟังแนวที่ตัวเองชอบตามเดิม ดังนั้นเมื่อไปอยู่กับเควินที่ห้อง ชินจิก็ต้องฟังเพลงแนวนี้อยู่ตลอด
     สิ่งเดียวที่ช่วยทำให้ชายหนุ่มไม่รู้สึกแย่จนเกินไปก็คือซิลเวสเตอร์พุ้นช์ หรือเครื่องดื่มประจำคืนซิลเวสเตอร์ซึ่งเป็นชาสมุนไพรร้อนใส่แท่งอบเชยผสมด้วยไวน์แดงและบรั่นดี ปรุงรสด้วยกานพลูบดเป็นผงและน้ำผึ้ง รสมันขมปนหวานและมีกลิ่นหอม ๆ ยิ่งกินก็ยิ่งเพลินจนทำให้เขายืนฟังเพลงไปได้โดยไม่ต้องฝืนมากนัก
     เมื่อถึงเวลานับถอยหลังสู่ปีใหม่ที่ทุกคนรอคอย เสียงนับเลขก็ดังกระหึ่มขึ้นพร้อม ๆ กัน
     ฟึนฟ์...เฟียร์...ไดร...ซไว...ไอนส์
     “สุขสันต์วันปีใหม่!”
     ดอกไม้ไฟปีใหม่ถูกจุดขึ้นฟ้าเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ชินจิมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ ประตูบรันเดนบวร์กใหญ่โตตั้งตระหง่านโดยมีดอกไม้ไฟหลากสีหลายแบบถูกจุดอย่างต่อเนื่องเป็นฉากหลัง เป็นภาพที่สวยงามซึ่งจะประทับอยู่ในความทรงจำของชายหนุ่มต่อไปอีกนานแสนนาน
     “สุขสันต์วันปีใหม่นะชินจิ”
     เควินก้มลงมากระซิบข้างหูแล้วค่อย ๆ เลื่อนริมฝีปากมาจูบเขาอย่างอ่อนหวาน
     ชินจิอยากจะหยุดเวลาไว้แค่วินาทีนี้จริง ๆ
     หากเวลาก็ยังคงดำเนินต่อไป วันรุ่งขึ้นในตอนสาย ๆ ชินจิกับเควินก็บินไปอัมสเตอร์ดัม

     ปีใหม่ของอัตสึโตะกับมานูเอลก็เต็มไปด้วยความอึกทึกครึกโครมเหมือนกัน แต่อบอุ่นพร้อมหน้าครอบครัวและเพื่อนฝูง มานูเอลพาคนรักและเพื่อน ๆ ของเขามาเที่ยวสวนสัตว์ในตอนกลางวันซึ่งความอึกทึกมันเริ่มตรงนี้แหละ มายะเป็นคนเริ่มการจิกกัดไอเดียเจ้าบ้านเหมือนเคย แต่เมื่อก้าวเข้าไปในซูม แอร์เลบนิสเวลท์ ชายหนุ่มก็เริ่มสนุกสนานกับการเดินชมสัตว์ต่าง ๆ ตามโซนที่แบ่งออกเป็นอลาสก้า แอฟริกา และเอเชียไปพร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์สัตว์ตัวโน้นตัวนี้เสียงดังอย่างสนุกสนาน แถมยังล้อเลียนคนโน้นคนนี้เปรียบเทียบกับสัตว์ในสวนสัตว์อย่างสนุกปาก โดยเฉพาะมานูเอลที่เป็นเป้าหลักจนคนถูกล้อเลียนชักไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองหน้าเหมือนอะไรกันแน่ระหว่าง กวางมูซหน้าโง่ สิงโตหน้าเมื่อย ไฮยีน่าขี้ขโมย หรือหมีขาวสมองกลวง
     “แล้วนายล่ะมายะ หน้าเหมือนอะไร” เบเนดิกท์ถามบ้าง มายะไม่ทันจะได้ตอบ โธมัสก็ชี้หมับทันที
     “ไอ้นั่นไง หน้าโคตรเหมือนนายเลยว่ะ”
     ทุกคนพากันหัวเราะลั่นเมื่อมองตามนิ้วชี้ของโธมัสไปแล้วเห็นนกกระจอกเทศตัวหนึ่งทำหน้าเชิด ๆ ตาจิก ๆ ท่าทางเหวี่ยง ๆ กำลังมองตรงมาทางพวกเขา มายะค้อนปะหลับปะเหลือกยิ่งทำให้ทุกคนยิ่งขำหนักขึ้นไปอีก แต่ถึงจะแซวกันหนักขนาดไหนก็ไม่มีใครเคืองอะไรเนื่องจากรู้ว่าเป็นการล้อเล่นไม่ใช่เรื่องจริงจัง ยิ่งมายะกับโธมัส แซวกันหนัก แต่ก็เข้ากันได้ดี 
     “เปรียบเทียบกับสวนสัตว์เบอร์ลินแล้วเป็นไงบ้าง” โธมัสชวนมายะคุยอยู่เรื่อย ๆ
     ฝ่ายหลังส่ายหน้า ก่อนตอบว่า 
     “ไม่รู้สิ ฉันยังไม่เคยไปสวนสัตว์เบอร์ลินเลย คิดว่าหน้าหนาวมันไม่ค่อยมีอะไร”
     “สวนสัตว์เนี่ยเที่ยวได้ทุกฤดูแหละ” โธมัสพูด “ไว้กลับเบอร์ลินเมื่อไหร่ นายก็ให้มานูพาไปสิ”
     “เฮอะ ฉันยังไม่หายโกรธเพื่อนนายหรอกนะ”
     คำตอบแบบสะบัด ๆ ของมายะทำให้โธมัสหัวเราะก๊ากเสียงดังอีกครั้งจนทุกคนหันมามอง
     อัตสึโตะก็ชอบสวนสัตว์ที่นี่เพราะเขาสามารถจ้องหน้าหมีขาวขั้วโลกผ่านกระจกได้ ตัวมันใหญ่ แล้วขนมันก็ขาวฟูดูนุ่มน่ารักน่ากอดมากจนเขาอยากจะได้กลับไปเลี้ยงที่บ้านสักตัวจริง ๆ
     “สวนสัตว์เบอร์ลินก็มีหมีขาวใช่ไหม สมัยก่อนที่มันดัง ๆ น่ะ” ชายหนุ่มถามมานูเอลที่มายืนดูอยู่ใกล้ ๆ กัน
     “นายหมายถึงเจ้าคนุตใช่ไหม” มานูเอลพูด “เจ้าคนุตเนี่ยมันเหมือนผู้ช่วยชีวิตสวนสัตว์เบอร์ลินเลยแหละ สมัยก่อนสวนสัตว์ซบเซามาก แต่พอมีเจ้าคนุตซึ่งมันน่ารักมาก คนก็แห่กันมาเที่ยวสวนสัตว์เต็มไปหมด ของที่ระลึกขายดีเป็นเทน้ำเทท่า สวนสัตว์ก็มีรายได้ แต่ตอนนี้เจ้าคนุตมันตายแล้ว ทางสวนสัตว์ก็เลยสร้างรูปปั้นเจ้าคนุตไว้เป็นที่ระลึก”
     “อยากไปดู”
     มานูเอลไม่ขัดใจอัตสึโตะอยู่แล้ว เขาสัญญาว่าเมื่อกลับไปเบอร์ลิน จะหาเวลาพาไปสักวัน
     “แต่หมีขาวที่เบอร์ลินมันน่าสงสารนะ เหมือนมันเครียดเลย เพราะมันได้แต่เดินพล่านไม่หยุด หัวมันก็ส่ายไปส่ายมา ตัวมันก็เขียว ๆ เหมือนราขึ้นยังไงไม่รู้ แต่ไปดูเขาให้อาหารมันก็น่าตื่นเต้นดีนะ ปลาตัวโต ๆ มันกลืนทีเดียวหมดทั้งตัวเลยล่ะ” มานูเอลเล่าเพิ่มเติมขณะที่เดินจูงมืออัตสึโตะเดินชมสัตว์ชนิดอื่น ๆ ในโซนอลาสก้า
     “อ๊ะ! มานู นั่นเฮ็ดวิก!” อัตสึโตะชี้ไปที่นกฮูกสีขาวราวกับหิมะที่อยู่ในกรง หน้าตาของมันเหมือนนกฮูกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ไม่มีผิด
     ก่อนจะออกจากสวนสัตว์พวกเขาแวะไปเล่นกับสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่กริมแบร์เกอร์โฮฟซึ่งเป็นโรงนาและเป็นโซนที่ให้เราสามารถสัมผัสหรือลูบขนสัตว์ต่าง ๆ เล่นได้ ปกตินี่จะเป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก ๆ แต่สำหรับเด็กโข่งอย่างพวกเขามันก็สนุกไม่แพ้กันที่ได้เดินเล่นลูบขนแพะ ลา ลูกม้า เป็ด ไก่ หรือจิ้มตัวนุ่ม ๆ ของแฮมสเตอร์เล่น
     “มีห่านด้วย น่ารักจัง” อัตสึโตะอยากจะจับเจ้าสัตว์ปีกขนสีขาวเล่น แต่มันอยู่ในคอกและร้องตลอดเวลา ทำให้เขาไม่กล้าจับ ชายหนุ่มเอียงคอมองมัน ก่อนจะกระตุกมือมานูเอลที่ยืนอยู่ข้างตัว ถามว่า
     “แต่ต้องรอมันโตกว่านี้อีกนิดใช่ปะถึงจะกินได้แบบห่านคริสต์มาส”
     “โธ่ นึกว่ารักสัตว์ ที่แท้อยากจะกินหรอกเหรอ” มานูเอลร้อง
     โปรแกรมหลังจากนี้ของทุกคนก็ไม่มีอะไรอีก พวกเขาจะกลับไปที่โรงแรมของมานูเอลเพื่อรอฉลองซิลเวสเตอร์กัน แต่ยกเว้นอัตสึโตะกับมานูเอลสองคนเท่านั้นที่มีโปรแกรมอื่น
     “ทำไมจะไปกันสองคนล่ะ ไม่เอา ฉันจะไปด้วย”
     คนที่โวยวายยังเป็นมายะเหมือนเดิม แต่ก็ไม่มีใครถือสาอารมณ์ป่วง ๆ ของเขา เอย์จิล็อคแขนรุ่นน้องจอมโวยไว้ทั้งสองข้างพลางพยักพเยิดให้มานูเอลพาอัตสึโตะไป มาโกโตะกับคนอื่น ๆ ก็โบกมือให้
     เมื่อเข้ามาอยู่ด้วยกันสองคนในรถของมานูเอล อัตสึโตะก็พูดว่า
     “ขอโทษทีนะ มายะจิกนายตลอดเลย”
     “ไม่เป็นไร มายะมันก็เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งฉันแย่งนายมาจากมัน มันจะจิกฉันก็ไม่แปลกนี่” มานูเอลพูดยิ้ม ๆ แต่อัตสึโตะนิ่วหน้านิดหน่อย
     “นายไม่ได้แย่งฉันมาจากใครสักหน่อย”
     “ไม่ได้แย่งก็จริง แต่มายะก็เป็นคนที่ดูแลนายมาตลอด ฉันเข้าใจความรู้สึกของมายะ แล้วก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเรื่องนี้ด้วย อีกอย่างหนึ่งมายะก็เป็นเพื่อนฉันเหมือนกัน มันอยากทำอะไรก็ปล่อยมันไปเถอะ”
     อัตสึโตะยิ้ม แล้วก็ซบหน้าลงกับไหล่ของมานูเอล
     “ขอบใจนะ นายนี่โคตรน่ารักเลย”
     มานูเอลลูบศีรษะอัตสึโตะ แล้วออกรถ
     จุดหมายปลายทางของมานูเอลอยู่ที่ชลอสแบร์กเกอซึ่งเป็นปราสาทเก่าสมัยปลายบาร็อคที่เปิดเป็นโรงแรมและร้านอาหารตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำมีสะพานเชื่อมจากฝั่ง ตัวปราสาทขนาดใหญ่แบ่งเป็นสองปีกและรายล้อมไปด้วยต้นไม้พรรณไม้หายากกับสวนแบบต่าง ๆ ทั้งสวนฝรั่งเศส สวนอังกฤษให้เดินเล่น แต่ในหน้าหนาวแบบนี้มีแต่หิมะสีขาวปกคลุมชลอสพาร์ก น้ำแข็งจับต้นไม้ที่เหลือแต่เพียงกิ่งก้านจนเป็นรูปร่างและสีสันน่าพิศวง
     “สวยจังเลย” อัตสึโตะมองรอบตัวอย่างชื่นชม “ปกติอากาศหนาว ๆ แบบนี้ฉันชอบนอนอยู่บนเตียงอุ่น ๆ นะ แต่ที่นี่สวยมากเลย”
     “คุ้มกับที่ต้องทนหนาวใช่ไหม” มานูเอลกอดคออัตสึโตะไว้ขณะที่เดินไปด้วยกันบนหิมะ
     อัตสึโตะพยักหน้า แขนข้างหนึ่งของเขากอดเอวคนรักไว้
     “แล้วเรามาเดินเล่นกันอย่างเดียวเหรอ”
     “เดินอย่างเดียวนายก็บ่นน่ะสิ” มานูเอลพูดยิ้ม ๆ “ข้างในเป็นร้านอาหาร เย็นนี้เราจะกินข้าวกันที่นี่ ฉันจองโต๊ะไว้แล้ว จะอยู่จนกว่าจะเค้านท์ดาวน์ก็ได้นะ”
     อัตสึโตะนิ่งคิดก่อนจะส่ายหน้า
     “กินข้าวอย่างเดียวได้ไหม แล้วเรากลับไปเค้านท์ดาวน์กับทุกคนที่บ้านดีกว่า หรือนายว่ายังไง”
     มานูเอลไม่มีอะไรขัดข้องอยู่แล้ว และนั่นทำให้อัตสึโตะบ่นทั้งที่บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า
     “นายตามใจฉันอีกคนละ เดี๋ยวฉันก็ยิ่งนิสัยเสียมากขึ้นอีกเท่านั้น”
     “ก็ยังไม่มีอะไรที่ฉันต้องขัดใจนายนี่นา แต่รับรอง ถ้ามีเมื่อไหร่ ฉันขัดใจนายแน่ ๆ ล่ะ ถึงตอนนั้นอย่าบ่นก็แล้วกัน ห้ามดื้อห้ามเอาแต่ใจด้วย ตกลงไหม”
     อัตสึโตะทำปากยื่น ไม่ยอมสัญญา แต่เขารู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นเขาก็คงยอมทำตามคำหว่านล้อมของมานูเอลเหมือนตอนที่หมอนั่นกล่อมเขาเรื่องไม่ให้ทำห้องรกหรือไม่ให้นอนขี้เกียจอยู่แต่บนเตียงนั่นแหละ
     “โธมัสกับเบนนี่จะไปฉลองปีใหม่กับเราด้วยใช่ไหม” อัตสึโตะถามต่อ
     “ใช่ ปกติพวกมันจะพาแฟนมาฉลองปีใหม่กับพวกเราที่โรงแรมเป็นประจำทุกปีนั่นแหละ เดี๋ยวนายก็จะได้รู้จักลิซ่าทั้งสองคน แฟนพวกมันสองคนชื่อเดียวกันน่ะ” มานูเอลอธิบาย “นายโอเคใช่ไหม มานี่เจอแต่คนแปลกหน้าทั้งนั้นเลย”
     “สบายมาก โอเคมาก ฉันชอบเพื่อนนาย โธมัสก็ตลกดี เบนนี่ไม่ค่อยคุยเท่าไหร่ แต่ก็ใจดี เป็นมิตร แล้วจะมีอะไรให้ต้องเป็นปัญหาล่ะ เพื่อนฉันซะอีก แต่ละคนบ้า ๆ บอ ๆ มายะก็จิกนายไม่เลิกซะที”
     “เพื่อนเรา” มานูเอลพูดลอย ๆ เมื่ออัตสึโตะหันมามอง เขาก็พูดต่อว่า
     “พวกมายะไม่ใช่เพื่อนนาย แต่เป็นเพื่อนฉันด้วย เป็นเพื่อนเรา ฉันดีใจที่มีโอกาสได้เป็นเพื่อนกับทุกคน”
     “งั้นพวกโธมัสก็ไม่ใช่เพื่อนนายอย่างเดียว ตอนนี้เป็นเพื่อนฉันด้วย ก็คือเพื่อนเราเหมือนกัน ฉันก็ดีใจนะที่ได้รู้จักพวกนั้น”
     ทั้งสองคนยิ้มให้กันด้วยความเข้าใจ แล้วก็กอดคอกันเดินเข้าไปข้างในตัวอาคาร
     มานูเอลจองโต๊ะไว้ในส่วนที่เรียกว่าวินเทอร์การ์เท่นซึ่งเป็นห้องที่มีผนังกระจกกว้าง โต๊ะในห้องนี้จะวางติดกระจกเพื่อให้แขกสามารถรับประทานอาหารไปพร้อมกับชมสวนสวย ๆ ของปราสาทได้ และถึงแม้ตอนนี้สวนข้างนอกจะมีแต่หิมะขาวโพลนไปหมด แต่ก็สวยงามไปอีกแบบหนึ่ง
     อัตสึโตะยกหน้าที่สั่งอาหารให้มานูเอลคนเดียว ตัวเขายกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปและนั่งกดข้อความยิก ๆ
     มานูเอลอยากให้อัตสึโตะลองอะไรแปลก ๆ จึงสั่งสเต็กเนื้อกวางกินกับองุ่น แอปเปิ้ลและกะหล่ำม่วงให้ ตัวเขาสั่งเนื้อปลาและกุ้งกินกับริซ็อตโต้เห็ด นอกนั้นก็เป็นซุปและสลัด สั่งเสร็จก็หันมาถามเมื่อเห็นคนรักนั่งก้มหน้าอยู่แต่กับโทรศัพท์ว่า
     “ส่งข้อความหาใครน่ะ”
     “ชินจิ” อัตสึโตะตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากแป้น “ส่งรูปที่ไปเที่ยววันนี้ไปให้ดูด้วย แล้วก็จะถามว่าหมอนั่นไปฉลองปีใหม่ที่ไหน”
     “ถ้าไปกับเควินก็น่าจะไปงานซิลเวสเตอร์ที่ประตูบรันเดนบวร์กนั่นแหละ งานใหญ่ที่สุด มีดนตรีสดเกือบทั้งคืน แต่คนเยอะสุด ๆ”
     “ฟังดูไม่ค่อยเป็นชินจิเลยแฮะ” อัตสึโตะตั้งข้อสังเกตไปอย่างนั้นเอง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะซุปกับสลัดมาเสิร์ฟพอดี มานูเอลก็เลยไม่ได้พูดอะไรต่อตามไปด้วย หยิบมีดกับส้อมขึ้นมาจัดการกับส่วนของตัวเอง และเมื่ออาหารจานหลักมาเสิร์ฟทั้งสองคนก็ยิ่งแทบไม่ได้คุยอะไรกันอีกเพราะอัตสึโตะเอาแต่เคี้ยวเนื้อกวางที่มีกลิ่นสาปเล็กน้อย แต่กินกับองุ่นแล้วเข้ากันดี ชายหนุ่มกินเอา ๆ โดยไม่สนใจจะถามด้วยว่าไอ้ที่กำลังกินอยู่นี่มันคือเนื้ออะไรจนมานูเอลคิดว่าถ้าเขาลองแกล้งสั่งอะไรที่มันแปลกกว่านี้ให้ หมอนั่นมันคงไม่รู้เรื่องอะไรอยู่ดี จวบจนอาหารเกลี้ยงจานแล้วนั่นแหละทั้งสองคนจึงได้คุยกันอีกครั้ง แต่ก็เป็นเรื่องคุยเรื่อยเปื่อยระหว่างรอของหวานซึ่งเป็นเค้กกับไอศกรีมตามความต้องการของอัตสึโตะ
     อาหารมื้อนี้คนจ่ายคือมานูเอล แต่อัตสึโตะเห็นบิลค่าอาหารแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เขาพยายามจะขอหารค่าอาหารครึ่งหนึ่ง แต่พูดยังไงมานูเอลก็ไม่ยอม
     “ฉันชวนนายมา ฉันเลี้ยงนายเอง”
     “แต่มันแพงนี่”
     “ฉันจ่ายได้ ฉันถึงเลือกร้านนี้ นายชอบรึเปล่าล่ะ อาหารอร่อยไหม”
     “ก็อร่อยนะ”
     “งั้นก็จบ”
     “แต่ว่า...”
     “ไหนว่าจะไม่ดื้อ ถ้าฉันขัดใจนายไง”
     เจอคำพูดแบบนี้เข้า อัตสึโตะก็ชะงัก แต่มิวายอุบอิบว่า
     “ยังไม่ได้สัญญาสักหน่อย”
     “นายอยากช่วยฉันจ่ายจริง ๆ น่ะเหรอ” มานูเอลถาม อัตสึโตะพยักหน้าหงึก ๆ ทันที ชายหนุ่มจึงบอกว่า
     “ฉันให้นายช่วยก็ได้ หลับตาก่อนสิ”
     อัตสึโตะงง แต่ก็ยอมหลับตาลงแต่โดยดี และในที่สุดก็รู้ตัวว่าเสียรู้เข้าเต็มเปาเมื่อริมฝีปากของมานูเอลประกบเข้ากับริมฝีปากของเขา
     “มานู!” อัตสึโตะลืมตาขึ้นมาโวย แต่หน้าแดงจัด ขณะที่มานูเอลยิ้มกว้างพร้อมกับพูดว่า
     “ฉันขอแค่นี้ก็พอแล้ว”
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 10 - update - 05.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 06-10-2014 05:57:25
     ถ้าถามชินจิว่าชอบอัมสเตอร์ดัมหรือไม่ คำตอบของเขาคือ เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
     สิ่งที่เด่นชัดที่สุดในความทรงจำของชายหนุ่มเกี่ยวกับเมืองนี้คือ กลิ่น
     ตามถนนหนทาง เขามักจะได้กลิ่นอย่างหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดี มันเป็นกลิ่นเอียน ๆ บอกไม่ถูกว่าเหม็นหรือหอมกันแน่ แต่มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าหัวของเขากำลังหมุนจนมึนไปหมด ชายหนุ่มเพิ่งมารู้ทีหลังว่านั่นเป็นกลิ่นของกัญชา
     ชินจิทำจมูกฟุดฟิดเกือบตลอดทางจนมาถึงโรงแรมที่พักซึ่งเป็นโฮสเทลราคาพอประมาณอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟอัมสเตอร์ดัมนัก แต่ถึงจะเป็นแค่โฮสเทล แต่อาคารสีม่วงอ่อนดอกไลแลคตรงหน้าเขาก็ดูดีไม่เลวเหมือนกัน เควินเป็นคนจองที่พัก เขาเข้าไปติดต่อที่เคาน์เตอร์สีส้มสดขณะที่ชินจิมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างสนใจ แล้วเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้หนังสีส้มอมน้ำตาลที่ล็อบบี้ ใกล้กันมีทางเดินตรงไปยังห้องอาหารที่มีผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกและวางโต๊ะเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลไว้เต็มห้อง
     เควินยื่นคีย์การ์ดของห้องพักให้ชินจิเป็นคนเก็บไว้และเดินไปตามทางที่พนักงานชี้บอก ห้องที่ชายหนุ่มจองไว้เป็นห้องพักแบบห้องรวมบรรจุเตียงเดี่ยวสองชั้นสีขาวสี่หลัง มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำหนึ่งห้องให้ใช้ร่วมกัน
     “ชอบไหม” เควินถาม ปล่อยให้ชินจิเป็นคนเลือกเตียงที่จะนอน คนรักนอนเตียงล่าง ส่วนเขาจะนอนเตียงบน
     “ก็ดีนะ” ชินจิตอบหลังจากที่ดันกระเป๋าเดินทางขนาดยี่สิบนิ้วเข้าไปใต้เตียงที่เขาจะนอน แล้วเอากุญแจคล้องที่จับกระเป๋าล็อคกับขาเตียงข้างหนึ่งไว้ ทั้งคู่ใช้กระเป๋าเดินทางใบเดียวกันใส่เสื้อผ้า และมีกระเป๋าใบเล็กสะพายไหล่แยกกันอีกคนละใบ ส่วนของมีค่าถ้าไม่อยากติดตัวเอาไว้ก็สามารถเอาไปใส่ตู้ล็อกเกอร์ใกล้เคาน์เตอร์รีเซปชั่นได้
     “ดีจังที่นายชอบ” เควินว่า ชายหนุ่มดึงตัวเควินให้นั่งลงบนเตียงด้วยกัน คลอเคลียอยู่ไม่ห่าง
     “เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน จะทำที่นี่เหรอ” ชินจิรั้งมือของคนรักที่ทำท่าจะสอดเข้าไปในเสื้อยืดชั้นในที่เขาสวมอยู่ ถึงตอนนี้ในห้องจะไม่มีคน แต่ที่นี่ก็เป็นห้องพักรวมในโฮสเทลที่อาจจะมีคนเข้ามาได้ทุกเมื่อ เขาไม่ค่อยอยากให้ทำแบบนี้นัก แต่เควินกลับดูตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะแปลกที่และลุ้นว่าจะมีคนเข้ามาเห็นหรือไม่ เขารุกชินจิหนักจนสุดท้ายชายหนุ่มก็โอนอ่อนตามคนรักเหมือนทุกที
     ชินจิไม่เคยขัดใจเควินเรื่องเซ็กซ์เพราะกลัวว่าเควินจะไม่พอใจและจะไม่รักเขาอีก มันเป็นความไม่มั่นใจในตัวเองลึก ๆ ของคนที่เพิ่งมีความรักอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มจึงมักจะโอนอ่อนผ่อนตามคนรักเสมอ และเมื่อเห็นเควินยิ้มอย่างพึงพอใจและมีความสุขอย่างตอนนี้ เขาก็จะรู้สึกมีความสุขตามไปด้วยเช่นกัน
     หลังจากเสียเวลาไปทั้งช่วงเช้าบนเตียงและชินจิต้องเข้าไปอาบน้ำล้างตัวใหม่ในห้องน้ำ ทั้งคู่ก็ออกมาเดินเล่นชมเมืองด้วยกัน ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบกลิ่นแปลก ๆ ในเมือง แต่ชินจิก็ยอมรับว่าอาคารบ้านเรือนในเมืองอัมสเตอร์ดัมนั้นสวยมาก เป็นตึกแบบเก่ามีหน้าจั่วเป็นขั้นบันไดตั้งอยู่ริมคลอง ในคลองจะเห็นเรือที่ทำเป็นบ้านจอดอยู่ทั่วไปหมดและตามถนนหนทางก็เต็มไปด้วยจักรยาน
     ทั้งสองคนไปเดินถ่ายรูปเล่นกันที่ดัมสแควร์ก่อนอื่นซึ่งอยู่ห่างออกไปจากโฮสเทลที่พักไม่ไกลนัก ใช้เวลาเดินประมาณสิบนาทีเท่านั้น อากาศในวันนี้หนาว บนพื้นมีหิมะสีขาวบาง ๆ ทำให้เวลาเดินต้องระวังอยู่พอสมควร ที่ดัมสแควร์เป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญของเมือง คนจึงเยอะมาก ไม่ว่าจะพยายามถ่ายรูปอย่างไรเป็นต้องติดคนมาด้วยเสมอ แต่ชินจิก็ไม่ละความพยายาม เขาถ่ายรูปพระราชวังอัมสเตอร์ดัมซึ่งเป็นอาคารแบบบาร็อคขนาดใหญ่โตและสวยงามได้สำเร็จโดยไม่ติดคนในที่สุด แถมยังดึงเควินให้ถ่ายรูปด้วยหลายรูป แต่เมื่อให้คนอื่นช่วยถ่ายรูปคู่ให้ ส่วนใหญ่รูปก็จะออกมาไม่ดี ไม่ค่อยถูกใจ ต้องถ่ายใหม่กันอยู่หลายครั้ง และนั่นทำให้เควินไม่ค่อยพอใจ เพราะเขาไม่ชอบถ่ายรูป ถ่ายเก็บไว้ใบสองใบพอแล้ว ไม่ใช่ถ่ายเป็นสิบใบแล้วก็ยังไม่ถูกใจเสียทีแบบนี้
     “พอแล้วน่า ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวไปได้ คนญี่ปุ่นนี่ทำไมชอบถ่ายรูปนักก็ไม่รู้” ชายหนุ่มบ่นและทำให้จุดเริ่มต้นของการเที่ยววันนี้ไม่ค่อยดีนัก ชินจิยอมเก็บกล้องถ่ายรูป แต่เขารู้สึกไม่ชอบใจเท่าไรที่เควินบ่นเขาแบบนี้ หากก็พยายามจะไม่คิดมากให้เสียอารมณ์เที่ยว
     ชินจิเดินชมอาคารบ้านเรือน พระราชวัง และนิวเวอแคร์กซึ่งเป็นโบสถ์สมัยศตวรรษที่สิบห้าที่ตั้งอยู่บนดัมสแควร์อย่างสนใจ ตรงกันข้ามกับเควินที่ทำหน้าเบื่อ ๆ แต่ก็ยอมเดินตามคนรักโดยไม่ได้บ่นอะไร ชินจิเสียอีกเมื่อหันมาเห็นสีหน้าเฉย ๆ ไม่ค่อยยินดียินร้ายของคนรักหลายครั้งเข้าก็ทนไม่ไหว ยื่นหนังสือนำเที่ยวพร้อมแผนที่ในมือให้พร้อมกับถามว่า
     “นายอยากไปไหนเป็นพิเศษไหม”
     เควินรับมาเปิด ๆ ดูแล้วก็ยิ้มกริ่ม ชี้ไปที่หน้าหนึ่งของหนังสือ
     “ไปที่นี่ดีกว่า”
     ที่ที่เควินเลือกคือ เซ็กซ์มิวเซียมที่อยู่ตรงถนนดัมรัค ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนัก ต้องเดินย้อนกลับไปเป็นระยะทางพอสมควร
ชินจิมองอาคารสีขาวติดป้ายว่าเซ็กซ์มิวเซียมหรือวีนัสเท็มเพิลด้วยสายตาไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่เควินดูกระตือรือร้นที่จะเข้าไปข้างในมาก แล้วก็ชอบอกชอบใจเหลือเกินเมื่อเข้าไปแล้วเห็นภาพวาด หนังสือ วัตถุ หรือของต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของชาติต่าง ๆ จัดแสดงอยู่ในตู้กระจก ลึกเข้าไปข้างในพิพิธภัณฑ์มีห้องและระเบียงต่าง ๆ สร้างไว้ซับซ้อนวกวนเหมือนเขาวงกตให้คนเข้าไปชมภาพวาด วีดิโอ หรือรูปภาพต่าง ๆ ที่จัดแสดงเอาไว้
     เควินหัวเราะชอบอกชอบใจเมื่อเห็นของต่าง ๆ ในพิพิธภัณฑ์ ขอให้ชินจิถ่ายรูปเขากับเครื่องเพศของผู้ชายอันใหญ่เบิ้อเริ่มที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ด้วย ทั้งยังเล่นมุกใต้สะดือกับชินจิอยู่เรื่อย ๆ ด้วยความสนุกปากและไม่สนใจหน้าตาเหย ๆ ของชินจิที่ไม่รับมุกเขาเลย
     ชินจิไม่ชอบเรื่องใต้สะดือในแบบทะลึ่ง ๆ อย่างที่เควินแหย่เย้าเขาอยู่อย่างสนุกปากในตอนนี้ สำหรับเขา เซ็กซ์เกิดจากความรักและมันสวยงาม มันคือความสุขที่คนรักแบ่งปันร่วมกัน ชายหนุ่มจึงไม่เคยรับมุกแบบเดอร์ตี้โจ๊กของฝรั่งได้เลย และตอนนี้เขาก็ไม่ชอบเซ็กซ์มิวเซียมนี่แล้วด้วย แต่เขาก็ยังเดินตามเควิน ปล่อยให้คนรักเดินชมไปตามใจชอบ แต่ตัวเองไม่มีอารมณ์ร่วมสักเท่าไรนัก
     สิ่งที่ชินจิรอคอยในวันนี้คือการนั่งเรือไปตามคลองเพื่อชมเมืองอัมสเตอร์ดัมในเวลาค่ำคืน เขาจองตั๋วเรือแบบออนไลน์เอาไว้เรียบร้อยแล้วเพราะจะได้ราคาถูกกว่ามาซื้อที่ท่าเรือ หลังจากออกจากเซ็กซ์มิวเซียม แล้วหาอาหารเย็นรับประทานแถวถนนดัมรัค พวกเขาก็มาที่ท่าเรือที่ถนนสตัดฮาวเดอร์สกาเดอเพื่อรอขึ้นเรือนำเที่ยวในเวลาสองทุ่ม
     โปรแกรมนั่งเรือชมเมืองในเวลากลางคืนนี้ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งและเป็นช่วงเวลาที่ชินจิรู้สึกประทับใจมากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้เพราะทำให้เขาได้เห็นอัมสเตอร์ดัมในมุมที่สวยงามที่สุด
     อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองท่าที่สำคัญในช่วงศตวรรษที่สิบเจ็ดซึ่งเป็นยุคทองของชาวดัชท์ เป็นศูนย์กลางการเดินเรือ อาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงามและมีเอกลักษณ์อยู่ตามริมคลองที่มีอยู่มากมายในเมือง เรือนำเที่ยวลำใหญ่สีขาวจะแล่นไปตามคลองต่าง ๆ เหล่านี้ซึ่งการวางผังคูคลองของเมืองนี้ทำได้สวยงามจนได้กลายเป็นมรดกโลกของยูเนสโกและการที่มีคลองมากมายนี้เองทำให้อัมสเตอร์ดัมได้ชื่อว่าเป็นเวนิซแห่งตอนเหนือ
     ชินจิชอบสะพานข้ามคลองที่ติดไฟทั้งด้านบนและด้านล่างที่เป็นรูปโค้งเหนือน้ำอย่างสวยงาม อาคารบ้านเรือนริมคลองที่สวยอยู่แล้วในเวลากลางวันก็ติดไฟสว่างและทำให้ดูสวยงามยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกเพราะมีความโรแมนติกจากแสงไฟและเวลากลางคืนเพิ่มเข้าไปด้วย
     “เควิน สะพานนี่สวยมากเลย พรุ่งนี้เราไปเดินหากันนะ” ชายหนุ่มชี้ชวนให้คนรักดูสะพานที่มีรูปร่างเหมือนตัวอักษรตัวทีสีขาวสองอันต่อกัน และเมื่อมีเรือแล่นผ่าน ตัวทีสีขาวทั้งสองก็จะแยกออกจากกันให้เรือแล่นผ่านไปได้
     เควินพยักหน้า แต่เขาก็ดูไม่ได้ตื่นเต้นมากเท่าคนรักเพราะการนั่งอยู่ในเรือเฉย ๆ กว่าเก้าสิบนาทีนี่มันน่าเบื่อไม่ใช่น้อยสำหรับเขา
     ชินจิยังเกาะกระจกเรือชื่นชมอาคารบ้านเรือนริมคลองและแสงไฟในยามค่ำคืนของอัมสเตอร์ดัมด้วยความหลงใหลจนกระทั่งจบทริปอีฟนิ่งคานัลครูซในคืนนั้น สีหน้าของเขาสดใสขึ้นมากเมื่อก้าวขึ้นจากเรือ ลมหนาวตอนกลางคืนตีหน้าเขาจนชาไปหมด แต่ชายหนุ่มก็ไม่เดือดร้อน
     “กลับไปโฮสเทลเลยไหม หรือนายอยากเดินเล่นในเมืองต่อ” ชายหนุ่มหันมาถามความเห็นคนรัก
     “อยากไปอีกที่หนึ่งก่อนค่อยกลับ” เควินตอบ
     เควินไม่ได้บอกว่าเป็นที่ไหนแต่ที่ที่เขาพาไปทำให้ชินจิได้เห็นด้านที่เลวร้ายที่สุดของอัมสเตอร์ดัมในมุมมองของเขา
     “นี่มันคอฟฟี่ช้อปนี่ มาที่นี่ทำไมน่ะ”
     ชินจิขมวดคิ้วเมื่อมองอาคารสีน้ำตาลเข้มตรงหน้า กรอบหน้าต่างสีขาวติดตัวอักษรทำด้วยหลอดนีออนสีน้ำเงินเขียนว่า “Coffeeshop” หน้าร้านจัดเป็นเทอเรซเล็ก ๆ มีโต๊ะเก้าอี้อยู่สองสามชุด ชายหนุ่มรู้ดีว่านี่มันไม่ใช่ร้านกาแฟธรรมดา ในอัมสเตอร์ดัม คำว่าคอฟฟี่ช้อปมีความหมายมากกว่านั้น
     “เข้าไปกัน” เควินชวนแล้วดึงแขนชินจิเข้าไปข้างใน
     กลิ่นเอียน ๆ โชยเข้าจมูกของชายหนุ่มก่อนเพื่อนเมื่อเขาย่างเท้าเข้ามาข้างใน มันเป็นกลิ่นของกัญชา
     “นายเข้าไปหาที่นั่งข้างในก่อนเลย เดี๋ยวฉันตามไป” เควินพยักพเยิด แต่ชินจิส่ายหน้า มือของเขาเกาะชายเสื้อคนรักไว้พลางหันมองรอบตัวด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ผนังภายในร้านทาสีเป็นลวดลายฉวัดเฉวียนน่าเวียนหัวประกอบกับกลิ่นเอียน ๆ และควันกัญชาทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกอึดอัด
     เควินยักไหล่แล้วหันไปแจ้งความประสงค์กับพนักงานที่เคาน์เตอร์
     ในอัมสเตอร์ดัม กัญชาถือเป็นซอฟท์ดรักหรือยาเสพติดที่อนุโลมให้เสพได้ แต่ต้องเป็นในคอฟฟี่ช้อปเท่านั้น ห้ามสูบในที่สาธารณะ แต่ชินจิคิดว่ากฎนี้ไม่ได้ผลเพราะเขายังได้กลิ่นแบบนี้อยู่ทั่วเมือง ในบางที่อย่างแถวโฮสเทลของเขานี่ก็กลิ่นแรงจนน่าปวดหัวทีเดียว
     พนักงานหยิบเมนูขึ้นมาให้เควินดู ชินจิขยับเข้าไปดูใกล้ ๆ ด้วยความอยากรู้ ราคาของกัญชาที่ขายกันมีตั้งแต่กรัมละสิบสองยูโรจนถึงห้าสิบยูโร ถือหลักง่าย ๆ ว่ายิ่งแพงมันยิ่งแรง ปริมาณที่กำหนดให้ซื้อได้คือคนละไม่เกินห้ากรัมซึ่งเควินก็ซื้อไปทั้งห้ากรัมเหมือนกัน
     “รับเครื่องดื่มอะไรไหมครับ”
     พนักงานหันมาทางชินจิ ชายหนุ่มอ้อมแอ้มสั่งโค้กไปขวดหนึ่ง ในร้านคอฟฟี่ช้อปไม่มีแอลกอฮอล์ขาย ส่วนเควินสั่งน้ำมะม่วงมาหนึ่งขวด แล้วก็พาชินจิมานั่งที่โต๊ะมุมร้านบนเก้าอี้แบบสตูลตัวสูง ท่าทางการผสมกัญชากับใบยาสูบและมวนเป็นบุหรี่ของเควินนั้นคล่องแคล่วจนชินจิเห็นแล้วอึ้ง
     “นาย..สูบกัญชาด้วยเหรอ” ชายหนุ่มถาม
     “อือม์ นิดหน่อย” เควินตอบ คาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วจุดไฟ “เป็นอะไรไปน่ะชินจิ”
     “ฉันรู้สึกแปลก ๆ ฉันไม่ค่อยชอบที่นี่เท่าไหร่ กลิ่นมันแปลก ๆ ฉัน...ฉันปวดหัว นายไม่สูบได้ไหม”
     “แรก ๆ ก็งี้แหละ เดี๋ยวก็ชินไปเอง ใครมาอัมสเตอร์ดัมก็ต้องสูบกัญชาทั้งนั้นแหละ นายอยากจะลองดูบ้างไหมล่ะ”
     ชินจิมองมวนบุหรี่ผสมกัญชาที่ถูกยื่นมาให้ด้วยสายตาที่เหมือนเห็นอะไรบางอย่างที่น่าขยะแขยงเต็มทน เขารีบส่ายหน้าปฏิเสธ
     “หรือลองสเปซเค้กไหม พ็อตบราวนี่ก็มีนะ”
     นอกจากบุหรี่ผสมกัญชาแล้ว ในเมืองนี้ก็ยังหาซื้อขนมหวานที่มีกัญชาผสมอยู่ด้วยได้ อย่างสเปซเค้กก็คือขนมปังที่ทำเป็นสีต่าง ๆ อาจจะเป็นสีเดียวทั้งชิ้นอย่างสีเขียวหรือสีชมพู หรือไม่ก็มีหลายสีผสมกัน ส่วนพ็อตบราวนี่ หน้าตาก็เป็นบราวนี่สีน้ำตาลเข้ม หน้าเป็นช็อกโกแลตวาว ๆ ธรรมดานี่เอง แต่ข้างในผสมกัญชาลงไปด้วยเหมือนกัน
     ชินจิไม่เอาทั้งนั้นไม่ว่าจะบุหรี่หรือขนม ชายหนุ่มนั่งมองคนรักสูบบุหรี่สอดไส้กัญชาด้วยสายตาที่ผสมปนเปกันไประหว่างความคาดไม่ถึง ความผิดหวังและความเสียใจ ลำพังเควินสุบบุหรี่ธรรมดาเขาก็ไม่ค่อยชอบใจอยู่แล้ว นี่โดดไปสูบกัญชา ยิ่งหนักข้อขึ้นไปอีก ถึงชายหนุ่มจะรู้ว่ากัญชาไม่ใช่ยาเสพติดร้ายแรง มีเอาไว้เสพส่วนตัวได้ในปริมาณไม่เกินที่กำหนด และหากตำรวจมาเจอก็จะริบไปแค่กัญชา ตัวคนเสพไม่โดนจับด้วย แต่เขาก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่ดี
     “เควิน ครั้งนี้ครั้งเดียวได้ไหม ฉันไม่ค่อยชอบให้นายสูบมันเท่าไหร่เลย” ชินจิตัดสินใจขอ
     เควินขมวดคิ้ว
     “คิดมากน่ะ บอกแล้วไงว่านิดหน่อย สูบเล่นสนุก ๆ ใคร ๆ ก็สูบกัน ไม่เห็นจะแปลกเลย วันนี้ฉันตามใจนายทั้งวันแล้วนะ นายอย่าขัดใจฉันเลยน่ะ”
     ชินจิจึงเงียบเมื่อคนรักตัดบทมาแบบนี้ สายตาของชายหนุ่มเบือนหนีจากเควินที่ตอนนี้มีท่าทีเหมือนจะ ‘get high’ คือเมาแล้ว ตาจะลอย ๆ เยิ้ม ๆ แต่เมื่อไม่มองเควิน เขาก็เห็นคนอื่น ๆ อยู่ดี ในร้านนี้เหมือนกับจะเป็นแหล่งรวมฝรั่งนักท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็กเกอร์ บางคนก็แต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนพวกฮิปปี้ ผมเผ้ารุงรัง ชินจิไม่ชอบที่นี่เลย แต่เขาก็ต้องทนนั่งเพราะไม่อยากอยู่ห่างตัวเควินในเมืองที่ไม่รู้จักแบบนี้
     กว่าจะได้ออกจากคอฟฟี่ช้อปก็ห้าทุ่มกว่า เมื่อกลับมาถึงโรงแรม ชินจิก็เหนื่อยเต็มทนจนไม่ได้สนใจว่าตอนนี้ในห้องจะมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน บางคนก็นอนไปแล้ว บางคนก็ยังนั่งเล่นอยู่บนเตียง เมื่อเห็นเขากับชินจิเดินเข้ามา คนที่ยังไม่ได้นอนก็ทักทาย เควินทักกลับ ส่วนชินจิรีบเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าและสงบสติอารมณ์ ครู่ใหญ่ชายหนุ่มก็ออกมาและพบว่าเควินปีนขึ้นเตียงบนและนอนหลับไปแล้ว
     ชินจิถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หยิบผ้าห่มปลายเตียงมาห่มให้เควินอย่างเบามือ
     “แฟนเหรอ?”
     เขาหันไปตามเสียง คนที่ทักเขาเป็นฝรั่งผมสีเข้ม สำเนียงอังกฤษแบบอเมริกันที่ใช้ทำให้ชายหนุ่มเดาว่าน่าจะมาจากสหรัฐอเมริกา
     “ใช่แล้วล่ะ” ชินจิตอบไปเป็นภาษาเดียวกัน หนุ่มอเมริกันคนนั้นยิ้มให้อย่างเป็นมิตรพร้อมกับชวนคุยนิดหน่อยทำให้ชินจิได้ทราบว่าเพื่อนร่วมห้องคนนี้ก็มาเที่ยวอัมสเตอร์ดัมเพราะอยากจะมาลองสูบกัญชาในคอฟฟี่ช้อปดูเหมือนกัน เควินอาจจะพูดถูกก็ได้เรื่องคนที่มาเที่ยวที่นี่ก็เพื่ออยากมาลองเข้าคอฟฟี่ช้อปสักครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับชินจิแล้ว เขาก็ยังไม่คิดว่าการสูบกัญชาเป็นเรื่องธรรมดาอยู่ดี
     ทริปที่เขารอเพื่อจะได้เที่ยวกันสองคนกับเควินสักทีกลับไม่สนุกอย่างที่คิดเอาไว้เลย
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 10 - update - 05.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 06-10-2014 06:15:28
     วันที่สองในอัมสเตอร์ดัมก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นมากนักแม้ว่าจะเริ่มโปรแกรมแรกของวันด้วยสถานที่ที่ชินจิอยากไปมากก็ตาม
     ชายหนุ่มแหงนคอตั้งบ่ามองพิพิธภัณฑ์ไรจส์ซึ่งเป็นอาคารใหญ่โตสีน้ำตาลอมแดง ขอบอาคารทาสีอ่อน บนหลังคาสีน้ำเงินอมเทามีลายฉลุประดับดูคล้ายลูกไม้ถักมือเป็นลายละเอียด ที่ผนังอาคารด้านนอกแขวนรูปสองรูปห้อยยาวลงมาจนแทบจรดพื้น ข้างหนึ่งเป็นรูปภาพเด็กสาวรุ่นแก้มแดงที่เขาไม่รู้ว่าเป็นผลงานของใคร แต่อีกข้างหนึ่งเป็นรูปหงส์ขาวที่ถูกทำให้ตกใจกลัว ผลงานของยอน ออสเซอไลจน์ สมัยกลางศตวรรษที่สิบเจ็ด
     ชินจิอยากมาที่นี่เพราะเขาอยากมาเห็นภาพวาดของเรมบรันดท์ ฟอน ไรจน์ด้วยตาของตัวเอง
     ข้างในพิพิธภัณฑ์สวยงามและกว้างขวาง ฮอลล์แสดงภาพเพดานสูงตกแต่งด้วยลายประดับสีทองดูหรูหราทำให้บางครั้งชินจิรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในปราสาท มีคนมาเดินชมภาพเขียนและผลงานศิลปะกันอย่างมากมาย แต่ชายหนุ่มก็แทรกตัวเข้าไปชมภาพเขียนของเรมบรันดท์จนได้
     มาสเตอร์พีซชิ้นหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ไรจส์คือภาพ ‘The Night Watch’
     ภาพเขียนของเรมบรันดท์ภาพนี้มีขนาดใหญ่กว่าที่เขาคิด ติดอยู่ที่ผนังสีเทา เป็นรูปกองทหารของนายทหารสองคนเตรียมตัวจะออกศึก เรมบรันดท์วาดภาพนี้โดยแฝงความหมายไว้หลายระดับ แต่ชินจิก็ไม่รู้ลึกถึงขนาดจะตีความหมายของภาพออกมาได้ แต่เขาอยากมาเห็นการใช้แสงและเงาในภาพ จิตรกรใส่แสงอาทิตย์และเงามืดลงไปทำให้ในภาพมีการเคลื่อนไหว สายตาของเราจะถูกดึงดูดให้อยู่ที่นายทหารสองคนตรงกลางในภาพและสาวน้อยชุดเหลืองทางด้านซ้ายมือ
     ชินจิรู้สึกทึ่งที่คนสามคนในภาพสว่างเหมือนกับจะเรืองแสงได้เลยในขณะที่คนอื่น ๆ ในภาพเหมือนอยู่ในเงามืด และเขาก็สนุกกับการพิจารณาว่าในภาพมีอะไรอยู่บ้าง ชายหนุ่มเห็นไก่ที่คาดอยู่ที่เอวของสาวน้อยชุดเหลืองด้วย แต่ก็ไม่เข้าใจว่าไก่ตายมันจะเกี่ยวอะไรกับทหารและการออกศึก แล้วมันไปคาดอยู่ที่เอวของผู้หญิงได้อย่างไร เขาคิดว่าคงจะต้องไปหาอ่านประวัติและการตีความความหมายของภาพใหม่อีกทีเสียแล้ว
     “เควิน?” ชายหนุ่มเหลียวหาเพราะคิดว่าคนรักอยู่ข้างตัวมาตลอด แต่เควินไม่ได้อยู่ตรงนั้น
     “หายไปไหนแล้วล่ะ”
     เขาเดินตามหาจนเจอคนรักนั่งอยู่ที่ม้านั่งบุนวมที่จัดเป็นที่นั่งพัก ท่าทางของชายหนุ่มเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ จนชินจิรู้สึกแย่ขึ้นมาอีกครั้ง
     ในขณะที่เขามีความสุขกับการชมภาพเขียน คนรักของเขากลับถูกทิ้งให้นั่งเบื่ออยู่คนเดียว
     “ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะเควิน” ชินจิถาม
     “เหนื่อย ขี้เกียจเดินแล้ว นายล่ะ ชมภาพเขียนเสร็จแล้วเหรอ”
     “ก็เสร็จแล้วล่ะ”
     “ชอบล่ะสิ เห็นยืนจ้องอยู่ตั้งนาน” เควินถามยิ้ม ๆ พลางเขยิบให้ชินจินั่งลงข้าง ๆ
     “ชอบมากเลย” ชินจิตอบ ก่อนมองหน้าเควินอย่างจริงจัง “เบื่อรึเปล่าที่ฉันเข้ามาอยู่ในนี้ตั้งนาน”
     “ก็นิดหน่อย” เควินตอบตามจริง “แต่ไม่เป็นไร เห็นนายชอบ ฉันก็โอเค นายอยากเดินต่อก็ได้นะ เดี๋ยวฉันนั่งรอตรงนี้เอง”
     “ขอโทษทีนะเควิน ทำให้นายเบื่อ” ชินจิยังกังวลอยู่
     “ไม่เป็นไร ก็มันช่วยไม่ได้นี่ นายชอบแบบนี้ นายก็ทำไปเถอะ อีกอย่างเมื่อคืนนายยังเข้าไปเป็นเพื่อนฉันในคอฟฟี่ช้อปได้เลย”
     ชินจิชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเควินพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา มันทำให้เขาเข้าใจอะไรอย่างหนึ่งชัดเจนขึ้น
     “เราสองคนนี่ชอบอะไรต่างกันน่าดูเลยนะ”
     เควินยักไหล่ พูดง่าย ๆ ว่า
     “ไม่เห็นแปลกเลย คนเราก็ต้องแตกต่างกันอยู่แล้วนี่ ใครชอบอะไรก็ทำอย่างนั้นไป ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
     ชินจิฝืนยิ้ม แต่ในใจกลับคิดแวบขึ้นมาว่า มันก็คงไม่มีปัญหาหรอก ถ้าแตกต่างแล้วเข้ากันได้

