ตอนที่ ๖๘ เปลือก
“บิวๆ รอด้วย”เสียงเรียกของผู้หญิง เรียกหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างอวบๆซึ่งเดินฉับๆเข้าโรงพยาบาลไป ผมเหลียวมองนิดหน่อยก่อนที่รถของน้องเมย์จะมาจอดเทียบท่า จากนั้นก็ขึ้นรถกลับบ้าน แม่มากรุงเทพคราวนี้ไปนอนที่บ้านพี่น้อยครับ เพราะคราวที่แล้วแม่มาอยู่ที่บ้านพี่เบิ้ลหลายเดือน ลูกๆคนอื่นเขาน้อยใจครับ
มาถึงบ้านพี่น้อยบรรยากาศเงียบมากเลยครับเพราะไม่มีใครอยู่บ้าน ลูกๆพี่น้อย พี่โด่ง พี่อ้วน ไอ้กลาง กับน้องหมิวนี่มีบ้านเป็นของตัวเองแล้วนะครับ เหลือแค่น้องยุ้ยลูกคนสุดท้องที่ยังอยู่บ้านหลังนี้ พี่โด่งกับพี่อ้วนนี่แต่งงานไปแล้ว ลูก ๒ แล้วครับ จริงๆพี่โด่งพี่อ้วนมีศักดิ์เป็นหลานของผมนะครับ แต่เขาเกิดก่อนผมเลยเรียกเขาว่าพี่ อายุเราห่างกันพอสมควรเลยให้เกียรติกันนิดหนึ่ง แต่เขาก็เรียกผมว่าอานะครับ พอพี่แกมีลูกผมเลยมีศักดิ์เป็นปู่ เรื่องอะไรผมจะยอมให้หลานเรียกผมว่าปู่ล่ะครับ ปีนี้ผมเพิ่งจะ ๒๗ ไปหมาดๆ ผมเลยให้เรียกพ่อครับ ส่วนไอ้กลางไม่แน่ใจว่ามีแฟนหรือไม่มีนะครับ เห็นคบๆเลิกๆ
“ย่าน่าจะไปนอนที่บ้านกับเมย์ เมย์เหงาอ่ะ”เมย์ทำปากยื่นใส่แม่ผม ลูกผมถึงกับหัวเราะออกมา “อะไรตัวเล็ก ขำพี่เหรอ”
“คิกๆๆ”เจ้าตัวดีหัวเราะคิกคักกัน ๒ คน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาตลกเมย์หรือว่าใครกันแน่นะครับ
“อารมณ์ดีเชียววันนี้ ได้อยู่ใกล้พ่อไงหึ๊ ถึงยิ้มได้ทั้งวัน”แม่ผมหยอกกับหลาน เจ้าตัวเล็กก็ยิ้มแป้นโชว์ฟันไม่กี่ซี่ อุ้มลูกลงจากรถเอาข้าวของไปเก็บ ที่บ้านพี่น้อยจะมีห้องสำหรับแม่ผม ๑ ห้องโดยเฉพาะเลยนะครับ
กินๆ นอนๆ อยู่ที่บ้านพี่น้อยเป็นเดือนแล้ว ไวมากเลยครับ ตอนนี้ผมหายดีแล้ว ทุกอย่างเป็นปกติกลับมากระโดดโลดเต้นได้เหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ ส่วนเรื่องที่กองร้อยจากที่ผมทราบมาจากหมวดบูมอีกทีนะครับ ผู้กองโดนสั่งพักราชการ ๑๕ วันและโดนย้ายไปในตำแหน่งผู้ช่วยของเสธ.ท่านหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของพี่น้อยเองครับ เพื่อนของพี่น้อยคนนี้ผมรู้จักและสนิทกันดีครับ ส่วนหมวดบูมก็โดนลงโทษด้วยการจัดเวรถี่ๆ ช่วงนี้พี่แกเข้าเวรวันเว้นวันกันเลยทีเดียว เห็นหน้าโทรมๆแล้วสงสาร แต่ทำไงได้ คนทำผิดก็ต้องรับโทษตามสมควรแก่ความผิดไป จ่ากองร้อย คนนี้หลุดจากตำแหน่งครับ ทำให้ต้องเลือกจ่ากองร้อยใหม่ สุดท้ายจ่าวินต้องรับตำแหน่งนั้นไป แต่จ่าวินแกปฏิเสธเลยได้จ่านิค จ่าคลังอาวุธลูกพี่ไอ้มหาไปทำหน้าที่แทน แต่ไอ้มหายังคงทำงานอยู่ที่คลังอาวุธเหมือนเดิมนะครับ มีลูกพี่เป็นจ่าคนใหม่ หมู่อาร์ต หลุดจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่คลังอาภรณ์ แต่ด้วยมีคุณงามความดีที่สามารถจับคนเสพยาได้เลยได้ทำงานอยู่ที่กองร้อย แต่ความสำคัญก็ลดลง ที่จริงหมวดบูมแกมาเปรยๆว่าถ้าหมู่อาร์ตไม่จับคนเสพได้นะ มีหวังโดนย้ายไปดินแดนไกลปืนเที่ยงแน่นอน ส่วนนายสิบอีก ๒ คนที่หมั่นไส้แล้วเข้ามารุมเตะต่อยผมก็โดนขังไปคนละ ๓๐ วัน โทษฐานลงโทษเกินกว่าเหตุ กองร้อยทั้งกองร้อยต้องสับเปลี่ยนตำแหน่งใหม่กันให้วุ่นวายเลยครับ แล้วพี่น้อยแกก็ไปเลียบๆเคียงๆที่กองร้อยบ่อยครั้ง แกไปเฉยๆ แต่แกมาเล่าขำๆให้ผมฟังครับว่า
“ไปให้พวกนั้นตกใจเล่นซะหน่อย พอเห็นพี่เดินเข้ากองร้อยนี่นะ แต่ละคน ขำว่ะ”พี่น้อยพูดแล้วขำไปด้วย พี่น้อยไม่ได้ไปทำอะไรนะครับ เหมือนพี่น้อยจะไปหยอกเล่นเฉยๆ
“ก็ไปแกล้งเขานะพี่”ผมนั่งตักพุดดิ้งให้ลูกกินแล้วคุยไปด้วย เจ้าตัวเล็กจะชอบมากเป็นพิเศษ พอผมไปร้านสะดวกซื้อทีไรเขาจะจำได้ว่าพุดดิ้งวางตรงไหนแล้วจะชี้ไปที่ขนมพุดดิ้ง ทำให้ผมต้องไปซื้อมาเป็นแพคหลายแพคเลยทีเดียว เพราะซื้อทีละชิ้นไม่ไหวครับ ซื้อมาแช่ไว้ให้เย็นๆ แต่ถามว่าลูกผมกินหมดไหม ไม่หรอกครับ มีคนช่วยกินครับ
“แน่ะ ยุ้ย ไปแย่งของน้องมากินอีกแล้วนะเรา ไม่รู้จักโตซะที”พี่ป่านเอ็ดลูกสาวที่หยิบเอาพุดดิ้งมานั่งกินตาใสแจ๋วอยู่ท่ามกลางน้องชายฝาแฝดแสนซน
“แย่งที่ไหนแม่ ยุ้ยเอามาป้อนน้องต่างหาก ใช่ไหมสุดหล่อ”ยุ้ยตักพุดดิ้งป้อนลูกชายผม
“ป้อนคำเดียวแต่กินเองสิบคำนี่ก็ไม่ไหวนะ ฮ่าๆๆๆ”พี่น้อยหัวเราะกับท่าทีของลูกสาว
“บำๆ”
“ตัวเล็ก”๕ โมงกว่าๆเป็นเวลาที่นายทหารหนุ่มหล่อ ๒ นายเลิกงานแล้วมุ่งตรงมาที่บ้านพี่น้อย พี่น้องภีม ภูมิ เสียงดังมาจากหน้าบ้านเลยครับ
“อ๊า”เจ้าลูกชายจำเสียงได้ครับ รีบหันไปมองแล้วเดินเตาะแตะ ไอ้ภีมก้มลงคว้าเจ้าแสบไปฟัดเหวี่ยง กอดหอมเต็มที่ ดูท่าจะรักน้องมากเป็นพิเศษ ส่วนเจ้าซ่ามายืนเกาะขาผมรอกินพุดดิ้ง
“ซ่าไม่คิดถึงพี่ภีมบ้างเหรอ”ไอ้ภีมหันมาถามเจ้าซ่า ผมว่าลูกผมฟังรู้เรื่องนะแต่เพียงเขายังสื่อสารไม่ได้เท่านั้นเอง
“น้องซ่าเบื่อหน้าพี่ภีมแล้วมั้ง”ยุ้ยเป็นคนพูดแล้วนั่งกินพุดดิ้งสบายอารมณ์
“บำๆ”เจ้าซ่าชูไม้ชูมือไปมา ส่วนเจ้าแสบพอมีคนอุ้มก็นิ่งเชียวครับ
“บอมบ์ ป้อนขนมลูกทั้งวัน ลูกแกจะกินข้าวได้ไหม”แม่หันมาเอ็ดผมเล็กน้อย
“กินได้สิแม่ เนอะซ่า”
“อ๊า”เจ้าซ่าส่งเสียง น่ารักแบบนี้ก็ไม่ไหวนะครับ ฮ่าๆๆ
“อา คืนนี้ขอพาน้องไปนอนที่บ้านนะ แม่คิดถึง”ไอ้ภีมหาข้ออ้างครับ เมื่อคืนวานก็พาไปครั้งหนึ่งแล้ว คืนนี้จะพาไปอีกแล้ว “ตัวเล็ก คืนนี้ไปนอนที่บ้านกับพี่ภีมนะ”
“บำๆ”เจ้า ๒ ลิงทำหน้างงๆแล้วหันมามองผม ผมป้อนข้าวคนละคำ เจ้าตัวเคี้ยวตุ้ยๆ กินไปเล่นไป
“เมื่อคืนวานเพิ่งจะไปไม่ใช่เหรอภีม”ผมหันไปถามไอ้ภีม คือ ๓ บ้านนี่ไม่มีใครยอมใครเรื่องหลานนะครับ เพราะเจ้าตัวเล็กนี่มันน่าหยิก ไปไหนก็ไม่ค่อยงอแง เลี้ยงง่าย นอนง่าย ใครจะอุ้ม จะหอมจะกอดก็ไม่หงุดหงิดใส่ กลับยิ้มร่าหัวเราะ แต่ก็เป็นเฉพาะกับญาติๆนะครับ ถ้าเป็นคนอื่นนี่ไม่ยอมให้อุ้มหรอกครับเพราะไม่คุ้นหน้า
“ไงเรา คืนนี้จะนอนไหน มีหลายบ้านเหลือเกิน”ผมหันไปถามเจ้าลูกชายตัวดีที่นั่งเล่นของเล่นไปด้วย เคี้ยวข้าวไปด้วย