     เมื่อเควินทำท่าเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัดขนาดนั้น ชินจิก็ไม่มีใจอยากชมภาพเขียนอื่น ๆ ในพิพิธภัณฑ์อีก ถึงแม้ว่าจะเป็นภาพของจิตรกรดัง ๆ อย่างแฟะเมียร์ หรือฟอน แด็คก็ตาม
     “ไปไหนต่อดีล่ะ” เควินถามหลังจากออกจากพิพิธภัณฑ์ไรจส์ ชินจิไม่อยากจะตัดสินใจแล้วเพราะเขาไม่อยากเห็นสีหน้าเบื่อหน่ายของคนรักอีก แต่เควินก็ไม่ยอมตัดสินใจเหมือนกัน
     “แล้วสะพานอะไรที่นายอยากไปดูนั่นล่ะ ไปไหม”
     ชินจิลังเล เพราะมันก็แค่สะพานแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง แต่เควินก็บอกให้ลองเดินหาดูก็ได้ ชายหนุ่มจึงกางแผนที่แล้วเดินไปตามทาง ในหนังสือนำเที่ยวบอกว่าอยู่ห่างจากพิพิธภัณฑ์ประมาณกิโลครึ่ง เป็นสะพานข้ามคลองอัมสเทล พวกเขาก็เลยเดินไปเรื่อย ๆ แต่เพราะไม่คุ้นทางทำให้ใช้เวลานานกว่าจะหาเจอ แถมคนอัมสเตอร์ดัมที่พวกเขาไปถามทางก็ไม่ค่อยเป็นมิตรเลยสักคน ครั้งแรกเควินเข้าไปถามผู้ชายวัยกลางคน แต่เขาก็ทำท่าไม่เข้าใจและไม่ตอบคำถาม ชายหนุ่มก็เลยไม่อยากถามใครอีก และจะโยนให้ชินจิเป็นคนถามทุกครั้งซึ่งก็เจอปฏิกิริยาแบบเดียวกันทำให้เซ็งกันไปประกอบกับเดินกันจนเหนื่อยด้วย ดังนั้นเมื่อมาถึงสะพานสีขาวแห่งนี้ได้ในที่สุด เควินจึงอดบ่นไม่ได้ว่า
     “แค่นี้น่ะเหรอ เฮ้อ ให้เดินหาอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นมีอะไรเลย”
     “ก็มันเป็นแค่สะพาน” ชินจิหน้าเสียไปเล็กน้อย อดคิดมากไม่ได้อีกว่า สะพานนี้เป็นไอเดียของเขา แต่ก็กลับไม่เวิร์คอีกจนได้
     “ช่างเหอะ นายอยากถ่ายรูปไหม ฉันถ่ายให้” เควินยื่นมือมา ชินจิก็ส่งกล้องถ่ายรูปให้อย่างเงียบ ๆ
     สะพานมาเกอเรอ บรุกที่เปิดปิดเพื่อให้เรือแล่นผ่านได้นี้ในตอนกลางวันไม่สวยเท่าในตอนกลางคืนที่ติดไฟสว่าง แต่ก็น่าทึ่งเมื่อเห็นเสารูปตัวทีสีขาวสองอันเปิดปิดให้เห็นอยู่ตรงหน้า แต่ถึงกระนั้นเควินก็ยังไม่เห็นว่ามันจะน่าตื่นเต้นเหมือนที่ชินจิรู้สึกอยู่ดี
     “นายอยากไปไหนต่อ” คราวนี้ชินจิถามบ้าง เขาอยากให้เควินรู้สึกสนุกขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อเควินเลือกที่ที่อยากจะไปขึ้นมาจริง ๆ ชินจิกลับเป็นฝ่ายที่ไม่สนุก เพราะชายหนุ่มเลือกที่จะไปที่ย่านเรดไลท์ซึ่งเป็นย่านที่มีสาวขายบริการอย่างถูกกฎหมาย ผับ บาร์ รวมทั้งร้านเซ็กซ์ช้อปทั้งหลาย และที่เรียกว่าเรดไลท์เพราะในตอนกลางคืน ย่านนี้จะติดไฟสีแดงทำให้อาคารบ้านเรือนเหมือนถูกย้อมให้กลายเป็นสีแดงสด แต่ในตอนกลางวันแบบนี้ ย่านนี้ก็เป็นเพียงตรอกแคบ ๆ ที่มีอาคารบ้านเรือนสีหม่น ๆ ตั้งอยู่ริมคลองเท่านั้น
     เควินไม่ได้อยากมาดูโชว์หรือซื้อบริการอย่างที่ชินจิคิดไปไกล แต่เขาสนุกกับการลากคนรักเข้าออกร้านเซ็กซ์ช้อปเพื่อดูของเล่นผู้ใหญ่แปลก ๆ ตั้งแต่ไวเบรเตอร์ทุกขนาด ทุกสี ทุกแบบ อวัยวะเพศเทียมทั้งของผู้หญิงและผู้ชาย แล้วยังมีตุ๊กตายางหรืออุปกรณ์กระตุ้นอารมณ์สำหรับพวกนิยม SM อีกมากมายจนลานตาไปหมด
     “เฮ้ย ร้านนี้เจ๋งว่ะ” เควินหัวเราะก๊ากเมื่อเดินมาเจอร้านที่ขายถุงยางอนามัยอย่างเดียว ด้านหน้าแขวนถุงยางอนามัยไว้เป็นราวทีเดียว มีทุกแบบทุกสีทุกขนาด
     “นายจะเข้าไปเหรอ” ชินจิทำหน้าไม่ถูก ซึ่งเขาก็ทำหน้าอย่างนี้มาตั้งแต่ถูกดึงเข้าเซ็กซ์ช้อปร้านแรกแล้ว ถูกล่ะที่เซ็กซ์ช้อปไม่ใช่เรื่องแปลก ในญี่ปุ่นก็มีแทบทุกหัวระแหง ห้างใหญ่ในชินจูกุก็มีชั้นหนึ่งขายของพวกนี้โดยเฉพาะ แต่เขาไม่เคยคิดอยากจะเข้าร้านพวกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
     “เข้าไปเหอะ น่าเข้าไปดูออก เผื่อนายชอบแบบไหนจะได้ซื้อไปใช้ไง เอาที่มีกลิ่นน่ากินเนอะ นายจะได้งับเต็มปากเต็มคำ”
     มุกใต้สะดือหรือคำพูดส่อไปในทางแบบนี้ของเควินก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ชินจิไม่ค่อยชอบ แต่เขาก็พยายามไม่ใส่ใจ
     เควินดึงมือชินจิเข้าไปในร้านแล้วก็ชี้ชวนให้ดูถุงยางอนามัยอันนั้นอันนี้ด้วยความชอบอกชอบใจ ในร้านที่เหมือนกับอาณาจักรแห่งถุงยางอนามัยร้านนี้มีตั้งแต่แบบธรรมดาไปจนกระทั่งถึงถุงยางอนามัยแบบพิเศษเพ้นท์ลายด้วยมือ หรือแบบที่ตกแต่งสวยงามเพื่อมีไว้โชว์โดยเฉพาะ
     ทั้งคู่เดินกันอยู่แถวนั้นจนเย็นและในที่สุดชินจิก็ได้เห็นแสงไฟสีแดงแห่งเรดไลท์ อาคารสีหม่น ๆ ริมคลองกลายเป็นสีแดงจัด
     “กลับเถอะเควิน”
     ชินจิรีบชวนเพราะเมื่อถึงเวลากลางคืน คนเริ่มเยอะขึ้น บางคนก็มองมาทางเขาแบบแปลก ๆ ชวนให้ไม่น่าไว้วางใจ แถมยังต้องระวังพวกมิจฉาชีพล้วงกระเป๋าด้วย เควินยอมกลับ แต่ไม่ได้กลับโรงแรม กลับลากเขาไปคอฟฟี่ช้อปอีกแห่งหนึ่งที่มีกันสาดลายทางอยู่ด้านหน้าซึ่งอยู่ห่างจากย่านเรดไลท์ไม่ไกลนัก ดูเหมือนว่าเมื่อถึงกลางคืน เควินจะถือว่าเป็นเวลาของเขา และชินจิก็ต้องยอมทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ แถมคราวนี้ยังต้องช่วยเควินซื้อกัญชาอีกห้ากรัมนำกลับเบอร์ลินด้วย
     ชายหนุ่มนั่งทนดมควันกัญชาเป็นเพื่อนเควินอยู่ในคอฟฟี่ช้อปพลางคิดอยู่ตลอดเวลาว่า พรุ่งนี้ออกจากอัมสเตอร์ดัมไปยังเดลฟท์และเดนฮาก เขาก็จะไม่ต้องทนกับอะไรแบบนี้อีกแล้ว

     จากอัมสเตอร์ดัมไปเดลฟท์ใช้เวลานั่งรถไฟราวหนึ่งชั่วโมง ชินจิกับเควินตื่นมาขึ้นรถไฟตั้งแต่เช้าเพื่อให้มีเวลาเดินเที่ยวในเดลฟท์สักชั่วโมงสองชั่วโมงก่อนที่จะกลับขึ้นมาที่เดนฮาก
     เดลฟท์เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องเซรามิก มีชื่อเรียกว่าเดลฟท์บลู หลังจากลงรถไฟที่สถานีเดลฟท์ ทั้งสองคนก็ตรงมาที่จตุรัสหน้าศาลาว่าการเมืองเดลฟท์ก่อนเพื่อถ่ายรูปกับศาลาว่าการเมืองที่ใหญ่โตและสวยงาม มีหน้าต่างสีแดงสดสะดุดตา เมืองนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่สวยงาม สามารถเดินชมอาคารบ้านเรือนริมคลองรวมทั้งสะพานเล็ก ๆ ข้ามคลองที่สวยงามภายในเมืองได้อย่างสบาย ทั้งยังมีโบสถ์ประจำเมืองทั้งนิวเวอร์และออเดอแคร์ก หรือโบสถ์ใหม่และโบสถ์เก่าริมคลองให้ได้ถ่ายรูปด้วย
     ชินจิอยากเดินเข้าไปชมเซรามิกสวย ๆ ในร้านใกล้ ๆ ออเดอแคร์ก ที่โชว์แก้วมักสีฟ้าขุ่น ๆ สวยงามมากไว้ที่หน้าต่างร้าน แต่เควินเดินลากกระเป๋าดุ่ม ๆ ไปข้างหน้าโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทำให้ชินจิพลอยต้องเร่งฝีเท้าตามไปด้วย
     ก่อนออกจากเดลฟท์ ทั้งคู่แวะไปเดินเล่นชมความงามของพิพิธภัณฑ์พริ้นเซ่นโฮฟที่มีสวนแบบเรขาคณิตที่ตัดไม้พุ่มสีเขียวให้เป็นแนวยาวซ้อนกันไปมาทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมต่าง ๆ หิมะสีขาวที่ปกคลุมบาง ๆ อยู่ที่พื้นรวมทั้งเกาะอยู่ตามรั้วต้นไม้สีเขียวก็ยิ่งทำให้สวนสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง เควินกับชินจิไม่ได้เข้าไปข้างในพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่สร้างตั้งแต่ในยุคกลาง ปัจจุบันเก็บรวบรวมภาพเขียนในสมัยยุคทองของดัชท์ เนื่องจากเวลามีไม่พอ ได้เพียงแต่เดินเล่นถ่ายรูปอยู่ในสวนเท่านั้น
     “เดลฟท์สวยดีนะ” ชินจิชวนคุย แต่เควินก็ยังเฉย ๆ ตามเคย แค่ทำเสียงรับในลำคอเท่านั้น แล้วก็งีบหลับไปตลอดทางในรถไฟที่กลับมาที่เดนฮาก
     เดนฮากหรือกรุงเฮกจ์เป็นเมืองใหญ่อันดับสามรองจากอัมสเตอร์ดัมและรอตเตอร์ดัม เมื่อลงจากรถไฟ ทั้งคู่เช็คอินเข้าโฮสเทลละแวกเดียวกับสถานีรถไฟนั่นเอง เป็นห้องพักแบบห้องรวมเหมือนกันกับที่อัมสเตอร์ดัม แต่ตอนที่เข้าไปในห้องนอนเพื่อเอากระเป๋าไปเก็บกันนั้น พวกเขาก็เจอเพื่อนร่วมห้องเป็นสองสามีภรรยาชาวอังกฤษ
     เควินสะกิดชินจิให้ออกไปข้างนอกห้องกับเขาทันทีที่จัดเก็บของเรียบร้อย
     “ไม่พักสักหน่อยเหรอ” ชินจิถาม
     “ข้างในห้องมีคน ไม่เห็นเหรอ” เควินพูด แล้วก็ดึงมือคนรักให้เดินตามเขาไปตามทางเดินนอกห้องพัก
     “แล้วนี่นายจะไปไหน” ชินจิถามงง ๆ เมื่อตามเควินเข้าไปในห้องน้ำนอกห้องพักที่เป็นห้องน้ำรวมที่แขกคนไหนจะใช้ก็ได้ซึ่งจะมีอยู่ทุกชั้น
     “ปลดกางเกงลงสิชินจิ เร็วเข้า” เควินเร่งเมื่อเข้ามาอยู่ในห้องน้ำแคบ ๆ ด้วยกันสองคน
     “นายจะทำที่นี่เหรอ” ชินจิมองไปรอบ ๆ ด้วยความไม่ค่อยชอบใจเท่าไร ห้องน้ำรวมไม่สกปรก แต่ก็ไม่สะอาด เควินเร่งเขายิก ๆ อีก
     “เถอะน่า ถอดกางเกง แล้วหันหลังไป”
     “ถ้าใครเข้ามาล่ะ”
     “ไม่มีหรอกน่ะ ฉันจะทำเร็ว ๆ ก็แล้วกัน”
     เควินพูดแล้วจับชินจิหมุนตัวทันที ชายหนุ่มต้องเอามือยันประตูห้องน้ำไว้ แล้วกัดริมฝีปากกลั้นเสียงเอาไว้อย่างเต็มที่หลังจากที่เควินแทรกตัวเองใส่เข้าไปข้างในตัวของเขา ชินจิไม่ได้มีอารมณ์ร่วมมากนักเพราะไม่สะดวกใจกับสถานที่ซึ่งต่างจากคนรักที่ตื่นเต้นและตื่นตัวเต็มที่กับรสชาติและสถานที่ที่แตกต่างทำให้ชายหนุ่มสะกดกลั้นอารมณ์แทบไม่อยู่ และเขาก็เสร็จอย่างง่ายดายและรวดเร็วกว่าปกติ
     ชินจิสวมกางเกงกลับเหมือนเดิมอย่างรวดเร็วและรีบตามเควินออกมาจากห้องน้ำ นึกโล่งใจที่ในโฮสเทลชั้นนี้ไม่มีใครอยู่เลย
     “เราจะไปไหนกันดี” เควินถามอย่างอารมณ์ดีเพราะระบายความคั่งค้างทุกอย่างออกไปหมดแล้วเมื่อสักครู่นี้
     “มาดูโรดัม เมืองตุ๊กตา” ชินจิตอบเบา ๆ
     ในเดลฟท์และเดนฮาก ชายหนุ่มเป็นคนเลือกโปรแกรมทั้งนั้นเพราะเควินไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากอัมสเตอร์ดัม เมื่อเขาถาม เควินก็โยนมาให้เขาคิด แต่ตอนนี้ชินจิชักไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่ามันจะดีจริงไหมที่เขาเป็นคนหาโปรแกรมเที่ยวเอง เพราะเควินดูเฉย ๆ กับสถานที่เกือบทุกที่ที่เขาเลือก
     ชินจิกับเควินนั่งรถรางสายเก้าจากสถานีรถไฟตรงมาลงที่ป้ายหน้ามาดูโรดัมเลย ภายในมาดูโรดัมอันกว้างใหญ่เป็นเมืองจำลองที่รวบรวมสถานที่ที่สำคัญของเนเธอร์แลนด์เอาไว้มากมายในรูปแบบย่อส่วน เมื่อได้เห็นด้วยตาของตัวเอง ชินจิคิดว่ามันดูน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าที่เห็นในรูปเสียอีก
     “เป็นยังไงบ้างเควิน” ชายหนุ่มถามคนรัก
     “ก็ดีนะ” เควินก็ยังไม่มีท่าทีอะไรเป็นพิเศษอยู่ดี แต่ก็ไม่ได้บ่นอะไรเมื่อเดินตามถ่ายรูปให้ชินจิที่ชอบที่นี่เอามาก ๆ
     “นั่น VOC Ship เจ๋งเลย” ชินจิชี้ให้เควินดูรูปจำลองเรือสินค้าสมัยยุคทองลำใหญ่ที่ลอยอยู่ในน้ำจริง ๆ จากนั้นก็เดินวนเวียนดูสถานที่ต่าง ๆ ที่ถูกจำลองมาอยู่ในที่แห่งนี้ตั้งแต่สนามบินชิปโฮลที่มีรูปจำลองเครื่องบินเคแอลเอ็มจอดเรียงรายอยู่ หรือสถานที่ทางวัฒนธรรมอย่างปราสาทราชวัง พิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นไปอีกแบบที่ได้เห็นสถานที่ที่เขาได้ไปเห็นของจริงมาแล้วด้วยตาของตนเองอยู่ในรูปแบบจำลองอย่างนี้ แถมยังมีกลไกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าทึ่ง เช่น เรือจำลองแล่นได้เองในน้ำ เขาเห็นสะพานมาเกอเรอ บรุกด้วย เมื่อเรือลำเล็กแล่นเข้าไปใกล้ สะพานสีขาวก็จะเปิดได้เองโดยอัตโนมัติ
     “ไปเล่นนั่นกันไหม”
     แต่เมื่อเห็นเควินเดินตามเขาอย่างเดียว ชินจิก็อยากให้เขาสนุกบ้างจึงชี้ไปที่เกมโหลดสินค้าลงเรือซึ่งคนเล่นจะต้องเป็นกะลาสีเรือบังคับเครนยกลังสินค้าลงเรือจำลองด้วยตัวเอง แต่เควินส่ายหน้า
     “ไม่เอาล่ะ ขี้เกียจ นายจะอยู่ต่ออีกนานไหม”
     “นายอยากจะกลับแล้วเหรอ” ชินจิถาม รู้สึกผิดหวังและเฟลล์เป็นครั้งที่เท่าไรเขาก็จำไม่ได้แล้ว
     “อือ นายอยู่ที่นี่มาสองชั่วโมงแล้วนะ”
     ชินจิไม่รู้ตัวเลยว่าเวลามันผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว แต่มันคงผ่านไปนานจริง ๆ เพราะสีหน้าเควินเหมือนเบื่อจนเหลือจะทนแล้ว
     “งั้นเราไปที่อื่นกันต่อก็ได้” ชินจิตัดสินใจ แล้วก็นั่งรถรางกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ที่สถานีรถไฟประจำเมือง เขาบอกเควินถึงสถานที่ที่จะไปกันเป็นรายการต่อไป
     “ต่อไปเป็นพีซพาเลซนะ พระราชวังสันติภาพ เป็นแลนด์มาร์กของเดนฮากเลยล่ะ เป็นที่ตั้งของศาลโลกด้วย”
     แต่เควินกลับทำหน้าเมื่อย ชายหนุ่มส่ายหน้าทันที บอกว่า
     “ฉันไม่อยากไปแล้วล่ะ มีแต่ถ่ายรูป ไม่เห็นจะมีอะไร ฉันว่าฉันจะไปคอฟฟี่ช้อปอีกสักครั้งหนึ่งดีกว่า ที่เดนฮากนี่ก็มี ฉันเช็คแล้ว”
     คำพูดของคนรักเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้หลังลาหัก
     ความไม่พอใจและความผิดหวังรวมทั้งความเศร้าทั้งหลายที่ชินจิรู้สึกมาตลอดการเดินทางทริปนี้ระเบิดออกมาทันทีในตอนนี้
     “ที่นายชวนฉันมาที่นี่เพราะอยากมาเที่ยวกับฉันหรืออยากจะมาเข้าคอฟฟี่ช้อปบ้า ๆ นั่นกันแน่!” ชินจิตะโกนเสียงดังจนคนหันมามอง เควินนิ่วหน้าทันที
     “เป็นอะไรของนาย ชินจิ โมโหอะไร”
     “ตอบฉันมาก่อนสิ!”
     “ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
     “แต่นายเอาแต่สนใจคอฟฟี่ช้อปนั่น ไม่สนใจฉัน อยากจะเข้าแต่คอฟฟี่ช้อป ฉันเสนอที่เที่ยวที่ไหน นายก็ไม่ชอบ ไม่สนใจเลย”
     เควินถอนหายใจด้วยความเซ็งที่จู่ ๆ ชินจิก็ทำตัวไม่มีเหตุผลขึ้นมาอีก
     “ฉันไม่ทะเลาะกับนายนะชินจิ อย่ามาเอะอะแถวนี้ดีกว่า นายเริ่มทำตัวไม่มีเหตุผลอีกแล้ว”
     “อย่ามาเปลี่ยนประเด็น!”
     “แล้วนายจะให้ฉันทำยังไงอีก ฉันก็ไปกับนายทุกที่ที่นายเลือกแล้ว จะเอายังไงอีก!” เควินเริ่มเสียงดังขึ้นมาบ้าง ท่าทางของเขาหงุดหงิดไม่แพ้กันแล้วในตอนนี้
     “แต่นายไม่เคยชอบสิ่งที่ฉันเลือกเลย!” ชินจิเถียงกลับ
     “ก็มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันชอบ นายจะให้ฉันฝืนใจรึไง ทีนายยังไม่ชอบไปคอฟฟี่ช้อปเลย ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนายเลยสักคำ แล้วทำไมนายต้องมาโมโหใส่ฉันแบบนี้ด้วย ไม่เอาล่ะ ฉันจะไปคอฟฟี่ช้อป ส่วนนายจะไปปราสาทราชวังอะไรก็ตามใจ”
     เควินพูดจบก็หันหลังเดินไปอีกทาง ชินจิไม่ตามเควินเช่นกัน แต่เดินไปในทิศทางตรงกันข้าม
     พีซพาเลซอยู่ห่างจากสถานีรถไฟเดนฮากไปราว ๆ สองกิโลเมตรครึ่ง ความโมโหแท้ ๆ ทำให้ชินจิจ้ำพรวด ๆ ไปตามทางเดินที่มีหิมะปกคลุมบาง ๆ จนบรรลุถึงพระราชวังได้ในที่สุด
     ตัวพระราชวังใหญ่โตสีปูนแดงตัดกับสีขาวของหิมะบาง ๆ ที่จับอยู่ที่หลังคาสีเทาและตกค้างอยู่ตามต้นไม้รวมทั้งบนพื้นสวนของพระราชวังทำให้ดูสวยงามยิ่งกว่าที่เห็นในรูป นี่ถ้ามาตอนหน้าร้อน สวนของพระราชวังคงจะกลายเป็นสีเขียวสดใสขับสีสดของตัวพระราชวังให้ยิ่งโดดเด่นงดงามแน่ แต่ชินจิไม่มีตาจะมองความสวยสดงดงามของสถานที่ไหน ๆ อีกแล้ว
     ชินจิทรุดตัวนั่งลงบนพื้นหิมะที่ทั้งเย็นและเปียก หลังพิงรั้วโปร่งสีดำของพระราชวัง เขารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือที่เขาไม่ได้แตะเลยตั้งแต่คืนวันสิ้นปีออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ต ตอนแรกเขานึกอยากจะโทรศัพท์ไปหาใครสักคน แต่เมื่อเขากดเข้าหน้าโฮม เขาก็เห็นอีเมล์หลายฉบับและข้อความมากมายจากเพื่อน ๆ
     น้ำตาของชายหนุ่มไหลเมื่อเขาเริ่มกดอ่านอีเมล์ฉบับแรกจากอัตสึโตะ และไหลต่อไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นร้องไห้โฮ
     อัตสึโตะส่งข้อความมาอวยพรปีใหม่และยังส่งอีเมล์พร้อมแนบรูปหลายรูปมาให้เขาดู ฉบับแรกเป็นรูปตอนที่อัตสึโตะไปดินเนอร์กันสองคนกับมานูเอล เพื่อนของเขาทำหน้าทะเล้นถ่ายรูปคู่กับมานูเอลที่ยิ้มกว้างจนตาหยี ใต้รูปเขียนว่า

     “ไปกินข้าวกับมานูมาด้วยล่ะ ร้านอาหารสวยมากเป็นปราสาทเก่าอยู่กลางน้ำ หิมะตกเต็มไปหมดเลย หนาวมาก อาหารก็อร่อยนะ ฉันได้กินเนื้อกวางด้วย กลิ่นมันแปลก ๆ แต่ก็อร่อยดี ตอนแรกมานูไม่ยอมบอกว่าเนืออะไร กลัวฉันกินไม่ได้ แต่อัตสึโตะซะอย่าง เนื้อไดโนเสาร์ก็กินได้เหอะ ไม่รู้จักซะแล้ว”

     อีเมล์ฉบับที่สองยาวหน่อยและมีรูปเยอะเป็นพิเศษ เป็นรูปทุกคนกำลังฉลองปีใหม่กันอย่างสนุกสนานที่โรงแรมของมานูเอล เพื่อน ๆ ของเขากอดคอถ่ายรูปหมู่ด้วยกันหน้าตายิ้มแย้ม อีกภาพหนึ่งเห็นมายะทำหน้าบึ้งกำลังพยายามแกะมือของมานูเอลที่กอดเอวอัตสึโตะอยู่ออก แล้วยังมีรูปที่ทุกคนกำลังเล่นไฟเย็นกันกลางหิมะ ข้อความในอีเมล์เขียนว่า

     “ปีใหม่นายฉลองที่ไหน สนุกไหม
พวกเราฉลองกันง่าย ๆ ที่โรงแรมของมานูเหมือนเคย แม่มานูทำอาหารทำขนมเยอะแยะเลย อร่อยทุกอย่าง เราเปิดเพลงเต้นรำกันนิดหน่อย มีคาราโอเกะด้วยล่ะ มายะร้องเพลงเสียงอย่างกับกาละมังแตกตามเคย สู้รุ่นพี่เอย์จิกับรุ่นพี่มาโกโตะไม่ได้เลย แต่พอดึกสองคนนั้นก็เมาเละ ถอดเสื้อร้องเพลงอย่างเมามัน ยูเลี่ยนก็เอากับเขาด้วย ร้องเพลงภาษาญี่ปุ่นเพี้ยน ๆ ตลกมาก พอใกล้เที่ยงคืนก็เปิดโทรทัศน์รอเค้านท์ดาวน์พร้อม ๆ กัน ดอกไม้ไฟซิลเวสเตอร์นี่สวยมากเลยเนอะ มาร์เซลไปซื้อไฟเย็นมาให้พวกเราเล่นกันด้วย สนุกดี”


     นอกจากนั้นก็ยังมีรูปที่ไปเที่ยวสวนสัตว์กันมา

     “ตอนกลางวันมานูพาไปเที่ยวสวนสัตว์ ไปดูหมีขาว โธมัสกับเบนนี่ก็ไปด้วย เพิ่งรู้ว่าสองคนนี้มีแฟนชื่อเดียวกันเลย มานูบอก แล้วทั้งสี่คนก็มาฉลองปีใหม่กับเราด้วย โธมัสชวนเรามาเที่ยวคาร์นิวัลที่เคิล์นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ล่ะ น่าสนุกมากเลย มานูรับปากแล้วด้วย ยะฮู้!
     แล้วอัมสเตอร์ดัมเป็นไงมั่ง สวยขนาดไหน อย่าลืมส่งรูปมาให้ดูมั่งนะ”


     น้ำตาของชายหนุ่มยิ่งไหลไม่หยุด ในที่สุดชินจิก็ซบหน้าลงกับเข่า ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กลางหิมะในเมืองที่ไม่รู้จัก เขาคิดถึงเพื่อน คิดถึงความสนุกสนานกับทุกคนที่เกลเซ่นเคียเช่นมากเหลือเกิน...
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 11 - update - 06.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 06-10-2014 09:24:10
เควินกับชินจิ เหมือนเด็กดื้อหลังห้อง กับ มิชชันนารีมาสอนหนังสือ
คนหนึ่งก็ไร้ระเบียบ อยากรู้ อยากลอง อยากสนุก  อยากไร้สาระ ไปเรื่อยเปื่อย
คนหนึ่งก็มีระเบียบแบบแผนเป๊ะไปซะทุกอย่าง  อะไรก็มีเหตุผลไปซะหมด
คือ ... มันโครตต่างกันมากอ่ะ ... ไอ้ที่ถูกตาต้องใจกันก็เพราะฮอร์โมนกับสถานการณ์ล้วน ๆ
ตอนนี้ก็เป็นปัญหาในเรื่องการปรับตัวเข้าหากันแล้ว  มันยากไปไหมอ่ะ
อยากจะสงสารชินจิ  แต่ก็รู้สึกว่า ชินจิก็ตึงเปรี๊ยะ  ในขณะที่เควินหย่อนยานมากกกกกกกกกกกกกก
เฮ้อ ... เหมือนจะจบไม่สวยนะ คู่นี้
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 11 - update - 06.10.2014 page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 07-10-2014 12:00:20
บทที่ 12

     เควินรู้สึกโมโหขึ้นมาเป็นครั้งแรกกับความงี่เง่าของชินจิ ไม่รู้หมอนั่นเป็นอะไรนักหนา อยากจะให้เขาอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา ทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้ ใครจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงกันเล่า แค่นี้เขาก็อยู่กับหมอนั่นมากเกินไปแล้ว ไปไหนก็ไปด้วยกัน ยังไม่พอใจอีกหรือไงก็ไม่รู้
     ชายหนุ่มหาคอฟฟี่ช้อปในเดนฮากเจอได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่เป็นร้านที่ดูบ้าน ๆ ไม่คูล ไม่ชิคและคนไม่เยอะเท่ากับร้านในอัมสเตอร์ดัม แต่เมื่อดูดบุหรี่ผสมกัญชาไปได้ไม่เท่าไร ชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกเป็นห่วงชินจิขึ้นมา
     ป่านนี้ไม่รู้โมโหไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
     คิดไปคิดมา เขาก็ถอนหายใจเฮือก ดับบุหรี่ แล้วเดินออกจากร้าน
     ชินจิวางแผนไว้ว่าจะไปที่พีซพาเลซ เขาคิดว่าจะลองเดินไปดูที่นั่นก่อน ถ้าไม่เจอค่อยกลับมาที่โฮสเทล อย่างไรชินจิก็ต้องกลับมาที่โฮสเทลอยู่ดีเพราะข้าวของทั้งหมดอยู่ที่นั่น
     เควินคาดไม่ผิด คนรักของเขาอยู่ที่พีซพาเลซจริง ๆ แต่ไม่ได้โกรธและโมโหอยู่อย่างที่เขาเข้าใจ ชินจิกอดเข่าร้องไห้อยู่ สะอื้นฮัก ๆ อย่างไม่สนใจว่าใครจะมอง
     “ชินจิ!”
     เสียงเรียกคุ้นหูทำให้ชินจิเงยหน้าขึ้นมามองทั้งน้ำตา เมื่อเห็นว่าเป็นเควิน ชายหนุ่มก็นิ่งอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก เขายังโกรธ ยังเสียใจอยู่ แต่เมื่อเห็นคนที่เขารักเป็นฝ่ายมาตามหา ชายหนุ่มก็เริ่มใจอ่อนอีกเหมือนเดิม
     “ทำไมนายมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
     เควินคุกเข่าลงตรงหน้า ชินจิยังไม่ยอมหยุดร้องไห้ ชายหนุ่มจึงตัวคนรักมากอดเอาไว้ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด
     “นายอย่าร้องไห้สิ ฉันไม่อยากเห็นน้ำตาของนายแบบนี้เลย มีอะไรก็มาคุยกันดี ๆ ดีกว่าน่า”
     ชินจิกอดคนรักของตัวเองแน่น ยังพูดไม่ออก ได้แต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น
     เควินก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรอีก เขาลูบหลังชินจิจนอีกฝ่ายค่อยเริ่มสงบสติอารมณ์มากขึ้น แล้วเมื่อเห็นชินจิหยุดร้องไห้ได้แล้ว เควินก็พยุงตัวเขาให้ลุกขึ้นยืน
     “กลับกันก่อนดีกว่า ตกลงไหม”
     ชินจิพยักหน้าเงียบ ๆ แล้วก็เดินตามแรงจูงของเควินไป ระหว่างที่เดินกลับไปตามทางเดิมที่มา ทั้งสองคนก็คุยกันไปพลาง
     “ฉันรู้ว่านายไม่พอใจฉันหลายเรื่อง แต่ฉันยืนยันนะว่าฉันไม่ได้ละเลยนาย” เควินเริ่ม
     “ฉันเสียใจ ฉันรู้สึกว่าตั้งแต่มาที่นี่ นายไม่สนใจฉัน ที่ที่ฉันเลือก นายก็ไม่สนใจ ไม่แสดงท่าทีว่าชอบหรืออะไรเลย ฉันอยากให้นายสนุก มีความสุข แต่เจออย่างนี้ฉันไม่แน่ใจเลยจริง ๆ มันทำให้ฉันกังวลว่านายจะไม่สนุก”
     “นายคิดมากเกินไป ฉันได้มาเที่ยวกับนายมันก็มีความสุขแล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม ถูกล่ะที่ฉันไม่ค่อยถนัดพวกพิพิธภัณฑ์ แต่มันก็โอเค ไม่ได้แย่ที่ตรงไหน เพราะมีนายอยู่ นายชอบ ฉันก็โอเค”
     “ฉันอยากให้นายชอบด้วยนี่นา”
     “บางอย่างฉันก็ฝืนใจชอบไม่ได้นะ เหมือนที่นายไม่ชอบคอฟฟี่ช้อปนั่นแหละ ฉันยังไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาที่ตรงไหน แค่เราชอบอะไรที่มันไม่เหมือนกัน ก็ต่างคนต่างทำสิ่งที่ตัวเองชอบไป แค่นี้ก็จบแล้ว”
     เควินพูดง่าย ๆ เป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่ทราบว่ามันไม่มีปัญหา ชินจิที่มองเห็นปัญหาอยู่ชัด ๆ ตรงหน้าก็ไม่อยากจะเถียงด้วยอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มจึงเพียงพยักหน้ารับ แต่ในใจคิดว่าสงสัยเขาจะต้องปรับตัวกันใหม่อีกรอบเสียแล้วและทำใจให้อดทนให้ได้เมื่อเควินหายไปทำโน่นทำนี่ที่ตัวเองชอบแต่ชินจิไม่ชอบด้วย เพราะเควินไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองแน่ ๆ และถ้าเขาไม่ชอบความรู้สึกแบบตอนนี้ เขาคงจะต้องเปลี่ยนที่ตัวของเขาเองอย่างเดียวกระมัง
     “นายยังเสียใจอยู่รึเปล่าชินจิ” เควินถามเมื่อเห็นชินจิเงียบไปนานพอสมควร
     “พอสมควร ฉันพยายามคิดว่ามันไม่มีปัญหาจริง ๆ อย่างที่นายว่า” ชายหนุ่มพูดขึ้นในที่สุดและเควินก็ย้ำอีกครั้งว่า
     “มันไม่มีปัญหาอะไรจริง ๆ”
     ชินจิก็บอกตัวเองอย่างนั้นเหมือนกัน และบอกตัวเองซ้ำ ๆ แบบนั้นตลอดทางที่เดินกลับจากพีซพาเลซ

     เพื่อชดเชยให้กับน้ำตาของชินจิที่เสียไปอย่างมากมายแล้ว เควินบอกว่าเขาจะไม่เข้าคอฟฟี่ช้อปอีกก็ได้และยอมไปกับชินจิในที่ที่อีกฝ่ายคิดว่าน่าไปเยี่ยมชมให้เป็นบุญตาสักครั้งโดยที่พยายามไม่แสดงความเบื่อหน่ายออกมาอย่างออกนอกหน้านัก เพราะชินจิพาเขาเข้าพิพิธภัณฑ์อีกแล้ว
     เควินมองอาคารสีอ่อนขนาดใหญ่โตพอประมาณของพิพิธภัณฑ์เมาริตส์เฮาส์ ด้านหลังติดคลองสายหนึ่ง ด้านหน้าแขวนภาพผู้หญิงภาพใหญ่ห้อยลงมาจนเกือบถึงพื้น ชินจิชี้ไปที่ภาพนั้นพร้อมกับบอกเขาว่า
     “นั่นภาพ Girl with a pearl earring ของโยฮันเนส แฟะเมียร์ เป็นภาพที่ฉันชอบมากที่สุดเลย อยากมาเห็นด้วยตาของตัวเองสักครั้ง”
     เควินเดินตามชินจิเข้ามาในพิพิธภัณฑ์เงียบ ๆ แล้วก็อยู่เงียบ ๆ ข้างตัวชินจิที่จ้องมองภาพสาวน้อยใส่ต่างหูมุกของแฟะเมียร์ซึ่งภาพจริงนั้นเล็กนิดเดียว ใส่กรอบทองแขวนอยู่ที่ผนังแสดงภาพ ผู้หญิงในภาพโพกศีรษะด้วยผ้าสีน้ำเงินกับเหลือง ใส่ต่างหูมุก ยืนหันข้าง เอี้ยวหน้าให้เห็นใบหน้าเสี้ยวหนึ่ง ริมฝีปากสีสดแย้มน้อย ๆ เป็นรอยยิ้ม
     “ฉันว่าผู้หญิงคนนี้สวยยิ่งกว่าโมนาลิซ่าซะอีก นายว่าไหม” ชินจิพึมพำ สายตาที่จ้องมองผู้หญิงในภาพเต็มไปด้วยความหลงใหล
     เควินที่ไม่สนใจทั้งโมนาลิซ่าทั้งหญิงสาวใส่ต่างหูมุกไม่มีความเห็น ทั้ง ๆ ที่ในสายตาของเขา ยายผู้หญิงโพกหัวคนนี้ไม่เห็นจะสวยตรงไหน คิ้วก็ไม่มี ตาก็โปนอย่างกับปลาทอง แต่เพราะชินจิทำท่าชอบเอามาก ๆ ชายหนุ่มก็เลยไม่อยากจะขัด ได้แต่อดทนยืนอยู่ข้าง ๆ ให้คนรักมองภาพเขียนจนเต็มอิ่ม
     “ดูอะไรต่อ” เควินถามเมื่อชินจิยอมผละออกจากภาพเขียนของแฟะเมียร์ในที่สุด แต่สีหน้ายังอาลัยอาวรณ์สาวน้อยใส่ต่างหูมุกอยู่มาก
     “ไปดูภาพเขียนเด่น ๆ อีกสักสองสามภาพละกัน ไหน ๆ ก็มาแล้ว” ชินจิตัดสินใจ แล้วก็ดึงมือเควินไปดูภาพเขียนอีกภาพของแฟะเมียร์ เป็นภาพวิวของเมืองเดลฟท์
     “สวยเนอะ ไม่ต่างจากของจริงเลย” ชินจิมองอย่างชื่นชม แล้วในเมื่อเควินตามใจเขาแบบนี้ เขาก็เลยถือโอกาสเดินดูภาพเขียนต่อเรื่อย ๆ ทั้งของเรมบรันดท์และของจิตรกรคนอื่น ๆ ที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
     “นายนี่ชอบอะไรแบบนี้เอาจริง ๆ เลยนะ” เควินพูด เมื่อเห็นชินจิสีหน้าดีขึ้นมาก หลังจากเวียนดูภาพเขียนต่าง ๆ แทบจะทั่วทั้งพิพิธภัณฑ์ เขาเดินตามจนเมื่อยขาไปหมด และเมื่อออกมาข้างนอกได้ ชายหนุ่มก็แทบอยากจะหาที่นั่งพักเหนื่อยเสียเดี๋ยวนั้น
     “ชอบสิ คนเรียนทางอักษรศาสตร์อย่างฉันก็ชอบอะไรแบบนี้แหละ หนังสือ ภาพเขียน งานศิลปะ” ชินจิตอบยิ้ม ๆ
     “นายอยากไปต่อไหม หรือหาข้าวเย็นกินกันก่อน” เควินถาม
     “ฉันยังไม่ค่อยหิวเลย เราเข้าไปเดินเล่นในบินเน่นโฮฟกันก่อนดีไหม อยู่ตรงนี้เอง แล้วค่อยไปหาอะไรกินก่อนกลับโฮสเทล”
     เควินไม่มีปัญหา
     บินเน่นโฮฟเป็นศูนย์กลางการปกครองของประเทศ ประกอบด้วยอาคารแบบเก่าขนาดใหญ่หลายหลังตั้งอยู่ริมทะเลสาบโฮฟไฟเฟอร์ เป็นที่ตั้งของสำนักนายกรัฐมนตรีของเนเธอร์แลนด์ด้วย แต่เควินกับชินจิเดินเข้าไปชมแค่ที่ริดเดอซาลหรือท้องพระโรงแห่งอัศวินซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของบินเน่นโฮฟเท่านั้น
     ชินจิถ่ายรูปตึกแบบโกธิคที่มีหน้าต่างกระจกรูปวงกลมติดไฟสีส้มสว่างไปหลายรูป พร้อมกับน้ำพุหน้าอาคารที่ใช้เหล็กสีดำดัดให้มีรูปร่างเหมือนกรงประดับด้วยสีทองอย่างสวยงาม บนยอดมีรูปปั้นกษัตริย์หรือไม่ก็อัศวินสีทองประดับอยู่ แล้วยังมีตราอาร์มรูปสิงห์แดงบนพื้นทองเหมือนตราของพวกอัศวิน สมชื่อริดเดอซาลมาก
     “สวยจังเลยนะ ฉันชอบที่นี่จัง” ชินจิเลื่อนรูปที่ถ่ายไว้ในกล้องถ่ายรูปให้เควินดู แต่เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากคนรัก เขาก็เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเควินมองเขานิ่งอยู่แล้ว
     “ฉันชอบที่เห็นนายยิ้มแบบนี้มากกว่า อย่าร้องไห้อีกนะชินจิ”
     ชินจิพยักหน้ากับอกของเควินเมื่อฝ่ายหลังโอบตัวเขามากอดเอาไว้
     พวกเขากลับโฮสเทลหลังจากนั้น เควินนอนอยู่บนเตียงเดียวกับชินจิในห้องพัก ทั้งสองคนคุยกันเรื่อยเปื่อยจนชินจิผล็อยหลับไป เควินเห็นอย่างนั้นก็ค่อย ๆ เลื่อนตัวลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ ชินจิยังคงไม่ขยับตัว ชายหนุ่มจึงถอนหายใจออกมานิด ๆ ก่อนจะจรดฝีเท้าออกไปจากห้องพักโดยพยายามให้มีเสียงดังน้อยที่สุด
     แต่เมื่อประตูปิดลงดังกริ๊ก ชินจิก็ลืมตาขึ้นมา
     เขารู้ว่าเควินจะไปไหน แต่ที่รู้ดีกว่านั้นคือ... เขาไม่สามารถห้ามเควินได้เลย
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 07.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 07-10-2014 14:45:38
จะอดทนให้เป็นอย่างนี้ได้อีกนานแค่ไหนกันล่ะ เฮ้อ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 07.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ZilCh ที่ 07-10-2014 15:54:55
อ่านแล้วแบบหน่วงจิต หน่วงใจ

มันต่างกันเกินไป ดั่งเส้นขนาดเลย เควิน
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 07.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 07-10-2014 22:10:05
     เควินกับชินจิกลับเบอร์ลินในวันต่อมา หลังจากนั่งรถไฟมาราว ๆ เจ็ดชั่วโมงจากเดนฮาก พวกเขาก็กลับมาถึงหอพักที่อัดเลอร์สโฮฟในตอนราว ๆ หกโมงเย็น ในครัวมีเพื่อนบางคนกำลังทำอาหารเย็นกันอยู่รวมทั้งเจอโรมซึ่งเมื่อเห็นทั้งคู่เปิดประตูฟลอร์เข้ามาก็แซวทันทีว่า
     “อ้าว กลับมาแล้วเหรอ แฮร์อุนด์เฟราเควิน เที่ยวสนุกไหม”
     “ปากมากอีกแล้ว” เควินส่ายหน้าเมื่อโดนล้อว่าเขากับชินจิเป็นสามีภรรยากัน แต่ก็ตอบว่า
     “สนุกดี อัมสเตอร์ดัมโคตรเจ๋งเลย”
     ส่วนชินจิฝืนยิ้มให้แต่ไม่ได้พูดอะไร ท่าทางของเขาดูเหนื่อยและไม่อยากคุยกับใครเท่าไร ชายหนุ่มจึงปล่อยให้เควินคุยกับเพื่อนไป ส่วนตัวเองเดินลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในห้องเควิน สักพักเจ้าของห้องก็เดินตามเข้ามา แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง
     “เหนื่อยจัง ฉันขอนอนสักงีบนะ”
     ชินจิไม่ว่าอะไร มือของเขาหยิบเสื้อผ้าใช้แล้วของตัวเองและเควินออกมาใส่ตะกร้าเตรียมไปซักวันหลัง แล้วก็เอาของอื่น ๆ ออกจากกระเป๋ามาจัดเก็บเข้าที่จนเรียบร้อย
     เควินหลับไปแล้วอย่างที่บอก ชินจิจึงเปิดประตูห้องออกไปอย่างเงียบ ๆ แต่พอเห็นว่ามีใครอยู่ในครัวบ้างในตอนนี้ ชายหนุ่มก็ปิดประตูกลับลงอีกครั้ง รอจนแน่ใจว่าคนที่เขาไม่อยากเผชิญหน้าด้วยในตอนนี้น่าจะกลับเข้าห้องตัวเองไปแล้ว ชินจิก็เปิดประตูห้องออกมาอีกครั้ง
     “ชินจิ” อัตสึโตะเรียกพร้อมกับโบกมือด้วยความดีใจเมื่อเห็นเพื่อนเดินเข้ามาในครัว “ไปเที่ยวมาสนุกไหม”
     ชินจิยิ้มให้อัตสึโตะและมานูเอลที่นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ได้ตอบคำถามของเพื่อน กลับตรงเข้ามาดึงแขนอัตสึโตะให้ตามเขามาที่หน้าต่างครัวที่อยู่ห่างโต๊ะอาหารมากพอจะคุยกันโดยที่ไม่มีใครได้ยินได้
     “มีอะไรรึเปล่าชินจิ” อัตสึโตะถามด้วยความสงสัย
     “เปล่าหรอก อยากถามนิดนึง เมื่อกี้ฟิลิปพูดอะไรกับนายรึเปล่า”
     “พูดอะไรล่ะ ก็ไม่นี่ ทักทายกันตามธรรมดา”
     ชินจิขมวดคิ้ว
     “ฟิลิปรู้เรื่องที่นายคบกับมานูเอลรึเปล่า”
     อัตสึโตะพยักหน้า ยังคงมองเพื่อนด้วยความไม่เข้าใจอยู่ดี
     “แล้วฟิลิปไม่ได้พูดอะไรกับนายเรื่องนี้เลยเหรอ” ชินจิพยายามถามต่อ
     อัตสึโตะนิ่งคิด แล้วก็ตอบว่า
     “พูดอะไรไหมเหรอ จริง ๆ ก็พูดนะ ตอนมานูบอกว่าเราเป็นแฟนกันแล้วน่ะ”
     “ฟิลิปพูดอะไรกับนายบ้าง” ชินจิเร่ง สีหน้าของเขาคาดหวัง
     อัตสึโตะทำหน้ายุ่งเมื่อถ่ายทอดคำพูดของประธานหอพักที่พูดกับเขาเมื่อสักครู่นี้ว่า
     “ฟิลิปมันหัวเราะน่ะ หัวเราะอะไรของมันก็ไม่รู้ แล้วก็บอกว่าโชคดีของฉันละ แต่โชคร้ายของมานู นายดูมันสิชินจิ ฉันคิดว่าไอ้เจ้าฟิลิปมันจะปกติที่สุดในฟลอร์ แต่กลับทะเล้นหน้าตาย น่าเตะมาก”
     ชินจิไม่ได้ฟังคำพูดยืดยาวของเพื่อน ในใจของเขาตอนนี้นึกไม่พอใจฟิลิปขึ้นมา ทำไมทีเขาคบกับเควิน ชายหนุ่มทำท่าเหมือนเขาทำอะไรผิด แต่ทีอัตสึโตะคบกับมานูเอลบ้าง ฟิลิปกลับไม่มีท่าทีต่อต้านเลยแม้แต่น้อย มันไม่ยุติธรรมเลย อัตสึโตะกับเขาต่างกันตรงไหน ก็เป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนเทอมเดียวเหมือนกัน เดี๋ยวก็ต้องกลับประเทศแล้วเหมือนกัน
     ชายหนุ่มลืมคิดไปว่าเรื่องแบบนี้ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ มันคนละกรณีกันโดยสิ้นเชิง ชินจิไม่ใช่อัตสึโตะ และเควินก็ไม่ใช่มานูเอลแต่เป็นเควินที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรง่าย ๆ
     วันศุกร์แรกหลังเบรกคริสต์มาส เควินก็จัดปาร์ตี้อีก แต่ไม่ใช่ที่ฟลอร์ของตัวเอง กลับไปใช้ฟลอร์ของมายะและยูเลี่ยนแทน ชินจิมารู้ทีหลังว่าเพราะกัญชาที่มาจากอัมสเตอร์ดัมนั่นเอง ฟิลิปไม่มีวันยอมเรื่องสูบกัญชาในฟลอร์และเควินก็ไม่อยากเสี่ยงมีปัญหากับประธานหอพักเหมือนกัน
     ปาร์ตี้ครั้งนี้ไม่ใหญ่ แต่เต็มไปด้วยคนที่กระหายอยากจะดูดบุหรี่ผสมกัญชา เควินแบ่งสรรปันส่วนกัญชาจำนวนสิบกรัมที่เขาเอาติดตัวมาให้เพื่อน ๆ ได้อย่างทั่วถึง เพราะแค่กรัมเดียวก็สามารถผสมได้สี่ห้ามวนแล้ว แบ่ง ๆ กันดูดคนละทีสองทีก็ ‘get high’ กันได้แทบทุกคน
     ชินจิยืนตัวชาอยู่ท่ามกลางควันกัญชา ทำอะไรไม่ถูก
     “ออกไปจากที่นี่เถอะ”
     ยูเลี่ยนกับมายะดึงแขนชินจิคนละข้างให้เดินตามออกไปนอกฟลอร์ตามมานูเอลที่ดึงแขนอัตสึโตะล่วงหน้าออกไปก่อนแล้วหลังจากพบว่าในงานนี้มีอะไรบ้าง
     “สรุปนี่มันเรื่องอะไรกันน่ะมานู”
     อัตสึโตะถามอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก จู่ ๆ เขาก็ถูกดึงตัวออกมาจากงาน หลังจากที่คนอื่น ๆ ในงานเริ่มสูบบุหรี่กัน แล้วมัทธีอัสก็ยื่นบุหรี่มาให้เขามวนหนึ่ง แต่เขายังไม่ทันจะรับ มานูเอลก็ทำหน้าบึ้งและลากตัวเขาออกมาแบบนี้
     ตามมาด้วยมายะ ยูเลี่ยนและชินจิ
     “พวกนั้นไม่ได้สูบบุหรี่ธรรมดาน่ะ แต่เป็นบุหรี่ผสมกัญชา ฉันไม่อยากให้นายยุ่งกับมัน” มานูเอลตอบ
     “กัญชานี่เอง นึกว่าอะไร” อัตสึโตะร้องอ๋อ เขานั่งลงบนขั้นบันไดข้าง ๆ คนรัก เอามือเท้าคาง ท่าทางไม่ได้ตกใจอะไรมากมาย “มิน่าทำไมกลิ่นมันแปลก ๆ”
     “ไม่เคยสูบใช่ไหม” มานูเอลถามเพื่อความแน่ใจ เพราะบางทีเขาก็กลัวใจอัตสึโตะที่ชอบทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ อยู่เหมือนกัน แต่คนรักของเขาส่ายหน้าทันที
     “ไม่เคย แล้วก็ไม่คิดอยากลองด้วย ฉันไม่สูบอะไรทั้งนั้นแหละ แต่ทำไมพวกนายทำหน้าซีเรียสจัง กัญชามันไม่ใช่อะไรร้ายแรงไม่ใช่เหรอ” อัตสึโตะงง
     “ใช่ มันเป็น soft drug แต่ยังไงมันก็เป็นยาเสพติดอยู่ดี” มานูเอลตอบ
     “อ้าว แล้วมันมานี่ได้ไงล่ะ”
     คำถามของอัตสึโตะทำให้สายตาของคนที่เหลือหันไปมองชินจิเป็นตาเดียว ชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับ
     “เควินเอามาจากอัมสเตอร์ดัม”
     “เอ๋? จริงเหรอเนี่ย” อัตสึโตะตาโต
     “หมอนั่นเข้าไปซื้อและก็สูบในคอฟฟี่ช้อป ตอนแรกฉันคิดว่าแค่สูบเล่นอยู่ที่นั่นอย่างเดียว ไม่คิดว่าจะเอากลับมาที่นี่ด้วย”
     ชินจิพูดพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งบนขั้นบันไดเหมือนคนหมดแรง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทุกคนพร้อมกับพูดต่อว่า
     “ขอโทษนะทุกคน ขอโทษนะมายะ ยูเลี่ยน ฟลอร์พวกนายคงมีแต่กลิ่นกัญชาไปอีกพักใหญ่ ๆ”
     “ไม่ใช่ความผิดนายสักหน่อย” มายะปลอบ “ความจริง เรื่องกัญชาในปาร์ตี้ก็เจอกันบ่อย ๆ จริงไหมวะไอ้เด็กเวร” ชายหนุ่มหันไปหาเสียงสนับสนุนซึ่งยูเลี่ยนก็พยักหน้ารับ
     “ถูกแล้วไอ้หน้าเต้าหู้ ที่นี่คนเขาก็สูบกันแหละ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่พวกฉันไม่ได้สูบเท่านั้นเอง”
     “ไอ้เด็กเวรแบบนายไม่สูบเหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ” มายะจิกกัด
     “เออ ไม่ยุ่งกับยาเสพติดโว้ย” ยูเลี่ยนยืนยัน
     อัตสึโตะหันมามองชินจิ แล้วถามว่า
     “นายโอเคไหม ชินจิ ดูสีหน้านายไม่ค่อยดีเลย นายเป็นอะไรรึเปล่า”
     ชินจิฝืนยิ้มให้ แต่จะโกหกว่าไม่เป็นอะไร เพื่อนก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดี จึงพูดแบบเลี่ยง ๆ ไปว่า
     “เหนื่อยนิดหน่อย แล้วก็ปวดหัวนิด ๆ ไม่ถูกกับกลิ่นบุหรี่กลิ่นกัญชาน่ะ แต่ฉันโอเค ไม่เป็นอะไรหรอก”
     “กลับไปที่ฟลอร์กันก่อนดีไหม” อัตสึโตะชวน แต่ชินจิส่ายหน้า
     “พวกนายกลับไปเถอะ ฉันจะอยู่รอเควินก่อน อีกสักพักหมอนั่นคงเลิกแล้วล่ะ”
     อัตสึโตะมองหน้ามานูเอล เมื่อฝ่ายหลังพยักหน้า เขาก็เลยตกลง
     “งั้นพวกฉันกลับก่อนนะ มายะยูเลี่ยน ดูชินจิด้วยล่ะ”
     หลังจากฝากฝังเสร็จ อัตสึโตะก็เดินออกมาจากตึกนั้นกับมานูเอล แต่สีหน้าของชายหนุ่มยังไม่ค่อยดีนัก เขาบอกมานูเอลว่า
     “ฉันเป็นห่วงชินจิ เควินชักจะทำเกินไปแล้วนะ”
     มานูเอลถอนหายใจออกมานิดหนึ่ง
     “เควินมันนิสัยเป็นแบบนี้ อะไรที่ห่าม ๆ มันทำหมดแหละ ถ้าชินจิจะคบกับคนอย่างเควิน เขาก็จะต้องเจออะไรแบบนี้”
     “นายไม่เป็นห่วงชินจิเลยเหรอมานู” อัตสึโตะชักหน้าบึ้งจนมานูเอลต้องจับมือเอาไว้
     “แน่นอนว่าฉันเป็นห่วงชินจิ ยังไงหมอนั่นก็เป็นเพื่อนฉันคนหนึ่ง แต่เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับสองคนนั้นนะอัตสึโตะ ถ้าชินจิไม่อยากทนคนอย่างเควิน หมอนั่นก็เลิกได้”
     “ชินจิคงไม่ยอมเลิก” อัตสึโตะพึมพำเนื่องจากเห็นมาตลอดว่าชินจิรักเควินมากแค่ไหน หมอนั่นมันเป็นคนจริงจังกับทุกอย่าง ทำอะไรก็ทุ่มสุดตัว รักก็รักหมดใจ มันต้องไม่ยอมเลิกกับเควินง่าย ๆ แน่
     “แล้วถ้าชินจิไม่ยอมเลิก เราก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ถูกไหมล่ะ ทำได้แค่คอยเป็นกำลังใจให้พวกนั้นเท่านั้นแหละ”
     “งั้นฉันจะคอยหยอดชินจิมันทุกวันให้มันเลิกกับเควินให้ได้” อัตสึโตะหมายมั่นปั้นมือขณะที่มานูเอลส่ายหน้าอย่างอ่อนใจแกมเอ็นดู เขาปล่อยมือจากอัตสึโตะแล้วเปลี่ยนเป็นโอบเอวอีกฝ่ายแทน
     “แต่ฉันว่านายอย่าเข้าไปยุ่งเรื่องของสองคนนั้นเลย เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ให้เขาจัดการกันเองเถอะ เราดูอยู่ห่าง ๆ น่ะได้ แต่ถ้าสอดมือเข้าไปยุ่ง มันจะมีแต่เรื่องวุ่นวายนะ เชื่อฉันเถอะ” มานูเอลปราม
     “แต่ฉันเป็นห่วงชินจิ หมอนั่นดูไม่มีความสุขเลย” อัตสึโตะยังเป็นกังวล
     มานูเอลจึงกระชับมือที่โอบเอวคนรักอยู่แน่นขึ้นอีกนิด อัตสึโตะก็เลยเอนศีรษะลงซบไหล่หนาของมานูเอลพลางฟังที่เขาพูดว่า
     “งั้นนายก็ต้องคอยดูชินจิเอาไว้บ้าง ถ้าหมอนั่นดูแย่ เราก็ชวนทำโน่นทำนี่ น่าจะทำให้ชินจิรู้สึกดีขึ้นได้บ้างนะ”
     “ตกลง ฉันจะบอกพวกมายะด้วย นี่มานู ถ้าเราชวนชินจิไปงานคาร์นิวัลที่เคิล์นด้วยล่ะ ดีไหม”
     “คาร์นิวัลน่ะไม่ต้องชวนหรอก เควินมันไม่เคยพลาดสักปี ยังไงมันก็ต้องชวนชินจิไปด้วยอยู่แล้ว”
     “งั้นก็โอเค” อัตสึโตะพยักหน้าหงึกหงัก มือของเขากอดตอบมานูเอลบ้าง แล้วทั้งสองคนก็เดินโอบเอวกันอย่างนั้นกลับไปที่ตึกของตัวเอง

     เควินยังไม่ยอมเลิกสูบบุหรี่ผสมกัญชาเสียทีจนชินจิทนไม่ไหว สุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องเดินเข้าไปสะกิดคนรักของเขา
     “นายจะกลับแล้วยังเควิน นี่มันดึกแล้วนะ”
     “ยัง อีกแป๊บนึงได้ไหม” เควินตอบอย่างไม่สนใจเท่าไร เขากำลังคุยสนุกสนานกับเพื่อนอยู่เลย รู้สึกว่าอะไรต่อมิอะไรรอบตัวมันดูน่าขำไปหมด
     “แต่ฉันอยากกลับแล้วล่ะ นะเควิน กลับกันเถอะ”
     ชินจิพยายามตื๊ออีก และทำให้เควินชักไม่ค่อยชอบใจขึ้นมา เสียงของเขาจึงห้วนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
     “นายกลับไปก่อนไป ฉันจะอยู่ต่ออีกหน่อย”
     “แต่ว่า...”
     ตอนนั้นเองที่คนอื่น ๆ หันมามองทั้งคู่ แล้วใครสักคนก็แหย่ขึ้นมาว่า
     “เมียมาตามแล้วเหรอเควิน กลับไปก็ได้นะ ไปเอาเมียซะก่อนแล้วค่อยกลับมาต่อก็ได้ เมียจะได้ไม่ต้องสะกิดยิก ๆ อยู่แบบนี้”
แล้วทุกคนก็หัวเราะขึ้นมาอย่างขบขัน ชินจิหน้าชา ส่วนเควินไม่พอใจขึ้นมาทันทีจนต้องหันมาเอ็ดชินจิที่เป็นคนทำให้เขาเสียหน้าว่าแฟนมาคอยตามจิกว่า
     “นายกลับไปที่ห้องเดี๋ยวนี้เลย อย่ามาเกะกะที่นี่”
     “เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย เควิน ดุเมียได้ยังไง เมียหน้าเสียแล้วเว้ย” เพื่อน ๆ ยังแซวกันต่อไป และเควินก็รู้สึกว่าเขาทนไม่ไหว ฤทธิ์กัญชาทำท่าจะหมดไปเพราะเขาไม่เห็นโลกรื่นรมย์อีกแล้ว ชายหนุ่มโมโหจนคว้าของที่อยู่ใกล้มือที่สุดขว้างใส่เพื่อนคนที่แซวเขา
     ของที่เขาขว้างไปคือเคบับที่ใครก็ไม่รู้ซื้อมาแล้ววางลืมไว้บนเค้านท์เตอร์ครัว
     “เฮ้ย อะไรกันวะ” เพื่อน ๆ เอะอะกันทันที เควินไม่สนใจ เขาหันไปคว้ามือชินจิแล้วลากถูลู่ถูกังตามหลังเขามา
     “เควิน ช้า ๆ หน่อย” ชินจิประท้วง แต่เควินไม่สนใจ เขาตวาดคนรักด้วยว่า
     “อยากให้กลับ ฉันก็กลับแล้วนี่ไง จะเอาอะไรอีก”
     ชินจิจึงจำต้องเงียบ ส่วนเควินก็บ่นไปตลอดทาง
     “เซ็งฉิบหาย กำลังสนุก ๆ อยู่ทีเดียว”
     แล้วเมื่อกลับขึ้นมาที่ฟลอร์ เควินก็ก่อเรื่องขึ้นมาอีก ชายหนุ่มรู้สึกปวดปัสสาวะ แต่เขาไม่ยอมเข้าไปในห้องของตัวเอง กลับเดินเซ ๆ ไปตามทางเดินจนถึงห้องในสุด แล้วปล่อยฉี่ออกมารดประตูห้องพักห้องสุดท้าย
     “เควิน! แย่แล้ว” ชินจิร้องเมื่อเห็นคนรักกำลังฉี่รดประตูห้องพักของคนอื่น แล้วเป็นห้องใครก็ไม่ว่าจำเพาะต้องมาเป็นห้องของฟิลิป
     “อะไรแย่ ฉันเข้าห้องน้ำ มันแย่ตรงไหนวะ” เควินไม่เข้าใจ
     “โธ่ นี่มันห้องน้ำที่ไหนเล่า” ชินจิรีบตรงมาจับแขนเควินเอาไว้
     ประตูห้องพักเปิดออกในจังหวะนั้นพร้อม ๆ กับหน้าถมึงทึงของเจ้าของห้อง ฟิลิปเห็นวีรกรรมของเพื่อนร่วมฟลอร์ที่กระทำต่อประตูห้องพักของเขาแล้วทนไม่ไหว เอ็ดตะโรลั่นว่า
     “ไอ้เควิน! ไอ้เวรตะไล! ฉันบอกนายกี่หนแล้วว่าไม่ให้เมาแล้วทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้!”
     “เสียงดังทำไม ปวดหัวน่ากัปตัน” เควินส่ายศีรษะ แต่แล้วก็หัวเราะร่วนเมื่อเห็นฟิลิปที่กำลังยืนกอดอกทำหน้าบึ้งมีหัวเพิ่มมาอีกหัวหนึ่ง
     “ขอโทษด้วยนะฟิลิป” ชินจิรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย สีหน้าของเขาเหมือนคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ฟิลิปจึงไม่อยากจะจิกตีเพื่อนร่วมฟลอร์คนนี้ไปด้วย เขาจึงเพียงแต่ชี้มือไปที่สิ่งที่เควินทำไว้ บอกเสียงเหี้ยมว่า
     “นายดูมันให้จัดการทำความสะอาดให้เรียบร้อยด้วยก็แล้วกัน พรุ่งนี้ถ้าฉันกลับมาที่ห้อง มันจะต้องไม่มีกลิ่นหรือร่องรอยอะไรเหลืออยู่ทั้งนั้น เข้าใจไหม”
     ชินจิรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ฟิลิปมองหน้าตาไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเควินสลับกับสีหน้าเป็นเดือดเป็นร้อนไม่สบายใจของชินจิแล้วเขาก็โคลงศีรษะ ก่อนจะกระแทกเท้าด้วยความไม่พอใจออกไปจากตรงนั้น
     เสียงเอ็ดตะโรของฟิลิปทำให้มิโรสลาฟและลูคัสที่อยู่ห้องใกล้ ๆ กันเปิดประตูออกมาดู พอเห็นว่าเป็นเควินที่ก่อเรื่องอีกตามเคยก็ไม่มีท่าทีแปลกใจนัก
     “เอาเควินกลับห้องก่อนเถอะ” มิโรสลาฟแนะนำ ชินจิพยักหน้าเงียบ ๆ พร้อมกับจับตัวเควินไว้และมีลูคัสเข้ามาช่วยอีกคนหนึ่งดึงเควินให้กลับเข้าไปในห้องได้ในที่สุด
     “ลำบากแย่เลยเนอะ มีแฟนเจ้าปัญหาอย่างไอ้เควินเนี่ย” ลูคัสแหย่ชินจิ แต่ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะขำดีหรือไม่ ตอนนี้เขามีแต่ความเหนื่อยใจและไม่เข้าใจเลยว่าทำไมช่างมีแต่เรื่องเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนแบบนี้ ตั้งแต่อยู่ที่อัมสเตอร์ดัมแล้ว เขากับเควินก็มีแต่เรื่องมีแต่ปัญหา แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่รู้ว่านี่มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเควินเท่านั้น
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 07.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 08-10-2014 11:26:36
     เควินตื่นขึ้นมาพบกับข่าวร้ายในเช้าวันถัดมา
     หลังจากที่เมื่อคืนเขากลับไปกับชินจิก่อน ชายหนุ่มก็ไปฉี่รดห้องของฟิลิป เขาโดนประธานหอพักด่าจนหูชาอีกรอบ แต่เขาไม่ต้องทำความสะอาดเพราะชินจิจัดการเรียบร้อยแทนเขาไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว หากเรื่องฉี่ก็ดูจิ๊บจ๊อยไปเลยเมื่อเทียบกับอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดตามขึ้นมา
     ในปาร์ตี้เมื่อคืนนั้น เพื่อน ๆ ของเขาคึกคะนองกันหนักมากจนเลยเถิดถึงขนาดไปเอาถังดับเพลิงมาฉีดเล่นกันจนขาวไปหมดทั้งฟลอร์ คนที่อยู่ในปาร์ตี้ทุกคนต้องร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดฟลอร์ทั้งหมดและถึงแม้เควินจะไม่ได้อยู่ด้วยตอนเกิดเรื่องแต่เขาเป็นเจ้าของกัญชาที่ทุกคนสูบกัน ชายหนุ่มจึงต้องรับผิดชอบไปด้วย
     เควินสบถลั่นห้องตอนที่รู้เรื่องนี้และอารมณ์เสียจนชินจิยังเข้าหน้าไม่ติด
     หลังจากวันนั้นระหว่างทั้งสองคนก็เหมือนมีช่องว่างที่มองไม่เห็นเกิดขึ้น เควินมักจะอารมณ์ไม่ดี ชินจิพูดอะไรก็ดูไม่ถูกหูไปหมดจนชินจิแทบจะไม่อยากพูดอะไรมากแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ยังอยู่ด้วยกันในห้องเดียวกัน
     “นายจะไปไหนน่ะเควิน”
     ชินจิถามขึ้นในวันหนึ่งหลังจากที่ทั้งสองคนมีอะไรกันตามปกติ แต่เควินกลับลุกขึ้นมาแต่งตัวเหมือนกับจะออกไปข้างนอก
     “ออกไปกินเบียร์หน่อย เจอโรมมันชวน”
     ชินจิทำท่าจะลุกตาม แต่เควินหันมาขมวดคิ้วใส่เสียก่อนพร้อมกับดักคอว่า
     “นายอยู่ที่นี่แหละ ฉันไปแป๊บเดียว ดื่มสักแก้วเดี๋ยวก็กลับ ช่วงนี้เจอโรมมันว่าฉันอยู่แต่กับนาย อยากไปดื่มกันโดยที่ไม่มีแฟนตามติดบ้าง นายไม่ใช่คนงี่เง่าคงเข้าใจใช่ไหม”
     เควินพูดจบก็ออกไปโดยที่ไม่สนใจชินจิที่นอนอยู่บนเตียงของเขาแม้แต่น้อย
     ชินจิไม่รู้ว่าตัวเองทนได้อย่างไร แต่เขาก็ทน แม้แต่เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากงานวันเกิดของเจอโรม เขาก็ยังอดทน
     วันเกิดเจอโรมตรงกับวันอังคาร เขากับเควินไปเดินเลือกซื้อของขวัญวันเกิดด้วยกันที่ห้างกรอพิอุส แต่ก็เลือกไม่ได้สักที ชินจิไม่รู้ว่าเจอโรมชอบอะไร ส่วนเควินเหมือนไม่ค่อยสนใจเท่าไร
     “อยากเลือกอะไรก็เลือก ๆ ไปเถอะ ไม่ต้องแพงมากก็ได้”
     ชินจิฟังแล้วนิ่วหน้าเล็กน้อยที่เควินพูดอย่างนั้น แถมชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ให้ไอเดียอะไรสักนิดทั้งที่รู้จักเจอโรมดีกว่าเขามาก
     “นายคิดว่าอะไรดีที่เจอโรมจะชอบล่ะ ถ้าเป็นเสือผ้าก็กลัวว่าจะไม่ถูกใจ” ชินจิขอคำปรึกษา
     “อะไรก็ได้ อันนั้นก็ได้” เควินชี้ส่ง ๆ ไปที่ราวเสื้อเสว็ตเตอร์ แต่ชินจิก็ยังรู้สึกว่ามันไม่เหมาะอยู่ดี
     “ไม่เอาเสื้อผ้าดีกว่า ถ้าซื้อไปแล้วเจอโรมไม่ชอบ มันจะเสียของเปล่า ๆ”
     “งั้นจะเอาอะไร เราเดินกันมาเป็นชั่วโมงแล้วนะ” เควินอุทธรณ์
     “น้ำหอมก็แล้วกัน” ชินจิตัดสินใจ แล้วก็เลือกได้น้ำหอมผู้ชายยี่ห้อที่เป็นที่นิยม กลิ่นไม่ฉุนจนเกินไปมาขวดหนึ่งเป็นของขวัญให้เพื่อนสนิทของเควิน
     งานวันเกิดของเจอโรมจัดในคลับรูม แต่คนที่ได้รับเชิญมีไม่มากเท่าไร ส่วนใหญ่เป็นเพื่อน ๆ ที่มาจากกาน่าด้วยกัน เพื่อนต่างชาติมีแค่เควินคนเดียวและแฟนอย่างชินจิเท่านั้นที่ได้รับเชิญ
     อาหารที่เลี้ยงในงานเป็นอาหารแบบแอฟริกัน บางอย่างชินจิกินแล้วชอบ เช่น ปลากระป๋องในน้ำเกลือคลุกผสมกับกะหล่ำสีเขียวหั่นละเอียดปรุงรสด้วยน้ำมะนาวนิดหน่อย แต่อาหารบางอย่างก็เผ็ดเกินไปจนเขากินไม่ได้ ชายหนุ่มจึงไม่ค่อยได้แตะอะไรมากนัก ได้แต่ดื่มน้ำอัดลมแล้วคุยกับเพื่อน ๆ ของเจอโรมบางคน แต่เขารู้สึกอึดอัดหลังจากที่เวลาผ่านไปแค่ไม่นาน
     ผู้ชายแอฟริกันนี่มือไม่เคยอยู่นิ่งเลย ชินจิสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เวลาคุยกันเป็นต้องพยายามจะกอดไหล่หรือกอดเอวเขาอยู่ตลอด ชินจิต้องปลดมือออกและขยับตัวหนีทุกที แต่ผู้ชายพวกนี้ก็ดูจะไม่รู้ตัว ยังคงขยับตามเขาอยู่นั่นเองจนชินจิต้องลุกหนีไปยืนเกาะอยู่กับเควินที่ยืนคุยกับเจอโรมและเพื่อนบางคนที่บาร์เครื่องดื่ม
     “เป็นอะไร” เควินหันมาถาม
     “เปล่า แต่ฉันรู้สึกอยากกลับไปที่ห้องแล้วน่ะ” ชินจิตอบ สีหน้าของเขาไม่ค่อยดีนัก
     “อ้าว แต่เราเพิ่งมาไม่เท่าไหร่เองนะ” เควินขมวดคิ้ว
     “นายกลับไปกับชินจิเถอะเควิน แฟนนายดูท่าจะไม่อยากอยู่แล้วจริง ๆ” เจอโรมพูดเรียบ ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะไม่พอใจแต่อย่างใด ชินจิจึงหันไปมองเขาอย่างขอบคุณพร้อมกับบอกว่า
     “ขอโทษนะเจอโรม ฉันรู้สึกอยากพักน่ะ สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งนะ ขอให้นายมีความสุขมาก ๆ”
     เจอโรมยกขวดเบียร์ที่ถืออยู่ในมือขึ้นรับคำอวยพรของเขา แล้วหันไปคุยกับคนอื่น ๆ ต่อ เควินเดินตามชินจิออกมาจากคลับรูม แต่สีหน้าเหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร เมื่อเข้าไปในห้องพัก เขาจึงเปิดฉากถามอย่างเอาเรื่องนิด ๆ ว่า
     “นายเป็นอะไรขึ้นมาอีก ฉันเพิ่งคุยกับเจอโรมได้แป๊บเดียวเท่านั้นนะ”
     “ฉันไม่ชอบที่นั่นนี่นา” ชินจิพูดด้วยความอัดอั้น “เพื่อนเจอโรมทำให้ฉันอึดอัด นายไม่เห็นเหรอ เวลาคุยกันชอบเอามือมาแตะนั่นแตะนี่ โอบเอวบ้าง โอบไหล่บ้าง ฉันไม่ชอบเลย ฉันไม่อยากให้ใครมาแตะตัวฉันนอกจากนายคนเดียว”
     เควินถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ตรงเข้ามากอดชินจิไว้
     “ฉันรู้แล้ว นายไม่ต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขนาดนั้นหรอก ฉันก็นึกว่านายไม่อยากให้ฉันอยู่ในงานนาน ๆ เลยงอแง”
     “ไม่โกรธนะเควิน แต่ฉันไม่อยากอยู่ตรงนั้นจริง ๆ”
     “โอเค ฉันเข้าใจ”
     เควินจูบหน้าผากของคนรักและกอดเขาแน่นขึ้นอีก รู้สึกเริ่มมีอารมณ์เมื่อชินจิเบียดตัวเข้าหาเขาแบบนี้ ชายหนุ่มจึงดันตัวชินจิลงบนเตียง แล้วถอดเสื้อผ้าของเขาออก แต่ขณะที่กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม เควินก็สบถด้วยความขัดใจ
     “ไม่มีถุงยางอนามัย!”
     ชินจิผงกศีรษะขึ้นมามอง
     “อ้าว หมดแล้วเหรอ”
     “หมดแล้วสิ” เควินพูดด้วยความหงุดหงิด “ฉันไม่ได้ซื้อเอาไว้ ลืมไปว่ามันหมด นายก็ไม่มีใช่ไหม”
     ชินจิส่ายหน้า เขาจึงสบถอีกด้วยความไม่พอใจ
     “ทำไมนายไม่ซื้อเอาไว้บ้างล่ะ หมดแล้วยังงี้จะทำยังไง นายน่ะให้ฉันซื้ออยู่คนเดียว ทั้งที่เราก็สนุกด้วยกันแท้ ๆ คราวหลังเราต้องหารกันบ้างแล้วล่ะ ช่วงนี้ฉันค่าใช้จ่ายเยอะซะด้วย ต้องมาซื้อถุงยางอนามัยอีก หมดตัวกันพอดี”
     ชินจิพูดอะไรไม่ออก เพราะไม่นึกว่าเรื่องแค่นี้จะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้ ในเมื่อปกติเควินจะเป็นคนซื้อ ส่วนตัวของเขาก็ไม่ใช่ไม่จ่ายอะไรเลย ค่าอาหารที่กินกันตอนนี้เขาก็จ่ายเพราะทำอาหารกินด้วยกัน ของใช้บางอย่างหมดเพราะใช้ด้วยกัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ชายหนุ่มก็เป็นคนซื้อ เขาไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยอะไรเลย แต่ไม่นึกว่าเควินจะเป็นคนที่คิด
     เควินหมดอารมณ์จะทำต่อ เขาปลดปล่อยโดยใช้มือ แล้วก็พลิกตัวนอนหันหลังให้
     ชินจิเองก็นอนหันหลังให้เควินเหมือนกันโดยที่เขาไม่เคยทำมาก่อน น้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ
     บนเส้นทางรักของเขากับเควินนับวันก็ยิ่งพบเจอแต่อุปสรรคและปัญหา ทางที่พวกเขาเดินมีแต่หลุมบ่อให้ต้องหยุดชะงักหรือบางครั้งก็สะดุดล้มจนต้องเสียน้ำตา แต่ถึงอย่างนั้น ชินจิก็ดื้อรั้นเกินไปที่จะหยุดเดินหรือเปลี่ยนเส้นทางใหม่ เพราะชายหนุ่มยังหวังอยู่ลึก ๆ ว่าถ้าเขาผ่านช่วงที่วิบากที่สุดอย่างตอนนี้ไปได้ เส้นทางข้างหน้าก็คงจะไม่ขรุขระเหมือนอย่างทุกวันนี้อีก

     ขณะที่ชินจิหกล้มหกลุกอยู่บนเส้นทางของเขา อัตสึโตะกับมานูเอลก็กำลังเดินจูงมือไปด้วยกันช้า ๆ บนเส้นทางที่เรียบไม่มีสิ่งใดมากีดขวาง
     ความรักของทั้งคู่ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ก็มีความตื่นเต้นนิด ๆ หน่อย ๆ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 08.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 08-10-2014 12:32:35
รักต้องอดทนว่างั้นเถอะ  คิดผิด คิดใหม่ดีกว่ามั๊ง ชินจิ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 08.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 08-10-2014 16:04:43
     อัตสึโตะชอบมานอนเล่นอยู่ที่ห้องของมานูเอล อ่านหนังสือทบทวนบทเรียนด้วยกันบ้าง หรือไม่ก็ดูหนัง ดูการ์ตูน เล่นเกมคอมพิวเตอร์ บางครั้งก็นั่งเล่นเกมกระดานอย่างหมากรุกหรือโกะ เล่นกันไปเถียงกันไปเท่านี้ก็เพลิดเพลินไปด้วยกันได้ทั้งวันแล้ว
     อัตสึโตะไม่ได้ตัวติดกับมานูเอลตลอดเวลา เพราะเขายังมีมายะคอยตามติดและบางทีก็ยังแกล้งขัดคอพวกเขาด้วยอารมณ์พาล ๆ ซึ่งมานูเอลไม่รู้สึกอะไรเพราะชินแล้ว แต่ถ้าอยากอยู่ด้วยกันสองคนเมื่อไรก็จะแอบหนีออกมาเที่ยวกันเองอย่างวันนี้
     มานูเอลตั้งใจจะพาอัตสึโตะมาเดินเที่ยวที่สวนสัตว์เบอร์ลิน แต่ฝ่ายหลังกลับอยากไปเดินเล่นในสวนเทียร์การ์เท่นก่อน มานูเอลขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมตามใจคนรัก เพียงแต่กำชับว่า
     “ห้ามเดินใจลอยเด็ดขาด สวนนี่ตอนหน้าหนาวหิมะตกยังงี้หลงทางเอาได้ง่าย ๆ เลย เพราะหิมะมันคลุมถนนไปหมด”
     ชายหนุ่มอธิบายขณะที่เดินมาด้วยกันจากสถานีเอสบาห์น เขาชี้ให้ดูป้ายเตือนว่าถ้าจะเข้าไปตอนหน้าหนาวต้องระวังความปลอดภัยของตัวเอง
     “ถ้าหิมะตกหนักมาก ๆ สวนก็ปิด” มานูเอลบอก
     “เราก็ไม่ต้องเข้าไปลึก ๆ สิ ไปเหยียบ ๆ นิดหน่อยก็พอ” อัตสึโตะว่า เขาตื่นเต้นมากที่ได้เข้ามาในสวนกลางกรุงที่กว้างใหญ่ราวกับป่าแห่งนี้ ยิ่งมาในหน้าหนาว หิมะตกเต็มไปหมด ทำให้สวนมีแต่สีขาว สีเทาและสีดำ ยิ่งน่าพิศวง ต่างกับในหน้าร้อนที่จะมีแต่สีเขียวทุกทิศทุกทาง
     “นายห้ามปล่อยมือฉันนะ” มานูเอลทำความตกลงกันก่อนซึ่งอัตสึโตะก็ทำตามอย่างว่าง่ายเพราะกลัวว่าถ้าดื้อจะอดเข้ามา
     “เหมือนป่าจริง ๆ เลย” อัตสึโตะอุทานเมื่อหันมองรอบตัว ต้นไม้เต็มไปหมด แต่ตอนนี้เหลือแต่กิ่งก้านที่มีหิมะเกาะ
     “เมื่อก่อนเป็นที่ล่าสัตว์ของกษัตริย์แห่งปรัสเซีย หน้าตามันก็เลยดูเหมือนป่า แต่ภายหลังก็มาปรับให้เป็นสวนสาธารณะ มีถนน มีทางเดิน มีสนามหญ้า แต่ก็ยังคงสภาพป่าเอาไว้ตามเดิมในบางจุด” มานูเอลอธิบาย “ลึกเข้าไปข้างในมีสวนอังกฤษ สวนฝรั่งเศส มีทะเลสาบ เบียร์การ์เด้น ร้านอาหาร คาเฟ่ มีเรือให้เช่าพายเล่นด้วยนะ”
     “ถ้ามาตอนหน้าร้อนคงสนุกกว่านี้ใช่ไหม”
     “แน่นอน เรามาปิกนิกกันได้ ย่างบาร์บีคิวกินกันก็ได้ พายเรือ เล่นเสก็ต จ๊อกกิ้ง หรือมาปูผ้านอนเล่นเฉย ๆ ก็ได้”
     “ปูผ้านอนเล่นกับบาร์บีคิวนี่น่าสนใจที่สุด” อัตสึโตะตาเป็นประกาย
     “แต่มาตอนหน้าหนาวแบบนี้ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ นอกจากมาเดินเล่นชมหิมะ” มานูเอลพูด แต่อัตสึโตะฟังแล้วยิ้มกริ่ม ปล่อยมือจากมานูเอล แล้วก้มลงไปกอบหิมะขึ้นมาปาใส่หน้าคนรักทันที
     “เฮ้ย!” มานูเอลร้อง เขาไม่รู้ว่าตกใจอะไรมากกว่ากันระหว่างอัตสึโตะปล่อยมือของเขากับโดนหิมะปาหน้าแบบนี้ แต่ยังไม่ทันจะโวยอะไร อัตสึโตะก็กลับมาจับมือเขาเอาไว้เหมือนเดิมพร้อมกับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเมื่อกี้นี้ไม่ได้ผิดสัญญากับเขา
     “เจ้าเล่ห์นักนะนาย” มานูเอลกัดฟันกรอด อัตสึโตะหันมายักคิ้วให้อย่างกวน ๆ
     “หน้าหนาวทำอะไรได้เยอะจะตาย จริงไหม”
     ขาดคำอัตสึโตะ สงครามปาหิมะก็เริ่มต้น แต่เป็นสงครามที่ทุลักทุเลที่สุดเพราะทั้งสองคนปาหิมะใส่กันโดยที่มือยังจับกันไว้แน่น
     อัตสึโตะกับมานูเอลเดินเล่นด้วยกันในสวนเทียร์การ์เท่นไม่นานเท่าไรเพราะต้องไปสวนสัตว์เบอร์ลินที่อยู่ห่างออกไปราว ๆ กิโลเมตรครึ่งหรือหนึ่งสถานีรถไฟเอสบาห์นเพื่อให้ทันเวลาให้อาหารหมีขาวขั้วโลกในตอนสิบโมงครึ่ง
     “หมีขาวที่นี่มันอยู่ไม่สุขจริง ๆ ด้วย” อัตสึโตะเกาะขอบปูนชะโงกไปมองหมีขาวสองสามตัวที่เดินพล่านไปมาอยู่ตามพื้นหินที่ทำเป็นชั้น ๆ เพื่อให้หมีปีนป่ายเล่น
     “ขนมันดูกระดำกระด่างยังไงไม่รู้ด้วยล่ะ สีน้ำตาลเป็นหย่อม ๆ ไม่เป็นสีขาวสะอาด”
     “ก็ยังดีกว่าคราวที่แล้วที่ฉันมา ขนมันสีเขียว ยังกับหมีราขึ้น” มานูเอลพูด
     เมื่อถึงเวลาให้อาหาร เจ้าหน้าที่จะมายืนที่ริมขอบปูนพร้อมกับถังใบใหญ่ใส่เนื้อและปลาชิ้นโต ๆ แล้วขว้างไปให้ บางชิ้นก็ตกลงไปในสระน้ำที่กั้นระหว่างขอบปูนกับพื้นหินที่หมีอยู่ บางชิ้นก็ไปค้างอยู่ที่ก้อนหินให้หมีเดินลงไปกิน บางครั้งเจ้าหน้าที่ก็โยนให้ชิ้นเนื้อตกลงในน้ำใกล้ ๆ กับกำแพงกระจกเพื่อให้หมีว่ายน้ำมากิน คนก็จะได้เห็นตัวมันใกล้ ๆ
     “สุดยอดเลย” อัตสึโตะอุทานด้วยความทึ่ง ก่อนจะรำพึง “อยากเป็นคนโยนให้มันกินบ้างจัง เท่สุด ๆ”
     “นายมีแรงโยนเหรอ” มานูเอลถามยิ้ม ๆ แล้วก็เลยโดนอัตสึโตะค้อนใส่
     “มีสิ จับนายทุ่มลงไปเป็นอาหารหมีพวกนี้ก็ยังไหวเลย ลองดูไหมล่ะ”
     ใกล้กับที่อยู่ของหมีขาวคือรูปปั้นเจ้าคนุต มานูเอลพาอัตสึโตะไปเยี่ยมเจ้าลูกหมีขาวที่เคยเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของสวนสัตว์เบอร์ลิน แต่ตอนนี้มันนอนหลับอย่างสงบไปเสียแล้ว
     “ตัวจริงมันคงน่ารักมากเลยเนอะ” อัตสึโตะถามขณะที่ลูบหัวที่เป็นหินของมัน
     “น่ารักมาก ขนสีขาว เหมือนตุ๊กตาไม่มีผิด” มานูเอลตอบ
     ถัดจากหมีขั้วโลก อัตสึโตะกับมานูเอลไปดูการให้อาหารลูกแมวน้ำต่อ ครั้งนี้เจ้าหน้าที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนดูโดยอธิบายให้ฟังว่าให้มันกินอะไร อย่างไรบ้าง พร้อมกับโยนอาหารไปด้วย เจ้าลูกแมวน้ำมันก็ว่ายน้ำไปงับปลา แต่บางตัวเจ้าหน้าที่ก็ป้อนให้เลยถึงปาก
     “ดูมันวิ่งสิ ตลกจัง กระดุ๊กกระดิ๊กเหมือนนายตอนเด็ก ๆ ที่วิ่งไปเอาตุ๊กตาหมีเลย” อัตสึโตะหัวเราะพร้อมกับชี้ให้ดูเจ้าลูกแมวน้ำที่เดินปัดไปปัดมาเพื่อไปขออาหารจากเจ้าหน้าที่ คราวนี้มานูเอลเลยเป็นฝ่ายค้อนใส่บ้าง งึมงำว่า
     “ไม่น่าเปิดวีดิโอให้ดูเลย เอามาล้อกันตลอดสิน่า”
     หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้ดูการให้อาหารสัตว์อีก แต่เดินเล่นดูสัตว์ต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ
     สวนสัตว์มีบริเวณกว้างใหญ่ ต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด เหมือนป่าบวกรวมกับสวนสัตว์ ที่อยู่สำหรับสัตว์ใหญ่ก็กว้างขวางไม่คับแคบจนน่าอึดอัด แต่คงจะเย็นเท้าอยู่สักหน่อยเพราะพวกมันต้องย่ำไปบนหิมะ และถึงแม้อัตสึโตะจะถ่ายรูปที่สวนสัตว์เกลเซ่นเคียเช่นเก็บเอาไว้มากแล้ว แต่เขาก็อดถ่ายรูปยีราฟกับม้าลายที่เดินอยู่บนหิมะเก็บไว้ไม่ได้อีก รวมทั้งสัตว์เท่ ๆ อย่างหมาป่าอาร์คติกที่ขนมันเป็นสีขาวยืนนิ่งอยู่บนโขดหิน
     ทั้งสองคนเดินกันจนเหนื่อย ดูสัตว์ทุกตัวที่อยากดูและแวะซุ้มขายของที่ระลึกก่อนจะออกจากสวนสัตว์
     ก่อนกลับไปที่อัดเลอร์สโฮฟ มานูเอลชวนอัตสึโตะแวะดูโบสถ์แห่งความทรงจำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสวนสัตว์นัก เป็นโบสถ์ที่หลังคาแหว่งไปเพราะถูกทำลายในช่วงสงคราม แต่ยังถูกอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพถูกทำลายอย่างนั้น ไม่ได้ซ่อมแซมใหม่ และกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเบอร์ลินเหมือนกับประตูบรันเดนบวร์ก
     แล้วทุกครั้งที่กลับมาจากหนีเที่ยว อัตสึโตะจะเจอมายะบ่นเป็นหมีกินผึ้ง หรือถ้ามียูเลี่ยนด้วยก็จะกลายเป็นบ่นคูณสองค่าที่ทิ้งเพื่อนไปเที่ยวกันสองคน แต่ฝ่ายหลังนี่นอกจากบ่นแล้วยังแซวด้วย บางทีแซวหนักจนอัตสึโตะทั้งเขินทั้งเครียด
     “นายเป็นอะไรน่ะอัตสึโตะ มองฉันยังงั้นทำไม” มานูเอลถามเมื่อเห็นคนรักจ้องเขาตาไม่กะพริบ อัตสึโตะมานั่งเล่นที่ห้องเขาตามปกติ หอบเอาหนังสือมาอ่านด้วย แต่เอามากางไว้เฉย ๆ ไม่ยักสนใจจะอ่าน เอาแต่จ้องหน้าเขา
     “มานู นายเป็นกามตายด้านรึเปล่า”
     ของบนชั้นที่มานูเอลกำลังจัดอยู่ตีลังกาหล่นลงมาบนพื้นเสียงดังโครมครามทันที
     “ทำไมนายถามยังงี้ล่ะ” มานูเอลตาเหลือก
     “ก็เมื่อวานที่เรากลับมาจากสวนสัตว์น่ะ ฉันเจอยูเลี่ยน มันบ่นใหญ่ที่เราแอบไปเที่ยวกันไม่บอกมัน แต่พอบ่นเสร็จมันก็แซวฉัน แล้วก็ถามว่าอยู่กับนายมีความสุขไหม ฉันตอบว่ามีความสุข มันก็ถามอีกว่าอยู่กับนายสนุกไหม ฉันตอบว่าสนุก มันก็หัวเราะคิกคักน่าเตะมาก แล้วก็ถามต่อว่านายทำกับฉันท่าไหนถึงว่าสนุก”
     มานูเอลกลอกตา กัดฟันกรอด ไอ้เวรยูเลี่ยน เล่นเขาจนได้
     “แล้วนายตอบมันไปว่ายังไง”
     “ไม่ได้ตอบ ฉันบอกว่าถ้าอยากรู้ก็ให้ไปถามนายเอง” อัตสึโตะตอบ แล้วก็ทำหน้ายุ่ง เมื่อพูดต่อว่า “แต่ฉันก็สงสัยเหมือนกัน   แหละ เราก็คบกันมาตั้งเดือนแล้ว นายไม่เห็นทำอะไรมากกว่าจูบเลย นายคงไม่ได้กามตายด้านใช่ไหม”
     มานูเอลอยากจะเอามือกุมขมับ
     “ฉันปกติดีทุกอย่าง เพียงแต่ฉันไม่อยากจะเร่งรัดอะไรนายเท่านั้นเอง เราเพิ่งเริ่มคบกัน ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต่อไปเรื่องของเราสองคนจะเป็นยังไง ถ้ารีบร้อนมีอะไรกัน แล้วเราไปกันไม่ได้ นายจะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลัง แต่ก็ไม่ใช่ฉันจะไม่คิดเรื่องนี้เลยหรอกนะ กำลังคิดว่าวาเลนไทน์จะเหมาะรึเปล่า ฉันอยากให้ครั้งแรกระหว่างเรามันเป็นสิ่งที่น่าจดจำ”
     “งั้นไอ้ที่พูดมายาว ๆ ทั้งหมดนี้หมายความว่ายังไงนายก็ยังไม่ยอมมีเซ็กซ์กับฉันตอนนี้ใช่ไหม” อัตสึโตะสรุปคำพูดของมานูเอลออกมาได้ภายในประโยคเดียว ฝ่ายหลังเห็นแก้มป่อง ๆ แล้วหมั่นเขี้ยวขึ้นมาไม่น้อยจึงคว้าตัวอัตสึโตะกดลงบนเตียง มือสองข้างกำข้อมือของอัตสึโตะแน่นจนชายหนุ่มนิ่วหน้านิด ๆ
     “อยากจะให้ทำตอนนี้ก็ได้” มานูเอลพูดและมองด้วยสายตาท้าทาย แต่อัตสึโตะกลับส่ายหน้า
     “ไม่เอาดีกว่า รอก็ได้ เห็นนายทำหน้าหื่น ๆ เป็นยูเลี่ยนแบบนี้แล้วมันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนไม่ใช่นายเลย”
     มานูเอลฟังแล้วคลี่ยิ้ม อัตสึโตะก็เลยยิ้มตาม บอกว่า
     “เนี่ย ทำหน้าแบบนี้ดีกว่า ค่อยเหมือนมานูของฉันหน่อย”
     มานูเอลยิ้มมากขึ้น คลายมือออกจากข้อมือของอัตสึโตะ แล้วดึงตัวอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมานั่ง เขาหยิกแก้มคนรักเล่นทีหนึ่งด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลุกไปหยิบของที่หล่นกระจายอยู่เต็มพื้นขึ้นมาเก็บไว้ที่เดิม
     “นั่นนายทำอะไรน่ะ”
     มานูเอลถามเมื่อหันกลับมาอีกครั้งแล้วเห็นอัตสึโตะเอาปฏิทินตั้งโต๊ะบนโต๊ะทำงานของเขามาเขียนอะไรยุกยิก อัตสึโตะหันปฏิทินมาให้ดู ทำหน้าไร้เดียงสาบอกกับเขาว่า
     “กาปฏิทินไง นับวันรอว่าเมื่อไหร่จะถึงวันวาเลนไทน์”
     มือของมานูเอลกระตุกจนข้าวของบนชั้นเล่นกายกรรมลงมาบนพื้นอีกรอบ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 08.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 08-10-2014 17:04:52
สงสัยจะไม่ถึงวาเลนไทน์ซะละม๊างงงงงง 555555
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 08.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 08-10-2014 20:51:32
สงสารชินจิ มากๆ
ส่วนคู่มานูกับอัตสึโตะก็น่ารักดี  o13
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 08.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 09-10-2014 13:14:33
บทที่ 13

     วาเลนไทน์เป็นโอกาสพิเศษที่ชินจิฮึดขึ้นมาอีกครั้ง
     ชายหนุ่มต้องการจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเควินดีขึ้นให้ได้จึงตั้งใจทำของขวัญวาเลนไทน์ให้เควินอย่างดีที่สุด ชินจิชวนอัตสึโตะกับมายะไปที่ห้างกรอพิอุสเพื่อหาซื้อวัตถุดิบเตรียมทำช็อกโกแลต เขาเลือกช็อกโกแลตทั้งแบบดาร์กและแบบไวท์ด้วยความตั้งอกตั้งใจพร้อมกับแบบพิมพ์รูปหัวใจและสีผสมอาหาร
     “นายจะให้อะไรมานูเอล” ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นอัตสึโตะไม่ได้เลือกซื้ออะไรเป็นพิเศษ
     “การ์ด ฉันเลือกเอาไว้แล้ว” อัตสึโตะหยิบการ์ดวาเลนไทน์รูปหมีหน้าตาตลกออกมาให้ดู
     “แค่นี้น่ะเหรอ ไม่มีของขวัญ ไม่มีช็อกโกแลต” ชินจิขมวดคิ้ว
     “ฉันทำไม่เป็นนี่ แต่จะให้ก็เสียดาย อยากเก็บไว้กินเองมากกว่า” อัตสึโตะตอบหน้าตาเฉย มายะก็รีบสนับสนุนทันที
     “จริง ให้ไอ้มานูเอลกินช็อกโกแลตก็เสียของเปล่า เอาไปแค่การ์ดใบเดียวก็พอแล้ว”
     “พวกนายนี่จริง ๆ เลย ทำไม่เป็นก็ซื้อก็ได้ วาเลนไทน์ทั้งทีจะทำอะไรส่ง ๆ ได้ยังไง เดี๋ยวฉันซื้อของพวกนี้แล้วจะไปช่วยนายเลือกช็อกโกแลตให้มานูเอลเอง ยังไงวาเลนไทน์ก็ต้องมีช็อกโกแลต”
     “นายจริงจังไปรึเปล่าน่ะชินจิ” อัตสึโตะถาม ทำหน้าแหยง ๆ เมื่อเห็นหน้าของชินจิเคร่งเครียดเหลือเกิน มายะก็พลอยแปลกใจด้วยเหมือนกัน
     “เปล่า ฉันก็แค่ไม่อยากให้นายเสียโอกาส ถ้านายไม่ให้ช็อกโกแลตวาเลนไทน์ นายก็ไม่ได้ของขวัญวันไวท์เดย์นะ”
     “จริงด้วย” อัตสึโตะตาโต ขณะที่มายะกลอกตา พึมพำด้วยอาการเซ็ง ๆ ว่า
     “ไอ้เวรชินจิ จับจุดอัตสึโตะตรงเป๊ะ เรารึอุตส่าห์ดีใจที่ไอ้หมียักษ์มันจะอดกินช็อกโกแลต”
     อัตสึโตะจึงตกลงจะทำช็อกโกแลตวาเลนไทน์กับชินจิ ของก็เลยต้องซื้อเพิ่มขึ้น มายะที่ทำท่าเซ็ง ๆ แต่ก็อดยื่นมือเข้ามาช่วยไม่ได้อยู่ดี ชายหนุ่มสอนให้เพื่อนทั้งสองคนละลายช็อกโกแลตในหม้อที่ตั้งแช่น้ำร้อน หม้อที่เป็นไวท์ช็อกโกแลตก็ใส่สีผสมอาหารลงไปให้เป็นสีต่าง ๆ ตามที่ต้องการ แล้วเทใส่พิมพ์
     ชินจิเลือกพิมพ์รูปหัวใจอันเล็ก ๆ เขาทำช็อกโกแลตรูปหัวใจหลายสีใส่ขวดโหล แล้วเขียนข้อความหวาน ๆ ใส่กระดาษชิ้นเล็ก ๆ หลายชิ้นใส่ไว้ในขวดโหลด้วย กะว่าเควินหยิบช็อกโกแลตขึ้นมากินก็จะได้เห็นข้อความแสดงความรักของเขาควบคู่กันไปด้วย ส่วนอัตสึโตะใช้พิมพ์รูปหัวใจอันใหญ่ทำชิ้นเดียวแล้วแต่งหน้าด้วยข้อความตลก ๆ กับวาดรูปหมีและโปเกมอนปิกะจูลงไปเป็นอันเสร็จ ของที่เหลือมายะทำออกมาเป็นช็อกโกแลตแบบธรรมดา ๆ ใส่กล่องเตรียมไว้ให้รุ่นพี่และเพื่อน ๆ ที่พวกเขารู้จัก ถือว่าเป็นช็อกโกแลตตามธรรมเนียม
     “นี่ของนาย” อัตสึโตะหยิบช็อกโกแลตชิ้นหนึ่งส่งให้มายะ เป็นช็อกโกแลตรูปก็อตซิลล่า “ฉันเห็นว่ามันหน้าเหมือนนายเลยซื้อมาให้ สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะ”
     มายะซึ้งใจจนน้ำตาแทบไหลที่อัตสึโตะไม่ลืมเขา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำเอง เป็นแค่ช็อกโกแลตบ้า ๆ บอ ๆ ที่ซื้อมา แต่เขาก็ยังดีใจอยู่ดี ชายหนุ่มขยับจะเข้าไปกอดอัตสึโตะ แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ เปิดกล่องหยิบเอาช็อกโกแลตตามธรรมเนียมออกมาส่งให้ชิ้นหนึ่ง
     “สุขสันต์วันวาเลนไทน์เช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันให้แค่ช็อกโกแลตตามธรรมเนียมกับนาย ความจริงก็อยากทำให้เหมือนเดิมอยู่หรอก แต่ขี้เกียจว่ะ นายไปเอาจากไอ้หมียักษ์นูเทลล่าของนายก็แล้วกัน”
     อัตสึโตะยิ้ม รับช็อกโกแลตตามธรรมเนียมจากมายะมาส่งเข้าปาก
     “ขอบใจนะ ช็อกโกแลตของนายจะเป็นแบบไหนก็อร่อยอยู่ดีแหละ”
     ส่วนชินจิก็หอบเอาขวดโหลใบใหญ่เข้ามาเซอร์ไพรซ์เควินในห้อง ชายหนุ่มตรงเข้ามากอดคนรักเอาไว้แน่นพร้อมกับพูดว่า
     “สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะเควิน”
     “อะไรกันเนี่ย” เควินมองขวดโหลใบใหญ่ใส่ช็อกโกแลตรูปหัวใจหลายสีด้วยความแปลกใจ
     “ช็อกโกแลตวาเลนไทน์ของนาย ฉันทำเองเลยนะ ชอบไหม”
     “ขอบใจมาก สวยดีจัง แต่รสชาติจะเป็นยังไงนะ” ชายหนุ่มถาม ทำท่าจะเปิดขวดโหล แต่ชินจิหยิบมาเปิดให้เอง เขาหยิบช็อกโกแลตชิ้นหนึ่งขึ้นมากัดแล้วป้อนเควินด้วยปากของเขา
     “อร่อยไหม”
     “อร่อยมาก” เควินตอบ มองสบสายตาเย้ายวนของชินจิ แล้วรั้งศีรษะอีกฝ่ายให้ก้มต่ำลงมาหา แต่หลังจากนั้นชินจิก็เป็นฝ่ายรุกเองทั้งที่ปกติเขาไม่เคยทำ ชายหนุ่มถอดถุงเท้าให้คนรักเห็นสีเล็บสีแดงสดที่กระตุ้นอารมณ์เควินได้ดีที่สุด แล้วเมื่อเห็นตาของเควินเป็นประกายด้วยความพึงพอใจ ชินจิก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นบรรเลงเพลงรักทันที
     เขาทำทุกอย่างให้เควินมีความสุข
     ทั้งคู่นอนกอดกันแนบแน่นหลังจากช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านพ้นไป เควินดูอารมณ์ดีจนชินจิคิดว่าเรื่องต่าง ๆ มันเริ่มดีขึ้นแล้วจริง ๆ
     “ฉันรักนายนะเควิน” ชินจิพูด ขยับตัวเข้าหาคนรักมากขึ้นซึ่งเควินก็กระชับอ้อมกอดของเขาแน่นขึ้นเหมือนกัน
     “ฉันก็รักนายเหมือนกัน นายเป็นคนที่น่ารักที่สุดเลยรู้ไหม ใจเย็น อดทน ไม่ว่าฉันจะทำอะไรบ้า ๆ ยังไงนายก็ทนฉันได้ตลอด นี่ถ้าฉันไม่มีนาย ฉันจะเป็นยังไงมั่งก็ไม่รู้นะ ฉันว่าฉันชักจะเสพติดการมีนายแล้วล่ะ”
     ชินจิหน้าบานเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาผงกศีรษะขึ้นมามองเควินพร้อมกับถามด้วยความหวังว่า
     “ตอนที่ฉันกลับญี่ปุ่นไปแล้ว นายจะไปเยี่ยมฉันไหม”
     “ไปสิ ฉันจะไปเยี่ยมนาย”
     “จริงนะ”
     เควินพยักหน้า แล้วเขาก็กอดชินจิอีก จมูกซุกไซ้ซอกคอของคนรัก ชินจิก็สนองตอบอย่างเต็มที่ ในใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความสุขสมหวัง ยิ่งเมื่อเควินพลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบนตัวของชินจิและบอกเขาว่า
     “ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เสียนายไป”
     ชินจิก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังอยู่บนสรวงสวรรค์
     เส้นทางรักของเขากำลังจะกลับมาราบเรียบและเต็มไปด้วยความสุขแล้วใช่ไหม?
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 12 - update - 08.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 09-10-2014 13:18:15
     มานูเอลหัวเราะด้วยความขบขันเมื่อเห็นช็อกโกแลตวาเลนไทน์เขียนข้อความตลก ๆ จากอัตสึโตะ
     „Ich habe Bärenhunger!“
     ข้างใต้ข้อความเป็นโปเกมอนปิกะจูอ้าปากกว้างจะงับหัวหมีที่หลับตาปี๋
     ส่วนเจ้าของช็อกโกแลตนั่งอยู่บนเตียง กำลังกอดตุ๊กตาหมีชาลเก้ของเขาและส่งช็อกโกแลตที่เขาซื้อให้เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
     มานูเอลยิ้มนิด ๆ
     ก็ไม่รู้นะว่าวันนี้ใครจะกินใครกันแน่
     “นายนี่แย่จังเลยนะ มานู ให้ช็อกโกแลตฉันวันนี้ซะงั้น แล้วตอนไวท์เดย์จะทำยังไงล่ะ” อัตสึโตะบ่นขึ้นมา
     “อ้าว” มานูเอลเลิกคิ้ว
     “คนญี่ปุ่นมีไวท์เดย์ด้วยนะ นายรู้รึเปล่า วันที่สิบสี่มีนาคม ผู้ชายจะให้ของตอบแทนผู้หญิงสำหรับช็อกโกแลตวาเลนไทน์ในวันนั้นล่ะ”
     “รู้แล้วล่ะ ชินจิกับมายะบอกฉันแล้ว”
     “งั้นฉันจะได้ของขวัญวันไวท์เดย์ด้วยใช่ไหม” อัตสึโตะถามด้วยแววตาเป็นประกาย แล้วก็ทำหน้ายู่เมื่อโดนมานูเอลดีดหน้าผาก
     “งกจริง ฉันต้องให้นายอยู่แล้วล่ะ”
     “เย้” อัตสึโตะร้อง แล้วโยนช็อกโกแลตชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เมื่อช็อกโกแลตหมด ความสนใจของชายหนุ่มก็กลับมาอยู่ที่คนรักอีกครั้งหนึ่ง อัตสึโตะมองมานูเอลตาแป๋ว
     “อร่อยไหม” มานูเอลถาม อัตสึโตะพยักหน้า
     “อิ่มไหม” มานูเอลถามต่อ อัตสึโตะส่ายหน้า
     “งั้นฉันไปทำอาหารเย็นดีกว่า นายอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมวันนี้ มายะสอนฉันทำแกงกะหรี่เมื่อวันก่อน ฉันเลยว่าจะลองทำสปาเก็ตตี้แกงกะหรี่ สนใจรึเปล่า ใส่ชีสด้วย” มานูเอลถาม
     อัตสึโตะส่ายหน้าอีก
     “ไม่เอา ไม่อยากกินแกงกะหรี่”
     “หรือเอาเป็นพาสต้าอย่างอื่นดีกว่า”
     “พาสต้าก็ไม่เอา”
     “แล้วนายจะเอาอะไร”
     อัตสึโตะจ้องหน้ามานูเอลอย่างขัดใจ แล้วก็เลยงอน ซุกหน้ากับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่
     “อัตสึโตะ เป็นอะไรอีกเนี่ย ลุกขึ้นมาคุยกันก่อนสิ” มานูเอลพยายามกลั้นยิ้มเต็มที่
     “ไม่เอา” เสียงอู้อี้ของอัตสึโตะตอบกลับมา หน้ายังซุกอยู่กับพุงตุ๊กตา
     “สงสัยโมโหหิว ฉันไปทำอาหารเย็นแล้วนะ รอแป๊บนึง”
     อัตสึโตะลุกขึ้นมานั่งทันที มือยังกอดตุ๊กตาหมีไม่ยอมปล่อย แต่หน้ามุ่ย โวยว่า
     “นายอย่าแกล้งฉันสิ!”
     มานูเอลหัวเราะออกมาแล้วคราวนี้ ชายหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ คนรักที่ยังยึดตุ๊กตาหมีแน่น ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บแก้มป่อง ๆ ของคนที่กำลังงอนหน้าคว่ำ อัตสึโตะจึงยอมปล่อยมือจากตุ๊กตาหมีและโผกอดอีกฝ่ายแน่น มานูเอลกอดกระชับร่างของอัตสึโตะแน่นเช่นเดียวกัน
     “ขอโทษที นายมันน่ารักน่าแกล้งนี่ ฉันรักนายนะอัตสึโตะ”
     เขาพูด แต่ไม่หวังคำตอบหวาน ๆ จากอัตสึโตะ และก็จริงเพราะหมอนั่นแค่ตอบเสียงอู้อี้ว่า
     “รู้แล้วน่า!”
     มานูเอลแตะหน้าผากของตัวเองกับหน้าผากของอัตสึโตะเหมือนเมื่อครั้งที่เขายอมรับความรู้สึกจากหัวใจของตัวเองว่าเขารักผู้ชายที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาคนนี้ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มไม่ต้องหักห้ามใจตัวเองอีกต่อไป
     “นายพร้อมใช่ไหม” มานูเอลถามเสียงแผ่ว
     แล้วเมื่ออัตสึโตะพยักหน้า ริมฝีปากของมานูเอลก็ประกบลงมา แผ่วเบาอ่อนโยนในตอนแรกก่อนจะเร่าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ อัตสึโตะโอบแขนรอบคอคนรักเอาไว้พร้อมกับตอบรับด้วยความรู้สึกทั้งหมดจากหัวใจของเขา
     ในความรู้สึกที่ล่องลอยเหมือนอยู่ท่ามกลางปุยเมฆ อัตสึโตะแทบไม่รู้ตัวว่าเขากอดมานูเอลแน่นแค่ไหนและเสียงของเขาที่ลอดผ่านริมฝีปากออกไปนั้นหวานแค่ไหนขณะที่พูดว่า
     “มานูเอล ฉันรักนายที่สุด”
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 09.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 09-10-2014 16:44:58
วันนี้ที่รอคอย ....  อัตสึโตะ  กล่าว 555
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 09.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 09-10-2014 20:06:15
     เรื่องทุกอย่างทำท่าจะดีขึ้นจริง ๆ
     ทริปสุดท้ายของเทอมนี้เริ่มต้นด้วยความชื่นมื่น เป็นความสนุกสนานครั้งใหญ่ก่อนจะถึงช่วงเวลาแห่งการสอบอันแสนทารุณและการจากลาหลังจากการเรียนในภาคฤดูหนาวจบลง
     อัตสึโตะกับมานูเอลไปร่วมฉลองคาร์นิวัลที่เคิล์นตามคำชวนของโธมัส พวกเขาเดินทางไปพร้อมกับมายะ ยูเลี่ยน เควิน ชินจิและเจอโรม เมื่อรถไฟอีเซเอจากเบอร์ลินจอดเทียบท่าที่สถานีเคิล์นในตอนบ่ายโมงกว่า ๆ พวกเขาก็เจอโธมัส เบเนดิกท์ และแฟนของพวกเขาที่ชื่อลิซ่าเหมือนกันมารอรับอยู่แล้ว
     ทุกคนกอดทักทายกันด้วยความดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง มีเพียงเควินกับเจอโรมที่เพียงแต่จับมือด้วยเพราะไม่คุ้นเคยกับเพื่อนของมานูเอลเท่ากับคนอื่น ๆ
     “เอาของไปเก็บที่โวนนุ่งก่อนละกันนะ แล้วค่อยออกมาเที่ยวในเมืองกัน” ลิซ่าแฟนโธมัสบอก หญิงสาวเป็นคนสวยมาก สวยและหวานจนเมื่อเจอกันครั้งแรก พวกอัตสึโตะพากันสงสัยว่าทำไมคนสวยอย่างลิซ่าถึงไปตกหลุมรักผู้ชายที่บ้า ๆ รั่ว ๆ อย่างโธมัสได้
     ส่วนลิซ่าอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นแฟนเบเนดิกท์ดูเป็นคนเอาจริงเอาจัง แต่ก็เป็นมิตรและทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีเพราะหล่อนเรียนอยู่ที่นี่ โวนนุ่งหรือที่พักที่พวกเขาจะไปพักกันคืนนี้ก็เป็นโวนนุ่งที่หล่อนเช่าอยู่กับเพื่อน ๆ แต่ตอนนี้โวนนุ่งว่างเพราะเพื่อน ๆ ของหล่อนไปเรียนและฝึกงานที่ต่างประเทศกันหมด ลิซ่าจึงได้ครองโวนนุ่งคนเดียวและสามารถเปิดให้เพื่อน ๆ ของแฟนมาพักกันระหว่างมาเที่ยวงานคาร์นิวัลได้
     “มานู เคิล์นนิช วาสเซอร์ คืออะไร”
     ระหว่างที่เดินตามกันมา อัตสึโตะกระตุกชายเสื้อคนรักเมื่อเห็นตัวอักษรสีฟ้าขนาดใหญ่เด่นเป็นสง่าเขียนว่า „Echt Kölnisch Wasser“ ติดอยู่ภายในตัวอาคารสถานีชนิดอยู่ที่ไหนในบริเวณสถานีแห่งนี้ก็ต้องมองเห็น
     “อ๋อ น้ำหอมไง โอเดอโคโลญจน์ 4711 สินค้าขึ้นชื่อของเคิล์น ที่ขวดมันสีฟ้า ๆ ทอง ๆ” มานูเอลอธิบาย ชี้ให้ดูป้ายตัวเลขสีทองที่ติดอยู่เหนือตัวหนังสือ
     “กลิ่นเป็นยังไง น่าใช้ไหม”
     “ฉันว่ากลิ่นดั้งเดิมมันฉุนไปหน่อย แต่ก็เห็นออกกลิ่นใหม่ ๆ มาเหมือนกันนะ มีทั้งบอดี้สเปรย์ โลชั่น ถ้านายอยากลองกลิ่นดูและเรามีเวลา ฉันจะพาไปที่ร้านที่กล็อกเค่นกัซเซ่อ” มานูเอลบอก
     เมื่อออกมาจากสถานีรถไฟ พวกเขาก็เจอกับความยิ่งใหญ่อลังการของมหาวิหารแห่งเมืองเคิล์นเป็นสิ่งแรกซึ่งเป็นโบสถ์สไตล์โกธิคที่ใหญ่โตมโหฬาร หอคอยทั้งสองสูงเสียดฟ้า อัตสึโตะต้องแหงนหน้าจนคอตั้งบ่าถึงจะมองเห็นได้ทั้งหมด
     “ถ่ายรูปกันเถอะ” ชินจิชวนทุกคนพลางหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาเพื่อเก็บภาพเป็นที่ระลึกก่อนจะเดินต่อเพื่อไปยังที่พักซึ่งอยู่ห่างออกไปจากสถานีรถไฟและมหาวิหารไม่ไกลนักในบริเวณนอยชตัดท์นอร์ด ใช้เวลาเดินราว ๆ สิบห้านาที
     โวนนุ่งที่พักเป็นตึกสีน้ำตาลอมเหลือง ภายในกว้างขวางและเป็นระเบียบ คงเพราะเป็นที่พักของผู้หญิง ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์บอกว่าเพื่อนร่วมโวนนุ่งทั้งสองคนของหล่อนเป็นผู้หญิงทั้งหมด โวนนุ่งแห่งนี้มีสามห้องนอน หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องนั่งเล่นและหนึ่งห้องน้ำ ด้านนอกมีระเบียงเล็ก ๆ ที่วางโต๊ะกับเก้าอี้ไว้สำหรับนั่งพักผ่อน
     “อาจจะคับแคบหน่อยนะ แต่ก็น่าจะพออยู่ด้วยกันได้” ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์ออกตัวเมื่อเปิดห้องให้ทุกคนดู หล่อนให้โธมัสกับลิซ่าอีกคนมานอนที่ห้องของหล่อนกับเบเนดิกท์ อีกห้องหนึ่งให้เควิน ชินจิและเจอโรมนอนด้วยกัน และห้องสุดท้ายเป็นมานูเอลกับอัตสึโตะพักรวมกับมายะและยูเลี่ยน
     “แต่ถ้านอนสี่คนอึดอัด จะออกมานอนที่ห้องนั่งเล่นก็ได้นะ โซฟาปรับเป็นเตียงได้” เจ้าของโวนนุ่งบอกเมื่อเห็นมายะกับยูเลี่ยนตีหน้าปุเลี่ยน ๆ เพราะไม่ว่าจะได้นอนบนเตียงหรือบนพื้นหน้าเตียง ทั้งสองคนก็ต้องนอนด้วยกัน เนื่องจากอัตสึโตะไม่ยอมนอนกับคนอื่นที่ไม่ใช่มานูเอล
     “ฉันนอนที่ห้องนั่งเล่นเอง ขอบใจนะลิซ่า” ยูเลี่ยนแทบจะโดดกอดแฟนเพื่อนที่เสนอทางออกให้เพราะตอนนี้เขาใกล้จะผื่นขึ้นแล้วเมื่อเห็นว่าตัวเองอาจจะได้นอนกับไอ้หน้าเต้าหู้
     “ดี ไปเลย ชิ่ว ๆ” มายะถือโอกาสไล่ทันที
     หลังจากแบ่งห้องและเก็บของเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็ออกมาเดินเที่ยวในเมืองกัน เคิล์นตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศที่มาร่วมงานคาร์นิวัล ทุกคนสนุกกันอย่างสุดเหวี่ยง เดินไปไหนก็เห็นผู้คนหัวเราะหรือแต่งตัวแปลก ๆ ตลก ๆ ในมือถือเบียร์แก้วโต
     “คาร์เนวัลเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่สิบเอ็ดเดือนสิบเอ็ด เวลาสิบเอ็ดนาฬิกาสิบเอ็ดนาที บางแห่งก็เรียกฟาสชิ่ง ถ้าเป็นทางใต้จะเรียกฟาสท์นาคท์ เป็นช่วงเวลาก่อนการเริ่มต้นการถือศีล Fasten ของพวกคาธอลิก ช่วงนั้นนะจะห้ามไม่ให้มีการกินเนื้อสัตว์หรือดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้นก่อนการเริ่มต้นฟาสเท่น เราจึงต้องฉลองกันอย่างสุดเหวี่ยง” ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์เล่าขณะที่เดินกลับมาเริ่มต้นกันที่มหาวิหารประจำเมือง “คาร์นิวัลจะถูกเบรกในช่วงคริสต์มาส พอจบคริสต์มาส เราก็กลับมาฉลองกันอีก Straßenkarneval หรือความบ้าคลั่งทั้งหลายจะเริ่มขึ้นในวันไวเบอร์ฟาสท์นาคท์ แล้วก็ฉลองกันอย่างสุดเหวี่ยงต่อเนื่องตลอดเจ็ดวัน ผู้คนออกมาเดินพาเหรด แต่งคอสตูมเดินกันตามท้องถนน เรียกว่าช่วงนี้คนบ้าครองเมืองเลยล่ะ”
     “แล้วพรุ่งนี้ที่เป็นวันจันทร์ เราจะเรียกว่า โรเซ่นโมนถาก ถือเป็นไฮไลท์ของคาร์นิวัลเลยนะ จะมีขบวนพาเหรดยาวหลายกิโลไปตามท้องถนน มีการแสดง มีการเต้น มีดนตรี มีรถลากแต่งอย่างสวยงาม แล้วคนในขบวนจะโยนขนม ดอกไม้ ช็อกโกแลตมาให้พวกเราด้วยล่ะ” ลิซ่าแฟนโธมัสเสริมต่อพร้อมกับยิ้มหวาน
     “แสดงว่าพรุ่งนี้เราก็จะได้ช็อกโกแลตน่ะสิ ว้าว” อัตสึโตะฟังแล้วตาเป็นประกายทันที
     ทั้งหมดมีเวลาเที่ยวเคิล์นครึ่งวันบ่าย ตอนแรกเจ้าบ้านต้องการจะให้เที่ยวชมย่านเมืองเก่าและถ่ายรูปกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญสัญลักษณ์ของเคิล์นก่อน แต่ตอนที่มากันนั้นมีการจัดแสดงนิทรรศการแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่พิพิธภัณฑ์โอดิสเซอุมพอดี แผนการจึงต้องเปลี่ยนนิดหน่อย การเที่ยวชมเมืองเคิล์นจึงเริ่มต้นขึ้นที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นอาคารกระจกสีขาวขนาดใหญ่
     มานูเอลกับอัตสึโตะตรงไปส่วนที่จัดแสดงนิทรรศการแฮร์รี่ พอตเตอร์ก่อนอื่น สำหรับคนอื่น ๆ ที่ไม่ชอบด้วยก็สามารถสนุกสนานกับกิจกรรมที่น่าสนใจอย่างอื่นในพิพิธภัณฑ์ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็เดินตามกันไปดูโลกแห่งพ่อมดด้วยกันทั้งนั้น
     “สุดยอดเลย” อัตสึโตะอุทานเมื่อเห็นของต่าง ๆ จากในหนังสือและที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งเจ็ดภาคจัดแสดงอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มดึงมือมานูเอลให้เข้าไปสำรวจฮอกวอตส์ กระท่อมของแฮกริด ห้องโถงใหญ่ ห้องเรียน และหอนอนของแฮร์รี่ที่มีชุดต่าง ๆ ที่เขากับรอนใส่จัดแสดงอยู่
     ทั้งสองคนเพลิดเพลินอยู่ในโลกของพ่อมดและมนตร์วิเศษจนแทบไม่ได้สนใจใคร พากันไปดูถ้วยรางวัลการแข่งไตรภาคี ไปลองยกต้นแมนเดรกหน้าตาน่าเกลียดที่กรีดร้องเสียงโหยหวน ไปดูชุดควิดดิชแบบต่าง ๆ และลองโยนลูกควัฟเฟิลให้เข้าห่วง
     “สองคนนั้นน่ารักดีนะ” ลิซ่าแฟนโธมัสหันมาพูดกับคนอื่น ๆ หลังจากที่มองอัตสึโตะกับมานูเอลอยู่พักใหญ่ “ฉันนึกว่าพอเลิกกับคาธี่แล้วมานูจะแย่ แต่เห็นยังงี้ก็ดีใจ”
     โธมัสกระแอม แต่แฟนสาวของเขาไม่ได้เฉลียวใจจนกระทั่งแขนทั้งสองข้างของหล่อนถูกมายะกับยูเลี่ยนล็อกเอาไว้คนละข้าง
     “ปกติฉันเป็นสุภาพบุรุษนะ ไม่ทำร้ายผู้หญิง แต่เธอพูดจาทำร้ายจิตใจพวกเรามาก ใช่ไหมไอ้หน้าเต้าหู้” ยูเลี่ยนพูดเสียงเหี้ยม มายะก็รับลูกต่ออย่างไม่ขัดเขิน
     “ถูกแล้ว ไอ้เด็กบ้า เธอทำร้ายจิตใจพวกเราจนยับเยิน ลิซ่า ฉันจะจับเธอไปปล่อยในอวกาศ”
     ลิซ่าแฟนโธมัสตาโตเมื่อถูกมายะกับยูเลี่ยนลากไป โธมัสยืนหัวเราะขำ ไม่ยอมเข้าไปช่วยแฟนตัวเอง เบเนดิกท์กับลิซ่าอีกคนหนึ่งโคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ แต่ไม่ได้ขยับตัวไปช่วยเหมือนกัน
     “พวกนั้นนี่ยังเครซี่อัตสึโตะไม่เลิกเลยนะ” เบเนดิกท์พูด
     “บ้าไม่เปลี่ยน” โธมัสยังหัวเราะอยู่ ขณะที่ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์พูดว่า
     “ฉันจะเดินไปบอกมานูกับอัตสึโตะก็แล้วกัน พวกเธอตามสามคนนั้นไปก่อนก็ได้”
     ชินจิก็พลอยอมยิ้มไปกับคนอื่น ๆ ด้วยเหมือนกัน แต่เมื่อหันไปเห็นหน้าเฉย ๆ ของเควินกับเจอโรม รอยยิ้มของเขาก็หายไป ชายหนุ่มชวนว่า
     “ไปดูไดโนเสาร์กันต่อดีไหม แล้วค่อยกลับมาเจอพวกนั้น” เขาพยายามเลือกสิ่งที่คิดว่าคนรักกับเพื่อนจะสนใจ แล้วเดินไปบอกคนอื่น ๆ ว่าจะขอแยกไปยังส่วนที่จัดแสดงหุ่นยนต์ไดโนเสาร์ก่อน ดังนั้นเมื่อลิซ่าแฟนเบเนดิกท์เดินกลับมาสมทบกับคนอื่น ๆ พร้อมกับมานูเอลและอัตสึโตะ พวกชินจิก็แยกไปอีกทางแล้ว