“นอนนี่แหละภีม อายังไม่ได้ชื่นใจเลย”พี่ป่านพูด “ใช่ไหมตัวเล็ก คืนนี้นอนบ้านป้านะลูก”
“อ้า อื้อ”เจ้า ๒ ลิงส่งเสียงแล้วหันไปมองพี่ป่าน
“ขายดีจริงเจ้าลูกคนนี้”
“นะอานะ ขอเหอะ แสบซ่า ไปนอนบ้านพี่ภีมนะ”ช่างหาแนวร่วมได้ดีจริงๆ
“อ๊า”เจ้าตัวเล็กก็ดูท่าจะดีอกดีใจ ใครพาไปไหนก็ไป ไม่เกี่ยงอยู่แล้ว
“ไปนะอา ป่ะตัวเล็ก ไปนอนบ้านพี่ภีมกัน”ไอ้ภีมอุ้มเจ้าแสบเจ้าซ่าไปหน้าตาเฉยเลย
“พี่ภีมอ่ะ”ยุ้ยรีบท้วงทันที แต่เจ้าตัวเล็กกลับหัวเราะคิกคัก เขาคิดว่าผู้ใหญ่หยอกกันมั้งครับ ไอ้ภีมอุ้มลูกผมไปแล้ว แล้วผมจะอยู่ทำไมล่ะครับ ต้องเดินตามมันต้อยๆไปขึ้นรถตามไปสิครับ
มาถึงบ้านพี่เบิ้ล พี่ภารีบมาอุ้มเจ้าแสบเจ้าซ่าทันทีทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลยครับ พี่ภาเป็นสาวสังคมนะครับ เพราะว่าตระกูลพี่ภาเป็นผู้ดีเก่าและยังมีสามีระดับท่านนายพล ความเป็นหน้าเป็นตา งานการ เรื่องสังคมอะไรก็เยอะไปด้วย
“มาให้แม่หอมแก้มก่อนมา คิดถึงจังเลย”พี่ภาอุ้มหลานแล้วหอมแก้มหลายฟอด ก็เด็กมันน่าฟัดแบบนี้ใครจะทนไหวครับ
“เพิ่งเลิกงานเหรอครับ”ผมถามพี่ภา
“จ๊ะ ป่ะ นี่กินข้าวกินปลากันยัง ภีมกินข้าวยังลูก”
“ยังเลยแม่ เลิกงานก็รีบไปบ้านอาน้อย รีบดอดไปหาตัวเล็กเนี่ย ไปชิงตัวมาบ้านนี้ก่อน”
“ขายดีจริงนะเรา ไปไหนมีแต่คนรักเนี่ย หืม”
“อ๊า คิกๆๆ”เจ้าแสบเจ้าซ่าหัวเราะคิกคักถูกอกถูกใจ
“เออ ไม่เห็นบูมมาเกือบอาทิตย์แล้ว หายหน้าหายตาไปไหนกัน ปกติแกอยู่บ้านมันต้องมาหาแกไม่ใช่เหรอ”พี่เบิ้ลหันมาคุยกับผม
“เข้าเวรจนตาโบ๋ตาบวมหมดแล้วมั้งพี่”
“เหรอ อือ มิน่าละไม่เห็นหน้า”
“แอบชอบเด็กผู้ชายรึไงคุณ ถึงได้ถามหาแฟนน้อง”พี่ภาแซวพี่เบิ้ลขำๆ
“ฮ่าๆๆ คุณก็พูดไป ถ้าพ่อชอบจริง ป่านนี้ไอ้ตัวดีไม่ได้มานั่งหน้าสลอนแบบนี้หรอก ใช่ไหม”พี่เบิ้ลเขกหัวลูกชายคนโตเบาๆ
“ไม่ๆ บางทีนะแม่ พ่ออาจจะค้นพบตัวเองตอนแก่ใครจะไปรู้”ไอ้ภีมไม่เข้าข้างพ่อมันเลยสักนิด “ดูอย่างอาบอมบ์ดิ คบหญิงมาเป็นโหล มาเสียท่าให้ไอ้บูมจนได้”
“อ้าว ลามถึงอาด้วยนะภีม ระวังเหอะ แซวคนอื่นมากๆนะ จะไปสะดุดตอใครสักคนเข้า”
“ฮ่าๆๆ ไม่มีทางหรอก”ขำไป เรื่องนี้มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกครับ ที่จริงไม่ว่าเรื่องอะไรมันก็ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก โลกนี้มันซับซ้อนยากที่เข้าใจได้ง่ายๆ แต่ไม่ใช่ว่ามันจะไม่เข้าใจได้เลย มันก็ต้องมีหนทาง จริงไหม
“พี่บอมบ์ ไปเที่ยวกันป่ะ อยู่แต่ในบ้านทั้งวันไม่เบื่อบ้างเลยเหรอ”ฟางโทรมาชวนผมแต่เช้า ผมกับฟางสนิทกันมากทีเดียวครับ
“อือ จะไปไหนอ่ะ”
“ก็พาแสบซ่าไปเดินเล่นไง เออ ว่าจะถาม ซันถึงบ้านยังอ่ะ เห็นบอกตั้งแต่เมื่อวานว่าจะลาวันนี้”
“ยังนี่ อืม เดี๋ยวมันคงจะมาถึงละมั้ง ไม่เห็นมันโทรมาเลยนี่ ว่าแต่จะชวนพี่ไปเป็นก้างเหรอ”
“พี่บอมบ์ก็ ก้างอะไร นะๆ ไปเดินเที่ยวกัน อยากเจอหน้าลูกพี่บอมบ์ด้วย”
“อืมๆ อ้าว ไอ้ซันมาพอดี เดี๋ยวสัก ๑๐ โมงพี่ไปรับที่บ้านแล้วกัน”
“จ้า แล้วเจอกัน”
“ไปเปลี่ยนชุดไป จะพาไปเที่ยว”ผมบอกกับไอ้ซันที่มันทำหน้าเอ๋อๆอยู่หน้าบ้านพี่เบิ้ล ปกติมันไม่ค่อยสนิทกับพี่เบิ้ลสักเท่าไหร่นะครับ แต่ไม่ใช่ว่าเราตัดญาติขาดมิตรอะไรนะครับ มันไม่สนิทกัน ที่จริงไอ้ซันเป็นหลานของน้องสาวแม่ผมนะครับ คือยายของไอ้ซันเป็นน้องสาวแม่ผม ก็เป็นญาติกันนั่นแหละแต่ความห่างกันระหว่างไอ้ซันกับพี่เบิ้ลมันก็มีบ้างนิดหนึ่ง
ไอ้ซันไปเปลี่ยนชุดแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าง่ายๆ เสื้อโปโลกางเกงยีนส์ ส่วนผมก็เสื้อโปโลกางเกงขายาวประมาณหัวเข่า ขี้เกียจจะแต่งเยอะครับ เอาง่ายๆ นอกจากนี้ก็เอากระเป๋าใบเล็กๆ ใส่เสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นของเจ้าตัวเล็กทั้งคู่ไปด้วย แล้วมาใส่ผ้าอ้อม แต่องค์ทรงเครื่องให้กับคุณหนูของบ้านนี้
“อ๊า”เจ้าแสบร้องทำท่าดีอกดีใจ ส่วนเจ้าซ่านี่ซนครับ กว่าจะใส่เสื้อให้ได้ “บำๆ”
“ครับๆ วันนี้จะพาไปเที่ยว อยากไปเที่ยวไหม”
“อ๊า บำๆ”อะไรของเขาก็ไม่รู้ ชี้ไม้ชี้มือไปเรื่อยเปื่อย ผมชอบตรงที่ยิ้มเก่งนี่แหละครับ ยิ้มทั้งวัน อารมณ์ดี
“ซัน ดูลูกให้กูแปบนะ ตัวเล็ก อยู่กับพี่ซันก่อนนะ”ตะโกนบอกไอ้ซันก่อนจะหันมาคุยกับลูก เจ้าตัวเล็กมองผมตาปริบๆ แต่ยอมนั่งนิ่งๆ ผมเดินไปหยิบคาร์ชีทไปติดตั้งที่เบาะหลังของรถ จากนั้นก็ไปอุ้มเจ้าตัวเล็กไปวางที่คาร์ชีท รัดเข็มขัดเรียบร้อย
“ซัน โทรบอกแม่กูให้หน่อยดิว่ากูพาลูกไปเที่ยว”ผมยื่นโทรศัพท์ให้ไอ้ซันจัดการโทรไปบอกแม่ผม ไม่อยากโทรเองครับเพราะขับรถอยู่ เขายิ่งออกกฎมาด้วยว่าระหว่างขับรถห้ามโทร ถึงไม่มีใครเห็นหรือไม่โดนตำรวจจับเราก็อย่าประมาทครับ ความตายของเราและลูกมันไม่ได้อยู่ไกล มันอยู่ที่ความประมาท นอนใจกับมันมากไม่ดีครับ เกิดโทรๆไปเผลอสติไปชนนั่นชนนี่แล้วมาตัดพ้อตัวเองทีหลัง มันไม่ใช่เรื่องครับ อะไรที่เขาห้ามก็เพราะว่าเขาเป็นห่วงเรา
“คาดเข็มขัดด้วยมึงไอ้ซัน”ผมเตือนไอ้ซันที่กำลังคุยโทรศัพท์กับแม่ผม มันดึงเข็มขัดมาคาดเรียบร้อยแล้คุยของมันเรื่องเปื่อย จนอิ่มใจถึงได้วางสาย
ขับรถครึ่งชั่วโมงมาถึงบ้านของฟาง ฟางบอกให้ผมเข้ามานั่งเล่นก่อนเพราะพ่อแม่ฟางอยากเจอหน้าลูกผมและที่สำคัญอยากคุยกับว่าที่ลูกเขยด้วยครับ ผมอุ้มเจ้าแสบ ไอ้ซันอุ้มเจ้าซ่าเข้าไปในบ้านฟาง บ้านฟางนี่หลังใหญ่พอสมควรครับ เป็นครอบครัวที่อยู่ในฐานะดี พ่อกับแม่ของฟางเป็นเจ้าของธุรกิจครับ
“พี่ชู พี่อิน สวัสดีครับ”ผมยกมือไหว้พ่อแม่ฟาง เรียกเขาพี่ครับเพราะพี่อินรู้จักกับพี่ภา เรียกกันว่าคนคุ้นเคยกันครับ
“สวัสดีครับ”ไอ้ซันยกมือไหว้แล้วพูดแบบเหมือนคำพูดมันคาอยู่ในคอ
“จ้า ไม่เจอกันนานนะบอมบ์ ดูสิ ลูกโตแล้วเหรอ มาให้ป้าอุ้มหน่อยสิลูก”พี่อินยื่นมือมา เจ้าตัวเล็กรีบกอดคอผมทันทีเลยครับ ยังไม่คุ้นหน้า