     อวกาศที่มายะว่าคือกิจกรรมที่ถูกเรียกว่าการฝึกเป็นนักบินอวกาศ ในพิพิธภัณฑ์มีการจำลองการฝึกนักบินอวกาศโดยจะให้คนเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่ถูกยึดให้ติดกับวงกลมสองวงที่มีเพียงเส้นรอบวง แล้ววงกลมสองวงที่ซ้อนไขว้กันอยู่จะหมุนไปหมุนมาให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หมุนตามไปด้วยจนหัวทิ่มเท้าชี้ฟ้า
     โธมัสยืนขำมองดูแฟนของเขาถูกเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงอยู่ในวงกลม อัตสึโตะมองด้วยความสนใจอยากจะเข้าไปลองบ้างและหลังจากลิซ่าแฟนโธมัสถูกเหวี่ยงอยู่ห้านาทีก็เป็นตาของเขา
     “นายเอาของที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาก่อน” มานูเอลเตือนแล้วช่วยเก็บโทรศัพท์มือถือกับเศษเหรียญสามสี่อันที่อัตสึโตะเก็บใส่กระเป๋ากางเกงไว้ ของอย่างอื่นชายหนุ่มเก็บเอาไว้ในกระเป๋าสะพายใบเล็กซึ่งเขาก็ถอดให้มานูเอลช่วยถือให้เช่นกัน เพราะการจะเข้าไปเล่นเจ้าเครื่องนี้ได้มีเงื่อนไขพอประมาณคือต้องไม่มีของอยู่ในกระเป๋าเสื้อหรือกางเกง และต้องไม่มีแผลสด เพิ่งผ่าตัด กระดูกหัก หรือไม่เป็นโรคบางอย่างเช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ไม่เมา ไม่เสพยา และที่สำคัญต้องสูงไม่เกินร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตรและน้ำหนักไม่เกินเก้าสิบกิโลกรัม ซึ่งอัตสึโตะผ่านทั้งหมด แต่มานูเอลอดเล่นเพราะเขาตัวสูงเกินไปและน้ำหนักเกินด้วย
     “ไหวไหมอัตสึโตะ” มานูเอลถามหลังจากที่เห็นคนรักเดินทำหน้ามึน ๆ ลงมาหลังจากถูกเหวี่ยงอยู่ประมาณห้านาที อัตสึโตะพยักหน้า แต่เขาเกาะแขนมานูเอลแน่นและพึมพำแบบมึน ๆ ว่า
     “ไหว แต่ฉันคิดว่าฉันไม่มีวันเป็นนักบินอวกาศได้อย่างเด็ดขาด”
     คนอื่น ๆ ที่ได้ยินเข้าพากันหัวเราะชอบใจเพราะลิซ่าแฟนโธมัสก็พูดเหมือนกันไม่มีผิด
     “ไปไหนต่อดี” มายะถาม
     “ไปดูไดโนเสาร์ไหม พวกชินจิก็น่าจะอยู่แถวนั้น” โธมัสเสนอและนำทุกคนไป
     พวกชินจิไม่ได้อยู่ทีส่วนจัดแสดงไดโนเสาร์แล้วตอนที่พวกเขาไปถึง แต่ทุกคนก็ไม่ได้สนใจนัก คิดว่าค่อยโทรศัพท์หากันอีกทีก็ได้ แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปดูสิ่งที่ตัวเองสนใจ อัตสึโตะก็หายมึนทันทีที่เห็นหุ่นจำลองไดโนเสาร์เหมือนของจริงเปี๊ยบอยู่ตรงหน้า เขาพุ่งเข้าหาไทรันโนซอรัสเร็กซ์ก่อนเพื่อน
     “สุดยอด” ชายหนุ่มอุทานคำนี้เป็นครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่เขาตื่นเต้นมาก ๆ ที่เห็นเจ้าทีเร็กซ์ขยับได้อยู่ท่ามกลางพรรณไม้ของโลกล้านปี หัวใหญ่ ๆ ของมันขยับไปทางโน้นทางนี้ทีพร้อมกับอ้าปากกว้างอวดฟันซี่ใหญ่แหลมคมและคำรามขู่ขวัญเสียงเหี้ยม
     “ทีเร็กซ์ไม่ได้เป็นไดโนเสาร์ชนิดที่ใหญ่โตและร้ายกาจที่สุดอีกต่อไปแล้ว” มานูเอลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตัวอัตสึโตะพูดขึ้นมา “แต่มันก็ยังมีเสน่ห์และเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
     อัตสึโตะเงยหน้าขึ้นมายิ้มรับอย่างเห็นด้วย เขาก็ชอบเจ้าฟันแหลมสุดโหดนี่ที่สุดเหมือนกัน
     “แต่ฉันชอบแร็พเตอร์ด้วยนะ ไดโนเสาร์หมาหมู่ในหนังของสปีลเบิร์กน่ะ โหดดี”
     “เอ แต่ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีแร็พเตอร์รึเปล่านะ” มานูเอลพูดแล้วดึงมืออัตสึโตะให้เดินตามหา
     พวกอัตสึโตะได้กลับมาเจอกับชินจิ เควินและเจอโรมอีกครั้งที่ห้องจำลองการบิน เควินไม่สนใจแฮร์รี่ พอตเตอร์ ไดโนเสาร์ หรือกิจกรรมวิทยาศาสตร์อย่างอื่น แต่เขากลับสนุกกับการขับเครื่องเชสน่าในการจำลองซิมูเลเตอร์ ชินจินั่งข้าง ๆ เขาและเจอโรมนั่งอยู่ข้างหลังร่วมกันมองความสวยงามของเคิล์นในมุมสูงจากเครื่องบินเชสน่าจำลอง
     ชินจิรู้สึกดีมากที่ในที่สุดเควินก็ดูสนุกสนาน ไม่ได้ทำหน้าเฉย ๆ เหมือนเดิมอีก
     แต่อย่างไรก็ตามเควินก็คือเควินที่ไม่ชอบเข้าพิพิธภัณฑ์อยู่ดี หลังจากออกจากโอดิสเซอุมและทราบว่าทุกคนอยากไปพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตกันต่อ ชายหนุ่มก็ขอบายทันที
     “ฉันไม่อยากไปพิพิธภัณฑ์แล้ว ฉันจะไปหา Kölsch กินสักหน่อย”
     เควินหมายถึงเคิลช์เบียร์ ของขึ้นชื่อของเมือง เป็นเบียร์สีอ่อนเสิร์ฟในแก้วทรงสูงขนาด 0.2 ลิตร
     ชินจิละล้าละลัง ตอนที่ลิซ่าแฟนโธมัสพูดถึงพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตให้อัตสึโตะฟังนั้น ชายหนุ่มรู้สึกว่าน่าสนใจมากและเขาก็อยากไป
     “งั้นพวกนายสองคนก็ไปหาเบียร์กิน ชินจิก็มาพิพิธภัณฑ์กับพวกเรา” อัตสึโตะดึงแขนชินจิทันที เสียงของเขาแข็งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เพราะลึก ๆ แล้วเขาไม่ค่อยพอใจเควินมาตั้งแต่เรื่องอัมสเตอร์ดัมและปาร์ตี้กัญชาที่ทำให้ฟลอร์ของมายะพังแล้ว
     “อัตสึโตะ” มานูเอลเรียกชื่อคนรักเป็นเชิงปรามพร้อมกับจับไหล่ของอัตสึโตะไว้
     “ชินจิ” อัตสึโตะเรียกอีก
     “เอ้อ...ฉันขอโทษนะ ฉันว่าฉันไปกับเควินดีกว่า” ชินจิปลดมือของเพื่อนออกจากแขนของเขาอย่างนุ่มนวล สีหน้าของชายหนุ่มไม่ค่อยดีเท่าไร แต่เขาก็ตัดสินใจแล้ว
     “แล้วค่อยเจอกันนะอัตสึโตะ”
     ชินจิเดินไปกับเควินและเจอโรมแล้ว อัตสึโตะจึงสบถออกมาด้วยความขัดใจว่า
     “ชินจิเป็นอย่างนี้ทุกที จะเอาใจเควินมันไปถึงไหน!”
     มานูเอลโอบไหล่คนรักทันที แต่อัตสึโตะก็ยังไม่ยอมหยุดพูดด้วยความไม่พอใจ
     “เห็น ๆ อยู่ว่าชินจิอยากไปพิพิธภัณฑ์ ไอ้เควินมันยังไม่สนใจเลย เบียร์น่ะกินเมื่อไหร่ก็ได้ คืนนี้ก็ยังได้ แค่ไปเป็นเพื่อนแฟนแค่นี้มันจะลำบากอะไรนักหนา ฉันไม่ชอบใจจริง ๆ นะ ชินจิแคร์เควินมากเกินไปแล้ว ไอ้เควินมันเคยแคร์แฟนมันมั่งรึเปล่า”
     ทุกคนมองอัตสึโตะเป็นตาเดียว โดยเฉพาะเพื่อน ๆ ของมานูเอลและแฟนสาวของพวกเขาที่มองมาด้วยความสนใจเพราะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรมาก่อน
     “ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงชินจิ แต่จำที่ฉันเคยบอกได้ไหมว่าเรื่องความรักเป็นเรื่องของเควินกับชินจิแค่สองคน เราทำได้แค่ดูอยู่ห่าง ๆ แค่นั้น ชินจิรักเควินมากแล้วเขาก็เลือกที่จะอยู่กับเควิน เลือกความต้องการของเควินก่อนความต้องการของตัวเอง นั่นคือความรักแบบของชินจิ ถึงนายจะไม่ชอบ แต่นายก็ต้องยอมรับนะ”
     “ชินจิรักเควิน แล้วเควินล่ะ รักชินจิจริง ๆ รึเปล่า”
     มานูเอลไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้ของอัตสึโตะ เขาเพียงแต่พูดว่า
     “ฉันตอบแทนเควินไม่ได้หรอก แต่ฉันเชื่อว่าชินจิมีคำตอบอันนี้อยู่ เราคอยช่วยชินจิเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือดีกว่า”
     “นายพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง” อัตสึโตะถาม ทั้ง ๆ ที่ในใจของเขาก็มีคำตอบอยู่แล้ว
     “ไม่มีอะไรหรอก แค่พูดเผื่อไว้ ชินจิอาจจะไม่ต้องการความช่วยเหลือของพวกเราก็ได้”
     อัตสึโตะไม่พูดอะไรต่อ แต่กอดมานูเอลแน่นด้วยความอัดอั้นซึ่งชายหนุ่มก็กอดตอบ แล้วโยกตัวไปมาช้า ๆ เพื่อเป็นการปลอบโยน พลางบอกด้วยน้ำเสียงติดตลกว่า
     “คิดมากแบบนี้จะกินช็อกโกแลตไม่อร่อยนะ น่าเสียดาย ที่พิพิธภัณฑ์มีน้ำพุช็อกโกแลตอันใหญ่ยักษ์เลยให้เราเอาวัฟเฟิลไปจุ่ม นายไม่อยากกินเหรอ”
     “จริงเหรอ” อัตสึโตะเงยหน้าขึ้นมาทันที มานูเอลพยักหน้า
     “จริงสิ วัฟเฟิลจุ่มช็อกโกแลตอร่อย ๆ นายจะกินส่วนของฉันด้วยก็ได้”
     “ว้าว สุดยอด งั้นเราไปกันเลยนะ” อัตสึโตะหน้าชื่นขึ้นมาทันที 
     ข้างหลังพวกเขา มายะถอนหายใจเฮือกใหญ่ โธมัสเข้ามาตบหลังปลอบใจปุปุ แต่คำพูดของมันนี่บาดใจเขายิ่งนัก
     “หึหึ อัตสึโตะอารมณ์ดีละ หมอนี่มันโคตรแพ้ทางมานูเลย ไปไหนไม่รอดแล้วล่ะแบบนี้ ส่วนนายน่ะ ตัดอกตัดใจซะเถอะเพื่อน”
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 09.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 09-10-2014 20:45:08
ชิ........ชินจิ คงอยู่ในข่าย ... รุ้เขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอก
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 09.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 09-10-2014 21:44:03
เป็นกำลังใจให้ชินจิ สู้ๆน้าค้า o13
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 09.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 10-10-2014 07:18:32
     พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตเป็นอาคารสีขาวหลังใหญ่สร้างอยู่ในแม่น้ำไรน์เหมือนกับเป็นเกาะกลางน้ำ พวกเขานั่งรถไฟชตัดท์บาห์นสายเก้ามาลงที่ป้ายฮอยมาร์คต์แล้วเดินต่อมาตามริมฝั่งแม่น้ำไรน์จนเห็นป้ายพิพิธภัณฑ์คู่กับป้ายชื่อช็อกโกแลตยี่ห้อดัง
     อัตสึโตะชอบพิพิธภัณฑ์นี้มากเพราะช็อกโกแลตอร่อยเหมือนกับที่มานูเอลบอกจริง ๆ
     น้ำพุช็อกโกแลตอยู่ในอาคารกระจก ถึงแม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปจุ่มช็อกโกแลตเองตามใจชอบ แต่เจ้าหน้าที่ก็ใจดีเอาวัฟเฟิลไปจุ่มช็อกโกแลตจนชุ่มมาให้ชิมหลายชิ้น มานูเอลก็ยกส่วนของตัวเองให้อีกชิ้นตามที่สัญญาเอาไว้ อัตสึโตะจึงอารมณ์ดีขึ้นมาก ยิ่งได้เห็นเครื่องจักรผลิตช็อกโกแลต ได้ดูคนกำลังทำช็อกโกแลตแบบต่าง ๆ และเห็นต้นโกโก้ของจริง ชายหนุ่มก็ยิ้มออก เขาเดินตามมานูเอลเดินชมประวัติความเป็นมาของโกโก้และช็อกโกแลต ได้เห็นภาชนะที่เอาไว้เสิร์ฟช็อกโกแลต เห็นโฆษณา บรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตแบบต่าง ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
     “อ๊ะ นูเทลล่าของนาย” อัตสึโตะชี้ไปที่กระปุกช็อกโกแลตที่วางอยู่กับผลิดภัณฑ์ในยุคสมัยใหม่ มีช็อกโกแลตยี่ห้อที่คุ้นเคยอีกหลายอย่างวางอยู่ด้วยกัน แล้วเขาก็รำพึงตาละห้อยว่า
     “ฉันอยากทำงานที่นี่จัง ถ้าฉันไปสมัคร นายว่าเขาจะรับไหม”
     มานูเอลฟังแล้วส่ายหน้าทันที
     “ไม่มีทาง ขืนให้นายทำงานที่นี่ นายเป็นได้กินช็อกโกแลตหมดทั้งพิพิธภัณฑ์แน่ ฉันว่าเขาไม่กล้าเสี่ยงหรอก”
     อัตสึโตะยิ่งทำตาละห้อยเมื่อก้าวเข้ามาในร้านขายของของพิพิธภัณฑ์ที่เหมือนกับจะรวมเอาช็อกโกแลตทุกชนิดที่มีในโลกมาไว้ข้างในนี้ และถ้ามานูเอลไม่ลากเขาออกมาก่อน อัตสึโตะก็คงจะอยู่แต่ในนี้โดยที่ไม่สนใจจะไปที่อื่นอีก แต่กระนั้นเขาก็ยังได้ช็อกโกแลตหน้าตาน่าอร่อยมาสามกล่อง สองกล่องเป็นของเขา อีกกล่องหนึ่งเขาบอกว่า
     “จะเอาไปฝากชินจิ หมอนั่นต้องชอบแน่ ๆ”
     “นายชอบกินขนมขนาดนี้ พรุ่งนี้นายต้องรู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์แน่เลยอัตสึโตะ จะมีขนมเต็มไปหมดเลยล่ะ” โธมัสพูด
     เมื่อออกมาจากพิพิธภัณฑ์ แสงแห่งวันหมดไปแล้ว แต่เคิล์นก็ยังสว่างไสวด้วยแสงไฟจากอาคารบ้านเรือน อัตสึโตะเห็นยอดแหลม ๆ ของมหาวิหารสว่างจ้าโดดเด่นยิ่งกว่าที่ไหน ๆ
     “คราวนี้ก็ถึงเวลาเดินเล่นริมแม่น้ำไรน์แล้ว” ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์พูดยิ้ม ๆ ขณะที่ลิซ่าแฟนโธมัสยัดอะไรบางอย่างใส่มือของอัตสึโตะ
     “แม่กุญแจ เอามาให้ฉันทำไมน่ะ” อัตสึโตะมองของในมืองง ๆ
     ลิซ่าทั้งสองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะที่เบเนดิกท์ตบหลังมานูเอลพลางบอกว่า
     “เดินไปให้ถึงสะพานโฮเฮ่นซอลเลิร์นเลยนะ”
     ส่วนโธมัสดึงแขนมายะกับยูเลี่ยนให้เดินไปกับเขาในทิศทางตรงกันข้าม บอกว่า
     “เราไปหาอะไรกินกันเถอะ ฉันจะพาพวกนายไปกินเคิลช์กับฟริทเท่นที่อร่อยที่สุดในเมือง”
     “ไม่เอา ฉันจะไปกับอัตสึโตะ!” มายะร้องโหยหวนประสานกับเสียงของยูเลี่ยน แต่ทั้งคู่ก็ถูกเพื่อน ๆ ของมานูเอลลากไปจนได้
     “ตกลงมันยังไงน่ะ” อัตสึโตะยังงงอยู่ หันมาถามมานูเอลเมื่อเหลือกันเพียงแค่สองคนหน้าพิพิธภัณฑ์ แต่ฝ่ายหลังไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแต่จูงมือเขาให้เดินตามมา
     “สวยจังเลย”
     อัตสึโตะอุทานเมื่อเห็นแสงไฟจากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำและถ้ามองตรงไปข้างหน้าก็จะเห็นแสงไฟสวย ๆ จากมหาวิหารกับสะพานขนาดใหญ่ซึ่งก็คือสะพานโฮเฮ่นซอลเลิร์นที่เบเนดิกท์พูดถึงเมื่อสักครู่นี้
     “เราจะเดินไปจนถึงสะพานนั่นใช่ไหม”
     “ใช่ น่าจะประมาณสักกิโลกว่า นายเดินไหวใช่ไหม”
     “แน่นอน ฉันวิ่งจ๊อกกิ้งกับนายทุกเช้านี่นา ฉันแข็งแรงจะตาย” อัตสึโตะอวด อยากจะเบ่งกล้ามให้ดูเป็นเครื่องยืนยัน แต่ใส่เสื้อโค้ตหนาขนาดนี้เบ่งไปก็มองไม่เห็น เขาเลยไม่ทำ
     “เก่งมาก” มานูเอลลูบศีรษะอัตสึโตะ เขาดูผ่อนคลายและมีความสุขเมื่อได้เดินช้า ๆ จับมือคนรักไปด้วยกันแบบนี้
     ทั้งสองคนเดินไปตามทางเดินริมแม่น้ำที่ทอดตรงไปสู่มหาวิหาร
     “ฉันไม่อยากกลับญี่ปุ่นเลย” จู่ ๆ อัตสึโตะก็พูดขึ้น
     มานูเอลยิ้ม มือของเขากระชับมือของอัตสึโตะแน่นขึ้นอีกนิด
     “ไม่อยากกลับก็ไม่ต้องกลับสิ”
     “ได้ไงล่ะ หมดเวลาแล้วนี่นา ถ้าจะมาใหม่ก็ต้องหาทุนหาอะไรกันใหม่” อัตสึโตะทำหน้ายุ่ง
     “ท้อไหม ที่เรื่องของเรามันยุ่งยากยังงี้ ญี่ปุ่นกับเยอรมนีก็ไกลกันคนละทวีป” มานูเอลถาม
     “นั่งเครื่องบินแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ไม่เห็นจะไกลสักหน่อย” อัตสึโตะพูดด้วยความดื้อดึง ชายหนุ่มหยุดเดินทำให้มานูเอลพลอยหยุดตามไปด้วย
     อัตสึโตะจ้องหน้าคนรักเขม็ง แต่เขาได้รับรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นของมานูเอลตอบกลับมา
     “ฉันกำลังจะไปคุยกับแฮร์เลอเว่นแฮร์ตส์เรื่องทุนทำวิจัยที่ญี่ปุ่น ถ้าสำเร็จ ฉันจะได้ไปอยู่โตเกียวหนึ่งปี”
     “จริงเหรอ”
     “ใช่แล้ว และถ้าหมดเวลาปีหนึ่งที่ว่า...” มานูเอลหยุดพูดพร้อมกับอัตสึโตะสวนขึ้นมาพร้อมกันว่า
     “ฉันจะหาทุนมาเรียนต่อที่นี่อีกครั้ง!”
     “ถ้าเราพยายามก็ไม่มีเรื่องไหนที่ยาก จริงไหม” มานูเอลลูบแก้มอัตสึโตะแล้วเลื่อนลงมาที่ริมฝีปากซึ่งแห้งและมีรอยแตกนิด ๆ เพราะเจ้าตัวไม่ค่อยชอบทาลิปมัน ถ้ามันแห้งมากก็ใช้วิธีเลียริมฝีปากเอา
     “มานู” เสียงแผ่วเบาลอดออกมาจากริมฝีปากที่เผยอออก
     นิ้วของมานูเอลไล้ไปตามเรียวปากนั้นก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะประทับตามลงมา

     ชินจิพยายามทำใจให้ปลงกับเรื่องของเควิน
     เขาหวังจนเลิกหวังไปแล้วว่าเควินจะเปลี่ยน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เควินไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น เขายังคงเป็นผู้ชายที่ไม่ค่อยสนใจอะไรอย่างอื่นนอกจากความสนุกสนานของตัวเองอยู่ดี
     หลังจากแยกกับทุกคนมาแล้ว เควินกับเจอโรมก็ซื้อเบียร์คนละขวดมานั่งดื่มกันอยู่ที่ริมแม่น้ำไรน์ พูดคุยกันบ้าง และมองดูผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา
     หลังจากนั่งกันอยู่ครู่ใหญ่ ชินจิก็ได้รับข้อความจากโธมัส
     “พวกนั้นจะไปกินอาหารเย็นกันที่ร้านสเต็กแถว ๆ อัลท์ชตัดท์แน่ะ เราไปกินกับพวกนั้นนะ”
     ชินจิอ่านข้อความให้คนรักฟังพร้อมทั้งถามด้วยน้ำเสียงคาดหวังก่อนจะรู้สึกโล่งอกเมื่อเควินกับเจอโรมไม่มีปัญหาอะไร คงเพราะได้เบียร์กินถูกใจกันไปแล้ว
     เมื่อถึงเวลานัด พวกเขาจึงมาที่ร้านที่ว่าและพบพวกโธมัสรออยู่แล้ว แต่ไม่มีวี่แววของอัตสึโตะกับมานูเอล ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากถามหา
     “อัตสึโตะกับมานูเอลล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ”
     ไม่ทันจะขาดเสียงของชินจิ คนที่ถูกถามถึงทั้งสองคนก็เดินเข้ามาในร้านพอดี หน้าตาดูสดชื่นผ่องใสด้วยกันทั้งคู่ แม้ว่าจะหอบน้อย ๆ เพราะเดินกันมาไกลพอสมควร
     “เดินมาจากสะพานโฮเฮ่นซอลเลิร์นน่ะ สะพานใหญ่ ๆ ที่เป็นรูปโค้งเหมือนเส้นคลื่นไง” อัตสึโตะเล่า “ข้างบนนั้นสวยมากเลย เชื่อไหมชินจิ มีคนเอาแม่กุญแจไปล็อกไว้กับรั้วเหล็กบนสะพานเพียบเลย ได้ยินว่าจะทำให้ความรักยาวนานเป็นนิรันดร์อะไรประมาณนั้นเลยล่ะ”
     “จริงเหรอ” ชินจิฟังแล้วตื่นเต้น ตัวเขาชอบอะไรโรแมนติกแนว ๆ นี้อยู่แล้ว ถ้าทำได้ก็อยากจะทำบ้าง อย่างน้อยมันก็เป็นกำลังใจให้เขาได้บ้าง
     “ไร้สาระน่ะ ถ้าเป็นจริงนะ สถิติหย่าร้างก็คงไม่เพิ่มสูงขึ้นทุกปีอย่างนี้หรอก” เควินที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ขัดขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ ทำให้อัตสึโตะชักสีหน้าทันทีจนชินจิต้องรีบชวนคุยต่อเพื่อไม่ให้เพื่อนโมโห
     “แล้วนายได้ไปคล้องกุญแจกับเขารึเปล่า”
     “คล้องสิ ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก ยังงงอยู่เลยตอนลิซ่าแฟนโธมัสให้แม่กุญแจมา” อัตสึโตะหันไปยิ้มให้ลิซ่าคนสวยแฟนของโธมัส
     ชินจิยิ้มนิด ๆ แต่ในใจของเขาแอบอิจฉาอัตสึโตะอยู่ไม่น้อย ก็จะไม่ให้รู้สึกอย่างนั้นได้อย่างไร ถ้าเปรียบเทียบกับเขาแล้ว อัตสึโตะช่างโชคดี มีแฟนน่ารักอย่างมานูเอล แถมยังเข้ากับเพื่อนแฟนได้เป็นอย่างดี ส่วนเขาน่ะหรือ เจอคริสตอฟเข้าไปคนหนึ่งทำเอาเขาหมดความมั่นใจไปเลย
     “เกือบลืมเลย ฉันซื้อช็อกโกแลตมาฝากนายด้วย จากพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลต”
     ชินจิแทบสะดุ้งเมื่อรู้สึกตัวเองว่าเขาคิดอะไรเลื่อนเปื้อนไปมาก อัตสึโตะน่ารักขนาดนี้ ใคร ๆ ก็ต้องชอบเป็นธรรมดา
     “ขอบใจมากนะ” ชายหนุ่มยิ้มให้อีกครั้งพร้อมกับรับกล่องช็อกโกแลตสีสวยมา
     หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ทั้งหมดเดินเล่นกันต่อในบริเวณเมืองเก่าแถว ๆ ร้านอาหารนั่นเอง เบเนดิกท์กับลิซ่าเดินนำไปชมศาลาว่าการเมืองที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
     ศาลาว่าการเมืองเคิล์นมีสองส่วน ส่วนแรกเป็นอาคารเก่าแก่สมัยยุคเรอเนสซองส์ที่มีขนาดใหญ่โต ตรงที่เป็นหอคอยและหอนาฬิกามีรูปปั้นสีขาวของบุคคลในประวัติศาสตร์ของเมืองประดับอยู่ทั่ว
     “ตรงนาฬิกานั่นจะมีรูปปั้นหน้าคนติดอยู่ เวลานาฬิกาเดินครบชั่วโมง มันก็จะแลบลิ้นออกมา” โธมัสชี้ให้ดูนาฬิกาที่อยู่บนยอดหอคอย
     ส่วนที่สองของศาลาว่าการเมืองเป็นอาคารแบบสเปนเรียบ ๆ อยู่ตรงข้ามกับอาคารส่วนแรก ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์ชี้ให้ดูพร้อมกับเล่าให้ทุกคนฟังว่า
     “ตัวแทนของคาร์นิวัลเราเรียกว่า ไดรเกชเตียน คือคนสามคนที่แต่งตัวเป็นเจ้าชาย สาวพรหมจรรย์และชาวนา คนที่เป็นชาวนาจะคาดกุญแจเมืองไว้ที่เอว พอคาร์นิวัลเริ่มต้น พวกคนที่แต่งตัวเป็นตัวตลกเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ ก็จะมาบุกศาลาว่าการเมืองเพื่อชิงเอากุญแจเมืองไปจากนายกเทศมนตรีเมือง เป็นสัญลักษณ์ว่างานคาร์นิวัลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว”
     “กุญแจของจริงเลยเหรอ” มายะถาม
     “ไม่ใช่หรอก ของปลอมน่ะ แล้วพอคนบ้าพวกนี้ออกไปแล้ว เจ้าหน้าที่ก็กลับมาทำงานกันต่อเหมือนเดิม” หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ
     หลังจากเดินย่อยอาหารชมแสงสีของย่านเมืองเก่านิดหน่อยแล้ว ทั้งหมดก็เดินกลับมายังที่พัก
     ระหว่างทางที่เดินตามกันมา ชินจิเดินอยู่ใกล้ ๆ เควิน แต่พวกเขาไม่ได้จับมือกันเพราะเควินเดินคุยอยู่กับเจอโรมที่อยู่ข้างตัวเขาอีกด้านหนึ่ง เควินยอมเดินอยู่ข้าง ๆ ตัวเขาแล้วก็จริง ไม่เดินนำโด่งไปข้างหน้าเหมือนแต่ก่อน แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่ามันแทบไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย
     สายตาของชินจิมองตรงไปข้างหน้า เขาเห็นมานูเอลเดินจับมืออยู่กับอัตสึโตะ แต่บางครั้งก็ต่างคนต่างเดิน เพียงแต่ว่าถ้ามานูเอลเดินนำไปข้างหน้า เขาก็จะหันมาคอยมองหาอัตสึโตะเป็นระยะ คอยดูว่าอัตสึโตะเดินอยู่ตรงไหน เมื่อเห็นแล้วก็หันกลับไปเดินต่อ
     ชินจิอดถอนหายใจนิด ๆ ออกมาไม่ได้ เขาคิดว่าเรื่องระหว่างเขากับเควินจะดีขึ้น แต่ดู ๆ ไปก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
     เขานี่มันแย่จริง ๆ
     อดเอาเควินมาเปรียบเทียบกับมานูเอลไม่ได้ทุกที
     แล้วที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ...
     เขากำลังอิจฉาอัตสึโตะอย่างสุดหัวใจ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 10.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 10-10-2014 11:38:08
แค่อิจฉาพอนะ  อย่าให้ถึงขั้นริษยา ...
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 10.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 10-10-2014 19:33:01
บทที่ 14

     ชินจิเกลียดตัวเองยิ่งขึ้นทุกทีที่ทำอย่างไรก็ยังเลิกอิจฉาอัตสึโตะกับมานูเอลไม่ได้สักที
     ทุกคนตื่นนอนกันตั้งแต่เช้าเพื่อมารอจับจองที่ในเส้นทางที่ขบวนโรเซ่นโมนถากจะต้องผ่าน ขบวนพาเหรดที่ยาวกว่าแปดกิโลนี้จะเริ่มต้นที่จตุรัสคล็อดวิกในเวลาราว ๆ สิบโมงครึ่งแล้วเคลื่อนขบวนผ่านถนนต่าง ๆ ทั่วเมืองเคิล์น
     ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์นำทุกคนมายังถนนสายที่อยู่ต้น ๆ ขบวนพาเหรดไม่ไกลจากมหาวิหารนัก แต่ถึงจะตื่นตั้งแต่เช้า แต่เมื่อมาถึงก็เห็นคนมารอจับจองที่กันมากมายแล้ว หากก็ยังพอแทรกตัวเข้าไปยืนแถวหน้า ๆ ได้
     สำหรับโรเซ่นโมนถากนี้ ผู้คนพากันมารอดูขบวนพาเหรดและมาเก็บช็อกโกแลตกับขนมจึงแทบไม่มีคนแต่งชุดคอสตูมจัดเต็มเหมือนงานฉลองในวันก่อน ๆ แต่ก็ยังมีคนใส่เสื้อหรือใส่หมวกแปลก ๆ หรือเขียนหน้าเขียนตาอยู่บ้าง
     อัตสึโตะกับคนอื่น ๆ ก็ซื้อหมวกมาใส่เพื่อให้ได้บรรยากาศ ทุกคนใส่หมวกเหมือนกันคือหมวกตัวตลกของยุโรปที่มีสีสด ๆ ติดลูกกระพรวนที่ยอด ต่างกันที่สี แต่มีอัตสึโตะคนเดียวที่ใส่ที่คาดผมหูแมว
     ไอเดียนี้เป็นของมายะ และมานูเอลไม่มีอะไรขัดข้องเมื่อรับที่คาดผมจากมือมายะมาคาดให้อัตสึโตะ
     “น่าร้ากกก” มายะกับยูเลี่ยนประสานเสียงกันสุดชีวิต ส่วนมานูเอลยิ้มกว้าง ขณะที่อัตสึโตะหน้าคว่ำ บ่นว่า
     “ไปซื้อมาตั้งแต่ตอนไหนวะ”
     แต่เขาก็ไม่ต่อต้านอะไร แถมยอมใส่ที่คาดผมหูแมวสีขาวอันนั้นไปทั้งวัน
     ชินจินิ่งเงียบมองบรรยากาศสนุกสนานรอบตัว ชายหนุ่มเงียบมาตั้งแต่เมื่อคืนและตอนนี้ก็ยังนิ่งเงียบอยู่ เมื่อมีคนถามอะไร เขาถึงจะตอบสั้น ๆ แต่สายตาที่มองอัตสึโตะที่มีแต่คนรุมล้อมมีแววอิจฉาอยู่ไม่น้อย
     เมื่อก่อนอัตสึโตะไม่ค่อยใส่ใจดูแลตัวเองเท่าไร เสื้อผ้าก็จับอะไรก็ได้มาใส่ เข้ากันบ้างไม่เข้ากันบ้างแล้วแต่อารมณ์ ถึงมีมายะคอยช่วยดูให้ แต่อัตสึโตะก็มักจะเอาแต่ใจตัวเอง พอมาถึงตอนนี้ มานูเอลเป็นคนช่วยดูแล อาจจะไม่ได้ถึงขนาดเลือกให้ทุกวัน ชายหนุ่มปล่อยให้คนรักใส่อะไรตามใจชอบ แต่ถ้ามันหายนะมากถึงขนาดเสื้อเชิ้ตลายสก็อตทับเสื้อลายทาง เขาถึงจะยื่นมือเข้ามากล่อมให้อัตสึโตะเปลี่ยนเสื้อใหม่ซึ่งพอเป็นมานูเอลพูด อัตสึโตะก็จะยอมแต่โดยดี และทำให้ตอนนี้อัตสึโตะดูดีและน่ารักยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก
     “ชินจิ นี่ถุง เอาไว้ใส่ช็อกโกแลต” มายะส่งถุงมาให้ ชินจิที่คิดอะไรเพลินอยู่ถึงกับสะดุ้ง
     “เป็นอะไรรึเปล่าน่ะ” มายะถาม
     “เปล่าหรอก” ชินจิรีบปฏิเสธ ทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวออกขนาดนี้ แต่เขากลับร้อนรุ่ม
     เขานี่เป็นเพื่อนที่แย่จริง ๆ
     “นายพร้อมกับการเก็บช็อกโกแลตรึยัง” ชินจิเปลี่ยนเรื่อง มายะก็ตอบรับด้วยความกระตือรือร้น
     เมื่อขบวนพาเหรดเริ่มต้น ทุกคนต่างก็ตื่นตาตื่นใจกับสีสันของคาร์นิวัลที่แสดงออกมาผ่านขบวนคนและรถลากยาวเหยียด เสียงผู้ชมมากมายร้องเฮดังลั่น
     ขบวนธงประจำเมืองและธงประจำรัฐ วงดุริยางค์ในชุดกระโปรงสีแดงสดเล่นดนตรีเสียงดังคึกคัก ขบวนกายกรรมใส่ชุดสีดำสลับเหลืองที่หยุดเดินเป็นพัก ๆ เพื่อโชว์ตีลังกาและต่อตัว รถลากที่แต่งตามธีมงานในแต่ละปีเป็นการล้อการเมืองบ้างหรือจับประเด็นเรื่องต่าง ๆ ที่น่าสนใจบ้าง ขบวนตัวตลกใส่ชุดสีสดและวิกหัวฟูหลากสีเต้นไปเต้นมา รถลากสีขาวที่บรรทุกคนใส่ชุดขุนนางสีน้ำเงินกับขาว สวมวิกผมสีขาวม้วนด้านข้างเป็นหลอดกับหมวกมีพู่ ขบวนม้าสีดำที่คนขี่ใส่แจ็กเก็ตกับผ้าคลุมสีแดงสด ที่อานม้าคาดถังบรรจุช็อกโกแลตและขนมไว้เต็มเปี่ยม ขบวนผู้ชายที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงใส่กระโปรงสาระพัดสี ใส่วิกสีทองถักเป็นเปียสองข้าง ขบวนม้าสีน้ำตาลที่คนขี่ใส่ชุดขุนนางกับผ้าคลุมสุดเท่สีเขียว ใส่วิกสีขาวและหมวกทรงสูง หรือขบวนรถม้าเปิดประทุนตกแต่งด้วยดอกไม้มีเจ้าหญิงกับเจ้าชายนั่งอยู่ข้างใน
     เมื่อขวบนไหนผ่านมา คนในขบวนจะโยนช็อกโกแลต พราลีน หรือขนมหวานอื่น ๆ ตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ ของที่ระลึก หรือช่อดอกไม้มาให้ ผู้ชมสองข้างทางก็จะแย่งกันเก็บด้วยความสนุกสนาน
     อัตสึโตะรับได้บ้างไม่ได้บ้าง บางทีเขาก็ต้องก้มลงเก็บจากพื้นถนน บางครั้งก็ถูกคนอื่นแย่งเก็บไปก่อน แต่ขนมหวานมีมากมายเหลือเฟือ บรรจุอยู่ในห่อสวยงามประทับตราองค์กรหรือหน่วยงานที่เป็นคนแจก แป๊บเดียวเขาก็ได้ช็อกโกแล็ตเกือบครึ่งถุง
     แถมด้วยดอกไม้
     มานูเอลรับดอกทิวลิปสีขาวดอกเดี่ยวห่อพลาสติกเอาไว้ได้ แล้วก็ส่งให้เขาต่อ
     ปกติคนในขบวนจะโยนช่อดอกไม้ให้ผู้หญิง แต่จริง ๆ จะโยนให้ใครก็ได้ทั้งนั้น
     แล้วหลังจากนั้นเขาก็ได้ช่อดอกไม้อีกเรื่อย ๆ
     ชินจิก็ได้ช่อดอกไม้ แต่เขาเก็บขึ้นมาจากพื้นถนนเอง ไม่ได้จากมือของคนรัก เควินไม่สนใจเขาเลย เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเก็บช็อกโกแลตให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เบียดแทรกคนเข้าไปอยู่ด้านหน้า ๆ เพื่อจะรับขนมให้ได้มากที่สุด ชินจิไม่ได้ตามไปด้วย แต่ยืนอยู่ที่เดิม ถ้ามีช็อกโกแลตถูกโยนลงมาทางเขา เขาถึงจะขยับตัวมารับหรือเก็บที่ตกลงบนพื้นบ้าง
     สายตาของเขาเหลียวหาอัตสึโตะกับมานูเอลโดยไม่รู้ตัว
     มานูเอลดันตัวอัตสึโตะให้อยู่ข้างหน้าเขาโดยที่ตัวเองซ้อนหลังเอาไว้ ชายหนุ่มช่วยอัตสึโตะรับช็อกโกแลต ถ้ารับดอกไม้หรือตุ๊กตาได้ก็ส่งให้อัตสึโตะตลอด แล้วเมื่อถุงในมือของอัตสึโตะเต็ม หลังจากคุยตกลงกัน ทั้งสองคนก็เทของในถุงรวมกันโดยให้มานูเอลเป็นคนถือไว้ ส่วนอัตสึโตะก็หันไปรับห่อขนมอย่างสนุกสนานต่อ มีมานูเอลคอยช่วยอยู่ข้าง ๆ
     ชินจิรู้สึกสะท้อนใจ ชายหนุ่มตัดสินใจเบียดแทรกตัวเข้าไปหาคนรัก แล้วถามเขาว่า
     “ได้ขนมเยอะไหมเควิน”
     เควินเปิดถุงให้ดู แต่เมื่อได้ยินชินจิถามว่า
     “ฉันขอแบ่งของนายสักนิดได้ไหม อยากได้อันนี้ ห่อมันสวยดี”
     เควินก็กลับนิ่วหน้า
     “นี่มันส่วนของฉัน นายรอรอบต่อไปสิ เดี๋ยวเขาก็แจกอีก นายมายืนตรงนี้แหละ ใกล้ ๆ ฉัน รอรับเอาแล้วกัน”
     แล้วเควินก็หันไปสนใจรอรับขนมรอบใหม่
     ชินจิยืนอึ้ง นึกในใจว่ามันต้องมีอะไรไม่ถูกต้องสักอย่าง การเก็บช็อกโกแลตมันน่าจะทำเพื่อความสนุกสนานไม่ใช่เหรอ แต่เควินทำเหมือนกับว่าจะต้องเก็บให้ได้มากที่สุด อย่างอื่นเขาไม่สนใจเลย ดอกไม้ถูกโยนลงมาอีก ชินจิกำลังจะก้มลงไปเก็บ แต่เท้าของเควินกลับย่ำลงไปบนช่อดอกไม้อันนั้นก่อน
     ชินจิชะงักมือทันที เขารู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นดอกไม้สีแดงถูกเหยียบจนช้ำ