“หืม เป็นไรลูก แฮะๆ สงสัยยังไม่คุ้นหน้าอ่ะพี่ ป้าอินไงลูก แม่พี่ฟางอ่ะ”ผมหันไปคุยกับลูก เหมือนจะรู้ครับเจ้าตัวเล็กมองหน้าผม พอพี่อินยื่นมือมาอีกครั้งจึงยอมให้อุ้มง่ายๆ โดนหอมโดนกอดอยู่ฟอดใหญ่ ไอ้ซันทำตัวหงอๆเวลาอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ของฟาง เห็นแล้วขำดี ตอนผมรู้จักฟางใหม่ๆ พี่ชู กับพี่อินจะดุมากเลยครับ ผมจำได้ตอนนั้นมาส่งฟางที่บ้านช่วงค่ำๆแล้วมั้ง ผมโดนเรียกไปถามชุดใหญ่เลยครับ ผมเองก็กล้าหาญชาญชัย เขาถามอะไรมาเราก็ลูกผู้ชาย ถามตรงตอบตรง พอคุยกันไปคุยกันมา ปรากฏว่าคนคุ้นเคยกัน เลยสนิทกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
“ก้อย ไปเอาน้ำมารับแขกหน่อยไป”พี่ชูหันไปสั่งแม่บ้าน
“คุณลุงเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีไหม”ไอ้ซันถามแบบสู้หน้าว่าที่พ่อตา
“ใครลุง ข้าเป็นลุงของใคร ไม่มีเว้ย”
“แอ๊”หลังจากที่ชูขึ้นเสียงเจ้าตัวเล็กคงตกใจครับ ทำหน้าบู้บี้เหมือนจะร้องไห้
“พ่อก็นะ ขึ้นเสียงทำไม หลานตกใจหมดแล้ว ดูสิ โอ๋ๆ ไม่ต้องตกใจลูก”พี่อินรับกอดลูกผมปลอบโยน แต่ก็ไม่ยอมให้กอดนานครับ ทำหน้าบู้บี้แล้วเดินมาให้ผมกอด
“โอ๋ๆ ตัวเล็ก ลุงขอโทษ”พี่ชูรีบมาลูบหัวแต่ลูกผมยิ่งซุกเข้าหาผมใหญ่เลยครับ
“เห็นไหมคุณ หลานกลัวไปซะแล้ว ทั้งหลานทั้งลูกเขยแหละ”พี่อินพูด ผมหันไปมองหน้าไอ้ซันหน้ามันก็ชืดๆเหมือนแกงจืดรอวันบูด
“อ้าว ก็อยากเรียกลุงทำไม เรียกพ่อก็เรียกไปสิ เรียกลุงเหมือนไม่จริงใจกับลูกสาวข้าเลยว่ะ”พี่ชูหันไปมองไอ้ซันหน้าดุ
“ครับ”ไอ้ซันตอบหงอๆ
“ตกลงมาจีบเล่นหรือจีบจริงวะซัน”พี่ชูมองไอ้ซันหน้าดุ
“จีบจริงครับ”
“ถ้าจีบจริง เอาอะไรมาประกันกับข้าได้ว่าแกจะเลี้ยงลูกข้าได้”เอาล่ะสิ เจอโจทย์ใหญ่
“พ่อถามอะไรก็ไม่รู้”ฟางรีบท้วงพ่อของตัวเอง
“เงียบไปเลยฟาง อ่ะ ตอบมาดิ มีอะไรเป็นหลักประกัน จบม.๖ ที่บ้านทำนา ตอนนี้เป็นทหาร แค่ทหารเกณฑ์เงินเดือนเก้าพัน เหลือเก็บเดือนละพันหรือเปล่าก็ไม่รู้ มองหาอนาคตไม่เจอเลยสักนิด ก่อนมาคบกันนี่ถามทางบ้านไปบ้างยังว่าจะมีแฟน”
“......”ไอ้ซันไปไม่ถูกเลยครับ นั่งเงียบไม่กล้าสู้หน้า ส่วนผมนั่งมองเกมส์เฉยๆไม่เข้าไปยุ่งด้วย เรื่องระหว่างพ่อตากับลูกเขย ให้เขาจัดการกันเอง แต่ผมเชื่อว่าพี่ชูแกลองใจครับ
“ไม่มีคำตอบให้แล้วทำไมถึงกล้าคบ รู้ป่ะว่าฟางมีคนจองจีบตั้งเยอะ แล้วมาคบฟางเป็นแฟนเนี่ย มันตัดโอกาสคนอื่นรู้ป่ะ อย่างใครนะแม่ พีชใช่ป่ะ ลูกเจ้าของโรงแรมที่พัทยา ประจวบ จบจากนอก หรือเจ้าแม็ค ลูกเจ้าของเขมวัฒน์ก่อสร้าง เรามีอะไรบ้างซัน”
“......”ไอ้ซันถึงกับเครียดเลยครับ แต่ยอมรับว่ามันนิ่งมาก มันหันมามองผมกับฟางเป็นบางครั้ง
“พ่ออ่ะ พูดอะไรไม่รู้ ไปเที่ยวกันดีกว่า ป่ะพี่บอมบ์ ป่ะตัวเล็ก ไปเที่ยวกัน”ฟางลุกขึ้น ส่วนไอ้ซันนั่งมึนครับแต่โดนฟางลากแขนไปแล้ว พอไอ้ซันไปห่างสายตาพี่ชูกลับยิ้มแป้นอารมณ์ดี
“แกล้งลูกได้ลงคอนะคุณ”พี่อินเอ็ดสามีเบาๆ
“อือ เอาน่า ลูกสาวเราทั้งคนนะคุณ แต่คุณดูสิ นี่มันอาการหลงผัวชัดๆ ฮ่าๆๆ”พี่ชูหัวเราะเบาๆ
“ไปเที่ยวนะพี่ เดี๋ยวว่างๆจะแวะมาอีก ตัวเล็ก ไหว้คุณลุงคุณป้าก่อนลูก”เจ้าตัวเล็กทำหน้ามึนๆแต่ยอมยกมือไหว้ น่ารักเชียวครับ
“น่ารักเชียว มีหลานแบบนี้สักสี่ซ้าห้าคนนะ บ้านคงครึกครื้นน่าดู”พี่ชูลูบหัวเจ้าตัวเล็กของผม
“แฟนของลูกเพิ่งจะไปกีดกันเขาหยกๆ ยังจะฝันว่าจะมีหลานอีกนะคุณ”พี่อินเอ็ดสามี
“เอาน่า ลูกผู้ชายใจต้องสู้ ไปเที่ยวกันเถอะบอมบ์ เที่ยวให้สนุกนะลูกนะ”พี่ชูก้มหน้าทำท่าแบ๊วๆใส่ลูก
“เดี๋ยวมาเยี่ยมใหม่นะพี่ ไปละครับ”
“จ้า อย่าซิ่งกันละ ฟางเห็นว่าเป็นสาวเป็นนางขับเร็วยิ่งกว่าอะไรดี”
อุ้มลูกวางบนคาร์ชีท ฟางนั่งหลัง ผมเป็นคนขับ ไอ้ซันเป็นตุ๊กตาของผมในวันนี้ ระหว่างทางฟางก็ชนเจ้าตัวเล็กคุยงุ้งงิ้ง แผนที่เราจะไปเที่ยวกันก็คงเป็นสวนสัตว์ครับ พาลูกไปเปิดหูเปิดตา วันก่อนไปเที่ยววัดพระแก้วกัน เจ้าตัวเล็กชี้นู้นชี้นี่เหมือนจะสงสัยว่านั่นตัวอะไร นี่ตัวอะไร มาวันนี้ก็เหมือนกันครับ พอมาถึงสวนสัตว์แล้ว วางลงพื้นเจ้าตัวเล็กก็เดินเตาะแตะไป ผมต้องเดินตามใกล้ๆ ให้เดินบ้าง อุ้มบ้าง ดูท่าจะสนุกสนานมากเลยครับ เห็นอะไรก็ชี้ตัวนู้นตัวนี้ไปหมด
“สนุกจังเลยพี่บอมบ์”ฟางยิ้มออกมาส่วนไอ้ซันเงียบๆไม่ค่อยยิ้ม มีบางครั้งหลุดยิ้มมานิดหน่อย กูว่ามันคงเครียดเรื่องพ่อตาแน่เลย
พาลูกเที่ยวสวนสัตว์จนถึงบ่ายกว่าๆ ไม่ยอมง่วงเลยครับ ปกตินี่หลังเที่ยงเด็กๆจะนอนกลางวัน แต่วันนี้ตื่นตาตื่นใจล่ะมั้ง ไม่ยอมง่วงนอนเลย พอเที่ยวสวนสัตว์เสร็จมานั่งกินข้าวมื้อกลางวัน เจ้าตัวเล็กไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมป้อนขนมไปหลานชิ้นละ แต่ก็ให้กินอีกครั้ง กินได้ไม่กี่คำก็อิ่มนั่งนิ่งๆซบที่หน้าท้องของผม
“ง่วงยัง”ผมก้มหน้าถาม เจ้าแสบเจ้าซ่ามองตาปริบๆ อิ่มแล้วแต่ไม่ง่วง คงอยากจะเที่ยวมากกว่านอนละมั้ง
“จะไปไหนต่ออะฟาง”ผมถามความเห็น
“ไปช๊อปปิ้ง ซัน กินน้อยจัง กินเยอะๆสิ อาหารไม่อร่อยเหรอ”
“เปล่า ไม่ค่อยหิว”ไอ้ซันตอบเสียงเบา
“ไม่เชื่ออ่ะ อาการแบบนี้กลัวพ่อชัวร์ อย่าไปกลัวเลยพ่อฟางอ่ะ ดุไปงั้นแหละ เนอะพี่บอมบ์ ถามพี่บอมบ์ได้”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“หึหึ ใจเย็นๆเว้ย”ผมพยักหน้าให้ไอ้ซัน มันคงเครียดจริงๆแหละครับ เพราะพี่ชูเล่นยกคู่แข่งมาแต่ละคน ซึ่งทั้ง ๒ คนที่พี่ชูแกยกตัวอย่างมา ก็เคยตามจีบฟางจริงๆแหละครับ แต่ฟางไม่คบด้วย
หลังจากนั่งเล่นอยู่พักใหญ่จึงไปเดินช๊อปปิ้งกันครับที่ห้างใหญ่ใจกลางเมือง ไอ้ซันเริ่มดีขึ้นครับ คุยและยิ้มได้ ส่วนเจ้าลูกชายน่ะเหรอ ไม่ต้องถามเลยครับ ชี้ให้ผมพาไปดูตรงนั้นตรงนี้ และไม่ยอมให้ฟางหรือไอ้ซันอุ้มด้วยครับ ต้องผมเท่านั้น เมื่อกี้ยังยอมเลย แต่ตอนนี้ไม่ยอมแล้วครับ กลัวพี่ๆเขาไม่มีเวลาสวีทกันมั้ง
“พักเหนื่อยก่อนไหมสุดหล่อ พ่ออุ้มหนูจนเมื่อยแขนแล้วเนี่ย”ตัวก็ไม่ใช่เบาๆนะครับ ผมวางเจ้าตัวเล็กบนเก้าอี้เบาะนุ่มๆ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็มีแต่คนมอง แหงล่ะ พ่อลูกอ่อนหน้าหล่อๆแบบนี้ อยากกินกูละซี่ ฮ่าๆๆๆ