     ขบวนโรเซ่นโมนถากผ่านไปแล้ว เหลือไว้แต่เพียงความประทับใจ ทุกคนกลับมารวมตัวกันอีกครั้งพร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แลกกันดูขนมที่ตัวเองเก็บได้ ถุงของแต่ละคนเต็มล้นไปด้วยห่อช็อกโกแลต ช่อดอกไม้ และตุ๊กตา
     ของที่อัตสึโตะเก็บได้ถูกใส่รวมไว้กับของของมานูเอลขณะที่เจ้าตัวเริ่มแกะห่อขนมบางอย่างออกมาชิมแล้ว ส่วนมายะกับยูเลี่ยนกำลังแข่งกันนับอย่างเอาเป็นเอาตายว่าใครจะเก็บขนมได้มากกว่า
     ส่วนของเควินกับเจอโรมถูกเก็บลงเป้ไปแล้วโดยที่ไม่สนใจจะแบ่งหรือแลกกับใคร
     แม้แต่จะแบ่งให้ชินจิ เควินก็ไม่ได้ทำ
     ขนมในถุงของชินจิจึงมีน้อยกว่าใคร
     “ทำไมนายเก็บได้น้อยจัง” มายะหันมาถาม ผลของการแข่งขันระหว่างเขากับยูเลี่ยนนั้น แน่นอนว่าเขาเก็บได้มากกว่า ชนะขาดลอย
     “ฉันคงช้าเกินไปน่ะ เลยเก็บไม่ทันคนอื่น” ชินจิตอบเรียบ ๆ
     “เอาของเราสองคนไปเพิ่มไหม” มานูเอลเสนออย่างใจดี แต่ชินจิส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับฝืนยิ้มให้
     “เอาของฉันก็ได้” มายะเสนอด้วยอีกคน แต่ชินจิก็ยังยืนกรานปฏิเสธโดยบอกว่า
     “เก็บเล่นสนุก ๆ ไม่ต้องซีเรียสนี่นาว่าจะได้มากหรือน้อย”
     “แต่ของนายมันน้อยจนน่าใจหายเลยนะ” มายะขมวดคิ้ว แล้วเขาก็ดึงดันแบ่งส่วนหนึ่งของตัวเองมาให้อยู่ดี ยูเลี่ยนที่จ้องเขม็งอยู่แล้วเมื่อเห็นมายะกอบขนมจากถุงของตัวเองใส่ในถุงของเพื่อน เขาก็ร้องลั่นทันทีอย่างลิงโลดว่า
     “นั่น นายแพ้ฉันแล้ว ขนมของนายลดลงจนน้อยกว่าของฉันแล้วโว้ย”
     “หนอย ไอ้เวร เอาทุกทางเลยนะ เมื่อกี้ไม่นับเว้ย ตัดสินกันเรียบร้อยแล้ว ยังไงนายก็แพ้ฉันอยู่ดี” มายะโต้
     อัตสึโตะชะโงกหน้ามามองถุงของเพื่อนบ้าง พอเห็นว่าแทบไม่มีดอกไม้กับของเล่นเลย เขาก็แบ่งของตัวเองไปให้
     “เอาดอกไม้กับตุ๊กตาของฉันไปด้วยสิ”
     ชินจิดึงถุงของตัวเองหลบโดยไม่ทันรู้ตัว ช่อดอกไม้และตุ๊กตาของอัตสึโตะจึงหล่นลงไปบนพื้น
     ชินจิชะงัก เช่นเดียวกับอัตสึโตะ ฝ่ายหลังมองด้วยความไม่เข้าใจ
     “ขอโทษที อัตสึโตะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ชินจิลนลานจะก้มลงไปเก็บ แต่อัตสึโตะรั้งมือของเขาไว้ก่อน
     “นายเป็นอะไรรึเปล่า ชินจิ บอกฉันได้นะ”
     “ไม่มีอะไรหรอก ฉันไม่ได้เป็นอะไร” ชินจิฝืนยิ้ม แล้วก้มลงไปเก็บช่อดอกไม้กับตุ๊กตายื่นคืนให้
     “นายเอาไปเถอะ ฉันให้” อัตสึโตะไม่รับคืน แต่ชินจิก็ยัดมันใส่ลงไปในถุงของอัตสึโตะตามเดิม น้ำเสียงของเขาขื่นนิด ๆ เมื่อบอกว่า
     “นายอย่าพยายามยัดเยียดของพวกนี้ให้ฉันเลย ของของนาย นายเก็บไว้เถอะ แค่นี้ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองน่าสมเพชพอแล้ว นายอย่าทำให้ฉันรู้สึกแย่ยิ่งไปกว่านี้เลย”
     พูดจบเขาก็เดินไปหาเควินที่ยังยืนคุยอยู่กับเจอโรม ทิ้งให้อัตสึโตะอ้าปากค้างด้วยความไม่เข้าใจ ชายหนุ่มเหลียวหามานูเอลทันทีซึ่งฝ่ายหลังก็ยื่นมือมาจับมือของคนรักไว้ บีบนิด ๆ แล้วบอกสั้น ๆ ว่า
     “เขาคงกำลังไม่ค่อยสบายใจน่ะ”
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 10.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 10-10-2014 19:40:41
     ทุกคนบอกลาเคิล์นด้วยการเดินเล่นส่งท้ายในย่านเมืองเก่า แล้วเมื่อมีเวลาก่อนรถไฟออกราว ๆ สองชั่วโมง พวกเขาก็มีโอกาสได้เข้าชมภายในมหาวิหารซึ่งกว้างขวางใหญ่โตไม่แพ้ภายนอก โค้งหลังคาสูง หน้าต่างติดกระจกสี พื้นกระเบื้องโมเสก รูปสลักพระเยซูถูกตรึงกางเขน และแท่นบูชาล้วนแต่สวยงามน่าชื่นชมทั้งนั้น จากนั้นทั้งหมดก็เดินมาชมโบสถ์ใหญ่เซนต์มาร์ตินที่มีอาคารสีพาสเทลสวย ๆ หลายหลังอยู่ใกล้ ๆ ให้ได้ถ่ายรูปเล่นกัน แล้วก็จบลงที่ศาลาว่าการเมืองที่สวยงามไม่แพ้ในตอนกลางคืนเช่นกัน
     เควินกับเจอโรมแยกไปหาเคิลช์เบียร์กินส่งท้ายโดยมีชินจิตามไปด้วยเหมือนเคย เหลือแต่พวกอัตสึโตะ มานูเอลบอกทุกคนว่า
     “ฉันจะพาอัตสึโตะไปร้าน 4711 ที่กล็อกเค่นกัซเซ่อนะ จะไปกับพวกเราไหม”
     ไม่มีใครค้าน ทั้งหมดจึงเคลื่อนขบวนจากศาลาว่าการเมืองไปยังร้านน้ำหอมเก่าแก่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักโดยใช้เวลาเดินราวสิบนาที
     “เสียงระฆังที่ไหนน่ะ” อัตสึโตะถามเมื่อได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งดังขึ้น แต่มองไม่เห็นที่มาของเสียง
     “ระฆังหน้าร้านน้ำหอมไง” มานูเอลบอก
     เสียงระฆังดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาใกล้ ๆ ร้านน้ำหอมเก่าแก่ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่สีขาวมีป้ายโฆษณาน้ำหอมรุ่นดั้งเดิมฉลากสีฟ้ากับสีทองขนาดใหญ่แขวนห้อยลงมาตามผนังด้านนอก หน้าอาคารติดป้ายหมายเลข 4711 ตัวใหญ่
     “ระฆังอยู่นั่นไง ระฆังนาฬิกา ข้างใต้มีตุ๊กตาใส่ชุดทหารสีน้ำเงิน ขาว แดง บางตัวขี่ม้า บางตัวเป่าแตรอยู่บนลานที่หมุนไปเรื่อย ๆ ขณะที่ยังมีเสียงระฆังอยู่”
     โธมัสชี้ขึ้นไปข้างบน
     เสียงระฆังยังดังอยู่อีกพัก แต่เมื่อมาอยู่ใกล้ ๆ ร้านแบบนี้ อัตสึโตะกลับรู้สึกว่ามันดังจนหนวกหู เขาจึงต้องยกมือมาปิดหูไว้ทั้งสองข้าง รอจนระฆังหยุดตี แล้วจึงตามมานูเอลเข้าไปข้างใน
     ร้านน้ำหอมเก่าแก่เป็นพิพิธภัณฑ์ในตัว แต่ทุกคนไม่ได้สนใจจะเข้าชมเพราะไม่มีเวลามากนัก ต่างสนใจขวดน้ำหอมสีฟ้า ๆ ขาว ๆ ที่เรียงรายอยู่บนชั้นด้านหลังตัวเลข 4711 สีเงินมากกว่า
     อัตสึโตะลองกลิ่นน้ำหอมกลิ่นดั้งเดิมแล้วรู้สึกไม่ชอบเหมือนกัน แต่เขาก็ซื้อทิชชู่ที่ผสมน้ำหอมกลิ่นนี้กล่องหนึ่งเก็บไว้เป็นที่ระลึก มานูเอลให้อัตสึโตะลองน้ำหอมกลิ่นอื่น ๆ อีก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ชอบกลิ่นไหนเลย แม้แต่กลิ่นใหม่นูโวโคโลญจน์ที่เพิ่งออกมาก็ตาม
     ไม่มีใครได้ของติดมือออกมาจากร้าน 4711 แต่ทุกคนก็ไม่รู้สึกว่าเสียเวลาแต่อย่างใดเพราะร้านน้ำหอมเก่าแก่แห่งนี้ก็จัดว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของเมืองได้เหมือนกัน
     เควิน เจอโรมและชินจิรออยู่แล้วเมื่อทั้งหมดเดินมาถึงที่สถานีรถไฟ
     มานูเอลบอกลาเพื่อนทั้งสี่คนที่อยู่ด้วยจนกระทั่งถึงเวลาที่จะต้องขึ้นรถไฟ อัตสึโตะกับคนอื่น ๆ ก็เข้ามากอดลา โดยเฉพาะอัตสึโตะ ชินจิและมายะที่ดูจะอาวรณ์และเศร้ามากกว่าคนอื่น ๆ
     “เราจะได้เจอกันอีกไหม พวกฉันต้องกลับญี่ปุ่นอีกไม่นานนี้แล้ว” อัตสึโตะถาม
     “ต้องได้เจออยู่แล้วล่ะ อาจจะไม่ใช่ในเร็ว ๆ นี้ แต่ฉันเชื่อว่าเราต้องได้เจอกันอีกอย่างแน่นอน” ลิซ่าแฟนโธมัสเป็นคนตอบแทนทุกคน แล้วหล่อนก็ตรงเข้ามากอดอัตสึโตะ จากนั้นก็กอดชินจิ และคนสุดท้ายคือมายะ หญิงสาวหัวเราะคิกเมื่อมายะบอกกับหล่อนว่า
     “เมื่อวานฉันขอโทษนะที่แกล้งเธอที่โอดิสเซอุม”
     “ไม่เป็นไรหรอก สนุกดีซะอีก ฉันยังไม่เคยเล่นอันนั้นมาก่อนเลยนะ” ลิซ่าคนสวยพูด
     พวกเขากอดลาลิซ่าแฟนเบเนดิกท์เป็นคนต่อไป เจ้าบ้านที่แสนน่ารักมีของที่ระลึกมอบให้เพื่อนใหม่ของหล่อนทุกคนเป็นพวงกุญแจรูปมหาวิหารอันเล็ก ๆ
     โธมัสกับเบเนดิกท์เข้ามาลาเป็นคนสุดท้าย แต่เพราะแฟนสาวทั้งสองทำหน้าที่ทูตสันถวไมตรีชั้นเลิศไปแล้ว ทั้งสองคนจึงแค่กอดและตบหลังตบไหล่ร่ำลาเพื่อนใหม่เท่านั้น หลังจากนั้นทุกคนก็ถ่ายรูปด้วยกันทั้งหมดเป็นระลึกก่อนที่จะจากลากันไป
     “หลังจากนี้เราคงไม่ได้สนุกกันแบบนี้แล้วเนอะ” อัตสึโตะอดใจหายไม่ได้ เมื่อรถไฟเคลื่อนตัวออกจากสถานีรถไฟ ชายหนุ่มเหลียวหลังมองออกไปนอกหน้าต่างมองจนเมืองเคิล์นลับหายไปจากสายตา
     “ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ” มานูเอลถาม
     “ไม่รู้สิ รู้สึกใจหายยังไงไม่รู้ มันแปลก ๆ” อัตสึโตะก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่หน้าของเขายุ่งและมันดูตลกมากจนมานูเอลอดไม่อยู่ เอื้อมมือมาคลึงรอยย่นที่หว่างคิ้วของคนรักอย่างนุ่มนวล
     “อย่าทำหน้าอย่างนี้สิ มันไม่ใช่ครั้งสุดท้ายสักหน่อย ถ้าอยากจะมาอีกก็มาได้” มานูเอลปลอบ อัตสึโตะจึงถือโอกาสนี้ซบหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่ายเสียเลย แล้วยังแกล้งเอาหน้าซุก ๆ มุด ๆ เล่นจนมานูเอลอดหัวเราะเบา ๆ ขำความขี้อ้อนของอัตสึโตะไม่ได้ ชายหนุ่มบอกกับคนรักว่า
     “เราต้องได้มาเที่ยวกันอีกแน่ ไม่ต้องห่วง”

     แต่ถึงอยากจะไปเที่ยวกันสักแค่ไหนก็ไม่มีโอกาสจะไปเที่ยวไหนไกล ๆ ได้อีกแล้ว ในเมื่อการสอบกำลังจะมาถึง ทุกคนตั้งอกตั้งใจทบทวนบทเรียนกันเป็นพิเศษ อัตสึโตะมาติวหนังสือกับมานูเอลทุกวันเพราะนอกจากอีกฝ่ายจะเรียนสาขาวิชาเดียวกันและเป็นแฟนแล้ว ยังควบตำแหน่งติวเตอร์ส่วนตัวอีกตำแหน่งด้วย และแน่นอนที่มายะก็อาศัยความเป็นติวเตอร์ของมานูเอลยัดเยียดตัวเองมานั่งกันท่า เอ๊ย มานั่งติวหนังสือด้วยทุกวันเหมือนกัน
     ส่วนชินจิ เขาไม่สามารถนั่งติวหนังสือกับแฟนได้เหมือนเพื่อน เพราะเควินไม่ยอมอย่างเด็ดขาด
     “ฉันชอบนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ คนเดียวน่ะ โทษทีนะ มีคนอยู่ด้วยแล้วฉันไม่มีสมาธิ อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง”
     “แต่ฉันไม่กวนนายหรอก ฉันจะนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ไม่ทำเสียงดังรบกวนนายแน่”
     เควินสั่นศีรษะ
     “ยังไงก็ไม่ได้ นายกลับไปอ่านหนังสือที่ห้องนายดีกว่า”
     ด้วยเหตุนี้ ชินจิจึงต้องหอบหนังสือกลับมาอ่านที่ห้องของตัวเองและในช่วงสอบชินจิก็แทบไม่ค่อยได้เห็นหน้าของเควินเลยเพราะชายหนุ่มขอร้องให้คนรักกลับไปนอนที่ห้องของตัวเองเหมือนเดิมด้วยโดยบอกว่าจะเป็นฝ่ายมาหาที่ห้องเอง ชินจิจึงต้องอ่านหนังสือที่ห้องอยู่คนเดียว อ่านไปก็ถอนหายใจไป บางครั้งก็น้ำตาซึมพลางนึกในใจว่า ถ้าเกอเธ่ได้มารู้จักเขาในตอนนี้ก็คงไม่มีนิยายเรื่องแวร์เธอร์ระทมออกมาหรอก แต่เกอเธ่คงจะเขียน “Die Leiden des jungen Shinji” ขึ้นมาแทนเพราะความรักของเขาทุกข์ระทมกว่าของเจ้าหนุ่มแวร์เธอร์นั่นมากมายนัก
     หากถึงจะอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนกันหนักเพียงไหน เพื่อน ๆ ก็ยังนัดเจอนัดสังสรรค์กันอยู่ดีเพื่อเป็นการพักผ่อนไปด้วยในตัว เอย์จิกับมาโกโตะชวนรุ่นน้องมาปาร์ตี้น้ำชาที่ห้องของพวกเขาที่หอพักถนนโมลวิทซ์ในวันหนึ่งซึ่งชินจิ มายะ อัตสึโตะพ่วงด้วยมานูเอลและยูเลี่ยนก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ครั้งนี้ในห้องของมาโกโตะนอกจากจะมีแพร์แล้ว ยังมีร่างสูงเพรียวของโทนี่นั่งยืดขาด้วยท่าทางสุดเท่เหมือนเดิมอยู่บนเตียงของมาโกโตะด้วยอีกคนหนึ่ง
     โทนี่ใส่เสื้อเสว็ตเตอร์ที่พวกเขาจำได้ว่าเคยเห็นรุ่นพี่ของพวกเขาใส่ และมาโกโตะในวันนี้ก็ใส่คาร์ดิแกนที่ดูคุ้นตาพวกเขาเหลือเกิน เหมือนเคยเห็นแวบ ๆ ว่าโทนี่เคยใส่เสื้อตัวนี้มาก่อน
     “ตกลงเป็นแฟนกันแน่ ๆ แล้วใช่ไหมครับเนี่ย” มายะกับอัตสึโตะหัวเราะคิกคักขึ้นมาทันที ขณะที่มาโกโตะเจ้าของห้องหน้าแดง กระแทกเสียงตอบว่า
     “เออ!”
     เอย์จิกับแพร์ช่วยกันขนเอาขนมขบเคี้ยวทั้งของญี่ปุ่นและของเยอรมันมาวางไว้บนโต๊ะ ขณะที่มายะกับชินจิช่วยกันชงชาญี่ปุ่นแจก พวกเขากินขนมกันไปคุยเล่นกันไปอย่างสนุกสนาน
     “แล้วตกลงเรื่องทุนวิจัยที่นายจะไปสมัครเป็นยังไงบ้างล่ะมานูเอล” เอย์จิหันมาถามชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างรุ่นน้องของเขา
     “คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหา ฉันคุยกับแฮร์เลอเว่นแฮร์ตส์แล้ว ปีหน้าคงจะได้ไปอยู่โตเกียวทั้งปีเลยล่ะ” มานูเอลตอบ รุ่นพี่จึงหันไปแหย่อัตสึโตะที่นั่งเคี้ยวขนมเซมเบ้อยู่กร้วม ๆ ว่า
     “ดีจังนะอัตสึโตะ แฟนจะได้ไปอยู่ด้วยกันแล้ว ยังงี้นายต้องสอนมานูเอลพูดภาษาญี่ปุ่นแล้วล่ะมั้ง”
     “ให้เรียนกับอัตสึโตะ มานูเอลมันจะได้อะไรไหมละนั่น ฉันว่าเทคคอร์สไปเลยดีกว่า หรือไม่ก็ให้มายะสอนให้ก่อน น่าจะได้เรื่องมากกว่า” มาโกโตะรีบขัด ในขณะที่มานูเอลรีบส่ายหน้าทันทีเมื่อได้ยินข้อเสนอข้อหลัง
     “ถ้าให้มายะสอน ฉันคงได้แต่คำด่าแน่เลย”
     ไม่ทันขาดคำของมานูเอล เสียงมายะก็สอดขึ้นมาทันทีว่า
     “ไอ้เวร! เดี๋ยวนี้ปากจัดนักนะแก คุจิ กะ วะรุย!”
     คำด่าปนกันทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาเยอรมันของมายะเรียกเสียงหัวเราะได้จากคนรอบตัว
     ชินจินั่งยิ้มเงียบ ๆ แทบจะไม่มีส่วนร่วมอะไร ถ้าเอย์จิจะไม่หันมาถามเขาบ้างว่า
     “นายล่ะชินจิ จบเทอมนี้แล้วจะทำยังไง เควินจะไปหานายที่ญี่ปุ่นรึเปล่า”
     ชินจิรู้สึกอึดอัดไม่น้อยที่สายตาของเพื่อนทุกคนในห้องเบนมามองเขาเป็นตาเดียวกัน ชายหนุ่มฝืนยิ้มให้ทุกคนอย่างที่คิดว่าสดใสที่สุด แล้วตอบว่า
     “ที่คุยกันเขาก็ว่าจะไปนะครับ แล้วผมคิดว่าจะหาทุนกลับมาเรียนต่อที่นี่อีกครั้งหนึ่ง ที่คณะมีทุนเรียนจนถึงปริญญาเอกเลย สำหรับจะเป็นอาจารย์”
     “นายอยากจะสอนหนังสือเหรอชินจิ” อัตสึโตะถาม
     “เปล่าหรอก แต่ก็เรียนได้ ที่สำคัญทุนนี้ดีที่สุด ระยะเวลานานที่สุด”
     ชินจิตอบตามตรง เขาเริ่มมองหาทุนเรียนต่ออยู่เรื่อย ๆ หลังจากที่เริ่มคบกับเควิน ทุนที่เงื่อนไขดี ๆ ก็มักจะไม่ใช่สาขาที่เขาเรียนหรือถ้ามีก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะทำสักเท่าไร แต่เพื่อให้ได้อยู่กับเควิน ชายหนุ่มยอมทุ่มอนาคตของเขาทั้งหมด
     “เขาบอกว่า เขาจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เสียฉันไป เราสัญญากันเอาไว้แล้ว ฉันก็จะพยายามในส่วนของฉันให้เต็มที่เหมือนกัน”
     ชินจิไม่สนใจว่าใครจะฟังประโยคนี้ของเขาแล้วมีปฏิกิริยาอย่างไร ชายหนุ่มเชื่อมั่นในคำพูดของเควิน และเขาก็มั่นใจในความรักของเขา
     ชายหนุ่มเชื่อมั่นอย่างนั้นแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่คำพูดลอย ๆ ของเควินก็ตาม คนรักของเขายังไม่ได้พยายามหรือทำอะไรที่ดูเป็นชิ้นเป็นอันเป็นรูปเป็นร่างเหมือนอย่างที่มานูเอลทำ แถมเมื่อสอบเสร็จ เควินก็จะกลับบ้านที่ดอร์ทมุนด์เลยโดยที่ไม่คิดจะอยู่รอส่งเขากลับญี่ปุ่น แต่ชินจิก็ยังคงยึดมั่นในคำพูดและคำสัญญาของเควิน
     “ยังไงฉันก็จะไปเยี่ยมนายที่ญี่ปุ่นอยู่ดีนั่นแหละ ไม่ต้องกังวล” เควินพูดอย่างนั้นในวันสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน พวกเขาสอบเสร็จกันหมดแล้ว และเควินก็กำลังจะกลับไปที่ดอร์ทมุนด์ พวกเขาจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ทั้งคู่ใช้เวลาทั้งวันอยู่ด้วยกันบนเตียง ต่างตักตวงความรักความปรารถนาระหว่างกันอย่างเต็มที่เพื่อเป็นสิ่งปลอบประโลมในช่วงเวลาที่จะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว
     “ฉันรักนายนะเควิน ฉันจะรอนายอยู่ที่ญี่ปุ่น” ชินจิพูด
     “ฉันไปหานายแน่ ฉันก็รักนายเหมือนกัน” เควินจูบคนรักของเขาและกอดร่างของชินจิเอาไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับตักตวงความหวานชื่นจากร่างกายที่เขากอดอยู่เป็นครั้งสุดท้าย
     ชินจิหลับตาเหมือนกับต้องการจะจดจำคำพูดของเควินให้ลึกลงไปในหัวใจของเขา
     แล้วในวันรุ่งขึ้น เควินก็กลับไปดอร์ทมุนด์
     ชินจิรู้สึกว่าสิ่งที่เขาเคยเจอมาบนเส้นทางรักของเขากับเควินมันกลายเป็นสิ่งที่เล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่รออยู่ เพราะนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะต้องเจอกับอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด นั่นคือ ระยะทางและความห่าง
     ความรักทางไกล
     ชายหนุ่มประหวั่นกับเรื่องนี้อยู่ไม่ใช่น้อย ยิ่งประกอบกับนิสัยคิดมากของตัวเองก็ยิ่งเหมือนกับจะทำให้อุปสรรคมันดูยิ่งใหญ่และน่ากลัวมากขึ้น ชินจิอดนึกอิจฉาคู่ของอัตสึโตะกับมานูเอลขึ้นมาไม่ได้ สองคนนั้นดูเข้ากันได้เป็นอย่างดี ไม่มีปัญหาอะไรกัน มานูเอลก็กำลังจะได้ไปอยู่โตเกียวหนึ่งปี เส้นทางความรักของทั้งคู่ดูเรียบราบไร้อุปสรรค ไม่เหมือนกับเส้นทางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อของเขาเลย แต่แล้วชินจิก็ตระหนักว่า เส้นทางความรักของแต่ละคนไม่มีวันเหมือนกัน
     เส้นทางที่ราบเรียบก็อาจจะพุ่งเข้าชนกำแพงได้เหมือนกัน
     เขาไม่จำเป็นต้องอิจฉาอัตสึโตะกับมานูเอลเลย
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 13 - update - 10.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 10-10-2014 19:41:13
เอาเวลาอิจฉาเพื่อนไปบอกเลิกเควินดีกว่านะ เฮ้อ
...
อ้าว .. มีตอนใหม่
...
สงสาร ชินจิอ่ะ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 14 - update - 10.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 10-10-2014 22:23:03
     ข้อความจากคัธรินส่งถึงมานูเอลในวันที่ชายหนุ่มกำลังจะออกจากห้องพักไปฉลองสอบเสร็จกับเพื่อน ๆ ที่คลับรูม เขากดอ่านข้อความแล้วก็นิ่งอึ้งไป

     “มานู ฉันท้อง
     ฉันอยากคุยกับเธอ โทรหาฉันด้วย
     คัธริน”


     มานูเอลไม่ได้โทรศัพท์ถึงแฟนเก่าของเขาในทันที ชายหนุ่มยังนั่งอึ้งอยู่บนเตียงเพราะความตกใจและคาดไม่ถึง โทรศัพท์วางอยู่ข้างตัว
     “มานู ทำอะไรอยู่ ลงไปกันเถอะ มายะโทรมาตามสองรอบแล้ว”
     เสียงแจ้ว ๆ ของอัตสึโตะดังเข้ามาในห้องพร้อมกับที่เจ้าตัวเปิดประตูเข้ามา
     “มานู เป็นอะไรไปน่ะ” อัตสึโตะถามเมื่อเห็นคนรักนั่งหน้าขาวอยู่บนเตียง ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับกับเสียงเรียกของเขา
     “มานู!” อัตสึโตะตรงเข้าไปเขย่าตัว มานูเอลจึงได้สติกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวพลอยทำให้อัตสึโตะสะดุ้งตามไปด้วย
     “เฮ้ย นายเป็นอะไรเนี่ย” อัตสึโตะถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
     “ขอโทษที ฉันแค่ตกใจ คือฉันกำลังงง ๆ” มานูเอลบอก แล้วเขาก็ส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้อัตสึโตะ แล้วเมื่ออ่านข้อความ ฝ่ายหลังก็อึ้งไปเหมือนกัน
     “เวลามีอะไรกัน นายไม่ได้ป้องกันเหรอ”
     ในที่สุด อัตสึโตะก็ถามออกมา
     “ฉันป้องกันทุกครั้ง” มานูเอลยืนยัน “ฉันไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ได้ยังไง”
     สีหน้าของอัตสึโตะเรียบนิ่งเมื่อสบตากับเขา แต่สายตาของชายหนุ่มมีความเจ็บปวดจนทำให้มานูเอลรู้สึกใจไม่ดี ชายหนุ่มรีบคว้ามือของอัตสึโตะมากุมไว้ซึ่งฝ่ายหลังก็ไม่ได้สะบัดออกและยังเลื่อนมืออีกข้างมากุมทับสองมือของมานูเอลด้วย
     “ถ้าเป็นลูกนายจริง ๆ นายรู้ใช่ไหมว่านายจะต้องทำยังไง” อัตสึโตะถาม และไม่รอคำตอบ แต่พูดต่อไปเลยว่า
     “ตัดสินใจได้เลย ไม่ต้องคิดถึงฉัน”
     “ไม่นะ อัตสึโตะ ฉันไม่เลิกกับนายนะ” มานูเอลใจหายวูบจนเขาต้องดึงตัวอัตสึโตะเข้ามากอดเอาไว้แน่น แล้วยิ่งกอดแน่นเข้าไปอีกเมื่ออัตสึโตะกอดเขาตอบเช่นกัน
     “ถ้าเด็กเป็นลูกของฉันจริง ๆ ฉันต้องรับผิดชอบลูกของฉันแน่ แต่ยังไงฉันก็ไม่เลิกกับนาย”
     “แล้วคาธี่ล่ะ นายจะทำยังไง”
     “ฉันเลิกกับคาธี่ไปแล้ว เราสองคนสามารถเป็นพ่อกับแม่ให้เด็กได้ แต่ไม่ใช่ในฐานะอย่างอื่น ตอนนี้ฉันมีนาย ฉันรักนาย นายจะด่าฉันเห็นแก่ตัวก็ได้ นายจะโกรธฉันก็ได้ แต่ขอให้นายอยู่กับฉันได้ไหม”
     อัตสึโตะผละตัวออกจากอ้อมแขนของมานูเอล สีหน้าของเขาแสดงถึงความเด็ดเดี่ยว
     “เราตัดสินอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอกนะมานู นายคุยกับคาธี่แล้วรึยัง สงบสติอารมณ์แล้วไปคุยกับเขาดูก่อน แล้วหลังจากนั้นไม่ว่านายจะตัดสินใจยังไง ฉันจะยอมรับทั้งนั้นเพราะฉันเชื่อว่านายจะต้องหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ได้”
     มานูเอลจำใจต้องปล่อยมือจากอัตสึโตะ สายตาของเขาที่มองชายหนุ่มมีความเจ็บปวดเช่นเดียวกันและยังมีความไม่มั่นใจ เสียงของเขาสั่นเมื่อถามอัตสึโตะว่า
     “นายเกลียดฉันรึเปล่า
     อัตสึโตะไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่การที่เขาก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากของมานูเอลก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่ทำให้ชายหนุ่มสามารถเรียกสติของตัวเองกลับคืนมาได้ในที่สุด
     ในขณะที่อัตสึโตะรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ด้วยความสงบ คนที่โวยวายแทนกลับเป็นมายะ ทันทีที่ชายหนุ่มรู้เรื่อง เขาก็ตรงไปหามานูเอลทันที
     “ในที่สุดนายก็ทำให้อัตสึโตะของฉันเสียใจ ไอ้เวรมานูเอล ฉันไม่น่ายกอัตสึโตะให้นายเลย” มายะพูดเสียงเหี้ยมพร้อมกับสาวเท้าเข้ามาหาด้วยอาการคุกคามชนิดไม่มีการล้อเล่น
     “ฉันเสียใจมายะ ฉันไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เหมือนกัน”
     ประโยคนี้ของมานูเอลทำให้มายะของขึ้นทันที ชายหนุ่มเหวี่ยงหมัดซัดเข้าหน้าเพื่อนเต็มแรงและมานูเอลก็ทรุดลงไปนั่งอยู่บนพื้นโดยที่ไม่หลบและไม่ได้โต้ตอบอะไร
     “เสียใจเหรอ นายบอกว่านายเสียใจเหรอ! แล้วอัตสึโตะไม่เสียใจรึไง! ก่อนทำอะไรทำไมไม่คิดวะ!” มายะตะโกน
     “ฉันเสียใจ” ชายหนุ่มพูดได้เพียงเท่านั้น เขาไม่คิดจะแก้ตัวหรือพูดอะไรมากกว่านี้อีก เพราะพูดไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และคนตรงหน้าก็คงไม่ฟัง ตอนนี้มายะโกรธเขามากจนควันออกหูแล้ว
     “ฉันจะทำให้นายเสียใจมากกว่านี้อีก คอยดู!” มายะชี้หน้า “ฉันจะทำให้อัตสึโตะเลิกกับนายให้ได้ ฉันจะไม่มีวันให้อัตสึโตะมาคบกับคนเลว ๆ แบบนายอีกเด็ดขาด จำไว้เลยนะ ไอ้นูเทลล่า นายไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้อัตสึโตะของฉันอีก กลับไปอยู่กับลูกกับเมียนายโน่น ไป!”
     “ไม่นะ มายะ ฉันรักอัตสึโตะ” มานูเอลลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับมายะ
     “แล้วนายทำกับคนที่นายรักอย่างนี้เหรอวะ หา! นายนี่มันโคตรเลว เลวสุด ๆ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่ารักอัตสึโตะอีก นายยังมีความอายเหลืออยู่รึเปล่าวะ” มายะด่าไม่ไว้หน้า จนมานูเอลเองก็พูดไม่ออก ชายหนุ่มเหมือนน้ำท่วมปาก ถ้าเขาพูดมากไปก็เท่ากับว่าเอาเรื่องของคัธรินมาประจาน แต่ถ้าเขาเงียบอยู่แบบนี้ เขาก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลว
     มานูเอลเลือกที่จะเงียบ ในเมื่อเรื่องมันยังไม่แน่ชัด เขาก็พูดอะไรไม่ได้จริง ๆ
     “อย่ามายุ่งกับอัตสึโตะของฉันอีก!”
     มายะสำทับเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะผลุนผลันออกจากห้องไปโดยสวนกับยูเลี่ยนที่เดินเข้ามาข้างในและเมื่อเห็นเพื่อนทรุดตัวลงนั่งบนเตียงเหมือนคนใกล้หมดแรงเต็มที ชายหนุ่มก็พูดว่า
     “ทำไมนายไม่ชกไอ้หน้าเต้าหู้มันไปสักที ปล่อยให้มันพล่ามอยู่ได้”
     มานูเอลเงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนจะยิ้มนิด ๆ 
     “แล้วนายไม่อยากต่อยหน้าฉันอีกคนเหรอ”
     ยูเลี่ยนเดินไปลากเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานมานั่งประจันหน้ากับมานูเอล สีหน้าของเขาจริงจัง ไม่ได้ดูเป็นเล่นเหมือนปกติ
     “ฉันจะทำยังงั้นไปทำไม ไอ้มายะมันโมโหจนเวอร์ ไม่ดูตาม้าตาเรือเอาซะเล้ย” ชายหนุ่มลากเสียงยาวพร้อมกับโคลงศีรษะด้วยความระอาพฤติกรรมของเพื่อน
     “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นก่อนนายจะคบกับอัตสึโตะ มันช่วยไม่ได้นี่หว่า แต่พูดก็พูดเถอะ ถ้านายบอกว่านายป้องกันทุกครั้ง แล้วเรื่องมันเกิดขึ้นได้ยังไง”
     “ฉันไม่รู้ คาธี่ยืนยันว่าเป็นลูกของฉัน ครั้งสุดท้ายที่เรามีอะไรกันคือคืนก่อนไฮลิกอาเบนด์ ฉันยืนยันว่าฉันป้องกันแล้วแน่นอน แต่ถึงจะป้องกันก็อาจจะพลาดได้ไม่ใช่เหรอ ถุงยางมันก็ไม่ได้ป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์”
     “หรือไม่ก็ไม่ใช่ลูกนาย” ยูเลี่ยนพูดลอย ๆ มานูเอลมองหน้าเพื่อนทันที ยูเลี่ยนย้ำว่า
     “คาธี่ไม่ได้มีนายคนเดียวนะ ตอนนั้นน่ะ เด็กอาจจะไม่ใช่ลูกนายก็ได้ นายต้องทำให้เรื่องมันกระจ่างให้ได้ มานู ก่อนที่อะไร ๆ มันจะแย่ลงไปกว่านี้”
     มานูเอลยกมือขึ้นลูบหน้า
     “แต่ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าคาธี่จะเป็นอย่างนั้น ฉันรู้จักคาธี่ดี เขาไม่ทำแบบนั้นหรอก”
     “แล้วแฟนเขาล่ะ” ยูเลี่ยนถาม
     “ฉันไม่รู้ เราไม่ได้คุยกันเรื่องนั้น คาธี่อยากให้เรากลับไปคุยกันที่บ้าน ฉันก็รับปากว่าฉันจะกลับไปให้เร็วที่สุด ฉันก็อยากเคลียร์เรื่องนี้ให้มันจบเหมือนกัน เอาให้มันรู้เรื่องกันไปเลย” มานูเอลพูดด้วยความมุ่งมั่น
     “อัตสึโตะล่ะ ถ้านายกลับตอนนี้ นายก็ไม่ได้ไปส่งอัตสึโตะที่สนามบินน่ะสิ”
     “ก็คงจะเป็นอย่างนั้น แต่ฉันคิดว่าอัตสึโตะเข้าใจฉัน หมอนั่นเข้มแข็งกว่าที่ฉันคิดเยอะ เข้มแข็งกว่าฉันซะอีก”
     “แล้วเรื่องนี้อัตสึโตะคิดยังไง ถ้าเด็กเป็นลูกนายจริง อัตสึโตะจะรับได้รึเปล่า หรือนายจะต้องเลิกกับหมอนั่นอย่างที่ไอ้หน้าเต้าหู้ประกาศจริง ๆ”
     “ฉันไม่ยอมเลิกกับอัตสึโตะหรอกนะยูเลี่ยน ฉันจะรับผิดชอบลูกของฉัน แต่ฉันคงแต่งงานกับคาธี่ไม่ได้ เราเลิกกันแล้ว ตอนนี้ฉันก็ไม่ได้รักคาธี่แล้วด้วย ฉันรักอัตสึโตะ” มานูเอลพูดด้วยความมั่นใจ แต่เขาก็มิวายยิ้มขื่น ๆ ออกมาเมื่อจบประโยคว่า
     “ฉันอยากยื้ออัตสึโตะไว้ ฉันมันเลวเหมือนที่มายะพูดนั่นแหละ”
     ยูเลี่ยนฟังแล้วจุ๊ปากดังลั่นด้วยความขัดใจทันที
     “อย่าไปฟังไอ้หน้าเต้าหู้มันเลยน่ะ เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับอัตสึโตะคนเดียว ถ้าหมอนั่นรับได้ก็ไม่มีปัญหาหรอก เคสของนายมันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น มันมีเยอะแยะไปที่เป็นแค่พ่อกับแม่ของลูก แต่ต่างคนต่างก็มีคนรักของตัวเอง มันอยู่ที่ว่านายต้องทำให้เรื่องมันเคลียร์ให้ได้ จะเอายังไงกันแน่ แล้วตกลงกับอัตสึโตะซะด้วย ว่าแต่หมอนั่นจะรับได้ไหมล่ะ”
     มานูเอลนึกถึงจูบของอัตสึโตะแล้วก็อยากจะเข้าข้างตัวเองจริง ๆ แต่เขาก็ไม่กล้าคิด ได้แต่เพียงสั่นศีรษะด้วยความไม่รู้ บอกว่า
     “ฉันทำได้แค่หวังเท่านั้นแหละว่าอัตสึโตะจะรับได้ แต่ถ้าไม่ได้ ฉันก็คงต้องยอมรับมัน”
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 14 - update - 10.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 10-10-2014 22:30:04
     มานูเอลไม่ได้ยินคำตอบของคำถามนั้นจากอัตสึโตะ แต่คนที่ได้ยินเต็มสองหูคือมายะ
     หลังจากที่ไปอาละวาดกับมานูเอลแล้ว ชายหนุ่มก็มาโวยวายใส่อัตสึโตะต่อ พร้อมกับยื่นคำขาดให้เพื่อนเลิกกับคนรักร่างใหญ่ให้ได้
     “ไอ้หมียักษ์มันทำกับนายถึงขนาดนี้ นายต้องเลิกกับมันนะอัตสึโตะ มันมีเมียมีลูกแล้ว นายก็เห็น เพราะฉะนั้นเลิกคบกันมันซะเถอะ”
     อัตสึโตะส่ายหน้าทันที ปากเม้มเป็นเส้นตรง
     “อัตสึโตะ!” มายะร้องลั่นด้วยความขัดเคืองใจ
     “มานูไม่ได้ทำอะไร หมอนั่นไม่ได้นอกใจฉัน เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นก่อนเราเป็นแฟนกัน มานูไม่ผิด คาธี่ก็ไม่ผิด ไม่มีใครทำอะไรผิดสักหน่อย ฉันจะไม่เลิกกับมานูเพราะเรื่องนี้เด็ดขาด”
     “แต่หมอนั่นมันมีลูกมีเมียนะอัตสึโตะ! มันต้องรับผิดชอบลูกเมียมัน แล้วนายยังจะทู่ซี้คบกับมันอยู่อีกงั้นเหรอ” มายะยิ่งเป็นเดือดเป็นร้อนที่เห็นอัตสึโตะนิ่งเหลือเกิน
     “ก็ให้เขาไปตกลงกันก่อน ถ้ามานูตัดสินใจอย่างนั้นจริง ๆ ฉันก็จะเลิก”
     “แล้วนายจะรอทำไม เลิกกันไปเลยสิ ยังไงไอ้หมียักษ์นั่นมันก็ต้องรับผิดชอบลูกมัน กับแฟนเก่ามันก็เคยรักกันจะเป็นจะตาย นายก็เห็น สองคนนั่นรีเทิร์นแน่นอนอยู่แล้ว นายจะยื้อเอาไว้ให้มันเจ็บปวดไปทำไม”
     “นายพูดของนายเอาเอง มายะ มานูยังไม่ได้ตัดสินใจ ฉันบอกแล้วนี่ว่าฉันจะรอการตัดสินใจของมานูก่อน”
     “โว้ย! ทำไมนายถึงได้ดื้อยังงี้วะ ไอ้มานูเอลมันทำนายขนาดนี้แล้วยังไม่เสียใจอีกรึไง” มายะบ่นด้วยอาการหัวเสีย
     “ฉันเสียใจสิที่เรื่องมันเป็นแบบนี้”
     “งั้นนายก็ต้องเลิกกับมัน!”
     “ไม่เลิก! ฉันไม่เลิกกับมานูเด็ดขาด!”
     เสียงของอัตสึโตะสั่น ริมฝีปากก็สั่น สายตาก็หวั่นไหวและเจ็บปวด แต่ชายหนุ่มก็ยังยืนยันความต้องการของตัวเอง มายะเห็นแล้วพูดไม่ออก แต่เขาก็เจ็บปวดไม่ต่างอะไรจากเพื่อน นอกจากนั้นเขายังโกรธที่อัตสึโตะดื้อรั้น รู้ทั้งรู้ว่าต้องเจ็บ แต่หมอนั่นก็กลับไม่ยอมเปลี่ยนใจ แล้วนี่เขาจะไม่สามารถทำให้อัตสึโตะเปลี่ยนใจได้เลยจริง ๆ เหรอ
     มายะคว้าตัวอัตสึโตะกดลงบนเตียง มือสองข้างของเขากำข้อมือของอีกฝ่ายแน่น
     “ฉันไม่เคยคิดจะทำกับนายแบบนี้ แต่ตอนนี้ฉันจะทำ ฉันไม่อยากเห็นนายเสียใจเพราะไอ้หมอนั่นอีกแล้ว”
     พูดจบมายะก็ก้มหน้าลงมาทันที แต่อัตสึโตะไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งนั้น แม้ว่าซอกคอจะโดนทั้งริมฝีปากและจมูกของอีกฝ่ายรุกราน จนแม้แต่เมื่อริมฝีปากของมายะเลื่อนมาประกบกับริมฝีปากของเขา อัตสึโตะก็ยังนิ่ง และเขาไม่หลับตาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มนอนนิ่งเหมือนท่อนไม้และสีหน้าของเขาเย็นชาเหมือนกับหินปักหน้าหลุมศพ
     มายะชะงักเมื่อสบสายตาว่างเปล่าของอัตสึโตะ แล้วเมื่อเขาถอนริมฝีปากออก อัตสึโตะก็พูดว่า
     “ถึงนายจะทำอย่างนี้ ฉันก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจหรอกมายะ ฉันรักมานู ฉันไม่ได้รักนาย”
     “โธ่เว้ย!” มายะสบถลั่น พร้อมกับผละตัวออกห่างจากอัตสึโตะ เลื่อนตัวลงมานั่งอยู่ที่พื้นหน้าเตียง ขณะที่อัตสึโตะค่อย ๆ ชันตัวขึ้นมาจากเตียงและนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น
     “โธ่เว้ย! ทำไมมันต้องเป็นยังงี้ด้วยวะ!” มายะสบถอีก แล้วชายหนุ่มก็เริ่มร้องไห้ ร้องไปด่าคนที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงไป
     “ไอ้บ้าอัตสึโตะ ไอ้คนหัวดื้อ ไอ้คนไม่มีหัวคิด ไอ้คนใจร้าย นายมันบ้า โคตรบ้า บ้าแล้วยังแถมโง่อีก เกิดมาฉันยังไม่เคยเจอใครบ้า โง่ ดื้อแบบนาย แม่นายให้นายกินอะไรแทนนมตอนเด็ก ๆ วะ นายถึงได้ทั้งบ้าทั้งดื้อทั้งโง่แบบนี้เนี่ย”
     มายะปาดน้ำตาไปทั้งที่ปากก็ยังด่าไม่หยุด อัตสึโตะเลื่อนตัวลงมานั่งบนพื้นข้าง ๆ เพื่อน มือของเขาแตะแขนมายะเอาไว้อย่างแผ่วเบา
     “แล้วนายจะร้องไห้ทำไมเนี่ย”
     “ก็นายไม่ยอมร้องไห้ ฉันก็ร้องไห้แทนสิวะ!” มายะหันมาโวยทั้งน้ำตา พร้อมกับสูดจมูกฟืดหนึ่ง
     “โธ่ มายะ” อัตสึโตะพูดได้แค่นั้น
     “นายนี่มันหัวช้า ความรู้สึกช้า ต้องให้เตือนกันทุกที เตือนแล้วก็ไม่เชื่อไม่ฟังไม่ทำตาม ฉันก็ต้องทำแทนให้ตลอดอีก ตอนนี้ฉันเสียใจแทนนาย ทำไมนายต้องมาเจอเรื่องบ้า ๆ แบบนี้ด้วยวะ”
     มายะสูดจมูกฟืด ๆ พลางปาดน้ำตาป้อย ยังร้องไห้อยู่ และแทนที่ชายหนุ่มจะเป็นคนปลอบโยนอัตสึโตะอย่างที่ควรจะเป็น มายะกลับเป็นฝ่ายนั่งร้องไห้ให้อัตสึโตะเป็นคนปลอบแทน
     อัตสึโตะยังคงไม่มีน้ำตาให้เรื่องนี้แม้แต่ตอนที่มานูเอลเข้ามาลาเขาในห้อง ทั้งสองคนกอดกันแน่นเพราะรู้ดีว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดกันแล้ว อนาคตยังไม่รู้ว่าจะได้เจอกันหรือกอดกันอย่างนี้อีกหรือไม่
     “ฉันจะเคลียร์เรื่องนี้ให้เร็วที่สุดนะอัตสึโตะ” มานูเอลสัญญา
     “อย่าลืมที่ฉันบอก นายไม่ต้องเป็นห่วงฉัน คิดถึงเด็กคิดถึงคาธี่ไว้ก่อน และฉันจะยอมรับการตัดสินใจของนายทุกอย่าง ฉันรู้ว่านายจะเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
     “เรายังคุยกันได้ใช่ไหมอัตสึโตะ” มานูเอลถามด้วยความคาดหวัง อัตสึโตะพยักหน้า
     “แน่นอน เรายังคุยกันได้เสมอ”
     “ฉันจะโทรหานายทุกวันเลย”
     อัตสึโตะยิ้มนิด ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับอีกครั้งหนึ่ง มานูเอลยกมือขึ้นลูบแก้มอัตสึโตะ
     “ฉันขอจูบนายได้ไหม”
     อัตสึโตะไม่ตอบ แต่หลับตาลง มานูเอลจึงก้มหน้าลงมาหา ริมฝีปากของเขาประทับลงบนริมฝีปากของอัตสึโตะและเขาก็ทำอย่างนั้นอยู่นาน นานที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แต่ในที่สุดเขาก็ต้องตัดใจถอนริมฝีปากออกมา ชายหนุ่มพูดขณะที่แตะหน้าผากของตัวเองลงกับหน้าผากของอัตสึโตะเป็นครั้งสุดท้ายว่า
     “ฉันรักนาย”
     อัตสึโตะก็ยังไม่มีน้ำตาแม้แต่ตอนที่ร่ำลาเพื่อน ๆ ในฟลอร์ ต่างจากชินจิที่น้ำตาร่วงตอนที่กอดลาเพื่อน ๆ ทุกคนที่เขารู้จักซึ่งอยู่กันแทบจะทุกคนในฟลอร์ มีแค่บางคนเท่านั้นที่กลับบ้านไปแล้ว
     มาร์โคดูจะอาลัยอาวรณ์แกมเสียดายอัตสึโตะอยู่ไม่หาย ชายหนุ่มกอดอัตสึโตะแน่นจนมาริโอ้ต้องดึงตัวออกมา แต่มาร์โคก็ยังมิวายขโมยหอมแก้มอัตสึโตะจนได้ แล้วเมื่อกอดลากับชินจิ ชายหนุ่มขี้เล่นจอมเจ้าชู้ประจำฟลอร์ก็หอมแก้มลาเขาอีกคน
     คู่ของมัตส์กับเอริคเป็นคนต่อไปที่พวกเขามาลา ทั้งสองคนนี้ไม่ค่อยได้มาสนิทสนมด้วยสักเท่าไร แต่เห็นกันทุกวันอยู่ในฟลอร์ เวลาจะจากกันก็อดใจหายไม่ได้ จากนั้นพวกเขาก็ลาเจอโรมกับมิโรสลาฟ ตามด้วยบาสเตียนกับลูคัสที่พอไม่มีแฟนสาวตัวจริงเคียงข้างก็กลับมาคลอเคลียกันเองเหมือนเดิม และจนบัดนี้อัตสึโตะก็ยังฟังสำเนียงบาเยิร์นของอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องอยู่ดี
ฟิลิปเป็นคนสุดท้ายที่พวกเขามาลาซึ่งก็เพียงแต่อวยพรสั้น ๆ ว่า
     “Alles Gute”
     ชินจิยังคงไม่ค่อยกล้าสบตากับประธานหอพักนัก เขาจับมือกับฟิลิปอย่างเป็นงานเป็นการแล้วถอยหลังกลับเพื่อเปิดโอกาสให้อัตสึโตะเข้ามาจับมือลาบ้าง
     ทั้งอัตสึโตะและชินจิไม่มีแฟนมาส่งที่สนามบินเหมือนกันทั้งคู่ แต่ก็ไม่เงียบเหงาเพราะยังมีรุ่นพี่และเพื่อนบางคนตามมาส่งที่สนามบิน
     “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับรุ่นพี่” อัตสึโตะเข้ามากอดลามาโกโตะและเอย์จิ ตอนขามาเมื่อห้าเดือนก่อน รุ่นพี่สองคนเป็นคนมารับเขา และตอนจะกลับ ทั้งสองคนก็มาส่งเขาเหมือนเดิมอีก นอกจากมาโกโตะกับเอย์จิแล้วก็ยังมีโทนี่และยูเลี่ยนอีกสองคน โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่เข้ามากอดเขาด้วยความอาลัยอาวรณ์
     “ลาก่อนนะอัตสึโตะ รักษาตัวเองด้วยนะ”
     “นายก็เหมือนกันยูเลี่ยน โชคดีนะ”
     “ฉันยังอยากเจอนายอีกนะ อัตสึโตะ เราจะได้เจอกันอีกใช่ไหม”
     ยูเลี่ยนอ้อนส่งท้ายโดยไม่สนใจเสียงจิ๊กจั๊กของมายะ อัตสึโตะหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้า
     “ฉันก็อยากเจอนายเหมือนกัน เราต้องได้เจอกันอีกแน่นอน ไม่ที่นี่ก็ที่ญี่ปุ่น นายจะมาเยี่ยมฉันบ้างก็ได้นี่นา”
     “ฉันอยากไปหานายที่ญี่ปุ่นม้ากมากเลยอัตสึโตะ” ยูเลี่ยนยังอ้อนต่อ แต่เมื่อพยายามจะเอาหน้ามาไถ ๆ กับไหล่ของอัตสึโตะเป็นการออดอ้อน ชายหนุ่มก็โดนมายะกระชากไหล่ให้ถอยห่างออกมาก่อน
     “พอเลย จะอ้อนกันไปถึงไหนวะ ไอ้เด็กบ้า” มายะคำรามลอดไรฟัน
     และถึงแม้ว่ามายะกับยูเลี่ยนจะฟอดแฟดใส่กันมากแค่ไหน จิกตีกันมาตลอดเทอมอย่างไร แต่เมื่อมาถึงตอนจากลา ทั้งคู่ก็กลับสวมกอดกันอย่างแนบแน่น
     “ดูแลอัตสึโตะด้วยนะไอ้หน้าเต้าหู้” ยูเลี่ยนกระซิบ
     “รู้แล้วล่ะน่ะ ไอ้เด็กบ้า นายเองก็คอยดูไอ้หมียักษ์นูเทลล่ามันด้วยล่ะ แล้วถ้ามีอะไร นายต้องติดต่อฉันทันที เข้าใจไหมวะ” มายะกระซิบสั่ง
     “เออ ฉันรู้หรอกน่าว่าจะต้องทำยังไง” ยูเลี่ยนกระซิบตอบ
     ทั้งสองคนผลัดกันตบไหล่อีกฝ่ายดังบึ้กก่อนจะสวมกอดกันแน่น ๆ อีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย
     “ดูแลตัวเองด้วยนะเว้ยไอ้เด็กบ้า” คราวนี้มายะไม่จำเป็นต้องกระซิบและยูเลี่ยนก็ตอบกลับเช่นกันว่า
     “โชคดีเหมือนกันว่ะไอ้หน้าเต้าหู้”
     ทั้งสามคนร่ำลาคนที่มาส่งเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินเข้าไปในส่วนผู้โดยสารขาออก
     อัตสึโตะ ชินจิและมายะก้าวออกจากเบอร์ลินด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือความอาลัย
     ตลอดระยะเวลาห้าเดือนที่ผ่านมามีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับพวกเขาที่นี่ ทั้งความสุข ความสนุกสนาน ความสมหวัง ความผิดหวังและความเศร้าโศกเสียใจ พวกเขาไม่รู้ว่าจะมีเรื่องราวแบบไหนเกิดขึ้นอีกบ้างหลังจากนี้ แต่มันคงไม่มีวันลบเลือนความทรงจำในเบอร์ลินไปได้แน่ ๆ
     อัตสึโตะมองออกไปนอกหน้าต่าง
     เมื่อเขามาถึงที่นี่ในวันแรก เบอร์ลินต้อนรับเขาด้วยสายฝน และเมื่อเขาต้องจากไป เบอร์ลินก็ร่ำลาเขาด้วยหิมะขาวสะอาดที่โปรยปรายลงมาบาง ๆ
     มันเย็นและมันก็ดูเศร้า
     ไม่ต่างอะไรจากความรู้สึกของเขาในตอนนี้เลย
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 14 - update - 10.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 10-10-2014 22:31:01
เวรกรรม เฮ้อ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 14 - update - 10.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 11-10-2014 07:36:42
บทที่ 15

     หลังจากกลับมาอยู่ที่ญี่ปุ่นสิ่งแรกที่ชินจิทำก็คือหางานพิเศษ
     ชายหนุ่มต้องการหาเงินเพื่อเป็นทุนในการกลับไปที่เยอรมนีอีกครั้งก่อนที่เขาจะเรียนจบและเตรียมตัวสอบชิงทุนปริญญาโทและปริญญาเอกอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ต่อไป
     ระหว่างนี้เควินติดต่อกับเขาอยู่ไม่เคยขาด ชายหนุ่มกลับไปอยู่กับครอบครัวที่ดอร์ทมุนด์แต่ก็ยังสไกป์หรือส่งข้อความคุยกันอยู่เรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าคนเริ่มต้นก่อนจะเป็นชินจิแทบทุกครั้งก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกดีเพราะคู่ของเขาไม่ได้มีปัญหาหนักอกอย่างคู่ของอัตสึโตะกับมานูเอล
     ชินจิยังติดต่อกับอัตสึโตะและมายะอยู่และยังสนิทสนมกันเหมือนเดิมเพียงแต่อาจจะไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนักหลังจากที่ชินจิเริ่มทำงานพิเศษอย่างหนักในช่วงเวลาปิดเทอมที่ยังเหลืออยู่ ทั้งสามคนทราบข่าวคราวของกันและกันจากอีเมล์กับข้อความที่ส่งหากันบ้าง หรือไม่ก็จากบล็อกของมายะ
     มายะเขียนบล็อกทำนองไดอารี่ประจำตัวอยู่บ้าง บางครั้งเขาก็ลงเรื่องของอัตสึโตะ แต่สิ่งที่มายะไม่ได้เขียนก็คือเรื่องของมานูเอล ชินจิก็เลยไม่ทราบว่าชายหนุ่มร่างใหญ่คนนั้นจะจัดการกับปัญหาของเขาได้อย่างไร