“บำๆ”เจ้าแสบคลานมานั่งตักผมทำหน้าง่วงๆ
“ง่วงแล้วเหรอ อยากนอนแล้วใช่ไหม”
“อ๊า”ส่งเสียงร้องดังแล้วก็ปีนไต่ทั้งพี่ทั้งน้อง เอาให้ได้งี้สิลูก ทำหน้าง่วงพอพ่อถามก็ระริกระรี้ขึ้นมาทันที ผมนั่งพักแปบนึงแล้วอุ้มลูกไปซื้อของต่อ ซื้อเสื้อผ้าเองไม่กี่ชิ้น นอกนั้นก็เดินๆ หาให้ลูกใส่บ้าง พ่อหล่อเกินไปไม่ดี
ผมเข้าไปในร้านแบบไฮโซหน่อยๆ พนักงานแม่งมองหน้ากูซะเหมือนกูหลุดมาจากป่า ที่จริงผมไว้หนวดไว้เคราด้วยล่ะครับ ขี้เกียจจะโกน อยากเก็บไว้ไซร้ผู้หมวดดู ฮ่าๆๆ หน้าตาเลยออกเถื่อนๆ ยิ่งแต่งตัวชิวๆเหมือนไปเลี้ยงควายอยู่ตามทุ่งนาด้วยยิ่งไปกันใหญ่ ผมอุ้มลูกแล้วมองๆเสื้อผ้า จากนั้นก็วางลูกลงให้ยืนเกาะขาผมไว้ ลูกผมคงจะกลัวพนักงานละมั้งเลยไม่กล้าซน
“ตัวเล็กอยู่นิ่งๆนะ เดี๋ยวพ่อซื้อเสื้อหล่อๆให้”ผมพูดกับลูกชาย เจ้าตัวดีก็ยืนเกาะขาผมตาใสแจ๋วไม่กล้าซนครับ ผมหยิบๆจับๆ เอามาทาบ พนักงานก็เข้ามาแนะนำบ้าง แต่สายตามึงมองกูเหมือนกูไม่มีเงินเลยว่ะ
ผมมองอยู่หลายชิ้น เลือกเอาอันที่ดีและคุ้มราคาที่สุด ซื้อไปหลายชิ้นเหมือนกันครับ ราคาก็หลายตังค์ ผมยื่นๆไปให้พนักงานในร้านถือของที่ผมจะซื้อ พอผมยื่นบัตรให้เท่านั้นแหละ พนักงานตาโตเชียวครับ สัส กูไม่ใช่พวกกะโหลกกะลานะเว้ย ทีเมื่อกี้นี่หมองกูเหมือนกูไม่มีปัญญาซื้อของ พอเห็นบัตรกู สัส รีบกระวีกระวาดมาบริการกูเชียว ระหว่างคิดตังค์ฟางโทรมาพอดี แล้วก็เดินมาหาผมช่วงที่ผมออกมาจากร้าน ดีจะได้มีคนถือของเพราะอุ้มลูกซ้ายขวานี่ก็เต็มไม้เต็มมือ
เรากลับบ้านกันทันทีเพราะไม่อยากอยู่ต่อนาน นี่ถ้าลูกโตผมจะพากลับค่ำๆนะครับ แต่ลูกยังเล็ก พาตากแดดตากแอร์ทั้งวันเดี๋ยวจะไม่สบายเอา ผมไปส่งฟางกับไอ้ซันที่บ้านฟาง แล้วพาลูกกลับบ้านพี่น้อย แม่ผมก็บ่นเบาๆเรื่องพาลูกไปตากแดดตาดลมครับ เจ้าตัวเล็กพอมาถึงบ้าน เจอหน้าย่าก็ทำหน้าง่วงทันที สุดท้ายก็ผล็อยหลับคาตักคุณย่า
ช่วงค่ำผมต้องไปที่บ้านพี่เบิ้ลอีกครั้งหนึ่ง พาลูกมานอนที่นี่ครับ ไอ้ภูมิพอเจอหน้าน้องก็รีบอุ้มพาไปหยอกล้อทันที ส่วนไอ้ภีมยังไม่กลับจากกองพันเลยครับ พี่เบิ้ลเองก็ยังไม่กลับเหมือนกัน พี่ภาชวนผมกินข้าวอีกรอบ ไอ้ซันมันกินข้าวที่บ้านฟางแล้ว ช่วงที่พวกเรากินข้าวกันมันจึงมีหน้าที่ดูแลน้อง แต่ดูท่าจะหงอยๆอีกแล้ว กินอิ่มแล้ว มานั่งดูทีวี จากนั้นพี่ภาอุ้มลูกผมไปอาบน้ำ ส่วนไอ้ภูมิก็คุยโทรศัพท์ จึงเหลือผมกับไอ้ซัน ๒ คน
“เครียดไงมึง”
“อืม เครียดสิอา นี่ไม่รู้จะยังไงแล้วเนี่ย แม่งจะร้องไห้อยู่แล้ว”ไอ้ซันพูดเสียงคาที่ลำคอ มันคงจุกอกจนพูดไม่ออกมั้ง
“เครียดไปทำไมวะ”
“โหอา โดนซะขนาดนั้น ใครจะไม่เครียดบ้างอ่ะ แต่ที่พ่อฟางพูดก็จริงทุกอย่าง แล้วเมื่อกี้ตอนกินข้าว เจอไปอีกชุดใหญ่ เฮ้อ ผมมันบ้าเองแหละอาที่ริอาจไปไต่ฟ้าคว้าดาว ดาวมันเคียงเดือนไม่ได้เคียงดินแบบผม”
“คิดไปเรื่อย”
“มันก็จริงนะอา จนๆอย่างผมขออยู่แบบจนๆดีกว่า ดอกฟ้ายังไงก็คือดอกฟ้า หมาวัดขี้เรื้อนมันก็คือหมาวัดอยู่วันยังค่ำ เราห่างเกินไปจริงๆ”
“ถุย ไอ้ควาย โง่แล้วยังบ้าอีก กูบอกอะไรให้นะ ตอนนี้มีทองอยู่ข้างหน้ามึงแล้ว มึงจะคว้ามาเป็นของมึงหรือมึงจะบ้าทิ้งไปล่ะ มึงเลือกเอา”
“แต่ทองมันไม่คู่ควรกับดินแบบผมนี่อา”
“ห่า คำว่าคู่ควรมันอยู่ตรงไหน อยู่ที่มึงมีฐานะเท่าเทียมเขา การศึกษาเท่าเขา หรืออะไร มึงอย่าบ้าไปหน่อยเลยไอ้ซัน โดนพ่อตามึงเหน็บนิดๆหน่อยๆเสือกใจเสาะ ตอนนี้อ่ะยังไงๆมึงก็เป็นต่ออยู่แล้ว มึงได้ฟางเป็นแฟนแล้ว เหลือแค่เอาชนะใจพ่อตาก็แค่นั้น มึงอย่าคิดว่าคู่ควรหรือไม่คู่ควร แล้วไม่ใช่เวลาที่มึงจะมานั่งเครียด มึงต้องมานั่งคิดว่ามึงจะทำยังไงให้พ่อตามึงเชื่อใจมึงว่ามึงสามารถดูแลเขาได้ มึงจะพิสูจน์ยังไง มึงต้องแก้ปัญหาจุดนี้ต่างหาก วุฒิมึงม.๖ ถ้าคิดว่าไม่พอใจ มึงลงเรียนต่อ เงินทองมึงไม่มี มึงก็หาวิธีทำให้มันมี มึงมานั่งเครียดแบบนี้ เสียเวลาเปล่า มึงต้องขอบคุณพ่อตามึงนะที่เขาชี้จุดอ่อนให้มึง ถ้าเขาไม่หวังดีเขาไม่พูดแบบนี้หรอก พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสสิวะ”
“เฮ้อ พูดง่ายแต่ทำยากนะอา คนจนยังไงก็คนจน”
“เออ งั้นเชิญมึงจนต่อไป เหี้ย คนเราเกิดมาไม่มีใครเอาเหี้ยอะไรติดตัวมาหรอก เกิดมาตัวเปล่ากันทั้งนั้น จุดเริ่มต้นคือตัวเปล่าทุกคน แต่เพราะปัจจัยแวดล้อมของเขาต่างหากที่เป็นตัวกำหนดความพร้อมหรือความมั่งมีของเขา คนจนใช่ว่าจะจนเสมอไป มึงมัวแต่ตัดพ้อโชคชะตาบุญวาสนา สุดท้ายก็คือมึงย่ำอยู่กับที่ เพราะมึงมัวแต่เสียเวลาไปกับการคิดเล็กคิดน้อย มึงต้องเอาจุดนั้นมาเป็นกำลังใจสิวะ มึงไม่มี มึงต้องหาวิธีว่าจะให้ตัวเองมีได้ยังไง ตัวอย่างมีเยอะแยะ ไม่จำเป็นต้องลองผิดลองถูกเอง ใครที่เขามีเงิน ใครที่เขาเรียนเก่ง ใครที่เขาเพียบพร้อม มึงจับตามองแล้วสังเกตพฤติกรรมของเขา จากนั้นก็ศึกษาและลอกเลียนแบบ มันอาจจะมีเล็กน้อยที่เราแตกต่างกัน แต่อย่าเอามาเป็นประเด็นใหญ่ มึงต้องกำหนดเป้าหมายให้ใหญ่กว่าอุปสรรคสิ เป้าหมายมึงเป้ากำปั้นแต่อุปสรรคมึงมองว่ามันเท่าโลกทั้งใบ มันก็แก้ไม่ตก มึงต้องมองไปที่เป้าหมายของมึง เอาให้มันใหญ่กว่าอุปสรรค ชีวิตคนนะซัน กว่าเขาจะสุขสบายเขาล้มลุกคลุกคลานกันมาก่อนทั้งนั้น ไม่มีใครที่จะเดินทางราบรื่นไปตลอดหรอก มันต้องมีจุดที่สะดุดบ้างอะไรบ้าง อยู่ที่เราจะกัดฟันสู้หรือเปล่า ตอนนี้มึงท้อขอให้มึงนึกคนที่ทุกข์ยากกว่ามึง คนที่ไม่มีแขนไม่มีขา คนตาบอดหูหนวก คนพิการ มึงมีครบทุกอย่างนะซัน คนเหล่านั้นเขาน่าสงสารกว่ามึงอีก ตอนนี้มึงใจเย็นๆก่อน แล้วจำคำของพ่อตาของมึงเอามาเป็นโจทย์ว่ามึงจะดูแลลูกเขายังไงดี มึงจะทำยังไงเมื่อวุฒิการศึกษามึงมีแค่นี้ มึงจะทำยังไงที่จะให้มีเงินทองหรือสิ่งที่พ่อเขาต้องการความมั่นใจ มึงต้องถามตัวเองว่ามึงจะทำยังไง ไม่ใช่มึงมาตัดพ้อตัวเองว่าจะหนีปัญหายังไง”