     ทันทีที่กลับถึงเกลเซ่นเคียเช่น มานูเอลก็ตรงไปที่บ้านของคัธรินในทันที แต่บรรยากาศที่บ้านของหญิงสาวต่างจากสมัยก่อนลิบลับ พ่อกับแม่ของหล่อนไม่ต้อนรับเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยอมให้ชายหนุ่มขึ้นไปคุยกับลูกสาวที่ห้อง
     “มานู” คัธรินตรงเข้ามากอดเขาเอาไว้ด้วยความดีใจ แต่มานูเอลดันตัวของหล่อนออก ถึงจะไม่รุนแรงแต่ก็มีความเหินห่างและระมัดระวังให้สัมผัสได้ สีหน้าของหญิงสาวจึงสลดลงเล็กน้อย
     “คุยกันเลยดีกว่าคาธี่ ฉันอยากรู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่” มานูเอลเริ่มต้นอย่างไม่อ้อมค้อม “เธอบอกว่าเธอท้องกับฉัน แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อเราก็ป้องกันทุกครั้ง ฉันไม่ได้จะว่าอะไรเธอนะ แต่ฉันอยากรู้ความจริงเท่านั้น”
     คัธรินเม้มริมฝีปาก สีหน้าของหล่อนดูอึดอัด แต่หล่อนก็ยังยืนยันว่า
     “ฉันท้องกับเธอจริง ๆ ตอนนี้ก็สองเดือนครึ่งแล้ว มันต้องเป็นช่วงคริสต์มาสนั่นแหละ ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่มันเป็นไปแล้ว”
     “แล้วแฟนของเธอล่ะ รู้เรื่องนี้รึเปล่า”
     “รู้สิ เขาจะไม่รู้ได้ยังไง ฉันบอกเขาเอง” น้ำเสียงของหล่อนที่พูดถึงเขาแสดงให้เห็นถึงความโกรธเคืองที่ผสมปนเปด้วยความน้อยใจ หางเสียงจึงค่อนข้างกระแทกกระทั้น
     “แล้วเขาก็เลิกกับฉันแล้วด้วยเพราะเรื่องนี้”
     “อะไรนะ” มานูเอลฟังแล้วตกใจจริง ๆ แต่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเมื่อนึกถึงปฏิกิริยาของพ่อกับแม่ของคัธรินซึ่งมันก็น่าโกรธอยู่หรอกที่ลูกสาวต้องเลิกกับคนรักเพราะดันตั้งท้องกับแฟนเก่าของตัวเองแบบนี้
     ชายหนุ่มถอนหายใจยาวด้วยความหนักอก
     “มันอาจฟังดูเลวนะคาธี่ แต่ยังไงฉันก็ต้องถามเรื่องนี้ ในช่วงนั้นเธอไม่ได้มีฉันคนเดียว แฟนเธอก็อยู่ เธอแน่ใจจริง ๆ น่ะเหรอว่าเด็กเป็นลูกของฉันแน่ ๆ”
     “ฉันแน่ใจ”
     “งั้นถ้าฉันจะขอตรวจดีเอ็นเอหรืออะไรทำนองนั้น เธอก็คงไม่ขัดข้องใช่ไหม”
     “แน่นอน ถ้าเธออยากจะทำอย่างนั้น ก็ทำเลย”
     มานูเอลจ้องตาคัธรินซึ่งฝ่ายหลังก็ไม่ได้เลี่ยงหลบ แต่ชายหนุ่มเห็นความหวั่นไหวอยู่ในสายตาของหล่อนเช่นกัน
     “เอาเถอะ ถ้าเธอพูดแบบนั้น ฉันก็จะเชื่อว่าเด็กเป็นลูกของฉัน ฉันจะรับผิดชอบลูกของฉันแน่นอน”
     มานูเอลสรุป หน้าของคัธรินชื่นขึ้นทันที หล่อนจับมือของเขาเอาไว้
     “เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมใช่ไหมมานู ฉันดีใจนะ ฉันดีใจจริง ๆ”
     หากมานูเอลส่ายหน้า ก่อนจะปลดมือของหญิงสาวออก
     “เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้หรอกนะคาธี่ ทั้งเธอทั้งฉันเปลี่ยนไปแล้วทั้งสองคน เราเป็นพ่อกับแม่ให้ลูกได้ แต่ไม่สามารถเป็นอะไรอย่างอื่นได้อีก”
     “เพราะผู้ชายคนนั้นยังงั้นเหรอที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปขนาดนี้ เธอเคยบอกว่าเธอรักฉันไม่ใช่เหรอ”
     “ฉันเคยรักเธอจริง ๆ แต่นั่นก่อนที่เธอจะบอกเลิกกับฉันและก่อนที่ฉันจะเจออัตสึโตะ ตอนนี้ในหัวใจของฉันมีแต่อัตสึโตะคนเดียว”
     “เธอกำลังจะมีลูกกับฉัน เธอคิดว่าเขาจะรับเรื่องนี้ได้เหรอ”
     “ฉันเชื่อว่าอัตสึโตะเข้าใจฉันแน่ ๆ”
     คัธรินส่ายหน้าอย่างอัดอั้น มานูเอลก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เขาคิดว่าเรื่องมันคงยังไม่จบแค่นี้หรอก มันยังมีเรื่องอีกมากที่เขาจะต้องพูดกับคัธริน แต่คงไม่ใช่วันนี้ เห็นได้ชัดว่าคัธรินไม่อาจจะรับฟังอะไรได้อีกต่อไปแล้ว มานูเอลก็เลยหยุดอยู่เพียงแค่นั้น
     มานูเอลกลับมาที่บ้านของเขาแล้วก็พบว่าในบ้านมีคนมาชุมนุมกันอยู่เต็มไปหมด โธมัส เบเนดิกท์และลิซ่าทั้งสองคนพร้อมใจกันมาคอยฟังข่าวอยู่ด้วยความเป็นห่วงและเมื่อฟังมานูเอลเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว ต่างคนต่างก็ถอนหายใจดังเฮือก
     “แต่ฉันก็ยังไม่คิดว่านั่นจะเป็นลูกของนายอยู่ดีแหละมานู” โธมัสพูด “มันแค่ครั้งเดียวแล้วนายก็บอกว่านายป้องกัน มันไม่น่าสงสัยเหรอ ฉันว่าแฟนคาธี่น่ะ ชื่ออะไรนะ”
     “ดาวิด” ลิซ่าแฟนสาวของเขาเป็นคนตอบ
     “เออ นั่นแหละ ฉันว่าหมอนั่นน่าสงสัยมากกว่าอีก”
     “เขาสองคนจู่ ๆ ก็เลิกกัน แต่คาธี่บอกว่าเพราะลูกเป็นลูกมานู ดาวิดเขารับไม่ได้ก็เลยต้องเลิกกัน มันก็สมเหตุสมผลอยู่นะ” ลิซ่าแฟนโธมัสพูด
     “ได้ยินว่าดาวิดคนนั้นมีแฟนใหม่ไปแล้วด้วยนะ คือมันเร็วมากจนน่าตกใจเชียวล่ะ” ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์เล่าบ้าง มีแฟนหนุ่มพยักหน้าเป็นลูกคู่ พวกเขามีเพื่อนเรียนอยู่ที่ดืสเซลดอร์ฟหลายคน การจะหาข่าวอะไรแบบนี้เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก ๆ
     “น่าสงสัย น่าสงสัย” โธมัสพึมพำ
     “ให้เราถามเพื่อน ๆ ที่ดืสเซลดอร์ฟอีกทีไหม เผื่อได้เรื่องอะไรมากกว่านี้” ลิซ่าแฟนเบเนดิกท์เสนอ แต่มานูเอลโบกมือห้าม
     “อย่าเลย ไม่มีประโยชน์หรอก” ชายหนุ่มพูด “จะยังไงก็ช่าง ตอนนี้เราก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ฉันเองก็ไม่อยากขุดคุ้ยอะไรทั้งนั้น คาธี่บอกว่าเป็นลูกของฉัน ฉันก็จะเชื่อตามนั้นจนกว่าผลตรวจทางการแพทย์จะออกมา ยังไงคาธี่ก็เป็นเพื่อนฉัน ฉันไม่อยากกดดันเขามากนัก แค่นี้เขาก็แย่แล้ว ตั้งท้อง แถมยังโดนฉันปฏิเสธอีก”
     “นายปฏิเสธอะไรเขาวะ” โธมัสสงสัย
     “เขาขอให้ฉันกับเขากลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ฉันไม่ยอม ฉันบอกเขาว่าฉันไม่ได้รักเขาแล้ว ฉันรักอัตสึโตะ ฉันจะรับผิดชอบลูกของฉันในฐานะพ่อ แต่มากกว่านั้น ฉันทำไม่ได้” มานูเอลตอบ
     “เฮ้อ มันก็คงจะต้องเป็นอย่างนั้นล่ะนะ” โธมัสถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกหนักใจแทนเพื่อนขึ้นมาไม่น้อย จู่ ๆ ก็จะต้องมาเป็นคุณพ่อตั้งแต่อายุยี่สิบต้น ๆ มันไม่ใช่เรื่องสนุกสักนิด
     “แล้วอัตสึโตะจะว่ายังไง นายจะคุยกับเขาเมื่อไหร่” เบเนดิกท์ถาม
     “คงไม่ใช่ตอนนี้หรอก บอกตามตรงว่าฉันไม่อยากคุยเรื่องนี้กับอัตสึโตะเลย ฉันกลัวว่าหมอนั่นจะรับไม่ได้ ฉันไม่อยากเลิกกับอัตสึโตะ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะประวิงเวลาออกไปก่อน หรือจนกว่าผลตรวจจะออกมา”
     “นายยื้ออัตสึโตะไปตลอดไม่ได้หรอกนะ สักวันนายก็จะต้องพูดเรื่องนี้กับอัตสึโตะอยู่ดี”
     “ฉันรู้เบนนี่ ฉันรู้ดี”
     ถึงจะบอกเพื่อนไปแบบนั้น แต่มานูเอลก็ไม่ยอมพูดเรื่องนี้กับอัตสึโตะจนแล้วจนรอด ชายหนุ่มโทรศัพท์หาอัตสึโตะทุกวันจริง ๆ ทั้งทางเฟซไทม์หรือไม่ก็สไกป์ อย่างที่เขาสัญญาเอาไว้ แต่เรื่องที่คุยกันก็เป็นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องนี้ อัตสึโตะก็ไม่ได้ถามอะไร ชายหนุ่มเล่าเรื่องของเขา เรื่องที่ญี่ปุ่น หรือไม่ก็เล่าเรื่องเพื่อน ๆ ให้มานูเอลฟังบ้าง อย่างเช่นวันนี้เมื่อมานูเอลเฟซไทม์มา ชายหนุ่มก็เริ่มเล่าเรื่องของชินจิให้ฟัง
     “ชินจิทำงานพิเศษตั้งสองที่แน่ะ หมอนั่นทำงานที่ร้านหนังสือ แล้วก็ยังเป็นติวเตอร์ตามบ้านอีก ไม่รู้ทำได้ยังไง สุดยอดมาก ๆ เลย” อัตสึโตะเล่าด้วยความชื่นชม
     “แล้วนายล่ะ เริ่มหางานพิเศษอะไรทำบ้างแล้วรึยัง” มานูเอลถาม
     “ยังไม่ได้หาเลย ขี้เกียจ” อัตสึโตะย่นจมูกแบบที่มานูเอลเห็นแล้วนึกเอ็นดู นี่ถ้าอยู่ใกล้ ๆ กัน เขาคงบีบจมูกของฝ่ายนั้นเล่นไปแล้ว
     “เอาไว้ค่อยหาตอนเปิดเทอมดีกว่า ตอนนี้ขอพักก่อน”
     “พอเปิดเทอมเดี๋ยวก็บ่นอีกว่าเรียนหนัก ต้องเข้าชมรม สรุปนายก็ไม่ได้หาสักทีล่ะมั้ง” มานูเอลดักคอยิ้ม ๆ จึงโดนอัตสึโตะทำปากยื่นใส่โทษฐานที่บังอาจมารู้ทันเขาได้
     “แล้วคนอื่น ๆ เป็นยังไงกันมั่งล่ะ” อัตสึโตะถามบ้าง มานูเอลจึงเล่าเรื่องของพวกโธมัสให้ฟัง แต่ไม่ได้พูดเรื่องของเขาและคัธรินเลยแม้แต่คำเดียว
     ในขณะที่อัตสึโตะกับมานูเอลคุยกันอยู่ทุกวัน ชินจิกับเควินกลับคุยกันน้อยลงเรื่อย ๆ
     ตั้งแต่กลับมาจากเยอรมนี ชินจิก็ทำงานอยู่ตลอด ทั้งเป็นพนักงานในร้านหนังสือและเขายังสอนพิเศษตามบ้านอาทิตย์ละสองวันด้วย เวลาของเขาจึงหมดไปกับการทำงาน ไม่ได้กลับไปบ้านที่โกเบ หรือแม้แต่เมื่ออัตสึโตะกับมายะโทรศัพท์มาชวนไปเที่ยวหรือกินข้าวด้วยกัน เขาก็ไม่เคยว่างเลย ความสุขอย่างเดียวของเขาตอนนี้คือการที่ได้โทรศัพท์หรือสไกป์คุยกับเควิน แต่ก็ไม่ได้คุยกันทุกวัน บางครั้งชายหนุ่มก็เหนื่อยเกินไปจนเผลอหลับไปก่อนไม่สามารถอยู่ดึกเพื่อรอคุยกับคนรักได้ บางครั้งเมื่อโทรไป เควินก็ไม่ได้รับสาย แต่ก็ไม่ได้โทรกลับเช่นกัน ชายหนุ่มเคยถามเควินเรื่องนี้ เขาก็บอกง่าย ๆ ว่า
     “ก็มันไม่มีเรื่องอะไรนี่ ชีวิตฉันก็เหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ ฉันก็เลยคิดว่าไม่ต้องโทรก็ได้ เอาไว้มีเรื่องอะไรจะเล่าก็ค่อยโทรมาดีกว่า อ้อ อีกไม่กี่วันฉันก็จะกลับเบอร์ลินแล้วนะ”
     ชินจิฟังแล้วถอนใจยาว สำหรับเขา ไม่ว่าเรื่องจะเล็กน้อยขนาดไหน เขาก็ยังอยากจะแบ่งปันให้คนรักได้รับรู้ แล้วเขาก็อยากจะรับรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายให้มากที่สุดด้วย ถึงจะเป็นเรื่องชีวิตประจำวันที่เควินบอกว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่ก็เถอะ แต่ชินจิก็ยังอยากจะรู้อยู่ดี ยิ่งอยู่ห่างกันแบบนี้ เขาก็ยิ่งกระหายอยากจะรู้มากขึ้น
     “ฉันคิดถึงเบอร์ลินจัง คิดถึงนายด้วย ตอนนี้ฉันทำงานเก็บเงินอยู่ อีกไม่นานก็ไปเยี่ยมนายได้แล้วล่ะ”
     ชายหนุ่มเล่าอย่างมีความสุข แต่เควินเพียงรับคำในคอสั้น ๆ
     “แล้วนายล่ะ ตั้งใจจะหางานพิเศษบ้างไหม เผื่อตอนที่นายมาเยี่ยมฉันที่นี่ไง” ชินจิถาม
     “ยังไม่ได้คิดเลย” เควินตอบตรง ๆ แล้วตัดบทว่า “เออ ชินจิ ฉันต้องไปก่อนนะ วันนี้ว่าจะไปกินเบียร์กับคริสตอฟมันสักหน่อยน่ะ”
     ชินจิจำใจต้องวางหูทั้งที่เพิ่งคุยกันได้ไม่เท่าไร แต่ในใจของเขาอดรู้สึกหดหู่น้อย ๆ ไม่ได้ ตอนนี้เหมือนกับเขาวิ่งเต้นอยู่คนเดียวโดยที่เควินไม่ได้ทำอะไรสักนิด ยังมีเวลาออกไปกินเบียร์อย่างสบายใจหรือไม่ก็ไปปาร์ตี้ เควินปาร์ตี้บ่อยจนชายหนุ่มอยากถามเหลือเกินว่าแล้วแบบนี้จะมีเงินเหลือมาเที่ยวญี่ปุ่นอยู่อีกหรือ หากชายหนุ่มก็ไม่ได้ถามอะไรคนรักเรื่องนี้ คิดง่าย ๆ ว่าเควินก็คงหาได้เองเมื่อถึงเวลา อย่างไรคนรักก็สัญญาแล้วว่าจะมาเยี่ยมเขา
     ชายหนุ่มไม่เคยสงสัยคำพูดของเควินแม้แต่นิดเดียว เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาทำส่วนของตัวเองอย่างเต็มที่ต่อไปและไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าในช่วงเวลานั้น ลับหลังเขา เพื่อน ๆ และรุ่นพี่กำลังเป็นห่วงเขามากแค่ไหน
     อัตสึโตะเองก็ได้คุยกับมานูเอลเรื่องนี้เหมือนกัน
     ก่อนหน้านี้เขาเจอกับมายะและได้คุยสไกป์กับมาโกโตะและเอย์จิพร้อมกันสี่คน รุ่นพี่ของเขาถามถึงชินจิและเมื่อรู้ว่ารุ่นน้องกำลังพยายามอย่างหนักแค่ไหน เอย์จิก็ถึงกับถอนหายใจออกมา
     “ชินจิมันรู้รึเปล่าเนี่ยว่าแฟนมันกลับมาเบอร์ลินก็ปาร์ตี้ทุกวัน ไม่เห็นจะดูเดือดร้อนหรือพยายามทำอะไร ๆ อย่างที่ชินจิมันกำลังพยายามอยู่ตอนนี้เลย”
     “แต่เควินมันก็เป็นอย่างนี้มาตลอดอยู่แล้วนี่ครับ” อัตสึโตะว่า
     “ก็จริง แต่พูดก็พูดเถอะ หมอนั่นทำตัวอย่างกับไม่มีแฟน อยู่ในปาร์ตี้ก็เมาเฟลิร์ตไปทั่วเหอะ ยังดีนะที่มันไม่ได้หิ้วใครออกไป มันกินเบียร์จนเมาแล้วให้เพื่อนพากลับ” เอย์จิเล่า เมื่อสองสามวันก่อนมีปาร์ตี้ที่คลับรูมของหอพักของเขา แล้วเควินก็ไปร่วมงานกับเพื่อนคนเดิมที่รู้สึกว่าจะชื่อเจอโรม
     “มันทำเป็นไม่รู้จักพวกเราด้วยนะ” มาโกโตะเสริม ตอนที่เขากับเอย์จิเข้าไปทัก แฟนของรุ่นน้องคนนั้นมีท่าทีอึดอัดเมื่อเจอพวกเขา แล้วก็ไม่ได้ทักทายกลับหรือคุยอะไรด้วยแม้แต่น้อย เควินทำเพียงผงกศีรษะให้เล็กน้อย แล้วก็ตรงไปหาเพื่อนของเขา จากนั้นก็หลีกเลี่ยงทั้งเอย์จิและมาโกโตะตลอดงาน
     “เฮ้ย ทำแบบนี้มันไม่ดีแล้วนา” มายะพูดบ้าง เอามือลูบปลายคางอย่างคนกำลังใช้ความคิด “มันก็รู้จักพวกรุ่นพี่ แล้วทำไมทำเป็นไม่รู้จัก แสดงว่ามันต้องมีอะไรแน่ ๆ เลยแบบนี้”
     “ถามมานูเอลดูซิอัตสึโตะ เผื่อหมอนั่นรู้อะไรบ้าง” มาโกโตะเสนอ
     “แต่หมอนั่นยังอยู่เกลเซ่นเคียเช่นเลยครับ จะรู้จริง ๆ เหรอ” อัตสึโตะทำหน้าครุ่นคิด
     “ก็ลองถามดู ไม่เสียหายอะไรสักหน่อย พวกนายคุยกันทุกวันอยู่แล้วนี่” มาโกโตะพูด
     มายะนิ่งคิดอยู่นิดหนึ่งก่อนจะพูดออกมาเหมือนจำใจเหลือเกินว่า
     “ไอ้หมียักษ์มันคงไม่รู้อะไรหรอกครับ ถามมันก็เสียเวลา ผมว่าถ้าอยากสืบข่าวอะไรที่อัดเลอร์สโฮฟจริง ๆ ล่ะก็ใช้ไอ้บ้านั่นดีกว่า เรื่องสอดรู้สอดเห็นมันถนัด”
     “ใครเหรอ” อัตสึโตะหันมาถามอย่างงง ๆ ในขณะที่รุ่นพี่ทั้งสองคนฟังแล้วยิ้มกริ่ม แล้วมาโกโตะก็เป็นคนแหย่ว่า
     “นายหมายถึงยูเลี่ยนใช่ไหม แหม มีการคิดถึงกันด้วยวุ้ย”
     “โธ่ รุ่นพี่คร้าบ ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่อยากจะคิดถึงไอ้เด็กบ้านั่นสักเท่าไหร่หรอก แต่นี่มันจำเป็น เพื่อเพื่อน ผมจะกลั้นใจถามมันให้ก็ได้ เผื่อมันรู้อะไรบ้าง”
     ฟังน้ำเสียงที่จำใจเหลือเกินของมายะแล้วทุกคนก็อดหัวเราะไม่ได้ แล้วก็ตกลงกันว่าจะทำตามที่มายะเสนอ แต่ถึงอย่างนั้น อัตสึโตะก็เอาเรื่องนี้มาคุยกับมานูเอลทันทีที่คนรักเฟซไทม์มาหา
     “เควินน่ะเหรอทำยังงั้น”
     มานูเอลขมวดคิ้ว แต่ก็จริงอย่างที่มายะว่า ชายหนุ่มอยู่ที่เกลเซ่นเคียเช่น ทำให้เขาไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องอะไรที่เบอร์ลินมากนัก จะรู้บ้างก็ตอนที่โทรศัพท์คุยกับยูเลี่ยนเท่านั้น แต่ยูเลี่ยนก็ไม่ได้เล่าเรื่องของเควินให้เขาฟังเลย
     “ทุกคนก็เลยสงสัยแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจกันสักเท่าไหร่ เป็นห่วงชินจิ” อัตสึโตะสรุป
     “ฉันอยู่ทางนี้ก็ไม่ค่อยรู้อะไรซะด้วยสิ เอางี้ เอาไว้ฉันจะลองโทรไปคุยกับยูเลี่ยนก็แล้วกัน”
     “พูดเหมือนมายะเลย มายะก็บอกว่าจะโทรไปคุยกับยูเลี่ยนเหมือนกัน” อัตสึโตะบอกยิ้ม ๆ
     “ซึนเดเระ ทั้งที่เข้ากันได้ดีแท้ ๆ”
     อัตสึโตะตาโตเมื่อฟังคำพูดของมานูเอล ก่อนจะอุทานว่า
     “โอ้โฮ นี่นายไปรู้จักคำนี้มาจากไหนเนี่ย”
     “อินเตอร์เน็ต ใช้ได้ใช่ไหม”
     “มากเลย นายนี่สุดยอด แล้วไปรู้คำอะไรมาอีก ไหนบอกหน่อยซิ”
     “ให้พูดจริงเหรอ”
     “จริง ๆ พูดเลย” อัตสึโตะเร่ง
     “ไดสุกิ เดส”
     หน้าของอัตสึโตะแดงขึ้นมาทันทีจนมานูเอลอดหัวเราะไม่ได้ เย้าว่า
     “นายอยากให้ฉันพูดเองนะ”
     “ก็นึกว่าเป็นคำอื่นที่ไม่ใช่คำนี้นี่” อัตสึโตะอุบอิบ ไม่คิดว่าจู่ ๆ มานูเอลก็จะมาพูดคำว่าชอบเอาตอนนี้ เขาก็เลยตั้งตัวไม่ทัน หน้าก็เลยแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้จริง ๆ
     เมื่อเห็นอัตสึโตะอาย มานูเอลก็เลยเปลี่ยนเรื่อง
     “ใกล้วันเกิดเราแล้วนะ ฉันเคยบอกว่าจะโทรหานายวันนั้น แล้วนายก็เคยบอกว่าอยากจัดงานวันเกิดด้วยกัน นายจำได้ไหม”
     “จำได้ แต่มันทำไม่ได้นี่”
     “ได้สิ เราจัดงานวันเกิดด้วยกันได้” มานูเอลยืนยัน แล้วเขาก็เล่าให้ฟังว่าเขาตกลงกับที่บ้านไว้ว่าอย่างไร
     “ปกติวันเกิด เราก็จะจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ในครอบครัวกันอยู่แล้ว ปีนี้ก็จัดเหมือนเดิม แต่คงมีพวกโธมัสมาด้วย พอพวกมันรู้ว่าอัตสึโตะก็เกิดวันเดียวกัน พวกนั้นก็อยากจะมาร่วมอวยพรด้วยน่ะ แค่นายเปิดสไกป์ทิ้งไว้ ก็เหมือนเราได้อยู่ด้วยกันแล้ว ดีไหม”
     “จริงสิ” อัตสึโตะเห็นด้วย แล้วก็ชักรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เขากำลังจะได้เจอทุกคนอีกครั้งแล้ว แม้ว่าจะผ่านจอคอมพิวเตอร์ก็ยังดี
     มานูเอลคุยกับอัตสึโตะอยู่อีกสักพักก็ปิดสัญญาณเฟซไทม์ ใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้มค้างอยู่ แต่รอยยิ้มของเขาก็เลือนไปเมื่อหันมาเจอคัธรินยืนอยู่ที่ประตูห้องของเขา
     “เธอควรจะเคาะประตูก่อนจะเข้ามาในห้องของฉันนะ” มานูเอลตำหนิ
     “เธอไม่เคยพูดแบบนี้กับฉันเลยนะมานู” คัธรินพ้อ “แล้วทำไมฉันจะเข้ามาในห้องของเธอไม่ได้ ก็ห้องนี้ไม่ใช่เหรอที่เราเคยนอนด้วยกัน มานู คืนนั้นเธอยังจับมือฉันอยู่เลยนะ เธอจำไม่ได้แล้วเหรอ”
     “ฉันจำได้ และฉันก็จำได้ด้วยว่าเธอแกะมือของฉันออกจากมือเธอ” มานูเอลตอบเรียบ ๆ
     คัธรินนิ่งอึ้งไป หญิงสาวเถียงไม่ออกเพราะหล่อนทำแบบนั้นจริง ๆ และเมื่อถึงตอนนี้ หล่อนก็รู้สึกเสียใจที่ตัวเองทำอย่างนั้น เรื่องที่ผ่านมา สิ่งที่เสียไปแล้ว จะเรียกกลับคืนมาก็ไม่ได้อีก
     “มาร์เซลบอกฉันว่าเธอกำลังจะไปอยู่ญี่ปุ่นปีนึงใช่ไหม”
     มานูเอลพยักหน้า
     “ใช่ คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะตอนนี้”
     “แต่เธอไปไม่ได้นะ เธอสัญญาว่าเธอจะรับผิดชอบลูกนี่นา ตอนที่เธอไปฉันก็เพิ่งคลอด ลูกก็ยังเล็ก เธอจะทิ้งฉันไว้ที่นี่คนเดียวยังงั้นเหรอ เธอใจร้ายมากนะมานู”
     “ไม่ต้องห่วงหรอก พ่อกับแม่รวมทั้งมาร์เซลรับปากแล้วว่าจะช่วยดูแลเธอระหว่างนั้น ฉันก็จะโทรศัพท์มาถามข่าวคราวของเธอบ่อย ๆ แล้วถ้ามีอะไรฉันก็จะบินกลับมา”
     “ไม่ว่าจะทำยังไง เธอก็จะไม่ยอมเปลี่ยนใจจริง ๆ เหรอ เธอยังจะไปหาผู้ชายคนนั้นให้ได้ใช่ไหม”
     คัธรินถามเสียงแผ่ว มานูเอลก็พยักหน้า
     “ฉันสัญญากับอัตสึโตะเอาไว้แล้วว่าฉันจะไปหาเขาที่ญี่ปุ่น ฉันจะไม่มีวันผิดสัญญากับคนที่ฉันรักเด็ดขาด”
     “เธอรักผู้ชายคนนั้นจริง ๆ สินะ”
     “ใช่ ฉันรักอัตสึโตะ”
     คำตอบที่หนักแน่นของมานูเอล ทำให้คัธรินสะท้อนใจ ก่อนที่น้ำตาของหล่อนจะไหลออกมา หญิงสาวสะอื้นพลางพึมพำเสียงเบาว่า
     “ฉันทำผิดไปแล้วสินะ”
     มานูเอลเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้าในลิ้นชักมายื่นส่งให้หญิงสาวเงียบ ๆ ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรเลยแต่รอจนคัธรินร้องไห้จนพอใจ แล้วเมื่อหญิงสาวเลิกร้องไห้ หล่อนก็หันมามองเขาด้วยแววตาที่มีความเจ็บปวดผสมอยู่กับความรู้สึกผิด
     “ฉันโกหกเธอ มานู ฉันไม่ได้ท้องกับเธอหรอก”
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 15 - update - 11.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: AMINOKOONG ที่ 11-10-2014 08:40:14
 “ฉันโกหกเธอ มานู ฉันไม่ได้ท้องกับเธอหรอก”
พอคำนี้หลุดจากปากของมัน นึกคำด่ามันได้แค่ E-Dอก 
โคตรเสียดายค่าเครื่องบินแทนเลย เอาไปบริจาคยังจะดีซะกว่าบินกลับมาเพื่อเรื่องบ้าๆไร้สาระของชะนีไร้สติ :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 15 - update - 11.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 11-10-2014 10:05:27
คาธี่ชะนีน่าส้นเท้า อ๊ากก เพราะหล่อนคนเดียว  :m31:
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 15 - update - 11.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 11-10-2014 10:29:19
ขนาดคิดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้  ยังรู้สึกอยากกระโดดถีบคาธี่สักทีเหอะ
ทิ้งมานูเอลไปเพราะคบซ้อน  นอนซ้ำ ... พอโดนตีจาก  ก็จะมาตีขลุมเอาง่าย ๆ
หล่อนยังมีคุณค่า มีราคา อะไรเหลือบ้างล่ะเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 15 - update - 11.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 11-10-2014 11:09:59
โอ๊ะโอ คาธี่เรียกแขกแฮะ
งั้นต่อเลยก็แล้วกันนะคะ อีกสองบทก็จะจบแล้วค่ะ
ใกล้จะแฮปปี้ละ (รึเปล่า?)

..........................................................................

     ความอึมครึมที่เคยครอบคลุมอยู่เหนือคู่ของอัตสึโตะกับมานูเอลกลับย้ายไปอยู่ที่คู่ของชินจิกับเควินอย่างรวดเร็วเหมือนโดนไต้ฝุ่นพัดเมื่อจู่ ๆ ชินจิก็ติดต่อเควินไม่ได้ ทุกครั้งที่โทรศัพท์ไปหาก็จะได้ยินเสียงอิเล็กทรอนิกส์บอกว่า ไม่สามารถติดต่อหมายเลขนี้ได้ ชินจิลองสไกป์ แต่ก็ไม่ได้ผลเหมือนกัน เควินไม่ออนไลน์ ชายหนุ่มฝากข้อความเอาไว้ แต่ก็ไม่มีข้อความตอบกลับเหมือนกัน
     ชินจิรู้สึกว้าวุ่น สังหรณ์มันบอกเขาว่ามีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้น จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเควินหรือเปล่าก็ไม่รู้ และเมื่อติดต่อเควินโดยตรงไม่ได้ ชายหนุ่มจึงโทรศัพท์ไปหาเจอโรมแทน
     “ไอ้เควินเหรอ? มันก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่นา” เจอโรมตอบ ท่าทางของเขาดูไม่แปลกใจที่จู่ ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากชินจิถามถึงเควิน
     “แต่ฉันติดต่อเควินไม่ได้เลย ฉันเป็นห่วงเขา” ชินจิยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่ดี
     “ไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก ไอ้เควินมันสบายจะตาย แต่ที่ติดต่อมันไม่ได้คงเพราะมันเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์น่ะ”
     “อะไรนะ เปลี่ยนเบอร์โทร ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ชินจิเผลอเอะอะออกมาเพราะข่าวที่คาดไม่ถึง
     “มันคงยังไม่ได้จังหวะบอกนายละมั้ง” เจอโรมตอบด้วยน้ำเสียงเจือรอยขำ แต่ชินจิไม่ได้สนใจเพราะในที่สุดเขาก็ได้หมายเลขโทรศัพท์ใหม่ของเควินมาจากเจอโรม
     “เควิน ทำไมนายเปลี่ยนเบอร์ใหม่ไม่บอกฉัน”
     ชินจิไม่อยากจะทักคนรักด้วยประโยคนี้เลย แต่ความอยากรู้และไม่สบายใจมันมากเกินกว่าที่เขาจะได้ทันไตร่ตรองอะไร
     “ขอโทษทีชินจิ ฉันเพิ่งเปลี่ยนเบอร์ใหม่ ยังไม่ค่อยได้บอกใครหรอก กะว่าจะบอกกับนายอยู่แล้ว แต่นายโทรมาก่อน นี่นายรู้จากใครกันล่ะ” เสียงของเควินฟังดูไม่เดือดร้อนและไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร ชายหนุ่มจึงพูดด้วยอารมณ์สบาย ๆ ต่างกับชินจิที่น้ำเสียงมีแต่ความร้อนรนและไม่สบายใจ
     “จากเจอโรม ฉันไม่รู้จะติดต่อใครดีเลยโทรไปถามเจอโรม ฉันเป็นห่วงนายมากเลยตอนที่ติดต่อนายไม่ได้”
     “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย นายนี่คิดมากจัง”
     “จะไม่ให้คิดมากได้ยังไง” ชินจิร้อง “ต่อไปนายอย่าทำแบบนี้อีกนะ มีอะไรก็บอกกันสิ”
     เควินเงียบไปนิด ก่อนที่จะพูดออกมาว่า
     “ตกลง ถ้ามีอะไร ฉันจะบอกนาย”
     ชินจิฟังแล้วรู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ปัดความคิดนั้นออกไปจนได้ ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องมาคุยเรื่องอื่นซึ่งเควินก็คุยตอบอย่างดีจนชินจินึกอย่างไรไม่รู้ถามเรื่องที่เควินจะมาเยี่ยมเขาที่ญี่ปุ่นขึ้นมา
     “นายยังจะมาเยี่ยมฉันอยู่ใช่ไหม ฉันจะรอนายนะ”
     แต่คำตอบที่ได้รับจากเควินมีเพียงคำพูดสั้น ๆ ว่า
     “ฉันกำลังคิดอยู่”
     หลังจากที่วางหูจากเควิน ชินจิก็รู้สึกไม่สบายใจเลย จนถึงตอนนี้สังหรณ์ของเขาเริ่มทำงานอย่างเข้มข้นขึ้น แต่ก็แค่สังหรณ์ ถ้าเขาไม่คิดมาก มันก็จบ
     ชินจิปัดทุกอย่างออกจากหัว เขายังมีอะไรอย่างอื่นต้องทำอีกเยอะ
     ชายหนุ่มยังไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งนั้นแม้ว่าอัตสึโตะจะโทรศัพท์มาเลียบเคียงถามเรื่องของเขากับเควิน ชินจิก็ตอบไปอย่างร่าเริงเหมือนทุกครั้งว่า
     “ก็โอเคนะ ฉันยังคุยกับเควินอยู่เลย หมอนั่นบอกว่าจะมาเยี่ยมฉันที่ญี่ปุ่น”
     “แล้วมันจะมาเมื่อไหร่ล่ะ”
     “เอ ยังไม่รู้เลย แต่หมอนั่นบอกว่ากำลังคิด ๆ อยู่ ก็น่าจะเร็ว ๆ นี้แหละมั้ง”
     “เหรอ ก็ดีนะ ฉันดีใจกับนายสองคนด้วย”
     “แล้วนายล่ะ อัตสึโตะ เรื่องของมานูเอล ตกลงกันว่ายังไง”
     อัตสึโตะนิ่งไป ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีเท่าไรว่า
     “ไม่รู้สิ ฉันกับมานูยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กันสักที”
     “อ้าว นี่มันก็เกือบเดือนแล้วนะ ยังไม่คุยกันอีกเหรอ”
     ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็น แต่อัตสึโตะก็อดส่ายหน้าไม่ได้อยู่ดี
     “ยัง มานูไม่พูด ฉันก็ไม่ได้ถามเหมือนกัน คือ ฉันก็กลัวด้วยแหละ ถึงจะอึดอัดอยู่เหมือนกันที่ไม่รู้ว่าเรื่องมันจะเป็นยังไงต่อ แต่ฉันก็ยังไม่อยากรู้ตอนนี้ ช่างมันเหอะ เดี๋ยวมานูก็บอกฉันเอง”
     อัตสึโตะสรุปง่าย ๆ เหมือนเคย

     มานูเอลไม่บอกอะไรกับอัตสึโตะแม้ว่าปัญหาจะคลี่คลายลงไปแล้วก็ตาม เขาอยากจะบอกกับอัตสึโตะด้วยตัวของเขาเองมากกว่าจะบอกผ่านหน้าจอและเขายังเป็นห่วงคัธรินด้วย
     หลังจากคัธรินบอกเขาว่าหล่อนไม่ได้ท้องกับเขา หญิงสาวก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังรวมทั้งการตัดสินใจของหล่อนหลังจากนี้ด้วย
     “ความจริงฉันท้องได้แค่ราวหกอาทิตย์เท่านั้นแหละ เป็นลูกของดาวิด ไม่ใช่ลูกของเธอ” คัธรินสารภาพ
     “มีอยู่คืนนึงที่เราเมาด้วยกันทั้งคู่เราก็เลยไม่ได้ป้องกัน ฉันก็ลืมกินยาคุม คิดว่าแค่ครั้งเดียวคงไม่เป็นไร แต่มันก็พลาดจนได้ ฉันบอกดาวิด แต่เขาไม่ยอมเชื่อ เขายืนยันว่าป้องกันดีแล้วมันจะพลาดได้ยังไง เขาคิดว่าลูกไม่ใช่ลูกของเขา”
     มานูเอลมองคัธรินด้วยความเห็นใจ มือของเขาเลื่อนไปกุมมือของหล่อนไว้พร้อมกับบีบเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจ หญิงสาวจึงเล่าต่อไปได้
     “เขาก็เลยขอเลิกกับฉัน แต่จริง ๆ ไม่ใช่เพราะเรื่องลูกอย่างเดียวหรอก เขามีผู้หญิงคนใหม่ แต่เอาเรื่องนี้มาอ้างเพื่อจะได้เลิกกับฉันได้โดยที่เขาไม่ผิด และฉันก็เสียใจมาก”
     เล่าถึงตอนนี้ น้ำตาของคัธรินก็ไหลออกมา หล่อนใช้ผ้าเช็ดหน้าที่มานูเอลยื่นส่งให้ซับน้ำตาไปพลาง
     “ฉันรักดาวิดมากนะมานู จนกลายเป็นความโกรธและอยากจะประชด ถ้าเขาไม่รักฉัน เขามีคนใหม่ ฉันก็ไม่แคร์เหมือนกัน ฉันก็มีคนใหม่ได้ ฉันก็เลยดึงเธอเข้ามาเกี่ยว ฉันขอโทษนะมานู เพราะความพาลของฉัน เธอเลยต้องเดือดร้อนไปด้วยแบบนี้”
     มานูเอลอยากพูดว่าไม่เป็นไร แต่เขาก็ไม่ได้พูดเพราะหล่อนก็ทำเขาเดือดร้อนจริง ๆ ตลอดเวลากว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ชายหนุ่มมีแต่ความหวั่นไหวและไม่สบายใจ ทั้งเรื่องของตัวเองและเรื่องของอัตสึโตะ หากคัธรินก็เป็นเพื่อนของเขา ชายหนุ่มก็ไม่อยากจะว่าอะไร เขาจึงตอบสั้น ๆ ว่า
     “ฉันเข้าใจ เธอไม่ต้องกังวลหรอก”
     “ฉันอิจฉาเธอด้วย มานู ถึงเธอจะเลิกกับฉันไป แต่เธอก็มีแฟนใหม่ เธอมีความสุข ในขณะที่ฉันต้องเจอกับความทุกข์ ฉันไม่อยากจะทุกข์อยู่คนเดียว ฉันก็เลยทำแบบนั้นลงไป ฉันรู้ว่ามันแย่มาก แต่ฉันไม่มีทางเลือกจริง ๆ”
     “เอาเถอะ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมัน แล้วต่อไป เธอจะทำยังไงต่อ”
     คัธรินนิ่งไปเล็กน้อย แต่เมื่อหล่อนตัดสินใจสารภาพความจริงแล้วแบบนี้ สิ่งที่หล่อนจะทำก็เหลืออยู่เพียงแค่อย่างเดียว
     “ฉันจะทำแท้ง”
     “อะไรนะ” มานูเอลตกใจ
     “ฉันไม่พร้อมจะเป็นแม่หรือมีลูกตอนนี้ นี่เป็นทางออกเดียวของฉันกับปัญหานี้ เธอไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นหรอกมานู เด็กไม่ใช่ลูกเธอ เธอไม่มีอะไรต้องกังวลสักนิด”
     “แต่เธอเป็นเพื่อนฉัน จะไม่ให้ฉันเป็นห่วงได้ยังไง แล้วถ้าเด็กคนนี้คลอด ก็ถือเป็นหลานของฉัน ถ้าเธอจะไม่เก็บเอาไว้จริง ๆ มันก็ใจหายนะคาธี่ เธอแน่ใจแล้วเหรอว่าเธอจะไม่อยากเก็บเด็กเอาไว้จริง ๆ”
     คัธรินพยักหน้า
     “ฉันยังมีอนาคต ถ้าจะต้องเลี้ยงเด็กอยู่คนเดียวแบบนี้ ชีวิตฉันก็จบ ฉันตัดสินใจแล้วล่ะว่าฉันจะทำแบบนี้”
     “เธอยังมีพ่อกับแม่ไม่ใช่เหรอ มีเพื่อน มีฉัน เธอไม่ได้เจอปัญหานี้อยู่คนเดียวสักหน่อย แล้วเรื่องนี้พ่อกับแม่ของเธอรู้แล้วรึยัง”
     “ยังไม่รู้ แต่เรื่องนี้พ่อกับแม่ฉันไม่เกี่ยว ฉันอายุมากพอที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเองและฉันมีสิทธิ์ที่จะทำแท้งได้ตามกฎหมายด้วย เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง ที่ดืสเซลดอร์ฟมีออฟฟิศให้คำปรึกษา ฉันจะนัดเวลาเพื่อขอใบรับรองสำหรับทำแท้งเอง”
     “เธออยากให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหม”
     คัธรินยิ้มน้อย ๆ แต่หล่อนส่ายหน้า
     “ไม่ต้องหรอก เรื่องนี้ฉันจัดการคนเดียวได้”
     “ถ้าเธออยากจะเปลี่ยนใจหรือเธอต้องการความช่วยเหลืออะไร เธอติดต่อฉันได้เสมอนะ” มานูเอลบอก
     “ขอบใจนะ แต่เธอเป็นห่วงเรื่องของตัวเองดีกว่า ไปปรับความเข้าใจกับแฟนของเธอเถอะ ชื่ออะไรนะ อัตสึโตะใช่ไหม เรียกไม่เคยถูกเลยนะฉันเนี่ย” คัธรินพยายามสร้างบรรยากาศด้วยการหัวเราะขำตัวเอง และเปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องของมานูเอลบ้าง
     “ฉันต้องคุยกับอัตสึโตะอยู่แล้วล่ะ แต่หมอนั่นคงไม่สบายใจเหมือนกันที่เธอตัดสินใจแบบนี้นะ”
     “อย่าเป็นห่วงฉันเลย ฉันตัดสินใจแล้ว” คัธรินตัดบทพร้อมกับลุกขึ้นยืน ก่อนจะออกไปจากห้อง หล่อนหันมาบอกเขาว่า
     “ฉันยังไม่แน่ใจนะว่าจะมางานวันเกิดเธอได้รึเปล่า แต่บางทีอาจจะแวะเอาของขวัญมาให้”
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 15 - update - 11.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 11-10-2014 11:17:57
     เมื่อถึงวันเกิดของตัวเอง อัตสึโตะไม่ยอมออกไปไหนหรือทำอะไรทั้งนั้น แต่เปิดสไกป์รอตั้งแต่หัววันทีเดียว มายะที่เอาเค้กวันเกิดมาให้ที่ห้องได้แต่เบ้ปากอย่างหมั่นไส้
     “เปิดกล้องรอตั้งแต่ไก่โห่ ป่านนี้ไอ้หมียักษ์นั่นมันจะตื่นนอนรึยังก็ไม่รู้ นัดกันตอนดึก ๆ ไม่ใช่เหรอ ปิดก่อนก็ได้”
     อัตสึโตะไม่ยอมปิดกล้องอยู่ดีและยังอดทนไม่กินเค้กที่มายะเอามาให้ด้วย แต่รอจนเห็นสัญญาณออนไลน์จากมานูเอลและเมื่อเห็นหน้าของอีกฝ่ายปรากฏบนหน้าจอ อัตสึโตะก็ยิ้มกว้างทันที
     “มานู สุขสันต์วันเกิด!”
     มานูเอลยิ้มตอบเช่นกัน รอยยิ้มของเขาสดใสกว่าทุกครั้งที่อัตสึโตะเคยเห็น
     “สุขสันต์วันเกิดเช่นกันอัตสึโตะ”
     อัตสึโตะเลื่อนกล้องไปให้มายะอวยพรให้มานูเอลบ้างซึ่งอีกฝ่ายก็อวยพรสั้น ๆ อย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็เป็นตาของมานูเอลเลื่อนกล้องให้อัตสึโตะกับมายะเห็นเพื่อนคนอื่น ๆ เสียงโธมัสดังลั่นกว่าใครเมื่ออวยพรวันเกิดอัตสึโตะและทักทายมายะ
     “ไอ้เวรนี่ก็เอะอะมะเทิ่งไม่มีเปลี่ยน” มายะส่ายหน้าเมื่อได้ยินเสียงล้งเล้งของโธมัสดังออกมาจากลำโพง
     อัตสึโตะมองไปทั่ว ๆ แต่ก็ไม่เห็นใครอีกคนที่ควรจะอยู่ในงานด้วย ชายหนุ่มจึงตัดสินใจถาม
     “แล้วคาธี่ล่ะ ไม่มาร่วมงานด้วยเหรอ”
     “ชวนแล้ว แต่คาธี่ไม่รับปาก อาจจะมาหรือแค่แวะเอาของขวัญมาให้” มานูเอลตอบ แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องอื่นทันที อัตสึโตะที่ยังอยากจะถามต่อจึงไม่มีโอกาสได้ทำ
     มายะหรี่ตาและเขาสาบานจริงจริ๊งว่าเขาไม่มีความตั้งใจจะไซโคอะไรอัตสึโตะทั้งนั้นเมื่อพึมพำออกมาว่า
     “ไอ้มานูเอลมันทำท่าแปลก ๆ แฮะ มันต้องมีอะไรแน่ ๆ เลย”
     อัตสึโตะฟังแล้วชักคิดมากขึ้นมาเหมือนกัน
     งานวันเกิดที่เลี้ยงฉลองกันในครอบครัวไม่มีอะไรมาก ทุกคนพูดคุยกินดื่มกันอย่างสนุกสนาน แล้วก็ตัดเค้กวันเกิดก้อนใหญ่ฉลองให้มานูเอลและอัตสึโตะ
     อัตสึโตะมองเค้กวันเกิดส่วนของเขาที่มานูเอลตัดมาวางให้เห็นด้วยสายตาละห้อย เค้กวันเกิดฝีมือคุณแม่ของมานูเอลมันน่าอร่อยมากจนเขาอยากพุ่งทะลุจอเข้าไปชิมเลยจริง ๆ แต่เขาก็ยังมีเค้กวันเกิดที่มายะหอบมาให้เป็นของแก้ขัด
     ทุกคนดื่มอวยพรมานูเอลกับอัตสึโตะกันอีกรอบหนึ่งแล้วจากนั้นก็ถึงเวลาเลิกงาน
     มายะกลับไปที่ห้องของตัวเองแล้ว แต่อัตสึโตะยังคุยกับมานูเอลอยู่ ฝ่ายหลังหอบเอาคอมพิวเตอร์กลับไปที่ห้องส่วนตัวของตัวเอง แต่คุยกันได้สักพักก็มีเสียงเคาะประตู มานูเอลหันไปมองก็เห็นคัธรินยืนอยู่ที่ประตูห้อง เขาหันมาบอกอัตสึโตะว่า
     “รอแป๊บนึงนะอัตสึโตะ คาธี่น่ะ”
     อัตสึโตะชะงักไปนิด แต่ก็ไม่ว่าอะไร เมื่อมานูเอลลุกเดินไปที่ประตู จากจอคอมพิวเตอร์ที่หันไปทางหน้าห้อง อัตสึโตะเห็นไม่ค่อยชัดหรอก แต่เขาเห็นมานูเอลเดินตรงเข้าไปกอดคัธรินไว้ ทั้งสองคนคุยอะไรกันก็ไม่รู้ แต่มันนานมากในความคิดของอัตสึโตะ จากนั้นคัธรินก็ส่งกล่องของขวัญให้มานูเอล แล้วก็กอดกันอีกรอบ
     อัตสึโตะเม้มปากแน่น แต่เมื่อมานูเอลกลับมาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ชายหนุ่มก็ไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้นเกี่ยวกับคัธรินอยู่ดี แค่บอกสั้น ๆ ว่า
     “คาธี่เอาของขวัญวันเกิดมาให้”
     อัตสึโตะอยากจะซักต่อ เพราะเขาชักทนความอยากรู้ไม่ไหวแล้ว มันอึดอัดอยู่ข้างในอกเหลือเกิน แต่อัตสึโตะก็ไม่ได้ซักฟอกมานูเอลอยู่ดีเนื่องจากเรื่องที่มานูเอลพูดต่อจากนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับชินจิ
     “ฉันโทรคุยกับยูเลี่ยนแล้วนะ ได้ข่าวเควินมานิดหน่อย”
     “อะไรเหรอ” อัตสึโตะถามทันทีและทำให้สามารถเบี่ยงเบนความสนใจออกจากเรื่องของตัวเองไปได้
     “ยูเลี่ยนบอกว่ามันเป็นแค่ข้อสันนิษฐานนะ ยังไม่ชัดเจน แต่ก็มีอะไรแปลกหูแปลกตาอยู่เหมือนกัน”
     “อะไรล่ะ” อัตสึโตะเร่ง
     “ได้ข่าวว่าเควินกำลังสนิทสนมกับเพื่อนร่วมฟลอร์คนใหม่มาก คุยกันถูกคอในปาร์ตี้ ตัวติดกันตลอด ผู้ชายคนนี้มาอยู่ห้องที่ชินจิเคยอยู่ เพิ่งมาได้สักพัก”
     “นี่ไอ้เควินมันนอกใจชินจิเหรอ!” อัตสึโตะตาโต
     “มันยังไม่ชัดเจนนะอัตสึโตะ นายก็รู้ว่าเชื่อยูเลี่ยนมากนักไม่ได้หรอก คำพูดไอ้หมอนั่นบางทีต้องเอาสิบหาร สองคนนั้นอาจจะแค่สนิทกันเฉย ๆ ก็ได้ ยังไงเขาก็อยู่ห้องข้าง ๆ กันน่ะ”
     “แต่ฉันว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่นอน” อัตสึโตะกัดฟันกรอด “ฉันไม่ไว้ใจไอ้เควิน พรุ่งนี้ฉันจะไปหาชินจิ ไม่รู้ว่าหมอนั่นระแคะระคายอะไรแล้วรึยัง”
     “มันจะดีเหรออัตสึโตะ เผื่อชินจิยังไม่รู้ รู้แล้วเดี๋ยวจะกังวลเปล่า ๆ นะ”
     “ฉันไปเยี่ยมเฉย ๆ ก็ได้ ถ้าชินจิยังไม่รู้ ฉันก็จะไม่บอกอะไร” อัตสึโตะตัดสินใจ แล้วเขาก็ตัดสัญญาณสไกป์ไปโดยที่ลืมไปเสียสนิทว่าเขามีเรื่องที่ยังต้องคุยกับมานูเอลอยู่เหมือนกัน ชายหนุ่มตรงไปเคาะห้องมายะทันที เมื่อเพื่อนไม่ยอมเปิดให้เร็วอย่างใจ ชายหนุ่มก็ยิ่งเคาะดังขึ้นเรื่อย ๆ
     “มาแล้ว ๆ นายจะเคาะให้ประตูห้องฉันหลุดออกมาเลยรึไงวะอัตสึโตะ” มายะเปิดประตูรับหน้ามุ่ย และชายหนุ่มเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาถึงมาเปิดช้า
     “อาบน้ำอะไรตอนดึก ๆ วะ” อัตสึโตะบ่น
     “เศร้ามั่งสิ เห็นนายคุยกับไอ้หมียักษ์นั่นหงุงหงิงแล้วมันเศร้าจนต้องไปร้องไห้ในห้องน้ำไง ร้องไห้เสร็จก็เลยอาบน้ำไปเลย” มายะพูดหน้าตาเฉย
     อัตสึโตะกลอกตา แต่ไม่ด่าอะไรเพราะเขามีเรื่องสำคัญกว่านั้นต้องพูด
     “เมื่อกี้คุยกับมานู หมอนั่นบอกว่าเควินสนิทสนมกับเพื่อนข้างห้องคนใหม่อยู่คนหนึ่งตอนนี้”
     “อ้าว รู้เหมือนกันเหรอ ตะกี้ไอ้ยูเลี่ยนมันก็โทรมาบอกเรื่องนี้หมือนกัน ฉันว่าพรุ่งนี้จะไปคุยกับนายอยู่พอดีเลย”
     “พรุ่งนี้ไม่ทันแล้ว เราไปหาชินจิกันดีกว่า ฉันร้อนใจ ฉันอยากรู้ว่าชินจิระแคะระคายเรื่องนี้บ้างแล้วรึยัง ฉันเป็นห่วงมัน”
     “ถ้าจู่ ๆ ก็ไปแบบนี้ เผื่อหมอนั่นไม่รู้จะตกใจน่ะสิ” มายะพูด
     “งั้นเอางี้ เราก็ซื้อของไปทำกับข้าวที่ห้องของชินจิกันไง บอกว่าเรามาเยี่ยม อยากมากินข้าวด้วย”
     มายะไม่มีปัญหาเมื่อตกลงจะไปเยี่ยมชินจิด้วยกันกับอัตสึโตะซึ่งพวกเขาก็รู้สึกดีใจที่ตัดสินใจทำแบบนั้นเพราะชินจิไม่เพียงแต่จะระแคะระคาย หากเขาเป็นมากกว่านั้น

     ชินจิโทรคุยกับเควินเหมือนเคย แต่ครั้งนี้เมื่อเขาขอสไกป์ เควินกลับไม่ยอมเปิดสไกป์ แต่ใช้วิธีพิมพ์ข้อความคุยกันแทน เมื่อชายหนุ่มถาม เควินก็พิมพ์ตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า
     “ไม่มีอารมณ์”
     ชินจิถึงกับอึ้งไปนิด เขาสงสัยว่าแค่เปิดสไกป์คุยกับแฟนนี่มันต้องใช้อารมณ์ด้วยอย่างนั้นเหรอ
     “นายทำอะไรอยู่น่ะ ยุ่งอยู่รึเปล่า”
     “อยู่กับเพื่อน ไม่ยุ่งหรอก”
     “เจอโรมรึเปล่า ขอฉันทักหน่อยได้ไหม”
     “ไม่ใช่เจอโรม เพื่อนคนอื่น นายไม่รู้จักหรอก แล้วนี่มีอะไรรึเปล่า”
     ชินจิอึ้งอีกรอบ การโทรมาคุยกับแฟนนี่ต้องมีเรื่องด้วยเหรอ
     “เปล่าหรอก แค่อยากคุยกับนาย อยากได้ยินเสียงนาย ฉันคิดถึงนาย เควิน”
     เควินเงียบไปนานจนชินจิชักกังวลว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
     “ชินจิ ฉันกำลังสับสน”
     ข้อความของเควินทำให้ชินจิตัวชาจนแทบอ่านข้อความถัดมาของเควินไม่รู้เรื่องเลย

     เควิน: ฉันสับสน ไม่มีนายอยู่กับฉันแล้วมันรู้สึกแปลก ๆ ฉันทนไม่ได้ ฉันทนความรู้สึกที่ไม่มีใครแบบนี้ไม่ได้
     เควิน: ขอโทษนะ แต่ฉันคิดว่า เราเลิกกันเถอะ
     เควิน: เราไปด้วยกันไม่ได้แล้วล่ะ


     ชินจิต้องอ่านทวนประโยคที่เควินเขียนซ้ำ ๆ อยู่หลายรอบเพราะคิดว่าตัวเองอ่านแล้วตีความผิดไป
     มันต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ มันต้องไม่ใช่
     ชินจิพยายามจะขอเปิดกล้องสไกป์ เขาอยากเห็นหน้าเควิน เขาอยากคุยกับเควิน แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเปิดกล้องและไม่ยอมรับโทรศัพท์จากเขาด้วย สุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องกลับมาพิมพ์ข้อความอีกครั้ง

    ชินจิ: ไม่นะเควิน ฉันไม่เลิกกับนายนะ ฉันทำอะไรผิด นายบอกฉันมาสิ
     ชินจิ: เควิน ฉันรักนาย เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกจริง ๆ เหรอ
     ชินจิ: แล้วที่ผ่านมาของเรา มันไม่มีความหมายอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ
     ชินจิ: นายบอกว่ารักฉันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ นี่จริง ๆ แล้วนายรักฉันบ้างรึเปล่า


     ประโยคหลายประโยคที่พิมพ์ไป มีตัวอักษรเล็ก ๆ ขึ้นด้านล่างว่า ‘gelesen’ ทุกประโยค แต่ไม่มีคำตอบจากเควินจนชินจิพิมพ์ประโยคสุดท้ายประโยคนั้นไป

     Kevin: Ich liebte dich, aber jetzt nicht mehr. Leb’ wohl.

     ชินจิปล่อยโทรศัพท์หลุดจากมือ
     เคยรัก แต่ตอนนี้ไม่ได้รักแล้ว...
     ทำไมเควินถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ ทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจได้ง่าย ๆ ขนาดนี้ ก็ไหนบอกว่ารักกัน ก็ไหนสัญญาว่าจะมาหา
     ชินจิไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ มันเหมือนกับเส้นทางที่เขาเดินอยู่ดี ๆ ก็ขาดลงกลางคันแล้วตัวของเขาก็ก้าวตกลงไปในเหวลึก
     ชายหนุ่มคิดว่าเขาน่าจะร้องไห้โฮออกมา กรีดร้องฟูมฟายอาละวาดขว้างปาข้าวของ แต่ชายหนุ่มก็เพียงแต่ทรุดตัวลงนั่งที่พื้นหน้าเตียง ศีรษะของเขาเอนซบลงบนที่นอนและน้ำตาก็ไหลออกมาเงียบ ๆ
     ชินจินิ่งอยู่ในท่านั้นนาน... นานเท่าไรเขาเองก็ไม่รู้
     หัวใจของชายหนุ่มแตกสลายไปหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 15 - update - 11.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 11-10-2014 11:18:57
ชินจิก็ดูเป็นคนเรียนเก่งนะ  ทำไมไม่เฉลียวใจบ้างเลย  เฮ้อ
...
อ่านนิยายเรื่องนี้  ถ้ากลับไปนับ ๆ ดู  แต่ละเมนท์จะมีคำว่า เฮ้อ อยู่ด้วยเกือบตลอดอ่ะ
ชินจิ เอ๊ยยยย  ชินจิ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 15 - update - 11.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 11-10-2014 11:28:20
ชินจิก็ดูเป็นคนเรียนเก่งนะ  ทำไมไม่เฉลียวใจบ้างเลย  เฮ้อ
...
อ่านนิยายเรื่องนี้  ถ้ากลับไปนับ ๆ ดู  แต่ละเมนท์จะมีคำว่า เฮ้อ อยู่ด้วยเกือบตลอดอ่ะ
ชินจิ เอ๊ยยยย  ชินจิ

ก็เก่งแต่ในตำราค่ะ และเควินคือรักแรก
ชินจิเรียนวรรณคดี ชอบอ่านนิยาย
เรื่องมันก็ออกมาแบบนี้แหละค่ะ เธอจะมีคอนเซ็ปท์ความรักของเธออยู่
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 15 - update - 11.10.2014 page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 11-10-2014 17:47:50
บทที่ 16

     “ชินจิ!”
     เสียงเรียกที่คุ้นหูทำให้ชินจิกลับมามีสติรับรู้เหมือนเดิมได้นิดหน่อย ชายหนุ่มกะพริบตาเพื่อปรับภาพที่เห็นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
     “อัตสึโตะ มายะ” ชินจิพึมพำเสียงแผ่ว แต่เขายังนิ่งอยู่ในท่าเดิมจากเมื่อวาน
     “โธ่ ชินจิ นายเป็นอะไร ทำไมกลายเป็นแบบนี้ล่ะ” อัตสึโตะถามเมื่อทรุดลงนั่งตรงหน้าเพื่อน
     “ก็คงจะรู้เรื่องแล้วล่ะมั้ง” มายะโคลงศีรษะ ก้มลงไปเก็บโทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ข้างตัวชินจิขึ้นมาดู หน้าจอสีดำสนิท แบตเตอรี่หมดเกลี้ยง มิน่าเขาพยายามโทรหามาตั้งแต่เช้า แต่โทรเท่าไรก็โทรไปติดสักที
     “ลุกขึ้นมานั่งคุยกันก่อนนะชินจิ นายทำท่ายังงี้แล้วฉันไม่สบายใจเลย” อัตสึโตะพยุงเพื่อนให้ลุกขึ้นนั่งตัวตรงซึ่งชินจิก็ทำตามแต่โดยดี ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แต่ชายหนุ่มไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว เขาสงสัยว่าน้ำตาของเขามันคงหมดไปแล้วในช่วงใดช่วงหนึ่งเมื่อคืนนี้นั่นแหละ
     มายะตรงไปไขน้ำอุ่นใส่อ่างเล็ก ๆ และคว้าผ้าขนหนูจากบนชั้นเอามาชุบน้ำแล้วเช็ดหน้าให้เพื่อนอย่างเบามือ
     “เกิดอะไรขึ้นชินจิ บอกพวกฉันซิ ใครทำอะไรนาย” อัตสึโตะถาม
     ชินจินั่งนิ่ง แล้วเมื่อมายะเอาผ้าออกไปจากหน้าเขา ชายหนุ่มจึงพูดสั้น ๆ ว่า
     “เควินขอเลิกกับฉันเมื่อคืนนี้”
     “ว่ายังไงนะ” อัตสึโตะกับมายะแทบจะร้องประสานเสียงกันเมื่อได้ยินข่าวที่คาดไม่ถึง
     “เราเลิกกันแล้ว เควินบอกว่าเขาไม่รักฉันอีกต่อไปแล้ว”
     ชินจิพูดเสียงสั่น ริมฝีปากของเขาก็สั่น แล้วน้ำตาที่เขาคิดว่ามันหมดไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วมันก็กลับไหลออกมาอีก ชินจิปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น
     “โธ่ ชินจิ ฉันเสียใจจริง ๆ” อัตสึโตะร้อง มือเอื้อมไปจับไหล่เพื่อนไว้ แล้วชินจิก็เลยโผเข้าหาอัตสึโตะ กอดเอาไว้แน่นพร้อมกับร้องไห้โฮ
     “เขาเลิกกับฉันแล้วอัตสึโตะ เควินเลิกกับฉันแล้ว ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยล่ะ”
     “ชินจิ” อัตสึโตะเสียงเครือ ชายหนุ่มกอดเพื่อนแน่น พร้อม ๆ กันนั้น ภาพหนึ่งก็แวบขึ้นมาในหัว เป็นภาพของมานูเอลกอดกับคัธรินเมื่อคืนนี้ มานูเอลไม่พูดอะไร ไม่อธิบายอะไรทั้งนั้นจนอัตสึโตะเริ่มรู้สึกเครียดและกังวลขึ้นมาเหมือนกัน
     หรือเขาต้องกลายเป็นอย่างนี้ในไม่ช้า
     น้ำตาที่ไม่เคยไหลตั้งแต่เกิดเรื่องของอัตสึโตะก็ไหลออกมาในตอนนี้ แล้วชายหนุ่มก็ร้องไห้โฮตามเพื่อนไปด้วยอีกคน
     “ฉิบหายแล้ว ทำไมเจ้าอัตสึโตะไปร้องตามเขาด้วยยังงั้นละวะเนี่ย” มายะเกาหัวแกรก
     “เฮ้ย อย่าร้องไห้สิ อะไรของพวกนายกันวะ เอาจริง ๆ ก็เพิ่งคบกันได้ไม่เท่าไหร่ ห้าเดือนแค่เนี้ย จะเสียใจทำไมมากมายก็ไม่รู้”
     มายะคิดว่าคำปลอบใจของเขาเข้าท่าแล้วทีเดียว แต่ชินจิกับอัตสึโตะหันขวับมามองเขาพร้อมกัน แต่ละคนหน้าบึ้งเหมือนยักษ์ แล้วเจ้าอัตสึโตะก็แยกเขี้ยวออกมาเป็นคนแรก
     “ไอ้มายะ หุบปากไปเลยนะ ไอ้คนไม่มีความละเอียดอ่อน”
     โดนคนอย่างอัตสึโตะด่าเอาว่าไม่มีความละเอียดอ่อนนี่มันเจ็บแฮะ
     “ใช่ เรื่องเวลามันไม่เกี่ยวสักหน่อย จะคบกันนานหรือไม่นานแล้วมันสำคัญยังไง ก็ฉันรักเขามาก นายจะไม่ให้ฉันเสียใจได้ยังไง นายนี่มันไม่เข้าใจอะไรเอาซะเลย”
     ชินจิแยกเขี้ยวขย้ำเขาต่อเป็นคนที่สอง แล้วทั้งสองคนก็กอดกันร้องไห้โฮ ๆ อีกรอบ
     มายะร้องเฮ้อออกมาดัง ๆ
     “แล้วตกลงข้าวเย็นเอายังไง มัวแต่ร้องไห้กันอยู่แบบนี้แล้วจะได้กินข้าวกันไหม เนี่ยซื้อของมาซะตั้งเยอะว่าจะมาทำสุกี้ยากี้กินกัน จะกินอยู่ไหมเนี่ย”
     “กิน!” อัตสึโตะพูดทันที ชินจิก็เอามือปาดน้ำตาป้อย ๆ
     “ฉันก็กิน นายซื้อเนื้อมาใช่ไหม แค่นี้มันไม่พอหรอกนะ ฉันจะกินเนื้อ!” ชินจิจิกตาไปที่ถุงพลาสติกที่เพื่อนวางไว้ไม่ไกลนัก อัตสึโตะก็สำทับมาอีกคน
     “นายไปซื้อเนื้อมาเพิ่มเดี๋ยวนี้เลยมายะ แล้วรีบกลับมาทำสุกี้ เร็วเข้า พวกฉันหิวแล้ว!”
     พูด (สั่ง) จบ ทั้งอัตสึโตะกับชินจิก็โผเข้าหากันแล้วเริ่มต้นร้องไห้ขึ้นมาอีกเป็นรอบที่สาม

     มายะรู้สึกว่าเขากำลังเป็นเพื่อนกับผู้ชายเสียสติสองคน
     อัตสึโตะดีหน่อยที่เมื่อได้ร้องไห้ระบายอารมณ์ออกมาแล้วก็รู้สึกดีขึ้น แต่หมอนั่นก็ยังมีความเครียดสะสมอยู่จนต้องระบายมันออกมาด้วยวิธีการเดิมคือ คว้าขนมทุกอย่างที่ขวางหน้าเข้าปาก
     มายะมองเพื่อนจิ้มเค้กเข้าปากไม่หยุดแล้วส่ายหน้า อัตสึโตะขยันชวนเขาเข้าร้านเบเกอรี่หรือไม่ก็ร้านกาแฟเหลือเกิน เข้ามาแล้วก็สั่งของหวานมาสวาปาม เพื่อนของเขากินขนมเยอะมากจนเขารู้สึกว่าแก้มของอัตสึโตะชักจะพองขึ้นทุกวัน ๆ ถึงแม้ว่าเค้กที่นี่มันจะเบา ๆ ไม่เข้มข้นหนักเนยหนักชีสเหมือนที่เยอรมนีก็เถอะ
     “จะกินเข้าไปให้มันได้อะไรขึ้นมา แค่ไอ้หมียักษ์นูเทลล่ามันไม่โทรมาอาทิตย์นึงแค่เนี้ย” มายะบ่น เรื่องนี้ก็อีก จู่ ๆ มานูเอลก็ไม่โทรมาหาอัตสึโตะเหมือนเคย ครั้งสุดท้ายที่คุยกันคือตอนที่อัตสึโตะบอกเรื่องที่ชินจิเลิกกับเควิน แล้วจากนั้นก็ติดต่อกับมานูเอลไม่ได้อีก เพื่อนของเขามันก็เลยยิ่งเครียด
     สปีดการกินของอัตสึโตะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทันทีที่มายะพูดจบ
     มายะคันปากอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมาจริง ๆ แต่เขาก็ต้องเงียบเอาไว้เพราะดันไปสัญญาเอาไว้แล้ว
     ส่วนชินจินี่แย่กว่าอัตสึโตะมาก ถึงแม้ว่าหมอนั่นจะยอมออกมาจากห้อง ไม่เอาแต่นั่งนิ่งทำท่าซังกะตายเหมือนโลกจะถล่มอย่างที่เคย แต่ชินจิก็เหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ชายหนุ่มยิ่งเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดกับใคร และน้ำหนักลดลงอย่างเห็นได้ชัด แถมยังมีทัศนคติที่ติดลบกับความรักไปเลย ใครพูดอะไร ชินจิก็ไม่ฟัง สภาพของเขาแย่มาก แถมเวลานอยด์ขึ้นมาแต่ละที ชายหนุ่มดื่มทั้งเบียร์ทั้งเหล้า บางครั้งยังเห็นหยอดตู้บุหรี่ ทั้ง ๆ ที่ปกติไม่เคยทำ
     ชินจิทำให้ทุกคนเป็นห่วง จนมายะต้องมาปรึกษากับอัตสึโตะอยู่ในตอนนี้ ทุกคนอยากให้ชินจิตัดใจและทำใจให้ได้เพื่อจะได้เริ่มต้นใหม่ แต่ก็ดูท่าจะไม่ค่อยได้เรื่อง
     “โอ๊ย! พอแล้วอัตสึโตะ ห้ามสั่งเพิ่มอีกนะ! เราต้องมาคุยเรื่องชินจิไม่ใช่เหรอ”
     มายะร้องห้ามเมื่ออัตสึโตะทำท่าจะสั่งเค้กชิ้นใหญ่อีกหนึ่งชิ้น อัตสึโตะหน้ามุ่ยเมื่อโดนขัดใจ แต่ก็ยอมนั่งนิ่ง ๆ ฟังมายะพูด
     “หมอนั่นแย่ลงทุกวัน ๆ เราต้องทำอะไรสักอย่างนะ ปล่อยชินจิเป็นยังงี้ไม่ดีแน่ ๆ นี่ก็ไม่ได้ไปทำงานพิเศษแล้วใช่ไหมล่ะ”
     “แล้วจะทำยังไงล่ะ ชินจิมันเสียใจจนไม่ยอมทำอะไรทั้งนั้น ฉันพูดมันก็ไม่ค่อยจะฟัง”
     “พามันกลับบ้านเราที่คานาซาว่าดีไหมล่ะ กลับไปชมดอกไม้กัน ชินจิจะได้เปิดหูเปิดตา ไม่จมกับตัวเองเหมือนตอนนี้” มายะปรึกษา อัตสึโตะทำท่าคิด แล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
     “ก็ดีเหมือนกันนะ ให้มันไปช่วยที่เกสต์เฮาส์สักสองสามวัน เจอคนเยอะ ๆ มันอาจจะดีขึ้นก็ได้”
     แต่อัตสึโตะก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า
     “เอ แต่จะดีเหรอ มันเปิดเทอมแล้วนะตอนนั้นน่ะ”
     “ช่างเถอะ โดดเรียนไม่กี่วัน ถึงชินจิอยู่ที่นี่คิดว่ามันจะได้เรียนเหรอ นอยด์ขนาดนั้น ไปทำงานยังไม่ได้เลย” มายะว่า และอัตสึโตะก็เห็นด้วย
     ดังนั้นเมื่อตกลงกันได้ อัตสึโตะกับมายะก็เลยไปชวนชินจิ แต่ชายหนุ่มไม่ให้ความร่วมมือ ชินจิไม่อยากไปไหน ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น เขาจึงปฏิเสธเพื่อนอย่างรวดเร็ว แล้วกลับไปจมอยู่กับกระป๋องเบียร์เหมือนเดิม
     มายะมองหน้าอัตสึโตะ ฝ่ายหลังพยักหน้า
     ทั้งคู่กลับมาชวนชินจิอีกครั้งในอาทิตย์ต่อมา แล้วเมื่อชินจิยังทำท่าไม่สนใจอย่างเดิม แต่กลับปีนขึ้นเตียงยัดตัวลงใต้ผ้าห่ม อัตสึโตะก็ดึงผ้าห่มทิ้งและลากตัวเพื่อนลงจากเตียง
     “เฮ้ย พวกนายทำอะไร” ชินจิอุทานเมื่อถูกเพื่อนดึงแขนอย่างแรง ส่วนมายะก็ตรงไปลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กของเขาออกมาแล้วเปิดตู้จับเสื้อผ้าของเขายัดลงไป
     “พานายไปคานาซาว่าไง มาเร็ว”
     อัตสึโตะลากตัวชินจิออกมาจากห้องโดยมีมายะลากกระเป๋าของอีกฝ่ายเดินตามมา
     ชินจิขัดเพื่อนไม่ได้จำต้องยอมตามมาด้วย ทั้งที่ในใจคิดว่าโตเกียวก็มีสถานที่ชมซากุระตั้งเยอะแยะเขายังไม่มีตาจะมองเลย แล้วให้ถ่อไปถึงคานาซาว่า ชายหนุ่มไม่คิดว่ามันจะช่วยอะไรได้หรอก ชินจิคิดแล้วหลับตา พิงพนักนั่งหลับอยู่บนไนท์บัสที่กำลังแล่นออกจากสถานีชินจูกุ
     ไนท์บัสจอดเทียบท่าที่สถานีคานาซาว่าในตอนราว ๆ เจ็ดโมงเช้า มายะปลุกอัตสึโตะกับชินจิให้รีบลงมาจากรถเพราะรถบัสยังต้องแล่นต่อไปยังสถานีอื่นอีก ทั้งสามคนรับกระเป๋าเดินทางที่เจ้าหน้าที่หยิบออกมาส่งให้จากที่เก็บของด้านล่างตัวรถ แล้วมายะกับอัตสึโตะก็หันมาบอกชินจิว่า
     “ยินดีต้อนรับสู่คานาซาว่า”
     ชินจิมองรอบตัวด้วยความสนใจขึ้นมานิดหนึ่ง เขายังไม่เคยมาที่คานาซาว่ามาก่อนเลย และเท่าที่เห็นเมืองนี้ก็สวยงามพอดู
สถานีคานาซาว่ากว้างใหญ่เป็นทั้งสถานีรถไฟเจอาร์และด้านนอกมีป้ายรถบัสมากมายสำหรับรถบัสสายต่าง ๆ ที่แล่นภายในตัวเมือง แล่นไปนอกเมือง แล่นระหว่างเมือง และยังมีป้ายรถลูปบัสที่เป็นรถให้บริการนักท่องเที่ยวโดยจะวิ่งไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ของเมือง
     “ถ่ายรูปหน่อยไหมชินจิ” อัตสึโตะถามเมื่อเห็นเพื่อนแหงนหน้ามองประตูใหญ่หน้าสถานีคานาซาว่าซึ่งสร้างออกมาเป็นรูปร่างเหมือนขากลองญี่ปุ่น
     “เอ้อ..ไม่เป็นไรหรอก” ชินจิปฏิเสธ แต่อัตสึโตะไม่ยอม เขาขอให้คนที่เดินผ่านไปช่วยถ่ายรูปพวกเขาสามคนยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของสถานีคานาซาว่าจนได้
     “เราไปที่เกสต์เฮาส์กันเลยดีกว่าเนอะ ชินจิจะได้พักผ่อน” อัตสึโตะชวน แต่มายะนิ่วหน้าน้อย ๆ
     “นี่มันเช้าอยู่เลย จะดีเหรอ ประเดี๋ยวโดนโอจิซังด่า”
     “อาไม่ว่าหรอก ฉันโทรมาบอกเอาไว้แล้วว่าเราจะมาถึงราว ๆ นี้”
     “ยังไงก็เถอะ ฉันว่าหาอะไรกินรองท้องหน่อยดีกว่า เดี๋ยวสักแปดโมงค่อยเข้าไป”
     “อะไรของนาย กลัวอาฉันอยู่ได้ อาฉันใจดีจะตาย” อัตสึโตะบ่น แต่ก็ยอมเดินเข้าไปในตัวสถานีเพื่อหาซื้ออาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ จากร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
     เกสต์เฮาส์ของคุณอาของอัตสึโตะเป็นบ้านสองชั้นสีแดงเข้มตั้งอยู่ริมคลองเล็ก ๆ สายหนึ่งไม่ไกลจากสถานีคานาซาว่านัก ใช้เวลาเดินราว ๆ ห้านาทีก็ถึง
     ตอนที่พวกเขามาถึงเป็นหน้าซากุระบาน ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีเมฆเลยสักก้อน แต่อากาศในตอนเช้าก็ยังหนาวจนต้องสวมแจ็กเก็ตตัวหนา ทั้งสามคนเดินฝ่าอากาศหนาวมาจนถึงจุดหมาย
     อาของอัตสึโตะยืนคอยรับอยู่แล้วที่หน้าบ้าน เขาโบกมือเมื่อเห็นหลานชาย
     “มาซากิจิซัง” อัตสึโตะเรียกด้วยความดีใจ แล้วตรงเข้าไปกอด มาซากิกอดตอบพร้อมกับตบหลังตบไหล่หลานชายด้วยความเอ็นดู เขาเป็นผู้ชายวัยกลางคนร่างสันทัดสูงพอ ๆ กับอัตสึโตะ แต่หน้าตาไม่เหมือนกันเลย มาซากิหน้าตาจืด ๆ แบบคนญี่ปุ่นทั่วไป สวมแว่นตากลม ๆ เวลายิ้มตาที่ตี่อยู่แล้วจะหยีลงจนเหมือนกับเป็นเส้นตรง และตอนนี้ตาตี่ ๆ ของเขาก็ตวัดมามองเพื่อนของหลานชาย
     “อ้าว มาด้วยรึ เจ้าเด็กแสบมายะ”
     มายะรีบโค้งทักทายอย่างรวดเร็ว ท่าทีของเขาเกรง ๆ อาของอัตสึโตะมาก ก็จะไม่ให้เกรงได้อย่างไร เห็นหน้าคุณอายิ้ม ๆ ใจดีอย่างนั้นความจริงโหดจะตาย ตอนเขาเด็ก ๆ แค่เขาวิ่งตึง ๆ จนบ้านสะเทือนเข้าไปในเกสต์เฮาส์เพื่อชวนอัตสึโตะไปเล่นด้วยกันแค่นี้เอง แต่กลับโดนคุณอาดุเสียใหญ่โต แล้วใช้เขาทำความสะอาดเกสต์เฮาส์ทั้งหลัง เขาต้องขัดเตียงไม้ทั้งหมดให้ขึ้นเงาจนเจ็บมือไปหมด
     “อาครับ นี่เพื่อนผม ชินจิ คนที่ผมเล่าให้อาฟังที่จะมาอยู่ด้วยสองสามวันน่ะครับ”
     ชินจิรีบโค้งทักทายอีกคน มาซากิบอกอย่างใจดีว่า
     “สวัสดีชินจิคุง เรียกฉันว่าอาเหมือนเจ้าพวกนี้ก็ได้นะ เอาล่ะ เข้ามาข้างในก่อนสิ แต่เสียงดังมากไม่ได้นะ ส่วนใหญ่แขกยังไม่ตื่นกันเลย”
     อาของอัตสึโตะเลื่อนประตูบานเลื่อนเปิดให้เพื่อนของหลานชายเดินตามเข้ามาข้างในบ้าน
     เกสต์เฮาส์ของมาซากิมีสองชั้น ดูจากข้างนอกเหมือนกว้าง แต่ข้างในมีพื้นที่จำกัดเหมือนบ้านในญี่ปุ่นทั่วไปจึงต้องใช้พื้นที่ใช้สอยทุกตารางเซ็นติเมตรให้คุ้มค่า เมื่อเปิดประตูเลื่อนด้านนอกเข้าไปจะเจอกับเค้านท์เตอร์รีเซปชั่นขนาดเล็กแค่พอดีคนคนเดียวนั่งก่อนอื่น และหลังเค้านท์เตอร์มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ หล่อนตัดผมสั้นและมีรอยยิ้มที่สดใส
     “โอฮาโย่โกไซมัส”
     “มารุซัง สวัสดีครับ” อัตสึโตะทักทายด้วยความดีใจ มารุซังเป็นลูกจ้างของเกสต์เฮาส์และทำงานอยู่กับอาของเขามาตั้งแต่เริ่มสร้างเกสต์เฮาส์แห่งนี้แล้ว หล่อนเป็นพี่สาวที่ใจดีของอัตสึโตะเสมอมา
     “เข้ามาก่อนสิ แต่ระวังหน่อยนะ”
     มาซากิกวักมือเรียกให้หลานชายและเพื่อน ๆ ถอดรองเท้าและเข้ามานั่งในห้องแบบญี่ปุ่นถัดไปจากเค้านท์เตอร์รีเซปชั่น ชายหนุ่มเลื่อนประตูที่คั่นอยู่ออก
     “ชินจิคุง ที่นี่เคยเป็นร้านกิโมโนเก่า บ้านหลังนี้อายุกว่าร้อยปีแล้ว เวลาเดินต้องระวังหน่อย อย่ากระแทกเท้าแรง ๆ หรือวิ่งไปวิ่งมา แล้วก็ห้ามลงไม้ลงมือกับบ้านนะ” มาซากิเตือน แล้วหันไปสำทับมายะ
     “เข้าใจใช่ไหม มายะคุง”
     มายะถึงกับสะดุ้งทันทีพร้อมกับรีบตอบรับอย่างรวดเร็ว
     “พวกเธอจะค้างกันที่นี่ใช่ไหม แต่ตอนนี้ของต้องวางไว้ในห้องนี้ก่อนนะ สาย ๆ ค่อยเอาไปเก็บ ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เดี๋ยวจะกวนแขกคนอื่น” มาซากิพูด
     “เดินทางกันมาเหนื่อย ๆ จะล้างหน้าล้างตาหน่อยไหม เดี๋ยวฉันจะชงชาให้” มารุเสนอ และทุกคนก็ตอบรับ หล่อนจึงเดินนำทุกคนเข้าไปข้างใน
     ถัดจากห้องญี่ปุ่นที่เหมือนห้องนั่งเล่นและรับแขกไปในตัวแล้ว ด้านในก็เป็นห้องเดียวกว้าง ๆ ทางด้านขวามือมีชั้นวางหนังสือนำเที่ยวญี่ปุ่นและคานาซาว่าอยู่ใต้หน้าต่าง หลังชั้นวางของมีของที่ระลึกชิ้นเล็กชิ้นน้อยวางเรียงกันอยู่ มีโอริกามินกกระเรียนตัวเล็ก ๆ และตู้ปลาที่มีปลาทองว่ายอยู่สองสามตัว กับกระถางต้นไม้เล็ก ๆ อีกกระถางหนึ่ง บนพื้นเสื่อตาตามิหน้าชั้นหนังสือวางโต๊ะกลมตัวเล็กสองตัวติดกันพร้อมเบาะนั่งเพื่อเอาไว้ให้แขกนั่งรับประทานอาหารหรือนั่งคุยกัน ตรงมุมห้องด้านหนึ่งวางคอมพิวเตอร์พร้อมพริ้นเตอร์หนึ่งเครื่อง มุมในสุดของห้องทางด้านขวาเป็นตู้เย็นและชั้นเล็ก ๆ วางแก้วน้ำ ถ้วยน้ำชา กาน้ำ กระติกน้ำ และชาชนิดต่าง ๆ กับกาแฟให้แขกชงดื่มได้ฟรี
     ทางด้านซ้ายมือเป็นตู้ล็อกเกอร์หยอดเหรียญเล็ก ๆ สำหรับให้แขกเก็บของมีค่า ถัดไปเป็นห้องพักรวมหญิงชายที่มีเตียงสองชั้นสี่เตียง และมีบันไดขึ้นชั้นสองสองทาง ด้านซ้ายมือเป็นทางขึ้นไปยังห้องพักแบบไพรเวตที่พักได้สามคนหนึ่งห้องกับห้องนอนของมารุ และบันไดทางด้านขวาเป็นทางขึ้นไปยังห้องนอนรวมสำหรับผู้หญิง มีเตียงสองชั้นสองเตียง พักได้สี่คน พร้อมกับห้องน้ำหนึ่งห้อง รวมทั้งหมดแล้วเกสต์เฮาส์เล็ก ๆ แห่งนี้พักได้ทั้งหมดสิบห้าคน
     “ห้องน้ำอยู่นั่นจ้ะ ตามสบายนะ” มารุชี้ให้ชินจิดูห้องน้ำเล็ก ๆ ที่อยู่ถัดจากตู้เย็นและชั้นวางเครื่องดื่ม ตัวคนพูดเข้าไปในครัวเล็ก ๆ ที่ติดกับบันไดขึ้นห้องนอนรวมหญิง ห้องครัวเป็นทางผ่านไปห้องอาบน้ำเล็ก ๆ และมีเครื่องซักผ้ารวมทั้งอ่างล้างหน้าติดผนังอัดแน่นกันอยู่ในนั้น อัตสึโตะเดินตามมารุเข้าไปในครัวเพื่อล้างหน้าที่อ่างล้างหน้า ส่วนชินจิเดินเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ
     มารุยกน้ำชาที่ชงเผื่อทุกคนมาตั้งไว้ให้ที่ห้องนั่งเล่นด้านหน้า ชินจิออกจากห้องน้ำและแวะล้างหน้าล้างตาที่อ่างล้างหน้าในครัวแล้วตามมาสมทบกับคนอื่น ๆ เป็นคนสุดท้าย ชายหนุ่มได้ยินเสียงอัตสึโตะออดคุณอาอยู่พอดี
     “โห มายังไม่ทันจะได้พักก็ถูกใช้ทำงานแล้วเหรอ ใจร้ายจัง”
     “หึหึ ไม่ต้องเสียค่าที่พักก็ต้องทำงานแลกสิ” มาซากิว่า แล้วหันไปทางมายะ
     “จริงไหมมายะคุง”
     “ครับผม” มายะรับคำพร้อมกับนั่งตัวตรงทื่อทันที
     “ชินจิคุง เข้ามา ๆ กำลังคุยกันอยู่พอดี ชินจิคุงก็จะช่วยอาทำงานด้วยใช่ไหม”
     ชินจิงงเพราะไม่เคยรู้เรื่องข้อตกลงอันนี้มาก่อน แต่เขาก็โค้งรับอย่างสุภาพ พร้อมกับนั่งลงบนเบาะนั่งที่มารุเลื่อนมาให้
     “ไม่มีอะไรมากหรอกก็แค่ช่วยอากับมารุซังดูแขกเท่านั้นเอง แขกอาจจะถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวหรือขอให้เราช่วยจองรถบัส จองตั๋วรถไฟ หรือจองร้านอาหาร เราก็ช่วยตามที่แขกขอร้อง ตอนกลางวันช่วงที่เกสต์เฮาส์ปิดพักระหว่างเที่ยงถึงบ่ายสามก็ช่วยมารุซังทำความสะอาด แค่นี้เอง” มาซากิพูดจบก็หันไปปิดท้ายที่มายะตามเคย
     “ทำได้ใช่ไหมมายะคุง”
     “ได้ครับผม” มายะเหงื่อตกขณะที่ตอบรับเสียงอ่อย ๆ
     “ตอนค่ำล่ะครับ ถ้าไม่มีอะไรต้องทำ ผมจะได้พาชินจิไปดูซากุระที่สวนเคนโระคุเอง” อัตสึโตะถามเนื่องจากบางครั้งที่เกสต์เฮาส์แห่งนี้ก็จะจัดกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แขกทำ เช่น หัดพับโอริกามิ หัดเขียนพู่กันญี่ปุ่น หรือมีปาร์ตี้น้ำชาเพื่อให้แขกสนุกสนานและสนิทสนมกัน
     “ตอนนี้ยังไม่มีอะไรหรอก” มาซากิตอบ
     สายหน่อย แขกที่มาพักทยอยกันตื่น เกสต์เฮาส์ของมาซากิค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่นักเดินทางต่างชาติ ในบ้านเล็ก ๆ สีแดงเข้มหลังนี้จึงมีนักเดินทางจากทั่วโลก ส่วนใหญ่เดินทางคนเดียวหรือมาเป็นคู่ มากที่สุดก็ไม่เกินสามคนเนื่องจากจำนวนที่พักมีไม่มากนัก ภาษาที่ใช้เป็นภาษากลางคือภาษาอังกฤษ ทั้งมาซากิและมารุพูดภาษาอังกฤษได้ดีมากทั้งคู่
     แขกส่วนใหญ่ที่มาพักมักจะนอนคืนเดียวหรือไม่ก็สองคืน ไม่ค่อยมีใครพักนาน ๆ แขกที่มาพักจึงหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันไปเรื่อย ๆ แต่บ่อยครั้งที่มาแล้วก็มักจะมาอีกเพราะติดใจความเป็นมิตรของเกสต์เฮาส์เล็ก ๆ แห่งนี้
     มาซากิให้หลานชายกับเพื่อนเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องพักซึ่งเป็นห้องนอนรวมหลังจากที่แขกเช็คเอาท์ออกไปแล้ว ที่พักแบบเกสต์เฮาส์แบบนี้ราคาถูก เตียงละประมาณ 2700 เยน แต่แขกที่มาพักก็จะต้องช่วยตัวเองด้วยการปูเตียงเอง
     “นายไม่กลับไปนอนที่บ้านเหรออัตสึโตะ” ชินจิถามขณะที่ช่วยกันปูเตียงอยู่ในห้องที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่อีกนอกจากพวกเขาสามคน
     “ไม่ล่ะ ก่อนกลับค่อยแวะไปที่บ้านก็ได้ ฉันนอนที่นี่กับนายดีกว่า” อัตสึโตะว่า เขาปูเตียงอย่างคล่องแคล่วเพราะคุณอาเคยสอนซึ่งเป็นงานบ้านอย่างเดียวที่เขาทำได้ดี
     “ลำบากนายจริง ๆ” ชินจิพึมพำ
     “บ้า คิดมาก ลำบากอะไร ฉันอยากให้นายมาเที่ยวผ่อนคลายบ้าง เดี๋ยวเย็นนี้ไปเดินเล่นกันที่สวนเคนโระคุเองกับสวนปราสาทคานาซาว่า ซากุระสวยมาก ๆ เลย แถมวันนี้วันเสาร์ มีไลท์อัพด้วย อาคารต่าง ๆ ในเมืองติดไฟสวยมากเลย นายต้องชอบแน่ ๆ”
     อัตสึโตะชวนอย่างกระตือรือร้นซึ่งชินจิก็เพียงแต่รับคำด้วยท่าทีเนือย ๆ
     วันนั้นชายหนุ่มไม่ค่อยได้ช่วยอะไรที่เกสต์เฮาส์มากนักเพราะมีอัตสึโตะ มายะกับมารุช่วยกันสามคนก็เพียงพอแล้ว ชินจิจึงนั่งอยู่ในห้องรับแขกใกล้กับเค้านท์เตอร์รีเซปชั่น อ่านนิตยสารบ้างหรือคุยกับแขกบางคนบ้างไปพลาง ๆ และเพราะว่าง เขาจึงสังเกตเห็นอัตสึโตะทำงานไปก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูไป แล้วก็จะทำหน้านิ่วโดยที่ไม่รู้ตัว
     “เป็นอะไรไปน่ะอัตสึโตะ มองโทรศัพท์แล้วทำหน้าแปลก ๆ รอโทรศัพท์จากมานูเอลรึไง” ชินจิถาม
     อัตสึโตะพยักหน้า
     “หายหัวไปสองอาทิตย์แล้ว ไม่รู้เป็นอะไรของมัน ไหนบอกจะโทรมาทุกวัน โกหกชัด ๆ” อัตสึโตะพูดด้วยความหงุดหงิด
     “หายไปแบบนี้ เขาจะทิ้งนายรึเปล่า”
     “ก็ลองทิ้งดูสิ พ่อจะตามไปชกหน้าถึงเบอร์ลินเลย” อัตสึโตะทำเสียงฮึ่มฮั่มพร้อมกับกำหมัดชกกับฝ่ามือของตัวเอง ชินจิยิ้มขม น้ำเสียงของเขาก็แสดงความขมขื่นออกมาอย่างชัดเจน
     “แต่มานูเอลเป็นคนดี ไม่เลวเหมือนเควิน เขาคงไม่ทิ้งนายหรอก”
     อัตสึโตะชะงัก มองเพื่อนด้วยความสงสาร แล้วเขาก็ไม่พูดเรื่องนี้อีกเพราะไม่อยากให้ชินจิสะเทือนใจ
     หลังจากช่วยมารุทำความสะอาดเกสต์เฮาส์ อัตสึโตะคิดว่าจะได้พัก ชายหนุ่มจึงโอดครวญเล็กน้อยเมื่อมาซากิเดินมาบอกหลานชายว่าให้ไปรับแขกของเกสต์เฮาส์ที่สถานีเจอาร์ด้วยในตอนบ่ายสามโมงครึ่ง
     “แล้วทำไมแขกเขามาเองไม่ได้ล่ะ เกสต์เฮาส์เราอยู่ใกล้สถานีนิดเดียวเอง ทางก็บอกในเว็บไซต์อย่างละเอียดยิบแล้วด้วย”
     “ก็เขาเพิ่งเคยมาญี่ปุ่นครั้งแรก ยังไม่ชินทาง พูดภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้ ไปรับเขาหน่อยน่ะอั๊ตจัง” มาซากิพูด อัตสึโตะหันขวับไปหามายะที่กำลังนั่งเช็ดกาน้ำชาและถ้วยชาเหยง ๆ ทันที
     “อย่าไปโยนให้มายะคุง อั๊ตจังนั่นแหละต้องเป็นคนไป” อาของชายหนุ่มรีบปราม อัตสึโตะจึงจำใจต้องไป แต่มิวายบ่นหงุงหงิง
     “ใครวะ อยากเห็นหน้าจริงวุ้ย ทางแค่นี้ก็มาไม่ถูก”
     มาซากิกระแอมทันทีเพราะการนินทาแขกนั้นเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง แล้วบอกต่อว่า
     “เขาจะรออยู่ที่กาน้ำชาหน้าสถานี เป็นฝรั่ง อั๊ตจังไปถึงก็เห็นเอง มากันสองคน”
     “คร้าบ คร้าบ ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
     อัตสึโตะรับคำแล้วเปิดประตูเลื่อนออกไปนั่งใส่รองเท้าอยู่ที่ขั้นบันไดหน้าเค้านท์เตอร์ ลับหลังหลานชาย มาซากิหันมาทำมือเป็นเครื่องหมายโอเคกับมายะซึ่งฝ่ายหลังรีบโค้งขอบคุณอย่างรวดเร็ว
     “ตกลงมีเรื่องอะไรกันครับเนี่ย” ชินจิถามด้วยความไม่เข้าใจซึ่งทั้งเพื่อนและมาซากิก็เพียงแต่ยิ้มเท่านั้น
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 16 - update - 11.10.2014 page 4
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-10-2014 07:46:24
     อัตสึโตะไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น ใส่รองเท้าเสร็จก็ลุกขึ้นเปิดประตูบานเลื่อนหน้าบ้านออกไปข้างนอก ตอนออกไปเขาเดินสวนกับผู้หญิงตัวเล็กตัดผมสไลด์สั้นทำสีเป็นสีทองสว่าง สะพายเป้ใบใหญ่ ชายหนุ่มโค้งให้เป็นเชิงทักทายและหญิงสาวก็โค้งรับพร้อมกับยิ้มกว้างตอบทำให้ใบหน้าที่อ่อนเยาว์เหมือนเด็กยิ่งดูสดใสมากขึ้น แล้วหล่อนก็เปิดประตูเลื่อนเข้าไปข้างในพร้อมกับส่งเสียงทักเป็นภาษาญี่ปุ่นแปร่ง ๆ
     “คนนิจิวะ”
     อัตสึโตะไม่ได้ยินอะไรอีก ชายหนุ่มเดินจ้ำพรวด ๆ ไปตามทางที่ตรงไปยังสถานีเจอาร์คานาซาว่า
     ภายในเมืองแห่งนี้มีงานศิลปะประเภทรูปปั้นและรูปหล่ออยู่ตามมุมต่าง ๆ ในเมือง หน้าสถานีรถไฟก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่มีงานศิลปะแบบนี้อยู่ อัตสึโตะเดินข้ามลานกว้างขนาดใหญ่หน้าสถานีที่วางม้านั่งให้คนมานั่งพักผ่อนหรือรอรถบัสตามอัธยาศัยตรงไปยังรูปหล่อกาน้ำชาขนาดใหญ่ที่ฝังเอียง ๆ อยู่ในดินไปเกือบหมดเหลือพ้นพื้นออกมาแค่เพียงนิดเดียว
     “ฝรั่งสองคนเหรอ”
     อัตสึโตะพึมพำพลางกวาดตามองหา ก่อนจะสะดุดตากับร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้ารูปหล่อกาน้ำชาพอดี อัตสึโตะตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ
     ผู้ชายชาวตะวันตกตัวใหญ่ ชาวเยอรมัน ผมสีทอง ตาสีฟ้า และรอยยิ้มที่อบอุ่นคุ้นตาอัตสึโตะเป็นอย่างมากกำลังโบกมือให้เขา
     “มานู”
     ชื่อที่ติดอยู่ในใจของอัตสึโตะเสมอมาหลุดออกมาจากปากของเขาอย่างแผ่วเบา
     เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำไปได้อย่างไร แต่เขาก็ทำไปแล้ว ชายหนุ่มโถมตัวเข้าสู่อ้อมแขนของผู้ชายตัวใหญ่ตรงหน้าทันทีแล้วจูบที่ริมฝีปากโดยไม่สนใจผู้คนมากมายที่กำลังรอรถอยู่ที่ป้ายรถบัสหน้าสถานีที่พากันมองมาเป็นตาเดียว
     อัตสึโตะไม่เห็นสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คนรอบตัวที่กำลังซุบซิบกัน เขาไม่เห็นแม้กระทั่งยูเลี่ยนที่ยืนทำหน้าทะเล้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ใกล้ ๆ ชายหนุ่มมองแต่มานูเอลคนเดียว สองมือของเขาประคองหน้าของมานูเอลเอาไว้ขณะที่จ้องมองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง
     “มานู นายมาได้ยังไงเนี่ย”
     “ก็คิดถึงเลยมาหา อยากมาคุยกับนายด้วย แต่ไม่อยากคุยทางโทรศัพท์ ก็เลยต้องมาที่นี่”
     “คุยเรื่องอะไร เรื่องดีหรือไม่ดี” อัตสึโตะหรี่ตา และมือของเขาก็สั่นโดยที่ไม่รู้ตัว แต่เมื่อมืออบอุ่นของมานูเอลเลื่อนมาซ้อนจับมือของเขาที่ยังประคองหน้าของอีกฝ่ายไว้และมานูเอลยังมีรอยยิ้มที่อบอุ่นอยู่ในหน้าแบบนี้ รวมทั้งสายตาอ่อนโยนที่ทอดมองมา อัตสึโตะก็รู้สึกใจชื้นขึ้นทันที
     “เอาน่ะ ไม่ใช่เรื่องที่นายกังวลอยู่ก็แล้วกัน ได้ข่าวว่ากินเค้กแทนข้าวอีกแล้วเหรอ” มานูเอลแหย่
     “นายรู้ได้ไง!” อัตสึโตะตาโต
     “แก้มยุ้ยขนาดนี้เดาได้ไม่ยากหรอก” มานูเอลหยิกแก้มคนตรงหน้าทันทีที่พูดจบ แล้วเขาก็ดึงตัวอัตสึโตะเข้ามากอดเอาไว้แน่นพลางบอกว่า
     “ขอโทษนะที่หายหน้าหายตาไปเลย แต่ต่อไปนี้จะไม่เป็นแบบนี้อีกแล้ว ฉันจะไม่ทำให้นายเป็นห่วงหรือว่าเสียใจอีก”
     อัตสึโตะซบหน้าลงกับอกกว้างของมานูเอลพร้อมกับที่ได้ยินเสียงหนักแน่นของอีกฝ่ายดังอยู่ใกล้ ๆ หูว่า
     “ฉันรักนายนะอัตสึโตะ”
     แล้วทั้งคู่คงจะกอดกันอย่างนั้นอยู่อีกนานถ้ายูเลี่ยนจะไม่เดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามาสะกิดเสียก่อน
     “ฉันว่าเราไปคุยกันที่อื่นดีกว่าไหม คือ คนมองกันทั้งสถานีแล้วนะ”

     อัตสึโตะไม่อยากจะรอจนกว่าจะกลับไปถึงเกสต์เฮาส์จึงดึงมือมานูเอลกับยูเลี่ยนเดินฝ่าสายตาผู้คนเข้าไปในร้านกาแฟชื่อดังที่อยู่ในห้างข้างสถานีรถไฟ เมื่อนั่งลงได้ ชายหนุ่มก็คาดคั้นคนรักทันทีให้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
     “ฉันอึดอัดอยู่ตั้งนาน แถมนายก็หายหัวไปตั้งสองอาทิตย์ นายต้องบอกฉันมาให้หมด ทุกอย่างเลย!”
     ยูเลี่ยนเห็นสายตาเอาเรื่องของอัตสึโตะแล้วแขยง รีบลุกขึ้นทันที
     “เคลียร์กันเอาเองนะ ฉันไม่เกี่ยวนะอัตสึโตะ ไอ้พวกนี้มันบังคับฉันให้ทำ” พูดจบแล้วยูเลี่ยนก็ชิ่งอย่างรวดเร็ว พุ่งตรงไปเกาะเค้านท์เตอร์สั่งเครื่องดื่มแก้วใหม่
     มานูเอลยิ้มอ่อน ๆ โดยที่ไม่ระย่อกับสายตาคมกริบเอาเรื่องของคนที่กำลังจ้องเขาเขม็ง แต่เมื่อเขาเริ่มเล่าเรื่องทุกอย่าง สายตาของอัตสึโตะก็อ่อนลงเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเศร้าใจเมื่อทราบถึงการตัดสินใจของคัธริน
     “ทำไมคาธี่ต้องทำถึงขนาดนั้นด้วยล่ะ” อัตสึโตะถาม
     “ฉันพยายามเกลี้ยกล่อมเขาแล้ว แต่คาธี่ก็ไม่ยอม การทำแท้งที่เยอรมนีขึ้นกับผู้หญิงคนเดียว ถ้าผู้หญิงต้องการจะทำและมีใบรับรองก็สามารถทำได้ตามกฎหมาย คาธี่เขาตัดสินใจแล้ว เขายังไม่อยากเป็นแม่คนตอนนี้ ยิ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ไม่มีสามี เขายิ่งไม่ต้องการจะเป็น”
     “น่าสงสาร” อัตสึโตะพึมพำด้วยความรู้สึกไม่สบายใจจนมานูเอลต้องเอื้อมมือมากุมมือของเขาเอาไว้เพื่อปลอบใจ แต่อัตสึโตะกลับดึงมือออก แล้วทำหน้ามุ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
     “แต่นายต้องหายหน้าไปตั้งสองอาทิตย์ด้วยเหรอ”
     “ขอโทษที พอเคลียร์เรื่องทุกอย่างได้ ฉันก็อยากจะมาเจอนายที่นี่มาก ๆ ก็ต้องเสียเวลานิดหน่อยจัดการพวกเรื่องเอกสาร ตั๋วเครื่องบินอะไรพวกนี้ และจริง ๆ ก็อยากเซอร์ไพรซ์นายด้วยแหละก็เลยขอมายะไม่ให้บอกนาย”
     “อ้อ ไอ้เจ้ามายะร่วมมือด้วยอีกคนใช่ไหมเนี่ย งั้นที่หลอกฉันมาเจอนายที่นี่ก็มันสินะ”
     อัตสึโตะกัดฟันกรอด
     “อัตสึโตะ ไม่โกรธฉันนะ” มานูเอลยิ้มหวานง้อพร้อมกับเอื้อมมือไปกุมมืออัตสึโตะไว้อีกครั้ง ในตอนนี้เมื่อไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ทุกอย่างก็แลดูจะสดใสไปหมดจนอัตสึโตะที่อยากจะงอนต่ออีกหน่อยก็ยังไม่สามารถฝืนใจทำได้ ยิ่งเมื่อมานูเอลหยิบเอากล่องสังกะสีบรรจุลูกอมเป๊ปเปอร์มิ้นท์มายื่นส่งให้พร้อมกับบอกว่า
     “ของขวัญวันไวท์เดย์ย้อนหลังของนาย”
     หน้างอ ๆ ของอัตสึโตะเปลี่ยนมาเป็นยิ้มกว้างในทันที แล้วก็โถมทั้งตัวเข้ากอดมานูเอลอีกครั้งจนเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่หงายหลังล้มโครมลงกับพื้น เสียงเก้าอี้ดังจนเรียกสายตาทุกคู่ให้หันมามองได้
     ที่เค้านท์เตอร์ ยูเลี่ยนได้เครื่องดื่มแก้วใหม่แล้ว ชายหนุ่มโคลงศีรษะมองเพื่อนสองคนที่กอดกันกลมกลางร้านกาแฟโดยไม่แคร์สายตาคนทั้งร้านด้วยความอ่อนอกอ่อนใจเต็มทีพลางบ่นพึมพำกับตัวเองว่า
     “ไอ้สองคนนี้มันจะรักกันเงียบ ๆ บ้างไม่ได้เลยรึไงวะ”
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 16 - update - 12.10.2014 page 4
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 12-10-2014 08:24:32
จบเรื่องเสียที เหลือแต่ชินจินี่แหละ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 16 - update - 12.10.2014 page 4
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-10-2014 12:35:41
บทที่ 17 (end)

     เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังให้ได้ยินทันทีที่อัตสึโตะ มานูเอลและยูเลี่ยนเดินมาถึงที่เกสต์เฮาส์ มานูเอลมองบ้านสองชั้นสีแดงเข้มด้วยความสนใจขณะที่อัตสึโตะบอกยิ้ม ๆ ว่า
     “ตอนเย็น ๆ เกสต์เฮาส์เราค่อนข้างเสียงดัง อาฉันมักจะเป็นหัวโจกนำแขกคุยเล่นกันยังงี้ล่ะ”
     ชายหนุ่มเปิดประตูบานเลื่อนเข้าไปพร้อมกับส่งเสียงว่า
     “ทาดาอิมะ”
     “โอไกริ กลับมาแล้วเหรออั๊ตจัง เจอแขกไหม” มารุโผล่หน้าจากประตูเลื่อนมาทัก แสดงว่าทุกคนรวมกันอยู่ในห้องนั่งเล่นหลังประตูกันหมด
     “เจอสิครับ เซอร์ไพรซ์มากด้วย” อัตสึโตะพูดพลางขยับตัวให้เพื่อนสองคนของเขาเข้ามา ทางเดินหน้ารีเซปชั่นไม่กว้างมากและเมื่อมีฝรั่งตัวใหญ่สองคนยืนอยู่แบบนี้ก็ยิ่งคับแคบ อัตสึโตะจึงรีบถอดรองเท้าแล้วเข้าไปในห้อง
     “โอไกริ อั๊ตจัง” มาซากิทักหลานชายพร้อมกับยิ้มกว้างขวาง แต่หลานชายทำหน้างอใส่ด้วยความงอน
     “ผมไม่ยักรู้ว่าอาร่วมมือกับไอ้มายะหลอกผมด้วย”
     “ทำมาเป็นงอน ความจริงก็ดีใจล่ะว้า” มายะอดจิกกัดด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ แต่พูดจบเขาก็ขยับตัวไปหลบหลังชินจิเผื่อกรณีที่อัตสึโตะมันจะเอาอะไรขว้างใส่เขาขึ้นมา มันจะได้ไม่กล้า
     อัตสึโตะชี้หน้าเป็นการคาดโทษ ขณะที่ชินจิที่ทำหน้าที่เป็นโล่ห์ให้มายะอยู่เพียงยิ้มนิด ๆ แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่เศร้าอย่างน่าใจหายจนคนที่นั่งข้าง ๆ อีกด้านหนึ่งสังเกตเห็นอย่างไม่ยากเย็นนัก
     มานูเอลกับยูเลี่ยนตามเข้ามาสมทบหลังจากลงทะเบียนเข้าพักกับมารุเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้จึงเป็นเวลาสำหรับทำความรู้จักกันซึ่งคนที่เข้าพักที่เกสต์เฮาส์แห่งนี้จะได้รับการแนะนำให้รู้จักกันทุกคนเพื่อเป็นการกระชับมิตรภาพ
     “นี่มานูเอลซัง ยูเลี่ยนซัง จากเยอรมนี แต่ทุกคนคงรู้จักกันอยู่แล้วเนอะ” มารุแนะนำยิ้ม ๆ
     “ว้าว เยอรมนี อย่างนี้ก็เหมือนงานเลี้ยงรุ่นเลยสิเนี่ย เรามีนักเรียนเก่าเยอรมนีอีกคนนึง นี่นุ่นซัง จากประเทศไทย”
     มาซากิแนะนำคนอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องซึ่งกำลังจิบชาและฟังทุกคนคุยกันด้วยรอยยิ้ม เป็นผู้หญิงตัวเล็กตัดผมสไลด์สั้นทำสีทองสว่างที่เดินสวนกับอัตสึโตะเมื่อตอนที่เขาออกไปรับมานูเอลกับยูเลี่ยนนั่นเอง
     “สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” หล่อนทักทายพร้อมกับโค้ง จากนั้นเปลี่ยนลิ้นเป็นภาษาเยอรมันอย่างคล่องแคล่วพอสมควร
     “มาซากิซังบอกว่ามีหลานชายเรียนที่เยอรมนีเหมือนกัน คืออัตสึโตะซังใช่ไหมคะ”
     “ใช่ครับ นี่เพื่อนผม มานูเอลกับยูเลี่ยน เรียนด้วยกันที่เบอร์ลิน” อัตสึโตะแนะนำ
     “แนะนำว่าเป็นแฟนก็ได้สำหรับไอ้คนแรกเนี่ย ไม่มีใครว่าอะไรสักหน่อย” มายะสอดขึ้นทันทีจากข้างหลังชินจิทำให้ทุกคนที่ได้ยินหัวเราะชอบใจ รวมทั้งหญิงสาวจากประเทศไทยด้วย
     อัตสึโตะยกมะเหงกใส่มายะยิ่งทำให้ทุกคนยิ้มขำ
     “นุ่นซังเรียนที่เบอร์ลินด้วยรึเปล่าครับ” มานูเอลชวนคุยด้วยความสนใจ เขาเรียกตามที่มารุแนะนำและเปลี่ยนเป็นพูดภาษาอังกฤษเพื่อให้มารุกับมาซากิเข้าใจด้วย
     “ไม่ใช่ค่ะ ฉันเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนเทอมเดียวเท่านั้นเอง เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเล็ก ๆ ในเมืองเล็ก ๆ ทางตะวันตก แต่นานมากแล้วค่ะ สิบปีได้แล้วล่ะ”
     “โอ้โห นุ่นซังหน้าเด็กจัง ผมนึกว่ายังเรียนไม่จบซะอีก” อัตสึโตะอุทาน
     “เรียนจบนานแล้วค่ะ ฉันอายุเยอะแล้ว” หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ
     “พวกเราก็เป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนเทอมเดียวอยู่ที่เบอร์ลินครับ มีผม มายะ แล้วก็ชินจิ”
     นุ่นซังพยักหน้ารับ หญิงสาวหันไปยิ้มให้มายะ แต่สายตาจับอยู่ที่ชินจิเป็นพิเศษเพราะตั้งแต่เข้ามาที่นี่ หล่อนยังไม่เห็นสีหน้าอย่างอื่นนอกจากความเศร้าจากผู้ชายคนนี้เลย
     มารุวางใบปลิวแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะให้ทุกคนดู บอกว่า
     “คืนนี้มีเต้นโอะวะระ นากาชิที่ฮิงาชิจายะกาอิ พาเพื่อน ๆ ไปดูสิอั๊ตจัง”
     “เห มีวันนี้แล้วรึเนี่ย” อัตสึโตะหยิบใบปลิวขึ้นมาดู แล้วส่งให้มานูเอลดูต่อ
     “นี่มันเต้นแบบเดียวกับที่นายเต้นกับไอ้หน้าเต้าหู้ตอนงานอัดเว้นท์ใช่ไหม” ยูเลี่ยนที่ยื่นหน้าเข้ามาดูด้วยถาม แต่คนตอบเป็นมายะแทน
     “ใช่แล้ว ไอ้เด็กบ้า เดี๋ยวนายจะได้ดูของจริงล่ะคืนนี้”
     “แต่ยังไงฉันก็ชอบที่อัตสึโตะเต้นอยู่ดีแหละ ใส่ยูกาตะสีชมพูโคตรน่ารักเลยล่ะ” ยูเลี่ยนทำตาฝัน แต่อัตสึโตะรีบโวยวายดับฝันเขาทันทีเพราะความอาย
     “หุบปาก! พูดมากจริงไอ้พวกนี้ แล้วช่วยลืม ๆ ไปได้ไหม ไอ้ยูกาตะสีชมพูอะไรนี่ น่าอายจะตาย”
     “ฉันก็ว่าน่ารักดีออก เวลานายใส่ยูกาตะ น่ารักที่สุด” มานูเอลพูดบ้างและทุกคนก็เห็นอัตสึโตะยิ่งหน้าแดงขึ้นจนเหมือนจะระเบิดด้วยความขัดเขิน
     “งั้นดูเต้นเสร็จเราไปดูซากุระต่อที่สวนเคนโระคุเองกับสวนปราสาทคานาซาว่า” อัตสึโตะวางแผนและเป็นการเปลี่ยนเรื่องไปในตัว มาซากิก็เสริมหลานชายด้วยการเสนอว่า
     “ชมซากุระเสร็จก็ไปฉลองเลี้ยงรุ่นกันที่ร้านซูชิของโอจี้ซังสิ เดี๋ยวอาโทรไปจองเอาไว้ให้” มาซากิหมายถึงซูชิร้านโปรดที่เขากับครอบครัวชอบไปกินจึงรู้จักสนิทสนมกับเจ้าของร้านซึ่งเป็นคู่สามีภรรยาสูงวัยจนเรียกว่าคุณตาคุณยายได้
     “เย้ เดี๋ยวนายจะได้กินซูชิที่อร่อยที่สุดในโลก” อัตสึโตะบอกมานูเอล ก่อนจะหันไปชวนเพื่อนใหม่ด้วย
     “นุ่นซังไปด้วยกันนะครับ”
     เพื่อนใหม่จากประเทศไทยตกลงรับคำด้วยความยินดี จากนั้นทุก ๆ คนก็คุยกันในเรื่องต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน
     ชินจินั่งเงียบมองบรรยากาศรื่นเริงตรงหน้าด้วยสายตาเนือย ๆ ใจเขาตอนนี้ยังไม่สามารถตอบรับความสนุกสนานใด ๆ ได้เลย แม้ว่าเพื่อน ๆ จะคุยหรือแหย่เล่นกันแค่ไหน ชายหนุ่มก็ยังยิ้มไม่ค่อยออกอยู่ดี สุดท้ายชินจิก็ทนนั่งอึดอัดอยู่ท่ามกลางความรื่นรมย์ไม่ไหวจึงลุกเดินออกไปข้างนอกเงียบ ๆ
     ชายหนุ่มเดินไปหยอดตู้บุหรี่ติดกับตู้เครื่องดื่มที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วเดินกลับมายืนพิงราวสะพานเล็ก ๆ ข้างบ้าน จุดบุหรี่สูบ
     “ขอบุหรี่สักมวนได้ไหมคะ”
     ชินจิสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดังอยู่ข้างตัว แต่หันไปก็เห็นเพื่อนใหม่จากประเทศไทยยืนยิ้มอยู่ เขาจึงเปลี่ยนบุหรี่ที่คีบอยู่ไปไว้ที่มืออีกข้างหนึ่งเพื่อไม่ให้ควันเข้าหน้าหญิงสาว แล้วส่งซองบุหรี่ให้ นุ่นซังหยิบบุหรี่ไม่ถนัด หล่อนจึงหยิบไปทั้งซอง แต่เมื่อหยิบออกมาได้มวนหนึ่ง หญิงสาวก็ไม่ได้ส่งซองบุหรี่คืนให้ หากยื่นมวนบุหรี่ในมือไปขอจุดกับไฟแช็คของชินจิแทน แล้วเมื่อหล่อนเริ่มสูบ หญิงสาวก็สำลักทันที ไอขลุกขลักจนหน้าดำหน้าแดง
     “นุ่นซัง เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ชินจิตกใจ เขาโยนบุหรี่ทิ้ง เอาเท้าขยี้จนดับ แล้วเข้ามาดูหญิงสาว
     นุ่นซังโบกมือ แต่ยังไออยู่ สักพักจึงพูดออกมาได้
     “ไม่ไหวจริง ๆ ด้วยแฮะ” หล่อนพึมพำก่อนจะยิ้มแหย “ฉันสูบบุหรี่ไม่เป็นหรอก ได้แต่พ่นควันเล่น ๆ ถ้าเกิดอยากจะอัดควันขึ้นมาก็จะเป็นอย่างนี้แหละ”
     “แล้วคุณสูบทำไมครับเนี่ย” ชินจิงง
     “ก็อยากให้ตัวเองดูแรง ๆ ดูร้าย ๆ ดูแบบไม่แคร์เว้ย อะไรยังงี้น่ะ ฉันน่ะเริ่มลองสูบมันดูหลังจากโดนผู้ชายทิ้ง ก็เมื่อสิบปีที่แล้วนั่นแหละ ตอนนั้นนะเสียใจสุด ๆ แล้วก็เริ่มทำตัวประหลาด ๆ อย่างสูบบุหรี่ แต่ทำยังไงก็สูบไม่ได้ สำลักควันเรื่อย ได้แต่พ่นเล่น ๆ ฉันโดนเพื่อนด่าจนหูชาทุกวันว่าสูบไม่เป็นจะไปริสูบให้มันได้อะไรขึ้นมา มันดูโคตรงี่เง่าเลย อยากสูบ แต่ดันสูบไม่เป็น แล้วตอนหลังฉันก็เลยด่าตัวเองด้วยว่าจริงว่ะ โคตรงี่เง่าจริง ๆ ด้วย สุดท้ายก็เลยเลิกสูบ”
     หญิงสาวเล่าด้วยความขบขัน
     “คุณอกหักด้วยเหรอ”
     “ใช่ ก็ไปเจอกันตอนไปเรียนที่เยอรมันนี่แหละ ตอนนั้นไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิง หลงรักมันหัวปักหัวปำ ใครพูดอะไรก็ไม่เชื่อเหอะ”
     “ผมก็รักเขาหัวปักหัวปำเหมือนกัน ใครพูดก็ไม่เชื่อ” ชินจิพึมพำ
     “ใครพูดกับคุณก็คงไม่โหดเท่าของฉันหรอก” หญิงสาวบอกยิ้ม ๆ “ฉันโดนอาจารย์ที่ปรึกษาเลยจ้า โหดมาก ปกติเขาไม่เข้ามายุ่งกันหรอกนะเรื่องส่วนตัวแบบนี้ แต่ฉันก็ไม่เชื่อ พูดแล้วก็ขำ สมัยนั้นนี่เปรี้ยวเหอะ ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง ดื้อมาก มั่นมาก ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหนสิน่า”
     “โห ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ชินจิออกจะทึ่ง และเขาก็เริ่มสนใจขึ้นมา
     “ช่าย” หญิงสาวลากเสียง แล้วหล่อนก็นั่งลงบนพื้นถนนโดยไม่สนใจว่าเสื้อผ้าจะเปื้อน ชินจิก็เลยนั่งลงอีกคนบนพื้นข้าง ๆ หล่อน
     “ขนาดตัวเองออกโรงเตือนเอง ยังไม่เชื่อเลยล่ะ มันมีลางสังหรณ์ แต่ฉันก็ไม่เคยฟัง แล้วชินจิซังเชื่อไหม ฉันน่ะเคยโดนทิ้งให้นั่งร้องไห้อยู่คนเดียวกลางหิมะเย็น ๆ ในเมืองที่ไม่รู้จักด้วยนะ ขนาดนั้นแล้วยังไม่ยอมเลิก คิดดูสิ ถามใคร ๆ แม้กระทั่งถามตัวเองตอนนี้ ทุกคนก็บอกว่าคงเลิกไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่รู้ทนเข้าไปได้ยังไง ตลกดี”
     ชินจิมองหน้าหญิงสาว สีหน้าและดวงตาของหล่อนเต็มไปด้วยความร่าเริงและสนุกสนาน แทบไม่เห็นร่องรอยความโศกเศร้า แม้ว่าจะเป็นตอนที่นึกย้อนไปถึงความทรงจำที่เลวร้ายขนาดนั้น ชายหนุ่มก็เลยอดถามไม่ได้
     “คุณไม่เศร้าบ้างเลยเหรอ”
     “ใครบอกไม่เศร้า ตอนที่โดนผู้ชายทิ้งเป็นช่วงที่ฉันทำธีสิสพอดี ฉันนี่อ่านหนังสือไปร้องไห้ไปเลยนะ หนังสือพองทุกเล่ม เปียกแล้วแห้ง เปียกแล้วแห้งหลายรอบเพราะน้ำตา ทรมานมากเลยล่ะ เศร้าก็เศร้า แต่งานมันยังมี ชีวิตมันยังต้องเดินต่อไป ก็ร้องไห้ไปเดินไปทั้งยังงั้นแหละ”
     “คุณนี่เข้มแข็งจังเลยนะครับ”
     หญิงสาวส่ายหน้า
     “ไม่หรอกค่ะ ถ้าเข้มแข็งจริง ฉันคงไม่สติแตกทำอะไรให้เพื่อนด่าอยู่ตั้งนานหรอก แต่เวลาเป็นยาที่ดีที่สุดค่ะ เมื่อเวลามันผ่านไป มันก็ทำใจได้เอง ตอนนี้ฉันไม่เจ็บปวด ไม่เศร้าอีกแล้ว แม้ว่าจะเห็นรูปแต่งงานของเขา ฉันก็ไม่รู้สึกอะไร พูดแล้วก็ตลกอีกละ นึกไงไม่รู้ล่ะชินจิซัง จู่ ๆ ก็เอาชื่อเขาไปพิมพ์ใส่กูเกิ้ลซะงั้น แล้วเฟซบุ๊กของเขาก็กระเด้งขึ้นมา มีรูปแต่งงานเป็นรูปโปรไฟล์ ฉันนึกว่าตัวเองจะร้องไห้ แต่ไม่เลย มันก็แค่วูบขึ้นมาว่า อ้าว แต่งงานแล้วเหรอ แล้วก็จบ จบจริง ๆ นะ ฉันกดปิดหน้าต่างเสิร์ช กลับไปทำงานต่อ ไม่มีความรู้สึกอะไรแม้แต่นิดเดียว ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเคยจะเป็นจะตายถึงขนาดสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ลืมเขา ไม่อยากลืมว่าเราเคยรักกัน แต่ไอ้ความรู้สึกแบบนั้นมันหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ค่ะ หายไปแบบสนิทเลยล่ะ เวลามันช่วยได้จริง ๆ”
     “ผมอยากทำให้ได้อย่างนั้นมั่งจัง”
     “คุณทำได้อยู่แล้วล่ะ ฉันเชื่อ แต่ตอนนี้คุณไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองก็ได้ คุณยังเศร้าอยู่ ก็ปล่อยให้มันเศร้าไปเถอะค่ะ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง ค่อยเป็นค่อยไป” นุ่นจับไหล่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ
     “ผมไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลย ผมไม่มีใจจะทำอะไรทั้งนั้น แล้วผมก็ยังอิจฉาเพื่อน อิจฉาอัตสึโตะกับมานูเอล ทำไมความรักของพวกเขาสมหวัง แล้วทำไมของผมไม่ มันมีแต่คำถามเต็มหัวว่าทำไม ๆ”
     “ก็ไม่แปลกอีกแหละค่ะ ฉันก็ถามตัวเองเหมือนคุณเหมือนกัน รอบตัวฉันน่ะ ไม่มีใครมีปัญหาเรื่องรักทางไกลสักคน และที่ฉันมาญี่ปุ่นครั้งนี้ก็ไม่ใช่มาเที่ยวอย่างเดียว ฉันมางานแต่งงานเพื่อนด้วย เพื่อนที่ฉันรู้จักที่เยอรมนีในตอนนั้น”
     หญิงสาวยิ้มให้ชินจิที่กำลังตั้งใจฟัง
     “มิยูกิจังเป็นเพื่อนสนิทของฉันที่โน่น เธอรักกับติวเตอร์ส่วนตัว คริสซัง แล้วก็คบกันมาตั้งแต่ตอนนั้น ผลัดกันไปอยู่ที่ญี่ปุ่นมั่งที่เยอรมนีมั่ง แล้วสิบปีผ่านไป พวกเขาก็ได้แต่งงานกัน ฉันเคยอิจฉามิยูกิจังมากเหมือนกัน มีคำถามว่าทำไมอยู่เต็มหัวเหมือนกัน แต่ตอนนี้ สิบปีผ่านไป ฉันเลิกถามคำถามพวกนั้นแล้ว เพราะฉันรู้ว่าเส้นทางของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน มิยูกิจังก็มีเส้นทางของเธอ ฉันก็มีเส้นทางของฉัน และฉันก็พอใจกับเส้นทางของฉันในตอนนี้ค่ะ ถึงแม้ว่าฉันจะต้องเดินไปบนเส้นทางสายนี้ตามลำพัง แต่ฉันก็เป็นสุขและมีอิสระมาก อยากทำอะไรก็ทำ นึกอยากจะเที่ยวญี่ปุ่นมันสักสองอาทิตย์ ฉันก็บินมาเลย ฉันว่าไม่มีใครจะมีความสุขเท่าฉันในตอนนี้แล้วล่ะค่ะ”
     นุ่นซังหยุดพูดเพราะได้ยินเสียงมายะตะโกนโหวกเหวกเรียกมาจากประตูหน้าบ้าน หญิงสาวหันไปโบกมือรับและลุกขึ้นพร้อมกับฉุดแขนชินจิให้ลุกขึ้นตามมาด้วย
     “ฉันลืมไปเลยมัวแต่พูดมาก ฉันอาสามาบอกคุณว่าเราจะไปที่ฮิงาชิจายะกาอิตอนหกโมงเย็นค่ะ ไปจองที่ดูเขาเต้นรำพื้นเมืองกัน ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะค่ะ”
     ชินจิเดินตามแรงจูงของเพื่อนใหม่ไปด้วยท่าทางที่เหมือนกับกำลังครุ่นคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ ทั้งคู่เดินตรงไปทางด้านหลังบ้านที่มีรถของมาซากิซังจอดรออยู่
     นุ่นซังหยุดเมื่อเดินผ่านถังขยะ หญิงสาวชูซองบุหรี่ที่หล่อนยึดเอาไว้ให้เจ้าของดูก่อนจะหย่อนทิ้งลงถังไป พลางพูดสั้น ๆ ว่า
     “อย่างชินจิซังน่ะไม่เหมาะกับบุหรี่เลยสักนิด”
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 16 - update - 12.10.2014 page 4
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-10-2014 12:43:16
     ระหว่างทางไปฮิงาชิจายะกาอิหรือย่านเกอิชาที่ใหญ่ที่สุดของเมือง ชินจิก็ยังคงเงียบขรึมอยู่ แต่รอบตัวของเขาไม่เงียบ ชายหนุ่มได้ยินเสียงอัตสึโตะเล่าโน่นเล่านี่ให้มานูเอลฟัง เสียงถกเถียงจิกตีกันของมายะกับยูเลี่ยน และเสียงแจ้ว ๆ ถามโน่นถามนี่ของหญิงสาวจากประเทศไทย สุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องเลิกเงียบไปในที่สุดเพราะหญิงสาวข้างตัวของเขาคอยหันมาคุยกับเขาอยู่เรื่อย ๆ แค่นั้นยังไม่พอ เขายังต้องคอยระมัดระวังทุกสิ่งทุกอย่างให้เจ้าหล่อนด้วย
     ก็เห็นท่าทางคล่องแคล่วพูดจ๋อย ๆ ออกอย่างนั้นน่ะ ความจริงนุ่นซังโก๊ะและซุ่มซ่ามระดับเดียวกับอัตสึโตะเลยทีเดียว
     ชินจิปาดเหงื่อ ตอนที่เดินมาขึ้นรถ หลังจากทิ้งบุหรี่ทั้งซองของเขาลงไปในถังขยะ หล่อนก็สะดุดพื้นถนน ถ้าเขาไม่จับเอาไว้ทัน หัวของหล่อนก็คงพุ่งถลาเข้าไปในรถที่มาซากิซังเปิดประตูรออยู่ไปแล้ว ชายหนุ่มงงมากว่าหล่อนสะดุดได้อย่างไรทั้งที่พื้นถนนออกจะเรียบขนาดนั้น
     แล้วเมื่อกี้ เมื่อคุณอาของอัตสึโตะจอดรถให้ลงและบอกว่าข้ามถนนไปก็ถึงย่านเกอิชาแล้ว นุ่นซังก็ทำท่าจะข้ามถนนจริง ๆ แต่ผิดด้าน ชายหนุ่มต้องไปลากตัวหล่อนให้เดินตามคนอื่น ๆ มา
     เขาอดไม่อยู่จริง ๆ จนต้องถามหล่อนว่า
     “นุ่นซังเดินหลงทิศขนาดนี้ เวลาไปเที่ยวคนเดียว คุณทำยังไงเนี่ย”
     “ก็เดินไปหลงไป เดี๋ยวมันก็ถึงที่ที่เราอยากไปเองนั่นแหละ”  หญิงสาวตอบหน้าตาเฉย แล้วพูดไม่ทันขาดคำดีหล่อนก็ทำท่าจะเดินชนป้ายบอกรายละเอียดการแสดงที่ตั้งอยู่บนถนนมุ่งตรงสู่ฮิงาชิจายะกาอิ แต่ชินจิดึงตัวหล่อนให้หลบทัน
     การแสดงเต้นเริ่มต้นที่ลานกว้างกลางย่านเกอิชาซึ่งเป็นห้องแถวไม้เตี้ย ๆ แบบเก่า ในตอนกลางวันย่านนี้มีร้านน้ำชาและขนมเปิดขาย และยังมีพิพิธภัณฑ์ที่แสดงข้าวของ เครื่องดนตรีและเรื่องราวของเกอิชา ส่วนตอนกลางคืน อาคารบ้านเรือนจะติดไฟสว่างเพราะเป็นจุดแสดงไลท์อัพที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของเมือง ถ้าเป็นเวลาปกติจะมีไกด์อาสาซึ่งเป็นคนสูงอายุพานักท่องเที่ยวเดินชมไฟและเล่าเรื่องราวของเกอิชาให้ฟัง แต่ภาษาที่ใช้เป็นญี่ปุ่นล้วน ๆ
     ชินจิตามประกบนุ่นซังไม่ห่าง เพราะย่านห้องแถวไม้แห่งนี้ค่อนข้างซับซ้อนวกวนเหมือนเขาวงกต เขาเองยังงง ๆ ทางอยู่เหมือนกัน ดังนั้นไม่มีปัญหาสำหรับนุ่นซัง ถ้าเขาคลาดสายตาเมื่อไร หล่อนเดินหลงแน่นอน ชายหนุ่มดันให้หญิงสาวที่ตัวค่อนข้างเล็กไปยืนอยู่ที่ด้านหน้าติดกับรั้วเชือกที่เจ้าหน้าที่เอามากั้นคนเอาไว้เพื่อให้หล่อนมองเห็นได้ชัด ตัวเขากั้นหล่อนเอาไว้จากคนอื่นอีกทีหนึ่งเพราะมีคนมารอชมการแสดงมากจนเบียดเสียดเยียดยัดกันอยู่พอสมควร
     เสียงดนตรีดังขึ้นพร้อมกับเสียงผู้ชมปรบมือ แล้วการแสดงก็เริ่มต้นขึ้น สาวน้อยหลายคนสวมชุดยูกาตะสีชมพูอมส้มสวมหมวกฟางปิดใบหน้าเต้นช้า ๆ คู่กับชายหนุ่มสวมเสื้อฮัปปิสีเข้มและหมวกฟาง
     “อัตสึโตะกับมายะเต้นยังงี้ตอนวันงานอัดเว้นท์” ชินจิเผลอเล่าออกมา
     “อัตสึโตะใส่ยูกาตะของผู้หญิง เต้นกับมายะ แต่หมอนั่นเต้นผิด มันก็เลยมั่ว ๆ ไปจนจบได้ มันแอบมาบอกผมทีหลังแล้วก็หัวเราะขำ บอกว่าไม่มีใครจับได้หรอกว่ามันเต้นผิด”
     “แล้วชินจิซังแสดงอะไรคะ”
     “ผมไม่ได้แสดงหรอก ร้องไม่ได้เต้นไม่ได้ ผมใส่ยูกาตะเฉย ๆ มีเพื่อน ๆ มาขอถ่ายรูปเยอะแยะ เขินสุด ๆ เลยครับตอนนั้นน่ะ”
     หญิงสาวยิ้มพร้อมกับบอกว่า
     “ฟังน่าสนุกจังนะคะ เป็นความทรงจำที่ดีจริง ๆ”
     “มันเศร้า” ชินจิพึมพำ
     “แต่มันเป็นความทรงจำที่ดีค่ะ”
     การแสดงรอบแรกจบลงไปแล้ว และเหล่านักแสดงต่างพากันเคลื่อนตัวไปยังสถานที่อื่น ๆ ในย่านเกอิชาแห่งนี้ต่อ พวกเขาจะเปลี่ยนที่เต้นไปเรื่อย ๆ จนเวียนครบรอบกลับมาที่เดิมในเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
     “เราไปสวนเคนโระคุเองต่อเลยนะ” อัตสึโตะชวน
     “เดินไปหรือรอนั่งรถไลท์อัพบัส แต่เดินไปก็ไม่ไกลนะ สักสิบนาทีเท่านั้นเอง” มายะหารือ
     “เดินดีกว่า กว่ารถบัสจะมามันนานไป”
     ตกลงกันได้อย่างนั้นก็เริ่มออกเดินกัน ระหว่างทาง ทั้งหมดแวะฟังดนตรีในสวนที่เล่นกันอยู่ในศาลเจ้าในฮิงาชิจายะกาอินั่นเอง สวนของศาลเจ้าเปิดไฟสว่าง ปูผ้าปูผืนใหญ่สีฟ้าให้ผู้คนมานั่งฟังดนตรี ดอกซากุระในสวนของศาลเจ้าเป็นสีชมพูจางจนเกือบขาวสะท้อนแสงไฟเป็นประกายสวยงามจนแทบลืมหายใจ
     ทุกคนฟังเพลงกันจนเพลิน แต่ก็ต้องตัดใจเดินต่อไปยังสวนเคนโระคุเองซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก สวนแห่งนี้จัดว่าเป็นสวนที่สวยงามที่สุดหนึ่งในสามแห่งของญี่ปุ่น พระเอกของสวนคือตะเกียงหินสองขา ตามปกติจะต้องเสียค่าเข้าชมสวนสามร้อยเยน แต่ในหน้าซากุระบานอย่างตอนนี้ สวนเปิดให้เข้าชมฟรีและระหว่างทางขึ้นมายังสวนที่เป็นเนินย่อม ๆ ก็จะมีงานออกร้านตั้งซุ้มขายอาหารกันอย่างคึกคัก ผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่จนแทบไม่มีที่ว่าง
     ชินจิเดินตามนุ่นซังที่ทำท่าจะเดินชนคนโน้นคนนี้อยู่เรื่อย หล่อนหยุดดูทุกซุ้มแทบไม่ต่างจากอัตสึโตะที่ตอนนี้กำลังดึงมือมานูเอลให้เข้าไปซื้อองุ่นชุบไซรัปสีแดงเข้มมาเคี้ยวเล่นกรุบ ๆ แล้วหล่อนก็ซื้อไทยากิซึ่งใช้แป้งเค้กทอดบนเตาพิมพ์เป็นรูปปลาข้างในสอดไส้ถั่วแดงมาแบ่งกันกินกับเขา จากนั้นเดินตามคลื่นฝูงชนเข้าไปชมซากุระในสวน
     ในตอนกลางวันซากุระจะเป็นสีจาง ๆ แต่ในตอนกลางคืน สีอ่อน ๆ ของซากุระจะถูกขับให้เด่นขึ้นด้วยแสงไฟตัดกับท้องฟ้าสีเข้มของเวลากลางคืนทำให้บางครั้งจะมีความรู้สึกว่า ซากุระในตอนกลางคืนยิ่งดูสวยกว่าตอนกลางวันเสียด้วยซ้ำ
     “สวยจังเลยนะคะ” นุ่นซังแหงนหน้ามองซากุระต้นใหญ่ที่ออกดอกบานสะพรั่ง กลีบบางปลิวตามลมก่อนจะร่วงหล่นลงมาบนพื้น
     “ผมนึกถึงหิมะที่ตลาดคริสต์มาส เกล็ดหิมะก็ร่วงลงบนพื้นอย่างนี้เหมือนกัน แล้วก็มีคนเยอะแยะไปหมด ไม่ผิดกับตอนนี้เลย”
     “จริงด้วยสินะ ตลาดคริสต์มาส แล้วก็หิมะกับซากุระ มันสวยไม่ต่างกันจริง ๆ ค่ะ”
     ชินจิชะงักเมื่อเขารู้ตัวว่าเผลอไปคิดถึงอีกแล้ว
     “ชินจิซัง ช่วยกินหน่อยได้ไหม ฉันกินไม่หมดแล้ว เหลืออีกตัวเดียว คุณเอาท่อนหางไปนะ มีไส้ใส่ไว้เต็มมาถึงตรงนี้เลยล่ะ”
หญิงสาวไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มมีเวลาคิดมาก ยื่นขนมที่หักเป็นสองท่อนส่งต่อให้ทันที
     ข้างตัวพวกเขา มานูเอลกำลังจับมือกับอัตสึโตะชมซากุระอยู่ด้วยกัน พวกเขาไปถ่ายรูปกับตะเกียงหินสองขามาแล้วก่อนที่จะเดินกลับมาหาเพื่อนและหยุดยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
     “ดูชินจิสดใสขึ้นนะ” อัตสึโตะสะกิดมานูเอล
     ชายหนุ่มละสายตาจากดอกซากุระมองตามไปเห็นชินจิกำลังกินขนมอยู่กับนุ่นซังก็ยิ้มออกมานิดหนึ่ง
     “ก็คนเขามีประสบการณ์คล้าย ๆ กัน คำพูดคำจาก็มีน้ำหนักมากกว่าเราอยู่แล้วล่ะ”
     “งั้นเราก็ไม่ต้องห่วงชินจิแล้วใช่ไหม”
     “แน่นอน ชินจิต้องดีขึ้นแน่ ๆ” มานูเอลรับรอง มือของทั้งสองคนที่เกาะกุมกันอยู่กระชับแน่นขึ้นอีกนิดและพากันชี้ชวนกันชมซากุระต่อ แต่ทั้งคู่ก็มีเวลาสงบสุขด้วยกันไม่นานเพราะยูเลี่ยนวิ่งหน้าตั้งมาฟ้องว่า
     “อัตสึโตะ ไอ้หน้าเต้าหู้มันจะผลักฉันลงเขา” ชายหนุ่มชี้ไปทางเนินที่ปลูกซากุระเรียงรายหลายต้นและจากตรงนั้นสามารถชมวิวของเมืองคานาซาว่าที่อยู่ต่ำลงไปเบื้องล่างได้
     “ก็เห็นทำท่าชะเง้อชะแง้นึกว่าอยากจะดูซากุระใกล้ ๆ ฉันก็เลยจะช่วยสงเคราะห์ให้ไง ไม่พอใจรึไงไอ้เด็กบ้า” มายะที่เดินตามมาติด ๆ โต้ตอบทันควัน
     “แล้วเมื่อกี้นะอัตสึโตะ มันยังจะผลักฉันตกสระด้วย” ยูเลี่ยนฟ้องไม่หยุด
     “อ้าว ก็นายอยากถ่ายรูปกับตะเกียงหินใกล้ ๆ ไม่ลุยน้ำเข้าไปแล้วมันจะใกล้ได้ไงวะ” มายะไม่ยอมเช่นกัน
     อัตสึโตะฟังแล้วอ่อนอกอ่อนใจ ชายหนุ่มขี้เกียจฟังต่อจึงดึงมือมานูเอลให้เดินตามเขาเพื่อไปยังปราสาทคานาซาว่าที่อยู่ตรงข้ามกับสวน
     ระหว่างสวนเคนโระคุเองกับปราสาทคานาซาว่ามีสะพานเชื่อมถึงกันและบนสะพานก็มีผู้คนมากมายกำลังถ่ายรูปกับซากุระและประตูอิชิกาวะม่อนซึ่งเป็นป้อมปราการสีขาว ปราสาทคานาซาว่าเป็นปราสาทสีขาวทรงยาว ไม่สูงเหมือนปราสาทอื่น ๆ ของญี่ปุ่น และเมื่อปราสาทสีขาวมาอยู่คู่กับดอกซากุระสีชมพูอ่อนจางก็ยิ่งทำให้ดูงดงามและอ่อนหวานราวกับเป็นหญิงสาวแสนสวยสวมชุดกิโมโนสีชมพูหวาน
     ลานปราสาทคานาซาว่าเปิดให้เข้าชมโดยไม่ต้องเสียเงินอยู่แล้ว ผู้คนจึงมาเดินเล่นชมซากุระกันอย่างหนาตา มานูเอลจูงมืออัตสึโตะเดินลอดอุโมงค์ซากุระที่ปลูกอยู่ข้างปราสาทสีขาวไปด้วยกันช้า ๆ บนใบหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุข แล้วเมื่อไม่เห็นใครอยู่ใกล้ ๆ อัตสึโตะก็ดึงมือมานูเอลให้เข้าไปยืนเกาะราวสะพานมองเงาซากุระสะท้อนน้ำในคูของปราสาท
     “สวยไหมมานู”
     มานูเอลพยักหน้า แต่เขาไม่ได้มองซากุระที่อยู่ในน้ำอีกแล้ว สายตาของเขาทอดจับอยู่ที่กลีบซากุระที่บังเอิญร่วงลงมาติดอยู่ใกล้ริมฝีปากของอัตสึโตะ เขาหยิบกลีบซากุระออก ก่อนจะประทับริมฝีปากของตัวเองลงไปแทน
     “ปีหน้าเราก็จะได้มาชมดอกไม้ด้วยกันแบบนี้อีกสินะ ดีจัง” มานูเอลพึมพำ
     “ไม่เฉพาะปีหน้า แต่ปีต่อ ๆ ไปด้วย นายกับฉันจะมาชมดอกไม้ด้วยกันแบบนี้ไปจนเบื่อเลยล่ะ” อัตสึโตะพูด แล้วโถมตัวเข้าสู่อ้อมแขนของมานูเอลอย่างไม่รอช้า
     ภาพของอัตสึโตะกับมานูเอลทำให้ชินจิรู้สึกสะท้อนใจอยู่นิด ๆ แต่เขาไม่มีเวลามาเศร้าหรืออิจฉาเพื่อนทั้งนั้น เพราะข้างตัวเขา นุ่นซังทำท่าจะปีนราวสะพานเพื่อโน้มตัวลงไปถ่ายรูปซากุระสะท้อนน้ำ ชายหนุ่มรั้งตัวหล่อนเอาไว้แทบไม่ทัน
     “คุณจะปีนลงไปทำไมครับเนี่ย” ชินจิระล่ำระลักถามด้วยความตกใจ
     “อ้าว ก็ฉันอยากถ่ายรูปซากุระในน้ำนี่นา”
     “เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอกครับ คุณนี่จริง ๆ เล้ย” ชินจิโคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ ก่อนจะดึงมือหล่อนไปอีกทาง “เราไปสมทบกับมายะกับยูเลี่ยนทางโน้นดีกว่า ฟังสองคนนั้นเถียงกันน่าจะดีกว่าที่ผมจะต้องโดดลงไปเอาตัวคุณขึ้นมาจากคูน้ำแน่ ๆ”
     ชายหนุ่มปาดเหงื่อเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้กับความซนความโก๊ะของเพื่อนใหม่คนนี้ แต่เขาก็รู้สึกดีเหมือนกัน เพราะอยู่กับหล่อน เขาไม่มีเวลามาจมอยู่กับตัวเองอีกต่อไป และเขาไม่รู้ว่าตัวเองบ่นไปแต่ก็มีรอยยิ้มอยู่บนหน้าด้วย เนื่องจากอดขำนิสัยอันสุดโต่งของหญิงสาวไม่ได้ และนั่นทำให้นุ่นซังยิ้มกว้างด้วยความชอบใจขณะที่ชมเขาว่า
     “ชินจิซังยิ้มสวยจัง คุณยิ้มแล้วน่ารักมากเลย ฉันชอบเวลาคุณยิ้มมากกว่าเวลาทำหน้าแบกโลกอีก ยิ้มเยอะ ๆ นะคะ”
     ชินจิไม่รับคำ แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธ และบนใบหน้าของเขาก็ยังมีรอยยิ้มบาง ๆ แต้มอยู่ไม่เปลี่ยน
     ชายหนุ่มมองตามร่างเล็ก ๆ ของหญิงสาวที่เมื่อพูดจบก็วิ่งถลาเข้าไปหามายะกับยูเลี่ยนที่กำลังเถียงอะไรกันสักอย่างอยู่ทันที ตรงไปเขย่าแขนมายะขอให้พาไปที่ร้านซูชิเร็ว ๆ เพราะหล่อนหิวจนท้องกิ่วแล้ว
     ทั้งหมดเดินทะลุไปยังด้านหลังของปราสาทและออกมาทางประตูอิโมริซะกะ ก่อนจะลัดเลาะไปตามทางข้างศาลเจ้าโอยามะจินจะที่เป็นสิ่งก่อสร้างแบบโปรตุเกสติดไฟสว่างเพราะเป็นจุดไลท์อัพจุดหนึ่งเช่นกัน จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าย่านคาตะมาจิ เดินผ่านห้างใหญ่ทั้งไดวะและอาทริโอจนกระทั่งมาถึงร้านซูชิเล็ก ๆ ที่อยู่ในซอยห่างออกมาไม่ไกลนัก
     อัตสึโตะเลื่อนประตูบานเลื่อนหลังม่านหน้าร้านสีน้ำเงินแล้วจูงมือมานูเอลเข้าไปเป็นคนแรก ตามด้วยมายะกับยูเลี่ยนที่แย่งกันเข้าไปอย่างไม่มีใครยอมหลีกทางให้ใคร ส่วนชินจิยังยืนรออยู่ข้างนอก เพราะนุ่นซังเดินเหยียบเชือกผูกรองเท้าของตัวเองจนเกือบจะล้มคว่ำหน้าคะมำลงพื้น แต่เขาจับหล่อนเอาไว้ได้ทัน และตอนนี้หล่อนก็กำลังผูกเชือกรองเท้าของตัวเองอยู่ ผูกเสร็จหล่อนก็ลุกขึนยืนพร้อมกับยิ้มแหย ๆ
     “ขอโทษนะคะ ฉันทำชินจิซังลำบากอยู่เรื่อย”
     “ไม่เป็นไรหรอกครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้นิด ๆ แล้วเลิกคิ้วเมื่อเห็นหญิงสาวมองเขานิ่ง
     “คุณเป็นคนที่น่ารักมากเลยชินจิซัง ฉันเชื่อนะคะว่าสักวันนึงคุณจะได้เริ่มต้นเดินบนเส้นทางสายใหม่อย่างแน่นอน และเส้นทางสายที่คุณจะเดินต่อไป คุณจะไม่ต้องเดินอยู่คนเดียวเหมือนกับฉันแน่ ๆ”
     ชินจิยังยืนนิ่งอยู่ข้างนอกแม้ว่านุ่นซังจะเดินเข้าร้านไปแล้วก็ตาม ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋า ชายหนุ่มยังส่งข้อความหาเควินอยู่ แต่ไม่เคยได้รับคำตอบ เขาก็เลยพิมพ์ข้อความไปอีกประโยคหนึ่งและตอนนี้เขาก็ได้รับข้อความจากเควินตอบกลับมา

     “ฉันลบรูปของนายไปหมดแล้วล่ะ รวมทั้งรูปเปลือยพวกนั้นด้วย ไม่ต้องเป็นห่วง”

     บางทีมันอาจจะจบแล้วจริง ๆ ก็ได้นะเรื่องของเขากับเควิน
     “ชินจิ ทำอะไรอยู่ เราจะสั่งกันแล้วนะ”
     อัตสึโตะโผล่หน้าออกมากวักมือเรียกเขา ชายหนุ่มจึงรีบเก็บโทรศัพท์มือถือและก้าวเข้าไปในร้าน
     ภายในร้านไม่มีลูกค้าคนอื่นนอกจากพวกเขา ดูเหมือนว่าคุณอาของอัตสึโตะคงจะปิดร้านให้เลยเพราะมั่นใจว่าหลานและเพื่อนจะถล่มร้านของโอจี้ซังและโอบ้าซังแน่ ๆ ซึ่งก็จริงเพราะขนาดมีกันแค่หกคนแต่คุยกันเฮฮาสนุกสนาน โดยเฉพาะมายะกับยูเลี่ยนที่เถียงกันเสียงดังกว่าใคร เพราะเป็นร้านของคนกันเองไม่เคร่งครัดเรื่องมารยาทจึงส่งเสียงกันได้เต็มที่
     ซูชิของคุณตาอร่อยกว่าของที่มายะทำล้านเท่าจริง ๆ อย่างที่อัตสึโตะประกาศอยู่ลั่น ๆ คุณยายควักขิงดองสีชมพูออกมาจากกระปุกมาเติมให้อย่างไม่ยั้งขณะที่คุณตาปั้นซูชิไม่ได้หยุดมือ ทุกคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย แม้แต่นุ่นซังที่เห็นตัวเล็กขนาดนั้น แต่กินจุไม่แพ้ใคร ถ้าชินจินับไม่ผิด หล่อนกินไปเกือบยี่สิบคำแล้ว และตอนนี้กำลังสั่งนิงิริหน้าหอยคานาซาว่ากับหน้าอุนิเป็นรอบที่สาม
     ชินจิกำลังคิดถึงสิ่งที่หญิงสาวพูดกับเขา
     ทุกคนมีเส้นทางเป็นของตัวเอง
     เส้นทางความรักของอัตสึโตะเริ่มต้นที่เยอรมนีเหมือนกับเขา แต่เส้นทางของเพื่อนยังคงทอดยาวต่อไปโดยมีมานูเอลเดินอยู่เคียงข้างบนเส้นทางสายนั้น ในขณะที่เส้นทางความรักของเขาขาดสะบั้นลงเสียแล้ว ของนุ่นซังก็เหมือนกัน เส้นทางความรักของหล่อนเริ่มต้นที่เยอรมนีเหมือนกับเขาและมันก็จบลงแล้วเหมือนกัน ตอนนี้หล่อนเริ่มเดินบนเส้นทางความรักสายใหม่โดยมีตัวหล่อนเองเดินอยู่เคียงข้าง
     เส้นทางของคนที่รักตัวเอง
     แล้วเขาล่ะ เขาจะทำได้เหมือนกันไหมนะ
     ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่กำลังคุยสนุกสนานอยู่กับมานูเอลและอัตสึโตะ มือหยิบซูชิเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ หญิงสาวในตอนนี้มีความสุข เต็มไปด้วยความสดใสรื่นเริงทั้ง ๆ ที่ผ่านประสบการณ์ความรักที่แสนเศร้ามาไม่ต่างจากเขา
     บางทีเขาก็อาจจะทำได้เหมือนกันกระมัง
     ชินจิหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง เขากดเลือกรูปภาพที่ยังเหลืออยู่อีกหนึ่งรูปขึ้นมาดู เป็นภาพเขาใส่ยูกาตะสีเข้มกับเควินที่กำลังหอมแก้มเขาอยู่ รูปที่ถ่ายในงานอัดเว้นท์ เมื่อตอนที่เขาตั้งคำถามกับตัวเองเป็นครั้งแรกว่า เขาคิดผิดหรือคิดถูกที่เลือกรักเควิน
     คำตอบที่เขาได้ในวันนี้คือ มันไม่ถูกและมันก็ไม่ผิด
     เควินทำให้เขารู้จักความรัก มีความทรงจำที่สวยงาม แต่ในขณะเดียวกัน เควินทำให้เขารู้จักความเจ็บปวด มีความทรงจำที่แสนเศร้าซึ่งมันจะกลายเป็นบทเรียนของเขาต่อไป
     มันเศร้า แต่มันก็สวยงาม
     ขอให้มันเป็นแค่ความทรงจำก็พอ
     ชินจิกดลบรูปภาพรูปนั้นทันที
     “เฮ้ย ชินจิ! ถ้านายไม่กิน ฉันขอนะเว้ย!”
     มายะที่ถูกยูเลี่ยนขโมยนิงิริหน้าทาโกะชิ้นใหญ่ยักษ์ไปกินหันขวับมาทางเขา และเมื่อเห็นนิงิริวางอยู่โดยที่ชินจิไม่สนใจจะแตะ ชายหนุ่มก็คว้าหมับ
     “ไม่ได้! นี่มันของฉัน!”
     ชินจิฟาดมือเพื่อนอย่างแรงจนมายะต้องปล่อยมือพลางสูดปากด้วยความเจ็บ
     “นายอย่าหวังเลยว่าจะแย่งของกินจากฉันได้ สั่งเอาเองสิเว้ย ไอ้บ้ามายะ”
     ชินจิชี้หน้า และถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะเข้ม แต่บนใบหน้าของชินจิก็มีรอยยิ้มที่สนุกสนานปรากฎขึ้นเป็นครั้งแรก
     มายะบ่นอุบ ขณะที่ยูเลี่ยนหัวเราะเยาะด้วยความชอบอกชอบใจ
     อัตสึโตะกับมานูเอลก็ยิ้ม แต่ไม่ใช่เพราะขำมายะ ทั้งคู่ยิ้มเพราะดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงโวยวายของชินจิ
     ชายหนุ่มยังต้องโวยวายต่อเมื่อมายะยังไม่ยอมหยุดคิดที่จะขโมยซูชิของเขา นอกจากโวยวาย เขายังหัวเราะออกมาได้โดยที่ไม่ต้องฝืนอีกด้วย
     ชินจิจบเส้นทางความรักระหว่างเขากับเควินลงแล้ว และเขาจะเริ่มเดินบนเส้นทางสายใหม่
     ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปตามลำพังหรือจะมีใครเดินอยู่เคียงข้าง
     แต่เขาจะเดินต่อไปโดยที่ไม่เจ็บปวดเหมือนในวันนี้อีกอย่างแน่นอน



     -จบ-
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 12-10-2014 12:48:13
"บนทางรัก" จบแล้วนะคะ ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้นจนจบ
สำหรับคนที่แวะเข้ามาอ่านเรื่องนี้ ยังไงขอทราบ feedback สักนิดนะคะ ชอบไม่ชอบยังไง หรืออยากจะด่า (เขียนอะไรของแก๊!) ก็ยินดีค่ะ จะได้เอาไว้ปรับปรุงตัวเองต่อไป

ขอบคุณจากใจอีกครั้งค่ะ
 :pig4:

Mettnoon
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: j_world ที่ 12-10-2014 13:37:36
ชอบมากชอบสุดใจ เป็นเรื่องหนึ่งที่เขียนดีเหลือเกิน ทุกคนต่างก็มีเส้นทางเป็นของๆตน เห็นด้วยนะที่ความรัก ต้องเริ่มจากรักตัวเองให้เป็นก่อน

เป็นการเดินทางที่จบได้งดงามด้วยความเข้าใจในทางของแต่ละคน

....แต่เอ...นุ่นซัง คือคนเขียนใช่ป่ะ? 
ถ้านุ่นซังไม่ออกโรง จบไม่ได้นะเออ ฮ่าๆๆ

ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆ
รีบเขียนงานใหม่มาเลยยยย จะรออ่านจ้า  :pig4:

 :กอด1:

หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 12-10-2014 14:23:13
คิดเหมือนคนข้างบน  ... นุ่นซัง .. คือคนเขียนหรือเปล่าเนี่ยะ
บรรยายบรรยากาศซะเหมือนกับได้ไปอยู่ในทั้ง 2 ประเทศกันเลยทีเดียว
พี่ชอบเรื่องนี้ค่ะ  ได้แง่มุมให้กับชีวิตด้วย
ว่า...จะมีตอนพิเศษไหมนะ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 15-10-2014 17:17:37
ขอบคุณสำหรับตอมเม้นท์นะคะ  :L2:
ยังเข้ามาดูอยู่เรื่อย ๆ นะคะ ถ้าหากอ่านจบแล้วตอมเม้นท์บ้าง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนเขียนมากค่ะ  :pig4:
สำหรับเรื่องต่อไปยังคิดอยู่เลยค่ะ แนวเรื่องที่อยากเขียนอาจจะไม่ค่อยถูกจริตผู้อ่านส่วนมาก ถ้าเขียนได้จนจบก็คงต้องคิดอีกทีว่าจะเอาลงดีรึเปล่า แต่ถึงจะพูดยังงี้ แต่ตอนนี้ก็ยังเขียนไม่ออกสักตัวเลยน้า ยากอะ :ling2:

BTW, ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านอีกครั้งนะคะ

Mettnoon 
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 16-10-2014 23:22:21
เขียนดีจังค่ะ สนุกมาก รอเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 18-10-2014 11:14:38
 :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 23-10-2014 12:38:31
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 23-10-2014 22:10:26
นิยายสนุกมากคะ อ่านแล้วเหมือนได้ไปเที่ยวในตัวเลย
และหน่วงพิลึกสุดๆ ให้แง่คิดชิวีตดีค่ะ  :กอด1:
เป็นกำลังใจให้มีเรื่องราวดีๆ มาให้อ่านอีกนะคะ
 :L2: :mew1:
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: pummy09 ที่ 24-10-2014 17:35:13
จบแล้ว สนุกมากค่ะ ตอนแรกดูเหมือนไม่มีอะไร แต่อ่านๆๆ ไปมันมีอะไรๆๆๆ นะคะ  ฮ่าาาาาา   o13

ได้ไปเที่ยวในหลายๆๆที่อีกด้วย ถึงแม้ว่าอาจจะนึกตามไม่ค่อยออก ด้วยความที่คนอ่านไม่ค่อยคุ้นชื่อสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองแถบยุโรปเอง (สรุป คนอ่านโง่เองค่า ฮ่าาาา)

ขอบคุณมากๆนะคะ  จะรออ่านเรื่องต่อไปนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 31-10-2014 21:41:29
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: iabgnot ที่ 18-12-2014 15:02:33
จบแล้ว...
สนุกมากเลยค่ะ ให้ข้อคิดอะไรหลายๆอย่าง อ่านแล้วเหมือนได้ไปจริงๆเลย
 :mew1: :o8: :-[ :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 16-01-2015 22:25:56
มีคอมเม้นท์เพิ่มแล้ว ^^
ขอบคุณมากนะคะที่เข้ามาอ่าน
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: kekaprain ที่ 12-02-2015 18:22:28
โหยยยย  ชอบมากกกกกก  ชอบนิยายที่ได้บรรยากาศแบบนี้มากค่ะ
มันเหมือนเราได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเลยจริงๆ  ความรักของอัตสึโตะและเหล่าแฟนคลับน่ารักมากกก  ฮ่าๆ
มันอุ่นๆฟุ้งๆ  น่ารักมุ้งมิ้ง  ในขณะที่ของชินจิจะเข้มข้นขึ้นมาในความเป็นคนรัก การเอาจริงเอาจังของความรักและชีวิตคู่
การประคับประคองความรักและความเชื่อของตนเอง  การพยายาม กระปรับตัวต่างๆ  อ่านแล้วรู้สึกถึงความเป็นจริง
ทั้งลุ้นทั้งคอยช่วย  ตื่นเต้นสนุกสนานไปกับบรรยากาศของเรื่องไปด้วย 
อ่านแล้วคุ้มมากค่ะเรื่องนี้  ใจจริงอยากให้มีสเปเชี่ยล โทนี่มาโคโตะด้วยนะ  ฮ่าๆ
แอบเอาใจช่วยชินจิต่ออยู่เลย  จริงๆชอบที่จบแฮปปี้  แต่ก็รู้สึกว่า  จบแบบนี้ก็ขื่นๆนิดๆมีความหวังว่าชินจิจะมีรักใหม่ที่ดี
สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  จริงๆค่ะ  ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องโปรดเลย
ไว้แต่งมาอีกหลายๆเรื่องนะคะ  ไว้จะรอตามอ่านค่ะ 

ปล.ชอบคู่ญี่ปุ่นกับต่างชาตินะคะ  รู้สึกผชญี่ปุ่นนี่เหมาะจะเป็นเคะสุดๆ อิอิ ฟินไปสิตั้งแต่แรก 
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 16-02-2015 19:18:43
โหยยยย  ชอบมากกกกกก  ชอบนิยายที่ได้บรรยากาศแบบนี้มากค่ะ
มันเหมือนเราได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเลยจริงๆ  ความรักของอัตสึโตะและเหล่าแฟนคลับน่ารักมากกก  ฮ่าๆ
มันอุ่นๆฟุ้งๆ  น่ารักมุ้งมิ้ง  ในขณะที่ของชินจิจะเข้มข้นขึ้นมาในความเป็นคนรัก การเอาจริงเอาจังของความรักและชีวิตคู่
การประคับประคองความรักและความเชื่อของตนเอง  การพยายาม กระปรับตัวต่างๆ  อ่านแล้วรู้สึกถึงความเป็นจริง
ทั้งลุ้นทั้งคอยช่วย  ตื่นเต้นสนุกสนานไปกับบรรยากาศของเรื่องไปด้วย 
อ่านแล้วคุ้มมากค่ะเรื่องนี้  ใจจริงอยากให้มีสเปเชี่ยล โทนี่มาโคโตะด้วยนะ  ฮ่าๆ
แอบเอาใจช่วยชินจิต่ออยู่เลย  จริงๆชอบที่จบแฮปปี้  แต่ก็รู้สึกว่า  จบแบบนี้ก็ขื่นๆนิดๆมีความหวังว่าชินจิจะมีรักใหม่ที่ดี
สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  จริงๆค่ะ  ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องโปรดเลย
ไว้แต่งมาอีกหลายๆเรื่องนะคะ  ไว้จะรอตามอ่านค่ะ 

ปล.ชอบคู่ญี่ปุ่นกับต่างชาตินะคะ  รู้สึกผชญี่ปุ่นนี่เหมาะจะเป็นเคะสุดๆ อิอิ ฟินไปสิตั้งแต่แรก


ขอบคุณมากนะคะสำหรับคอมเม้นท์ ขอบคุณมากที่เข้ามาอ่านด้วย ดีใจจริง ๆ ค่ะที่มีคนชอบ
ทำให้มีกำลังมากขึ้นเยอะเลยค่ะ
 :hao5:
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ดีใจมาก ๆ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 24-06-2017 21:56:06
 :mew1:
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: wizard_tao ที่ 03-03-2019 17:06:16
เดี๋ยวกลับมาอ่าน
ตอนนี้ติดเรื่อง “ภาพลวงตาของปีศาจ” อยู่
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ) - แจ้งหมดลิขสิทธิ์
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 27-03-2020 15:14:07
สวัสดีค่ะ

นี่ Mettnoon เองนะคะ
ขอแจ้งว่า เรื่องบนทางรักนี้หมดลิขสิทธิ์กับทาง Rainy Night Publishing แล้ว ตอนนี้นุ่นก็ทำเป็น Ebook ขายเองโดยลงขายที่ Fictionlog ในราคาเล่มละ 250 บาท
ยังไงถ้าอ่านแล้วชอบ ฝากตามไปดาวน์โหลดฉบับอีบุ๊กกันด้วยนะคะ เพื่อเป็นแรงใจและพลังใจให้นักเขียนคนน้อย ๆ คนนี้ค่ะ
ตอนนี้ทางเว็บอาจจะยังตรวจสอบอยู่ ยังไงเข้า fictionlog แล้วก็กดหาชื่อนามปากกา mettnoon ได้เลยค่ะ ส่วนเรื่องตอนพิเศษคือ คู่อริที่รักก็จะทยอยทำเป็นอีบุ๊กตามมารวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ด้วยนะคะ
นุ่นยังไม่มีทุนตีพิมพ์เป็นฉบับเล่ม แต่ยังไงก็ขอฝากนิยายเรื่องที่นุ่นรักเล่มนี้ด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ
Mettnoon
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ) - แจ้งหมดลิขสิทธิ์
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 10-04-2020 11:41:04
สวัสดีค่ะ

Mettnoon กลับมาเปิดเพจใน facebook อีกครั้งแล้วนะคะ
ทางสายดอกพริมโรส https://www.facebook.com/%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%AA-100683698257541/?modal=admin_todo_tour
ฝากติดตามด้วยนะคะ

ตอนนี้นุ่นกำลังทำ Ebook ขายอยู่ที่ Fictionlog ก็มีอยู่สามเรื่องนะคะ
บนทางรัก
คู่อริที่รัก (ตอนพิเศษ)
Misaki: วันที่ดอกไม้บาน (ตอนพิเศษของภาพลวงตาของปีศาจ)
และกำลังจะเอาตอนพิเศษตอนอื่น ๆ ของภาพลวงตาของปีศาจลงทำเป็น Ebook ด้วย ยังไงก็ฝากอุดหนุนเป็นกำลังใจให้นุ่นด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ) - แจ้งหมดลิขสิทธิ์/แจ้งขายอีบุ๊ก
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 14-04-2020 09:52:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: "บนทางรัก" - บทที่ 17 (จบ) - แจ้งหมดลิขสิทธิ์/แจ้งขายอีบุ๊ก
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 15-10-2020 13:24:59
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: